SlideShare a Scribd company logo
ชุดที่ 1 แนวข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์
มัธยมศึกษาตอนปลาย
คาชี้แจง ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว
1. หำกเซลล์พืชไม่มีผนังเซลล์ จะส่งผลต่อเซลล์อย่ำงไร
1. เซลล์จะมีรูปร่ำงไม่คงตัว
2. เซลล์มีควำมแข็งแรงมำก
3. สำรต่ำงๆ จะไม่สำมำรถผ่ำนเซลล์ได้
4. เซลล์จะไม่สำมำรถสังเครำะห์สำรต่ำงๆ ได้
2. ควำมเข้มข้นของสำรมีผลต่อกระบวนกำรแพร่อย่ำงไร
1. มีผลต่อเยื่อหุ้มเซลล์
2. มีผลต่ออัตรำกำรแพร่
3. ไม่มีผลต่อกระบวนกำรแพร่
4. มีผลต่อปริมำณนำในกำรแพร่
3. กำรแพร่แบบฟำซิลิเทตมีอัตรำกำรแพร่เร็วกว่ำ หรือช้ำกว่ำกำรแพร่แบบธรรมดำ เพรำะเหตุใด
1. ช้ำกว่ำ เพรำะสำรมีโมเลกุลใหญ่
2. ช้ำกว่ำ เพรำะโปรตีนตัวพำมีจำนวนน้อย
3. เร็วกว่ำ เพรำะสำรมีโมเลกุลใหญ่ แต่มีปริมำณมำก
4. เร็วกว่ำ เพรำะโปรตีนตัวพำทำให้สำรผ่ำนเยื่อหุ้มเซลล์ได้เร็ว
4. กำรลำเลียงสำรแบบใช้พลังงำนเปรียบเทียบได้กับเหตุกำรณ์ใด
1. กำรตักนำใส่กะละมัง
2. กำรสูบนำขึนสู่ถังเก็บนำ
3. กำรเทนำออกจำกกะละมัง
4. กำรปล่อยนำลงจำกถังเก็บนำ
5. เมื่อใส่ปุ๋ยให้ต้นไม้มำกเกินไป ต้นไม้จะไม่เจริญงอกงำมตำมต้องกำร แต่กลับเหี่ยวเฉำลง เพรำะเหตุใด
1. สำรละลำยในดินมีควำมเข้มข้นมำกกว่ำในเซลล์ ทำให้นำออสโมซิสจำกเซลล์ออกสู่ดิน
2. สำรละลำยในดินมีควำมเข้มข้นมำกกว่ำในเซลล์ ทำให้นำออสโมซิสจำกดินเข้ำสู่เซลล์
3. สำรละลำยในดินมีควำมเข้มข้นน้อยกว่ำในเซลล์ ทำให้นำออสโมซิสจำกเซลล์ออกสู่ดิน
4. สำรละลำยในดินมีควำมเข้มข้นน้อยกว่ำในเซลล์ ทำให้นำออสโมซิสจำกดินเข้ำสู่เซลล์
6. ในที่อุณหภูมิต่ำอัตรำเมแทบอลิซึมของสัตว์เลือดอุ่นเทียบกับสัตว์เลือดเย็นจะเป็นดังข้อใด
1. ทังสัตว์เลือดอุ่นและสัตว์เลือดเย็นมีอัตรำเมแทบอลิซึมสูง
2. ทังสัตว์เลือดอุ่นและสัตว์เลือดเย็นมีอัตรำเมแทบอลิซึมต่ำ
3. สัตว์เลือดอุ่นมีอัตรำเมแทบอลิซึมสูง ส่วนสัตว์เลือดเย็นมีอัตรำเมแทบอลิซึมต่ำ
4. สัตว์เลือดอุ่นมีอัตรำเมแทบอลิซึมต่ำ ส่วนสัตว์เลือดเย็นมีอัตรำเมแทบอลิซึมสูง
7. หลังจำกออกกำลังกำยกลำงแดดนำนๆ ร่ำงกำยมีกลไกกำรรักษำดุลยภำพของอุณหภูมิอย่ำงไร
1. ลดอัตรำเมแทบอลิซึม และหลอดเลือดหดตัว
2. ลดอัตรำเมแทบอลิซึม และหลอดเลือดขยำยตัว
3. เพิ่มอัตรำเมแทบอลิซึม และหลอดเลือดหดตัว
4. เพิ่มอัตรำเมแทบอลิซึม และหลอดเลือดขยำยตัว
8. ข้อใดไม่ใช่กลไกกำรทำงำนของจุลินทรีย์ประจำถิ่นเพื่อยับยังจุลินทรีย์ก่อโรค
1. แข่งขันแย่งอำหำร
2. จับเชือจุลินทรีย์ก่อโรคกิน
3. สร้ำงสำรยับยังกำรเจริญเติบโตของเชือจุลินทรีย์ก่อโรค
4. ปรับเปลี่ยนสภำพแวดล้อมให้ไม่เหมำะสมสำหรับกำรเจริญของเชือจุลินทรีย์ก่อโรค
9. เซลล์ลิมโฟไซต์ชนิดบีกำจัดเชือโรคหรือสิ่งแปลกปลอมด้วยวิธีใด
1. สร้ำงแอนติเจนจำเพำะ
2. สร้ำงแอนติบอดีจำเพำะ
3. สร้ำงเซลล์พลำสมำเพื่อกลืนกินเชือโรค
4. กระตุ้นให้เซลล์ทีแบ่งตัวอย่ำงรวดเร็วเพื่อกำจัดเชือโรค
10. หลักกำรให้หรือรับเลือดต้องคำนึงถึงหมู่เลือดของผู้ให้และผู้รับเพรำะเหตุใด
1. ถ้ำแอนติบอดีของผู้ให้ตรงกับผู้รับ เม็ดเลือดแดงจะสลำยตัว
2. ถ้ำแอนติเจนของผู้ให้ตรงกับผู้รับ เม็ดเลือดแดงจะตกตะกอน
3. ถ้ำแอนติเจนของผู้ให้ตรงกับแอนติบอดีของผู้รับ เม็ดเลือดแดงจะสลำยตัว
4. ถ้ำแอนติเจนของผู้ให้ตรงกับแอนติบอดีของผู้รับ เม็ดเลือดแดงจะตกตะกอน
11. ข้อใดไม่ใช่คุณสมบัติของภูมิคุ้มกันที่รับมำแต่กำเนิด
1. ไม่มีกำรจดจำแอนติเจน
2. ไม่มีควำมจำเพำะเจำะจง
3. มีกำรตอบสนองทันที รวดเร็ว และรุนแรง
4. กลไกกำรป้องกันสิ่งแปลกปลอมด้วยวิธีกำรจับกินและย่อยทำลำย
12. ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับกำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรม
1. ลักษณะบำงอย่ำงของลูกอำจเหมือนปู่ ย่ำ ตำ ยำยได้
2. ลักษณะของลูกที่ต่ำงจำกพ่อหรือแม่เกิดจำกกำรกลำย
3. ลักษณะของลูกต้องเหมือนพ่อและแม่เสมอ ไม่มีทำงเหมือนบุคคลอื่นได้
4. ลักษณะต่ำงๆ ของลูกต้องเหมือนพ่อและแม่เท่ำนัน เพรำะลูกเกิดจำกกกำรรวมตัวของไข่ของแม่
และอสุจิของพ่อ
13. กำรรณรงค์ให้เด็กอำยุต่ำกว่ำ 5 ปี มำรับวัคซีนโปลิโอ เพื่อให้เด็กสร้ำงภูมิคุ้มกันแบบใด
ก. ภูมิคุ้มกันที่ได้รับ
ข. ภูมิคุ้มกันแบบจำเพำะ
ค. ภูมิคุ้มกันที่สร้ำงขึนเอง
ง. ภูมิคุ้มกันที่รับมำแต่กำเนิด
1. ก. และ ข. 2. ข. และ ค.
3. ค. และ ง. 4. ก. และ ง.
14. ข้อใดเป็นหน้ำที่ของออโตโซม
1. ควบคุมลักษณะของสิ่งมีชีวิต
2. กำหนดเพศและลักษณะต่ำงๆ ของสิ่งมีชีวิต
3. ควบคุมกำรแสดงออกเกี่ยวกับเพศในสิ่งมีชีวิต
4. กำหนดกำรจับคู่ของยีน หรือกำรจับคู่ของโครโมโซม
15. องค์ประกอบใดที่ทำให้ในแต่ละนิวคลีโอไทด์ของสำยอำร์เอ็นเอมีลักษณะแตกต่ำงกันออกไป
1. หมู่ฟอสเฟต 2. นำตำลไรโบส
3. ไนโตรเจนเบส 4. นำตำลเพนโทส
16. ส่วนประกอบในข้อใดที่พบในดีเอ็นเอแต่ไม่พบในอำร์เอ็นเอ
1. นำตำลดีออกซีไรโบส
2. นำตำลไรโบส และเบสไทมีน
3. นำตำลดีออกซีไรโบส และเบสไทมีน
4. นำตำลดีออกซีไรโบส และเบสยูรำซิล
17. เซลล์ในระยะใดเหมำะสมต่อกำรศึกษำรูปร่ำงและลักษณะของโครโมโซมมำกที่สุด
1. ระยะที่ยังไม่มีกำรแบ่งเซลล์
2. ระยะเมทำเฟสซึ่งโครโมโซมเรียงอยู่ตรงกลำงเซลล์
3. ระยะโพรเฟสซึ่งกำลังเกิดกระบวนกำรคลอสซิงโอเวอร์
4. ระยะอินเตอร์เฟสซึ่งมีกำรสะสมสำรต่ำงๆ สำหรับกำรแบ่งเซลล์
18. กำหนดเซลล์ต่ำงๆ ต่อไปนี
ก. เซลล์อสุจิ ข. เซลล์ไข่
ค. เซลล์เม็ดเลือดขำว ง. เซลล์ผิวหนัง
เซลล์ในข้อใดมีกำรแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส
1. ก. และ ข. 2. ก. และ ค.
3. ข. และ ค. 3. ค. และ ง.
19. ในระบบนิเวศซึ่งประกอบด้วยเหยี่ยว งู กระรอก หญ้ำ และตั๊กแตน สิ่งมีชีวิตในข้อใดมีมวลชีวภำพ
น้อยที่สุด
1. งู 2. เหยี่ยว
3. หญ้ำ 4. กระรอกและตั๊กแตน
20. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับกำรถ่ำยทอดพลังงำน
1. ผู้ผลิตเป็นจุดเริ่มต้นของโซ่อำหำรทุกชนิด
2. ระบบนิเวศใดที่มีสำยใยอำหำรซับซ้อนมำก แสดงว่ำระบบนิเวศนันมีควำมสมดุล
3. จุลินทรีย์มีบทบำทในกำรย่อยสลำยสำรอินทรีย์ แต่ไม่ได้มีส่วนในกำรถ่ำยทอดพลังงำน
4. โซ่อำหำรที่มีจำนวนสิ่งมีชีวิตมำก สิ่งมีชีวิตท้ำยๆ โซ่อำหำรยิ่งได้รับพลังงำนน้อยลง
21. อัมนำนก 2 ชนิดที่มีลักษณะคล้ำยกัน มำเลียงไว้ด้วยกัน ให้อำหำรและดูแลเหมือนกัน เนื่องจำกต้องกำร
ให้นกผสมพันธุ์ออกลูกออกหลำน แต่เมื่อเวลำผ่ำนไป พบว่ำนกไม่สำมำรถผสมพันธุ์กันได้ ข้อสรุปใด
ถูกต้องเกี่ยวกับเหตุกำรณ์นี
1. นก 2 ชนิดนีอยู่ต่ำงสปีชีส์กัน
2. นก 2 ชนิดนีกินแมลงต่ำงชนิดกัน
3. เสียงเรียกหำคู่ของนก 2 ชนิดนีต่ำงกัน
4. ลำตัวของนก 2 ชนิดนีมีขนำดต่ำงกันมำก
22. สิ่งมีชีวิตบุกเบิกพวกแรกที่เปลี่ยนหินไปเป็นดินคือพวกใด
1. มอสและเฟิร์น 2. เฟิร์นและหญ้ำ
3. หญ้ำและพุ่มไม้ 4. รำและสำหร่ำยที่อยู่ร่วมกัน
23. ข้อใดกล่ำวถึงสมดุลของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศได้ถูกต้องที่สุด
1. มีจำนวนชนิดของสิ่งมีชีวิตในปริมำณมำก
2. มีสัดส่วนของผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลำยในปริมำณที่เหมำะสม
3. มีสัดส่วนของสิ่งมีชีวิตที่เป็นผู้ล่ำต่อสิ่งมีชีวิตที่เป็นเหยื่อในปริมำณที่เหมำะสม
4. มีจำนวนชนิดของสิ่งมีชีวิตปริมำณน้อย แต่มีสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดในปริมำณมำก
24. ควำมสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในข้อใดที่มีควำมสัมพันธ์ในรูปแบบที่แตกต่ำงไปจำกพวก
1. ต่อไทรกับต้นไทร 2. ฉลำมกับเหำฉลำม
3. นกทำรังอยู่บนต้นไม้ 4. เพรียงเกำะบนตัวสัตว์
25. ข้อใดจัดเป็นสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม
1. แตงโมไม่มีเมล็ด
2. กล้วยไม้ที่ได้จำกกำรเพำะเลียงเนีอเยื่อ
3. แบคทีเรียที่สำมำรถผลิตฮอร์โมนอินซูลิน
4. กล้วยไม้พันธุ์ใหม่ที่ได้จำกกำรฉำยรังสีแกมมำ
26. สิ่งแวดล้อมและทรัพยำกรธรรมชำติมีควำมเกี่ยวข้องกันอย่ำงไร
1. สิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่งของทรัพยำกรธรรมชำติ
2. ทรัพยำกรธรรมชำติเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อม
3. สิ่งแวดล้อมเกิดจำกทรัพยำกรธรรมชำติที่มนุษย์นำไปใช้ประโยชน์
4. ทรัพยำกรธรรมชำติเกิดจำกสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์นำไปใช้ประโยชน์
27. ทรัพยำกรที่เกิดขึนทดแทนใหม่ได้ในข้อใดที่มนุษย์นำมำใช้ประโยชน์มำกที่สุดในปัจจุบัน
1. พลังงำนนำ 2. พลังงำนลม
3. พลังงำนจำกคลื่น 4. พลังงำนแสงอำทิตย์
28. ข้อใดไม่ใช่แก๊สเรือนกระจก
1. คำร์บอนไดออกไซด์ 2. ออกไซด์ของไนโตรเจน
3. คำร์บอนมอนอกไซด์ 4. มีเทน
29. ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดวิกฤตกำรณ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยำกรธรรมชำติของโลก คือข้อใด
1. ควำมเจริญของชุมชนเมือง
2. ควำมเจริญของอุตสำหกรรม
3. ควำมก้ำวหน้ำของเทคโนโลยี
4. กำรเพิ่มจำนวนประชำกรมนุษย์
30. กำรกระทำในข้อใดเป็นกำรช่วยเพิ่มรำยได้ให้แก่ตนเอง โดยยึดหลักกำรอนุรักษ์ทรัพยำกรธรรมชำติ
1. กำรเก็บกล้วยไม้จำกป่ำมำขำย
2. จับม้ำนำมำตำกแห้งเพื่อขำยให้ร้ำนยำโบรำณ
3. เก็บเปลือกหอยตำมชำยหำดมำประดิษฐ์ของที่ระลึกขำย
4. เก็บขวดพลำสติกที่ถูกทิงตำมข้ำงถนนมำสะสมเพื่อนำไปขำย
31. ข้อควำมใดกล่ำวถึงอะตอมได้ถูกต้องที่สุด
1. อะตอมอยู่เป็นอิสระได้
2. นิวเคลียสในอะตอมมีประจุเป็นกลำงเสมอ
3. เมื่ออะตอมเสียอิเล็กตรอนจะเกิดเป็นไอออนบวก
4. เมื่อจำนวนโปรตอนเท่ำกับจำนวนนิวตรอนจะทำให้อะตอมเป็นกลำง
32. กำรทดลองข้อใดที่พิสูจน์ว่ำนิวเคลียสในอะตอมมีขนำดเล็กมำกเมื่อเทียบกับขนำดของอะตอม
1. กำรยิงรังสีแคโทดไปยังแผ่นโลหะบำง ทำให้มีกำรปล่อยรังสีเอ็กซ์เกิดขึน
2. กำรยิงอนุภำคแอลฟำไปยังโลหะบำง ทำให้ธำตุนันปลดปล่อยอนุภำคที่เป็นกลำงออกมำ
3. กำรยิงรังสีแคโทดไปยังแผ่นโลหะบำง ทำให้ธำตุนันปลดปล่อยอนุภำคที่เป็นกลำงออกมำ
4. กำรยิงอนุภำคแอลฟำไปยังโลหะบำง แล้วพบว่ำอนุภำคส่วนใหญ่ทะลุผ่ำนไปได้ โดยมีเพียง
ส่วนน้อยที่กระเจิงออกหรือสะท้อนกลับ
33. ไอออนของธำตุ x มีจำนวนโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน เท่ำกับ 9, 10, 10 ตำมลำดับ ธำตุ x
มีสัญลักษณ์เป็นไปตำมข้อใด
1. x9
10
2. x9
21
3. x11
20
4. x11
21
34. ไอออนบวกของไฮโดรเจน (H+
) ขำดอนุภำคมูลฐำนข้อใด
1. โปรตอน
2. อิเล็กตรอน
3. นิวตรอนและอิเล็กตรอน
4. โปรตอนและอิเล็กตรอน
35. ธำตุชนิดหนึ่งมีกำรจัดเรียงอิเล็กตรอน ดังนี 2, 8, 18, 32, 18, 7 ธำตุนีควำรเป็นธำตุใด
1. Fr 2. At
3. Bi 4. Ra
36. ธำตุ 82Pb เป็นธำตุในหมู่เดียวกับ 6C อนุภำคใดต่อไปนีมีจำนวนอิเล็กตรอนชันในสุดและชันนอกสุด
เท่ำกัน
1. Pb2-
2. Pb
3. Pb2+
4. Pb4+
37. ข้อใดเปรียบเทียบสมบัติของธำตุไม่ถูกต้อง
1. โลหะโซเดียมมีขนำดอะตอมเล็กกว่ำโลหะแมกนีเซียม
2. โลหะโพแทสเซียมมีควำมว่องไวต่อปฏิกิริยำน้อยกว่ำโลหะโซเดียม
3. เกลือของโลหะโซเดียมละลำยนำได้ดีกว่ำเกลือของโลหะแมกนีเซียม
4. สำรประกอบของแมกนีเซียมเกิดปฏิกิริยำคล้ำยคลึงกับสำรประกอบของแคลเซียม
38. รังสีใดใช้ในกำรเหนี่ยวนำให้เกิดกำรกลำยพันธุ์ในสิ่งมีชีวิต
1. รังสีบีตำ 2. รังสีแอลฟำ
3. รังสีแกมมำ 4. รังสีอินฟรำเรด
39. ธำตุกับมันตรังสีธรรมชำติ X มีครึ่งชีวิตเท่ำกับ 5,000 ปี นักธรณีวิทยำค้นพบซำกของสัตว์โบรำณที่มี
ปริมำณธำตุกัมมันตรังสี X เหลือออยู่ 6.25% ของปริมำณเริ่มต้น สัตว์โบรำณนีมีชีวิตเมื่อกี่ปีมำแล้ว
1. 10,000 ปี 2. 15,000 ปี
3. 20,000 ปี 4. 25,000 ปี
40. เหตุใดโรงไฟฟ้ำนิวเคลียร์ในปัจจุบันจึงต้องสร้ำงใกล้แหล่งนำธรรมชำติ
1. ต้องใช้นิวตรอนจำนวนมำกจำกนำในกำรเริ่มปฏิกิริยำนิวเคลียร์
2. เพื่อให้มีนำเพียงพอต่อกำรดับไฟ กรณีไฟไหม้เตำปฏิกรณ์ปรมำณู
3. ใช้นำปริมำณมำกในกำรทำให้เกิดปฏิกิริยำลูกโซ่ของปฏิกิริยำนิวเคลียร์
4. ใช้นำปริมำณมำกในกำรถ่ำยเทควำมร้อนจำกเตำปฏิกรณ์ปรมำณูไปยังกังหันไอนำ
41. เพรำะเหตุใดธำตุจึงมีกำรสร้ำงพันธะเคมี
1. ธำตุต้องกำรให้อิเล็กตรอนแก่ธำตุอื่น เพื่อให้เกิดควำมเสถียร
2. ธำตุต้องกำรรับอิเล็กตรอนจำกธำตุอื่น เพื่อให้เกิดควำมเสถียร
3. ธำตุต้องกำรใช้อิเล็กตรอนร่วมกับธำตุอื่น เพื่อให้เกิดควำมเสถียร
4. ธำตุต้องกำรจัดอิเล็กตรอนวงนอกสุดให้ครบ 8 เพื่อให้เกิดควำมเสถียร
42. ธำตุในข้อใดมำรวมตัวกันโดยกำรสร้ำงพันธะโคเวเลนต์
1. เหล็กกับฟลูออรีน 2. แบเรียมกับกำมะถัน
3. ฟอสฟอรัสกับโบรมีน 4. รูบิเดียมกับออกซิเจน
43. พิจำรณำข้อควำมต่อไปนี
ก. เกลือแกงและโซดำไฟเป็นสำรประกอบของโลหะหมู่ 1A
ข. สำรประกอบไอออนิกที่มีสถำนนะเป็นของแข็งสำมำรถนำไฟฟ้ำได้
ค. โลหะแทรนซิชันมีสมบัติทำงกำยภำพเหมือนโลหะหมู่ 1A และ 2A
ข้อใดกล่ำวถูกต้อง
1. ก. และ ข. 2. ข. และ ค.
3. ก. และ ค. 4. ก. ข. และ ค.
44. กำหนดสำรให้ 3 ชนิด ดังนี สำร A มีแรงยึดเหนี่ยวเป็นแรงลอนดอน สำร B มีแรงยึดเหนี่ยวเป็นแรง
ดึงดูดระหว่ำงขัวและ สำร C มีแรงยึดเหนียวเป็นพันธะไฮโดรเจน สำร A B และ C ควรเป็นสำรใด
ตำมลำดับ
1. O2 CCI4 HF 2. CCI4 SF2 CH3OH
3. BCI3 CI2 NH3 4. CHCI3 SO2 CH3OH
45. จงพิจำรณำว่ำสูตรสำรประกอบ และชื่อของสำรประกอบไอออนิกต่อไปนีข้อใดถูกต้อง
ก. Li2HPO4 ลิเทียมไฮโดรเจนฟอสเฟต
ข. Fe2O3 ไอร์ออน (II) ออกไซด์
ค. Cu2S คอปเปอร์ (I) ซัลไฟด์
ง. CaHCO3 แคลเซียมไฮโดรเจนคำร์บอเนต
1. ข. และ ค. 2. ก. ค. และ ข.
3. ข. ค. และ ง. 4. ถูกทุกข้อ
46. ข้อใดไม่มีปฏิกิริยำเคมีเกิดขึน
1. กำรเคียวข้ำวก่อนกลืน
2. กำรฟอกสบู่ในนำกระด้ำง
3. กำรทำแล็กเกอร์เคลือบผิวไม้
4. กำรผสมกลีเซอรอลกับเอทำนอล
47. กำหนดควำมสำมำรถในกำรนำไฟฟ้ำของสำรประกอบต่ำงๆ ดังนี
สำร A ไม่นำไฟฟ้ำเมื่อเป็นของแข็ง แต่เมื่อหลอมเหลวนำไฟฟ้ำได้ดี
สำร B นำไฟฟ้ำเมื่อเป็นของแข็งหรือของเหลว
สำร C ไม่นำไฟฟ้ำทังในสถำนะของแข็ง ของเหลว และแก๊ส
สำร A B และ C ควรเป็นสำรใดตำมลำดับ
1. KI Cr CO2
2. Cr KI CO2
3. CO2 KI Cr
4. CO2 Cr KI
48. ตะกรันในกำต้มนำไม่ได้เกิดจำกสำเหตุในข้อใด
1. CaCO3 ละลำยนำได้น้อย
2. กำรสะสมของตะกอน CaCO3
3. กำที่ใช้ต้มนำทำด้วยโลหะ
4. นำที่ใช้ต้มเป็นนำกระด้ำง
49. ข้อใดที่แสดงว่ำผิวสัมผัสมีผลต่ออัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำเคมี
1. กระดำษฝอยติดไฟได้เร็วกว่ำกระดำษแผ่น
2. แบตเตอรี่รถยนต์ที่มีจำนวนแผ่นตะกั่วมำกกว่ำให้กำลังไฟฟ้ำสูงกว่ำที่มีจำนวนแผ่นน้อยกว่ำ
3. แผ่นสังกะสีปกติทำปฏิกิริยำกับกรดไฮโดรคลอริกได้ช้ำกว่ำแผ่นสังกะสีที่มีลวดทองแดงพันอยู่
4. เครื่องปฏิกิริยำนิวเคลียร์ใช้เชือเพลิงยูเรเนียมที่เป็นแท่งยำวทำให้มีอำยุกำรใช้งำนนำนกว่ำที่ใช้เป็น
ก้อนเล็กๆ
50. ปฏิกิริยำเคมีจะสำมำรถเกิดขึนได้ต้องอำศัยสภำวะในข้อใด
ก. อนุภำคของสำรตังต้นชนกันในทิศทำงที่เหมำะสม
ข. มีกำรเติมตัวเร่งปฏิกิริยำลงไปเพื่อช่วยเร่งให้เกิดปฏิกิริยำ
ค. สำรตังต้นต้องมีพลังงำนสูงกว่ำพลังงำนก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยำ
ง. มีควำมดันที่มำกพอที่จะทำให้สำรอยู่ในสภำวะแก๊สซึ่งจะทำให้เกิดปฏิกิริยำได้ง่ำยขึน
1. ก. และ ข. 2. ก. และ ค.
3. ข. และ ง. 4. ค. และ ง.
51. ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับสำรชีวโมเลกุล
1. พลังงำนที่สะสมอยู่ในอำหำรจะอยู่ในรูปพลังงำนเคมี
2. โปรตีนเป็นสำรอำหำรที่ให้พลังงำนแก่ร่ำงกำยมำกที่สุด
3. ในร่ำงกำยมนุษย์จะพบคำร์โบไฮเดรตเป็นองค์ประกอบมำกที่สุด
4. ร่ำงกำยสำมำรถนำสำรอำหำรทุกชนิดไปใช้ประโยชน์ได้เลยโดยไม่ต้องผ่ำนกระบวนกำรย่อย
52. สำรในข้อใดเมื่อนำมำทดสอบกับสำรละลำยเบเนดิกต์แล้วให้ผลกำรทดสอบที่ถูกต้องที่สุด
1. เมื่อนำนำแป้งมำทดสอบกับสำรละลำยเบเนดิกต์จะเกิดตะกอนสีแดงอิฐ
2. เมื่อนำนำองุ่นมำทดสอบกับสำรละลำยเบเนดิกต์จะเกิดตะกอนสีแดงอิฐ
3. เมื่อนำนำผึงมำทดสอบกับสำรละลำยเบเนดิกต์จะไม่เกิดกำรเปลี่ยนแปลง
4. เมื่อนำนำแอปเปิลมำทดสอบกับสำรละลำยเบเนดิกต์จะไม่เกิดกำรเปลี่ยนแปลง
53. ข้อใดกล่ำวถูกต้อง
ก. กรดไขมันมีหมู่คำร์บอกซิลเป็นหมู่ฟังก์ชัน
ข. ไขมันกับไตรกลีเซอไรด์เป็นสำรคนละชนิดกัน
ค. หมู่ฟังก์ชันในกลีเซอรอลที่มำทำปฏิกิริยำกับกรดไขมัน คือ หมู่ไฮดรอกซิล
1. ก. และ ข. 2. ก. และ ค.
3. ข. และ ค. 4. ถูกทุกข้อ
54. กำรทดสอบโปรตีนด้วยสำรละลำยคอปเปอร์ (II) ซัลเฟตในเบส จะเกิดกำรเปลี่ยนแปลงอย่ำงไร
1. เกิดกำรแปลงสภำพโปรตีน
2. เกิดกำรย่อยเป็นกรดอะมิโน
3. เกิดกำรย่อยเป็นโปรตีนสำยสัน
4. ไม่เกิดกำรเปลี่ยนแปลงทำงโครงสร้ำงของโปรตีน
55. กำรเผำไหม้ของเอทำนอลให้พลังงำนน้อยกว่ำนำมันเบนซินในปริมำตรที่เท่ำกัน และเอทำนอลมีค่ำ
ออกเทนสูงกว่ำนำมันเบนซิน ถ้ำใช้รถคันเดียวกัน เติมนำมันเท่ำกัน แล้วขับบนเส้นทำงและสภำพถนน
เดียวกันจะได้ผลตำมข้อใด
1. กำรใช้แก๊สโซฮอล์จะวิ่งได้ระยะทำงมำกกว่ำ และเครื่องยนต์ทำงำนดีกว่ำ
2. กำรใช้แก๊สโซฮอล์จะวิ่งได้ระยะทำงน้อยกว่ำ แต่เครื่องยนต์ทำงำนได้ดีกว่ำ
3. กำรใช้เบนซินหรือแก๊สโซฮอล์ได้ผลเหมือนกันทังระยะทำงและกำรทำงำนของเครื่องยนต์
4. กำรใช้แก๊สโซฮอล์จะวิ่งได้ระยะทำงน้อยกว่ำใช้เบนซิน ส่วนเครื่องยนต์ทำงำนได้เหมือนกัน
56. ข้อใดนำผลิตภัณฑ์ที่ได้จำกกำรกลั่นนำมันดิบมำใช้ประโยชน์ได้ถูกต้อง
1. นำนำมันหล่อลื่นมำใช้ทำนำมันเครื่อง
2. นำแก๊สปิโตรเลียมมำใช้เป็นเชือเพลิงในตะเกียง
3. นำแก๊สโซลีนมำใช้เป็นนำมันเชือเพลิงสำหรับเครื่องบิน
4. นำนำมันเชือเพลิงมำใช้เป็นเชือเพลิงในเครื่องยนต์ดีเซล
57. ข้อใดกล่ำวถึงผลของแก๊สอันตรำยที่เกิดขึนจำกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมได้ถูกต้อง
1. แก๊สคำร์บอนมอนอกไซด์ทำให้เกิดฝนกรด
2. แก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ก่อให้เกิดภำวะโลกร้อน
3. แก๊สไฮโดรคำร์บอนก่อให้เกิดกำรระคำยเคืองในระบบหำยใจ
4. แก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ทำให้เลือดไม่สำมำรถรับออกซิเจนได้
58. เมื่อนำสำร A มำเผำในบรรยำกำศที่มีออกซิเจน O2(g) ได้ไอนำ H2O(g) และแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์
CO2(g) สำร A ในปฏิกิริยำข้ำงต้นไม่ใช่สำรใด
1. แก๊สโซฮอล์ 2. แก๊สบิวเทน
3. แก๊สธรรมชำติ 4. แก๊สไฮโดรเจน
59. ข้อใดเป็นพอลิเมอร์ธรรมชำติทังหมด
1. ลินิน ไนลอน เซลลูโลส
2. พีวีซี นีโอพรีน ยำงพำรำ
3. ไคติน ซิลิโคน ไกลโคเจน
4. แป้ง โปรตีน กรดนิวคลีอิก
60. พลำสติกชนิดหนึ่งนำมำใช้ทำสวิตซ์ไฟฟ้ำ เป็นพลำสติกที่มีควำมแข็งมำก แต่เมื่อถูกควำมร้อนสูงมำกๆ
จะเปรำะและแตกหักได้ พลำสติกชนิดนีน่ำจะมีโครงสร้ำงแบบใด
1. โครงสร่ำงแบบกิ่ง
2. โครงสร้ำงแบบเส้น
3. โครงสร้ำงแบบร่ำงแห
4. โครงสร้ำงแบบกิ่งหรือแบบร่ำงแห
61. เกณฑ์ใดใช้ในกำรแยกพลำสติกออกเป็นเทอร์มอพลำสติกและพลำติกเทอร์มอเซต
1. ควำมหนำแน่น
2. ควำมคงทนต่อกรด-เบส
3. กำรละลำยในตัวทำละลำยอินทรีย์
4. กำรเปลี่ยนแปลงเมื่อได้รับควำมร้อน
62. ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับยำงสังเครำะห์
1. พอลิบิวตำไดอีนเป็นโคพอลิเมอร์ที่เกิดปฏิกิริยำพอลิเมอไรเซชันแบบต่อเติม
2. ยำงเอสบีอำร์เป็นโคพอลิเมอร์ที่เกิดปฏิกิริยำพอลิเมอไรเซชันแบบต่อเติม
3. ยำงเอบีเอสเป็นโฮโมพอลิเมอร์ที่เกิดปฏิกิริยำพอลิเมอไรเซชันแบบควบแน่น
4. นีโอพรีนเป็นโฮโมพอลิเมอร์ที่เกิดปฏิกิริยำพอลิเมอไรเซชันแบบควบแน่น
63. ข้อใดต่อไปนีเป็นกำรเคลื่อนที่ที่มีขนำดของกำรกระจัดน้อยที่สุด
1. เดินไปทำงขวำ 10 เมตร แล้วเดินย้อนกลับมำทำงซ้ำย 2 เมตร
2. เดินไปทำงขวำด้วยควำมเร็วคงที่ 3 เมตรต่อวินำที เป็นเวลำ 4 วินำที
3. เดินไปทำงซ้ำยด้วยควำมเร็วคงที่ 4 เมตรต่อวินำที เป็นเวลำ 3 วินำที
4. ทังสำมข้อมีขนำดกำรกระจัดเท่ำกัน
64. เด็กคนหนึ่งวิ่งไปทำงขวำ 20 เมตร ใช้เวลำ 4 วินำที จำกนันหันกลับหลังแล้ววิ่งอีก 2 เมตร ในเวลำ 1
วินำที เด็กคนนีมีควำมเร็วเฉลี่ยเท่ำใด
1. 3.5 เมตรต่อวินำที
2. 3.6 เมตรต่อวินำที
3. 6.0 เมตรต่อวินำที
4. 7.0 เมตรต่อวินำที
65. รถยนต์ A เริ่มเคลื่อนที่จำกหยุดนิ่งโดยควำมเร็วเพิ่มขึน 2 เมตร/วินำที ทุก 1 วินำที เมื่อสินวินำทีที่ 5
รถยนต์จะมีควำมเร็วเท่ำไร
1. 5 เมตร/วินำที 2. 10 เมตร/วินำที
3. 15 เมตร/วินำที 4. 20 เมตร/วินำที
66. ปล่อยวัตถุให้ตกลงมำในแนวดิ่ง เมื่อเวลำผ่ำนไป 4 วินำที วัตถุมีควำมเร่งเท่ำใด
1. 9.8 m/s2
2. 19.6 m/s2
3. 29.4 m/s2
4. 39.2 m/s2
67. วัตถุที่มีกำรเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ ขณะวัตถุอยู่บนจุดสูงสุด ข้อใดต่อไปนีถูกต้อง
1. ควำมเร็วของวัตถุมีค่ำเป็นศูนย์
2. ควำมเร่งของวัตถุมีค่ำเป็นศูนย์
3. ควำมเร็วของวัตถุในแนวดิ่งมีค่ำเป็นศูนย์
4. ควำมเร็วของวัตถุในแนวรำบมีค่ำเป็นศูนย์
68. ผูกเชือกเข้ำกับจุกยำงแล้วเหวี่ยงให้จุกยำงเคลื่อนที่เป็นวงกลมในแนวระดับเหนือศีรษะด้วยควำมเร็ว
คงตัว ข้อใดถูกต้อง
1. จุกยำงมีควำมเร็วคงตัว
2. จุกยำงมีควำมเร่งเป็นศูนย์
3. แรงที่กระทำต่อจุกยำงมีทิศเดียวกับควำมเร็วของจุกยำง
4. แรงที่กระทำต่อจุกยำงมีทิศทำงพุ่งเข้ำสู่ศูนย์กลำงของวงกลม
69. ผูกวัตถุด้วยเชือกแล้วเหวี่ยงให้เคลื่อนที่เป็นวงกลมในแนวระนำบดิ่ง ขณะที่วัตถุเคลื่อนที่มำถึงตำแหน่ง
สูงสุดของวงกลม แรงชนิดใดต่อไปนีที่ทำหน้ำที่เป็นแรงสู่ศูนย์กลำง
1. แรงตึงเชือก
2. นำหนักวัตถุ
3. แรงตึงเชือกกับนำหนักของวัตถุ
4. ตำแหน่งนันแรงสู่ศูนย์กลำงเป็นศูนย์
70. ข้อควำมใดถูกต้องเกี่ยวกับคำบของลูกตุ้มอย่ำงง่ำย
1. ไม่ขึนอยู่กับควำมยำวเชือก
2. ไม่ขึนอยู่กับมวลของลูกตุ้ม
3. ไม่ขึนอยู่กับแรงโน้มถ่วงของโลก
4. มีคำบเท่ำเดิมถ้ำแกว่งบนดวงจันทร์
71. ข้อใดต่อไปนีไม่ได้ทำให้วัตถุมีกำรเคลื่อนที่แบบฮำร์มอนิกอย่ำงง่ำย
1. แขวนลูกตุ้มด้วยเชือกในแนวดิ่งแล้วผลักลูกตุ้มให้แกว่งเป็นวงกลมแนวดิ่ง
2. แขวนลูกตุ้มด้วยเชือกในแนวดิ่ง ดึงลูกตุ้มออกมำจนเชือกทำมุมกับแนวดิ่งเล็กน้อยแล้วปล่อยมือ
3. ผูกวัตถุกับปลำยสปริงในแนวดิ่ง ตรึงอีกด้ำนของสปริงไว้ ดึงวัตถุให้สปริงยืดออกเล็กน้อยแล้ว
ปล่อยมือ
4. ผูกวัตถุกับปลำยสปริงในแนวระดับ ตรึงอีกด้ำนของสปริงไว้ ดึงวัตถุให้สปริงยืดออกเล็กน้อย แล้ว
ปล่อยมือ
72. จำกแผนภำพที่แสดงลักษณะของเส้นแรงแม่เหล็กที่เกิดจำกแท่งแม่เหล็กสองแท่งวำงใกล้กัน
A
C D
B
ข้อใดบอกถึงขัวของแม่เหล็กที่ตำแหน่ง A, B, C และ D ได้อย่ำงถูกต้อง
1. A และ C เป็นขัวเหนือ B และ D เป็นขัวใต้
2. A และ D เป็นขัวเหนือ B และ C เป็นขัวใต้
3. B และ D เป็นขัวเหนือ A และ C เป็นขัวใต้
4. B และ C เป็นขัวเหนือ A และ D เป็นขัวใต้
73. ข้อควำมใดต่อไปนีไม่ถูกต้อง
1. สนำมไฟฟ้ำเป็นปริมำณเวกเตอร์ และมีทิศทำงจำกประจุบวกไปประจุลบเสมอ
2. วัตถุที่เป็นฉนวนจะไม่ยอมให้ประจุไฟฟ้ำไหลผ่ำน แต่สำมำรถเกิดสนำมไฟฟ้ำได้ถ้ำถูกกระตุ้น
3. ประจุไฟฟ้ำชนิดเดียวกัน ถ้ำอยู่ใกล้กันจะออกแรงผลักกันและเคลื่อนที่ห่ำงกันไปเรื่อยๆ เป็นระยะ
อนันต์
4. ถ้ำนำวัตถุที่เป็นกลำงทำงไฟฟ้ำวำงคั่นกลำงระหว่ำงประจุบวกกับประจุลบ วัตถุนันจะไม่ส่งผลใดๆ
ต่อสนำมไฟฟ้ำของประจุบวกและประจุลบ
74. วำงอนุภำคอิเล็กตรอนลงในบริเวณซึ่งมีเฉพำะสนำมไฟฟ้ำที่มีทิศไปทำงขวำดังรูป อนุภำคอิเล็กตรอน
จะมีกำรเคลื่อนที่เป็นไปตำมข้อใด
1. เคลื่อนที่เป็นเส้นโค้งเบนขึนข้ำงบน
2. เคลื่อนที่เป็นเส้นโค้งเบนลงข้ำงล่ำง
3. เคลื่อนที่เป็นเส้นตรงขนำนกับสนำมไฟฟ้ำ ไปทำงขวำ
4. เคลื่อนที่เป็นเส้นตรงขนำนกับสนำมไฟฟ้ำ ไปทำงซ้ำย
75. วัตถุมวล 10 กิโลกรัม อยู่บนดวงจันทร์มีนำหนัก 16 นิวตัน อยำกทรำบว่ำสนำมโน้มถ่วงของดวงจันทร์
มีค่ำเท่ำใด
1. 1.6 m/s2
2. 3.2
m
s2
3. 6.4 m/s2
4. 9.6 m/s2
76. แรงระหว่ำงอนุภำคซึ่งอยู่ภำยในนิวเคลียร์จะประกอบด้วยแรงใดบ้ำง
1. แรงนิวเคลียร์เท่ำนัน
2. แรงนิวเคลียร์และแรงไฟฟ้ำ
3. แรงนิวเคลียร์และแรงดึงดูดระหว่ำงมวล
4. แรงนิวเคลียร์ แรงไฟฟ้ำ และแรงดึงดูดระหว่ำงมวล
77. คลื่นกลตำมยำวและคลื่นกลตำมขวำงถูกนิยำมขึนโดยดูจำกปัจจัยใดเป็นหลัก
1. ควำมยำวคลื่น
2. ประเภทของแหล่งกำเนิด
3. ทิศทำงกำรเคลื่อนที่ของคลื่น
4. ทิศทำงกำรสั่นของอนุภำคตัวกลำง
78. ข้อใดต่อไปนีถูกต้องเกี่ยวกับคลื่นตำมยำว
1. เป็นคลื่นที่เคลื่อนที่ไปตำมแนวยำวของตัวกลำง
2. เป็นคลื่นที่ไม่ต้องอำศัยตัวกลำงในกำรเคลื่อนที่
3. เป็นคลื่นที่อนุภำคของตัวกลำงมีกำรสั่นได้หลำยแนว
4. เป็นคลื่นที่อนุภำคของตัวกลำงมีกำรสั่นในแนวเดียวกับกำรเคลื่อนที่ของคลื่น
79. คลื่นวิทยุ FM มีควำมถี่ 88 เมกะเฮิรตซ์ คลื่นนีมีควำมยำวคลื่นเท่ำใด เมื่อกำหนดให้ควำมเร็วของ
คลื่นวิทยุ FM ขณะนันมีค่ำเท่ำกับ 3.0 x 108
เมตร/วินำที
1. 3.0 เมตร 2. 3.4 เมตร
3. 6.0 เมตร 4. 6.8 เมตร
80. วัสดุที่ใช้ในกำรบุผนังโรงภำพยนตร์มีผลในกำรลดปรำกฏกำรณ์ใดของเสียง
1. กำรหักเห 2. ดอพเพลอร์
3. กำรสั่นพ้อง 4. กำรสะท้อน
81. ในกำรทดลองเพื่อสังเกตผลของสิ่งกีดขวำงเมื่อคลื่นเคลื่อนที่ผ่ำน เป็นกำรศึกษำสมบัติตำมข้อใดของคลื่น
1. กำรหักเห 2. กำรเลียวเบน
3. กำรสะท้อน 4. กำรแทรกสอด
82. สมบัติตำมข้อใดของคลื่นเสียงที่เกี่ยวข้องกับกำรเกิดบีตส์
1. กำรสะท้อน 2. กำรหักเห
3. กำรเลียวเบน 4. กำรแทรกสอด
83. เหตุใดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำจึงเป็นคลื่นตำมขวำง
1. เพรำะสนำมแม่เหล็กมีทิศตังฉำกกับสนำมไฟฟ้ำ
2. เพรำะสนำมไฟ้ฟ้ำและสนำมแม่เหล็กมีทิศตรงข้ำมกับทิศกำรเคลื่อนที่ของคลื่น
3. เพรำะสนำมไฟฟ้ำและสนำมแม่เหล็กมีทิศตังฉำกกับทิศกำรเคลื่อนที่ของคลื่น
4. เพรำะสนำมไฟฟ้ำและสนำมแม่เหล็กมีทิศเดียวกันกับทิศกำรเคลื่อนที่ของคลื่น
84. คลื่นใดในข้อต่อไปนีที่มีควำมยำวคลื่นสันที่สุด
1. คลื่นวิทยุ 2. คลื่นอินฟรำเรด
3. คลื่นไมโครเวฟ 4. คลื่นแสงที่ตำมองเห็น
85. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำ
1. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำทุกชนิดมีอัตรำเร็วในสุญญำกำศเท่ำกัน
2. มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำบำงชนิดต้องอำศัยตัวกลำงในกำรเดินทำง
3. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำเป็นคลื่นที่มีทังสนำมไฟฟ้ำและสนำมแม่เหล็ก
4. เมื่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำเดินทำงในตัวกลำงที่เปลี่ยนไป อัตรำเร็วของคลื่นจะเปลี่ยนไป
86. ธำตุในข้อใดที่เป็นไอโซโทปกับธำตุที่มีสัญลักษณ์เป็น A5
11
1. B5
12
2. B6
12
3. B5
11
4. B6
11
87. ถ้ำรังสีแกมมำพุ่งเขำไปในบริเวณที่มีสนำมแม่เหล็กซึ่งมีทิศตังฉำกกับกำรเคลื่อนที่ของรังสี ภำยใน
สนำมแม่เหล็กดังกล่ำว รังสีแกมมำมีแนวทำงกำรเคลื่อนที่เป็นไปตำมข้อใด
1. เบนไปด้ำนข้ำง 2. เคลื่อนที่เป็นวงกลม
3. เคลื่อนที่ในแนวทำงเดิม 4. ย้อนกลับทำงเดิม
88. ข้อใดต่อไปนีถูกต้องเกี่ยวกับรังสีแอลฟำ รังสีบีตำ และรังสีแกมมำ
1. รังสีแอลฟำมีประจุ+4
2. รังสีแกมมำมีอำนำจทะลุทะลวงสูงที่สุด
3. รังสีแอลฟำมีมวลมำกที่สุดและอำนำจทะลุทะลวงมำกที่สุด
4. รังสีบีตำมีมวลน้อยที่สุดและมีอำนำจกำรทะลุทะลวงต่ำที่สุด
89. นิวเคลียสของเรเดียม -226 มีกำรสลำยตัว ดังสมกำร
Ra88
226
→ Rn86
222
+ x
จำกสมกำร x คืออะไร
1. รังสีแกมมำ 2. อนุภำคบีตำ
3. อนุภำคแอลฟำ 4. อนุภำคนิวตรอน
90. ไอโซโทปกัมมันตรังสีของธำตุไอโอดีน -128 มีครึ่งชีวิต 25 นำที ถ้ำมีไอโอดีน -128 ทังหมด 256 กรัม
จะใช้เวลำเท่ำไรจึงจะเหลือไอโอดีน -128 อยู่ 32 กรัม
1. 0 ชั่วโมง 50 นำที 2. 1 ชั่วโมง 15 นำที
3. 2 ชั่วโมง 30 นำที 4. 3 ชั่วโมง 20 นำที
91. รังสีใดที่ใช้สำหรับฆ่ำเชือโรคในเครื่องมือทำงกำรแพทย์
1. รังสีบีตำ 2. รังสีแอลฟำ
3. รังสีแกมมำ 4. รังสีอินฟรำเรด
92. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับปฏิกิริยำนิวเคลียร์ฟิวชัน
1. เป็นปฏิกิริยำที่เกิดในอุณหภูมิต่ำ
2. เกิดจำกกำรหลอมรวมกันของดิวเทอเรียมเท่ำนัน
3. เกิดจำกนิวเคลียสของธำตุเบำหลอมรวมกันเป็นธำตุหนัก
4. เกิดจำกนิวเคลียสของธำตุหนักแตกตัวออกมำเป็นธำตุเบำ
93. ข้อควำมใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับโลก
1. ภำยในโลกมีควำมร้อนและอุณหภูมิสูงมำก
2. เปลือกโลกเป็นชันที่บำงที่สุดและมีควำมหนำสม่ำเสมอ
3. โครงสร้ำงภำยในโลก แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ เปลือกโลก เนือโลก และแก่นโลก
4. สัณฐำนของโลกมีรูปร่ำงกลมรี เส้นผ่ำนศูนย์กลำงในแนวนอนยำวกว่ำเส้นผ่ำนศูนย์กลำงในแนวดิ่ง
94. เมื่อเปลือกโลกภำคพืนทวีปกับเปลือกโลกภำคพืนมหำสมุทรชนกัน จะเกิดเหตุกำรณ์ลักษณะใด
1. ทังเปลือกโลกภำคพืนทวีปและเปลือกโลกภำคพืนมหำสมุทรจะยกตัวขึน
2. ทังเปลือกโลกภำคพืนทวีปและเปลือกโลกภำคพืนมหำสมุทรจะจมตัวลง
3. เปลือกโลกภำคพืนทวีปจะถูกยกตัวขึน ส่วนเปลือกโลกภำคพืนมหำสมุทรจะจมลง
4. เปลือกโลกภำคพืนทวีปจะจมลง ส่วนเปลือกโลกภำคพืนมหำสมุทรจะถูกยกตัวขึน
95. สำเหตุใดที่ทำให้แผ่นธรณีภำคมีกำรเคลื่อนที่
1. กำรหมุนรอบตัวเองของโลก
2. หินบนเปลือกโลกเกิดกำรทรุดตัว
3. กำรเคลื่อนที่ของหินหนืดในชันเนือโลก
4. กำรปรับสมดุลเพื่อระบำยควำมร้อนภำยในโลก
96. หลักฐำนใดไม่ได้สนับสนุนทฤษฎีกำรเลื่อนไหลของทวีป
1. ฟอสซิลของทวีปที่ต่อกันมีลักษณะเหมือนกัน
2. ทวีปต่ำงๆ ในปัจจุบันสำมำรถนำมำต่อกันได้อย่ำงพอดี
3. ลักษณะของคนชำวอเมริกำใต้กับคนชำวอเมริกำเหนือคล้ำยกัน
4. หินในบริเวณขอบของทวีปที่ต่อกันเป็นชนิดเดียวกัน และเกิดในยุคใกล้เคียงกัน
97. แผ่นดินไหวที่รู้สึกได้ในประเทศไทย มักจะมีศูนย์เกิดแผ่นดินไหวอยู่ในประเทศใด
1. ลำว 2. พม่ำ
3. เวียดนำม 4. อินโดนีเซีย
98. ผลจำกเหตุกำรณ์ในข้อใดไม่ได้เป็นสำเหตุให้เกิดแผ่นดินไหว
1. กำรทดลองระเบิดปรมำณูใต้ดิน
2. กำรปะทุของภูเขำไฟอย่ำงรุนแรง
3. กำรผุพังทำงเคมีของเปลือกโลก
4. กำรเคลื่อนที่เข้ำชนกันของแผ่นเปลือกโลก
99. บริเวณใดที่มีโอกำสเกิดภูเขำไฟมำกที่สุด
1. แนวเทือกเขำกลำงมหำสมุทร
2. แนวรอยต่อของแผ่นธรณีภำค
3. บริเวณกลำงของแผ่นธรณีภำค
4. บริเวณที่มีกำรมุดตัวของแผ่นธรณีภำค
100. ซำกดึกดำบรรพ์ดัชนี จะต้องมีควำมเด่นชัดในข้อใดมำกที่สุด
1. สี 2. ขนำด
3. รูปร่ำง 4. ช่วงอำยุ
101. วิธีกำรในข้อใดที่ไม่สำมำรถบอกอำยุของซำกดึกดำบรรพ์ไดโนเสำร์ได้
1. กำรใช้ซำกดึกดำบรรพดัชนี
2. กำรเปรียบเทียบอำยุกับชันหินที่พบซำกนัน
3. กำรวิเครำะห์ปริมำณยูเรเนียมในซำกดึกดำบรรพ์
4. กำรวิเครำะห์ปริมำณคำร์บอน-14 ในซำกดึกดำบรรพ์
102. ภำคใดของประเทศไทยที่มีกำรค้นพบซำกไดโนเสำร์มำกที่สุด
1. ภำคใต้ 2. ภำคเหนือ
3. ภำคกลำง 4. ภำคตะวันออกเฉียงเหนือ
103. ข้อใดต่อไปนีกล่ำวได้ถูกต้องเกี่ยวกับเอกภพ
1. เอกภพมีขนำดใหญ่กว่ำระบบสุริยะแต่มีขนำดเล็กกว่ำกำแล็กซี
2. กำรขยำยตัวของเอกภพมีผลทำให้กำรแล็กซี่เคลื่อนเข้ำใกล้กันมำกขึน
3. เอกภพเกิดจำกกำรระเบิดครังใหญ่ที่เรียกว่ำ บิกแบง ทำให้อนุภำคและพลังงำนแผ่กระจำยออกไป
4. พลังงำนควำมร้อนที่ลดลงหลังจำกกำรเกิดบิกแบง ทำให้เกิดอนุภำคมูลฐำนต่ำงๆ ได้แก่ อิเล็กตรอน
โปรตอน และนิวตรอน
104. เอ็ดวิน ฮับเบิล ได้ศึกษำเกี่ยวกับเรื่องในข้อใดที่ทำให้พบว่ำเอกภพมีกำรขยำยตัว
1. กำรสังเกตกำรเคลื่อนที่ของดำวฤกษ์ โดยใช้กำรวัดสเปกตรัม
2. กำรสร้ำงสมกำรเพื่อแก้ไขข้อผิดพลำดของทฤษฎีสัมพัทธภำพ
3. ศึกษำโครงสร้ำงของกำแล็กซี ว่ำประกอบด้วยดำวฤกษ์จำนวนมำก
4. กำรวัดกำรเลื่อนตำแหน่งของสเปกตรัมจำกกำแล็กซี เทียบกับระยะห่ำงจำกโลก
105. ข้อใดเป็นกำรเรียงลำดับระบบจำกเล็กไปใหญ่
1. ระบบสุริยะ กระจุกดำว ดำรำจักร เอกภพ
2. ระบบสุริยะ ดำรำจักร กระจุกดำว เอกภพ
3. ดำรำจักร กระจุกดำว เอกภพ กระจุกดำรำจักร
4. กระจุกดำว ดำรำจักร เอกภพ กระจุกดำรำจักร
106. ทำงช้ำงเผือกเป็นดำรำจักร (Galaxy) ที่มีรูปร่ำงแบบใด
1. วงรี 2. รูปร่ำงไม่แน่นอน
3. ก้นหอยหรือกังหัน 4. ก้นหอยหรือกังหันแบบมีแกน
107. เพรำะเหตุใดดำวเครำะห์ถึงโคจรรอบดวงอำทิตย์
ก. เพรำะดวงอำทิตย์มีแรงดึงดูดระหว่ำงมวลแก่ดำวเครำะห์
ข. เพรำะดำวเครำะห์ถูกดวงอำทิตย์ดึงดูดเอำไว้ด้วยแรงทำงไฟฟ้ำ
ค. เพรำะดำวเครำะห์ภำยในระบบสุริยะอยู่ภำยใต้สนำมโน้มถ่วงของดวงอำทิตย์
ข้อใดกล่ำวถูกต้อง
1. ก. และ ข. 2. ก. และ ค.
