More Related Content
Metabolic functions Period 1 Growing local food justicel Viewers also liked (6)
Metabolic Functions Period1 Luiz calado empreendedorismo funenseg fina para envio Similar to 032147 (20)
คู่มือการจำแนกชนิดสัตว์ทะเล เลี้ยงลูกด้วยนมและเต่าทะเลในประเทศไทย พันธุ์ปลาน้ำจืดในประเทศไทย พันธุ์ปลาน้ำจืดในประเทศไทย พันธุ์ปลาน้ำจืดในประเทศไทย โครงการติดตามการฟื้นตัวและการจัดการปะการังฟอกขาว โครงการติดตามการฟื้นตัวและการจัดการปะการังฟอกขาว โครงการติดตามการฟื้นตัวและการจัดการปะการังฟอกขาว การแก้ไขปัญหาทรัพยากรป่าไม้ 032147
- 2. รายชื่อสมาชิก ด . ญ . วิสสุตา คำเกียรติ ม .2/1 เลขที่ 15 ด . ญ . ภาณินี พูนศรีทวีทรัพย์ ม .2/1 เลขที่ 22 ด . ญ . โชติมนต์ แสงดิษฐ์ ม .2/1 เลขที่ 26 ด . ช . ไพสิฐ เจียรภาสวร ม .2/1 เลขที่ 57
- 5. ความหมายของป่าชายเลน Mangrove " มาจากภาษาโปรตุเกส คำว่า " Mangue " ซึ่งหมายถึง กลุ่มสังคมพืชที่ขึ้นอยู่ตามชายฝั่งทะเลดินเลน และใช้กันแพร่หลายในประเทศแถบลาตินอเมริกา ส่วนประเทศอื่นๆ ก็ใช้เรียกตามภาษาของตัว เช่น ประเทศมาเลเซียใช้คำว่า " Manggi-Manggi " ประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสเรียกป่าชายเลนว่า " Manglier " สำหรับประเทศไทยนิยมเรียกป่าชนิดนี้ว่า " ป่าชายเลน " หรือ " ป่าโกงกาง "
- 6. ป่าชายเลน หรือป่าโกงกาง ( Mangrove forest หรือ intertidal forest ) หมายถึง สังคมพืชที่ประกอบด้วย พันธุ์ไม้หลายชนิด หลายตระกูล และเป็นพวกที่มีใบเขียวตลอดปี ซึ่งมีลักษณะทางสรีระวิทยา และความต้องการสิ่งแวดล้อมที่คล้ายกัน และยังหมายถึงกลุ่มของสังคมพืชที่ขึ้นอยู่บริเวณปากแม่น้ำ ชายฝั่งทะเล หรืออ่าว ซึ่งเป็นบริเวณที่มีระดับน้ำทะเลท่วมถึงในช่วงที่น้ำทะเลขึ้นสูงสุด ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยพันธุ์ไม้สกุลโกงกางเป็นไม้สำคัญและมีไม้ตระกูลอื่นปะปนอยู่ด้วย
- 7. พื้นที่ของป่าชายเลนในประเทศไทย ประเทศไทย มีแนวชายฝั่งทะเลยาวประมาณ 2,600 กิโลเมตร มีส่วนที่มีป่าชายเลนขึ้นอยู่ประมาณร้อยละ 36 ของความยาวชายฝั่งเท่านั้น ซึ่งเป็นป่าชายเลนที่สำรวจในปี 2504 ประมาณ 2,299,375 ไร่ จากการสำรวจพื้นที่ป่าชายเลนของกรมป่าไม้ โดยใช้ภาพถ่ายดาวเทียม ในปี 2532 ปรากฏว่าพื้นที่ป่าชายเลนทั้งหมดเหลือประมาณ 1,128,494 ไร่ โดยส่วนใหญ่กระจาย อยู่ตามจังหวัดต่างๆ
- 8. ทางภาคใต้ฝั่งตะวันตก ประมาณ 888,564 ไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 78.74 ของพื้นที่ป่าชายเลนทั้งหมด รองลงไปอยู่ในเขตภาคตะวันออก ภาคใต้ฝั่งตะวันออก และภาคกลาง ( หรือก้นอ่าวไทย ) มีเนื้อที่ประมาณ 129,430 ไร่ , 106,775 ไร่ และ 3,725 ไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 11.47, ร้อยละ 9.46 และร้อยละ 0.33 ของพื้นที่ป่าชายเลนทั้งประเทศตามลำดับ ( ไพโรจน์ , 2534)
- 9. ภาคกลาง มีเนื้อที่ประมาณ 418,637.5 ไร่ จังหวัดที่พบได้แก่ บริเวณที่ติดกับชายฝั่งทะเลของจังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพฯ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ภาคตะวันออก มีเนื้อที่ประมาณ 342,781.25 ไร่ แพร่กระจายอยู่ตามชายฝั่งทะเลของจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด และฉะเชิงเทรา