3. ก. เท่ำนัน 4. ข. เท่ำนัน
108. แรงในข้อใดต่อไปนีเป็นปัจจัยทำให้กลุ่มหมอกแก๊สเกิดกำรยุบตัวเพื่อเป็นดำว
1. แรงโน้มถ่วง 2. แรงนิวเคลียร์
3. แรงสู่ศูนย์กลำง 4. แรงแม่เหล็กไฟฟ้ำ
109. ข้อใดเรียงลำดับกำรสินสุดของดำวฤกษ์ได้ถูกต้อง
1. ดำวฤกษ์ที่มีขนำดใหญ่ ⟶ ดำวยักษ์แดง ⟶ หลุมดำ
2. ดำวฤกษ์ที่มีขนำดใหญ่ ⟶ ซูเปอร์โนวำ ⟶ ดำวยักษ์แดง
3. ดำวฤกษ์ที่มีขนำดเล็ก ⟶ ซูเปอร์โนวำ ⟶ ดำวนิวตรอน
4. ดำวฤกษ์ที่มีขนำดเล็ก ⟶ ดำวยักษ์แดง ⟶ ดำวแคระขำว
110. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับอันดับควำมสว่ำง
1. มีค่ำเป็นบวกเท่ำนัน
2. ค่ำมำกแสดงว่ำสว่ำงมำก
3. เป็นปริมำณที่ไม่มีหน่วย
4. ค่ำเป็นศูนย์แสดงว่ำไม่มีแสงในตัวเอง
111. กำรสินสุดของดำวฤกษ์ขึนอยู่กับสิ่งใด
1. สี 2. มวล
3. อุณหภูมิ 4. องค์ประกอบทำงเคมี
112. ดำวฤกษ์ในข้อใดต่อไปนีที่มีอุณหภูมิผิวสูงสุด
1. ดำวที่มีสีส้ม 2. ดำวที่มีสีแดง
3. ดำวที่มีสีเหลือง 4. ดำวที่มีสีส้มแดง
113. กำรโครจรของดำวเทียมเกี่ยวข้องกับแรงชนิดใด
1. แรงพยุง 2. แรงเสียดทำน
3. แรงโน้มถ่วงของโลก 4. แรงกิริยำและแรงปฏิกิริยำ
114. แรงดึงดูดระหว่ำงวัตถุ 2 ชนิด จะมีค่ำมำกหรือน้อยขึนอยู่กับสิ่งใด
1. มวลของวัตถุและชนิดของวัตถุ
2. มวลของวัตถุและระยะห่ำงระหว่ำงวัตถุ
3. ชนิดของวัตถุและระยะห่ำงระหว่ำงวัตถุ
4. มวลของวัตถุ ชนิดของวัตถุ และระยะห่ำงระหว่ำงวัตถุ
115. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับกำรโคจรของดำวเทียม
1. กำรส่งดำวเทียมขึนไปสู่วงโคจรจะต้องใช้จรวดเป็นตัวนำส่ง
2. จรวดที่ใช้นำส่งดำวเทียมจะมี 3 ท่อน เมื่อท่อนใดใช้พลังงำนหมดก็จะถูกสลัดทิงไป
3. ดำวเทียมที่โคจรอยู่ใกล้โลกจะโคจรด้วยควำมเร็วมำกกว่ำดำวเทียมที่โคจรอยู่ห่ำงจำกโลก
4. กำรโคจรของดำวเทียมต้องมีแรงสู่ศูนย์กลำงน้อยกว่ำแรงหนีศูนย์กลำง ดำวเทียมจึงจะโคจรได้
116. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ที่ได้รับจำกเทคโนโลยีสำรวจระยะไกล
1. ใช้ในกำรพยำกรณ์อำกำศ
2. ใช้ในกำรเตือนภัยธรรมชำติ
3. ใช้ในกำรสำรวจทิศทำงในกำรเดินทำง
4. ใช้ในกำรสำรวจกำรใช้ประโยชน์ของที่ดิน
117. ดำวเทียมสำรวจทรัพยำกรธรรมชำติดวงแรกของประเทศไทย ที่ถูกส่งขึนสู่วงโคจรเมื่อวันที่ 1 ตุลำคม
พ.ศ. 2551 ชื่ออะไร
1. ธีออส 2. ไทยคม 4
3. แลนเซท 4. ไทยคม 1A
118. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของดำวเทียมที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
1. รวมพลังงำนแสงอำทิตย์แล้วส่งมำยังโลก
2. กำหนดพิกัดของตำแหน่งต่ำงๆ บนพืนโลก
3. ค้นหำแหล่งทรัพยำกรที่มีค่ำ เช่น ทองคำ นำมัน
4. ช่วยเตือนภัยเกี่ยวกับภัยธรรมชำติ เช่น นำท่วม พำยุ
119. ข้อใดต่อไปนีไม่ใช่ผลจำกเทคโนโลยีอวกำศ
1. แผนที่กูเกิล (Google Maps)
2. เครื่องไซสโมกรำฟ (Seismo-graph)
3. ภำพถ่ำยเมฆที่ใช้ในข่ำวพยำกรณ์อำกำศ
4. กำรถ่ำยทอดสดฟุตบอลโลกจำกประเทศแอฟริกำใต้
120. กำรส่งยำนอวกำศด้วยยำนขนส่งอวกำศมีคุณสมบัติเด่นอย่ำงไร
1. นำหนักเบำ 2. เคลื่อนที่ได้เร็ว
3. ประหยัดพลังงำน 4. สำมำรถนำกลับมำใช้ใหม่ได้
ชุดที่ 2 ข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์ 2552
มัธยมศึกษาตอนปลาย
ส่วนที่ 1 : แบบระบำยตัวเลือก แต่ละข้อมีคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว
ข้อ 1-68 : ข้อละ 1 คะแนน
1. เซลล์ที่มีส่วนประกอบดังต่อไปนี : ดีเอ็นเอ ไรโบโซม เยื่อหุ้มเซลล์ เอนไซม์ และไมโทคอนเดรีย
เป็นเซลล์ของสิ่งมีชีวิตในข้อใด
1. แบคทีเรีย 2. พืชเท่ำนัน
3. สัตว์เท่ำนัน 4. อำจเป็นได้ทังพืชหรือสัตว์
2. กระบวนกำรใดไม่พบในกระบวนกำรดูดนำกลับที่ท่อหน่วยไต
1. กำรแพร่ 2. ออสโมซิส
3. เอนโดไซโทซิส 4. กำรลำเลียงแบบใช้พลังงำน
3. เหตุใดผู้ดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์จึงมักปัสสำวะบ่อยกว่ำปกติ
1. ไตทำงำนอย่ำงมีประสิทธิภำพสูงขึน
2. กำรหลั่งฮอร์โมนวำโซเปรสซินลดลง
3. แอลกอฮอล์เป็นพิษต่อร่ำงกำย จึงถูกกำจัดทิงอย่ำงรวดเร็ว
4. ร่ำงกำยควบคุมกำรทำงำนของกล้ำมเนือกระเพำะปัสสำวะไม่ได้
4. กำรดื่มนำส้มเป็นปริมำณมำก ทำให้เลือดมีสภำวะเป็นกรดจริงหรือไม่ เพรำะเหตุใด
1. เป็นกรดจริง เพรำะวิตำมินซีละลำยนำได้
2. เป็นกรดจริง เพรำะนำส้มมีรสเปรียวและมีปริมำณกรดสูง
3. ไม่เป็นกรด เพรำะเลือดมีสมบัติเป็นสำรละลำยบัฟเฟอร์
4. ไม่เป็นกรด เพรำะร่ำงกำยจะได้รับอันตรำยได้หำกเลือดมีสภำวะเป็นกรด
5. วิธีกำรในข้อใดที่ใช้ควบคุมโรคไวรัสในพืชได้ผลดีที่สุด
1. กำรเผำทำลำยพืช 2. กำรฉีดวัคซีน
3. กำรใช้ยำปฏิชีวนะ 4. กำรเพิ่มไนโตรเจนในดิน
6. เมื่อเชือโรคเข้ำสู่ร่ำงกำยคน ร่ำงกำยจะมีปฏิกิริยำตอบสนองโดยสร้ำงสำรใดมำต่อสู้
1. ซีรุ่ม 2. แอนติเจน
3. ทอกซอยด์ 4. แอนติบอดี
ปีการศึกษา
7. เมื่อหยดนำเกลือลงบนสไลด์ที่มีใบสำหร่ำยหำงกระรอกอยู่ จะสังเกตเห็นกำรเปลี่ยนแปลงของเซลล์
คล้ำยกับที่เกิดขึนเมื่อหยดสำรใดมำกที่สุดและเกิดเร็วที่สุด
1. นำกลั่น 2. นำเชื่อม
3. นำนมสด 4. แอลกอฮอล์
8. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับดีเอ็นเอ
1. ดีเอ็นเอพบได้ในคลอโรพลำสต์
2. ดีเอ็นเอทำหน้ำที่กำหนดชนิดของโปรตีน
3. สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีปริมำณดีเอ็นเอไม่เท่ำกัน
4. ไนโตรเจนเบสชนิดกวำนีนและไซโทซีนจะจับคู่กันด้วยพันธะคู่เสมอ
9. ถ้ำพ่อมีหมู่เลือด B แม่มีหมู่เลือด A และมีลูกชำยที่มีหมู่เลือด O โอกำสที่จะได้ลูกสำวที่มีหมู่เลือด O
เป็นเท่ำใด
1. 1/2 2. 1/4
3. 1/8 4. 1/16
10. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคธำลัสซีเมีย
1. เป็นโรคโลหิตจำงชนิดหนึ่ง
2. ผู้ป่วยเป็นโรคธำลัสซีเมียควรหลีกเลี่ยงอำหำรที่มีธำตุเหล็กสูง
3. เป็นโรคที่เกิดจำกควำมผิดปกติของยีนที่ควบคุมกำรสร้ำงโกลบิน
4. ผู้ที่ได้รับแอลลีลผิดปกติจำกพ่อหรือแม่เพียงฝ่ำยเดียวมีโอกำสเป็นโรคได้
11. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับมิวเทชัน
1. มีอัตรำกำรเกิดได้สูงตำมธรรมชำติ
2. เกิดได้ทังระดับโครโมโซมและดีเอ็นเอ
3. เกิดขึนได้เฉพำะในเซลล์ที่กำลังแบ่งตัว
4. มิวเทชันในเซลล์ทุกชนิดสำมำรถถ่ำยทอดไปยังรุ่นลูกหลำนได้
12. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับกำรโคลน
1. ได้สัตว์ตัวใหม่ที่มีเพศเดียวกับสัตว์ต้นแบบ
2. เป็นกำรสร้ำงสัตว์ตัวใหม่โดยไม่ต้องอำศัยเซลล์สืบพันธุ์
3. แฝดเหมือนคือตัวอย่ำงของกำรโคลนที่เกิดขึนตำมธรรมชำติ
4. แกะดอลลีเกิดจำกกำรโคลนโดยใช้เซลล์บริเวณเต้ำนมเป็นต้นแบบ
13. ข้อใดจัดเป็นสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม
1. แตงโมไม่มีเมล็ด
2. กล้วยไม้ที่ได้จำกกำรเพำะเลียงเนือเยื่อ
3. แบคทีเรียที่สำมำรถผลิตฮอร์โมนอินซูลิน
4. กล้วยไม้พันธุ์ใหม่ที่ได้จำกกำรฉำยรังสีแกมมำ
14. หลักฐำนในข้อใดที่ไม่สำมำรถใช้ตรวจหำฆำตกรโดยใช้ลำยพิมพ์ดีเอ็นเอ
1. เส้นผม 2. ลำยนิวมือ
3. ครำบอสุจิ 4. ครำบเลือด
15. ในระบบนิเวศซึ่งประกอบด้วย เหยี่ยว งู กระรอก หญ้ำ และตั๊กแตน สิ่งมีชีวิตในข้อใดมีมวลชีวภำพ
น้อยที่สุด
1. งู 2. เหยี่ยว
3. หญ้ำ 4. กระรอกและตั๊กแตน
16. กระบวนกำรเปลี่ยนแปลงแทนที่แบบใดนำไปสู่กำรเกิดระบบนิเวศหลังจำกกำรระเบิดของภูเขำไฟ
บนเกำะหนึ่ง
1. แบบปฐมภูมิ 2. แบบทุติยภูมิ
3. แบบตติยภูมิ 4. แบบจตุรภูมิ
17. ข้อใดไม่นับว่ำเป็นส่วนหนึ่งของควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพ
1. ควำมหลำกหลำยของสปีชีส์
2. ควำมหลำกหลำยของพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิต
3. ควำมหลำกหลำยของแหล่งที่อยู่ของสิ่งมีชีวิต
4. ควำมหลำกหลำยของสำรเคมีต่ำงๆ รอบสิ่งมีชีวิต
18. ทรัพยำกรที่เกิดขึนทดแทนใหม่ได้ในข้อใดที่มนุษย์นำมำใช้ประโยชน์มำกที่สุดในปัจจุบัน
1. พลังงำนนำ 2. พลังงำนลม
3. พลังงำนจำกคลื่น 4. พลังงำนแสงอำทิตย์
19. เมื่อมีสำรประกอบไนเตรตและฟอสเฟตสะสมอยู่ในแหล่งนำเป็นปริมำณมำกปรำกฏกำรณ์ใดจะเกิดขึน
เป็นอันดับแรก
1. ปริมำณแพลงตอนสัตว์จะเพิ่มขึน
2. จำนวนของแพลงตอนพืช สำหร่ำย และพืชนำจะเพิ่มขึน
3. สำรพิษตกค้ำง เช่น สำรกำจัดแมลง จะมีปริมำณกำรสะสมสูงขึน
4. ปริมำณสัตว์นำ เช่น ปลำ สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอื่นๆ จะเพิ่มขึน
20. สัตว์ป่ำในข้อใดมีสถำนภำพปัจจุบันแตกต่ำงไปจำกข้ออื่นทังหมด
1. พะยูน ช้ำง
2. ควำยป่ำ กระทิง วัวแดง
3. นกเจ้ำฟ้ำหญิงสิรินธร กูปรี
4. นกแต้วแล้วท้องดำ เลียงผำ
ตารางธาตุ
H He
Li Be B C N O F Ne
Na Mg Al Si P S Cl Ar
K Ca Sc Ti V Cr Mn Fe Co Ni Cu Zn Ga Ge As Se Br Kr
Rb Sr Y Zr Nb Mo Tc Ru Rh Pd Ag Cd In Sn Sb Te I Xe
Cs Ba * Hf Ta W Re Os Ir Pt Au Hg Tl Pb Bi Po At Rn
Fr Ra ** Rf Db Sg Bh Hs Mt Ds Rg Uub Uut Uuq Uup Uuh Uus Uuo
*Lanthanides La Ce Pr Nd Pm Sm Eu Gd Tb Dy Ho Er Tm Yb Lu
**Actinides Ac Th Pa U Np Pu Am Cm Bk Cf Es Fm Md No Lr
21. ข้อควำมใดไม่ถูกต้อง
1. กรดไรโบนิวคลีอิกทำหน้ำที่ในกำรสร้ำงโปรตีน
2. คำร์โบไฮเดรตช่วยให้กำรเผำไหม้ไขมันเป็นไปอย่ำงสมบูรณ์
3. ปฏิกิริยำกำรเตรียมสบู่จำกนำมันเรียกว่ำ “สะปอนนิฟิเคชัน (saponification)”
4. โปรตีนเป็นแหล่งพลังงำนขันแรกของร่ำงกำยโดยโปรตีน 1 กรัม ให้พลังงำน
4 กิโลแคลอรี
22. กำรทดสอบสำร ก สำร ข สำร ค และ สำร ง ได้ผล ดังนี
 หมำยถึง ละลำยในนำหรือให้สีนำเงินกับไอโอดีน หรือเกิดตะกอนสีแดงอิฐกับสำรละลำยเบเนดิกต์
 หมำยถึง ไม่เปลี่ยนแปลง
การทดสอบ
สาร
ก ข ค ง
กำรละลำยนำ    
สำรละลำยไอโอดีน    
สำรละลำยเบเนดิกต์    
HCI ตำมด้วยสำรละลำยเบเนดิกต์    
สำร ก สำร ข สำร ค และ สำร ง ควรเป็นสำรใดตำมลำดับ
1. แป้งข้ำวโพด นำเชื่อม ใยไหม กลูโคส
2. แป้งผัดหน้ำ ฟรักโทส ใยสำลี นำตำลทรำย
3. แป้งข้ำวเจ้ำ นำตำลทรำย ใยบวบ ฟรักโทส
4. แป้งสำลี แอสพำร์แทม ใยแมงมุม กลูโคส
23. ปริมำณของไขมันอิ่มตัว ไขมันไม่อิ่มตัว และสำรอื่น ๆ ในนำมันเป็นดังตำรำง
ชนิดน้ามัน/ไขมัน ไขมันอิ่มตัว (%) ไขมันไม่อิ่มตัว (%) อื่นๆ (%)
นำมันถั่วเหลือง 15 52 33
นำมันมะพร้ำว 86 0 14
นำมันไก่ 23 24 53
ไขมันวัว 48 2 50
ข้อใดสรุปได้ถูกต้อง
1. ไขมันวัวจะเหม็นหืนเร็วกว่ำนำมันไก่
2. นำมันถั่วเหลืองเหม็นหืนช้ำกว่ำนำมันมะพร้ำว
3. นำมันถั่วเหลืองเหมำะสำหรับทอดอำหำรมำกกว่ำนำมันมะพร้ำว
4. ถ้ำใช้นำมันที่มีจำนวนเท่ำกัน นำมันถั่วเหลืองจะทำปฏิกิริยำกับไอโอดีนโดยใช้ปริมำณมำกที่สุด
24. กำหนดโครงสร้ำงของกรดอะมิโน A, B และ C โดย A และ B เป็นกรดอะมิโนจำเป็น
ข้อควำมใดถูกต้อง
1. เพปไทด์ที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนทัง 3 ชนิด ข้ำงต้นโดยไม่มีกรดที่ซำกัน มีทังหมด 3 ชนิด
2. เพปไทด์ที่เกิดจำกกรด A และกรด B ทำปฏิกิริยำกับ CuSO4 ในสภำวะเบสให้สำรสีม่วง
3. เพปไทด์ที่เกิดจำกกรด A กรด B และกรด C เป็นไตรเพปไทด์ที่มีจำนวนพันธะเพปไทด์ 3 พันธะ
4. ในร่ำงกำยมนุษย์จะไม่พบโปรตีนที่มีกรดอะมิโน A และ B เป็นองค์ประกอบ
25. กำหนดสำย X ของกรดดีออกซีไรโบนิวคลีอิกชนิดหนึ่งมีลำดับของเบส ดังนี
(A = อะดีนีน, C = ไซโตซีน, G = กวำนีน, T = ไทมีน)
TGTAG C A
XX
สำย Y ที่เป็นคู่ของสำย X จะมีลำดับเบสเป็นไปตำมข้อใด
1.
A C A T CGT
Y Y
2.
T C A G TAC
Y Y
3.
A C T C ATC
Y Y
4.
A G T A CGT
Y Y
26. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับสมบัติของตัวทำละลำยในอุตสำหกรรมเคมีที่ได้จำกกำรกลั่นปิโตรเลียม
1. มีจุดเดือดสูงกว่ำนำมันดีเซล
2. เป็นสำรไฮโดรคำร์บอนที่ละลำยนำได้
3. มีสถำนะเป็นของเหลวที่อุณหภูมิและควำมดันปกติ
4. ประกอบด้วยสำรไฮโดรคำร์บอนที่มีจำนวนคำร์บอนน้อยกว่ำ 5 อะตอม
27. เมื่อนำยำงชนิดหนึ่งที่มีสมบัติยืดหยุ่นมำเผำไฟ พบว่ำเกิดแก๊สที่ละลำยนำแล้วได้สำรละลำยที่มีฤทธิ์
เป็นกรด ชนิดของยำงและแก๊สที่เกิดขึนเป็นข้อใด
1.
2.
3.
4.
28. ข้อใดไม่มีปฏิกิริยำเคมีเกิดขึน
1. กำรเคียวข้ำวก่อนกลืน
2. กำรฟอกสบู่ในนำกระด้ำง
3. กำรทำเล็กเกอร์เคลือบผิวไม้
4. กำรผสมกลีเซอรอลกับเอทำนอล
29. ไฮโดรเจนเป็นแก๊สที่เบำที่สุด ใช้ทำให้บอลลูนลอยตัวขึนในอำกำศได้ แต่ในทำงปฏิบัติจะใช้แก๊สฮีเลียม
ซึ่งหนักกว่ำ เพรำะเหตุผลหลักตำมข้อใด
1. แก๊สไฮโดรเจนติดไฟได้ง่ำย
2. แก๊สไฮโดรเจนมีรำคำแพงกว่ำแก๊สฮีเลียม
3. ต้องใช้แก๊สไฮโดรเจนปริมำณมำกกว่ำกำรใช้ฮีเลียม
4. ฮีเลียมแยกได้จำกธรรมชำติ แต่แก๊สไฮโดรเจนต้องผ่ำนกระบวนกำรผลิต
30. ข้อใดระบุชนิดของแก๊สและกรดที่เกิดจำกกำรนำแก๊สนันไปละลำยในนำได้ถูกต้อง
1. อีเทน – กรดนำส้ม
2. คลอรีน – กรดเกลือ
3. ไนโตรเจน – กรดไนตริก
4. ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ – กรดซัลฟิวริก
31. เมื่อนำสำร A มำเผำในบรรยำกำศออกซิเจน O2 (g) จะได้ไอนำ H2 O (g) และแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์
CO2 (g)
สำร A ในปฏิกิริยำข้ำงต้นไม่ใช่สำรใดในข้อต่อไปนี
1. แก๊สไฮโดรเจน 2. แก๊สโซฮอล์
3. แก๊สบิวเทน 4. แก๊สธรรมชำติ
ชนิดของยาง ควันที่เกิดจากการเผา
ซิลิโคน SiO2
ยำงวัลคำไนซ์ SO2
พอลิไวนิลแอซีเตท HCI
ไนลอน 66 NH3
32. สำรละลำย X, Y และ Z ต่ำงก็เป็นสำรละลำยใสที่ไม่มีสี เมื่อนำแต่ละชนิดที่มีควำมเข้มข้นและปริมำณ
เท่ำกัน มำผสมกันที่อุณหภูมิเป็น 25o
C ได้ผลดังตำรำง
การผสมสารละลาย อุณหภูมิหลังผสม (o
C) สิ่งที่สังเกตเห็น
X กับ Y 24 สำรละลำยสีฟ้ำ
Y กับ Z 25 ใส ไม่มีสี
ข้อสรุปใดไม่ถูกต้อง
1. X กับ Y เกิดปฏิกิริยำคำยควำมร้อน
2. Y กับ Z เป็นสำรละลำยชนิดเดียวกัน
3. Y กับ Z ทำปฏิกิริยำโดยไม่คำยควำมร้อน
4. Y กับ Z เป็นสำรละลำยต่ำงชนิดที่ไม่ทำปฏิกิริยำกัน
33. ข้อใดกล่ำวได้ถูกต้อง
1. สบู่ กำจัดไขมันได้เพรำะละลำยในนำแต่ไม่ละลำยนำมัน
2. กำรผสมยำลดกรดในกระเพำะลงในนำแล้วเกิดแก๊ส แสดงว่ำมีปฏิกิริยำเกิดขึน
3. กำรต้มนำนมจะทำให้โปรตีนแปลงสภำพ ซึ่งจะกลับสู่สภำพเดิมได้เมื่อเย็นลง
4. แบตเตอรี่รถยนต์ที่ใช้แผ่นตะกั่วและกรดซัลฟิวริก เมื่อใช้งำนแผ่นตะกั่วจะทำหน้ำที่เป็นตัวเร่ง
ปฏิกิริยำ เพรำะเมื่อใช้งำนเสร็จแล้วแผ่นตะกั่วไม่เปลี่ยนแปลง
34. ข้อใดที่แสดงว่ำผิวสัมผัสมีผลต่ออัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำ
1. กระดำษฝอยติดไฟได้เร็วกว่ำแผ่นกระดำษ
2. แผ่นสังกะสีปกติทำปฏิกิริยำกับกรดไฮโดรคลอริกได้ช้ำกว่ำแผ่นสังกะสีที่มีลวดทองแดงพันอยู่
3. เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ใช้เชือเพลิงยูเรเนียมที่เป็นแท่งยำวทำให้มีอำยุกำรใช้งำนนำนกว่ำที่ใช้เป็น
ก้อนเล็กๆ
4. แบตเตอรี่รถยนต์ที่มีจำนวนแผ่นตะกั่วมำกกว่ำให้กำลังไฟฟ้ำสูงกว่ำที่มีจำนวนแผ่นน้อยกว่ำ
35. ข้อใดที่ไม่ได้แสดงว่ำธรรมชำติของสำรมีผลต่ออัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำเคมี
1. เกลือเม็ดดูดควำมชืนเร็วกว่ำผลึกนำตำลทรำย
2. กระดำษมีอำยุกำรใช้งำนน้อยกว่ำพลำสติก
3. แบตเตอรี่ปรอท กับแบตเตอรี่อัลคำไลน์มีอำยุใช้งำนไม่เท่ำกัน
4. เหล็กที่อยู่ในอำกำศและควำมชืนจะผุกร่อนได้เร็วกว่ำอะลูมิเนียม
36. ไอออนบวกของไฮโดรเจน (H+
) ขำดอนุภำคมูลฐำนข้อใด
1. โปรตอน
2. อิเล็กตรอน
3. นิวตรอน และอิเล็กตรอน
4. โปรตอน และอิเล็กตรอน
37. ธำตุในข้อใดที่เป็นไอโซโทปกับธำตุที่มีสัญลักษณ์เป็น A5
11
1. B5
12
2. B6
12
3. B5
11
4. B6
11
38. ธำตุ 3 ชนิดมีสัญลักษณ์ดังนี A4
8
B13
27
C17
35
ข้อใดเป็นสูตรเคมีของสำรประกอบฟลูออไรด์ของธำตุทังสำมชนิดตำมลำดับ
1. AF BF3 CF2
2. AF B2F3 CF2
3. AF2 B2F3 CF
4. AF2 BF3 CF
39. พิจำรณำข้อควำมต่อไปนี
ก. เกลือแกงและโซดำไฟเป็นสำรประกอบของโลหะหมู่ 1A
ข. สำรประกอบไอออนิกที่มีสถำนะเป็นของแข็งสำมำรถนำไฟฟ้ำได้
ค. โลหะเทรนซิชันมีสมบัติทำงกำยภำพเหมือนโลหะหมู่ 1A และ 2A
ข้อใดกล่ำวถูกต้อง
1. ก. และ ข. 2. ข. และ ค.
3. ก. และ ค. 4. ก. ข. และ ค.
40. ธำตุกัมมันตรังสีธรรมชำติ X มีครึ่งชีวิตเท่ำกับ 5,000 ปี นักธรณีวิทยำค้นพบซำกของสัตว์โบรำณที่มี
ปริมำณธำตุกัมมันตรังสี X เหลืออยู่เพียง 6.25% ของปริมำณเริ่มต้น สัตว์โบรำณนีมีชีวิตโดยประมำณ
เมื่อกี่ปีมำแล้ว
1. 10,000 ปี 2. 15,000 ปี
3. 20,000 ปี 4. 25,000 ปี
41. วัตถุอันหนึ่งเมื่ออยู่บนโลกที่มีสนำมโน้มถ่วง g พบว่ำมีนำหนักเท่ำกับ W 1 ถ้ำนำวัตถุนีไปไว้บน
ดำวเครำะห์อีกดวงพบว่ำมีนำหนัก W 2 จงหำมวลของวัตถุนี
1.
W1
g
2.
W2
g
3.
W1+ W2
g
4.
W2+ W1
2g
42. วำงเข็มทิศอันหนึ่งบนโต๊ะ เข็มทิศชีขึนในลักษณะดังรูป ถ้ำนำประจุบวกไปวำงไว้ทำงด้ำนซ้ำยของ
เข็มทิศ จะเกิดอะไรขึน
1. เข็มทิศชีไปทำงขวำ 2. เข็มทิศชีไปทำงซ้ำย
3. เข็มทิศชีลง 4. เข็มทิศชีทำงเดิม
43. ในรูปซ้ำย A และ B คือเส้นทำงกำรเคลื่อนที่ของอนุภำค 2 อนุภำคที่ถูกยิงมำจำกจุด P ไปทำงขวำ
เข้ำไปในบริเวณที่มีสนำมแม่เหล็ก (ดูรูปซ้ำย) ถ้ำนำอนุภำคทังสองไปวำงลงในบริเวณที่มีสนำมไฟฟ้ำ
ดังรูปขวำ จะเกิดอะไรขึน
(ด แทนสนำมแม่เหล็กที่มีทิศพุ่งเข้ำและตังฉำกกับกระดำษ)
1. A เคลื่อนที่ไปทำงขวำ ส่วน B เคลื่อนที่ไปทำงซ้ำย
2. A เคลื่อนที่ไปทำงซ้ำย ส่วน B เคลื่อนที่ไปทำงขวำ
3. ทัง A และ B ต่ำงก็เคลื่อนที่ไปทำงขวำ
4. ทัง A และ B ต่ำงก็อยู่นิ่งกับที่
44. ยิงอนุภำคอิเล็กตรอนเข้ำไปในแนวตังฉำกกับสนำมไฟฟ้ำสม่ำเสมอที่มีทิศพุ่งออกจำกกระดำษ เส้นทำง
กำรเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนจะเป็นอย่ำงไร
(g แทนทิศสนำมไฟฟ้ำพุ่งออกและตังฉำกกับกระดำษ)
1. เบนขึน 2. เบนลง
3. เบนพุ่งออก 4. เบนพุ่งเข้ำหำกระดำษ
45. โปรตอนและนิวตรอนสำมำรถอยู่รวมกันเป็นนิวเคลียสได้ด้วยแรงใด
1. แรงดึงดูดระหว่ำงมวล 2. แรงไฟฟ้ำ
3. แรงแม่เหล็ก 4. แรงนิวเคลียร์
46. วัตถุเคลื่อนที่เป็นเส้นตรง โดยมีตำแหน่งที่เวลำต่ำงๆ ดังกรำฟ
6
- 4
2 4
8
+ 4
0
ข้อใดคือกำรกระจัดของวัตถุ ในช่วงเวลำ t = 0 วินำที จนถึง t = 8 วินำที
1. -8 เมตร 2. -4 เมตร
3. 0 เมตร 4. +8 เมตร
47. ตอนเริ่มต้นวัตถุอยู่ห่ำงจำกจุดอ้ำงอิงไปทำงขวำ 4.0 เมตร เมื่อเวลำผ่ำนไป 10 วินำที พบว่ำวัตถุอยู่ห่ำง
จำกจุดอ้ำงอิงไปทำงซ้ำย 8.0 เมตร จงหำควำมเร็วเฉลี่ยของวัตถุนี
1. 0.4 เมตรต่อวินำที
2. 0.4 เมตรต่อวินำที ทำงซ้ำย
3. 1.2 เมตรต่อวินำที
4. 1.2 เมตรต่อวินำที ทำงซ้ำย
ตาแหน่ง (เมตร)
เวลา (วินาที)
48. ข้อใดต่อไปนีเป็นกำรเคลื่อนที่ที่มีขนำดกำรกระจัดน้อยที่สุด
1. เดินไปทำงขวำด้วยอัตรำเร็วคงตัว 3 เมตรต่อวินำที เป็นเวลำ 4 วินำที
2. เดินไปทำงซ้ำยด้วยอัตรำเร็วคงตัว 4 เมตรต่อวินำที เป็นเวลำ 3 วินำที
3. เดินไปทำงขวำ 10 เมตร แล้วเดินย้อนกลับมำทำงซ้ำย 2 เมตร
4. ทังสำมข้อ มีขนำดกำรกระจัดเท่ำกันหมด
49. ข้อใดที่วัตถุมีควำมเร่งไปทำงซ้ำย
1. วัตถุเคลื่อนที่ไปทำงขวำแล้วเคลื่อนที่เร็วขึน
2. วัตถุเคลื่อนที่ไปทำงขวำแล้วเคลื่อนที่ช้ำลง
3. วัตถุเคลื่อนที่ไปทำงซ้ำยแล้วเคลื่อนที่ช้ำลง
4. วัตถุเคลื่อนที่ไปทำงซ้ำยแล้วหยุด
50. ลูกตุ้มนำฬิกำแกว่งแบบฮำร์มอนิกอย่ำงง่ำย พบว่ำผ่ำนจุดต่ำสุด ทุกๆ 2.1 วินำที ควำมถี่ของกำรแกว่ง
ของลูกตุ้มนีเป็นไปตำมข้อใด
1. 0.24 เฮิรตซ์ 2. 0.48 เฮิรตซ์
3. 2.1 เฮิรตซ์ 4. 4.2 เฮิรตซ์
51. ผูกเชือกเข้ำกับจุกยำง แล้วเหวี่ยงให้จุกยำงเคลื่อนที่เป็นวงกลมในแนวระดับเหนือศีรษะด้วยอัตรำเร็ว
คงตัว ข้อใดถูกต้อง
1. จุกยำงมีควำมเร็วคงตัว
2. จุกยำงมีควำมเร่งเป็นศูนย์
3. แรงที่กระทำต่อจุกยำงมีทิศเข้ำสู่ศูนย์กลำงวงกลม
4. แรงที่กระทำต่อจุกยำงมีทิศเดียวกับควำมเร็วของจุกยำง
52. ยิงลูกปืนออกไปในแนวระดับ ทำให้ลูกปืนเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ ตอนที่ลูกปืนกำลังจะกระทบพืน
ข้อใดถูกต้องที่สุด (ไม่ต้องคิดแรงต้ำนอำกำศ)
1. ควำมเร็วในแนวระดับเป็นศูนย์
2. ควำมเร็วในแนวระดับเท่ำกับควำมเร็วตอนต้นที่ลูกปืนถูกยิงออกมำ
3. ควำมเร็วในแนวระดับมีขนำดมำกกว่ำตอนที่ถูกยิงออกมำ
4. ควำมเร็วในแนวระดับมีขนำดน้อยกว่ำตอนที่ถูกยิงออกมำแต่ไม่เป็นศูนย์
53. ในกำรทดลองเพื่อสังเกตผลของสิ่งกีดขวำงเมื่อคลื่นเคลื่อนที่ผ่ำน เป็นกำรศึกษำสมบัติตำมข้อใด
ของคลื่น
1. กำรหักเห 2. กำรเลียวเบน
3. กำรสะท้อน 4. กำรแทรกสอด
54. ทำให้เกิดคลื่นบนเส้นเชือกที่ปลำยทังสองด้ำนถูกขึงตึง พบว่ำมีควำมถี่และควำมยำวคลื่นค่ำหนึ่ง ถ้ำทำ
ให้ควำมถี่ในกำรสั่นเพิ่มขึนเป็น 2 เท่ำของควำมถี่เดิม ข้อใดถูกต้อง
1. ควำมยำวคลื่นบนเส้นเชือกลดลงเหลือครึ่งหนึ่งเนื่องจำกคลื่นเคลื่อนที่ในตัวกลำงเดิม
2. ควำมยำวคลื่นบนเส้นเชือกเพิ่มขึนเป็น 2 เท่ำ เนื่องจำกปริมำณทังสองแปรผันตำมกัน
3. ควำมยำวคลื่นบนเส้นเชือกเท่ำเดิม เนื่องจำกคลื่นเกิดบนตัวกลำงเดิม
4. ควำมยำวคลื่นบนเส้นเชือกเท่ำเดิม แต่อัตรำเร็วของคลื่นเพิ่มเป็นสองเท่ำตำมสมกำร v = f l
55. วัสดุที่ใช้ในกำรบุผนังโรงภำพยนตร์มีผลในกำรลดปรำกฏกำรณ์ใดของเสียง
1. กำรหักเห 2. กำรสะท้อน
3. กำรสั่นพ้อง 4. ดอพเพลอร์
56. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำ
1. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำทุกชนิดมีอัตรำเร็วในสุญญำกำศเท่ำกัน
2. มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำบำงชนิดต้องอำศัยตัวกลำงในกำรเดินทำง
3. เมื่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำเดินทำงในตัวกลำงที่เปลี่ยนไป อัตรำเร็วของคลื่นจะเปลี่ยนไป
4. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำเป็นคลื่นที่มีทังสนำมไฟฟ้ำและสนำมแม่เหล็ก
57. ปรำกฏกำรณ์ทำงธรรมชำติในข้อใดที่ไม่มีผลต่อกำรแผ่กระจำยของคลื่นวิทยุ
1. กำรเปลี่ยนขนำดของจุดดับบนดวงอำทิตย์
2. กำรเกิดแสงเหนือแสงใต้
3. กำรเกิดนำขึนนำลง
4. กำรเกิดกลำงวัน กลำงคืน
58. ถ้ำรังสีแกมมำพุ่งเข้ำไปในบริเวณที่มีสนำมแม่เหล็กซึ่งมีทิศตังฉำกกับกำรเคลื่อนที่ของรังสีภำยใน
สนำมแม่เหล็กดังกล่ำว รังสีแกมมำมีแนวทำงกำรเคลื่อนที่เป็นไปตำมข้อใด
1. เบนไปด้ำนข้ำง
2. เคลื่อนที่ไปเป็นวงกลม
3. เคลื่อนที่ในแนวทำงเดิม
4. ย้อนกลับทำงเดิม
59. ในทำงกำรแพทย์ ไอโอดีน -131 นำมำใช้เพื่อวัตถุประสงค์ตำมข้อใด
1. ตรวจกำรไหลเวียนของโลหิตในร่ำงกำย
2. ตรวจกำรทำงำนของต่อมไทรอยด์
3. รักษำโรคมะเร็ง
4. รักษำเนืองอกในสมอง
60. แผ่นดินไหวที่รู้สึกได้ในประเทศไทย มักจะมีศูนย์เกิดแผ่นดินไหวอยู่ในประเทศใด
1. ไทย 2. พม่ำ
3. ลำว 4. อินโดนีเซีย
61. ขอบทวีปใดมีรูปร่ำงต่อกันได้พอดี
1. ตะวันตกของแอฟริกำ กับ ตะวันออกของอเมริกำใต้
2. ตะวันตกของเอเชีย กับ ตะวันออกของอเมริกำเหนือ
3. ตะวันตกของยุโรป กับ ตะวันออกของเอเชีย
4. เหนือของออสเตรเลีย กับ ใต้ของอเมริกำใต้
62. ข้อใดไม่ถูกต้อง
1. ประเทศไทยมีแผ่นดินไหวขนำดที่รู้สึกได้ โดยเฉลี่ยแล้ว 1 ครังทุกๆ 5 ปี
2. แผ่นดินไหวในประเทศไทย มักเกิดในบริเวณแนวรอยเลื่อนมีพลัง
3. แนวรอยเลื่อนมีพลังในประเทศไทยมีจำนวนหลำยสิบแนว
4. แนวรอยเลื่อนมีพลังในประเทศไทยส่วนใหญ่จะอยู่ในภำคตะวันตกและภำคเหนือ
63. ปัจจุบันมีภูเขำไฟที่มีพลัง อยู่บนโลกเป็นจำนวนประมำณเท่ำใด
1. 100 ลูก 2. 1,000 ลูก
3. 10,000 ลูก 4. 100,000 ลูก
64. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับดำวฤกษ์ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน เช่น กลุ่มดำวนำยพรำน
1. ดำวฤกษ์ทุกดวงจะมีอำยุใกล้เคียงกัน
2. ดำวฤกษ์ทุกดวงจะมีอันดับควำมสว่ำงปรำกฏใกล้เคียงกัน
3. ดำวฤกษ์ทุกดวงจะมีระยะห่ำงจำกโลกใกล้เคียงกัน
4. ดำวฤกษ์ทุกดวงจะมีตำแหน่งที่ปรำกฏใกล้เคียงกัน
65. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับดวงอำทิตย์
1. มีอำยุพอๆ กับโลก
2. มีมวลประมำณ 50% ของมวลของระบบสุริยะ
3. องค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นไฮโดรเจน
4. จะมีวำระสุดท้ำยเป็นดำวแคระดำ
66. เมื่อเกิดสุริยุปรำคำเต็มดวง วันนันควรจะเป็นวันใด
1. แรม 1 ค่ำ 2. ขึน 15 ค่ำ
3. แรม 8 ค่ำ 4. แรม 15 ค่ำ
67. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับสถำนีอวกำศนำนำชำติ
1. วิจัยเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ไม่สำมำรถทำได้บนโลก
2. เจ้ำหน้ำที่ในสถำนีจะอยู่ในสภำวะไร้นำหนัก
3. อยู่ในวงโคจรค้ำงฟ้ำ
4. มีเจ้ำหน้ำที่ประจำกำรอยู่ตลอดเวลำ
68. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของกระสวยอวกำศในปัจจุบัน
1. เพื่อกำรท่องเที่ยว
2. เพื่อส่งดำวเทียมเข้ำสู่วงโคจร
3. เพื่อใช้เป็นสถำนีอวกำศ
4. เพื่อใช้วิจัยทำงวิทยำศำสตร์
ส่วนที่ 2 : แบบระบำยตัวเลือก จำนวน 18 ข้อ (ข้อ 69 – 86) คะแนนรวม 12 คะแนน
ข้อสอบต่อไปนีเป็นชุดคำถำม 6 ชุด ชุดละ 3 ข้อ
ชุดละ 2 คะแนน ซึ่งในแต่ละชุดต้องทำถูกทัง 3 ข้อ จึงจะได้คะแนน 2 คะแนน
หำกทำผิดข้อใดข้อหนึ่งที่อยู่ในชุดนันๆ จะไม่ได้คะแนน
ชุดที่ 1 (ข้อ 69-71)
69. ไอออนของธำตุ x มีจำนวนโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน เท่ำกับ 9, 10, 10 ตำมลำดับ ธำตุ x มี
สัญลักษณ์เป็นไปตำมข้อใด
1. x9
19
2. x9
21
3. x11
20
4. x11
21
70. สำรบริสุทธ์ของธำตุ X ในข้อที่ 69 มีสูตรโมเลกุลตำมข้อใด
1. F2 2. CI2
3. N2 4. O2
71. ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับสมบัติของธำตุ X ในข้อที่ 69
1. สำร X มีสถำนะเป็นแก๊ส
2. ไอออนที่เสถียรของธำตุ X มีประจุ -1
3. ธำตุ X พบได้ในบำงส่วนของร่ำงกำยคน
4. ธำตุ X กับธำตุ Ca เกิดเป็นสำรประกอบที่มีสูตรเป็น CaX
ชุดที่ 2 (ข้อ 72-74)
72. ยูเรียเตรียมจำกแก๊สแอมโมเนียและแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ด้วยปฏิกิริยำ ดังนี
2NH3(g) + CO2(g) ⟶ (NH2)2CO(s) + H2O(g)
กำรทดลองในภำชนะปิดและชั่งนำหนักยูเรียที่เกิดขึนที่เวลำต่ำงกันได้ผลดังตำรำง
เวลาที่ใช้ (นาที) น้าหนักยูเรียที่เกิดขึ้น (กรัม)
1 1.6
2 2.6
3 4
4 4.2
5 4.2
ข้อใดสรุปไม่ถูกต้อง
1. ปฏิกิริยำสินสุดหลังจำกนำทีที่ 4
2. อัตรำปฏิกิริยำลดลงเมื่อเวลำเพิ่มขึน
3. อัตรำปฏิกิริยำที่นำทีที่ 4 นำทีที่ 5 มีค่ำเท่ำกัน
4. อัตรำเฉลี่ยเมื่อปฏิกิริยำสินสุดพอดีมีค่ำเป็น 1.05 กรัมต่อนำที
73. ตำมปฏิกิริยำในข้อ 72. ถ้ำเริ่มต้นใช้แอมโมเนีย 3 โมล และคำร์บอนไดออกไซด์ 1 โมล เมื่อปฏิกิริยำ
เกิดได้สมบูรณ์ แก๊สทุกชนิดที่อยู่ในภำชนะ จะมีจำนวนโมลโดยรวมตำมข้อใด
1. 1 โมล 2. 2 โมล
3. 3 โมล 4. 4 โมล
74. ตำมปฏิกิริยำในข้อ 72 ถ้ำนำแก๊สที่เกิดขึนทังหมดพ่นลงในนำ สำรละลำยที่ได้เป็นสำรในข้อใด
1. กรดคำร์บอนิก
2. แอมโมเนียมไฮดรอกไซด์
3. แอมโมเนียมคำร์บอเนต
4. แอมโมเนียมไฮดรอกไซด์ และกรดคำร์บอนิก
ชุดที่ 3 (ข้อ 75-77)
75. โยนวัตถุขึนในแนวดิ่ง ในขณะที่วัตถุกำลังเคลื่อนที่ขึน ข้อใดสรุปได้ถูกต้อง
1. ควำมเร่งมีทิศขึน
2. ควำมเร่งมีทิศลง
3. ควำมเร่งเป็นศูนย์
4. ข้อมูลไม่เพียงพอที่จะบอกทิศของควำมเร่ง
76. โยนวัตถุขึนในแนวดิ่ง ในขณะที่วัตถุอยู่ที่จุดสูงสุดพอดี ควำมเร่งของวัตถุมีทิศใด
1. ควำมเร่งเป็นศูนย์ 2. ควำมเร่งมีทิศขึน
3. ควำมเร่งมีทิศลง 4. ควำมเร่งกำลังเปลี่ยนทิศ
77. โยนวัตถุขึนในแนวดิ่ง ในขณะที่วัตถุกำลังเคลื่อนที่ลง ควำมเร่งของวัตถุมีทิศใด
1. ควำมเร่งมีทิศขึน
2. ควำมเร่งมีทิศลง
3. ควำมเร่งเป็นศูนย์
4. ข้อมูลไม่เพียงพอที่จะบอกทิศของควำมเร่ง
ชุดที่ 4 (ข้อ 78-80)
78. เมื่อเปิดให้ลำโพงทำงำน อนุภำคของฝุ่นที่อยู่ด้ำนหน้ำของลำโพงดังรูปจะมีกำรเคลื่อนที่อย่ำงไร
•
ลำโพง ฝุ่น
1. เคลื่อนที่ออกจำกลำโพง
2. สั่นขึนลงในแนวดิ่ง
3. สั่นไปมำในแนวระดับ
4. เคลื่อนที่ออกเป็นรูปคลื่น
79. เหตุผลสำหรับคำตอบในข้อที่ 78. คือข้อใด
1. พลังงำนเคลื่อนที่ออกจำกลำโพง
2. เสียงเป็นคลื่นรูปซำยน์
3. เสียงเป็นคลื่นตำมขวำง
4. เสียงเป็นคลื่นตำมยำว
80. คลื่นเสียงเป็นคลื่นชนิดใด
1. คลื่นตำมยำว
2. คลื่นตำมขวำง
3. คลื่นผสมที่มีทังตำมยำวและตำมขวำง
4. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำ
ชุดที่ 5 (ข้อ 81-83)
พิจำรณำชันหินที่วำงซ้อนกันดังรูป แล้วตอบคำถำมข้อ 81. ถึง 83.
ชัน ก กระดูกช้ำง ซำกต้นพืช (บนสุดมีต้นหญ้ำ)
ชัน ข กระดูกช้ำง ซำกต้นพืช หอยแครง
ชัน ค หอยแครง
ชัน ง แมงดำทะเล แอมโมไนต์
ชัน จ แอมโมไนต์
81. ชันหินในข้อใดเก่ำแก่ที่สุด
1. ชัน ก 2. ชัน ข
3. ชัน ค 4. ชัน จ
82. ฟอสซิลในข้อใดที่พบในตัวอย่ำงนีที่สำมำรถใช้เป็นฟอสซิลดัชนีได้
1. หอยแครง 2. แอมโมไนต์
3. แมงดำทะเล 4. ช้ำง
83. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับสภำพของสถำนที่แห่งนี
1. เคยเป็นทะเลมำก่อน ปัจจุบันเป็นบก
2. เคยเป็นบกมำก่อน แล้วเป็นทะเลในภำยหลัง
3. ไม่เคยเป็นทะเลเลย
4. เป็นทะเลทังอดีตและปัจจุบัน
ชุดที่ 6 (ข้อ 84 – 86)
84. ข้อใดเรียงลำดับควำมสว่ำงที่ปรำกฏของดำวจำกสว่ำงน้อยไปมำกได้ถูกต้อง
1. ดำวศุกร์เมื่อสว่ำงที่สุด ดวงจันทร์เมื่อสว่ำงที่สุด ดำวซีรีอัส
2. ดำวซีรีอัส ดำวศุกร์เมื่อสว่ำงที่สุด ดวงจันทร์เมื่อสว่ำงที่สุด
3. ดำวศุกร์เมื่อสว่ำงที่สุด ดำวซีรีอัส ดวงจันทร์เมื่อสว่ำงที่สุด
4. ดวงจันทร์เมื่อสว่ำงที่สุด ดำวศุกร์เมื่อสว่ำงที่สุด ดำวซีรีอัส
85. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับอันดับควำมสว่ำง
1. มีค่ำเป็นบวกเท่ำนัน
2. ค่ำมำกแสดงว่ำสว่ำงมำก
3. ค่ำเป็นศูนย์แสดงว่ำไม่มีแสงในตัวเอง
4. เป็นปริมำณที่ไม่มีหน่วย
86. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับอันดับควำมสว่ำงของดำวศุกร์เมื่อสว่ำงที่สุดกับอันดับควำมสว่ำงของดวงอำทิตย์
1. ค่ำใกล้เคียงกัน 2. ค่ำของดำวศุกร์มำกกว่ำ
3. ค่ำของดำวศุกร์น้อยกว่ำ 4. เปรียบเทียบกันไม่ได้
ข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์ มัธยมศึกษาตอนปลาย 2553
ส่วนที่ 1 : แบบระบำยตัวเลือก แต่ละข้อมีคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว
จำนวน 80 ข้อ (ข้อ 1- 80) : ข้อละ 1 คะแนน รวม 80 คะแนน
1. นำย ก ทำกำรทดลอง โดยนำเนือหมูชนิดเดียวกัน นำหนักเท่ำกันไปแช่ในสำรละลำยต่ำงชนิดกัน
เป็นเวลำ 1 ชั่วโมง นำมำชั่งนำหนักเป็นระยะๆ แล้ว สรุปควำมสัมพันธ์ ดังกรำฟ
A B C
นำหนัก นำหนัก นำหนัก
เวลำ เวลำ เวลำ
สำรละลำยในกรำฟ รูป A B และ C หมำยถึงสำรใดตำมลำดับ
1. นำเกลือเข้มข้น 0.85% นำกลั่น นำปลำ
2. นำปลำ นำกลั่น นำเกลือเข้มข้น 0.85%
3. นำเกลือเข้มข้น 10% นำกลั่น นำปลำ
4. นำเกลือเข้มข้น 10% นำปลำ นำกลั่น
ใช้ข้อมูลตอบคำถำมข้อ 2.
ก. เพิ่มอัตรำเมแทบอลิซึม ง. หลอดเลือดขยำยตัว
ข. ลดอัตรำเมแทบอลิซึม จ. หลอดเลือดหดตัว
ค. ขนตังตรง เหงื่อไม่ออก ฉ. ขนเอนรำบ เหงื่อออกมำ
2. ถ้ำนำยเอ อยู่บนภูกระดึง จังหวัดเลย ในเดือนมกรำคมที่มีอำกำศหนำวจัด นำยเอควรมีอำกำรอย่ำงไร
1. ก. ค. และ จ. 2. ข. ง. และ ฉ.
3. ก. ง. และ ฉ. 4. ข. ค. และ จ.
ปีการศึกษา
3. เซลล์ของต่อมไร้ท่อ ทำหน้ำที่สังเครำะห์ฮอร์โมนสำหรับส่งไปยังส่วนต่ำงๆ ของร่ำงกำย จะมี
ออร์แกเนลล์ใดมำก
1. แวคิวโอล 2. ไลโซโซม
3. ไมโทคอนเดรีย 4. ร่ำงแหเอนโดพลำสซึม
4. เมื่อเด็กหญิง ก ได้รับสำร A แล้วร่ำงกำยสร้ำงภูมิคุ้มกันที่อยู่ได้นำน ต่อมำเขำได้รับสำร B ซึ่งเป็น
ภูมิคุ้มกันที่อยู่ได้ไม่นำน สำร A และ B หมำยถึงสำรในข้อใดตำมลำดับ
1. เซรุ่ม วัคซีน 2. วัคซีน เซรุ่ม
3. เซรุ่ม ทอกซอยด์ 4. ทอกซอยด์ วัคซีน
5. สัตว์ในข้อใดอุณหภูมิในร่ำงกำยค่อนข้ำงคงที่ แม้สิ่งแวดล้อมจะเปลี่ยนไป
1. นกกระจอกเทศ กบ 2. งู จระเข้
3. พยูน นกกระจิบ 4. ปลำฉลำม วำฬ
6. สำมีเลือดหมู่ A ภรรยำเลือดหมู่ B มีลูกคนแรกเลือดหมู่ O โอกำสมีลูกคนที่ 2 เลือดหมู่ A คิดเป็น
ร้อยละเท่ำไร
1. 0 2. 25
3. 50 4. 75
7. ข้อใดคือผลจำกกระบวนกำรสร้ำงอสุจิของคน โดยเริ่มจำกเซลล์ที่หลอดสร้ำงอสุจิ 1 เซลล์
ข้อ จานวนอสุจิ (ตัว) จานวนโครโมโซมของตัวอสุจิ (แท่ง)
1. 4 23
2. 2 23
3. 4 46
4. 2 46
8. ข้อใดผิดจำกทฤษฎีกำรคัดเลือกตำมธรรมชำติ
1. เมื่อก่อนยีรำฟมีทังคอสันและคอยำว ต่อมำเมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป ยีรำฟคอสันไม่สำมำรถอยู่
รอดได้ จึงสูญพันธุ์เหลือแต่ยีรำฟคอยำว
2. เมื่อก่อนยีรำฟคอสัน แต่ต่อมำยืดคอกินใบไม้สูงๆ คอจึงยำว ลักษณะคอยำวถ่ำยทอดไปถึงลูก
จึงทำให้ยีรำฟรุ่นหลังคอยำว
3. แมลงศัตรูพืช ทนทำนต่อยำฆ่ำแมลง เพรำะแมลงตัวที่กลำยพันธุ์เกิดกำรดือยำสำมำรถอยู่รอด
มีลูกหลำนไปได้
4. กระต่ำยป่ำที่สีนำตำลจะดูกลมกลืนกับทุ่งหญ้ำ แมวป่ำจึงล่ำกระต่ำยป่ำสีขำวเป็นอำหำรได้โดยง่ำย
9. ลักษณะเด่นของอำณำจักรมอเนอรำ คือข้อใด
1. มีคลอโรฟิลล์ 2. ไม่มีเนือเยื่อ
3. มีผนังเซลล์ 4. ไม่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส
10. จำกกรำฟแสดงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด สิ่งมีชีวิต A เส้นทึบ และสิ่งมีชีวิต B เส้นประ
สิ่งมีชีวิต A และ B ควรจะหมำยถึงสิ่งมีชีวิตในข้อใดตำมลำดับ
60
40
20
4 8 12 16
1. ดอกไม้ทะเล – ปลำกำร์ตูน 2. ดอกไม้ – ผีเสือ
3. งูเห่ำ – หนูนำ 4. กล้วยไม้ – ต้นประดู่
11. ในกระบวนกำรเปลี่ยนแปลงแทนที่ กลุ่มสิ่งมีชีวิตขันสุดที่พบในสภำวะสมดุลจะไม่มีลักษณะในข้อใด
1. มีสำยใยอำหำรซับซ้อนมำก
2. มีสิ่งมีชีวิตไม่กี่ชนิด
3. พบได้ตำมป่ำดงดิบ
4. สภำพแวดล้อมค่อนข้ำงคงที่
12. ข้อใดถือว่ำเป็นอิทธิพลของปัจจัยทำงชีวภำพต่อสิ่งมีชีวิต
1. ต้นกระบองเพชรในทะเลทรำยไม่มีใบเพื่อลดกำรคำยนำ
2. ปลำที่อยู่ในถำมืดจะตำบอด
3. สุนัขแถบขัวโลกจะมีขนที่ยำวปุกปุย
4. สิงโตอยู่ในทุ่งสะวันนำที่มีม้ำลำย
13. ผู้บริโภคลำดับที่ 1 ของระบบนิเวศ มีคุณสมบัติอย่ำงไร
1. เป็นผู้บริโภคที่กินพืช
2. เป็นผู้บริโภคที่กินสัตว์
3. เป็นผู้บริโภคที่กินทังพืชและสัตว์
4. เป็นผู้บริโภคที่กินซำกพืชซำกสัตว์
เวลำ (สัปดำห์)
14. สิ่งมีชีวิตที่บุกเบิกพวกแรกที่เปลี่ยนหินไปเป็นดินคือพวกใด
1. รำและสำหร่ำยที่อยู่รวมกัน 2. มอสและเฟิร์น
3. เฟิร์นและหญ้ำ 4. หญ้ำและพุ่มไม้
15. ข้อใดต่อไปนี เป็นกำรลดภำวะโลกร้อนโดยกระบวนกำรรีไซเคิล (recycle)
1. นำงสำวรักดี ใช้ถุงผ้ำแทนถุงพลำสติก
2. นำยจริงใจ นำเศษกระดำษที่ใช้แล้วไปอัดขึนรูปเป็นกระถำงต้นไม้
3. นำยรักชำติ นำถุงพลำสติกที่ใช้แล้วมำใช้ซำ
4. นำงสำวเมตตำ ไปตลำดโดยนำตะกร้ำไปใส่ของแทนถุงพลำสติก
16. นำย ก ได้ช่วยลดปัญหำสิ่งแวดล้อม โดยกำรนำรองเท้ำนักเรียนที่ชำรุดไปติดกำวใหม่ เพื่อนำมำใช้ได้อีก
วิธีดังกล่ำวเรียกว่ำอะไร
1. reduce 2. reuse
3. recycle 4. repair
17. ข้อใดไม่ใช่เชือเพลิงฟอสซิล
1. นำมันปิโตรเลียม 2. แก๊สธรรมชำติ
3. ถ่ำนหิน 4. ถ่ำนกัมมันต์
18. ข้อใดไม่ใช่แก๊สเรือนกระจก
1. คำร์บอนไดออกไซด์ 2. ออกไซด์ของไนโตรเจน
3. คำร์บอนมอนอกไซด์ 4. มีเทน
19. ข้อควำมใดต่อไปนีถูก
ก. สำรชีวโมเลกุล คือสำรประกอบที่มีธำตุคำร์บอนและไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบหลัก
ข. พบได้ทังในสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต
ค. ไตรกลีเซอไรด์หนึ่งโมเลกุลประกอบขึนจำกกรดไขมัน 1 โมเลกุลและกลีเซอรอล 3 โมเลกุล
ง. พันธะเปปไทด์พบได้ในโมเลกุลของโปรตีน
จ. ปุยฝ้ำยเกิดจำกกลูโคสมำเชื่อมต่อกันเป็นสำยยำว
1. ก. และ ค. 2. ข. และ ค.
3. ค. และ ง. 4. ก. ค. และ ง.
20. ตำรำง ปริมำณกรดไขมันชนิดต่ำงๆ ในนำมันบำงชนิด
ร้อยละของกรดไขมัน
น้ามัน C11H23CO2H C13H27CO2H C15H31CO2H C17H35CO2H C17H33CO2H C17H31CO2H C17H21CO2H
A
B
C
D
43.8
22.7
0.0
0.0
23.4
11.5
0.0
0.0
13.6
19.0
17.6
10.5
9.6
26.0
40.3
3.4
4.3
8.0
2.1
26.0
2.3
7.9
32.1
46.9
0.0
0.0
1.4
6.1
จำกข้อมูลในตำรำง หำกนำนำมันชนิดละ 1 cm3
มำอุ่นให้ร้อนแล้วหยดทิงเจอร์ไอโอดีนลงไป นำมัน
ชนิดใดจะสำมำรถฟอกสีไอโอดีนให้หำยไปได้มำกที่สุด
1. A 2. B
3. C 4. D
21. กำรทดสอบโปรตีนด้วยสำรละลำยคอปเปอร์ (II) ซัลเฟตในเบสจะเกิดกำรเปลี่ยนแปลงกับโปรตีน
อย่ำงไร
1. เกิดกำรแปลงสภำพโปรตีน
2. เกิดกำรย่อยเป็นกรดอะมิโน
3. เกิดกำรย่อยเป็นโปรตีนสำยสัน
4. ไม่เกิดกำรเปลี่ยนแปลงทำงโครงสร้ำงของโปรตีนเลย
22. ถ้ำรำยกำรอำหำรมือหนึ่งเป็นดังต่อไปนี ผู้ป่วยโรคเบำหวำน ควรควบคุมอำหำรในข้อใด
1. ข้ำวกล้อง 2. แกงส้มปลำช่อนทอด
3. ผัดผักคะน้ำนำมันหอย 4. นมจืดพร่องมันเนย
23. ในระหว่ำงวันนักเพำะกำยควรรับประทำนอำหำรหลักตำมข้อใด
1. แป้งเพื่อให้พลังงำน และโปรตีนเพื่อสร้ำงกล้ำมเนือ
2. ไขมันเพื่อให้พลังงำน และโปรตีนเพื่อสร้ำงกล้ำมเนือ
3. ไขมันเพื่อเพิ่มนำหนักตัว และโปรตีนเพื่อสร้ำงกล้ำมเนือ
4. แป้งเพื่อเพิ่มนำหนักตัว และวิตำมินเสริมเพื่อปรับสมดุลร่ำงกำย
24. ไฮโดรคำร์บอนแบบอิ่มตัวในข้อใดที่มีจำนวนโครงสร้ำงที่เป็นไปได้ทังหมดเท่ำกับจำนวนโครงสร้ำง
ที่เป็นไปได้ของ C3H8
1. C2H6 2. C4H10
3. C5H12 4. มีคำตอบถูกมำกว่ำ 1 ข้อ
25. ถ้ำผสมนำมันเบนซินที่มีค่ำออกเทนเท่ำกับ 80 กับไอโซออกเทนด้วยอัตรำส่วน 3:1 จะทำให้ได้นำมัน
เบนซินที่มีค่ำออกเทนเป็นเท่ำใด
1. 83 2. 85
3. 87 4. 95
26. สำรอินทรีย์ชนิดใดต่อไปนีที่จัดเป็นพอลิเมอร์ที่เกิดจำกมอนอเมอร์หลำยชนิด
1. ยำงพำรำ 2. เซลลูโลส
3. ไกลโคเจน 4. กรดนิวคลีอิก
27. สัญลักษณ์ต่อไปนีมีควำมหมำยว่ำอย่ำงไร
1. สำมำรถรีไซเคิลได้อีก 5 ครัง
2. สำมำรถรีไซเคิลได้ทังหมด 5 ครัง
3. ผ่ำนกำรรีไซเคิลมำได้ 5 ครังแล้ว
4. เป็นพลำสติกรีไซเคิลประเภทที่ 5
28. พอลิยูเรียฟอร์มำลดีไฮด์เป็นพลำสติกเทอร์มอเซต ที่เลิกใช้งำนแล้วควรดำเนินกำรอย่ำงไรจึงเหมำะสม
กับสิ่งแวดล้อมที่สุด
1. นำไปหลอมเพื่อขึนรูปใหม่ 2. นำไปรีไซเคิล (recycle)
3. นำไปใช้ซำ (reuse) 4. นำไปเผำทำลำย
29. กำรถ่ำยเทควำมร้อนในข้อใดที่เป็นผลเกิดขึนจำกปฏิกิริยำเคมี
1. ควำมร้อนที่เกิดขึนด้ำนหลังของตู้เย็น
2. ควำมร้อนที่รู้สึกได้ในลำคอเมื่อดื่มเหล้ำ
3. ควำมร้อนหลังจำกกำรวิ่งออกกำลังกำย
4. ถูกทุกข้อ
30. ปฏิกิริยำหนึ่งในชันบรรยำกำศมีสองขันตอน ดังนี
CI + O3 ⟶ CIO + O2
CIO + O ⟶ CI + O2
สำรชนิดใดทำหน้ำที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยำ
1. CI 2. CIO
3. O 4. CI และ CIO
31. รูปกำรทดลองหำอัตรำในกำรสลำยตัวของลวดแมกนีเซียมด้วยสำรละลำยกรดไฮโดรคลอริก
ถ้ำต้องกำรเพิ่มอัตรำเร็วของปฏิกิริยำนี วิธีในข้อใดให้ผลน้อยที่สุด
1. เขย่ำหลอดทดลองแรงๆ
2. เติมสำรละลำยกรดให้มีปริมำตรเพิ่มขึน
3. เพิ่มลวดแมกนีเซียมขนำดเท่ำเดิมลงไปอีกชินหนึ่ง
4. หั่นลวดแมกนีเซียมออกเป็นเส้นเล็กๆ โดยไม่เพิ่มนำหนัก
32. ถ้ำนำธำตุ X ไปผ่ำนกระบวนกำรหนึ่งทำให้อะตอมของธำตุ X เกิดกำรเปลี่ยนแปลงกำรตัดสินว่ำธำตุ X
เปลี่ยนไปเป็นธำตุใหม่หรือไม่ พิจำรณำได้จำกข้อใด
1. จำนวนไอโซโทปเพิ่มขึน
2. จำนวนโปรตอนเปลี่ยนไปจำกเดิม
3. จำนวนนิวตรอนเปลี่ยนไปจำกเดิม
4. จำนวนอิเล็กตรอนในแต่ละระดับพลังงำนเปลี่ยนไปจำกเดิมอย่ำงเห็นได้ชัด
33. ธำตุ 82Pb เป็นธำตุในหมู่เดียวกับ 6C อนุภำคใดต่อไปนีมีจำนวนอิเล็กตรอนชันในสุดและชันนอกสุด
เท่ำกัน
1. Pb2-
2. Pb
3. Pb2+
4. Pb4+
34. สำรในข้อใดที่มีทังพันธะโคเวเลนต์และไอออนิก
1. KOH 2. CH2O
3. POCI3 4. Hg2CI2
35. ของแข็งชนิดใดต่อไปนีนำไฟฟ้ำได้น้อยที่สุด
1. แกรไฟต์ 2. Na
3. Pb 4. NaCI
36. ถ้ำธำตุ A เป็นธำตุกัมมันตรังสีที่มีครึ่งชีวิตยำวกว่ำธำตุ B โดยทังสองธำตุปล่อยกัมมันตภำพรังสี
ชนิดเดียวกันและมีปริมำณเริ่มต้นเท่ำกัน ข้อใดสรุปถูกต้อง
1. อัตรำกำรสลำยตัวของ A สูงกว่ำ และ A มีปริมำณรังสีที่วัดได้เมื่อเริ่มทดลองสูงกว่ำ
2. อัตรำกำรสลำยตัวของ A สูงกว่ำ และ B มีประมำณรังสีที่วัดได้เมื่อเริ่มทดลองสูงกว่ำ
3. อัตรำกำรสลำยตัวของ B สูงกว่ำ และ A มีปริมำณรังสีที่วัดได้เมื่อเริ่มทดลองสูงกว่ำ
4. อัตรำกำรสลำยตัวของ B สูงกว่ำ และ B มีปริมำณรังสีที่วัดได้เมื่อเริ่มทดลองสูงกว่ำ
37. ปล่อยวัตถุให้ตกลงมำตำมแนวดิ่ง เมื่อเวลำผ่ำนไป 4 วินำที วัตถุมีควำมเร่งเท่ำใด
1. 9.8 เมตรต่อวินำที2
2. 19.6 เมตรต่อวินำที2
3. 29.4 เมตรต่อวินำที2
4. 39.2 เมตรต่อวินำที2
38. แนวกำรเคลื่อนที่ของอนุภำคโปรตอนที่ถูกยิงเข้ำมำในทิศตังฉำกกับสนำมไฟฟ้ำสม่ำเสมอ
เป็นดังเส้นทำงหมำยเลข (1) ถ้ำมีอนุภำค X ถูกยิงเข้ำมำในทิศทำงเดียวกันและมีเส้นทำงเดิน
ดังหมำยเลข (2) ข้อสรุปใดที่เป็นไปไม่ได้เลย
สนำมไฟฟ้ำสม่ำเสมอ
(1) (2)
1. อนุภำค X ดังกล่ำวมีประจุบวก
2. อนุภำค X ดังกล่ำวอำจเป็นโปรตอนที่เข้ำสู่สนำมไฟฟ้ำด้วยอัตรำเร็วที่ต่ำกว่ำ
3. ถ้ำอนุภำค X ดังกล่ำวมีประจุเท่ำกับโปรตอน ก็จะมีมวลที่น้อยกว่ำ
4. อนุภำค X อำจเป็นนิวเคลียสที่มีเพียงโปรตอนสองตัว
39. เส้นลวดโลหะ AB กำลังตกลงมำในแนวดิ่ง ขณะที่เส้นลวดดังกล่ำวกำลังเคลื่อนที่เข้ำใกล้
ขัวเหนือ (N) ของแม่เหล็กดังรูป อิเล็กตรอนในเส้นลวดโลหะจะมีสภำพอย่ำงไร
A
B
N S
ทิศควำมเร็วในแนวดิ่ง
1. เคลื่อนที่จำกปลำย A ไป B
2. เคลื่อนที่จำกปลำย B ไป A
3. อิเล็กตรอนเคลื่อนที่ไปที่ปลำย A และ B ในสัดส่วนพอๆ กัน
4. อิเล็กตรอนจำกปลำย A และ B เคลื่อนที่มำรวมกันที่กึ่งกลำงเส้นลวด
40. แรงระหว่ำงอนุภำคซึ่งอยู่ภำยในนิวเคลียสประกอบด้วยแรงใดบ้ำง
1. แรงนิวเคลียร์เท่ำนัน
2. แรงนิวเคลียร์และแรงไฟฟ้ำ
3. แรงนิวเคลียร์และแรงดึงดูดระหว่ำงมวล
4. แรงนิวเคลียร์ แรงไฟฟ้ำ และแรงดึงดูดระหว่ำงมวล
41. วัตถุหนึ่งเคลื่อนที่เป็นวงกลมรัศมี 21 เมตร ครบหนึ่งรอบ กำรกระจัดมีค่ำเท่ำใด
1. 0 เมตร 2. 42 เมตร
3. 84 เมตร 4. 132 เมตร
42. หนูตัวหนึ่งวิ่งรอบสระนำเป็นวงกลมที่มีเส้นผ่ำนศูนย์กลำง 14 เมตร ใช้เวลำ 2 นำทีก็ครบรอบพอดี
(กำหนด 𝜋 =
22
7
)
จงพิจำรณำข้อควำมต่อไปนี
ก. อัตรำเร็วเฉลี่ยของหนูเท่ำกับ 0 เมตรต่อวินำที
ข. ควำมเร็วเฉลี่ยของหนูเท่ำกับ 22 เมตรต่อวินำที
ค. ขณะวิ่งได้ครึ่งรอบจะได้กำรกระจัดเท่ำกับ 14 เมตร
ง. ขณะวิ่งได้ 1/4 รอบจะได้กำรกระจัดประมำณ 9.9 เมตร
ข้อควำมใดถูกต้อง
1. ค. และ ง. 2. ข. ค. และ ง.
3. ก. ค. และ ง. 4. ถูกทุกข้อ
43. รถยนต์คันหนึ่งกำลังเคลื่อนที่บนถนนตรง กำหนดให้กำรเคลื่อนที่ไปข้ำงหน้ำมีกำรกระจัดเป็นค่ำบวก
และกำรเคลื่อนที่ถอยหลังมีกำรกระจัดเป็นค่ำลบ ถ้ำรถยนต์คันนีมีควำมเร็วเป็นค่ำลบแต่มีควำมเร่งเป็น
ค่ำบวก สภำพกำรเคลื่อนที่จะเป็นอย่ำงไร
1. กำลังแล่นไปข้ำงหน้ำ แต่กำลังเหยียบเบรกเพื่อให้รถช้ำลง
2. กำลังแล่นไปข้ำงหน้ำ และกำลังเหยียบคันเร่งเพื่อให้รถเดินหน้ำเร็วขึน
3. กำลังแล่นถอยหลัง แต่กำลังเหยียบเบรกเพื่อให้รถช้ำลง
4. กำลังแล่นถอยหลัง และกำลังเหยียบคันเร่งเพื่อให้รถถอยหลังเร็วขึน
44. ข้อใดใกล้เคียงกับกำรเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์มำกที่สุด
1. เครื่องบินขณะบินขึนจำกสนำมบิน
2. เด็กเล่นไม้ลื่น
3. ลูกเทนนิสที่ถูกตีออกไปข้ำงหน้ำ
4. เครื่องร่อนขณะร่อนลง
45. ลูกตุ้มนำฬิกำกำลังแกว่งกลับไปกลับมำแบบฮำร์มอนิกอย่ำงง่ำย ที่ตำแหน่งต่ำสุดของกำรแกว่ง
ลูกตุ้มนำฬิกำมีสภำพกำรเคลื่อนที่เป็นอย่ำงไร
1. ควำมเร็วสูงสุด ควำมเร่งสูงสุด
2. ควำมเร็วต่ำสุด ควำมเร่งสูงสุด
3. ควำมเร็วสูงสุด ควำมเร่งต่ำสุด
4. ควำมเร็วต่ำสุด ควำมเร่งต่ำสุด
46. คลื่นกลตำมยำวและคลื่นกลตำมขวำงถูกนิยำมขึนโดยดูจำกปัจจัยใดเป็นหลัก
1. ทิศกำรเคลื่อนที่ของคลื่น
2. ทิศกำรสั่นของอนุภำคตัวกลำง
3. ประเภทของแหล่งกำเนิด
4. ควำมยำวคลื่น
47. ลูกบอลลูกหนึ่งตกลงนำและสั่นขึนลงหลำยรอบทำให้เกิดคลื่นผิวนำแผ่ออกไปเป็นรูปวงกลม
เมื่อผ่ำนไป 10 วินำที คลื่นนำแผ่ออกไปได้รัศมีสูงสุดประมำณ 20 เมตร โดยมีระยะระหว่ำงสันคลื่น
ที่ติดกันเท่ำกับ 2 เมตร จำกข้อมูลดังกล่ำว ลูกบอลสั่นขึนลงด้วยควำมถี่ประมำณเท่ำใด
1. 0.5 Hz 2. 1.0 Hz
3. 2.0 Hz 4. 4.0 Hz
48. ปัจจัยต่อไปนีมีผลต่ออัตรำเร็วเสียงในอำกำศ
1. ควำมถี่ 2. อุณหภูมิ
3. ควำมดัง 4. ควำมเข้มเสียง
49. ห้องประชุมหรือโรงภำพยนตร์ มักบุเพดำนห้องด้วยกระดำษชำนอ้อย ติดผ้ำม่ำนที่ผนังห้องและปูพรม
ที่พืน ทังนีเพื่อช่วยลดเสียงที่เกิดจำกสมบัติใด
1. กำรสะท้อนของเสียง
2. กำรหักเหของเสียง
3. กำรแทรกสอดของเสียง
4. กำรเลียวเบนของเสียง
50. เหตุใดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำจึงจัดเป็นคลื่นตำมขวำง
1. เพรำะสนำมแม่เหล็กมีทิศตังฉำกกับสนำมไฟฟ้ำ
2. เพรำะสนำมแม่เหล็กและสนำมไฟฟ้ำมีทิศตรงข้ำมกับทิศกำรเคลื่อนที่ของคลื่น
3. เพรำะสนำมแม่เหล็กและสนำมไฟฟ้ำมีทิศตังฉำกกับทิศกำรเคลื่อนที่ของคลื่น
4. เพรำะสนำมแม่เหล็กและสนำมไฟฟ้ำมีทิศเดียวกับทิศกำรเคลื่อนที่ของคลื่น
51. ถ้ำสถำนีวิทยุเอเอ็มแห่งหนึ่งกระจำยเสียงที่ควำมถี่ 800 kHz ข้อใดกล่ำวถูกต้อง
1. เสียงพูดถูกนำไปเพิ่มแอมพลิจูดและส่งออกไปโดยมีสัญญำณควำมถี่ 800 kHz คั่นเป็นระยะๆ
2. เสียงพูดถูกนำไปผสมกับคลื่นพำหะที่มีควำมถี่ 800 kHz
3. เสียงพูดถูกนำไปผสมกับคลื่นพำหะที่มีควำมถี่ไม่คงที่ แต่ให้ผลลัพธ์ที่มีควำมถี่ 800 kHz คงที่
4. คลื่นพำหะควำมถี่ 800 kHz ถูกปรับควำมถี่ลงให้เหลือไม่เกิน 20 kHz เพื่อให้มนุษย์รับฟังได้
52. ข้อใดเป็นสมบัติของรังสีแอลฟำ
1. เป็นอิเล็กตรอน
2. เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำ
3. เป็นนิวเคลียสของอะตอมฮีเลียม
4. เป็นโปรตอน
53. ธำตุที่มีสัญลักษณ์นิวเคลียร์ K19
40
มักถูกเรียกชื่อว่ำอะไร
1. โปแทสเซียม -19 2. โปแทสเซียม -21
3. โปแทสเซียม -40 4. โปแทสเซียม -59
54. เหตุใดโรงไฟฟ้ำนิวเคลียร์ในปัจจุบันจึงต้องสร้ำงใกล้แหล่งนำธรรมชำติ
1. เพื่อให้มีนำเพียงพอต่อกำรดับไฟ กรณีไฟไหม้เตำปฏิกรณ์ปรมำณู
2. ใช้นำปริมำณมำกในกำรถ่ำยเทควำมร้อนจำกเตำปฏิกรณ์ไปยังกังหันไอนำ
3. ใช้นำปริมำณมำกในกำรทำให้เกิดปฏิกิริยำลูกโซ่ของปฏิกิริยำนิวเคลียร์
4. ต้องใช้นิวตรอนจำนวนมำกจำกนำในกำรเริ่มปฏิกิริยำนิวเคลียร์
55. นักวิทยำศำสตร์เชื่อว่ำ เรำสำมำรถศึกษำลักษณะและส่วนประกอบของโลกของเรำ เมื่อครังแรกเกิดขึน
ได้จำกวัตถุในข้อใด
1. หินบะซอลต์ 2. เพชร
3. อุกกำบำต 4. อุลกมณี
56. ในกำรแบ่งชันของโลกตำมลักษณะมวลสำร ชันเนือโลกส่วนใหญ่มีสถำนะในข้อใด
1. ของแข็ง 2. ของเหลว
3. ของไหล 4. แก๊ส
57. คลื่นไหวสะเทือนจะมีกำรเดินทำงในตัวกลำงในข้อใดได้เร็วที่สุด
1. ของแข็ง 2. ของเหลว
3. แก๊ส 4. มีควำมเร็วเท่ำกันทัง 3 ชนิด
58. จำกข้อมูลในอดีตที่ผ่ำนมำ ข้อใดคือบริเวณที่เกิดแผ่นดินไหวที่ค่อนข้ำงรุนแรงและมำกที่สุดของโลก
1. แนวรอยต่อของแผ่นธรณีภำคบริเวณเทือกเขำแอลป์และหิมำลัย
2. แนวรอยต่อของแผ่นธรณีภำคบริเวณขอบมหำสมุทรแปซิฟิก
3. แนวรอยต่อของแผ่นธรณีภำคบริเวณแนวสันกลำงมหำสมุทรแอตแลนติก
4. ไม่มีข้อใดถูกต้อง
59. เมื่อประมำณ 200 ล้ำนปีที่แล้ว มหำทวีปพันเจีย เริ่มแยกออกเป็น 2 มหำทวีปใด
1. ลอเรเซีย และกอนด์วำนำ 2. ยูเรเซีย และกอนด์วำนำ
3. อเมริกำ และอัฟริกำ 4. เอเซีย และออสเตรเลีย
60. กำรเกิดร่องลึกก้นสมุทรมำเรียน่ำ เป็นกำรเคลื่อนที่สัมพัทธ์ของแผ่นธรณีภำคในลักษณะใด
1. กำรเคลื่อนที่แบบแยกออกจำกกัน
2. กำรเคลื่อนที่แบบเข้ำหำกัน
3. กำรเคลื่อนที่แบบผ่ำนกัน
4. ถูกทุกข้อ
61. ซำกดึกดำบรรพ์ในข้อใดต่อไปนี มีช่วงอำยุเก่ำแก่ที่สุด
1. ไดโนเสำร์ 2. ไครนอยด์
3. ไทรโลไบต์ 4. แอมโมไนต์
62. ซำกดึกดำบรรพ์ดัชนี จะต้องมีควำมเด่นชัดในข้อใดมำกที่สุด
1. ขนำด 2. สี
3. รูปร่ำง 4. ช่วงอำยุ
63. จำกข้อควำมต่อไปนี “รพินทร์เดินสำรวจพบหินบะซอลต์ตัดแทรกเข้ำไปในชันหินดินดำนที่มี
ซำกดึกดำบรรพ์ของหอยกำบคู่ ยุคครีเทเซียส และยังพบอีกว่ำมีรอยเลื่อนขนำดใหญ่ตัดผ่ำน
ชันหินดินดำนและหินบะซอลต์ดังกล่ำว”
ข้อใดเรียงลำดับอำยุของหินหรือเหตุกำรณ์จำกแก่ไปอ่อนได้อย่ำงถูกต้อง
1. หินดินดำน รอยเลื่อน หินบะซอลต์
2. หินดินดำน หินบะซอลต์ หอยกำบคู่
3. รอยเลื่อน หินดินดำน หอยกำบคู่
4. หอยกำบคู่ หินบะซอลต์ รอยเลื่อน
64. ทำงช้ำงเผือกเป็นดำรำจักร (Galaxy) ที่มีรูปร่ำงแบบใด
1. วงรี 2. ก้นหอยหรือกังหัน
3. ก้นหอยหรือกังหันแบบมีแกน 4. รูปร่ำงไม่แน่นอน
65. ข้อใดเป็นกำรเรียงลำดับระบบจำกเล็กไปใหญ่
1. ระบบสุริยะ กระจุกดำว ดำรำจักร เอกภพ
2. ระบบสุริยะ ดำรำจักร กระจุกดำว เอกภพ
3. ดำรำจักร กระจุกดำว เอกภพ กระจุกดำรำจักร
4. กระจุกดำว ดำรำจักร เอกภพ กระจุกดำรำจักร
66. ดำวโจรเป็นดำวฤกษ์ที่สว่ำงที่สุดบนท้องฟ้ำห่ำงจำกโลก 2.6 พำร์เซก เมื่อนักดำรำศำสตร์ถ่ำยภำพ
ห่ำงกัน 6 เดือน ภำพของดำวดวงนีจะขยับไปจำกเดิมเมื่อเทียบกับดำวที่อยู่ด้ำนหลังเป็นมุมเท่ำใด
1. 0.19 ฟิลิปดำ 2. 0.26 ฟิลิปดำ
3. 0.38 ฟิลิปดำ 4. 0.77 ฟิลิปดำ
67. ดำวที่มีอันดับควำมสว่ำงต่ำงกัน 1 จะมีควำมสว่ำงต่ำงกันประมำณกี่เท่ำ
1. 2.0 2. 2.5
3. 5.0 4. 5.5
68. จำกข้อมูลต่อไปนี
ก. กำรระเบิดของดำวแคระขำว
ข. กำรระเบิดของดำวแคระดำ
ค. กำรระเบิดของดำวฤกษ์ขนำดใหญ่
ง. สสำรเดิมหลังเกิดบิกแบง
ข้อใดเป็นต้นกำเนิดของเนบิวลำ
1. ก. และ ข. 2. ค. และ ง.