- 10. ภาคใต้ มีเนื้อที่ประมาณ 1,566,381.25 ไร่ ซึ่งส่วนมากจะเกิดเป็นแนวยาวติดต่อกันทางชายฝั่งทะเลด้านตะวันตก หรือด้านทะเลอันดามัน ในเขตจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล ส่วนชายฝั่งด้านตะวันออก หรือด้านอ่าวไทย จะพบตามปากน้ำและลำน้ำใหญ่ๆ ในจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา และปัตตานี
- 14. พันธุ์ไม้ที่เด่นและสำคัญส่วนใหญ่อยู่ในวงศ์ Rhizophoraceae โดยเฉพาะในสกุลไม้โกงกาง ( Rhizophora ) สกุลไม้โปรง ( Ceriops ) และสกุลไม้ถั่ว สำหรับพันธุ์ไม้ในวงศ์ Sonneratia ได้แก่ ไม้ในสกุลลำพูและลำแพน ( Sonneratia ) พันธุ์ไม้ในวงศ์ Verbenaceae ได้แก่ กลุ่มไม้แสม ( Avicennia ) นอกจากนี้ยังมีพันธุ์ไม้ในวงศ์ Meliaceae ได้แก่ ไม้ตะบูนและตะบัน ( Xylocarpus ) เป็นต้น
- 15. พันธุ์ไม้สำคัญในป่าชายเลน โกงกางใบเล็ก Rhizophora apiculata ตาตุ่มทะเล Excoecaria agallocha โกงกางใบใหญ่ Rhizophora mucronata ตีนเป็ดทะเล Cerbera odollam จาก Nypa fruticans ถั่วขาว Bruguiera cylindrica จิกทะเล Barringtonia racemosa
- 16. ถั่วดำ Bruguiera parviflora ชะเลือด Permna obtusifolia เถากระเพาปลา Finlaysonia maritima แดงน้ำ Amoora cucullata เถาถอบแถบ Derris trifoliata ตะบูนขาว Xylocarpus granatum เถาตรุษ Calycopteris floribunda ตะบูนดำ Xylocarpus moluccensis เถามันแดง Combretum tetralophum
- 17. ตะบัน Xylocarpus gangeticus เทพี Caesalpinia crista น้ำนอง Brownlowia tersa ลำพูทะเล Sonneratia alba โปรงขาว Ceriops decandra เล็บมือนาง Aegiceras corniculatum โปรงแดง Ceriops tagal แสม Aegialites rotundifolia
- 18. เป้ง Phoenix paludosa แสมขาว Avicennia alba ปรงทะเล Acrostichum aureum แสมดำ Avicennia officinalis ปรงหนู Acrostichum speciosum แสมทะเล Avicennia marina ปอทะเล Hibicus tiliaceus สมอทะเล Sapium indicum
- 19. ฝาดดอกขาว Lumnitzera racemosa สำมะง่า Clerodendrum inerme ฝาดดอกแดง Lumnitzera littorea หงอนไก่ทะเล Heritiera littoralis พังกาหัวสุ่มดอกขาว Bruguiera sexangula หลุมพอทะเล Intsia bijuga พังกาหัวสุ่มดอกแดง Bruguiera gymnorrhiza หมัน Cordia Cochinchinensis
- 20. เหงือกปลาหมอดอกขาว Acanthus ebracteatus รังกะแท้ Kandelia candel เหงือกปลาหมอดอกเครือ Acanthus volubilis ลำพู Sonneratia caseolaris เหงือกปลาหมอดอกม่วง Acanthus ilicifolius ลำแพน Sonneratia ovata หวายลิง Flagellaria indica ลำแพนทะเล Sonneratia griffithii
- 21. สัตว์ที่มีในป่าชายเลน ป่าชายเลนเป็นแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ ด้วยสัตว์หลายชนิดทั้งที่เป็นสัตว์น้ำ เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ และสัตว์ชนิดอื่นๆ เช่น นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และสัตว์เลื้อยคลาน ในป่าชายเลนจะพบสัตว์ที่เป็นตัวแทนเกือบทุกไฟลัม นับตั้งแต่สัตว์ที่มีขนาดเล็ก อย่างเช่น โปโตซัว พวกหนอนตัวกลม (nematode) หนอนตัวแบน (nemertines) และพวกไส้เดือนทะเล (polychaete)