3. ค. 4. ถูกทุกข้อ
69. ควำมเร็วแสงในสุญญำกำศมีค่ำประมำณเท่ำใด
1. 1 x 108
เมตร/วินำที
2. 3 x 108
กิโลเมตร/ชั่วโมง
3. 3 x 109
เมตร/วินำที
4. 1 x 109
กิโลเมตร/ชั่วโมง
70. ข้อใดต่อไปนีไม่ใช่ผลจำกเทคโนโลยีอวกำศ
1. ภำพถ่ำยเมฆที่ใช้ในข่ำวพยำกรณ์อำกำศ
2. แผนที่กูเกิล (Google Map)
3. กำรถ่ำยทอดสดฟุตบอลโลกจำกประเทศแอฟริกำใต้
4. เครื่องไซสโมกรำฟ (Seismo-graph)
71. จำกข้อมูลต่อไปนี
ก. มวลของวัตถุน้อยที่สุด
ข. วัตถุอยู่ในสุญญำกำศ
ค. ชั่งนำหนักวัตถุแล้วเป็นศูนย์
ง. วัตถุเคลื่อนที่ด้วยควำมเร็วคงที่
ข้อใดบ้ำงที่อยู่ในสภำพไร้นำหนัก
1. ค. 2. ข. และ ค.
3. ก. ข. และ ค. 4. ก. ค. และ ง.
72. ดำวเครำะห์ในระบบสุริยะมีกี่ดวง
1. 7 ดวง 2. 8 ดวง
3. 9 ดวง 4. 10 ดวง
73. กำรที่เครื่องตรวจระยะไกล GT 200 เคยหำระเบิดเจอนัน เกิดจำกสำเหตุใด
1. มีกำรดูด-ผลักระหว่ำงสนำมแม่เหล็กของระเบิดกับเครื่อง
2. ไฟฟ้ำสถิตจำกร่ำงกำยมนุษย์ช่วยให้เครื่องทำงำนได้
3. เครื่องอำศัยหลักควอนตัมฟิสิกส์ขันสูง
4. เป็นเพรำะควำมบังเอิญหรือเพรำะกำรสังเกตของผู้ใช้เครื่อง
74. ในเชิงวิทยำศำสตร์ สัตว์ในข้อใดควรจะทำนำยได้แม่นยำที่สุด
1. หมึกยักษ์ วิเครำะห์ทำนำยผลฟุตบอลโลก ด้วยกำรเลือกกินหอย
2. สุนัข ทำนำยกำรเป็นโรคมะเร็ง ด้วยกำรดมปัสสำวะคนไข้
3. ม้ำ ทำนำยแผ่นดินไหวที่จะเกิดขึน โดยแสดงอำกำรแตกตื่นตกใจ
4. หมู ทำนำยผลสลำกกินแบ่ง ด้วยกำรเลือกป้ำยหมำยเลข
75. จำกกรณีนำมันดิบรั่วไหลในอ่ำวเม็กซิโกเมื่อเดือนเมษำยน 2553 ได้มีควำมพยำยำมจัดกำรครำบนำมัน
นันด้วยหลำกหลำยวิธี วิธีหนึ่งคือกำรกันนำมันไม่ให้กระจำยตัวดังรูปต่อไปนี
ค่ำควำมหนำแน่นของส่วน A และ B ควรเป็นเท่ำไรตำมลำดับ จึงจะเหมำะสมที่สุดในหน่วย กรัมต่อ
ลูกบำศก์เซนติเมตร
1. 0.5 และ 5.0 2. 1.0 และ 5.0
3. 5.0 และ 1.0 4. 5.0 และ 0.5
76. จำกข้อที่ 75. หลังจำกดำเนินกำรกักนำมันไว้ได้แล้วควรดำเนินกำรอย่ำงไรต่อไป เพื่อให้มีผลกระทบต่อ
สิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
1. เผำให้สลำยตัวไปกลำงทะเล
2. ใช้พอลิเมอร์ดูดซับเอำไว้แล้วนำไปเผำกำจัดในโรงเผำ
3. เติมสำรซักฟอกเพื่อให้ละลำยหำยลงไปในทะเล
4. เติมสำรซักฟอกเพื่อให้กระจำยออกเป็นชันบำงๆ บนผิวทะเล
77. โทรทัศน์ในปัจจุบันนอกจำกจะมีปุ่มสำหรับเปิด-ปิดเครื่องและปุ่มปรับแต่งคุณภำพของภำพและเสียง
ที่ตัวเครื่องแล้ว มักจะมีรีโมทคอนโทรลซึ่งทำงำนด้วยแบตเตอรี่แห้ง เพื่อควบคุมโทรทัศน์จำกระยะไกล
ถ้ำนักเรียนกดปุ่มรีโมทเพื่อเปิดโทรทัศน์แต่โทรทัศน์ไม่ติด (ไม่มีภำพและเสียง) กำรตรวจสอบใด
ต่อไปนีพึงกระทำเป็นอันดับท้ำยสุด
1. ตรวจสอบปุ่มเปิด-ปิดที่โทรทัศน์ว่ำอยู่ในสถำนะใด
2. ตรวจสอบปลั๊กไฟโทรทัศน์ว่ำได้เสียบหรือยัง
3. ตรวจสอบสำยนำสัญญำณว่ำเสียบเข้ำกับโทรทัศน์หรือยัง
4. ตรวจสอบรีโมทคอนโทรว่ำเสียหรือไม่
78. เรำตังสมมติฐำนเพื่ออะไร
1. กล่ำวถึงทฤษฎีทำงวิทยำศำสตร์ที่ถูกนำมำใช้ในกำรทดลอง
2. เพื่อระบุว่ำกำรทดลองจะมีปริมำณใดบ้ำงและเป็นตัวแปรประเภทใด
3. เพื่อระบุคำตอบที่น่ำจะเป็นไปได้ของปัญหำ ซึ่งอำจอธิบำยได้ด้วยควำมรู้ของผู้ทดลอง
4. เพื่อระบุผลลัพธ์ที่ต้องกำรจำกกำรทดลอง
79. กำรเกิดภูเขำไฟในประเทศใดต่อไปนี ที่เกิดขึนจำกกระบวนกำรที่แตกต่ำงจำกข้ออื่นมำกที่สุด
1. ญี่ปุ่น 2. นิวซีแลนด์
3. อินโดนีเซีย 4. ไอซ์แลนด์
80. ดวงอำทิตย์เป็นแหล่งพลังงำนสำคัญของโลก กระบวนกำรใดบ้ำงต่อไปนีเกี่ยวข้องกับดวงอำทิตย์
ก. พลังงำนไฟฟ้ำจำกเซลล์สุริยะ
ข. กำรเกิดภูมิอำกำศที่แตกต่ำงในภูมิภำคต่ำงๆ ของโลก
ค. กำรเกิดนำขึนนำลง
ง. กำรเกิดลมบก-ลมทะเล
จงเลือกคำตอบที่ถูกที่สุด
1. ก. และ ข. 2. ก. ข. และ ค.
3. ก. และ ค. 4. ถูกทุกข้อ
ส่วนที่ 2 : แบบระบำยตัวเลือก แต่ละข้อมีคำตอบที่ถูกต้อง 2 คำตอบ จำนวน 10 ข้อ (81-90)
ข้อละ 2 คะแนน รวม 20 คะแนน
81. ข้อใดต่อไปนี นำไปสู่กำรเกิดสปีชีส์ใหม่
1. เมื่อผสมพันธุ์กันระหว่ำงประชำกร จะได้ลูกที่ไม่เป็นหมัน
2. ไม่มีกำรแลกเปลี่ยนพันธุกรรมข้ำมกลุ่มประชำกร
3. สิ่งกีดขวำงทำงพันธุกรรมหำยไป
4. อำศัยอยู่ในพืนที่เดียวกัน แต่มีฤดูกำลในกำรผสมพันธุ์ต่ำงกัน
5. มีฤดูผสมพันธุ์ในช่วงเดียวกัน
82. ข้อใดต่อไปนี กล่ำวถึงระบบนิเวศได้อย่ำงถูกต้อง
1. เซคิดิสก์เป็นเครื่องมือที่ใช้เปรียบเทียบควำมขุ่นของนำ 2 บริเวณ
2. ลูกอ๊อดจัดเป็นแพลงตอนชนิดหนึ่ง
3. พืชทุกชนิดจะมีถิ่นที่อยู่อำศัยจำเพำะในบำงพืนที่เท่ำนัน
4. ระบบนิเวศในทวีปยุโรปเป็นแบบป่ำเบญจพรรณและป่ำผลัดใบ
5. บริเวณป่ำฝนเขตร้อนมีควำมหลำกหลำยสูงกว่ำป่ำผลัดใบเขตอบอุ่น
83. โปรตอนตัวหนึ่งถูกยิงเข้ำไปในสนำมไฟฟ้ำสม่ำเสมอ กรณีใดต่อไปนีไม่มีโอกำสเป็นไปได้
1. โปรตอนเคลื่อนที่ด้วยอัตรำเร็วที่เพิ่มขึน
2. โปรตอนเคลื่อนที่ด้วยอัตรำเร็วที่ลดลง
3. โปรตอนเคลื่อนที่ด้วยอัตรำเร็วคงที่
4. โปรตอนเดินทำงเป็นเส้นโค้ง
5. โปรตอนสั่นแบบฮำร์มอนิกอย่ำงง่ำย
84. ข้อใดต่อไปนีกล่ำวเกี่ยวกับเสียงได้ถูกต้อง
1. เสียงที่มีคุณภำพดีจะฟังได้ไพเรำะกว่ำเสียงที่มีคุณภำพด้วยกว่ำ
2. เสียงที่ค่อยที่สุดมีระดับควำมเข้มเสียง 0เดซิเบลและเสียงที่ดังที่สุดมีระดับควำมเข้มเสียง 120เดซิเบล
3. กำรเทียบเสียงสำยกีตำร์กับหลอดเทียบเสียง ต้องเทียบจนกระทั่งไม่เกิดบีตส์
4. เสียงเป็นคลื่นที่เกิดจำกกำรสั่นของโมเลกุลอำกำศ
5. กำรเลียวเบนและกำรหักเหของเสียงเกิดเมื่อคลื่นเสียงเดินทำงผ่ำนตัวกลำงต่ำงชนิดกัน
85. ข้อใดกล่ำวได้ถูกต้องเกี่ยวกับคลื่นไหวสะเทือน
1. คลื่นพืนผิวมีอัตรำของกำรเคลื่อนที่เร็วกว่ำคลื่นในตัวกลำง
2. คลื่นพืนผิวมี 2 ชนิด คือ คลื่นปฐมภูมิและคลื่นทุติยภูมิ
3. คลื่นปฐมภูมิไม่สำมำรถเคลื่อนที่ผ่ำนตัวกลำงที่เป็นของแข็งได้
4. คลื่นทุติยภูมิไม่สำมำรถเคลื่อนที่ผ่ำนตัวกลำงที่เป็นของเหลวได้
5. คลื่นในตัวกลำงทุกชนิดสำมำรถเคลื่อนที่ผ่ำนตัวกลำงที่เป็นของแข็งได้
86. ข้อใดไม่ใช่หินภูเขำไฟ
1. หินแกรนิต
2. หินบะซอลล์
3. หินพัมมิช
4. หินเหล็กไฟ
5. หินออบซิเดียน
87. ข้อใดบ้ำงต่อไปนีถูกต้อง
1. ดำวฤกษ์สีแดงมีอำยุมำกกว่ำดำวฤกษ์สีนำเงิน
2. ดำวฤกษ์สีแดงอยู่ไกลกว่ำดำวฤกษ์สีนำเงิน
3. ดำวฤกษ์สีแดงเคลื่อนที่เร็วกว่ำดำวฤกษ์สีนำเงิน
4. ดำวฤกษ์สีแดงมีอุณหภูมิต่ำกว่ำดำวฤกษ์สีนำเงิน
5. ดำวฤกษ์สีแดงมีขนำดเล็กกว่ำดำวฤกษ์สีนำเงิน
88. นักวิทยำศำสตร์ท่ำนใดต่อไปนีมีส่วนในกำรพัฒนำกำรส่งจรวด
1. โรเบิร์ต กอดดำร์ด
2. โรเบิร์ต วิลสัน
3. ปีเตอร์ ไชคอฟสกี
4. คอนสแตนดิน ไชออลคอฟสกี
5. อำร์โน เพนเซียส
89. หำกต้องกำรทำกำรทดลองเพื่อเปรียบเทียบอัตรำเร็วกำรระเหยของนำมันรำข้ำวกับนำมันปำล์ม
ตัวแปรในข้อใดไม่จำเป็นต้องควบคุมให้คงที่
1. อุณหภูมิ
2. ยี่ห้อนำมัน
3. ควำมดันบรรยำกำศ
4. ขนำดของปำกภำชนะ
5. ควำมสูงของระดับนำมันในภำชนะ
90. หำกต้องกำรทดสอบว่ำตัวอักษรที่เขียนด้วยปำกกำสีใดจะสำมำรถอ่ำนได้ง่ำยกว่ำจะต้องควบคุม
ตัวแปรต่ำงๆ ให้คงที่ ยกเว้นข้อใด
1. สีหมึกปำกกำ
2. สีของกระดำษ
3. ขนำดกระดำษ
4. ขนำดตัวอักษร
5. ขนำดหัวลูกลื่นปำกกำ
เฉลยข้อสอบ
ชุดที่ 1 แนวข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์
มัธยมศึกษาตอนปลาย
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
1. 1 หำกเซลล์พืชไม่มีผนังเซลล์จะทำให้มีรูปร่ำงไม่คงตัว เซลล์อำจได้รับอันตรำยง่ำย
หำกถูกกระทบกระเทือนจำกสิ่งแวดล้อม
2. 2 ควำมเข้มข้นของสำรจะมีผลต่ออัตรำกำรแพร่ โดยหำกควำมเข้มข้นของสำร 2
บริเวณแตกต่ำงกันมำก จะทำให้กำรแพร่เกิดขึนได้เร็ว
3. 4 กำรแพร่แบบฟำซิลิเทตจะมีอัตรำกำรแพร่เร็วกว่ำกำรแพร่แบบธรรมดำ แม้ว่ำสำรที่
แพร่จะมีโมเลกุลขนำดใหญ่ แต่เนื่องจำกมีโปรตีนตัวพำที่ช่วยลำเลียงสำรผ่ำน
เยื่อหุ้มเซลล์ได้เร็ว
4. 2 กำรลำเลียงสำรแบบใช้พลังงำน เป็นกำรลำเลียงสำรจำกบริเวณที่มีควำมเข้มข้นน้อย
ไปสู่บริเวณที่มีควำมเข้มข้นมำก โดยใช้โปรตีนเป็นตัวพำ และอำศัยพลังงำนจำก
ATP ซึ่งอำจเปรียบได้กับกำรสูบนำขึนสู่ถังเก็บนำ ที่ต้องอำศัยพลังงำนไฟฟ้ำ
5. 1 หำกใส่ปุ๋ยให้ต้นไม้มำกเกินไป จะทำให้ในดินมีแร่ธำตุเข้มข้นมำก ดังนัน นำในเซลล์
รำกต้นไม้จะออสโมซิสออกจำกเซลล์ ต้นไม้จึงขำดนำ ส่งผลให้ต้นไม้เหี่ยวเฉำ
6. 1 หำกร่ำงกำยของสัตว์มีอุณหภูมิต่ำ สมองจะสั่งกำรให้มีอัตรำเมแทบอลิซึมสูงขึน เพื่อ
ช่วยทำให้ร่ำงกำยเกิดควำมอบอุ่นขึน เนื่องจำกกกระบวนกำรเมแทบอลิซึมจะได้
พลังงำนที่ช่วยให้ควำมอบอุ่นแก่ร่ำงกำย
7. 2 หลังจำกออกกำลังกำยกลำงแดดนำนๆ ร่ำงกำยจะมีอุณหภูมิสูงขึน จึงต้องมีกำรปรับ
สมดุลของอุณหภูมิในร่ำงกำย โดยจะมีเมแทบอลิซึมลดลงเพื่อช่วยให้อุณหภูมิ
ร่ำงกำยลดลง และหลอดเลือดจะขยำยตัวเพื่อช่วยระบำยควำมร้อนออกนอกร่ำงกำย
8. 4 เชือจุลินทรีย์ประจำถิ่นจะสำมำรถเจริญเติบโตได้ดีในสภำพแวดล้อมปกติบริเวณ
อวัยวะต่ำงๆ ของร่ำงกำย ซึ่งหำกมีเชือจุลินทรีย์ก่อโรคเข้ำมำในร่ำงกำย เชือจุลินทรีย์
ประจำถิ่นอำจจับกินเชือนันแย่งชิงอำหำร หรือสร้ำงสำรเพื่อยังยังเชือจุลินทรีย์ก่อโรค
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
9. 2 เมื่อเซลล์ลิมโฟไซต์ชนิดบีสัมผัสกับแอนติเจนหรือสิ่งแปลกปลอม จะเปลี่ยนแปลง
เป็นพลำสมำเซลล์ที่จะสร้ำงแอนติบอดีจำเพำะต่อแอนติเจนนัน และนอกจำกนี
บำงเซลล์ยังเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์เมมมอรี ทำหน้ำที่จดจำลักษณะของแอนติเจน
ซึ่งถ้ำแอนติเจนชนิดเดิมเข้ำสู่ร่ำงกำยอีก ร่ำงกำยจะตอบสนองโดยสร้ำงแอนติบอดี
ได้อย่ำงรวดเร็ว
10. 4 เนื่องจำกกลุ่มเลือดแต่ละกลุ่มจะมีแอนติเจนและแอนติบอดีต่ำงกัน กำรให้หรือกำร
รับเลือดจึงต้องคำนึงถึงหมู่เลือดของผู้ให้และผู้รับ ซึ่งหำกแอนติเจนของผู้ให้ตรงกับ
แอนติบอดีของผู้รับ จะทำให้เม็ดเลือดแดงตกตะกอน เป็นอันตรำยถึงชีวิตได้
11. 3 ภูมิคุ้มกันที่รับมำแต่กำเนิดเป็นภูมิคุ้มกันที่ติดตัวมำตังแต่เกิด พร้อมทำงำนทันทีที่มี
แอนติเจนเข้ำสู่ร่ำงกำย ไม่มีควำมจำเพำะเจำะจง และไม่มีกำรจดจำชนิดของ
แอนติเจน ซึ่งมีกลไกกำรป้องกันและกำจัดสิ่งแปลกปลอมโดยกำรจับกินและ
ย่อยทำลำยโดยเม็ดเลือดขำวกลุ่มฟำโกไซต์
12. 1 กำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรมจำกสิ่งมีชีวิตรุ่นหนึ่งไปยังสิ่งมีชีวิตอีกรุ่นหนึ่ง
จะผ่ำนทำงเซลล์สืบพันธุ์ของพ่อแม่ โดยลูกที่เกิดมำอำจมีลักษณะบำงอย่ำงเหมือน
พ่อ บำงอย่ำงเหมือนแม่ และอำจมีลักษณะบำงอย่ำงที่ไม่พบในพ่อและแม่ แต่พบใน
รุ่นปู่ย่ำ ตำยำย กำรศึกษำลักษณะทำงพันธุกรรมจึงต้องศึกษำจำกบุคคลหลำยรุ่น
13. 2 กำรฉีดวัคซีนเป็นกำรกระตุ้นให้ร่ำงกำยสร้ำงภูมิคุ้มกันขึนมำ หรือเรียกว่ำ ภูมิคุ้มกัน
ที่สร้ำงขึนเอง (active immunity) หมำยถึง ภูมิคุ้มกันที่ถูกกระตุ้นให้สร้ำงขึนมำ
จำเพำะต่อแอนติเจนหรือวัคซีนที่ฉีดเข้ำไป
14. 1 โครโมโซมร่ำงกำยหรือออโตโซม จะมียีนที่ควบคุมลักษณะต่ำงๆ ของสิ่งมีชีวิต
ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเพศ
15. 3 นิวคลีโอไทล์แต่ละสำยที่พบในสำยอำร์เอ็นเอจะประกอบไปด้วยหมู่ฟอสเฟต และ
นำตำลไรโบสเหมือนกัน แต่จะต่ำงกันที่ไนโตรเจนเบส ซึ่งอำจเป็นไซโทซีน ยูรำซิล
อะดีนีน หรือกวำนีน
16. 3 ควำมแตกต่ำงระหว่ำงดีเอ็นเอกับอำร์เอ็นเอ คือ ในนิวคลีโอไทด์ของดีเอ็นเอมีนำตำล
ดีออกซีไรโบส ส่วนของอำร์เอ็นเอเป็นนำตำลไรโบส และเบสในดีเอ็นเอเป็นไทมีน
แต่ในอำร์เอ็นเป็นยูรำซิล
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
17. 2 ระยะที่เหมำะสมต่อกำรศึกษำรูปร่ำงและลักษณะของโครโมโซม คือ ระยะที่มีกำร
แบ่งเซลล์ในขันเมทำเฟส เนื่องจำกโครโมโซมจะมำเรียงตัวอยู่ในแนวกึ่งกลำงเซลล์
มองเห็นได้อย่ำงชัดเจน และยังเป็นช่วงที่เหมำะต่อกำรนับจำนวนโครโมโซมอีกด้วย
18. 1 กำรแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส เป็นกำรแบ่งเซลล์เพื่อสร้ำงเซลล์สืบพันธุ์ จึงพบในเซลล์
ที่เกี่ยวข้องกับกำรสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต ได้แก่ อัณฑะและรังไข่ของมนุษย์หรือสัตว์
อับสปอร์หรืออับเรณูและออวุลของพืชทั่วไป และโคนของสน
19. 2 จำกโจทย์เมื่อนำสิ่งมีชีวิตที่กำหนดให้มำเขียนโซ่อำหำร ได้ดังนี
หญ้ำ ⟶ ตั๊กแตน ⟶ กระรอก ⟶ งู ⟶ เหยี่ยว
ซึ่งหำกดูจำกปริมำณสิ่งมีชีวิต และนำมำวัดมวลชีวภำพ (เนือเยื่อของสิ่งมีชีวิตทังหมด
ในรูปของนำหนักแห้ง มีหน่วยเป็นกรัมต่อตำรำงเมตร) ผู้บริโภคอันดับสุดท้ำยใน
โซ่อำหำรจะมีมวลชีวภำพน้อยที่สุด
20. 2 กำรถ่ำยทอดพลังงำนในระบบนิเวศจะส่งผ่ำนสิ่งมีชีวิตโดยกำรกินต่อกันเป็นทอดๆ
ในรูปของโซ่อำหำรและสำยใยอำหำร เริ่มต้นจำกผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคลำดับต่ำงๆ
ซึ่งยิ่งผู้บริโภคลำดับสูงขึนจะยิ่งได้รับพลังงำนน้อยลงตำมกฎสิบเปอร์เซ็นต์
และในโซ่อำหำรนันผู้ย่อยสลำยจะไม่มีส่วนในกำรถ่ำยทอดพลังงำน โดยโซ่อำหำร
และสำยใยอำหำรไม่สำมำรถบอกถึงควำมสมดุลของระบบนิเวศได้
21. 1 นกที่มีลักษณะคล้ำยกันนัน อำจมีสปีชีส์ต่ำงกัน เช่น นกเอียงกับนกขุนทอง เป็นต้น
ซึ่งไม่สำมำรถผสมพันธุ์กันได้ หรือหำกผสมพันธุ์กันจะได้ลูกจะเป็นหมัน
22. 4 สิ่งมีชีวิตบุกเบิกพวกแรกที่เข้ำไปเจริญเติบโตตำมก้อนหินที่ว่ำงเปล่ำ ได้แก่ พวก
ครัสโตสไลเคน (ไลเคน คือ รำและสำหร่ำยที่อำศัยอยู่ร่วมกัน) ซึ่งจะช่วยทำให้หิน
ผุพังกลำยเป็นดิน
23. 2 ในระบบนิเวศใดๆ จะเกิดควำมสมดุลของสิ่งมีชีวิตได้ก็ต่อเมื่อมีสัดส่วนของผู้ผลิต
ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลำยในปริมำณที่เหมำะสม
24. 1 สิ่งมีชีวิตต่ำงๆ มีควำมสัมพันธ์กัน ดังนี ต่อไทรกับต้นไทร เป็นควำมสัมพันธ์แบบ
ภำวะพึ่งพำกัน ส่วนฉลำมกับเหำฉลำม นกทำรังอยู่บนต้นไม้ และเพรียงเกำะบน
ตัวสัตว์ เป็นควำมสัมพันธ์แบบภำวะอิงอำศัย
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
25. 3 สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม คือ สิ่งมีชีวิตที่เกิดจำกกำรตัดต่อยีนด้วยเทคนิคทำง
พันธุวิศวกรรม โดยนำยีนจำกสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ไปใส่ให้กับสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง
เพื่อให้ได้สิ่งมีชีวิตที่มีคุณสมบัติตรงตำมต้องกำร เช่น พืชทนต่อแมลงศัตรูพืช
แบคทีเรียที่สำมำรถสร้ำงสำรบำงอย่ำงที่มีประโยชน์ทำงกำรแพทย์ เป็นต้น
26. 2 สิ่งแวดล้อมและทรัพยำกรธรรมชำติมีควำมสัมพันธ์กันทังในทำงตรงและทำงอ้อม
โดยทรัพยำกรธรรมชำติจะเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อม
27. 1 ทรัพยำกรนำนับเป็นทรัพยำกรที่เกิดขึนทดแทนใหม่ที่มนุษย์นำมำใช้ประโยชน์
มำกที่สุดในปัจจุบัน ทังในกำรอุปโภคบริโภค กำรเกษตร อุตสำหกรรม และกำรผลิต
กระแสไฟฟ้ำ
28. 3 แก๊สเรือนกระจกมี 4 ชนิด ได้แก่ แก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มีเทน (CH2)
สำรประกอบคลอโรฟลูออโรคำร์บอน (CFCs) และแก๊สไนตรัสออกไซด์ (NO)
29. 4 สำเหตุหลักที่ก่อให้เกิดปัญหำสิ่งแวดล้อมและทรัพยำกรธรรมชำติในปัจจุบัน คือ
มนุษย์ ยิ่งปัจจุบันประชำกรมนุษย์เพิ่มจำนวนขึนอย่ำงต่อเนื่อง ควำมต้องกำรใช้
ทรัพยำกรย่อมมำกขึนตำม อีกทังมนุษย์ยังมีควำมรู้ควำมสำมำรถมำกขึน ทำให้เกิด
ควำมเจริญก้ำวหน้ำทำงอุตสำหกรรม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี โดยที่ไม่มีกำร
วำงแผนกำรใช้ทรัพยำกร จึงส่งผลให้เกิดปัญหำดังกล่ำว และในอนำคตทรัพยำกร
บำงชนิดอำจหมดไปจำกโลกใบนี
30. 4 จำกคำตอบทังหมด ล้วนเป็นกำรสร้ำงรำยได้แก่ตนเองทังสิน แต่ในข้อ 1. 2. และ 3.
เป็นกำรทำลำยทรัพยำกรธรรมชำติ ส่วนข้อ 4. กำรนำขวดพลำสติกไปขำย ขวดนัน
อำจถูกนำไปผ่ำนกระบวนกำรรีไซเคิลแล้วขึนรูปเพื่อนำกลับมำใช้ประโยชน์ได้อีก
ซึ่งนับว่ำเป็นกำรช่วยอนุรักษ์ทรัพยำกรธรรมชำติ
31. 3 เมื่ออะตอมเสียอิเล็กตรอนไปซึ่งเป็นกำรเสียประจุลบ ทำให้อะตอมกลำยเป็นไอออน
บวก เช่น อะตอมของลิเทียม (Li) เมื่อเสียอิเล็กตรอนให้ธำตุอื่นไป 1 อนุภำค จะเป็น
ลิเทียมไอออน (Li+
)
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
32. 4 กำรยิงอนุภำคแอลฟำ (มีประจุบวก) ไปยังแผ่นโลหะ แล้วอนุภำคส่วนใหญ่ทะลุผ่ำน
ไปได้ แสดงว่ำอะตอมของแผ่นโลหะส่วนใหญ่เป็นที่ว่ำง แต่ถ้ำอนุภำคนันพุ่งเข้ำชน
นิวเคลียส (มีประจุบวก) ซึ่งมีขนำดเล็กมำก จะทำให้อนุภำคกระเจิงออกหรือสะท้อน
กลับเพียงส่วนน้อย
33. 1 ตัวเลขด้ำนบนของสัญลักษณ์ธำตุ คือ เลขมวล ซึ่งเป็นจำนวนโปรตอนรวมกับ
นิวตรอน ส่วนตัวเลขด้ำนล่ำงของสัญลักษณ์ คือ เลขอะตอม ซึ่งเป็นจำนวนโปรตอน
ดังนันธำตุ x จึงมีสัญลักษณ์เป็น x9
19
34. 3 H+
มีจำนวนโปรตอนเท่ำกับ 1 มีจำนวนนิวตรอนเท่ำกับ 0 และมีจำนวนอิเล็กตรอน
เท่ำกับ 0 ดังนัน H+
จึงขำดนิวตรอนและอิเล็กตรอน
35. 2 ธำตุที่มีกำรจัดเรียงอิเล็กตรอนเป็น 2, 8, 18, 32, 18, 7 เป็นธำตุหมู่ที่ 7 คำบที่ 6
ซึ่งก็คือ At
36. 3 Pb มีกำรจัดเรียงอิเล็กตรอนเป็น 2, 8, 18, 32, 18, 4 มีจำนวนอิเล็กตรอนชันในสุด
เท่ำกับ 2 และมีจำนวนอิเล็กตรอนชันนอกสุด เท่ำกับ 4
Pb2-
มีกำรจัดเรียงอิเล็กตรอนเป็น 2, 8, 18, 32, 18, 6 มีจำนวนอิเล็กตรอนชันในสุด
เท่ำกับ 2 และมีจำนวนอิเล็กตรอนชันนอกสุด เท่ำกับ 6
Pb2+
มีกำรจัดเรียงอิเล็กตรอนเป็น2,8,18,32,18,2มีจำนวนอิเล็กตรอนชันในสุด
เท่ำกับ 2 และมีจำนวนอิเล็กตรอนชันนอกสุด เท่ำกับ 2
Pb4+
มีกำรจัดเรียงอิเล็กตรอนเป็น 2, 8, 18, 32, 18 มีจำนวนอิเล็กตรอนชันในสุด
เท่ำกับ 2 และมีจำนวนอิเล็กตรอนชันนอกสุด เท่ำกับ 18
37. 1 ธำตุในหมู่เดียวกันจะมีสมบัติทำงเคมีคล้ำยคลึงกัน ซึ่งธำตุหมู่ 1A จะมีขนำดอะตอม
ใหญ่ มีควำมว่องไวในกำรเกิดปฏิกิริยำมำกกว่ำ และเกิดปฏิกิริยำกับนำได้ดีกว่ำธำตุ
หมู่ 2A
38. 3 รังสีแกมมำมีพลังงำนสูง จึงก่อให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงโครงสร้ำงดีเอ็นเอซึ่งเป็นสำร
พันธุกรรมในสิ่งมีชีวิตได้ โดยปกติสำรพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตมีหน้ำที่ควบคุม
ลักษณะต่ำงๆ ของสิ่งมีชีวิต ดังนัน เมื่อสำรพันธุกรรมมีกำรเปลี่ยนแปลงจะทำให้
หน่วยพันธุกรรมเกิดกำรเปลี่ยนแปลงไป สิ่งมีชีวิตก็จะกลำยพันธุ์ได้
39. 3 100% ⟶ 50% ⟶ 25% ⟶ 12.5% ⟶ 6.25%
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
ธำตุกัมมันตรังสี X จะเหลืออยู่ 6.25% จะต้องผ่ำนครึ่งชีวิตมำ 4 ครัง ดังนัน
สัตว์โบรำณนีมีชีวิตอยู่เมื่อ 5,000x4 = 20,000 ปีมำแล้ว
40. 4 ในโรงงำนไฟฟ้ำนิวเคลียร์ เมื่อเกิดปฏิกิริยำนิวเคลียร์จะได้พลังงำนออกมำมหำศำล
และจะมีควำมร้อนเกิดขึนจำนวนมหำศำลเช่นเดียวกัน ดังนันกำรสร้ำงโรงไฟฟ้ำ
นิวเคลียร์ไว้ใกล้แหล่งนำก็เพื่อนำนำจำกแหล่งนำมำใช้ในกำรหล่อเย็น เพื่อถ่ำยเท
ควำมร้อนออกจำกเตำปฏิกรณ์ เพรำะถ้ำไม่ได้ถ่ำยเทควำมร้อนออกจำกเตำปฏิกรณ์
ก็อำจทำให้โรงไฟฟ้ำนิวเคลียร์เกิดกำรระเบิดได้
41. 4 สำเหตุที่ธำตุมีกำรสร้ำงพันธะเคมีขึนก็เนื่องมำจำกธำตุต้องกำรปรับตัวให้มีเวเลนซ์
อิเล็กตรอนครบ 8 ซึ่งเป็นสภำวะที่อะตอมของธำตุมีควำมเสถียรมำกที่สุด โดยกำร
ปรับตัวให้มีเวเลนต์อิเล็กตรอนครบ 8 นัน อำจเป็นกำรใช้อิเล็กตรอนร่วมกับธำตุอื่น
ให้อิเล็กตรอนแก่ธำตุอื่น หรือรับอิเล็กตรอนจำกธำตุอื่นก็ได้
42. 3 พันธะโคเวเลนต์เป็นพันธะที่เกิดขึนระหว่ำงอะตอมของธำตุอโลหะกับธำตุอโลหะ
เข้ำมำสร้ำงแรงยึดเหนี่ยวต่อกัน เหล็ก แบเรียม รูบิเดียม เป็นโลหะ ส่วนฟลูออรีน
กำมะถัน ฟอสฟอรัส โบรมีน และออกซิเจน เป็นอโลหะ
43. 3 เกลือแกงมีสูตร คือ NaC1 โซดำไฟมีสูตร คือ NaOH ดังนันสำรทังสองจึงเป็น
สำรประกอบของโลหะหมู่ 1A สำรประกอบไอออนิกที่มีสถำนะเป็นของแข็ง
ไอออนต่ำงๆ ที่มีประจุไฟฟ้ำจะถูกยึดเหนี่ยวกันอย่ำงหนำแน่น จึงไม่สำมำรถนำ
ไฟฟ้ำได้ และโลหะแทรนซิชันกับโลหะหมู่ 1A และ 2A เป็นโลหะเหมือนกัน
เกิดแรงยึดเหนี่ยวที่เป็นพันธะโลหะเหมือนกัน จึงมีสมบัติทำงกำยภำพเหมือนกัน
44. 2 แรงลอนดอน เป็นแรงยึดเหนี่ยวที่เกิดระหว่ำงโมเลกุลโคเวเลนต์ที่ไม่มีขัว ดังนัน
สำรที่มีแรงยึดเหนี่ยวเป็นแรงลอนดอนได้แก่ O2 CCI4 BCI3 และ CI2
แรงดึงดูดระหว่ำงขัว เป็นแรงยึดเหนี่ยวที่เกิดระหว่ำงโมเลกุลโคเวเลนต์ที่มีขัว
ดังนันสำรที่มีแรงยึดเหนี่ยวเป็นแรงดึงดูดระหว่ำงขัว ได้แก่ SF2 CHC13 และ SO2
พันธะไฮโดรเจน เป็นพันธะที่เกิดจำกอะตอมของธำตุไฮโดรเจน สร้ำงพันธะกับ
อะตอมของธำตุฟลูออรีน หรือออกซิเจน หรือไนโตรเจน ดังนันสำรที่มีแรงยึดเหนี่ยว
เป็นพันธะไฮโดรเจน ได้แก่ HF CH3 OH และ NH3
45. 2 Li2HPO4 อ่ำนว่ำ ลิเทียมไฮโรเจนฟอสเฟต
Fe2O3 อ่ำนว่ำ ไอร์ออน (III) ออกไซด์
Cu2S อ่ำนว่ำ คอปเปอร์ (I) ซัลไฟด์
CaHCO3 อ่ำนว่ำ แคลเซียมไฮโดรเจนคำร์บอเนต
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
46. 4 กำรเคียวข้ำวก่อนกลืน ข้ำวจะทำปฏิกิริยำกับเอนไซม์ในปำก แล้วข้ำวจะถูกย่อย
กลำยเป็นนำตำล กำรฟอกสบู่ในนำกระด้ำง สบู่จะทำปฏิกิริยำกับนำกระด้ำง ทำให้
เกิดไคลสบู่ กำรทำแล็กเกอร์เคลือบผิวไม้ แล็กเกอร์จะทำให้ผิวไม้เกิดควำมมันวำว
ส่วนกลีเซอรอลและเอทำนอลเป็นสำรเคมีประเภทเดียวกัน คือ แอลกอฮอล์ ดังนัน
สำรทัง 2 ชนิดนีจึงไม่ทำปฏิกิริยำเคมีกัน
47. 1 จำกควำมสำมำรถในกำรนำไฟฟ้ำที่กำหนดให้ สรุปได้ว่ำ สำร A เป็นสำรประกอบ
ไอออนิก ซึ่งก็คือ KI สำร B เป็นโลหะ ซึ่งก็คือ Cr และสำร C เป็นสำรประกอบ
โคเวเลนต์ ซึ่งก็คือ CO2
48. 3 เมื่อนำนำกระด้ำงที่มีเกลือแคลเซียมไบคำร์บอเนต (Ca(HCO3)2) ปนอยู่มำต้มจะทำ
ให้เกลือแคลเซียมไบคำร์บอเนตนันเกิดปฏิกิริยำสลำยตัวไปเป็นแคลเซียมคำร์บอเนต
(CaCO3) ซึ่งไม่ละลำยนำ และจะแยกตัวออกมำตกตะกอนสะสมอยู่ในกำต้มนำ
กลำยเป็นตะกรัน
49. 1 พืนที่ผิวสัมผัสที่เพิ่มขึนจะทำให้ปฏิกิริยำเคมีเกิดได้เร็วขึน เพรำะสำรมีพืนที่สำหรับ
เข้ำทำปฏิกิริยำได้มำกขึน ดังนัน กระดำษฝอยที่มีพืนที่ผิวสัมผัสกับเชือเพลิงได้
มำกกว่ำกระดำษแผ่นจึงลุกติดไฟได้เร็วกว่ำ
50. 2 กำรเกิดปฏิกิริยำเคมีของสำรจะอธิบำยโดยอำศัยทฤษฎีกำรชนกัน คือ สำรจะสำมำรถ
เกิดปฏิกิริยำเคมีขึนได้ สำรตังต้นจะต้องมีกำรชนกันในทิศทำงที่เหมำะสม และกำร
ชนกันนันจะต้องทำให้สำรมีพลังงำนที่มำกพอ (มำกกว่ำค่ำพลังงำนก่อกัมมันต์)
51. 4 พลังงำนที่สะสมอยู่ในอำหำร คือ พลังงำนเคมี สำรอำหำรที่รับประทำนเข้ำไปต้อง
ผ่ำนกำรย่อยให้เป็นโมเลกุลที่เล็กที่สุดก่อนร่ำงกำยจึงสำมำรถนำไปใช้ประโยชน์ได้
โดยไขมันเป็นสำรอำหำรที่ให้พลังงำนแก่ร่ำงกำยมำกที่สุด และในร่ำงกำยจะมี
โปรตีนเป็นองค์ประกอบมำกที่สุด
52. 2 สำรละลำยเบเนดิกต์นำมำใช้ทดสอบนำตำลโมเลกุลเดี่ยว โดยจะเกิดผลิตภัณฑ์ที่เป็น
ตะกอนสีแดงอิฐ นำองุ่น นำผึง และนำแอปเปิล มีนำตำลโมเลกุลเดี่ยวเป็น
องค์ประกอบจึงสำมำรถทำปฏิกิริยำกับสำรละลำยเบเนดิกต์ได้ ส่วนนำแป้งเป็น
พอลิแซ็กคำไรด์ซึ่งจะไม่เกิดปฏิกิริยำกับสำรละลำยเบเนดิกต์
53. 2 กรดไขมันมีหมู่คำร์บอกซิลเป็นหมู่ฟังก์ชัน ส่วนกลีเซอรอลมีหมู่ไฮดรอกซิลเป็น
หมู่ฟังก์ชัน โดยกำรเกิดไขมันหรือที่เรียกว่ำไตรกลีเซอไรด์ จะเกิดจำกกรดไขมันนำ
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
หมู่คำร์บอกซิลมำทำปฏิกิริยำกับหมู่ไฮดรอกซิลของกลีเซอรอล
54. 1 สำรละลำยคอปเปอร์ (II) ซัลเฟตในเบสจะทำปฏิกิริยำกับโปรตีน โดยคอปเปอร์ (II)
ไอออน จะไปจับกับไนโตรเจนของพันธะเพปไทด์ เกิดเป็นสำรประกอบเชิงซ้อนที่
เป็นของแข็งสีนำเงินม่วง โปรตีนจึงมีกำรแปลงสภำพไป
55. 2 นำมันที่เผำไหม้แล้วให้พลังงำนมำกกว่ำแสดงว่ำรถยนต์จะวิ่งได้ระยะทำงมำกกว่ำ
และค่ำออกเทนเป็นค่ำที่แสดงถึงควำมสำมำรถในกำรต้ำนทำนกำรจุดระเบิดก่อน
เวลำที่กำหนดในเครื่องยนต์เบนซิน ดังนัน นำมันที่มีค่ำออกเทนมำกกว่ำจะต้ำนทำน
กำรจุดระเบิดในเครื่องยนต์ได้ดีกว่ำ เครื่องยนต์จึงทำงำนได้ดีกว่ำ
56. 1 นำมันหล่อลื่นนำมำใช้ทำนำมันเครื่อง เทียนไข และแว็ก แก๊สปิโตรเลียมนำมำใช้เป็น
แก๊สหุงต้ม แก๊สโซลีนนำมำใช้เป็นนำมันเชือเพลิงสำหรับรถยนต์ และนำมันเชือเพลิง
นำมำใช้เป็นเชือเพลิงของเครื่องจักรและเรือ
57. 3 แก๊สคำร์บอนมอนอกไซด์จะไปจับกับเฮโมโกลบินทำให้เลือดไม่สำมำรถรับ
ออกซิเจนได้ แก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ทำให้เกิดฝนกรด แก๊สคำร์บอนไดออกไซด์จะ
ก่อให้เกิดภำวะโลกร้อน และแก๊สไฮโดรคำร์บอนจะก่อให้เกิดกำรระคำยเคืองใน
ระบบหำยใจ
58. 4 เชือเพลิงที่เป็นสำรประกอบไฮโดรคำร์บอน เมื่อนำมำเผำไหม้ในที่ที่มีแก๊ส
ออกซิเจนเพียงพอ จะเกิดกำรเผำไหม้สมบูรณ์ให้ไอนำและแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์
เป็นผลิตภัณฑ์ เช่น กำรเผำไหม้มีเทนจะเกิดปฏิกิริยำ ดังนี
CH4 + 2O2 ⟶ CO22H2O
แก๊สโซฮอล์ แก๊สบิวเทนและแก๊สธรรมชำติ เป็นเชือเพลิงที่เป็นสำรประกอบ
ไฮโดรคำร์บอน เมื่อเกิดกำรเผ่ำไหม้ในบรรยำกำศที่มีออกซิเจนจะได้ไอนำและแก๊ส
คำร์บอนไดออกไซด์เป็นผลิตภัณฑ์
59. 4 ลินิน เซลลูโลส ยำงพำรำ ไคติน ไกลโคเจน แป้ง โปรตีน และกรดนิวคลีอิก เป็น
พอลิเมอร์ธรรมชำติ ส่วนไนลอน พีวีซี นีโอพรีน ซิลิโคน เป็นพอลิเมอร์สังเครำะห์
60. 3 พอลิเมอร์ที่มีโครงสร้ำงแบบกิ่งจะมีควำมหนำแน่นและจุดหลอมเหลวต่ำ มีควำม
ยืดหยุ่น ควำมเหนียวต่ำ เมื่อร้อนจะอ่อนตัวและเมื่อเย็นลงจะแข็งตัว พอลิเมอร์ที่มี
โครงสร้ำงแบบเส้นจะมีควำมหนำแน่นและจุดหลอมเหลวสูง มีลักษณะแข็ง ขุ่น และ
เหนียว ส่วนพอลิเมอร์ที่มีโครงสร้ำงแบบร่ำงแหจะมีควำมแข็งแกร่ง แต่เปรำะ
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
61. 4 เทอร์มอพลำสติกเป็นพลำสติกที่เมื่อได้รับควำมร้อนแล้วจะหลอมเหลว และจะ
กลับมำแข็งตัวใหม่อีกครังเมื่อเย็นลง ส่วนพลำสติกเทอร์มอเซตเป็นพลำสติกที่เมื่อ
ได้รับควำมร้อนที่สูงมำกเกินไปจะแตกและหัก ไม่สำมำรถคืนรูปได้ ดังนันจึงใช้กำร
เปลี่ยนแปลงเมื่อได้รับควำมร้อนเป็นเกณฑ์ในกำรแยกพลำสติกทัง 2 ประเภทนี
62. 2 พอลิบิวตำไดอีน มีมอนอเมอร์ คือ บิวตำไดอีน ส่วนนีโอพรีน มีมอนอเมอร์ คือ
คลอโรบิวตำไดอีน จึงเป็นโฮโมพอลิเมอร์ที่เกิดปฏิกิริยำพอลิเมอไรเซชันแบบต่อเติม
ยำงเอสบีอำร์ มีมอนอเมอร์ คือ สไตรีนและบิวตำไดอีน ส่วนยำงเอบีเอส มี
มอนอเมอร์ คือ อะคริโลไนไตรล์ สไตรีน และบิวตำไดอีน จึงเป็นโคพอลิเมอร์ที่
เกิดปฏิกิริยำพอลิเมอไรเซชันแบบต่อเติม
63. 1 กำรกระจัด คือ ระยะที่วัดจำกจุดเริ่มต้นไปยังจุดสุดท้ำย จำกโจทย์มีกำรกระจัด ดังนี
ข้อ 1. มีกำรกระจัด 10 − 2 = 8 เมตร
ข้อ 2. มีกำรกระจัด 3 × 4 = 12 เมตร
ข้อ 3. มีกำรกระจัด 4 × 3 = 12 เมตร
64. 2 กำรกระจัดทังหมด S⃑ = 20 − 2 = 18 เมตร
เวลำที่ใช้ทังหมด t = 5 วินำที
ดังนัน ควำมเร็วเฉลี่ย v⃑ =
s⃑
t
=
18
5
= 3.6 เมตรต่อวินำที
65. 2 ควำมเร็วต้น u⃑ = 0 เมตร/วินำที ควำมเร่ง a⃑ = 2 เมตร/วินำที
เวลำ t = 5 วินำที ควำมเร็วปลำย V⃑⃑ = ?