- 22. นอกจากนั้นยังมีสัตว์กลุ่มอื่นๆก็มีพวกกุ้ง หอย ปู ปลา ที่พบมากในบริเวณนี้อาจอาศัยอยู่บางช่วงของวงจรชีวิตของมัน หรืออาศัยอยู่ตลอดชีวิตของมันเลยก็มี พวกหอยที่สำคัญได้แก่ หอยสองฝา เช่นหอยนางรม หอยแครงและหอยจอบซึ่งอาจพบฝังตัวในดินหรือเกาะตามรากและลำต้นของพรรณไม้ในป่าชายเลน หอยขี้นกหรือหอยเจดีย์ ที่กระจายตามพื้นและแหล่งที่น้ำชื้นแฉะ รวมทั้งหอยปากเป็ดที่รูปร่างแปลกประหลาด
- 23. สัตว์จำพวกอาร์โทปอด ( Arthropod ) พบมากเช่นกัน นับตั้งแต่ แมงดาทะเล ที่เป็นกลุ่มสัตว์ดึกดำบรรพ์
- 26. สัตว์ชั้นสูงที่พบเสมอๆนอกจากปลาที่เป็นชนิดเด่น อย่างเช่น ปลากะพงขาว ปลาเก๋าแล้วยังพบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น ค้างคาว ลิงแสม ลิงลม แมวป่า หมูป่า และอีเก้ง ซึ่งสัตว์เหล่านี้จะเข้ามาในป่าชายเลนเป็นบางเวลาเพื่อหาอาหาร นอกจากนี้แล้วยังมีนกหลายชนิด เช่น นก แซงแซว นกกินเปี้ยว อีกด้วย งูชนิดต่างๆ ตะกวด เต่า จระเข้และ นาก ยังเข้ามาอาศัยอยู่ร่วมกับตัวอื่นๆ
- 29. เชื้อเพลิง วัสดุก่อสร้าง สิ่งทอและหนังสัตว์ อาหาร ยา และเครื่องดื่ม การผลิตกรดจากเปลือกไม้ (tannin) การทำเหมือนแร่ดีบุกในบริเวณป่าชายแดน ให้ผลผลิตน้ำเย็นในระบบหล่อเย็นของโรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรม
- 30. ให้ผลผลิตเกลือ ให้ผลผลิตมวลชีวภาพ (biomass) แก่แหล่งประมง ( ก ) แหล่งประมงใกล้ชายฝั่ง ( ข ) เป็นแหล่งพักอาศัยของลูกปลาและลูกกุ้ง ให้ผลผลิตมวลชีวภาพสำหรับการเลี้ยงหอยแมลงภู่และปลา
- 31. ปัญหาของป่าชายเลน สาเหตุสำคัญของการลดลงของพื้นที่ป่าชายเลนในช่วงหลังปี 2522 เนื่องจากมีการตื่นตัวในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลนเพื่อการเพาะเลี้ยงกุ้ง เนื่องจากเป็นอาชีพที่มีผลตอบแทนการลงทุนค่อนข้างสูง และมีระยะคืนทุนสั้นทำให้ธุรกิจการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีเนื้อที่เลี้ยงเพิ่มขึ้นจาก 162,725 ไร่ ในปี 2522 เป็นประมาณกว่า 600,000 ไร่ ในปี 2529 หรือคิดเป็นร้อยละ 64.30 ของพื้นที่ป่าชายเลนที่ถูกทำลายทั้งหมด
- 32. ส่วนการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนเพื่อกิจกรรมอื่น เช่น การทำเหมืองแร่ การทำนาเกลือ การทำเกษตรกรรม การขยายตัวของชุมชน การสร้างท่าเทียบเรือ การสร้างถนนและสายส่งไฟฟ้า การสร้างโรงงานอุตสาหกรรม และการขุดลอกร่องน้ำ มีการขยายตัวไม่มากนัก โดยในช่วงระหว่างปี 2523 - 2529 ประมาณ 328,581 ไร่ หรือคิดเป็นเพียงประมาณร้อยละ 35.70 ของเนื้อที่ป่าชายเลนที่ถูกทำลายทั้งหมดจนถึงปี 2529 ( ไพโรจน์ , 2534)
- 33. สรุปปัญหาที่เกิดขึ้นกับป่าชายเลน 1. การใช้ประโยชน์ที่มากเกินไป การบุกรุกป่าชายเลนเพื่อหาผลผลิตจากป่าโดยตรงจนเกินขีดความสามารถของป่า ตลอดจนการอนุญาตให้เข้าตัดฟันป่าไม้ชายเลนมากเกินไป ล้วนก่อให้เกิดผลกระทบต่อป่าชายเลนโดยตรงในแง่ของการให้ผลผลิตและการบริการต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว
- 34. 2. การแปรสภาพป่าชายเลน กิจกรรมต่าง ๆ เช่น การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การทำบ่อปลา และการพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัย มักจะได้รับการพิจารณาว่ามีคุณค่าและได้รับการสนับสนุนให้เข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนเพิ่มมากขึ้น