ดังนันแทนค่ำลงในสูตรหำควำมเร่ง
จำกสูตร a⃑ =
v⃑⃑ −u⃑⃑
t
V⃑⃑ = u⃑ + a⃑ t
= 0 + (2×5)
= 10 เมตร/วินำที
66. 1 ควำมเร่งโน้มถ่วงนันเป็นค่ำคงที่และจะไม่เปลี่ยนแปลงตำมเวลำ แต่จะเปลี่ยนตำม
ระดับควำมสูงจำกพืนโลก ดังนันถ้ำในระดับควำมสูงเดิมควำมเร่งโน้มถ่วงก็จะมีค่ำ
เท่ำเดิมตลอดเวลำและจะเปลี่ยนแปลงเมื่อมีค่ำควำมสูงจำกพืนโลกมำกๆ
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
67. 3 กำรเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์เป็นกำรเคลื่อนที่ภำยใต้แรงโน้มถ่วง จึงมีค่ำควำมเร่ง
โน้มถ่วงกระทำในทิศชีลงตลอดกำรเคลื่อนที่ ในขณะที่ในแนวรำบมีควำมเร่งเป็น
ศูนย์ เนื่องจำกควำมเร็วในแนวรำบจะคงที่ และที่จุดสูงสุดของกำรเคลื่อนที่แบบ
โพรเจกไทล์จะพิจำรณำในทำนองเดียวกับกำรเคลื่อนที่ในแนวดิ่ง คือ ควำมเร็วใน
แนวดิ่งจะมีค่ำเป็นศูนย์ที่ตำแหน่งสูงสุด
68. 4 เมื่อเกิดกำรเคลื่อนที่แบบวงกลมดังที่โจทย์กำหนด แรงที่กระทำกับจุกยำงขณะเหวี่ยง
จะเป็นแรงสู่ศูนย์กลำง และแรงสู่ศูนย์กลำงจะมีทิศเข้ำหำจุดศูนย์กลำงวงกลมเสมอ
69. 3 แรงที่กระทำกับวัตถุขณะหมุนในแนวดิ่งจะมีทังแรงตึงเชือกกับนำหนักของวัตถุ
แรงสู่ศูนย์กำลำงจึงเป็นผลรวมของแรงตึงเชือกกับนำหนักของวัตถุ
70. 2 กำรเคลื่อนที่ของลูกตุ้ม คำบของกำรแกว่งจะขึนอยู่กับควำมยำวเชือกและค่ำควำมเร่ง
โน้มถ่วงของโลก แต่จะไม่เกี่ยวข้องกับมวลของวัตถุ
71. 3 กำรเคลื่อนที่แบบฮำร์มอนิกอย่ำงง่ำยจะสั่นด้วยกำรกระจัดเล็กๆ สม่ำเสมอ ดังนัน
ข้อที่ไม่ใช่กำรเคลื่อนที่แบบฮำร์มอนิกอย่ำงง่ำยคือข้อ 3
72. 4 เส้นแรงแม่เหล็กจะพุ่งจำกขัวเหนือไปขัวใต้เสมอ จำกภำพในโจทย์จะเห็นว่ำเส้นแรง
แม่เหล็กจะพุ่งจำก B ไป A และ C ไป D ทำให้ทรำบได้ว่ำ B และ C เป็นขัวเหนือ
A และ D เป็นขัวใต้
73. 3 ประจุไฟฟ้ำชนิดเดียวกันจะออกแรงผลักกันทำให้ประจุห่ำงกันเป็นระยะหนึ่งเท่ำนัน
แล้วจะหยุดนิ่งเนื่องจำกแรงทำงไฟฟ้ำจะมีค่ำน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อประจุมีระยะห่ำงกัน
มำกขึน
74. 4 อิเล็กตรอนเป็นอนุภำคที่มีประจุเป็นลบ ซึ่งจำกที่เรียนมำเกี่ยวกับกำรเบนของอนุภำค
ในสนำมไฟฟ้ำ ประจุบวกจะเคลื่อนตำมแนวสนำมไฟฟ้ำ แต่ถ้ำเป็นประจุลบจะมี
กำรเคลื่อนที่ตรงข้ำมกับประจุบวก คือ เคลื่อนที่สวนกับแนวสนำมไฟฟ้ำ
75. 1 จำกสมกำร W⃑⃑⃑ = mg⃑ ต้องกำรหำสนำมโน้มถ่วง (g⃑ ) โดยมวลของวัตถุจะมีค่ำคงที่
ทุกสภำพโน้มถ่วง
g⃑ =
w⃑⃑⃑
m
=
16
10
= 1.6 m/s2
ดังนัน สนำมโน้มถ่วงของดวงจันทร์มีค่ำเท่ำกับ 1.6 m/s2
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
76. 1. นิวเคลียสของอะตอมนันจะประกอบไปด้วยโปรตอนที่มีประจุบวก และนิวตรอนที่
เป็นกลำงทำงไฟฟ้ำ จึงทำให้แรงไฟฟ้ำมีอิทธิพลน้อยมำกภำยในนิวเคลียส และด้วย
มวลของโปรตอนและนิวตรอนที่มีน้อยมำก ทำให้แรงดึงดูดระหว่ำงมวลไม่มีผล
เพรำะฉะนันแรงที่ทำหน้ำที่ยึดโปรตอนกับนิวตรอนไว้ภำยในนิวเคลียสนันก็คือ
แรงนิวเคลียร์เพียงอย่ำงเดียว
77. 4 คลื่นตำมขวำงและคลื่นตำมยำวจะต่ำงกันตรงที่ทิศกำรสั่นของคลื่นกับทิศกำร
เคลื่อนที่ของตัวกลำง ถ้ำคลื่นสั่นในทิศตังฉำกกับทิศกำรเคลื่อนที่ของตัวกลำง
เรียกว่ำ คลื่นตำมขวำง ถ้ำคลื่นสั่นในทิศเดียวกันหรือขนำนกับกำรเคลื่อนที่ของ
ตัวกลำง เรียกว่ำ คลื่นตำมยำว
78. 4 คลื่นตำมยำว คือ คลื่นที่กำรสั่นในทิศทำงเดียวกันหรือขนำนกับทิศกำรเคลื่อนที่ของ
ตัวกลำง
79. 2 จำก v = 𝑓𝜆
จะได้ 𝜆 =
v
𝑓
=
3.0×108 m/s
88 MHz
=
3.0×108
88×106
= 0.034 ×10
2
เมตร
𝜆 = 3.4 เมตร
80. 4 โรงภำพยนตร์เป็นห้องโล่งจึงเกิดเสียงสะท้อน และเสียงสะท้อนนีจะก่อปัญหำใน
กำรรับชมภำพยนตร์ จึงมีกำรบุผนังและเก้ำอีของโรงภำพยนตร์ด้วยวัสดุดูดซับเสียง
เพื่อลดกำรสะท้อนของเสียง
81. 2 กำรเลียวเบนเกิดเมื่อคลื่นเคลื่อนที่ปะทะสิ่งกีดขวำงแล้วเบนอ้อมสิ่งกีดขวำงนัน
82. 2 กำรแทรกสอดทำให้เกิดกำรเสริมและหักล้ำงของคลื่นเสียงเป็นช่วงๆ จึงเกิดเสียงดัง
และเบำสลับกัน เรียกว่ำ บีตส์ของเสียง
83. 3 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำทุกชนิดจะประกอบด้วยสนำมแม่เหล็กและสนำมไฟฟ้ำ และทัง 2
สนำมจะมีทิศตังฉำกกับทิศกำรเคลื่อนที่ของคลื่น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำจึงเป็นคลื่น
ตำมขวำง
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
84. 2 เรียงระดับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำตำมควำมยำวคลื่นจำกมำกไปน้อยได้ ดังนี
คลื่นวิทยุ >ไมโครเวฟ > อินฟรำเรด > แสง > อัตรำไวโอเลต > รังสีเอกซ์ >
รังสีแกมมำ จำกตัวเลือกทัง 4 คลื่นที่มีควำมยำวคลื่นสันที่สุด คือ คลื่นอินฟรำเรด
85. 2 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำเป็นคลื่นที่ไม่จำเป็นต้องอำศัยตัวกลำงในกำรเคลื่อนที่
86. 1 ไอโซโทป คือ ธำตุชนิดเดียวกันที่มีจำนวนโปรตอนหรือเลขอะตอมเท่ำกัน แต่มี
เลขมวลต่ำงกัน ดังนัน เลขอะตอมจะต้องเป็น 5 ส่วนเลขมวลจะมีกำรเปลี่ยนไป
87. 3 รังสีแกมมำสีที่ไม่มีประจุไฟฟ้ำหรือเป็นกลำงทำงไฟฟ้ำ ทำให้เมื่อเคลื่อนที่เข้ำไปใน
สนำมแม่เหล็กหรือสนำมไฟฟ้ำจึงไม่เกิดกำรเบน กล่ำวคือจะเคลื่อนผ่ำนไปใน
แนวทำงเดิมของกำรเคลื่อนที่
88. 2 รังสีแอลฟำ คือ ไอออนของฮีเลียมที่มีประจุ +2 มีมวลมำกที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับ
รังสี 2 ชนิด แต่มีอำนำจทะลุทะลวงต่ำที่สุด รังสีบีตำ คือ อิเล็กตรอนที่วิ่งด้วย
ควำมเร็วสูง มีอำนำจทะลุทะลวงมำกกว่ำรังสีแอลฟำ แต่น้อยกว่ำรังสีแกมมำ
ส่วนรังสีแกมมำไม่มีมวล แต่มีอำนำจทะลุทะลวงสูงที่สุด
89. 3 จำกสมกำรกำรสลำยตัวจำก Ra88
226
ไปเป็น Rn86
222
มีเลขมวลหำยไป 4
เลขอะตอมหำยไป 2 ดังนัน x คือ อนุภำคแอลฟำ ( He+2
2
4
)
90. 2 เริ่มต้นมีไอโอดีน 256 กรัม เมื่อเวลำผ่ำนไป 25 นำที จะเหลือไอโอดีน 128 กรัม เมื่อ
เวลำผ่ำนไปอีก 25 นำที จะเหลือไอโอดีน 64 กรัม และเมื่อเวลำผ่ำนไปอีก 25 นำที
จะเหลือไอโอดีนเพียง 32 กรัม รวมเวลำในกำรสลำยตัวของไอโอดีน-128 จำก 256
กรัม จนเหลือเพียง 32 กรัม ใช้เวลำ 25+25+25 เท่ำกับ 75 นำที (1 ชั่วโมง 15 นำที)
โดยเขียนเป็นแผนผังได้ ดังนี
I 256 กรัม 25 นำที
I 128 กรัม 25 นำที
I 64 กรัม 25 นำที
I 32 กรัม
91. 3 กำรทำควำมสะอำดอุปกรณ์ทำงกำรแพทย์นอกจำกจะใช้วิธีกำรอบด้วยควำมร้อน
แล้วยังใช้รังสีแกมมำจำก Co-60 ในกำรฆ่ำเชือโรคบำงชนิดอีกด้วย เหตุที่ใช้รังสี
แกมมำ เนื่องจำกรังสีแกมมำมีอำนำจทะลุทะลวงสูง ทำให้สำมำรถฆ่ำเชือโรคได้
เกือบทุกชนิด
92. 3 ปฏิกิริยำนิวเคลียร์ฟิวชัน เป็นกำรรวมตัวของธำตุเบำแล้วกลำยเป็นธำตุหนัก และ
จะคำยควำมร้อนสูงออกมำ ปฏิกิริยำนิวเคลียร์ฟิวชันเกิดที่พืนผิวหรือภำยในของ
ดวงอำทิตย์ โดยเกิดจำกกกำรรวมตัวของไอโซโทปของไฮโดรเจนให้กลำยเป็น
ฮีเลียม
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
93. 2 โลกมีรูปร่ำงกลมรีคล้ำยผลส้ม มีเส้นผ่ำนศูนย์กลำงในแนวนอนยำวกว่ำเส้นผ่ำน
ศูนย์กลำงในแนวดิ่ง ซึ่งโครงสร้ำงของโลก แบ่งออกเป็นเปลือกโลก เนือโลก และ
แก่นโลก ส่วนเปลือกโลกเป็นส่วนที่บำงที่สุด โดยแต่ละบริเวณจะมีควำมหนำ
แตกต่ำงกันไป ส่วนเนือโลกและแก่นโลกจะมีควำมร้อนและอุณหภูมิสูงมำก
94. 3 เมื่อเปลือกโลกภำคพืนทวีปกับเปลือกโลกภำคพืนมหำสมุทรชนกัน เปลือกโลก
ภำคพืนมหำสมุทรที่มีควำมหนำแน่นมำกกว่ำ จะจมตัวลงและดันหนุนให้เปลือกโลก
ภำคพืนทวีปยกตัวขึน
95. 3 แผ่นธรณีภำคลอยอยู่บนหินหนืดในชันเนือโลก ซึ่งหินหนืดมีกำรเคลื่อนที่ไหลวน
ตลอดเวลำ จึงเป็นผลให้แผ่นธรณีภำคเคลื่อนที่ไปด้วย
96. 3 หลักฐำนที่สนับสนุนทฤษฎีกำรเลื่อนไหลของทวีป มีหลำยอย่ำง ได้แก่
1. ลักษณะของทวีปต่ำงๆ ในปัจจุบันสำมำรถนำมำต่อกันได้อย่ำงพอดี
2. พบฟอสซิลของเมโซซอรัสในทวีปอเมริกำใต้และทวีปแอฟริกำ
3. ขอบของทวีปอเมริกำใต้และทวีปแอฟริกำมีหินที่คล้ำยคลึงกันและเกิดในยุค
ใกล้เคียงกัน
97. 2 แผ่นดินไหวในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเกิดจำกรอยเลื่อนที่มีพลัง ซึ่งเป็น
แผ่นดินไหวที่มีควำมรุนแรงไม่มำกนัก แต่หำกแผ่นดินไหวที่สำมำรถทำให้เกิด
ควำมรู้สึกสั่นสะเทือนได้มักมีศูนย์กลำงอยู่ที่ประเทศพม่ำ เนื่องจำกพม่ำตังอยู่ในแนว
ของวงแหวนแห่งไฟ ที่มีโอกำสเกิดแผ่นดินไหวได้มำก
98. 3 แผ่นดินไหวอำจเกิดจำกธรรมชำติ โดยกำรเคลื่อนตัวชนกันของแผ่นเปลือกโลก กำร
ปะทุของภูเขำไฟ และนอกจำกนียังอำจเกิดจำกกระทำของมนุษย์ เช่น กำรสร้ำงเขื่อน
กำรสร้ำงเหมืองกำรทดลองระเบิดปรมำณู เป็นต้นซึ่งล้วนทำให้เปลือกโลกเกิดกำร
เปลี่ยนแปลง อันเป็นเหตุให้เกิดแผ่นดินไหวขึน
99. 2 บริเวณที่มักเกิดภูเขำไฟ คือ บริเวณแนวรอยต่อของแผ่นธรณีภำค ซึ่งเป็นบริเวณ
เดียวกับที่เกิดแผ่นดินไหว นั่นคือ บริเวณวงแหวนแห่งไฟนันเอง
100. 4 ซำกดึกดำบรรพ์ดัชนีถูกใช้เป็นตัวกำหนดและระบุระยะทำงธรณีวิทยำ ซึ่งมีลักษณะ
เด่นคือ สำมำรถบอกอำยุได้แน่นอน
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
101. 1 วิธีกำรหำอำยุของซำกดึกดำบรรพ์ไดโนเสำร์ ทำได้โดยกำรเปรียบเทียบอำยุกับชัน
หินที่พบซำกนัน ซึ่งจะระบุได้เพียงว่ำซำกไดโนเสำร์นันใหม่กว่ำหรือเก่ำกว่ำซำก
ไดโนเสำร์อีกซำกหนึ่ง และอีกวิธีหนึ่ง คือ กำรวิเครำะห์ปริมำณธำตุกัมมันตรังสี
ที่อยู่ในซำกไดโนเสำร์นัน เช่น คำร์บอน-14 ยูเรเนียม-238 เป็นต้น ส่วนกำรใช้
ซำกดึกดำบรรพ์ดัชนีนันไม่สำมำรถนำมำหำอำยุของซำกดึกดำบรรพ์ไดโนเสำร์ได้
เนื่องจำกซำกดึกดำบรรพ์ดัชนีที่พบในแต่ละยุคนัน ไม่ได้เป็นซำกของไดโนเสำร์
102. 4 ในประเทศไทยมีรำยงำนกำรค้นพบซำกดึกดำบรรพ์ทังพืชและสัตว์อยู่แทบทุกภำค
แต่พบมำกที่สุดในภำคตะวันออกเฉียงเหนือ
103. 3 เอกภพ คือ บริเวณที่กว้ำงใหญ่ไพศำลและไร้ขอบเขต ภำยในเอกภพประกอบไปด้วย
กำแล็กซีต่ำงๆ และเอกภพยังคงขยำยตัวออกไปเรื่อยๆ ในทุกทิศทำง ทำให้กำแล็กซี
ภำยในเอกภพเคลื่อนที่ออกห่ำงจำกกัน ซึ่งเอกภพเกิดจำกกำรระเบิดครังใหญ่ ที่
เรียกว่ำ บิกแบง เมื่อเกิดกำรระเบิดแล้วจะทำให้เกิดอนุภำคมูลฐำนต่ำงๆ ได้แก่
กลุ่มแลปตอน และอนุภำคควำร์ก
104. 4 เอ็ดวิน พำเวลล์ ฮับเบิล ศึกษำกำรขยำยตัวของเอกภพ โดยกำรวัดสเปกตรัมของแสง
จำกกำรสะท้อนกลับมำจำกกำแล็กซีอื่นๆ แล้วพบว่ำกำแล็กซีกำลังเคลื่อนออกห่ำง
จำกกัน ซึ่งกำแล็กซีที่อยู่ไกลโลกจะเคลื่อนตัวออกไปเร็วกว่ำกำแล็กซีที่อยู่ใกล้โลก
105. 1 ดำรำจักรหรือกำแล็กซี ประกอบขึนมำจำกกระจุกดำวจำนวนมำกมำย และในแต่ละ
กระจุกดำวก็จะประกอบไปด้วยระบบดำวฤกษ์หรือระบบสุริยะต่ำงๆ ซึ่งดำรำจักรนัน
เป็นส่วนหนึ่งของเอกภพ
106. 3 กำแล็กซีทำงช้ำงเผือกเป็นกำแล็กซีที่มีรูปร่ำงก้นหอยหรือกังหัน ที่มีแขน 4 แขน
ยื่นออกมำจำกใจกลำง ซึ่งระบบสุริยะของเรำก็อยู่ที่ปลำยแขนข้ำงหนึ่ง
107. 2 วัตถุที่มีมวลทุกชนิดจะมีแรงดึงดูดระหว่ำงมวลเสมอ โดยยิ่งวัตถุมีขนำดใหญ่ก็จะมี
แรงดึงดูดมำกตำมไปด้วย ดวงอำทิตย์เป็นวัตถุที่มีมวลมหำศำลจึงออกแรงดึงดูด
ดำวเครำะห์ในระบบสุริยะ ทำให้ดำวเครำะห์โคจรรอบดวงอำทิตย์ และดวงอำทิตย์
ยังทำให้เกิดกำรแผ่สนำมโน้มถ่วงออกไปครอบคลุมทั่วทังระบบสุริยะ ทำให้ดวงดำว
ในระบบสุริยะทุกดวงอยู่ภำยใต้สนำมโน้มถ่วงของดวงอำทิตย์ด้วย
108. 1 ดำวเกิดจำกกลุ่มแก๊สขนำดใหญ่เกิดกำรยุบตัวลงอย่ำงช้ำๆ เนื่องจำกแรงโน้มถ่วงจำก
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
จุดศูนย์กลำงของกลุ่มแก๊สนัน
109. 4 กำรสินสุดของดำวฤกษ์ที่มีขนำดเล็กเริ่มจำกดำวฤกษ์ขยำยใหญ่ขึนเป็นดำวยักษ์แดง
จำกนันใจกลำงของดำวยักษ์แดงจะหดตัวมีขนำดเล็กลงเป็นดำวแคระขำว ส่วนกำร
สินสุดของดำวฤกษ์ที่มีขนำดใหญ่จะเริ่มจำกดำวฤกษ์เกิดกำรระเบิดขนำดใหญ่
เรียกว่ำ ซูเปอร์โนวำ แล้วส่วนแกนกลำงจะเหลือสภำพเป็นดำวนิวตรอน หรือยุบตัว
ต่อไปกลำยเป็นหลุมดำ
110. 3 อันดับควำมสว่ำงเป็นตัวเลขที่ไม่มีหน่วย ใช้บอกค่ำควำมสว่ำงปรำกฏของดำว โดย
จะมีได้ทังค่ำบวก ศูนย์ และค่ำลบ ซึ่งดำวที่มีอันดับควำมสว่ำงเป็นบวกหรือมีตัวเลข
มำกๆ จะมีควำมสว่ำงน้อยกว่ำดำวที่มีอันดับควำมสว่ำงเป็นลบหรือมีตัวเลขน้อยๆ
111. 2 ดำวฤกษ์ทุกดวงจะมีกำรสินสุดอำยุลง ซึ่งกำรสินสุดของดำวฤกษ์แต่ละดวงจะมีควำม
แตกต่ำงกันขึนอยู่กับมวลของดำวฤกษ์ดวงนันๆ โดยดำวฤกษ์ที่มีมวลน้อยจะสินสุด
โดยไม่เกิดกำรระเบิดขึน แต่ดำวฤกษ์ที่มีมวลมำกจะสินสุดโดยเกิดกำรระเบิด
112. 3 สีของดำวฤกษ์ที่มีอุณหภูมิพืนผิวเรียงลำดับจำกต่ำสุดไปสูงสุด ได้แก่ แดง ส้ม เหลือง
เหลืองขำว ขำว ฟ้ำ และนำเงินอมขำว/นำเงินตำมลำดับ
113. 3 ดำวเทียมจะขึนไปโคจรรอบโลกได้เมื่อดำวเทียมมีควำมเร็วที่สำมำรถเอำชนะแรง
โน้มถ่วงของโลก แต่ดำวเทียมก็ยังคงมีแรงโน้มถ่วงของโลกคอยดึงดูดไว้ไม่ให้โคจร
ออกไปนอกวงโคจร
114. 2 แรงดึงดูดระหว่ำงวัตถุ 2 ชนิด จะขึนอยู่กับมวลของวัตถุ และระยะห่ำงระหว่ำงวัตถุ
โดยวัตถุที่มีมวลมำกจะมีแรงดึงดูดมำก วัตถุที่มีมวลน้อยจะมีแรงดึงดูดน้อย และวัตถุ
ที่อยู่ห่ำงกันมำกจะมีแรงดึงดูดระหว่ำงวัตถุน้อยกว่ำวัตถุที่อยู่ใกล้กัน
115. 4 กำรส่งดำวเทียมขึนสู่วงโคจรจะอำศัยจรวดเป็นตัวนำส่ง ซึ่งจรวดจะมีทังหมด 3 ท่อน
เมื่อท่อนใดใช้พลังงำนหมดแล้วก็จะถูกสลัดทิงเพื่อลดนำหนัก โดยดำวเทียมจะโคจร
ได้นันจะต้องมีแรงสู่ศูนย์กลำงเท่ำกับแรงหนีศูนย์กลำง และดำวเทียมที่อยู่ห่ำงจำก
โลกมำกก็จะโคจรด้วยควำมเร็วที่น้อยกว่ำดำวเทียมที่อยู่ใกล้โลก เนื่องจำกมีแรง
โน้มถ่วงจำกโลกไปดึงดูดน้อยกว่ำนั่นเอง
116. 3 เทคโนโลยีสำรวจระยะไกลเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในกำรศึกษำพืนผิวโลกด้วยอุปกรณ์
บันทึกข้อมูลบนดำวเทียม ดังนัน กำรพยำกรณ์อำกำศ กำรเตือนภัยธรรมชำติ และกำร
สำรวจกำรใช้ประโยชน์ของที่ดิน จึงเป็นประโยชน์ที่ได้รับจำกเทคโนโลยีสำรวจ
ระยะไกล ส่วนกำรสำรวจทิศทำงนันเป็นประโยชน์ที่ได้รับจำกระบบกำรค้นหำ
ตำแหน่งบนพืนโลกด้วยดำวเทียม
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
117. 1 ธีออสเป็นดำวเทียมสำรวจทรัพยำกรธรรมชำติดวงแรกของประเทศไทย แลนแซท
เป็นดำวเทียมสำรวจทรัพยำกรธรรมชำติที่ถูกสร้ำงขึนโดย NASA ส่วนไทยคม 1A
และไทยคม 4 เป็นดำวเทียมสื่อสำรของประเทศไทย
118. 1 กำรกำหนดพิกัดของตำแหน่งต่ำงๆ บนพืนโลกเป็นประโยชน์ที่ได้รับจำกดำวเทียม
สำรวจหำตำแหน่งของวัตถุบนพืนโลก กำรเตือนภัยเกี่ยวกับภัยธรรมชำติ เช่น พำยุ
นำท่วม เป็นประโยชน์ที่ได้รับจำกดำวเทียมอุตุนิยมวิทยำ กำรค้นหำแหล่งทรัพยำกร
ที่มีค่ำ เช่น ทองคำ นำมัน เป็นประโยชน์ที่ได้รับจำกดำวเทียมสำรวจ
ทรัพยำกรธรรมชำติ
119. 2 เทคโนโลยีอวกำศ เป็นเทคโนโลยีกำรสำรวจและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับอวกำศ และ
ข้อมูลเกี่ยวกับโลก เช่น กำรถ่ำยภำพจำกดำวเทียมหรือสถำนีอวกำศ เพื่อนำมำใช้
พยำกรณ์อำกำศ ถ่ำยภำพภูมิประเทศ เพื่อนำมำทำแผนที่กำรเดินทำง หรือแม้แต่กำร
ถ่ำยทอดสดกำรแข่งขันกีฬำต่ำงๆ ไปทั่วโลก ส่วนเครื่องไซสโมกรำฟเป็นเครื่องมือที่
มนุษย์ประดิษฐ์ขึนเพื่อใช้วัดควำมสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว
120. 4 ยำนขนส่งอวกำศ ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ตัวยำนโคจร ถังเชือเพลิงภำยนอก
และจรวดขับดันเชือเพลิงแข็ง ซึ่งส่วนจรวดขับดันนีสำมำรถนำกลับมำใช้ใหม่ได้อีก
ต่ำงจำกจรวดที่มี 3 ท่อน ที่เมื่อเชือเพลิงหมดแล้วต้องดีดตัวทิงไป
เฉลยข้อสอบ
ชุดที่ 2 ข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์ 2552
มัธยมศึกษาตอนปลาย
1. 4 2. 3 3. 2 4. 3 5. 1
6. 4 7. 4 8. 4 9. 3 10. 4
11. 2 12. 2 13. 3 14. 2 15. 2
16. 1 17. 4 18. 1 19. 2 20. 3
21. 4 22. 3 23. 4 24. 2 25. 1
26. 3 27. 2 28. 4 29. 1 30. 2
31. 1 32. 1 33. 2 34. 1 35. 1
36. 3 37. 1 38. 4 39. 3 40. 3
41. 1 42. 4 43. 1 44. 4 45. 4
46. 1 47. 4 48. 3 49. 2 50. 1
51. 3 52. 2 53. 2 54. 1 55. 2
56. 2 57. 3 58. 3 59. 2 60. 2
61. 1 62. 1 63. 3 64. 4 65. 2
66. 4 67. 3 68. 3 69. 1 70. 1
71. 4 72. 3 73. 2 74. 4 75. 2
76. 3 77. 2 78. 3 79. 4 80. 1
81. 4 82. 3 83. 1 84. 2 85. 4
86. 2
ปีการศึกษา
ข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์มัธยมศึกษาตอนปลาย 2553
1. 3 2. 1 3. 4 4. 2 5. 3
6. 2 7. 1 8. 4 9. 4 10. 3
11. 4 12. 4 13. 1 14. 1 15. 2
16. 4 17. 4 18. 3 19. 3 20. 4
21. 1 22. 1 23. 1 24. 1 25. 2
26. 4 27. 4 28. 3 29. 4 30. 1
31. 1 32. 2 33. 3 34. 1 35. 4
36. 4 37. 1 38. 2 39. 1 40. 3
41 1 42. 1 43. 3 44. 4 45. 1
46. 1 47. 2 48. 2 49. 1 50. 3
51. 2 52. 3 53. 3 54. 2 55. 1
56. 3 57. 1 58. 2 59. 1 60. 2
61. 3 62. 4 63. 1 64. 2 65. 1
66. 3 67. 2 68. 2 69. 4 70. 4
71. 2 72. 2 73. 1 74. 2 75. 1
76. 2 77. 2 78. 3 79. 4 80. 1
81. 1, 5 82. 3, 5 83. 3, 5 84. 3, 4 85. 4, 5
86. 1, 4 87. 1, 4 88. 2, 4 89. 2, 5 90. 2, 3
ปีการศึกษา

More Related Content

PDF
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย) 0
DOCX
ข้อสอบวิทยาศาสตร์
PDF
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย) 0
PDF
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย) 0
PDF
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย) 0
PDF
ข้อสอบ O-net - วิทยาศาสตร์
PDF
แบบทดสอบเรื่องระบบนิเวศ
PDF
วิทยาศาตร์พื้นฐาน ม1เทอม1
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย) 0
ข้อสอบวิทยาศาสตร์
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย) 0
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย) 0
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย) 0
ข้อสอบ O-net - วิทยาศาสตร์
แบบทดสอบเรื่องระบบนิเวศ
วิทยาศาตร์พื้นฐาน ม1เทอม1

What's hot (20)

PDF
ข้อสอบพร้อมเฉลยอย่างละเอียด O net - วิทยาศาสตร์
DOCX
แบบทดสอบก่อนเรียนความหลากหลายทางชีวภาพ
DOC
แบบฝึกชุดที่ 1
PDF
วิชาวิทยาศาสตร์ มัธยมศึกษา ปีที่ 3 – วิเคราะห์ข้อสอบ-โลกแห่งการเรียนรู้ – โลก...
PDF
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ 2 ชั้น ม.1 ชุดที่ 1
PDF
แบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยระบบนิเวศ
PDF
Diffusion and osmotic
PDF
ว ทยาศาสตร
PDF
เนื้อหาชีววิทยา (ม.4-6 สายวิทย์และสายศิลป์)
PDF
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์
PDF
Diver plantae
PDF
Response to stimuli in plants
PDF
Science.m.3.2
PDF
Handling and nama plant
PDF
ข้อสอบวิทย์เรื่องเซลล์ 2
PDF
3. ข้อสอบ o net - สังคมศึกษา
PDF
2แบบทดสอบระบบนิเวศ (ตอนที่ 2)
PDF
แนวข้อสอบ Onet วืทยาศาสคร์
PDF
Photosynthesis process
ข้อสอบพร้อมเฉลยอย่างละเอียด O net - วิทยาศาสตร์
แบบทดสอบก่อนเรียนความหลากหลายทางชีวภาพ
แบบฝึกชุดที่ 1
วิชาวิทยาศาสตร์ มัธยมศึกษา ปีที่ 3 – วิเคราะห์ข้อสอบ-โลกแห่งการเรียนรู้ – โลก...
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ 2 ชั้น ม.1 ชุดที่ 1
แบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยระบบนิเวศ
Diffusion and osmotic
ว ทยาศาสตร
เนื้อหาชีววิทยา (ม.4-6 สายวิทย์และสายศิลป์)
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์
Diver plantae
Response to stimuli in plants
Science.m.3.2
Handling and nama plant
ข้อสอบวิทย์เรื่องเซลล์ 2
3. ข้อสอบ o net - สังคมศึกษา
2แบบทดสอบระบบนิเวศ (ตอนที่ 2)
แนวข้อสอบ Onet วืทยาศาสคร์
Photosynthesis process
Ad

Similar to 2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6) (20)

DOCX
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย)
PDF
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย) 0
PDF
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย) 0
PDF
วิทย์
PDF
Final1 m6 51
PDF
สอบกลางภาคชีวะ51 2m-5
DOCX
ข้อสอบ O net
PDF
06 09-2012-631418014
PDF
06 09-2012-631418014
PDF
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.1
PDF
โจทย์รายมาตรฐาน ชีววิทยา
DOC
ข้อสอบปลายภาค วิทย์ป.6
PDF
Taxonomy test
PDF
07science ge-55
PDF
วิทยาศาสตร์ทั่วไป
PDF
ข้อสอบวิทยาศาสตร์
PDF
วิทย์ศาสตร์(ทั่วไป)
PDF
07science ge-55
PDF
แบบทดสอบชีวะพื้นนิเวศ
PDF
แบบทดสอบ บทที่ 1
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย)
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย) 0
2. ข้อสอบ o net - วิทยาศาสตร์ (มัธยมปลาย) 0
วิทย์
Final1 m6 51
สอบกลางภาคชีวะ51 2m-5
ข้อสอบ O net
06 09-2012-631418014
06 09-2012-631418014
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.1
โจทย์รายมาตรฐาน ชีววิทยา
ข้อสอบปลายภาค วิทย์ป.6
Taxonomy test
07science ge-55
วิทยาศาสตร์ทั่วไป
ข้อสอบวิทยาศาสตร์
วิทย์ศาสตร์(ทั่วไป)
07science ge-55
แบบทดสอบชีวะพื้นนิเวศ
แบบทดสอบ บทที่ 1
Ad

More from teerachon (20)

PDF
แบบทดสอบ สุขศึกษา ม.6
PDF
แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6
PDF
แบบทดสอบ พระพุทธ ม.6
PDF
แบบทดสอบ นาฏศิลป์ ม.6
PDF
แบบทดสอบ เทคโนโลยี ม.6
PDF
แบบทดสอบ ทัศนศิลป์ ม.6
PDF
แบบทดสอบ การงานอาชีพฯ ม.6
PDF
แบบทดสอบ ภาษาไทย(หลักภาษา) ม.6
PDF
แบบทดสอบ ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.6
PDF
แบบทดสอบ ดนตรี ม.6
PDF
แบบทดสอบ หน้าที่พลเมืองฯ ม.3
PDF
แบบทดสอบ สุขศึกษา ม.3
PDF
แบบทดสอบ เศรษฐศาสตร์ ม.3
PDF
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2
PDF
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1
PDF
แบบทดสอบ ภูมิศาสตร์ ม.3
PDF
แบบทดสอบ ภาษาไทย(หลักภาษา) ม.3
PDF
แบบทดสอบ ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.3
PDF
แบบทดสอบ พระพุทธ ม.3
PDF
แบบทดสอบ ประวัติศาสตร์ ม.3
แบบทดสอบ สุขศึกษา ม.6
แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6
แบบทดสอบ พระพุทธ ม.6
แบบทดสอบ นาฏศิลป์ ม.6
แบบทดสอบ เทคโนโลยี ม.6
แบบทดสอบ ทัศนศิลป์ ม.6
แบบทดสอบ การงานอาชีพฯ ม.6
แบบทดสอบ ภาษาไทย(หลักภาษา) ม.6
แบบทดสอบ ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.6
แบบทดสอบ ดนตรี ม.6
แบบทดสอบ หน้าที่พลเมืองฯ ม.3
แบบทดสอบ สุขศึกษา ม.3
แบบทดสอบ เศรษฐศาสตร์ ม.3
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1
แบบทดสอบ ภูมิศาสตร์ ม.3
แบบทดสอบ ภาษาไทย(หลักภาษา) ม.3
แบบทดสอบ ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.3
แบบทดสอบ พระพุทธ ม.3
แบบทดสอบ ประวัติศาสตร์ ม.3

2.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.6)

  • 1. ชุดที่ 1 แนวข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์ มัธยมศึกษาตอนปลาย คาชี้แจง ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. หำกเซลล์พืชไม่มีผนังเซลล์ จะส่งผลต่อเซลล์อย่ำงไร 1. เซลล์จะมีรูปร่ำงไม่คงตัว 2. เซลล์มีควำมแข็งแรงมำก 3. สำรต่ำงๆ จะไม่สำมำรถผ่ำนเซลล์ได้ 4. เซลล์จะไม่สำมำรถสังเครำะห์สำรต่ำงๆ ได้ 2. ควำมเข้มข้นของสำรมีผลต่อกระบวนกำรแพร่อย่ำงไร 1. มีผลต่อเยื่อหุ้มเซลล์ 2. มีผลต่ออัตรำกำรแพร่ 3. ไม่มีผลต่อกระบวนกำรแพร่ 4. มีผลต่อปริมำณนำในกำรแพร่ 3. กำรแพร่แบบฟำซิลิเทตมีอัตรำกำรแพร่เร็วกว่ำ หรือช้ำกว่ำกำรแพร่แบบธรรมดำ เพรำะเหตุใด 1. ช้ำกว่ำ เพรำะสำรมีโมเลกุลใหญ่ 2. ช้ำกว่ำ เพรำะโปรตีนตัวพำมีจำนวนน้อย 3. เร็วกว่ำ เพรำะสำรมีโมเลกุลใหญ่ แต่มีปริมำณมำก 4. เร็วกว่ำ เพรำะโปรตีนตัวพำทำให้สำรผ่ำนเยื่อหุ้มเซลล์ได้เร็ว 4. กำรลำเลียงสำรแบบใช้พลังงำนเปรียบเทียบได้กับเหตุกำรณ์ใด 1. กำรตักนำใส่กะละมัง 2. กำรสูบนำขึนสู่ถังเก็บนำ 3. กำรเทนำออกจำกกะละมัง 4. กำรปล่อยนำลงจำกถังเก็บนำ
  • 2. 5. เมื่อใส่ปุ๋ยให้ต้นไม้มำกเกินไป ต้นไม้จะไม่เจริญงอกงำมตำมต้องกำร แต่กลับเหี่ยวเฉำลง เพรำะเหตุใด 1. สำรละลำยในดินมีควำมเข้มข้นมำกกว่ำในเซลล์ ทำให้นำออสโมซิสจำกเซลล์ออกสู่ดิน 2. สำรละลำยในดินมีควำมเข้มข้นมำกกว่ำในเซลล์ ทำให้นำออสโมซิสจำกดินเข้ำสู่เซลล์ 3. สำรละลำยในดินมีควำมเข้มข้นน้อยกว่ำในเซลล์ ทำให้นำออสโมซิสจำกเซลล์ออกสู่ดิน 4. สำรละลำยในดินมีควำมเข้มข้นน้อยกว่ำในเซลล์ ทำให้นำออสโมซิสจำกดินเข้ำสู่เซลล์ 6. ในที่อุณหภูมิต่ำอัตรำเมแทบอลิซึมของสัตว์เลือดอุ่นเทียบกับสัตว์เลือดเย็นจะเป็นดังข้อใด 1. ทังสัตว์เลือดอุ่นและสัตว์เลือดเย็นมีอัตรำเมแทบอลิซึมสูง 2. ทังสัตว์เลือดอุ่นและสัตว์เลือดเย็นมีอัตรำเมแทบอลิซึมต่ำ 3. สัตว์เลือดอุ่นมีอัตรำเมแทบอลิซึมสูง ส่วนสัตว์เลือดเย็นมีอัตรำเมแทบอลิซึมต่ำ 4. สัตว์เลือดอุ่นมีอัตรำเมแทบอลิซึมต่ำ ส่วนสัตว์เลือดเย็นมีอัตรำเมแทบอลิซึมสูง 7. หลังจำกออกกำลังกำยกลำงแดดนำนๆ ร่ำงกำยมีกลไกกำรรักษำดุลยภำพของอุณหภูมิอย่ำงไร 1. ลดอัตรำเมแทบอลิซึม และหลอดเลือดหดตัว 2. ลดอัตรำเมแทบอลิซึม และหลอดเลือดขยำยตัว 3. เพิ่มอัตรำเมแทบอลิซึม และหลอดเลือดหดตัว 4. เพิ่มอัตรำเมแทบอลิซึม และหลอดเลือดขยำยตัว 8. ข้อใดไม่ใช่กลไกกำรทำงำนของจุลินทรีย์ประจำถิ่นเพื่อยับยังจุลินทรีย์ก่อโรค 1. แข่งขันแย่งอำหำร 2. จับเชือจุลินทรีย์ก่อโรคกิน 3. สร้ำงสำรยับยังกำรเจริญเติบโตของเชือจุลินทรีย์ก่อโรค 4. ปรับเปลี่ยนสภำพแวดล้อมให้ไม่เหมำะสมสำหรับกำรเจริญของเชือจุลินทรีย์ก่อโรค 9. เซลล์ลิมโฟไซต์ชนิดบีกำจัดเชือโรคหรือสิ่งแปลกปลอมด้วยวิธีใด 1. สร้ำงแอนติเจนจำเพำะ 2. สร้ำงแอนติบอดีจำเพำะ 3. สร้ำงเซลล์พลำสมำเพื่อกลืนกินเชือโรค 4. กระตุ้นให้เซลล์ทีแบ่งตัวอย่ำงรวดเร็วเพื่อกำจัดเชือโรค 10. หลักกำรให้หรือรับเลือดต้องคำนึงถึงหมู่เลือดของผู้ให้และผู้รับเพรำะเหตุใด 1. ถ้ำแอนติบอดีของผู้ให้ตรงกับผู้รับ เม็ดเลือดแดงจะสลำยตัว 2. ถ้ำแอนติเจนของผู้ให้ตรงกับผู้รับ เม็ดเลือดแดงจะตกตะกอน 3. ถ้ำแอนติเจนของผู้ให้ตรงกับแอนติบอดีของผู้รับ เม็ดเลือดแดงจะสลำยตัว 4. ถ้ำแอนติเจนของผู้ให้ตรงกับแอนติบอดีของผู้รับ เม็ดเลือดแดงจะตกตะกอน
  • 3. 11. ข้อใดไม่ใช่คุณสมบัติของภูมิคุ้มกันที่รับมำแต่กำเนิด 1. ไม่มีกำรจดจำแอนติเจน 2. ไม่มีควำมจำเพำะเจำะจง 3. มีกำรตอบสนองทันที รวดเร็ว และรุนแรง 4. กลไกกำรป้องกันสิ่งแปลกปลอมด้วยวิธีกำรจับกินและย่อยทำลำย 12. ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับกำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรม 1. ลักษณะบำงอย่ำงของลูกอำจเหมือนปู่ ย่ำ ตำ ยำยได้ 2. ลักษณะของลูกที่ต่ำงจำกพ่อหรือแม่เกิดจำกกำรกลำย 3. ลักษณะของลูกต้องเหมือนพ่อและแม่เสมอ ไม่มีทำงเหมือนบุคคลอื่นได้ 4. ลักษณะต่ำงๆ ของลูกต้องเหมือนพ่อและแม่เท่ำนัน เพรำะลูกเกิดจำกกกำรรวมตัวของไข่ของแม่ และอสุจิของพ่อ 13. กำรรณรงค์ให้เด็กอำยุต่ำกว่ำ 5 ปี มำรับวัคซีนโปลิโอ เพื่อให้เด็กสร้ำงภูมิคุ้มกันแบบใด ก. ภูมิคุ้มกันที่ได้รับ ข. ภูมิคุ้มกันแบบจำเพำะ ค. ภูมิคุ้มกันที่สร้ำงขึนเอง ง. ภูมิคุ้มกันที่รับมำแต่กำเนิด 1. ก. และ ข. 2. ข. และ ค. 3. ค. และ ง. 4. ก. และ ง. 14. ข้อใดเป็นหน้ำที่ของออโตโซม 1. ควบคุมลักษณะของสิ่งมีชีวิต 2. กำหนดเพศและลักษณะต่ำงๆ ของสิ่งมีชีวิต 3. ควบคุมกำรแสดงออกเกี่ยวกับเพศในสิ่งมีชีวิต 4. กำหนดกำรจับคู่ของยีน หรือกำรจับคู่ของโครโมโซม 15. องค์ประกอบใดที่ทำให้ในแต่ละนิวคลีโอไทด์ของสำยอำร์เอ็นเอมีลักษณะแตกต่ำงกันออกไป 1. หมู่ฟอสเฟต 2. นำตำลไรโบส 3. ไนโตรเจนเบส 4. นำตำลเพนโทส 16. ส่วนประกอบในข้อใดที่พบในดีเอ็นเอแต่ไม่พบในอำร์เอ็นเอ 1. นำตำลดีออกซีไรโบส 2. นำตำลไรโบส และเบสไทมีน 3. นำตำลดีออกซีไรโบส และเบสไทมีน 4. นำตำลดีออกซีไรโบส และเบสยูรำซิล
  • 4. 17. เซลล์ในระยะใดเหมำะสมต่อกำรศึกษำรูปร่ำงและลักษณะของโครโมโซมมำกที่สุด 1. ระยะที่ยังไม่มีกำรแบ่งเซลล์ 2. ระยะเมทำเฟสซึ่งโครโมโซมเรียงอยู่ตรงกลำงเซลล์ 3. ระยะโพรเฟสซึ่งกำลังเกิดกระบวนกำรคลอสซิงโอเวอร์ 4. ระยะอินเตอร์เฟสซึ่งมีกำรสะสมสำรต่ำงๆ สำหรับกำรแบ่งเซลล์ 18. กำหนดเซลล์ต่ำงๆ ต่อไปนี ก. เซลล์อสุจิ ข. เซลล์ไข่ ค. เซลล์เม็ดเลือดขำว ง. เซลล์ผิวหนัง เซลล์ในข้อใดมีกำรแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส 1. ก. และ ข. 2. ก. และ ค. 3. ข. และ ค. 3. ค. และ ง. 19. ในระบบนิเวศซึ่งประกอบด้วยเหยี่ยว งู กระรอก หญ้ำ และตั๊กแตน สิ่งมีชีวิตในข้อใดมีมวลชีวภำพ น้อยที่สุด 1. งู 2. เหยี่ยว 3. หญ้ำ 4. กระรอกและตั๊กแตน 20. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับกำรถ่ำยทอดพลังงำน 1. ผู้ผลิตเป็นจุดเริ่มต้นของโซ่อำหำรทุกชนิด 2. ระบบนิเวศใดที่มีสำยใยอำหำรซับซ้อนมำก แสดงว่ำระบบนิเวศนันมีควำมสมดุล 3. จุลินทรีย์มีบทบำทในกำรย่อยสลำยสำรอินทรีย์ แต่ไม่ได้มีส่วนในกำรถ่ำยทอดพลังงำน 4. โซ่อำหำรที่มีจำนวนสิ่งมีชีวิตมำก สิ่งมีชีวิตท้ำยๆ โซ่อำหำรยิ่งได้รับพลังงำนน้อยลง 21. อัมนำนก 2 ชนิดที่มีลักษณะคล้ำยกัน มำเลียงไว้ด้วยกัน ให้อำหำรและดูแลเหมือนกัน เนื่องจำกต้องกำร ให้นกผสมพันธุ์ออกลูกออกหลำน แต่เมื่อเวลำผ่ำนไป พบว่ำนกไม่สำมำรถผสมพันธุ์กันได้ ข้อสรุปใด ถูกต้องเกี่ยวกับเหตุกำรณ์นี 1. นก 2 ชนิดนีอยู่ต่ำงสปีชีส์กัน 2. นก 2 ชนิดนีกินแมลงต่ำงชนิดกัน 3. เสียงเรียกหำคู่ของนก 2 ชนิดนีต่ำงกัน 4. ลำตัวของนก 2 ชนิดนีมีขนำดต่ำงกันมำก 22. สิ่งมีชีวิตบุกเบิกพวกแรกที่เปลี่ยนหินไปเป็นดินคือพวกใด 1. มอสและเฟิร์น 2. เฟิร์นและหญ้ำ 3. หญ้ำและพุ่มไม้ 4. รำและสำหร่ำยที่อยู่ร่วมกัน
  • 5. 23. ข้อใดกล่ำวถึงสมดุลของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศได้ถูกต้องที่สุด 1. มีจำนวนชนิดของสิ่งมีชีวิตในปริมำณมำก 2. มีสัดส่วนของผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลำยในปริมำณที่เหมำะสม 3. มีสัดส่วนของสิ่งมีชีวิตที่เป็นผู้ล่ำต่อสิ่งมีชีวิตที่เป็นเหยื่อในปริมำณที่เหมำะสม 4. มีจำนวนชนิดของสิ่งมีชีวิตปริมำณน้อย แต่มีสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดในปริมำณมำก 24. ควำมสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในข้อใดที่มีควำมสัมพันธ์ในรูปแบบที่แตกต่ำงไปจำกพวก 1. ต่อไทรกับต้นไทร 2. ฉลำมกับเหำฉลำม 3. นกทำรังอยู่บนต้นไม้ 4. เพรียงเกำะบนตัวสัตว์ 25. ข้อใดจัดเป็นสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม 1. แตงโมไม่มีเมล็ด 2. กล้วยไม้ที่ได้จำกกำรเพำะเลียงเนีอเยื่อ 3. แบคทีเรียที่สำมำรถผลิตฮอร์โมนอินซูลิน 4. กล้วยไม้พันธุ์ใหม่ที่ได้จำกกำรฉำยรังสีแกมมำ 26. สิ่งแวดล้อมและทรัพยำกรธรรมชำติมีควำมเกี่ยวข้องกันอย่ำงไร 1. สิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่งของทรัพยำกรธรรมชำติ 2. ทรัพยำกรธรรมชำติเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อม 3. สิ่งแวดล้อมเกิดจำกทรัพยำกรธรรมชำติที่มนุษย์นำไปใช้ประโยชน์ 4. ทรัพยำกรธรรมชำติเกิดจำกสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์นำไปใช้ประโยชน์ 27. ทรัพยำกรที่เกิดขึนทดแทนใหม่ได้ในข้อใดที่มนุษย์นำมำใช้ประโยชน์มำกที่สุดในปัจจุบัน 1. พลังงำนนำ 2. พลังงำนลม 3. พลังงำนจำกคลื่น 4. พลังงำนแสงอำทิตย์ 28. ข้อใดไม่ใช่แก๊สเรือนกระจก 1. คำร์บอนไดออกไซด์ 2. ออกไซด์ของไนโตรเจน 3. คำร์บอนมอนอกไซด์ 4. มีเทน 29. ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดวิกฤตกำรณ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยำกรธรรมชำติของโลก คือข้อใด 1. ควำมเจริญของชุมชนเมือง 2. ควำมเจริญของอุตสำหกรรม 3. ควำมก้ำวหน้ำของเทคโนโลยี 4. กำรเพิ่มจำนวนประชำกรมนุษย์
  • 6. 30. กำรกระทำในข้อใดเป็นกำรช่วยเพิ่มรำยได้ให้แก่ตนเอง โดยยึดหลักกำรอนุรักษ์ทรัพยำกรธรรมชำติ 1. กำรเก็บกล้วยไม้จำกป่ำมำขำย 2. จับม้ำนำมำตำกแห้งเพื่อขำยให้ร้ำนยำโบรำณ 3. เก็บเปลือกหอยตำมชำยหำดมำประดิษฐ์ของที่ระลึกขำย 4. เก็บขวดพลำสติกที่ถูกทิงตำมข้ำงถนนมำสะสมเพื่อนำไปขำย 31. ข้อควำมใดกล่ำวถึงอะตอมได้ถูกต้องที่สุด 1. อะตอมอยู่เป็นอิสระได้ 2. นิวเคลียสในอะตอมมีประจุเป็นกลำงเสมอ 3. เมื่ออะตอมเสียอิเล็กตรอนจะเกิดเป็นไอออนบวก 4. เมื่อจำนวนโปรตอนเท่ำกับจำนวนนิวตรอนจะทำให้อะตอมเป็นกลำง 32. กำรทดลองข้อใดที่พิสูจน์ว่ำนิวเคลียสในอะตอมมีขนำดเล็กมำกเมื่อเทียบกับขนำดของอะตอม 1. กำรยิงรังสีแคโทดไปยังแผ่นโลหะบำง ทำให้มีกำรปล่อยรังสีเอ็กซ์เกิดขึน 2. กำรยิงอนุภำคแอลฟำไปยังโลหะบำง ทำให้ธำตุนันปลดปล่อยอนุภำคที่เป็นกลำงออกมำ 3. กำรยิงรังสีแคโทดไปยังแผ่นโลหะบำง ทำให้ธำตุนันปลดปล่อยอนุภำคที่เป็นกลำงออกมำ 4. กำรยิงอนุภำคแอลฟำไปยังโลหะบำง แล้วพบว่ำอนุภำคส่วนใหญ่ทะลุผ่ำนไปได้ โดยมีเพียง ส่วนน้อยที่กระเจิงออกหรือสะท้อนกลับ 33. ไอออนของธำตุ x มีจำนวนโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน เท่ำกับ 9, 10, 10 ตำมลำดับ ธำตุ x มีสัญลักษณ์เป็นไปตำมข้อใด 1. x9 10 2. x9 21 3. x11 20 4. x11 21 34. ไอออนบวกของไฮโดรเจน (H+ ) ขำดอนุภำคมูลฐำนข้อใด 1. โปรตอน 2. อิเล็กตรอน 3. นิวตรอนและอิเล็กตรอน 4. โปรตอนและอิเล็กตรอน 35. ธำตุชนิดหนึ่งมีกำรจัดเรียงอิเล็กตรอน ดังนี 2, 8, 18, 32, 18, 7 ธำตุนีควำรเป็นธำตุใด 1. Fr 2. At 3. Bi 4. Ra
  • 7. 36. ธำตุ 82Pb เป็นธำตุในหมู่เดียวกับ 6C อนุภำคใดต่อไปนีมีจำนวนอิเล็กตรอนชันในสุดและชันนอกสุด เท่ำกัน 1. Pb2- 2. Pb 3. Pb2+ 4. Pb4+ 37. ข้อใดเปรียบเทียบสมบัติของธำตุไม่ถูกต้อง 1. โลหะโซเดียมมีขนำดอะตอมเล็กกว่ำโลหะแมกนีเซียม 2. โลหะโพแทสเซียมมีควำมว่องไวต่อปฏิกิริยำน้อยกว่ำโลหะโซเดียม 3. เกลือของโลหะโซเดียมละลำยนำได้ดีกว่ำเกลือของโลหะแมกนีเซียม 4. สำรประกอบของแมกนีเซียมเกิดปฏิกิริยำคล้ำยคลึงกับสำรประกอบของแคลเซียม 38. รังสีใดใช้ในกำรเหนี่ยวนำให้เกิดกำรกลำยพันธุ์ในสิ่งมีชีวิต 1. รังสีบีตำ 2. รังสีแอลฟำ 3. รังสีแกมมำ 4. รังสีอินฟรำเรด 39. ธำตุกับมันตรังสีธรรมชำติ X มีครึ่งชีวิตเท่ำกับ 5,000 ปี นักธรณีวิทยำค้นพบซำกของสัตว์โบรำณที่มี ปริมำณธำตุกัมมันตรังสี X เหลือออยู่ 6.25% ของปริมำณเริ่มต้น สัตว์โบรำณนีมีชีวิตเมื่อกี่ปีมำแล้ว 1. 10,000 ปี 2. 15,000 ปี 3. 20,000 ปี 4. 25,000 ปี 40. เหตุใดโรงไฟฟ้ำนิวเคลียร์ในปัจจุบันจึงต้องสร้ำงใกล้แหล่งนำธรรมชำติ 1. ต้องใช้นิวตรอนจำนวนมำกจำกนำในกำรเริ่มปฏิกิริยำนิวเคลียร์ 2. เพื่อให้มีนำเพียงพอต่อกำรดับไฟ กรณีไฟไหม้เตำปฏิกรณ์ปรมำณู 3. ใช้นำปริมำณมำกในกำรทำให้เกิดปฏิกิริยำลูกโซ่ของปฏิกิริยำนิวเคลียร์ 4. ใช้นำปริมำณมำกในกำรถ่ำยเทควำมร้อนจำกเตำปฏิกรณ์ปรมำณูไปยังกังหันไอนำ 41. เพรำะเหตุใดธำตุจึงมีกำรสร้ำงพันธะเคมี 1. ธำตุต้องกำรให้อิเล็กตรอนแก่ธำตุอื่น เพื่อให้เกิดควำมเสถียร 2. ธำตุต้องกำรรับอิเล็กตรอนจำกธำตุอื่น เพื่อให้เกิดควำมเสถียร 3. ธำตุต้องกำรใช้อิเล็กตรอนร่วมกับธำตุอื่น เพื่อให้เกิดควำมเสถียร 4. ธำตุต้องกำรจัดอิเล็กตรอนวงนอกสุดให้ครบ 8 เพื่อให้เกิดควำมเสถียร 42. ธำตุในข้อใดมำรวมตัวกันโดยกำรสร้ำงพันธะโคเวเลนต์ 1. เหล็กกับฟลูออรีน 2. แบเรียมกับกำมะถัน 3. ฟอสฟอรัสกับโบรมีน 4. รูบิเดียมกับออกซิเจน
  • 8. 43. พิจำรณำข้อควำมต่อไปนี ก. เกลือแกงและโซดำไฟเป็นสำรประกอบของโลหะหมู่ 1A ข. สำรประกอบไอออนิกที่มีสถำนนะเป็นของแข็งสำมำรถนำไฟฟ้ำได้ ค. โลหะแทรนซิชันมีสมบัติทำงกำยภำพเหมือนโลหะหมู่ 1A และ 2A ข้อใดกล่ำวถูกต้อง 1. ก. และ ข. 2. ข. และ ค. 3. ก. และ ค. 4. ก. ข. และ ค. 44. กำหนดสำรให้ 3 ชนิด ดังนี สำร A มีแรงยึดเหนี่ยวเป็นแรงลอนดอน สำร B มีแรงยึดเหนี่ยวเป็นแรง ดึงดูดระหว่ำงขัวและ สำร C มีแรงยึดเหนียวเป็นพันธะไฮโดรเจน สำร A B และ C ควรเป็นสำรใด ตำมลำดับ 1. O2 CCI4 HF 2. CCI4 SF2 CH3OH 3. BCI3 CI2 NH3 4. CHCI3 SO2 CH3OH 45. จงพิจำรณำว่ำสูตรสำรประกอบ และชื่อของสำรประกอบไอออนิกต่อไปนีข้อใดถูกต้อง ก. Li2HPO4 ลิเทียมไฮโดรเจนฟอสเฟต ข. Fe2O3 ไอร์ออน (II) ออกไซด์ ค. Cu2S คอปเปอร์ (I) ซัลไฟด์ ง. CaHCO3 แคลเซียมไฮโดรเจนคำร์บอเนต 1. ข. และ ค. 2. ก. ค. และ ข. 3. ข. ค. และ ง. 4. ถูกทุกข้อ 46. ข้อใดไม่มีปฏิกิริยำเคมีเกิดขึน 1. กำรเคียวข้ำวก่อนกลืน 2. กำรฟอกสบู่ในนำกระด้ำง 3. กำรทำแล็กเกอร์เคลือบผิวไม้ 4. กำรผสมกลีเซอรอลกับเอทำนอล
  • 9. 47. กำหนดควำมสำมำรถในกำรนำไฟฟ้ำของสำรประกอบต่ำงๆ ดังนี สำร A ไม่นำไฟฟ้ำเมื่อเป็นของแข็ง แต่เมื่อหลอมเหลวนำไฟฟ้ำได้ดี สำร B นำไฟฟ้ำเมื่อเป็นของแข็งหรือของเหลว สำร C ไม่นำไฟฟ้ำทังในสถำนะของแข็ง ของเหลว และแก๊ส สำร A B และ C ควรเป็นสำรใดตำมลำดับ 1. KI Cr CO2 2. Cr KI CO2 3. CO2 KI Cr 4. CO2 Cr KI 48. ตะกรันในกำต้มนำไม่ได้เกิดจำกสำเหตุในข้อใด 1. CaCO3 ละลำยนำได้น้อย 2. กำรสะสมของตะกอน CaCO3 3. กำที่ใช้ต้มนำทำด้วยโลหะ 4. นำที่ใช้ต้มเป็นนำกระด้ำง 49. ข้อใดที่แสดงว่ำผิวสัมผัสมีผลต่ออัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำเคมี 1. กระดำษฝอยติดไฟได้เร็วกว่ำกระดำษแผ่น 2. แบตเตอรี่รถยนต์ที่มีจำนวนแผ่นตะกั่วมำกกว่ำให้กำลังไฟฟ้ำสูงกว่ำที่มีจำนวนแผ่นน้อยกว่ำ 3. แผ่นสังกะสีปกติทำปฏิกิริยำกับกรดไฮโดรคลอริกได้ช้ำกว่ำแผ่นสังกะสีที่มีลวดทองแดงพันอยู่ 4. เครื่องปฏิกิริยำนิวเคลียร์ใช้เชือเพลิงยูเรเนียมที่เป็นแท่งยำวทำให้มีอำยุกำรใช้งำนนำนกว่ำที่ใช้เป็น ก้อนเล็กๆ 50. ปฏิกิริยำเคมีจะสำมำรถเกิดขึนได้ต้องอำศัยสภำวะในข้อใด ก. อนุภำคของสำรตังต้นชนกันในทิศทำงที่เหมำะสม ข. มีกำรเติมตัวเร่งปฏิกิริยำลงไปเพื่อช่วยเร่งให้เกิดปฏิกิริยำ ค. สำรตังต้นต้องมีพลังงำนสูงกว่ำพลังงำนก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยำ ง. มีควำมดันที่มำกพอที่จะทำให้สำรอยู่ในสภำวะแก๊สซึ่งจะทำให้เกิดปฏิกิริยำได้ง่ำยขึน 1. ก. และ ข. 2. ก. และ ค. 3. ข. และ ง. 4. ค. และ ง.
  • 10. 51. ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับสำรชีวโมเลกุล 1. พลังงำนที่สะสมอยู่ในอำหำรจะอยู่ในรูปพลังงำนเคมี 2. โปรตีนเป็นสำรอำหำรที่ให้พลังงำนแก่ร่ำงกำยมำกที่สุด 3. ในร่ำงกำยมนุษย์จะพบคำร์โบไฮเดรตเป็นองค์ประกอบมำกที่สุด 4. ร่ำงกำยสำมำรถนำสำรอำหำรทุกชนิดไปใช้ประโยชน์ได้เลยโดยไม่ต้องผ่ำนกระบวนกำรย่อย 52. สำรในข้อใดเมื่อนำมำทดสอบกับสำรละลำยเบเนดิกต์แล้วให้ผลกำรทดสอบที่ถูกต้องที่สุด 1. เมื่อนำนำแป้งมำทดสอบกับสำรละลำยเบเนดิกต์จะเกิดตะกอนสีแดงอิฐ 2. เมื่อนำนำองุ่นมำทดสอบกับสำรละลำยเบเนดิกต์จะเกิดตะกอนสีแดงอิฐ 3. เมื่อนำนำผึงมำทดสอบกับสำรละลำยเบเนดิกต์จะไม่เกิดกำรเปลี่ยนแปลง 4. เมื่อนำนำแอปเปิลมำทดสอบกับสำรละลำยเบเนดิกต์จะไม่เกิดกำรเปลี่ยนแปลง 53. ข้อใดกล่ำวถูกต้อง ก. กรดไขมันมีหมู่คำร์บอกซิลเป็นหมู่ฟังก์ชัน ข. ไขมันกับไตรกลีเซอไรด์เป็นสำรคนละชนิดกัน ค. หมู่ฟังก์ชันในกลีเซอรอลที่มำทำปฏิกิริยำกับกรดไขมัน คือ หมู่ไฮดรอกซิล 1. ก. และ ข. 2. ก. และ ค. 3. ข. และ ค. 4. ถูกทุกข้อ 54. กำรทดสอบโปรตีนด้วยสำรละลำยคอปเปอร์ (II) ซัลเฟตในเบส จะเกิดกำรเปลี่ยนแปลงอย่ำงไร 1. เกิดกำรแปลงสภำพโปรตีน 2. เกิดกำรย่อยเป็นกรดอะมิโน 3. เกิดกำรย่อยเป็นโปรตีนสำยสัน 4. ไม่เกิดกำรเปลี่ยนแปลงทำงโครงสร้ำงของโปรตีน 55. กำรเผำไหม้ของเอทำนอลให้พลังงำนน้อยกว่ำนำมันเบนซินในปริมำตรที่เท่ำกัน และเอทำนอลมีค่ำ ออกเทนสูงกว่ำนำมันเบนซิน ถ้ำใช้รถคันเดียวกัน เติมนำมันเท่ำกัน แล้วขับบนเส้นทำงและสภำพถนน เดียวกันจะได้ผลตำมข้อใด 1. กำรใช้แก๊สโซฮอล์จะวิ่งได้ระยะทำงมำกกว่ำ และเครื่องยนต์ทำงำนดีกว่ำ 2. กำรใช้แก๊สโซฮอล์จะวิ่งได้ระยะทำงน้อยกว่ำ แต่เครื่องยนต์ทำงำนได้ดีกว่ำ 3. กำรใช้เบนซินหรือแก๊สโซฮอล์ได้ผลเหมือนกันทังระยะทำงและกำรทำงำนของเครื่องยนต์ 4. กำรใช้แก๊สโซฮอล์จะวิ่งได้ระยะทำงน้อยกว่ำใช้เบนซิน ส่วนเครื่องยนต์ทำงำนได้เหมือนกัน
  • 11. 56. ข้อใดนำผลิตภัณฑ์ที่ได้จำกกำรกลั่นนำมันดิบมำใช้ประโยชน์ได้ถูกต้อง 1. นำนำมันหล่อลื่นมำใช้ทำนำมันเครื่อง 2. นำแก๊สปิโตรเลียมมำใช้เป็นเชือเพลิงในตะเกียง 3. นำแก๊สโซลีนมำใช้เป็นนำมันเชือเพลิงสำหรับเครื่องบิน 4. นำนำมันเชือเพลิงมำใช้เป็นเชือเพลิงในเครื่องยนต์ดีเซล 57. ข้อใดกล่ำวถึงผลของแก๊สอันตรำยที่เกิดขึนจำกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมได้ถูกต้อง 1. แก๊สคำร์บอนมอนอกไซด์ทำให้เกิดฝนกรด 2. แก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ก่อให้เกิดภำวะโลกร้อน 3. แก๊สไฮโดรคำร์บอนก่อให้เกิดกำรระคำยเคืองในระบบหำยใจ 4. แก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ทำให้เลือดไม่สำมำรถรับออกซิเจนได้ 58. เมื่อนำสำร A มำเผำในบรรยำกำศที่มีออกซิเจน O2(g) ได้ไอนำ H2O(g) และแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ CO2(g) สำร A ในปฏิกิริยำข้ำงต้นไม่ใช่สำรใด 1. แก๊สโซฮอล์ 2. แก๊สบิวเทน 3. แก๊สธรรมชำติ 4. แก๊สไฮโดรเจน 59. ข้อใดเป็นพอลิเมอร์ธรรมชำติทังหมด 1. ลินิน ไนลอน เซลลูโลส 2. พีวีซี นีโอพรีน ยำงพำรำ 3. ไคติน ซิลิโคน ไกลโคเจน 4. แป้ง โปรตีน กรดนิวคลีอิก 60. พลำสติกชนิดหนึ่งนำมำใช้ทำสวิตซ์ไฟฟ้ำ เป็นพลำสติกที่มีควำมแข็งมำก แต่เมื่อถูกควำมร้อนสูงมำกๆ จะเปรำะและแตกหักได้ พลำสติกชนิดนีน่ำจะมีโครงสร้ำงแบบใด 1. โครงสร่ำงแบบกิ่ง 2. โครงสร้ำงแบบเส้น 3. โครงสร้ำงแบบร่ำงแห 4. โครงสร้ำงแบบกิ่งหรือแบบร่ำงแห 61. เกณฑ์ใดใช้ในกำรแยกพลำสติกออกเป็นเทอร์มอพลำสติกและพลำติกเทอร์มอเซต 1. ควำมหนำแน่น 2. ควำมคงทนต่อกรด-เบส 3. กำรละลำยในตัวทำละลำยอินทรีย์ 4. กำรเปลี่ยนแปลงเมื่อได้รับควำมร้อน
  • 12. 62. ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับยำงสังเครำะห์ 1. พอลิบิวตำไดอีนเป็นโคพอลิเมอร์ที่เกิดปฏิกิริยำพอลิเมอไรเซชันแบบต่อเติม 2. ยำงเอสบีอำร์เป็นโคพอลิเมอร์ที่เกิดปฏิกิริยำพอลิเมอไรเซชันแบบต่อเติม 3. ยำงเอบีเอสเป็นโฮโมพอลิเมอร์ที่เกิดปฏิกิริยำพอลิเมอไรเซชันแบบควบแน่น 4. นีโอพรีนเป็นโฮโมพอลิเมอร์ที่เกิดปฏิกิริยำพอลิเมอไรเซชันแบบควบแน่น 63. ข้อใดต่อไปนีเป็นกำรเคลื่อนที่ที่มีขนำดของกำรกระจัดน้อยที่สุด 1. เดินไปทำงขวำ 10 เมตร แล้วเดินย้อนกลับมำทำงซ้ำย 2 เมตร 2. เดินไปทำงขวำด้วยควำมเร็วคงที่ 3 เมตรต่อวินำที เป็นเวลำ 4 วินำที 3. เดินไปทำงซ้ำยด้วยควำมเร็วคงที่ 4 เมตรต่อวินำที เป็นเวลำ 3 วินำที 4. ทังสำมข้อมีขนำดกำรกระจัดเท่ำกัน 64. เด็กคนหนึ่งวิ่งไปทำงขวำ 20 เมตร ใช้เวลำ 4 วินำที จำกนันหันกลับหลังแล้ววิ่งอีก 2 เมตร ในเวลำ 1 วินำที เด็กคนนีมีควำมเร็วเฉลี่ยเท่ำใด 1. 3.5 เมตรต่อวินำที 2. 3.6 เมตรต่อวินำที 3. 6.0 เมตรต่อวินำที 4. 7.0 เมตรต่อวินำที 65. รถยนต์ A เริ่มเคลื่อนที่จำกหยุดนิ่งโดยควำมเร็วเพิ่มขึน 2 เมตร/วินำที ทุก 1 วินำที เมื่อสินวินำทีที่ 5 รถยนต์จะมีควำมเร็วเท่ำไร 1. 5 เมตร/วินำที 2. 10 เมตร/วินำที 3. 15 เมตร/วินำที 4. 20 เมตร/วินำที 66. ปล่อยวัตถุให้ตกลงมำในแนวดิ่ง เมื่อเวลำผ่ำนไป 4 วินำที วัตถุมีควำมเร่งเท่ำใด 1. 9.8 m/s2 2. 19.6 m/s2 3. 29.4 m/s2 4. 39.2 m/s2 67. วัตถุที่มีกำรเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ ขณะวัตถุอยู่บนจุดสูงสุด ข้อใดต่อไปนีถูกต้อง 1. ควำมเร็วของวัตถุมีค่ำเป็นศูนย์ 2. ควำมเร่งของวัตถุมีค่ำเป็นศูนย์ 3. ควำมเร็วของวัตถุในแนวดิ่งมีค่ำเป็นศูนย์ 4. ควำมเร็วของวัตถุในแนวรำบมีค่ำเป็นศูนย์
  • 13. 68. ผูกเชือกเข้ำกับจุกยำงแล้วเหวี่ยงให้จุกยำงเคลื่อนที่เป็นวงกลมในแนวระดับเหนือศีรษะด้วยควำมเร็ว คงตัว ข้อใดถูกต้อง 1. จุกยำงมีควำมเร็วคงตัว 2. จุกยำงมีควำมเร่งเป็นศูนย์ 3. แรงที่กระทำต่อจุกยำงมีทิศเดียวกับควำมเร็วของจุกยำง 4. แรงที่กระทำต่อจุกยำงมีทิศทำงพุ่งเข้ำสู่ศูนย์กลำงของวงกลม 69. ผูกวัตถุด้วยเชือกแล้วเหวี่ยงให้เคลื่อนที่เป็นวงกลมในแนวระนำบดิ่ง ขณะที่วัตถุเคลื่อนที่มำถึงตำแหน่ง สูงสุดของวงกลม แรงชนิดใดต่อไปนีที่ทำหน้ำที่เป็นแรงสู่ศูนย์กลำง 1. แรงตึงเชือก 2. นำหนักวัตถุ 3. แรงตึงเชือกกับนำหนักของวัตถุ 4. ตำแหน่งนันแรงสู่ศูนย์กลำงเป็นศูนย์ 70. ข้อควำมใดถูกต้องเกี่ยวกับคำบของลูกตุ้มอย่ำงง่ำย 1. ไม่ขึนอยู่กับควำมยำวเชือก 2. ไม่ขึนอยู่กับมวลของลูกตุ้ม 3. ไม่ขึนอยู่กับแรงโน้มถ่วงของโลก 4. มีคำบเท่ำเดิมถ้ำแกว่งบนดวงจันทร์ 71. ข้อใดต่อไปนีไม่ได้ทำให้วัตถุมีกำรเคลื่อนที่แบบฮำร์มอนิกอย่ำงง่ำย 1. แขวนลูกตุ้มด้วยเชือกในแนวดิ่งแล้วผลักลูกตุ้มให้แกว่งเป็นวงกลมแนวดิ่ง 2. แขวนลูกตุ้มด้วยเชือกในแนวดิ่ง ดึงลูกตุ้มออกมำจนเชือกทำมุมกับแนวดิ่งเล็กน้อยแล้วปล่อยมือ 3. ผูกวัตถุกับปลำยสปริงในแนวดิ่ง ตรึงอีกด้ำนของสปริงไว้ ดึงวัตถุให้สปริงยืดออกเล็กน้อยแล้ว ปล่อยมือ 4. ผูกวัตถุกับปลำยสปริงในแนวระดับ ตรึงอีกด้ำนของสปริงไว้ ดึงวัตถุให้สปริงยืดออกเล็กน้อย แล้ว ปล่อยมือ
  • 14. 72. จำกแผนภำพที่แสดงลักษณะของเส้นแรงแม่เหล็กที่เกิดจำกแท่งแม่เหล็กสองแท่งวำงใกล้กัน A C D B ข้อใดบอกถึงขัวของแม่เหล็กที่ตำแหน่ง A, B, C และ D ได้อย่ำงถูกต้อง 1. A และ C เป็นขัวเหนือ B และ D เป็นขัวใต้ 2. A และ D เป็นขัวเหนือ B และ C เป็นขัวใต้ 3. B และ D เป็นขัวเหนือ A และ C เป็นขัวใต้ 4. B และ C เป็นขัวเหนือ A และ D เป็นขัวใต้ 73. ข้อควำมใดต่อไปนีไม่ถูกต้อง 1. สนำมไฟฟ้ำเป็นปริมำณเวกเตอร์ และมีทิศทำงจำกประจุบวกไปประจุลบเสมอ 2. วัตถุที่เป็นฉนวนจะไม่ยอมให้ประจุไฟฟ้ำไหลผ่ำน แต่สำมำรถเกิดสนำมไฟฟ้ำได้ถ้ำถูกกระตุ้น 3. ประจุไฟฟ้ำชนิดเดียวกัน ถ้ำอยู่ใกล้กันจะออกแรงผลักกันและเคลื่อนที่ห่ำงกันไปเรื่อยๆ เป็นระยะ อนันต์ 4. ถ้ำนำวัตถุที่เป็นกลำงทำงไฟฟ้ำวำงคั่นกลำงระหว่ำงประจุบวกกับประจุลบ วัตถุนันจะไม่ส่งผลใดๆ ต่อสนำมไฟฟ้ำของประจุบวกและประจุลบ 74. วำงอนุภำคอิเล็กตรอนลงในบริเวณซึ่งมีเฉพำะสนำมไฟฟ้ำที่มีทิศไปทำงขวำดังรูป อนุภำคอิเล็กตรอน จะมีกำรเคลื่อนที่เป็นไปตำมข้อใด 1. เคลื่อนที่เป็นเส้นโค้งเบนขึนข้ำงบน 2. เคลื่อนที่เป็นเส้นโค้งเบนลงข้ำงล่ำง 3. เคลื่อนที่เป็นเส้นตรงขนำนกับสนำมไฟฟ้ำ ไปทำงขวำ 4. เคลื่อนที่เป็นเส้นตรงขนำนกับสนำมไฟฟ้ำ ไปทำงซ้ำย
  • 15. 75. วัตถุมวล 10 กิโลกรัม อยู่บนดวงจันทร์มีนำหนัก 16 นิวตัน อยำกทรำบว่ำสนำมโน้มถ่วงของดวงจันทร์ มีค่ำเท่ำใด 1. 1.6 m/s2 2. 3.2 m s2 3. 6.4 m/s2 4. 9.6 m/s2 76. แรงระหว่ำงอนุภำคซึ่งอยู่ภำยในนิวเคลียร์จะประกอบด้วยแรงใดบ้ำง 1. แรงนิวเคลียร์เท่ำนัน 2. แรงนิวเคลียร์และแรงไฟฟ้ำ 3. แรงนิวเคลียร์และแรงดึงดูดระหว่ำงมวล 4. แรงนิวเคลียร์ แรงไฟฟ้ำ และแรงดึงดูดระหว่ำงมวล 77. คลื่นกลตำมยำวและคลื่นกลตำมขวำงถูกนิยำมขึนโดยดูจำกปัจจัยใดเป็นหลัก 1. ควำมยำวคลื่น 2. ประเภทของแหล่งกำเนิด 3. ทิศทำงกำรเคลื่อนที่ของคลื่น 4. ทิศทำงกำรสั่นของอนุภำคตัวกลำง 78. ข้อใดต่อไปนีถูกต้องเกี่ยวกับคลื่นตำมยำว 1. เป็นคลื่นที่เคลื่อนที่ไปตำมแนวยำวของตัวกลำง 2. เป็นคลื่นที่ไม่ต้องอำศัยตัวกลำงในกำรเคลื่อนที่ 3. เป็นคลื่นที่อนุภำคของตัวกลำงมีกำรสั่นได้หลำยแนว 4. เป็นคลื่นที่อนุภำคของตัวกลำงมีกำรสั่นในแนวเดียวกับกำรเคลื่อนที่ของคลื่น 79. คลื่นวิทยุ FM มีควำมถี่ 88 เมกะเฮิรตซ์ คลื่นนีมีควำมยำวคลื่นเท่ำใด เมื่อกำหนดให้ควำมเร็วของ คลื่นวิทยุ FM ขณะนันมีค่ำเท่ำกับ 3.0 x 108 เมตร/วินำที 1. 3.0 เมตร 2. 3.4 เมตร 3. 6.0 เมตร 4. 6.8 เมตร 80. วัสดุที่ใช้ในกำรบุผนังโรงภำพยนตร์มีผลในกำรลดปรำกฏกำรณ์ใดของเสียง 1. กำรหักเห 2. ดอพเพลอร์ 3. กำรสั่นพ้อง 4. กำรสะท้อน 81. ในกำรทดลองเพื่อสังเกตผลของสิ่งกีดขวำงเมื่อคลื่นเคลื่อนที่ผ่ำน เป็นกำรศึกษำสมบัติตำมข้อใดของคลื่น 1. กำรหักเห 2. กำรเลียวเบน 3. กำรสะท้อน 4. กำรแทรกสอด
  • 16. 82. สมบัติตำมข้อใดของคลื่นเสียงที่เกี่ยวข้องกับกำรเกิดบีตส์ 1. กำรสะท้อน 2. กำรหักเห 3. กำรเลียวเบน 4. กำรแทรกสอด 83. เหตุใดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำจึงเป็นคลื่นตำมขวำง 1. เพรำะสนำมแม่เหล็กมีทิศตังฉำกกับสนำมไฟฟ้ำ 2. เพรำะสนำมไฟ้ฟ้ำและสนำมแม่เหล็กมีทิศตรงข้ำมกับทิศกำรเคลื่อนที่ของคลื่น 3. เพรำะสนำมไฟฟ้ำและสนำมแม่เหล็กมีทิศตังฉำกกับทิศกำรเคลื่อนที่ของคลื่น 4. เพรำะสนำมไฟฟ้ำและสนำมแม่เหล็กมีทิศเดียวกันกับทิศกำรเคลื่อนที่ของคลื่น 84. คลื่นใดในข้อต่อไปนีที่มีควำมยำวคลื่นสันที่สุด 1. คลื่นวิทยุ 2. คลื่นอินฟรำเรด 3. คลื่นไมโครเวฟ 4. คลื่นแสงที่ตำมองเห็น 85. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำ 1. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำทุกชนิดมีอัตรำเร็วในสุญญำกำศเท่ำกัน 2. มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำบำงชนิดต้องอำศัยตัวกลำงในกำรเดินทำง 3. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำเป็นคลื่นที่มีทังสนำมไฟฟ้ำและสนำมแม่เหล็ก 4. เมื่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำเดินทำงในตัวกลำงที่เปลี่ยนไป อัตรำเร็วของคลื่นจะเปลี่ยนไป 86. ธำตุในข้อใดที่เป็นไอโซโทปกับธำตุที่มีสัญลักษณ์เป็น A5 11 1. B5 12 2. B6 12 3. B5 11 4. B6 11 87. ถ้ำรังสีแกมมำพุ่งเขำไปในบริเวณที่มีสนำมแม่เหล็กซึ่งมีทิศตังฉำกกับกำรเคลื่อนที่ของรังสี ภำยใน สนำมแม่เหล็กดังกล่ำว รังสีแกมมำมีแนวทำงกำรเคลื่อนที่เป็นไปตำมข้อใด 1. เบนไปด้ำนข้ำง 2. เคลื่อนที่เป็นวงกลม 3. เคลื่อนที่ในแนวทำงเดิม 4. ย้อนกลับทำงเดิม 88. ข้อใดต่อไปนีถูกต้องเกี่ยวกับรังสีแอลฟำ รังสีบีตำ และรังสีแกมมำ 1. รังสีแอลฟำมีประจุ+4 2. รังสีแกมมำมีอำนำจทะลุทะลวงสูงที่สุด 3. รังสีแอลฟำมีมวลมำกที่สุดและอำนำจทะลุทะลวงมำกที่สุด 4. รังสีบีตำมีมวลน้อยที่สุดและมีอำนำจกำรทะลุทะลวงต่ำที่สุด
  • 17. 89. นิวเคลียสของเรเดียม -226 มีกำรสลำยตัว ดังสมกำร Ra88 226 → Rn86 222 + x จำกสมกำร x คืออะไร 1. รังสีแกมมำ 2. อนุภำคบีตำ 3. อนุภำคแอลฟำ 4. อนุภำคนิวตรอน 90. ไอโซโทปกัมมันตรังสีของธำตุไอโอดีน -128 มีครึ่งชีวิต 25 นำที ถ้ำมีไอโอดีน -128 ทังหมด 256 กรัม จะใช้เวลำเท่ำไรจึงจะเหลือไอโอดีน -128 อยู่ 32 กรัม 1. 0 ชั่วโมง 50 นำที 2. 1 ชั่วโมง 15 นำที 3. 2 ชั่วโมง 30 นำที 4. 3 ชั่วโมง 20 นำที 91. รังสีใดที่ใช้สำหรับฆ่ำเชือโรคในเครื่องมือทำงกำรแพทย์ 1. รังสีบีตำ 2. รังสีแอลฟำ 3. รังสีแกมมำ 4. รังสีอินฟรำเรด 92. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับปฏิกิริยำนิวเคลียร์ฟิวชัน 1. เป็นปฏิกิริยำที่เกิดในอุณหภูมิต่ำ 2. เกิดจำกกำรหลอมรวมกันของดิวเทอเรียมเท่ำนัน 3. เกิดจำกนิวเคลียสของธำตุเบำหลอมรวมกันเป็นธำตุหนัก 4. เกิดจำกนิวเคลียสของธำตุหนักแตกตัวออกมำเป็นธำตุเบำ 93. ข้อควำมใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับโลก 1. ภำยในโลกมีควำมร้อนและอุณหภูมิสูงมำก 2. เปลือกโลกเป็นชันที่บำงที่สุดและมีควำมหนำสม่ำเสมอ 3. โครงสร้ำงภำยในโลก แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ เปลือกโลก เนือโลก และแก่นโลก 4. สัณฐำนของโลกมีรูปร่ำงกลมรี เส้นผ่ำนศูนย์กลำงในแนวนอนยำวกว่ำเส้นผ่ำนศูนย์กลำงในแนวดิ่ง 94. เมื่อเปลือกโลกภำคพืนทวีปกับเปลือกโลกภำคพืนมหำสมุทรชนกัน จะเกิดเหตุกำรณ์ลักษณะใด 1. ทังเปลือกโลกภำคพืนทวีปและเปลือกโลกภำคพืนมหำสมุทรจะยกตัวขึน 2. ทังเปลือกโลกภำคพืนทวีปและเปลือกโลกภำคพืนมหำสมุทรจะจมตัวลง 3. เปลือกโลกภำคพืนทวีปจะถูกยกตัวขึน ส่วนเปลือกโลกภำคพืนมหำสมุทรจะจมลง 4. เปลือกโลกภำคพืนทวีปจะจมลง ส่วนเปลือกโลกภำคพืนมหำสมุทรจะถูกยกตัวขึน
  • 18. 95. สำเหตุใดที่ทำให้แผ่นธรณีภำคมีกำรเคลื่อนที่ 1. กำรหมุนรอบตัวเองของโลก 2. หินบนเปลือกโลกเกิดกำรทรุดตัว 3. กำรเคลื่อนที่ของหินหนืดในชันเนือโลก 4. กำรปรับสมดุลเพื่อระบำยควำมร้อนภำยในโลก 96. หลักฐำนใดไม่ได้สนับสนุนทฤษฎีกำรเลื่อนไหลของทวีป 1. ฟอสซิลของทวีปที่ต่อกันมีลักษณะเหมือนกัน 2. ทวีปต่ำงๆ ในปัจจุบันสำมำรถนำมำต่อกันได้อย่ำงพอดี 3. ลักษณะของคนชำวอเมริกำใต้กับคนชำวอเมริกำเหนือคล้ำยกัน 4. หินในบริเวณขอบของทวีปที่ต่อกันเป็นชนิดเดียวกัน และเกิดในยุคใกล้เคียงกัน 97. แผ่นดินไหวที่รู้สึกได้ในประเทศไทย มักจะมีศูนย์เกิดแผ่นดินไหวอยู่ในประเทศใด 1. ลำว 2. พม่ำ 3. เวียดนำม 4. อินโดนีเซีย 98. ผลจำกเหตุกำรณ์ในข้อใดไม่ได้เป็นสำเหตุให้เกิดแผ่นดินไหว 1. กำรทดลองระเบิดปรมำณูใต้ดิน 2. กำรปะทุของภูเขำไฟอย่ำงรุนแรง 3. กำรผุพังทำงเคมีของเปลือกโลก 4. กำรเคลื่อนที่เข้ำชนกันของแผ่นเปลือกโลก 99. บริเวณใดที่มีโอกำสเกิดภูเขำไฟมำกที่สุด 1. แนวเทือกเขำกลำงมหำสมุทร 2. แนวรอยต่อของแผ่นธรณีภำค 3. บริเวณกลำงของแผ่นธรณีภำค 4. บริเวณที่มีกำรมุดตัวของแผ่นธรณีภำค 100. ซำกดึกดำบรรพ์ดัชนี จะต้องมีควำมเด่นชัดในข้อใดมำกที่สุด 1. สี 2. ขนำด 3. รูปร่ำง 4. ช่วงอำยุ 101. วิธีกำรในข้อใดที่ไม่สำมำรถบอกอำยุของซำกดึกดำบรรพ์ไดโนเสำร์ได้ 1. กำรใช้ซำกดึกดำบรรพดัชนี 2. กำรเปรียบเทียบอำยุกับชันหินที่พบซำกนัน 3. กำรวิเครำะห์ปริมำณยูเรเนียมในซำกดึกดำบรรพ์ 4. กำรวิเครำะห์ปริมำณคำร์บอน-14 ในซำกดึกดำบรรพ์
  • 19. 102. ภำคใดของประเทศไทยที่มีกำรค้นพบซำกไดโนเสำร์มำกที่สุด 1. ภำคใต้ 2. ภำคเหนือ 3. ภำคกลำง 4. ภำคตะวันออกเฉียงเหนือ 103. ข้อใดต่อไปนีกล่ำวได้ถูกต้องเกี่ยวกับเอกภพ 1. เอกภพมีขนำดใหญ่กว่ำระบบสุริยะแต่มีขนำดเล็กกว่ำกำแล็กซี 2. กำรขยำยตัวของเอกภพมีผลทำให้กำรแล็กซี่เคลื่อนเข้ำใกล้กันมำกขึน 3. เอกภพเกิดจำกกำรระเบิดครังใหญ่ที่เรียกว่ำ บิกแบง ทำให้อนุภำคและพลังงำนแผ่กระจำยออกไป 4. พลังงำนควำมร้อนที่ลดลงหลังจำกกำรเกิดบิกแบง ทำให้เกิดอนุภำคมูลฐำนต่ำงๆ ได้แก่ อิเล็กตรอน โปรตอน และนิวตรอน 104. เอ็ดวิน ฮับเบิล ได้ศึกษำเกี่ยวกับเรื่องในข้อใดที่ทำให้พบว่ำเอกภพมีกำรขยำยตัว 1. กำรสังเกตกำรเคลื่อนที่ของดำวฤกษ์ โดยใช้กำรวัดสเปกตรัม 2. กำรสร้ำงสมกำรเพื่อแก้ไขข้อผิดพลำดของทฤษฎีสัมพัทธภำพ 3. ศึกษำโครงสร้ำงของกำแล็กซี ว่ำประกอบด้วยดำวฤกษ์จำนวนมำก 4. กำรวัดกำรเลื่อนตำแหน่งของสเปกตรัมจำกกำแล็กซี เทียบกับระยะห่ำงจำกโลก 105. ข้อใดเป็นกำรเรียงลำดับระบบจำกเล็กไปใหญ่ 1. ระบบสุริยะ กระจุกดำว ดำรำจักร เอกภพ 2. ระบบสุริยะ ดำรำจักร กระจุกดำว เอกภพ 3. ดำรำจักร กระจุกดำว เอกภพ กระจุกดำรำจักร 4. กระจุกดำว ดำรำจักร เอกภพ กระจุกดำรำจักร 106. ทำงช้ำงเผือกเป็นดำรำจักร (Galaxy) ที่มีรูปร่ำงแบบใด 1. วงรี 2. รูปร่ำงไม่แน่นอน 3. ก้นหอยหรือกังหัน 4. ก้นหอยหรือกังหันแบบมีแกน 107. เพรำะเหตุใดดำวเครำะห์ถึงโคจรรอบดวงอำทิตย์ ก. เพรำะดวงอำทิตย์มีแรงดึงดูดระหว่ำงมวลแก่ดำวเครำะห์ ข. เพรำะดำวเครำะห์ถูกดวงอำทิตย์ดึงดูดเอำไว้ด้วยแรงทำงไฟฟ้ำ ค. เพรำะดำวเครำะห์ภำยในระบบสุริยะอยู่ภำยใต้สนำมโน้มถ่วงของดวงอำทิตย์ ข้อใดกล่ำวถูกต้อง 1. ก. และ ข. 2. ก. และ ค. 3. ก. เท่ำนัน 4. ข. เท่ำนัน
  • 20. 108. แรงในข้อใดต่อไปนีเป็นปัจจัยทำให้กลุ่มหมอกแก๊สเกิดกำรยุบตัวเพื่อเป็นดำว 1. แรงโน้มถ่วง 2. แรงนิวเคลียร์ 3. แรงสู่ศูนย์กลำง 4. แรงแม่เหล็กไฟฟ้ำ 109. ข้อใดเรียงลำดับกำรสินสุดของดำวฤกษ์ได้ถูกต้อง 1. ดำวฤกษ์ที่มีขนำดใหญ่ ⟶ ดำวยักษ์แดง ⟶ หลุมดำ 2. ดำวฤกษ์ที่มีขนำดใหญ่ ⟶ ซูเปอร์โนวำ ⟶ ดำวยักษ์แดง 3. ดำวฤกษ์ที่มีขนำดเล็ก ⟶ ซูเปอร์โนวำ ⟶ ดำวนิวตรอน 4. ดำวฤกษ์ที่มีขนำดเล็ก ⟶ ดำวยักษ์แดง ⟶ ดำวแคระขำว 110. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับอันดับควำมสว่ำง 1. มีค่ำเป็นบวกเท่ำนัน 2. ค่ำมำกแสดงว่ำสว่ำงมำก 3. เป็นปริมำณที่ไม่มีหน่วย 4. ค่ำเป็นศูนย์แสดงว่ำไม่มีแสงในตัวเอง 111. กำรสินสุดของดำวฤกษ์ขึนอยู่กับสิ่งใด 1. สี 2. มวล 3. อุณหภูมิ 4. องค์ประกอบทำงเคมี 112. ดำวฤกษ์ในข้อใดต่อไปนีที่มีอุณหภูมิผิวสูงสุด 1. ดำวที่มีสีส้ม 2. ดำวที่มีสีแดง 3. ดำวที่มีสีเหลือง 4. ดำวที่มีสีส้มแดง 113. กำรโครจรของดำวเทียมเกี่ยวข้องกับแรงชนิดใด 1. แรงพยุง 2. แรงเสียดทำน 3. แรงโน้มถ่วงของโลก 4. แรงกิริยำและแรงปฏิกิริยำ 114. แรงดึงดูดระหว่ำงวัตถุ 2 ชนิด จะมีค่ำมำกหรือน้อยขึนอยู่กับสิ่งใด 1. มวลของวัตถุและชนิดของวัตถุ 2. มวลของวัตถุและระยะห่ำงระหว่ำงวัตถุ 3. ชนิดของวัตถุและระยะห่ำงระหว่ำงวัตถุ 4. มวลของวัตถุ ชนิดของวัตถุ และระยะห่ำงระหว่ำงวัตถุ
  • 21. 115. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับกำรโคจรของดำวเทียม 1. กำรส่งดำวเทียมขึนไปสู่วงโคจรจะต้องใช้จรวดเป็นตัวนำส่ง 2. จรวดที่ใช้นำส่งดำวเทียมจะมี 3 ท่อน เมื่อท่อนใดใช้พลังงำนหมดก็จะถูกสลัดทิงไป 3. ดำวเทียมที่โคจรอยู่ใกล้โลกจะโคจรด้วยควำมเร็วมำกกว่ำดำวเทียมที่โคจรอยู่ห่ำงจำกโลก 4. กำรโคจรของดำวเทียมต้องมีแรงสู่ศูนย์กลำงน้อยกว่ำแรงหนีศูนย์กลำง ดำวเทียมจึงจะโคจรได้ 116. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ที่ได้รับจำกเทคโนโลยีสำรวจระยะไกล 1. ใช้ในกำรพยำกรณ์อำกำศ 2. ใช้ในกำรเตือนภัยธรรมชำติ 3. ใช้ในกำรสำรวจทิศทำงในกำรเดินทำง 4. ใช้ในกำรสำรวจกำรใช้ประโยชน์ของที่ดิน 117. ดำวเทียมสำรวจทรัพยำกรธรรมชำติดวงแรกของประเทศไทย ที่ถูกส่งขึนสู่วงโคจรเมื่อวันที่ 1 ตุลำคม พ.ศ. 2551 ชื่ออะไร 1. ธีออส 2. ไทยคม 4 3. แลนเซท 4. ไทยคม 1A 118. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของดำวเทียมที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน 1. รวมพลังงำนแสงอำทิตย์แล้วส่งมำยังโลก 2. กำหนดพิกัดของตำแหน่งต่ำงๆ บนพืนโลก 3. ค้นหำแหล่งทรัพยำกรที่มีค่ำ เช่น ทองคำ นำมัน 4. ช่วยเตือนภัยเกี่ยวกับภัยธรรมชำติ เช่น นำท่วม พำยุ 119. ข้อใดต่อไปนีไม่ใช่ผลจำกเทคโนโลยีอวกำศ 1. แผนที่กูเกิล (Google Maps) 2. เครื่องไซสโมกรำฟ (Seismo-graph) 3. ภำพถ่ำยเมฆที่ใช้ในข่ำวพยำกรณ์อำกำศ 4. กำรถ่ำยทอดสดฟุตบอลโลกจำกประเทศแอฟริกำใต้ 120. กำรส่งยำนอวกำศด้วยยำนขนส่งอวกำศมีคุณสมบัติเด่นอย่ำงไร 1. นำหนักเบำ 2. เคลื่อนที่ได้เร็ว 3. ประหยัดพลังงำน 4. สำมำรถนำกลับมำใช้ใหม่ได้
  • 22. ชุดที่ 2 ข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์ 2552 มัธยมศึกษาตอนปลาย ส่วนที่ 1 : แบบระบำยตัวเลือก แต่ละข้อมีคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว ข้อ 1-68 : ข้อละ 1 คะแนน 1. เซลล์ที่มีส่วนประกอบดังต่อไปนี : ดีเอ็นเอ ไรโบโซม เยื่อหุ้มเซลล์ เอนไซม์ และไมโทคอนเดรีย เป็นเซลล์ของสิ่งมีชีวิตในข้อใด 1. แบคทีเรีย 2. พืชเท่ำนัน 3. สัตว์เท่ำนัน 4. อำจเป็นได้ทังพืชหรือสัตว์ 2. กระบวนกำรใดไม่พบในกระบวนกำรดูดนำกลับที่ท่อหน่วยไต 1. กำรแพร่ 2. ออสโมซิส 3. เอนโดไซโทซิส 4. กำรลำเลียงแบบใช้พลังงำน 3. เหตุใดผู้ดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์จึงมักปัสสำวะบ่อยกว่ำปกติ 1. ไตทำงำนอย่ำงมีประสิทธิภำพสูงขึน 2. กำรหลั่งฮอร์โมนวำโซเปรสซินลดลง 3. แอลกอฮอล์เป็นพิษต่อร่ำงกำย จึงถูกกำจัดทิงอย่ำงรวดเร็ว 4. ร่ำงกำยควบคุมกำรทำงำนของกล้ำมเนือกระเพำะปัสสำวะไม่ได้ 4. กำรดื่มนำส้มเป็นปริมำณมำก ทำให้เลือดมีสภำวะเป็นกรดจริงหรือไม่ เพรำะเหตุใด 1. เป็นกรดจริง เพรำะวิตำมินซีละลำยนำได้ 2. เป็นกรดจริง เพรำะนำส้มมีรสเปรียวและมีปริมำณกรดสูง 3. ไม่เป็นกรด เพรำะเลือดมีสมบัติเป็นสำรละลำยบัฟเฟอร์ 4. ไม่เป็นกรด เพรำะร่ำงกำยจะได้รับอันตรำยได้หำกเลือดมีสภำวะเป็นกรด 5. วิธีกำรในข้อใดที่ใช้ควบคุมโรคไวรัสในพืชได้ผลดีที่สุด 1. กำรเผำทำลำยพืช 2. กำรฉีดวัคซีน 3. กำรใช้ยำปฏิชีวนะ 4. กำรเพิ่มไนโตรเจนในดิน 6. เมื่อเชือโรคเข้ำสู่ร่ำงกำยคน ร่ำงกำยจะมีปฏิกิริยำตอบสนองโดยสร้ำงสำรใดมำต่อสู้ 1. ซีรุ่ม 2. แอนติเจน 3. ทอกซอยด์ 4. แอนติบอดี ปีการศึกษา