- 35. 3. กิจกรรมการใช้ประโยชน์จากป่าชายเลนที่มากเกินไป รวมทั้งกิจกรรมที่ต้องอาศัยการาแปรสภาพป่าชายเลน อาจก่อให้เกิดผลกระทบในทางลบด้านเศรษฐกิจสังคมสำหรับชุมชนชายฝั่งทะเลได้ ยิ่งไปกว่านั้น กิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ยังทำให้พืชและสัตว์หลายชนิดในป่าชายเลนต่างก็สูญพันธุ์ไปมากแล้ว
- 36. แนวทางการแก้ปัญหาป่าชายเลนและมาตรการควบคุม 1. เพื่อเป็นการหยุดยั้งการแผ่ขยายการทำลายป่าชายเลน จึงควรที่จะห้ามกิจกรรมใด ๆ ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนสภาพป่าชายเลนได้ 2. การตอบสนองความต้องการใด ๆ ของมนุษย์ จะต้องเป็นไปโดยไม่ทำให้ส่งผลเสียหายต่อพืชและสัตว์ในเขตอนุรักษ์
- 37. 3. ป่าชายเลนควรจะได้รับการจัดการในรูปแบบของการจัดการทรัพยากรที่เกิดทดแทนได้ เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ตลอดจนการให้บริการทางด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ได้อย่างต่อเนื่องและยาวนาน 4. ควรจะถือว่าป่าชายเลนเป็นส่วนหนึ่งของเขตชายฝั่งทะเล โดยไม่มีการแบ่งแยกการพิจารณาเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ป่าชายเลน จะต้องคำนึงถึงลักษณะการพึ่งพอของป่าชายเลนที่ขึ้นอยู่กับการใช้ที่ดินเพื่อการเก็บกักน้ำ และลักษณะความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างป่าชายเลนกับผืนน้ำชายฝั่งที่อยู่ติดกัน
- 38. 5. ควรจะมีการจัดทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการที่อยู่ในป่าชายเลนหรือที่อยู่ติดกับป่าชายเลน โดยถือว่าระบบนิเวศป่าชายเลนนั้นเปลี่ยนแปลงได้ง่าย และควรจะเน้นถึงความสำคัญของกระบวนการภายนอกที่เกี่ยวข้องกัลแหล่งน้ำจืดและน้ำเค้ม และการผลิตสารอาหาร 6. ควรจะมีการปรับปรุงฐานข้อมูลป่าชายเลน และแผนชาติเกี่ยวกับป่าชายเลนให้ทันสมัยอยู่เสมอ
- 42. ปัจจัยด้านการจัดการที่สำคัญ - น้ำจืดที่ไหลลงสู่น้ำทะเลทำให้ความเค็มเจือจางลง ระดับความเค็มของน้ำคือปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดชนิด และความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิต - ระยะของพื้นที่ที่อยู่ในระหว่างน้ำขึ้นน้ำลงเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับป่าชายเลน เนื่องจากความเค็มจากน้ำทะเลจะแทรกซึมลงไปในพื้นที่ ซึ่งมีผลต่อการเติบโตของป่าชายเลน
- 43. - มลพิษในพื้นที่ชายฝั่งทะเลซึ่งเป็นผลจากของเสียจากโรงงาน น้ำเสียจากอาคารบ้านเรือน ของเสียจากการทำเกษตรกรรม การทับถมของตะกอนของดินและทรายและการแพร่กระจายของน้ำมัน มีผลต่อป่าชายเลนและทรัพยากรสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้ำ - ป่าชายเลนในพื้นที่ชายฝั่งทะเลเป็นแหล่งของไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ที่สำคัญ ทั้งสำหรับการใช้ประโยชน์ภายในบ้านเรือนและในทางการค้า ผลิตภัณฑ์จากป่าชายเลนเป็นแหล่งวัสดุก่อสร้าง และเชื้อเพลิงที่สำคัญต่อการยังชีพของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายฝั่งทะเล