  • 23. 7. เมื่อหยดนำเกลือลงบนสไลด์ที่มีใบสำหร่ำยหำงกระรอกอยู่ จะสังเกตเห็นกำรเปลี่ยนแปลงของเซลล์ คล้ำยกับที่เกิดขึนเมื่อหยดสำรใดมำกที่สุดและเกิดเร็วที่สุด 1. นำกลั่น 2. นำเชื่อม 3. นำนมสด 4. แอลกอฮอล์ 8. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับดีเอ็นเอ 1. ดีเอ็นเอพบได้ในคลอโรพลำสต์ 2. ดีเอ็นเอทำหน้ำที่กำหนดชนิดของโปรตีน 3. สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีปริมำณดีเอ็นเอไม่เท่ำกัน 4. ไนโตรเจนเบสชนิดกวำนีนและไซโทซีนจะจับคู่กันด้วยพันธะคู่เสมอ 9. ถ้ำพ่อมีหมู่เลือด B แม่มีหมู่เลือด A และมีลูกชำยที่มีหมู่เลือด O โอกำสที่จะได้ลูกสำวที่มีหมู่เลือด O เป็นเท่ำใด 1. 1/2 2. 1/4 3. 1/8 4. 1/16 10. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคธำลัสซีเมีย 1. เป็นโรคโลหิตจำงชนิดหนึ่ง 2. ผู้ป่วยเป็นโรคธำลัสซีเมียควรหลีกเลี่ยงอำหำรที่มีธำตุเหล็กสูง 3. เป็นโรคที่เกิดจำกควำมผิดปกติของยีนที่ควบคุมกำรสร้ำงโกลบิน 4. ผู้ที่ได้รับแอลลีลผิดปกติจำกพ่อหรือแม่เพียงฝ่ำยเดียวมีโอกำสเป็นโรคได้ 11. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับมิวเทชัน 1. มีอัตรำกำรเกิดได้สูงตำมธรรมชำติ 2. เกิดได้ทังระดับโครโมโซมและดีเอ็นเอ 3. เกิดขึนได้เฉพำะในเซลล์ที่กำลังแบ่งตัว 4. มิวเทชันในเซลล์ทุกชนิดสำมำรถถ่ำยทอดไปยังรุ่นลูกหลำนได้ 12. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับกำรโคลน 1. ได้สัตว์ตัวใหม่ที่มีเพศเดียวกับสัตว์ต้นแบบ 2. เป็นกำรสร้ำงสัตว์ตัวใหม่โดยไม่ต้องอำศัยเซลล์สืบพันธุ์ 3. แฝดเหมือนคือตัวอย่ำงของกำรโคลนที่เกิดขึนตำมธรรมชำติ 4. แกะดอลลีเกิดจำกกำรโคลนโดยใช้เซลล์บริเวณเต้ำนมเป็นต้นแบบ
  • 24. 13. ข้อใดจัดเป็นสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม 1. แตงโมไม่มีเมล็ด 2. กล้วยไม้ที่ได้จำกกำรเพำะเลียงเนือเยื่อ 3. แบคทีเรียที่สำมำรถผลิตฮอร์โมนอินซูลิน 4. กล้วยไม้พันธุ์ใหม่ที่ได้จำกกำรฉำยรังสีแกมมำ 14. หลักฐำนในข้อใดที่ไม่สำมำรถใช้ตรวจหำฆำตกรโดยใช้ลำยพิมพ์ดีเอ็นเอ 1. เส้นผม 2. ลำยนิวมือ 3. ครำบอสุจิ 4. ครำบเลือด 15. ในระบบนิเวศซึ่งประกอบด้วย เหยี่ยว งู กระรอก หญ้ำ และตั๊กแตน สิ่งมีชีวิตในข้อใดมีมวลชีวภำพ น้อยที่สุด 1. งู 2. เหยี่ยว 3. หญ้ำ 4. กระรอกและตั๊กแตน 16. กระบวนกำรเปลี่ยนแปลงแทนที่แบบใดนำไปสู่กำรเกิดระบบนิเวศหลังจำกกำรระเบิดของภูเขำไฟ บนเกำะหนึ่ง 1. แบบปฐมภูมิ 2. แบบทุติยภูมิ 3. แบบตติยภูมิ 4. แบบจตุรภูมิ 17. ข้อใดไม่นับว่ำเป็นส่วนหนึ่งของควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพ 1. ควำมหลำกหลำยของสปีชีส์ 2. ควำมหลำกหลำยของพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิต 3. ควำมหลำกหลำยของแหล่งที่อยู่ของสิ่งมีชีวิต 4. ควำมหลำกหลำยของสำรเคมีต่ำงๆ รอบสิ่งมีชีวิต 18. ทรัพยำกรที่เกิดขึนทดแทนใหม่ได้ในข้อใดที่มนุษย์นำมำใช้ประโยชน์มำกที่สุดในปัจจุบัน 1. พลังงำนนำ 2. พลังงำนลม 3. พลังงำนจำกคลื่น 4. พลังงำนแสงอำทิตย์ 19. เมื่อมีสำรประกอบไนเตรตและฟอสเฟตสะสมอยู่ในแหล่งนำเป็นปริมำณมำกปรำกฏกำรณ์ใดจะเกิดขึน เป็นอันดับแรก 1. ปริมำณแพลงตอนสัตว์จะเพิ่มขึน 2. จำนวนของแพลงตอนพืช สำหร่ำย และพืชนำจะเพิ่มขึน 3. สำรพิษตกค้ำง เช่น สำรกำจัดแมลง จะมีปริมำณกำรสะสมสูงขึน 4. ปริมำณสัตว์นำ เช่น ปลำ สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอื่นๆ จะเพิ่มขึน
  • 25. 20. สัตว์ป่ำในข้อใดมีสถำนภำพปัจจุบันแตกต่ำงไปจำกข้ออื่นทังหมด 1. พะยูน ช้ำง 2. ควำยป่ำ กระทิง วัวแดง 3. นกเจ้ำฟ้ำหญิงสิรินธร กูปรี 4. นกแต้วแล้วท้องดำ เลียงผำ ตารางธาตุ H He Li Be B C N O F Ne Na Mg Al Si P S Cl Ar K Ca Sc Ti V Cr Mn Fe Co Ni Cu Zn Ga Ge As Se Br Kr Rb Sr Y Zr Nb Mo Tc Ru Rh Pd Ag Cd In Sn Sb Te I Xe Cs Ba * Hf Ta W Re Os Ir Pt Au Hg Tl Pb Bi Po At Rn Fr Ra ** Rf Db Sg Bh Hs Mt Ds Rg Uub Uut Uuq Uup Uuh Uus Uuo *Lanthanides La Ce Pr Nd Pm Sm Eu Gd Tb Dy Ho Er Tm Yb Lu **Actinides Ac Th Pa U Np Pu Am Cm Bk Cf Es Fm Md No Lr 21. ข้อควำมใดไม่ถูกต้อง 1. กรดไรโบนิวคลีอิกทำหน้ำที่ในกำรสร้ำงโปรตีน 2. คำร์โบไฮเดรตช่วยให้กำรเผำไหม้ไขมันเป็นไปอย่ำงสมบูรณ์ 3. ปฏิกิริยำกำรเตรียมสบู่จำกนำมันเรียกว่ำ “สะปอนนิฟิเคชัน (saponification)” 4. โปรตีนเป็นแหล่งพลังงำนขันแรกของร่ำงกำยโดยโปรตีน 1 กรัม ให้พลังงำน 4 กิโลแคลอรี
  • 26. 22. กำรทดสอบสำร ก สำร ข สำร ค และ สำร ง ได้ผล ดังนี  หมำยถึง ละลำยในนำหรือให้สีนำเงินกับไอโอดีน หรือเกิดตะกอนสีแดงอิฐกับสำรละลำยเบเนดิกต์  หมำยถึง ไม่เปลี่ยนแปลง การทดสอบ สาร ก ข ค ง กำรละลำยนำ     สำรละลำยไอโอดีน     สำรละลำยเบเนดิกต์     HCI ตำมด้วยสำรละลำยเบเนดิกต์     สำร ก สำร ข สำร ค และ สำร ง ควรเป็นสำรใดตำมลำดับ 1. แป้งข้ำวโพด นำเชื่อม ใยไหม กลูโคส 2. แป้งผัดหน้ำ ฟรักโทส ใยสำลี นำตำลทรำย 3. แป้งข้ำวเจ้ำ นำตำลทรำย ใยบวบ ฟรักโทส 4. แป้งสำลี แอสพำร์แทม ใยแมงมุม กลูโคส 23. ปริมำณของไขมันอิ่มตัว ไขมันไม่อิ่มตัว และสำรอื่น ๆ ในนำมันเป็นดังตำรำง ชนิดน้ามัน/ไขมัน ไขมันอิ่มตัว (%) ไขมันไม่อิ่มตัว (%) อื่นๆ (%) นำมันถั่วเหลือง 15 52 33 นำมันมะพร้ำว 86 0 14 นำมันไก่ 23 24 53 ไขมันวัว 48 2 50 ข้อใดสรุปได้ถูกต้อง 1. ไขมันวัวจะเหม็นหืนเร็วกว่ำนำมันไก่ 2. นำมันถั่วเหลืองเหม็นหืนช้ำกว่ำนำมันมะพร้ำว 3. นำมันถั่วเหลืองเหมำะสำหรับทอดอำหำรมำกกว่ำนำมันมะพร้ำว 4. ถ้ำใช้นำมันที่มีจำนวนเท่ำกัน นำมันถั่วเหลืองจะทำปฏิกิริยำกับไอโอดีนโดยใช้ปริมำณมำกที่สุด
  • 27. 24. กำหนดโครงสร้ำงของกรดอะมิโน A, B และ C โดย A และ B เป็นกรดอะมิโนจำเป็น ข้อควำมใดถูกต้อง 1. เพปไทด์ที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนทัง 3 ชนิด ข้ำงต้นโดยไม่มีกรดที่ซำกัน มีทังหมด 3 ชนิด 2. เพปไทด์ที่เกิดจำกกรด A และกรด B ทำปฏิกิริยำกับ CuSO4 ในสภำวะเบสให้สำรสีม่วง 3. เพปไทด์ที่เกิดจำกกรด A กรด B และกรด C เป็นไตรเพปไทด์ที่มีจำนวนพันธะเพปไทด์ 3 พันธะ 4. ในร่ำงกำยมนุษย์จะไม่พบโปรตีนที่มีกรดอะมิโน A และ B เป็นองค์ประกอบ 25. กำหนดสำย X ของกรดดีออกซีไรโบนิวคลีอิกชนิดหนึ่งมีลำดับของเบส ดังนี (A = อะดีนีน, C = ไซโตซีน, G = กวำนีน, T = ไทมีน) TGTAG C A XX สำย Y ที่เป็นคู่ของสำย X จะมีลำดับเบสเป็นไปตำมข้อใด 1. A C A T CGT Y Y 2. T C A G TAC Y Y 3. A C T C ATC Y Y 4. A G T A CGT Y Y 26. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับสมบัติของตัวทำละลำยในอุตสำหกรรมเคมีที่ได้จำกกำรกลั่นปิโตรเลียม 1. มีจุดเดือดสูงกว่ำนำมันดีเซล 2. เป็นสำรไฮโดรคำร์บอนที่ละลำยนำได้ 3. มีสถำนะเป็นของเหลวที่อุณหภูมิและควำมดันปกติ
  • 28. 4. ประกอบด้วยสำรไฮโดรคำร์บอนที่มีจำนวนคำร์บอนน้อยกว่ำ 5 อะตอม 27. เมื่อนำยำงชนิดหนึ่งที่มีสมบัติยืดหยุ่นมำเผำไฟ พบว่ำเกิดแก๊สที่ละลำยนำแล้วได้สำรละลำยที่มีฤทธิ์ เป็นกรด ชนิดของยำงและแก๊สที่เกิดขึนเป็นข้อใด 1. 2. 3. 4. 28. ข้อใดไม่มีปฏิกิริยำเคมีเกิดขึน 1. กำรเคียวข้ำวก่อนกลืน 2. กำรฟอกสบู่ในนำกระด้ำง 3. กำรทำเล็กเกอร์เคลือบผิวไม้ 4. กำรผสมกลีเซอรอลกับเอทำนอล 29. ไฮโดรเจนเป็นแก๊สที่เบำที่สุด ใช้ทำให้บอลลูนลอยตัวขึนในอำกำศได้ แต่ในทำงปฏิบัติจะใช้แก๊สฮีเลียม ซึ่งหนักกว่ำ เพรำะเหตุผลหลักตำมข้อใด 1. แก๊สไฮโดรเจนติดไฟได้ง่ำย 2. แก๊สไฮโดรเจนมีรำคำแพงกว่ำแก๊สฮีเลียม 3. ต้องใช้แก๊สไฮโดรเจนปริมำณมำกกว่ำกำรใช้ฮีเลียม 4. ฮีเลียมแยกได้จำกธรรมชำติ แต่แก๊สไฮโดรเจนต้องผ่ำนกระบวนกำรผลิต 30. ข้อใดระบุชนิดของแก๊สและกรดที่เกิดจำกกำรนำแก๊สนันไปละลำยในนำได้ถูกต้อง 1. อีเทน – กรดนำส้ม 2. คลอรีน – กรดเกลือ 3. ไนโตรเจน – กรดไนตริก 4. ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ – กรดซัลฟิวริก 31. เมื่อนำสำร A มำเผำในบรรยำกำศออกซิเจน O2 (g) จะได้ไอนำ H2 O (g) และแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ CO2 (g) สำร A ในปฏิกิริยำข้ำงต้นไม่ใช่สำรใดในข้อต่อไปนี 1. แก๊สไฮโดรเจน 2. แก๊สโซฮอล์ 3. แก๊สบิวเทน 4. แก๊สธรรมชำติ ชนิดของยาง ควันที่เกิดจากการเผา ซิลิโคน SiO2 ยำงวัลคำไนซ์ SO2 พอลิไวนิลแอซีเตท HCI ไนลอน 66 NH3
  • 29. 32. สำรละลำย X, Y และ Z ต่ำงก็เป็นสำรละลำยใสที่ไม่มีสี เมื่อนำแต่ละชนิดที่มีควำมเข้มข้นและปริมำณ เท่ำกัน มำผสมกันที่อุณหภูมิเป็น 25o C ได้ผลดังตำรำง การผสมสารละลาย อุณหภูมิหลังผสม (o C) สิ่งที่สังเกตเห็น X กับ Y 24 สำรละลำยสีฟ้ำ Y กับ Z 25 ใส ไม่มีสี ข้อสรุปใดไม่ถูกต้อง 1. X กับ Y เกิดปฏิกิริยำคำยควำมร้อน 2. Y กับ Z เป็นสำรละลำยชนิดเดียวกัน 3. Y กับ Z ทำปฏิกิริยำโดยไม่คำยควำมร้อน 4. Y กับ Z เป็นสำรละลำยต่ำงชนิดที่ไม่ทำปฏิกิริยำกัน 33. ข้อใดกล่ำวได้ถูกต้อง 1. สบู่ กำจัดไขมันได้เพรำะละลำยในนำแต่ไม่ละลำยนำมัน 2. กำรผสมยำลดกรดในกระเพำะลงในนำแล้วเกิดแก๊ส แสดงว่ำมีปฏิกิริยำเกิดขึน 3. กำรต้มนำนมจะทำให้โปรตีนแปลงสภำพ ซึ่งจะกลับสู่สภำพเดิมได้เมื่อเย็นลง 4. แบตเตอรี่รถยนต์ที่ใช้แผ่นตะกั่วและกรดซัลฟิวริก เมื่อใช้งำนแผ่นตะกั่วจะทำหน้ำที่เป็นตัวเร่ง ปฏิกิริยำ เพรำะเมื่อใช้งำนเสร็จแล้วแผ่นตะกั่วไม่เปลี่ยนแปลง 34. ข้อใดที่แสดงว่ำผิวสัมผัสมีผลต่ออัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำ 1. กระดำษฝอยติดไฟได้เร็วกว่ำแผ่นกระดำษ 2. แผ่นสังกะสีปกติทำปฏิกิริยำกับกรดไฮโดรคลอริกได้ช้ำกว่ำแผ่นสังกะสีที่มีลวดทองแดงพันอยู่ 3. เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ใช้เชือเพลิงยูเรเนียมที่เป็นแท่งยำวทำให้มีอำยุกำรใช้งำนนำนกว่ำที่ใช้เป็น ก้อนเล็กๆ 4. แบตเตอรี่รถยนต์ที่มีจำนวนแผ่นตะกั่วมำกกว่ำให้กำลังไฟฟ้ำสูงกว่ำที่มีจำนวนแผ่นน้อยกว่ำ 35. ข้อใดที่ไม่ได้แสดงว่ำธรรมชำติของสำรมีผลต่ออัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำเคมี 1. เกลือเม็ดดูดควำมชืนเร็วกว่ำผลึกนำตำลทรำย 2. กระดำษมีอำยุกำรใช้งำนน้อยกว่ำพลำสติก 3. แบตเตอรี่ปรอท กับแบตเตอรี่อัลคำไลน์มีอำยุใช้งำนไม่เท่ำกัน 4. เหล็กที่อยู่ในอำกำศและควำมชืนจะผุกร่อนได้เร็วกว่ำอะลูมิเนียม
  • 30. 36. ไอออนบวกของไฮโดรเจน (H+ ) ขำดอนุภำคมูลฐำนข้อใด 1. โปรตอน 2. อิเล็กตรอน 3. นิวตรอน และอิเล็กตรอน 4. โปรตอน และอิเล็กตรอน 37. ธำตุในข้อใดที่เป็นไอโซโทปกับธำตุที่มีสัญลักษณ์เป็น A5 11 1. B5 12 2. B6 12 3. B5 11 4. B6 11 38. ธำตุ 3 ชนิดมีสัญลักษณ์ดังนี A4 8 B13 27 C17 35 ข้อใดเป็นสูตรเคมีของสำรประกอบฟลูออไรด์ของธำตุทังสำมชนิดตำมลำดับ 1. AF BF3 CF2 2. AF B2F3 CF2 3. AF2 B2F3 CF 4. AF2 BF3 CF 39. พิจำรณำข้อควำมต่อไปนี ก. เกลือแกงและโซดำไฟเป็นสำรประกอบของโลหะหมู่ 1A ข. สำรประกอบไอออนิกที่มีสถำนะเป็นของแข็งสำมำรถนำไฟฟ้ำได้ ค. โลหะเทรนซิชันมีสมบัติทำงกำยภำพเหมือนโลหะหมู่ 1A และ 2A ข้อใดกล่ำวถูกต้อง 1. ก. และ ข. 2. ข. และ ค. 3. ก. และ ค. 4. ก. ข. และ ค. 40. ธำตุกัมมันตรังสีธรรมชำติ X มีครึ่งชีวิตเท่ำกับ 5,000 ปี นักธรณีวิทยำค้นพบซำกของสัตว์โบรำณที่มี ปริมำณธำตุกัมมันตรังสี X เหลืออยู่เพียง 6.25% ของปริมำณเริ่มต้น สัตว์โบรำณนีมีชีวิตโดยประมำณ เมื่อกี่ปีมำแล้ว 1. 10,000 ปี 2. 15,000 ปี 3. 20,000 ปี 4. 25,000 ปี
  • 31. 41. วัตถุอันหนึ่งเมื่ออยู่บนโลกที่มีสนำมโน้มถ่วง g พบว่ำมีนำหนักเท่ำกับ W 1 ถ้ำนำวัตถุนีไปไว้บน ดำวเครำะห์อีกดวงพบว่ำมีนำหนัก W 2 จงหำมวลของวัตถุนี 1. W1 g 2. W2 g 3. W1+ W2 g 4. W2+ W1 2g 42. วำงเข็มทิศอันหนึ่งบนโต๊ะ เข็มทิศชีขึนในลักษณะดังรูป ถ้ำนำประจุบวกไปวำงไว้ทำงด้ำนซ้ำยของ เข็มทิศ จะเกิดอะไรขึน 1. เข็มทิศชีไปทำงขวำ 2. เข็มทิศชีไปทำงซ้ำย 3. เข็มทิศชีลง 4. เข็มทิศชีทำงเดิม 43. ในรูปซ้ำย A และ B คือเส้นทำงกำรเคลื่อนที่ของอนุภำค 2 อนุภำคที่ถูกยิงมำจำกจุด P ไปทำงขวำ เข้ำไปในบริเวณที่มีสนำมแม่เหล็ก (ดูรูปซ้ำย) ถ้ำนำอนุภำคทังสองไปวำงลงในบริเวณที่มีสนำมไฟฟ้ำ ดังรูปขวำ จะเกิดอะไรขึน (ด แทนสนำมแม่เหล็กที่มีทิศพุ่งเข้ำและตังฉำกกับกระดำษ) 1. A เคลื่อนที่ไปทำงขวำ ส่วน B เคลื่อนที่ไปทำงซ้ำย 2. A เคลื่อนที่ไปทำงซ้ำย ส่วน B เคลื่อนที่ไปทำงขวำ 3. ทัง A และ B ต่ำงก็เคลื่อนที่ไปทำงขวำ 4. ทัง A และ B ต่ำงก็อยู่นิ่งกับที่
  • 32. 44. ยิงอนุภำคอิเล็กตรอนเข้ำไปในแนวตังฉำกกับสนำมไฟฟ้ำสม่ำเสมอที่มีทิศพุ่งออกจำกกระดำษ เส้นทำง กำรเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนจะเป็นอย่ำงไร (g แทนทิศสนำมไฟฟ้ำพุ่งออกและตังฉำกกับกระดำษ) 1. เบนขึน 2. เบนลง 3. เบนพุ่งออก 4. เบนพุ่งเข้ำหำกระดำษ 45. โปรตอนและนิวตรอนสำมำรถอยู่รวมกันเป็นนิวเคลียสได้ด้วยแรงใด 1. แรงดึงดูดระหว่ำงมวล 2. แรงไฟฟ้ำ 3. แรงแม่เหล็ก 4. แรงนิวเคลียร์ 46. วัตถุเคลื่อนที่เป็นเส้นตรง โดยมีตำแหน่งที่เวลำต่ำงๆ ดังกรำฟ 6 - 4 2 4 8 + 4 0 ข้อใดคือกำรกระจัดของวัตถุ ในช่วงเวลำ t = 0 วินำที จนถึง t = 8 วินำที 1. -8 เมตร 2. -4 เมตร 3. 0 เมตร 4. +8 เมตร 47. ตอนเริ่มต้นวัตถุอยู่ห่ำงจำกจุดอ้ำงอิงไปทำงขวำ 4.0 เมตร เมื่อเวลำผ่ำนไป 10 วินำที พบว่ำวัตถุอยู่ห่ำง จำกจุดอ้ำงอิงไปทำงซ้ำย 8.0 เมตร จงหำควำมเร็วเฉลี่ยของวัตถุนี 1. 0.4 เมตรต่อวินำที 2. 0.4 เมตรต่อวินำที ทำงซ้ำย 3. 1.2 เมตรต่อวินำที 4. 1.2 เมตรต่อวินำที ทำงซ้ำย ตาแหน่ง (เมตร) เวลา (วินาที)
  • 33. 48. ข้อใดต่อไปนีเป็นกำรเคลื่อนที่ที่มีขนำดกำรกระจัดน้อยที่สุด 1. เดินไปทำงขวำด้วยอัตรำเร็วคงตัว 3 เมตรต่อวินำที เป็นเวลำ 4 วินำที 2. เดินไปทำงซ้ำยด้วยอัตรำเร็วคงตัว 4 เมตรต่อวินำที เป็นเวลำ 3 วินำที 3. เดินไปทำงขวำ 10 เมตร แล้วเดินย้อนกลับมำทำงซ้ำย 2 เมตร 4. ทังสำมข้อ มีขนำดกำรกระจัดเท่ำกันหมด 49. ข้อใดที่วัตถุมีควำมเร่งไปทำงซ้ำย 1. วัตถุเคลื่อนที่ไปทำงขวำแล้วเคลื่อนที่เร็วขึน 2. วัตถุเคลื่อนที่ไปทำงขวำแล้วเคลื่อนที่ช้ำลง 3. วัตถุเคลื่อนที่ไปทำงซ้ำยแล้วเคลื่อนที่ช้ำลง 4. วัตถุเคลื่อนที่ไปทำงซ้ำยแล้วหยุด 50. ลูกตุ้มนำฬิกำแกว่งแบบฮำร์มอนิกอย่ำงง่ำย พบว่ำผ่ำนจุดต่ำสุด ทุกๆ 2.1 วินำที ควำมถี่ของกำรแกว่ง ของลูกตุ้มนีเป็นไปตำมข้อใด 1. 0.24 เฮิรตซ์ 2. 0.48 เฮิรตซ์ 3. 2.1 เฮิรตซ์ 4. 4.2 เฮิรตซ์ 51. ผูกเชือกเข้ำกับจุกยำง แล้วเหวี่ยงให้จุกยำงเคลื่อนที่เป็นวงกลมในแนวระดับเหนือศีรษะด้วยอัตรำเร็ว คงตัว ข้อใดถูกต้อง 1. จุกยำงมีควำมเร็วคงตัว 2. จุกยำงมีควำมเร่งเป็นศูนย์ 3. แรงที่กระทำต่อจุกยำงมีทิศเข้ำสู่ศูนย์กลำงวงกลม 4. แรงที่กระทำต่อจุกยำงมีทิศเดียวกับควำมเร็วของจุกยำง 52. ยิงลูกปืนออกไปในแนวระดับ ทำให้ลูกปืนเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ ตอนที่ลูกปืนกำลังจะกระทบพืน ข้อใดถูกต้องที่สุด (ไม่ต้องคิดแรงต้ำนอำกำศ) 1. ควำมเร็วในแนวระดับเป็นศูนย์ 2. ควำมเร็วในแนวระดับเท่ำกับควำมเร็วตอนต้นที่ลูกปืนถูกยิงออกมำ 3. ควำมเร็วในแนวระดับมีขนำดมำกกว่ำตอนที่ถูกยิงออกมำ
  • 34. 4. ควำมเร็วในแนวระดับมีขนำดน้อยกว่ำตอนที่ถูกยิงออกมำแต่ไม่เป็นศูนย์ 53. ในกำรทดลองเพื่อสังเกตผลของสิ่งกีดขวำงเมื่อคลื่นเคลื่อนที่ผ่ำน เป็นกำรศึกษำสมบัติตำมข้อใด ของคลื่น 1. กำรหักเห 2. กำรเลียวเบน 3. กำรสะท้อน 4. กำรแทรกสอด 54. ทำให้เกิดคลื่นบนเส้นเชือกที่ปลำยทังสองด้ำนถูกขึงตึง พบว่ำมีควำมถี่และควำมยำวคลื่นค่ำหนึ่ง ถ้ำทำ ให้ควำมถี่ในกำรสั่นเพิ่มขึนเป็น 2 เท่ำของควำมถี่เดิม ข้อใดถูกต้อง 1. ควำมยำวคลื่นบนเส้นเชือกลดลงเหลือครึ่งหนึ่งเนื่องจำกคลื่นเคลื่อนที่ในตัวกลำงเดิม 2. ควำมยำวคลื่นบนเส้นเชือกเพิ่มขึนเป็น 2 เท่ำ เนื่องจำกปริมำณทังสองแปรผันตำมกัน 3. ควำมยำวคลื่นบนเส้นเชือกเท่ำเดิม เนื่องจำกคลื่นเกิดบนตัวกลำงเดิม 4. ควำมยำวคลื่นบนเส้นเชือกเท่ำเดิม แต่อัตรำเร็วของคลื่นเพิ่มเป็นสองเท่ำตำมสมกำร v = f l 55. วัสดุที่ใช้ในกำรบุผนังโรงภำพยนตร์มีผลในกำรลดปรำกฏกำรณ์ใดของเสียง 1. กำรหักเห 2. กำรสะท้อน 3. กำรสั่นพ้อง 4. ดอพเพลอร์ 56. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำ 1. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำทุกชนิดมีอัตรำเร็วในสุญญำกำศเท่ำกัน 2. มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำบำงชนิดต้องอำศัยตัวกลำงในกำรเดินทำง 3. เมื่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำเดินทำงในตัวกลำงที่เปลี่ยนไป อัตรำเร็วของคลื่นจะเปลี่ยนไป 4. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำเป็นคลื่นที่มีทังสนำมไฟฟ้ำและสนำมแม่เหล็ก 57. ปรำกฏกำรณ์ทำงธรรมชำติในข้อใดที่ไม่มีผลต่อกำรแผ่กระจำยของคลื่นวิทยุ 1. กำรเปลี่ยนขนำดของจุดดับบนดวงอำทิตย์ 2. กำรเกิดแสงเหนือแสงใต้ 3. กำรเกิดนำขึนนำลง 4. กำรเกิดกลำงวัน กลำงคืน 58. ถ้ำรังสีแกมมำพุ่งเข้ำไปในบริเวณที่มีสนำมแม่เหล็กซึ่งมีทิศตังฉำกกับกำรเคลื่อนที่ของรังสีภำยใน สนำมแม่เหล็กดังกล่ำว รังสีแกมมำมีแนวทำงกำรเคลื่อนที่เป็นไปตำมข้อใด 1. เบนไปด้ำนข้ำง 2. เคลื่อนที่ไปเป็นวงกลม 3. เคลื่อนที่ในแนวทำงเดิม 4. ย้อนกลับทำงเดิม
  • 35. 59. ในทำงกำรแพทย์ ไอโอดีน -131 นำมำใช้เพื่อวัตถุประสงค์ตำมข้อใด 1. ตรวจกำรไหลเวียนของโลหิตในร่ำงกำย 2. ตรวจกำรทำงำนของต่อมไทรอยด์ 3. รักษำโรคมะเร็ง 4. รักษำเนืองอกในสมอง 60. แผ่นดินไหวที่รู้สึกได้ในประเทศไทย มักจะมีศูนย์เกิดแผ่นดินไหวอยู่ในประเทศใด 1. ไทย 2. พม่ำ 3. ลำว 4. อินโดนีเซีย 61. ขอบทวีปใดมีรูปร่ำงต่อกันได้พอดี 1. ตะวันตกของแอฟริกำ กับ ตะวันออกของอเมริกำใต้ 2. ตะวันตกของเอเชีย กับ ตะวันออกของอเมริกำเหนือ 3. ตะวันตกของยุโรป กับ ตะวันออกของเอเชีย 4. เหนือของออสเตรเลีย กับ ใต้ของอเมริกำใต้ 62. ข้อใดไม่ถูกต้อง 1. ประเทศไทยมีแผ่นดินไหวขนำดที่รู้สึกได้ โดยเฉลี่ยแล้ว 1 ครังทุกๆ 5 ปี 2. แผ่นดินไหวในประเทศไทย มักเกิดในบริเวณแนวรอยเลื่อนมีพลัง 3. แนวรอยเลื่อนมีพลังในประเทศไทยมีจำนวนหลำยสิบแนว 4. แนวรอยเลื่อนมีพลังในประเทศไทยส่วนใหญ่จะอยู่ในภำคตะวันตกและภำคเหนือ 63. ปัจจุบันมีภูเขำไฟที่มีพลัง อยู่บนโลกเป็นจำนวนประมำณเท่ำใด 1. 100 ลูก 2. 1,000 ลูก 3. 10,000 ลูก 4. 100,000 ลูก 64. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับดำวฤกษ์ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน เช่น กลุ่มดำวนำยพรำน 1. ดำวฤกษ์ทุกดวงจะมีอำยุใกล้เคียงกัน 2. ดำวฤกษ์ทุกดวงจะมีอันดับควำมสว่ำงปรำกฏใกล้เคียงกัน 3. ดำวฤกษ์ทุกดวงจะมีระยะห่ำงจำกโลกใกล้เคียงกัน 4. ดำวฤกษ์ทุกดวงจะมีตำแหน่งที่ปรำกฏใกล้เคียงกัน 65. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับดวงอำทิตย์ 1. มีอำยุพอๆ กับโลก 2. มีมวลประมำณ 50% ของมวลของระบบสุริยะ 3. องค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นไฮโดรเจน
  • 36. 4. จะมีวำระสุดท้ำยเป็นดำวแคระดำ 66. เมื่อเกิดสุริยุปรำคำเต็มดวง วันนันควรจะเป็นวันใด 1. แรม 1 ค่ำ 2. ขึน 15 ค่ำ 3. แรม 8 ค่ำ 4. แรม 15 ค่ำ 67. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับสถำนีอวกำศนำนำชำติ 1. วิจัยเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ไม่สำมำรถทำได้บนโลก 2. เจ้ำหน้ำที่ในสถำนีจะอยู่ในสภำวะไร้นำหนัก 3. อยู่ในวงโคจรค้ำงฟ้ำ 4. มีเจ้ำหน้ำที่ประจำกำรอยู่ตลอดเวลำ 68. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของกระสวยอวกำศในปัจจุบัน 1. เพื่อกำรท่องเที่ยว 2. เพื่อส่งดำวเทียมเข้ำสู่วงโคจร 3. เพื่อใช้เป็นสถำนีอวกำศ 4. เพื่อใช้วิจัยทำงวิทยำศำสตร์ ส่วนที่ 2 : แบบระบำยตัวเลือก จำนวน 18 ข้อ (ข้อ 69 – 86) คะแนนรวม 12 คะแนน ข้อสอบต่อไปนีเป็นชุดคำถำม 6 ชุด ชุดละ 3 ข้อ ชุดละ 2 คะแนน ซึ่งในแต่ละชุดต้องทำถูกทัง 3 ข้อ จึงจะได้คะแนน 2 คะแนน หำกทำผิดข้อใดข้อหนึ่งที่อยู่ในชุดนันๆ จะไม่ได้คะแนน ชุดที่ 1 (ข้อ 69-71) 69. ไอออนของธำตุ x มีจำนวนโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน เท่ำกับ 9, 10, 10 ตำมลำดับ ธำตุ x มี สัญลักษณ์เป็นไปตำมข้อใด 1. x9 19 2. x9 21 3. x11 20 4. x11 21 70. สำรบริสุทธ์ของธำตุ X ในข้อที่ 69 มีสูตรโมเลกุลตำมข้อใด 1. F2 2. CI2 3. N2 4. O2
  • 37. 71. ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับสมบัติของธำตุ X ในข้อที่ 69 1. สำร X มีสถำนะเป็นแก๊ส 2. ไอออนที่เสถียรของธำตุ X มีประจุ -1 3. ธำตุ X พบได้ในบำงส่วนของร่ำงกำยคน 4. ธำตุ X กับธำตุ Ca เกิดเป็นสำรประกอบที่มีสูตรเป็น CaX ชุดที่ 2 (ข้อ 72-74) 72. ยูเรียเตรียมจำกแก๊สแอมโมเนียและแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ด้วยปฏิกิริยำ ดังนี 2NH3(g) + CO2(g) ⟶ (NH2)2CO(s) + H2O(g) กำรทดลองในภำชนะปิดและชั่งนำหนักยูเรียที่เกิดขึนที่เวลำต่ำงกันได้ผลดังตำรำง เวลาที่ใช้ (นาที) น้าหนักยูเรียที่เกิดขึ้น (กรัม) 1 1.6 2 2.6 3 4 4 4.2 5 4.2 ข้อใดสรุปไม่ถูกต้อง 1. ปฏิกิริยำสินสุดหลังจำกนำทีที่ 4 2. อัตรำปฏิกิริยำลดลงเมื่อเวลำเพิ่มขึน 3. อัตรำปฏิกิริยำที่นำทีที่ 4 นำทีที่ 5 มีค่ำเท่ำกัน 4. อัตรำเฉลี่ยเมื่อปฏิกิริยำสินสุดพอดีมีค่ำเป็น 1.05 กรัมต่อนำที 73. ตำมปฏิกิริยำในข้อ 72. ถ้ำเริ่มต้นใช้แอมโมเนีย 3 โมล และคำร์บอนไดออกไซด์ 1 โมล เมื่อปฏิกิริยำ เกิดได้สมบูรณ์ แก๊สทุกชนิดที่อยู่ในภำชนะ จะมีจำนวนโมลโดยรวมตำมข้อใด 1. 1 โมล 2. 2 โมล 3. 3 โมล 4. 4 โมล
  • 38. 74. ตำมปฏิกิริยำในข้อ 72 ถ้ำนำแก๊สที่เกิดขึนทังหมดพ่นลงในนำ สำรละลำยที่ได้เป็นสำรในข้อใด 1. กรดคำร์บอนิก 2. แอมโมเนียมไฮดรอกไซด์ 3. แอมโมเนียมคำร์บอเนต 4. แอมโมเนียมไฮดรอกไซด์ และกรดคำร์บอนิก ชุดที่ 3 (ข้อ 75-77) 75. โยนวัตถุขึนในแนวดิ่ง ในขณะที่วัตถุกำลังเคลื่อนที่ขึน ข้อใดสรุปได้ถูกต้อง 1. ควำมเร่งมีทิศขึน 2. ควำมเร่งมีทิศลง 3. ควำมเร่งเป็นศูนย์ 4. ข้อมูลไม่เพียงพอที่จะบอกทิศของควำมเร่ง 76. โยนวัตถุขึนในแนวดิ่ง ในขณะที่วัตถุอยู่ที่จุดสูงสุดพอดี ควำมเร่งของวัตถุมีทิศใด 1. ควำมเร่งเป็นศูนย์ 2. ควำมเร่งมีทิศขึน 3. ควำมเร่งมีทิศลง 4. ควำมเร่งกำลังเปลี่ยนทิศ 77. โยนวัตถุขึนในแนวดิ่ง ในขณะที่วัตถุกำลังเคลื่อนที่ลง ควำมเร่งของวัตถุมีทิศใด 1. ควำมเร่งมีทิศขึน 2. ควำมเร่งมีทิศลง 3. ควำมเร่งเป็นศูนย์ 4. ข้อมูลไม่เพียงพอที่จะบอกทิศของควำมเร่ง ชุดที่ 4 (ข้อ 78-80) 78. เมื่อเปิดให้ลำโพงทำงำน อนุภำคของฝุ่นที่อยู่ด้ำนหน้ำของลำโพงดังรูปจะมีกำรเคลื่อนที่อย่ำงไร • ลำโพง ฝุ่น
  • 39. 1. เคลื่อนที่ออกจำกลำโพง 2. สั่นขึนลงในแนวดิ่ง 3. สั่นไปมำในแนวระดับ 4. เคลื่อนที่ออกเป็นรูปคลื่น 79. เหตุผลสำหรับคำตอบในข้อที่ 78. คือข้อใด 1. พลังงำนเคลื่อนที่ออกจำกลำโพง 2. เสียงเป็นคลื่นรูปซำยน์ 3. เสียงเป็นคลื่นตำมขวำง 4. เสียงเป็นคลื่นตำมยำว 80. คลื่นเสียงเป็นคลื่นชนิดใด 1. คลื่นตำมยำว 2. คลื่นตำมขวำง 3. คลื่นผสมที่มีทังตำมยำวและตำมขวำง 4. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำ ชุดที่ 5 (ข้อ 81-83) พิจำรณำชันหินที่วำงซ้อนกันดังรูป แล้วตอบคำถำมข้อ 81. ถึง 83. ชัน ก กระดูกช้ำง ซำกต้นพืช (บนสุดมีต้นหญ้ำ) ชัน ข กระดูกช้ำง ซำกต้นพืช หอยแครง ชัน ค หอยแครง ชัน ง แมงดำทะเล แอมโมไนต์ ชัน จ แอมโมไนต์ 81. ชันหินในข้อใดเก่ำแก่ที่สุด 1. ชัน ก 2. ชัน ข 3. ชัน ค 4. ชัน จ 82. ฟอสซิลในข้อใดที่พบในตัวอย่ำงนีที่สำมำรถใช้เป็นฟอสซิลดัชนีได้ 1. หอยแครง 2. แอมโมไนต์
  • 40. 3. แมงดำทะเล 4. ช้ำง 83. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับสภำพของสถำนที่แห่งนี 1. เคยเป็นทะเลมำก่อน ปัจจุบันเป็นบก 2. เคยเป็นบกมำก่อน แล้วเป็นทะเลในภำยหลัง 3. ไม่เคยเป็นทะเลเลย 4. เป็นทะเลทังอดีตและปัจจุบัน ชุดที่ 6 (ข้อ 84 – 86) 84. ข้อใดเรียงลำดับควำมสว่ำงที่ปรำกฏของดำวจำกสว่ำงน้อยไปมำกได้ถูกต้อง 1. ดำวศุกร์เมื่อสว่ำงที่สุด ดวงจันทร์เมื่อสว่ำงที่สุด ดำวซีรีอัส 2. ดำวซีรีอัส ดำวศุกร์เมื่อสว่ำงที่สุด ดวงจันทร์เมื่อสว่ำงที่สุด 3. ดำวศุกร์เมื่อสว่ำงที่สุด ดำวซีรีอัส ดวงจันทร์เมื่อสว่ำงที่สุด 4. ดวงจันทร์เมื่อสว่ำงที่สุด ดำวศุกร์เมื่อสว่ำงที่สุด ดำวซีรีอัส 85. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับอันดับควำมสว่ำง 1. มีค่ำเป็นบวกเท่ำนัน 2. ค่ำมำกแสดงว่ำสว่ำงมำก 3. ค่ำเป็นศูนย์แสดงว่ำไม่มีแสงในตัวเอง 4. เป็นปริมำณที่ไม่มีหน่วย 86. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับอันดับควำมสว่ำงของดำวศุกร์เมื่อสว่ำงที่สุดกับอันดับควำมสว่ำงของดวงอำทิตย์ 1. ค่ำใกล้เคียงกัน 2. ค่ำของดำวศุกร์มำกกว่ำ 3. ค่ำของดำวศุกร์น้อยกว่ำ 4. เปรียบเทียบกันไม่ได้
  • 41. ข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์ มัธยมศึกษาตอนปลาย 2553 ส่วนที่ 1 : แบบระบำยตัวเลือก แต่ละข้อมีคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว จำนวน 80 ข้อ (ข้อ 1- 80) : ข้อละ 1 คะแนน รวม 80 คะแนน 1. นำย ก ทำกำรทดลอง โดยนำเนือหมูชนิดเดียวกัน นำหนักเท่ำกันไปแช่ในสำรละลำยต่ำงชนิดกัน เป็นเวลำ 1 ชั่วโมง นำมำชั่งนำหนักเป็นระยะๆ แล้ว สรุปควำมสัมพันธ์ ดังกรำฟ A B C นำหนัก นำหนัก นำหนัก เวลำ เวลำ เวลำ สำรละลำยในกรำฟ รูป A B และ C หมำยถึงสำรใดตำมลำดับ 1. นำเกลือเข้มข้น 0.85% นำกลั่น นำปลำ 2. นำปลำ นำกลั่น นำเกลือเข้มข้น 0.85% 3. นำเกลือเข้มข้น 10% นำกลั่น นำปลำ 4. นำเกลือเข้มข้น 10% นำปลำ นำกลั่น ใช้ข้อมูลตอบคำถำมข้อ 2. ก. เพิ่มอัตรำเมแทบอลิซึม ง. หลอดเลือดขยำยตัว ข. ลดอัตรำเมแทบอลิซึม จ. หลอดเลือดหดตัว ค. ขนตังตรง เหงื่อไม่ออก ฉ. ขนเอนรำบ เหงื่อออกมำ 2. ถ้ำนำยเอ อยู่บนภูกระดึง จังหวัดเลย ในเดือนมกรำคมที่มีอำกำศหนำวจัด นำยเอควรมีอำกำรอย่ำงไร 1. ก. ค. และ จ. 2. ข. ง. และ ฉ. 3. ก. ง. และ ฉ. 4. ข. ค. และ จ. ปีการศึกษา
  • 42. 3. เซลล์ของต่อมไร้ท่อ ทำหน้ำที่สังเครำะห์ฮอร์โมนสำหรับส่งไปยังส่วนต่ำงๆ ของร่ำงกำย จะมี ออร์แกเนลล์ใดมำก 1. แวคิวโอล 2. ไลโซโซม 3. ไมโทคอนเดรีย 4. ร่ำงแหเอนโดพลำสซึม 4. เมื่อเด็กหญิง ก ได้รับสำร A แล้วร่ำงกำยสร้ำงภูมิคุ้มกันที่อยู่ได้นำน ต่อมำเขำได้รับสำร B ซึ่งเป็น ภูมิคุ้มกันที่อยู่ได้ไม่นำน สำร A และ B หมำยถึงสำรในข้อใดตำมลำดับ 1. เซรุ่ม วัคซีน 2. วัคซีน เซรุ่ม 3. เซรุ่ม ทอกซอยด์ 4. ทอกซอยด์ วัคซีน 5. สัตว์ในข้อใดอุณหภูมิในร่ำงกำยค่อนข้ำงคงที่ แม้สิ่งแวดล้อมจะเปลี่ยนไป 1. นกกระจอกเทศ กบ 2. งู จระเข้ 3. พยูน นกกระจิบ 4. ปลำฉลำม วำฬ 6. สำมีเลือดหมู่ A ภรรยำเลือดหมู่ B มีลูกคนแรกเลือดหมู่ O โอกำสมีลูกคนที่ 2 เลือดหมู่ A คิดเป็น ร้อยละเท่ำไร 1. 0 2. 25 3. 50 4. 75 7. ข้อใดคือผลจำกกระบวนกำรสร้ำงอสุจิของคน โดยเริ่มจำกเซลล์ที่หลอดสร้ำงอสุจิ 1 เซลล์ ข้อ จานวนอสุจิ (ตัว) จานวนโครโมโซมของตัวอสุจิ (แท่ง) 1. 4 23 2. 2 23 3. 4 46 4. 2 46 8. ข้อใดผิดจำกทฤษฎีกำรคัดเลือกตำมธรรมชำติ 1. เมื่อก่อนยีรำฟมีทังคอสันและคอยำว ต่อมำเมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป ยีรำฟคอสันไม่สำมำรถอยู่ รอดได้ จึงสูญพันธุ์เหลือแต่ยีรำฟคอยำว 2. เมื่อก่อนยีรำฟคอสัน แต่ต่อมำยืดคอกินใบไม้สูงๆ คอจึงยำว ลักษณะคอยำวถ่ำยทอดไปถึงลูก จึงทำให้ยีรำฟรุ่นหลังคอยำว 3. แมลงศัตรูพืช ทนทำนต่อยำฆ่ำแมลง เพรำะแมลงตัวที่กลำยพันธุ์เกิดกำรดือยำสำมำรถอยู่รอด มีลูกหลำนไปได้ 4. กระต่ำยป่ำที่สีนำตำลจะดูกลมกลืนกับทุ่งหญ้ำ แมวป่ำจึงล่ำกระต่ำยป่ำสีขำวเป็นอำหำรได้โดยง่ำย
  • 43. 9. ลักษณะเด่นของอำณำจักรมอเนอรำ คือข้อใด 1. มีคลอโรฟิลล์ 2. ไม่มีเนือเยื่อ 3. มีผนังเซลล์ 4. ไม่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส 10. จำกกรำฟแสดงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด สิ่งมีชีวิต A เส้นทึบ และสิ่งมีชีวิต B เส้นประ สิ่งมีชีวิต A และ B ควรจะหมำยถึงสิ่งมีชีวิตในข้อใดตำมลำดับ 60 40 20 4 8 12 16 1. ดอกไม้ทะเล – ปลำกำร์ตูน 2. ดอกไม้ – ผีเสือ 3. งูเห่ำ – หนูนำ 4. กล้วยไม้ – ต้นประดู่ 11. ในกระบวนกำรเปลี่ยนแปลงแทนที่ กลุ่มสิ่งมีชีวิตขันสุดที่พบในสภำวะสมดุลจะไม่มีลักษณะในข้อใด 1. มีสำยใยอำหำรซับซ้อนมำก 2. มีสิ่งมีชีวิตไม่กี่ชนิด 3. พบได้ตำมป่ำดงดิบ 4. สภำพแวดล้อมค่อนข้ำงคงที่ 12. ข้อใดถือว่ำเป็นอิทธิพลของปัจจัยทำงชีวภำพต่อสิ่งมีชีวิต 1. ต้นกระบองเพชรในทะเลทรำยไม่มีใบเพื่อลดกำรคำยนำ 2. ปลำที่อยู่ในถำมืดจะตำบอด 3. สุนัขแถบขัวโลกจะมีขนที่ยำวปุกปุย 4. สิงโตอยู่ในทุ่งสะวันนำที่มีม้ำลำย 13. ผู้บริโภคลำดับที่ 1 ของระบบนิเวศ มีคุณสมบัติอย่ำงไร 1. เป็นผู้บริโภคที่กินพืช 2. เป็นผู้บริโภคที่กินสัตว์ 3. เป็นผู้บริโภคที่กินทังพืชและสัตว์ 4. เป็นผู้บริโภคที่กินซำกพืชซำกสัตว์ เวลำ (สัปดำห์)
  • 44. 14. สิ่งมีชีวิตที่บุกเบิกพวกแรกที่เปลี่ยนหินไปเป็นดินคือพวกใด 1. รำและสำหร่ำยที่อยู่รวมกัน 2. มอสและเฟิร์น 3. เฟิร์นและหญ้ำ 4. หญ้ำและพุ่มไม้ 15. ข้อใดต่อไปนี เป็นกำรลดภำวะโลกร้อนโดยกระบวนกำรรีไซเคิล (recycle) 1. นำงสำวรักดี ใช้ถุงผ้ำแทนถุงพลำสติก 2. นำยจริงใจ นำเศษกระดำษที่ใช้แล้วไปอัดขึนรูปเป็นกระถำงต้นไม้ 3. นำยรักชำติ นำถุงพลำสติกที่ใช้แล้วมำใช้ซำ 4. นำงสำวเมตตำ ไปตลำดโดยนำตะกร้ำไปใส่ของแทนถุงพลำสติก 16. นำย ก ได้ช่วยลดปัญหำสิ่งแวดล้อม โดยกำรนำรองเท้ำนักเรียนที่ชำรุดไปติดกำวใหม่ เพื่อนำมำใช้ได้อีก วิธีดังกล่ำวเรียกว่ำอะไร 1. reduce 2. reuse 3. recycle 4. repair 17. ข้อใดไม่ใช่เชือเพลิงฟอสซิล 1. นำมันปิโตรเลียม 2. แก๊สธรรมชำติ 3. ถ่ำนหิน 4. ถ่ำนกัมมันต์ 18. ข้อใดไม่ใช่แก๊สเรือนกระจก 1. คำร์บอนไดออกไซด์ 2. ออกไซด์ของไนโตรเจน 3. คำร์บอนมอนอกไซด์ 4. มีเทน 19. ข้อควำมใดต่อไปนีถูก ก. สำรชีวโมเลกุล คือสำรประกอบที่มีธำตุคำร์บอนและไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบหลัก ข. พบได้ทังในสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต ค. ไตรกลีเซอไรด์หนึ่งโมเลกุลประกอบขึนจำกกรดไขมัน 1 โมเลกุลและกลีเซอรอล 3 โมเลกุล ง. พันธะเปปไทด์พบได้ในโมเลกุลของโปรตีน จ. ปุยฝ้ำยเกิดจำกกลูโคสมำเชื่อมต่อกันเป็นสำยยำว 1. ก. และ ค. 2. ข. และ ค. 3. ค. และ ง. 4. ก. ค. และ ง.
  • 45. 20. ตำรำง ปริมำณกรดไขมันชนิดต่ำงๆ ในนำมันบำงชนิด ร้อยละของกรดไขมัน น้ามัน C11H23CO2H C13H27CO2H C15H31CO2H C17H35CO2H C17H33CO2H C17H31CO2H C17H21CO2H A B C D 43.8 22.7 0.0 0.0 23.4 11.5 0.0 0.0 13.6 19.0 17.6 10.5 9.6 26.0 40.3 3.4 4.3 8.0 2.1 26.0 2.3 7.9 32.1 46.9 0.0 0.0 1.4 6.1 จำกข้อมูลในตำรำง หำกนำนำมันชนิดละ 1 cm3 มำอุ่นให้ร้อนแล้วหยดทิงเจอร์ไอโอดีนลงไป นำมัน ชนิดใดจะสำมำรถฟอกสีไอโอดีนให้หำยไปได้มำกที่สุด 1. A 2. B 3. C 4. D 21. กำรทดสอบโปรตีนด้วยสำรละลำยคอปเปอร์ (II) ซัลเฟตในเบสจะเกิดกำรเปลี่ยนแปลงกับโปรตีน อย่ำงไร 1. เกิดกำรแปลงสภำพโปรตีน 2. เกิดกำรย่อยเป็นกรดอะมิโน 3. เกิดกำรย่อยเป็นโปรตีนสำยสัน 4. ไม่เกิดกำรเปลี่ยนแปลงทำงโครงสร้ำงของโปรตีนเลย 22. ถ้ำรำยกำรอำหำรมือหนึ่งเป็นดังต่อไปนี ผู้ป่วยโรคเบำหวำน ควรควบคุมอำหำรในข้อใด 1. ข้ำวกล้อง 2. แกงส้มปลำช่อนทอด 3. ผัดผักคะน้ำนำมันหอย 4. นมจืดพร่องมันเนย 23. ในระหว่ำงวันนักเพำะกำยควรรับประทำนอำหำรหลักตำมข้อใด 1. แป้งเพื่อให้พลังงำน และโปรตีนเพื่อสร้ำงกล้ำมเนือ 2. ไขมันเพื่อให้พลังงำน และโปรตีนเพื่อสร้ำงกล้ำมเนือ 3. ไขมันเพื่อเพิ่มนำหนักตัว และโปรตีนเพื่อสร้ำงกล้ำมเนือ 4. แป้งเพื่อเพิ่มนำหนักตัว และวิตำมินเสริมเพื่อปรับสมดุลร่ำงกำย 24. ไฮโดรคำร์บอนแบบอิ่มตัวในข้อใดที่มีจำนวนโครงสร้ำงที่เป็นไปได้ทังหมดเท่ำกับจำนวนโครงสร้ำง ที่เป็นไปได้ของ C3H8 1. C2H6 2. C4H10
  • 46. 3. C5H12 4. มีคำตอบถูกมำกว่ำ 1 ข้อ 25. ถ้ำผสมนำมันเบนซินที่มีค่ำออกเทนเท่ำกับ 80 กับไอโซออกเทนด้วยอัตรำส่วน 3:1 จะทำให้ได้นำมัน เบนซินที่มีค่ำออกเทนเป็นเท่ำใด 1. 83 2. 85 3. 87 4. 95 26. สำรอินทรีย์ชนิดใดต่อไปนีที่จัดเป็นพอลิเมอร์ที่เกิดจำกมอนอเมอร์หลำยชนิด 1. ยำงพำรำ 2. เซลลูโลส 3. ไกลโคเจน 4. กรดนิวคลีอิก 27. สัญลักษณ์ต่อไปนีมีควำมหมำยว่ำอย่ำงไร 1. สำมำรถรีไซเคิลได้อีก 5 ครัง 2. สำมำรถรีไซเคิลได้ทังหมด 5 ครัง 3. ผ่ำนกำรรีไซเคิลมำได้ 5 ครังแล้ว 4. เป็นพลำสติกรีไซเคิลประเภทที่ 5 28. พอลิยูเรียฟอร์มำลดีไฮด์เป็นพลำสติกเทอร์มอเซต ที่เลิกใช้งำนแล้วควรดำเนินกำรอย่ำงไรจึงเหมำะสม กับสิ่งแวดล้อมที่สุด 1. นำไปหลอมเพื่อขึนรูปใหม่ 2. นำไปรีไซเคิล (recycle) 3. นำไปใช้ซำ (reuse) 4. นำไปเผำทำลำย 29. กำรถ่ำยเทควำมร้อนในข้อใดที่เป็นผลเกิดขึนจำกปฏิกิริยำเคมี 1. ควำมร้อนที่เกิดขึนด้ำนหลังของตู้เย็น 2. ควำมร้อนที่รู้สึกได้ในลำคอเมื่อดื่มเหล้ำ 3. ควำมร้อนหลังจำกกำรวิ่งออกกำลังกำย 4. ถูกทุกข้อ 30. ปฏิกิริยำหนึ่งในชันบรรยำกำศมีสองขันตอน ดังนี CI + O3 ⟶ CIO + O2 CIO + O ⟶ CI + O2 สำรชนิดใดทำหน้ำที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยำ 1. CI 2. CIO
  • 47. 3. O 4. CI และ CIO 31. รูปกำรทดลองหำอัตรำในกำรสลำยตัวของลวดแมกนีเซียมด้วยสำรละลำยกรดไฮโดรคลอริก ถ้ำต้องกำรเพิ่มอัตรำเร็วของปฏิกิริยำนี วิธีในข้อใดให้ผลน้อยที่สุด 1. เขย่ำหลอดทดลองแรงๆ 2. เติมสำรละลำยกรดให้มีปริมำตรเพิ่มขึน 3. เพิ่มลวดแมกนีเซียมขนำดเท่ำเดิมลงไปอีกชินหนึ่ง 4. หั่นลวดแมกนีเซียมออกเป็นเส้นเล็กๆ โดยไม่เพิ่มนำหนัก 32. ถ้ำนำธำตุ X ไปผ่ำนกระบวนกำรหนึ่งทำให้อะตอมของธำตุ X เกิดกำรเปลี่ยนแปลงกำรตัดสินว่ำธำตุ X เปลี่ยนไปเป็นธำตุใหม่หรือไม่ พิจำรณำได้จำกข้อใด 1. จำนวนไอโซโทปเพิ่มขึน 2. จำนวนโปรตอนเปลี่ยนไปจำกเดิม 3. จำนวนนิวตรอนเปลี่ยนไปจำกเดิม 4. จำนวนอิเล็กตรอนในแต่ละระดับพลังงำนเปลี่ยนไปจำกเดิมอย่ำงเห็นได้ชัด 33. ธำตุ 82Pb เป็นธำตุในหมู่เดียวกับ 6C อนุภำคใดต่อไปนีมีจำนวนอิเล็กตรอนชันในสุดและชันนอกสุด เท่ำกัน 1. Pb2- 2. Pb 3. Pb2+ 4. Pb4+ 34. สำรในข้อใดที่มีทังพันธะโคเวเลนต์และไอออนิก 1. KOH 2. CH2O 3. POCI3 4. Hg2CI2 35. ของแข็งชนิดใดต่อไปนีนำไฟฟ้ำได้น้อยที่สุด 1. แกรไฟต์ 2. Na 3. Pb 4. NaCI
  • 48. 36. ถ้ำธำตุ A เป็นธำตุกัมมันตรังสีที่มีครึ่งชีวิตยำวกว่ำธำตุ B โดยทังสองธำตุปล่อยกัมมันตภำพรังสี ชนิดเดียวกันและมีปริมำณเริ่มต้นเท่ำกัน ข้อใดสรุปถูกต้อง 1. อัตรำกำรสลำยตัวของ A สูงกว่ำ และ A มีปริมำณรังสีที่วัดได้เมื่อเริ่มทดลองสูงกว่ำ 2. อัตรำกำรสลำยตัวของ A สูงกว่ำ และ B มีประมำณรังสีที่วัดได้เมื่อเริ่มทดลองสูงกว่ำ 3. อัตรำกำรสลำยตัวของ B สูงกว่ำ และ A มีปริมำณรังสีที่วัดได้เมื่อเริ่มทดลองสูงกว่ำ 4. อัตรำกำรสลำยตัวของ B สูงกว่ำ และ B มีปริมำณรังสีที่วัดได้เมื่อเริ่มทดลองสูงกว่ำ 37. ปล่อยวัตถุให้ตกลงมำตำมแนวดิ่ง เมื่อเวลำผ่ำนไป 4 วินำที วัตถุมีควำมเร่งเท่ำใด 1. 9.8 เมตรต่อวินำที2 2. 19.6 เมตรต่อวินำที2 3. 29.4 เมตรต่อวินำที2 4. 39.2 เมตรต่อวินำที2 38. แนวกำรเคลื่อนที่ของอนุภำคโปรตอนที่ถูกยิงเข้ำมำในทิศตังฉำกกับสนำมไฟฟ้ำสม่ำเสมอ เป็นดังเส้นทำงหมำยเลข (1) ถ้ำมีอนุภำค X ถูกยิงเข้ำมำในทิศทำงเดียวกันและมีเส้นทำงเดิน ดังหมำยเลข (2) ข้อสรุปใดที่เป็นไปไม่ได้เลย สนำมไฟฟ้ำสม่ำเสมอ (1) (2) 1. อนุภำค X ดังกล่ำวมีประจุบวก 2. อนุภำค X ดังกล่ำวอำจเป็นโปรตอนที่เข้ำสู่สนำมไฟฟ้ำด้วยอัตรำเร็วที่ต่ำกว่ำ 3. ถ้ำอนุภำค X ดังกล่ำวมีประจุเท่ำกับโปรตอน ก็จะมีมวลที่น้อยกว่ำ 4. อนุภำค X อำจเป็นนิวเคลียสที่มีเพียงโปรตอนสองตัว 39. เส้นลวดโลหะ AB กำลังตกลงมำในแนวดิ่ง ขณะที่เส้นลวดดังกล่ำวกำลังเคลื่อนที่เข้ำใกล้ ขัวเหนือ (N) ของแม่เหล็กดังรูป อิเล็กตรอนในเส้นลวดโลหะจะมีสภำพอย่ำงไร A B N S
  • 49. ทิศควำมเร็วในแนวดิ่ง 1. เคลื่อนที่จำกปลำย A ไป B 2. เคลื่อนที่จำกปลำย B ไป A 3. อิเล็กตรอนเคลื่อนที่ไปที่ปลำย A และ B ในสัดส่วนพอๆ กัน 4. อิเล็กตรอนจำกปลำย A และ B เคลื่อนที่มำรวมกันที่กึ่งกลำงเส้นลวด 40. แรงระหว่ำงอนุภำคซึ่งอยู่ภำยในนิวเคลียสประกอบด้วยแรงใดบ้ำง 1. แรงนิวเคลียร์เท่ำนัน 2. แรงนิวเคลียร์และแรงไฟฟ้ำ 3. แรงนิวเคลียร์และแรงดึงดูดระหว่ำงมวล 4. แรงนิวเคลียร์ แรงไฟฟ้ำ และแรงดึงดูดระหว่ำงมวล 41. วัตถุหนึ่งเคลื่อนที่เป็นวงกลมรัศมี 21 เมตร ครบหนึ่งรอบ กำรกระจัดมีค่ำเท่ำใด 1. 0 เมตร 2. 42 เมตร 3. 84 เมตร 4. 132 เมตร 42. หนูตัวหนึ่งวิ่งรอบสระนำเป็นวงกลมที่มีเส้นผ่ำนศูนย์กลำง 14 เมตร ใช้เวลำ 2 นำทีก็ครบรอบพอดี (กำหนด 𝜋 = 22 7 ) จงพิจำรณำข้อควำมต่อไปนี ก. อัตรำเร็วเฉลี่ยของหนูเท่ำกับ 0 เมตรต่อวินำที ข. ควำมเร็วเฉลี่ยของหนูเท่ำกับ 22 เมตรต่อวินำที ค. ขณะวิ่งได้ครึ่งรอบจะได้กำรกระจัดเท่ำกับ 14 เมตร ง. ขณะวิ่งได้ 1/4 รอบจะได้กำรกระจัดประมำณ 9.9 เมตร ข้อควำมใดถูกต้อง 1. ค. และ ง. 2. ข. ค. และ ง. 3. ก. ค. และ ง. 4. ถูกทุกข้อ 43. รถยนต์คันหนึ่งกำลังเคลื่อนที่บนถนนตรง กำหนดให้กำรเคลื่อนที่ไปข้ำงหน้ำมีกำรกระจัดเป็นค่ำบวก และกำรเคลื่อนที่ถอยหลังมีกำรกระจัดเป็นค่ำลบ ถ้ำรถยนต์คันนีมีควำมเร็วเป็นค่ำลบแต่มีควำมเร่งเป็น ค่ำบวก สภำพกำรเคลื่อนที่จะเป็นอย่ำงไร 1. กำลังแล่นไปข้ำงหน้ำ แต่กำลังเหยียบเบรกเพื่อให้รถช้ำลง 2. กำลังแล่นไปข้ำงหน้ำ และกำลังเหยียบคันเร่งเพื่อให้รถเดินหน้ำเร็วขึน 3. กำลังแล่นถอยหลัง แต่กำลังเหยียบเบรกเพื่อให้รถช้ำลง 4. กำลังแล่นถอยหลัง และกำลังเหยียบคันเร่งเพื่อให้รถถอยหลังเร็วขึน
  • 50. 44. ข้อใดใกล้เคียงกับกำรเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์มำกที่สุด 1. เครื่องบินขณะบินขึนจำกสนำมบิน 2. เด็กเล่นไม้ลื่น 3. ลูกเทนนิสที่ถูกตีออกไปข้ำงหน้ำ 4. เครื่องร่อนขณะร่อนลง 45. ลูกตุ้มนำฬิกำกำลังแกว่งกลับไปกลับมำแบบฮำร์มอนิกอย่ำงง่ำย ที่ตำแหน่งต่ำสุดของกำรแกว่ง ลูกตุ้มนำฬิกำมีสภำพกำรเคลื่อนที่เป็นอย่ำงไร 1. ควำมเร็วสูงสุด ควำมเร่งสูงสุด 2. ควำมเร็วต่ำสุด ควำมเร่งสูงสุด 3. ควำมเร็วสูงสุด ควำมเร่งต่ำสุด 4. ควำมเร็วต่ำสุด ควำมเร่งต่ำสุด 46. คลื่นกลตำมยำวและคลื่นกลตำมขวำงถูกนิยำมขึนโดยดูจำกปัจจัยใดเป็นหลัก 1. ทิศกำรเคลื่อนที่ของคลื่น 2. ทิศกำรสั่นของอนุภำคตัวกลำง 3. ประเภทของแหล่งกำเนิด 4. ควำมยำวคลื่น 47. ลูกบอลลูกหนึ่งตกลงนำและสั่นขึนลงหลำยรอบทำให้เกิดคลื่นผิวนำแผ่ออกไปเป็นรูปวงกลม เมื่อผ่ำนไป 10 วินำที คลื่นนำแผ่ออกไปได้รัศมีสูงสุดประมำณ 20 เมตร โดยมีระยะระหว่ำงสันคลื่น ที่ติดกันเท่ำกับ 2 เมตร จำกข้อมูลดังกล่ำว ลูกบอลสั่นขึนลงด้วยควำมถี่ประมำณเท่ำใด 1. 0.5 Hz 2. 1.0 Hz 3. 2.0 Hz 4. 4.0 Hz 48. ปัจจัยต่อไปนีมีผลต่ออัตรำเร็วเสียงในอำกำศ 1. ควำมถี่ 2. อุณหภูมิ 3. ควำมดัง 4. ควำมเข้มเสียง 49. ห้องประชุมหรือโรงภำพยนตร์ มักบุเพดำนห้องด้วยกระดำษชำนอ้อย ติดผ้ำม่ำนที่ผนังห้องและปูพรม ที่พืน ทังนีเพื่อช่วยลดเสียงที่เกิดจำกสมบัติใด 1. กำรสะท้อนของเสียง 2. กำรหักเหของเสียง 3. กำรแทรกสอดของเสียง 4. กำรเลียวเบนของเสียง
  • 51. 50. เหตุใดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำจึงจัดเป็นคลื่นตำมขวำง 1. เพรำะสนำมแม่เหล็กมีทิศตังฉำกกับสนำมไฟฟ้ำ 2. เพรำะสนำมแม่เหล็กและสนำมไฟฟ้ำมีทิศตรงข้ำมกับทิศกำรเคลื่อนที่ของคลื่น 3. เพรำะสนำมแม่เหล็กและสนำมไฟฟ้ำมีทิศตังฉำกกับทิศกำรเคลื่อนที่ของคลื่น 4. เพรำะสนำมแม่เหล็กและสนำมไฟฟ้ำมีทิศเดียวกับทิศกำรเคลื่อนที่ของคลื่น 51. ถ้ำสถำนีวิทยุเอเอ็มแห่งหนึ่งกระจำยเสียงที่ควำมถี่ 800 kHz ข้อใดกล่ำวถูกต้อง 1. เสียงพูดถูกนำไปเพิ่มแอมพลิจูดและส่งออกไปโดยมีสัญญำณควำมถี่ 800 kHz คั่นเป็นระยะๆ 2. เสียงพูดถูกนำไปผสมกับคลื่นพำหะที่มีควำมถี่ 800 kHz 3. เสียงพูดถูกนำไปผสมกับคลื่นพำหะที่มีควำมถี่ไม่คงที่ แต่ให้ผลลัพธ์ที่มีควำมถี่ 800 kHz คงที่ 4. คลื่นพำหะควำมถี่ 800 kHz ถูกปรับควำมถี่ลงให้เหลือไม่เกิน 20 kHz เพื่อให้มนุษย์รับฟังได้ 52. ข้อใดเป็นสมบัติของรังสีแอลฟำ 1. เป็นอิเล็กตรอน 2. เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำ 3. เป็นนิวเคลียสของอะตอมฮีเลียม 4. เป็นโปรตอน 53. ธำตุที่มีสัญลักษณ์นิวเคลียร์ K19 40 มักถูกเรียกชื่อว่ำอะไร 1. โปแทสเซียม -19 2. โปแทสเซียม -21 3. โปแทสเซียม -40 4. โปแทสเซียม -59 54. เหตุใดโรงไฟฟ้ำนิวเคลียร์ในปัจจุบันจึงต้องสร้ำงใกล้แหล่งนำธรรมชำติ 1. เพื่อให้มีนำเพียงพอต่อกำรดับไฟ กรณีไฟไหม้เตำปฏิกรณ์ปรมำณู 2. ใช้นำปริมำณมำกในกำรถ่ำยเทควำมร้อนจำกเตำปฏิกรณ์ไปยังกังหันไอนำ 3. ใช้นำปริมำณมำกในกำรทำให้เกิดปฏิกิริยำลูกโซ่ของปฏิกิริยำนิวเคลียร์ 4. ต้องใช้นิวตรอนจำนวนมำกจำกนำในกำรเริ่มปฏิกิริยำนิวเคลียร์ 55. นักวิทยำศำสตร์เชื่อว่ำ เรำสำมำรถศึกษำลักษณะและส่วนประกอบของโลกของเรำ เมื่อครังแรกเกิดขึน ได้จำกวัตถุในข้อใด 1. หินบะซอลต์ 2. เพชร 3. อุกกำบำต 4. อุลกมณี 56. ในกำรแบ่งชันของโลกตำมลักษณะมวลสำร ชันเนือโลกส่วนใหญ่มีสถำนะในข้อใด 1. ของแข็ง 2. ของเหลว 3. ของไหล 4. แก๊ส
  • 52. 57. คลื่นไหวสะเทือนจะมีกำรเดินทำงในตัวกลำงในข้อใดได้เร็วที่สุด 1. ของแข็ง 2. ของเหลว 3. แก๊ส 4. มีควำมเร็วเท่ำกันทัง 3 ชนิด 58. จำกข้อมูลในอดีตที่ผ่ำนมำ ข้อใดคือบริเวณที่เกิดแผ่นดินไหวที่ค่อนข้ำงรุนแรงและมำกที่สุดของโลก 1. แนวรอยต่อของแผ่นธรณีภำคบริเวณเทือกเขำแอลป์และหิมำลัย 2. แนวรอยต่อของแผ่นธรณีภำคบริเวณขอบมหำสมุทรแปซิฟิก 3. แนวรอยต่อของแผ่นธรณีภำคบริเวณแนวสันกลำงมหำสมุทรแอตแลนติก 4. ไม่มีข้อใดถูกต้อง 59. เมื่อประมำณ 200 ล้ำนปีที่แล้ว มหำทวีปพันเจีย เริ่มแยกออกเป็น 2 มหำทวีปใด 1. ลอเรเซีย และกอนด์วำนำ 2. ยูเรเซีย และกอนด์วำนำ 3. อเมริกำ และอัฟริกำ 4. เอเซีย และออสเตรเลีย 60. กำรเกิดร่องลึกก้นสมุทรมำเรียน่ำ เป็นกำรเคลื่อนที่สัมพัทธ์ของแผ่นธรณีภำคในลักษณะใด 1. กำรเคลื่อนที่แบบแยกออกจำกกัน 2. กำรเคลื่อนที่แบบเข้ำหำกัน 3. กำรเคลื่อนที่แบบผ่ำนกัน 4. ถูกทุกข้อ 61. ซำกดึกดำบรรพ์ในข้อใดต่อไปนี มีช่วงอำยุเก่ำแก่ที่สุด 1. ไดโนเสำร์ 2. ไครนอยด์ 3. ไทรโลไบต์ 4. แอมโมไนต์ 62. ซำกดึกดำบรรพ์ดัชนี จะต้องมีควำมเด่นชัดในข้อใดมำกที่สุด 1. ขนำด 2. สี 3. รูปร่ำง 4. ช่วงอำยุ 63. จำกข้อควำมต่อไปนี “รพินทร์เดินสำรวจพบหินบะซอลต์ตัดแทรกเข้ำไปในชันหินดินดำนที่มี ซำกดึกดำบรรพ์ของหอยกำบคู่ ยุคครีเทเซียส และยังพบอีกว่ำมีรอยเลื่อนขนำดใหญ่ตัดผ่ำน ชันหินดินดำนและหินบะซอลต์ดังกล่ำว” ข้อใดเรียงลำดับอำยุของหินหรือเหตุกำรณ์จำกแก่ไปอ่อนได้อย่ำงถูกต้อง 1. หินดินดำน รอยเลื่อน หินบะซอลต์ 2. หินดินดำน หินบะซอลต์ หอยกำบคู่ 3. รอยเลื่อน หินดินดำน หอยกำบคู่
  • 53. 4. หอยกำบคู่ หินบะซอลต์ รอยเลื่อน 64. ทำงช้ำงเผือกเป็นดำรำจักร (Galaxy) ที่มีรูปร่ำงแบบใด 1. วงรี 2. ก้นหอยหรือกังหัน 3. ก้นหอยหรือกังหันแบบมีแกน 4. รูปร่ำงไม่แน่นอน 65. ข้อใดเป็นกำรเรียงลำดับระบบจำกเล็กไปใหญ่ 1. ระบบสุริยะ กระจุกดำว ดำรำจักร เอกภพ 2. ระบบสุริยะ ดำรำจักร กระจุกดำว เอกภพ 3. ดำรำจักร กระจุกดำว เอกภพ กระจุกดำรำจักร 4. กระจุกดำว ดำรำจักร เอกภพ กระจุกดำรำจักร 66. ดำวโจรเป็นดำวฤกษ์ที่สว่ำงที่สุดบนท้องฟ้ำห่ำงจำกโลก 2.6 พำร์เซก เมื่อนักดำรำศำสตร์ถ่ำยภำพ ห่ำงกัน 6 เดือน ภำพของดำวดวงนีจะขยับไปจำกเดิมเมื่อเทียบกับดำวที่อยู่ด้ำนหลังเป็นมุมเท่ำใด 1. 0.19 ฟิลิปดำ 2. 0.26 ฟิลิปดำ 3. 0.38 ฟิลิปดำ 4. 0.77 ฟิลิปดำ 67. ดำวที่มีอันดับควำมสว่ำงต่ำงกัน 1 จะมีควำมสว่ำงต่ำงกันประมำณกี่เท่ำ 1. 2.0 2. 2.5 3. 5.0 4. 5.5 68. จำกข้อมูลต่อไปนี ก. กำรระเบิดของดำวแคระขำว ข. กำรระเบิดของดำวแคระดำ ค. กำรระเบิดของดำวฤกษ์ขนำดใหญ่ ง. สสำรเดิมหลังเกิดบิกแบง ข้อใดเป็นต้นกำเนิดของเนบิวลำ 1. ก. และ ข. 2. ค. และ ง. 3. ค. 4. ถูกทุกข้อ 69. ควำมเร็วแสงในสุญญำกำศมีค่ำประมำณเท่ำใด 1. 1 x 108 เมตร/วินำที 2. 3 x 108 กิโลเมตร/ชั่วโมง 3. 3 x 109 เมตร/วินำที 4. 1 x 109 กิโลเมตร/ชั่วโมง
  • 54. 70. ข้อใดต่อไปนีไม่ใช่ผลจำกเทคโนโลยีอวกำศ 1. ภำพถ่ำยเมฆที่ใช้ในข่ำวพยำกรณ์อำกำศ 2. แผนที่กูเกิล (Google Map) 3. กำรถ่ำยทอดสดฟุตบอลโลกจำกประเทศแอฟริกำใต้ 4. เครื่องไซสโมกรำฟ (Seismo-graph) 71. จำกข้อมูลต่อไปนี ก. มวลของวัตถุน้อยที่สุด ข. วัตถุอยู่ในสุญญำกำศ ค. ชั่งนำหนักวัตถุแล้วเป็นศูนย์ ง. วัตถุเคลื่อนที่ด้วยควำมเร็วคงที่ ข้อใดบ้ำงที่อยู่ในสภำพไร้นำหนัก 1. ค. 2. ข. และ ค. 3. ก. ข. และ ค. 4. ก. ค. และ ง. 72. ดำวเครำะห์ในระบบสุริยะมีกี่ดวง 1. 7 ดวง 2. 8 ดวง 3. 9 ดวง 4. 10 ดวง 73. กำรที่เครื่องตรวจระยะไกล GT 200 เคยหำระเบิดเจอนัน เกิดจำกสำเหตุใด 1. มีกำรดูด-ผลักระหว่ำงสนำมแม่เหล็กของระเบิดกับเครื่อง 2. ไฟฟ้ำสถิตจำกร่ำงกำยมนุษย์ช่วยให้เครื่องทำงำนได้ 3. เครื่องอำศัยหลักควอนตัมฟิสิกส์ขันสูง 4. เป็นเพรำะควำมบังเอิญหรือเพรำะกำรสังเกตของผู้ใช้เครื่อง 74. ในเชิงวิทยำศำสตร์ สัตว์ในข้อใดควรจะทำนำยได้แม่นยำที่สุด 1. หมึกยักษ์ วิเครำะห์ทำนำยผลฟุตบอลโลก ด้วยกำรเลือกกินหอย 2. สุนัข ทำนำยกำรเป็นโรคมะเร็ง ด้วยกำรดมปัสสำวะคนไข้ 3. ม้ำ ทำนำยแผ่นดินไหวที่จะเกิดขึน โดยแสดงอำกำรแตกตื่นตกใจ 4. หมู ทำนำยผลสลำกกินแบ่ง ด้วยกำรเลือกป้ำยหมำยเลข
  • 55. 75. จำกกรณีนำมันดิบรั่วไหลในอ่ำวเม็กซิโกเมื่อเดือนเมษำยน 2553 ได้มีควำมพยำยำมจัดกำรครำบนำมัน นันด้วยหลำกหลำยวิธี วิธีหนึ่งคือกำรกันนำมันไม่ให้กระจำยตัวดังรูปต่อไปนี ค่ำควำมหนำแน่นของส่วน A และ B ควรเป็นเท่ำไรตำมลำดับ จึงจะเหมำะสมที่สุดในหน่วย กรัมต่อ ลูกบำศก์เซนติเมตร 1. 0.5 และ 5.0 2. 1.0 และ 5.0 3. 5.0 และ 1.0 4. 5.0 และ 0.5 76. จำกข้อที่ 75. หลังจำกดำเนินกำรกักนำมันไว้ได้แล้วควรดำเนินกำรอย่ำงไรต่อไป เพื่อให้มีผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด 1. เผำให้สลำยตัวไปกลำงทะเล 2. ใช้พอลิเมอร์ดูดซับเอำไว้แล้วนำไปเผำกำจัดในโรงเผำ 3. เติมสำรซักฟอกเพื่อให้ละลำยหำยลงไปในทะเล 4. เติมสำรซักฟอกเพื่อให้กระจำยออกเป็นชันบำงๆ บนผิวทะเล 77. โทรทัศน์ในปัจจุบันนอกจำกจะมีปุ่มสำหรับเปิด-ปิดเครื่องและปุ่มปรับแต่งคุณภำพของภำพและเสียง ที่ตัวเครื่องแล้ว มักจะมีรีโมทคอนโทรลซึ่งทำงำนด้วยแบตเตอรี่แห้ง เพื่อควบคุมโทรทัศน์จำกระยะไกล ถ้ำนักเรียนกดปุ่มรีโมทเพื่อเปิดโทรทัศน์แต่โทรทัศน์ไม่ติด (ไม่มีภำพและเสียง) กำรตรวจสอบใด ต่อไปนีพึงกระทำเป็นอันดับท้ำยสุด 1. ตรวจสอบปุ่มเปิด-ปิดที่โทรทัศน์ว่ำอยู่ในสถำนะใด 2. ตรวจสอบปลั๊กไฟโทรทัศน์ว่ำได้เสียบหรือยัง 3. ตรวจสอบสำยนำสัญญำณว่ำเสียบเข้ำกับโทรทัศน์หรือยัง 4. ตรวจสอบรีโมทคอนโทรว่ำเสียหรือไม่
  • 56. 78. เรำตังสมมติฐำนเพื่ออะไร 1. กล่ำวถึงทฤษฎีทำงวิทยำศำสตร์ที่ถูกนำมำใช้ในกำรทดลอง 2. เพื่อระบุว่ำกำรทดลองจะมีปริมำณใดบ้ำงและเป็นตัวแปรประเภทใด 3. เพื่อระบุคำตอบที่น่ำจะเป็นไปได้ของปัญหำ ซึ่งอำจอธิบำยได้ด้วยควำมรู้ของผู้ทดลอง 4. เพื่อระบุผลลัพธ์ที่ต้องกำรจำกกำรทดลอง 79. กำรเกิดภูเขำไฟในประเทศใดต่อไปนี ที่เกิดขึนจำกกระบวนกำรที่แตกต่ำงจำกข้ออื่นมำกที่สุด 1. ญี่ปุ่น 2. นิวซีแลนด์ 3. อินโดนีเซีย 4. ไอซ์แลนด์ 80. ดวงอำทิตย์เป็นแหล่งพลังงำนสำคัญของโลก กระบวนกำรใดบ้ำงต่อไปนีเกี่ยวข้องกับดวงอำทิตย์ ก. พลังงำนไฟฟ้ำจำกเซลล์สุริยะ ข. กำรเกิดภูมิอำกำศที่แตกต่ำงในภูมิภำคต่ำงๆ ของโลก ค. กำรเกิดนำขึนนำลง ง. กำรเกิดลมบก-ลมทะเล จงเลือกคำตอบที่ถูกที่สุด 1. ก. และ ข. 2. ก. ข. และ ค. 3. ก. และ ค. 4. ถูกทุกข้อ ส่วนที่ 2 : แบบระบำยตัวเลือก แต่ละข้อมีคำตอบที่ถูกต้อง 2 คำตอบ จำนวน 10 ข้อ (81-90) ข้อละ 2 คะแนน รวม 20 คะแนน 81. ข้อใดต่อไปนี นำไปสู่กำรเกิดสปีชีส์ใหม่ 1. เมื่อผสมพันธุ์กันระหว่ำงประชำกร จะได้ลูกที่ไม่เป็นหมัน 2. ไม่มีกำรแลกเปลี่ยนพันธุกรรมข้ำมกลุ่มประชำกร 3. สิ่งกีดขวำงทำงพันธุกรรมหำยไป 4. อำศัยอยู่ในพืนที่เดียวกัน แต่มีฤดูกำลในกำรผสมพันธุ์ต่ำงกัน 5. มีฤดูผสมพันธุ์ในช่วงเดียวกัน 82. ข้อใดต่อไปนี กล่ำวถึงระบบนิเวศได้อย่ำงถูกต้อง 1. เซคิดิสก์เป็นเครื่องมือที่ใช้เปรียบเทียบควำมขุ่นของนำ 2 บริเวณ 2. ลูกอ๊อดจัดเป็นแพลงตอนชนิดหนึ่ง 3. พืชทุกชนิดจะมีถิ่นที่อยู่อำศัยจำเพำะในบำงพืนที่เท่ำนัน 4. ระบบนิเวศในทวีปยุโรปเป็นแบบป่ำเบญจพรรณและป่ำผลัดใบ
  • 57. 5. บริเวณป่ำฝนเขตร้อนมีควำมหลำกหลำยสูงกว่ำป่ำผลัดใบเขตอบอุ่น 83. โปรตอนตัวหนึ่งถูกยิงเข้ำไปในสนำมไฟฟ้ำสม่ำเสมอ กรณีใดต่อไปนีไม่มีโอกำสเป็นไปได้ 1. โปรตอนเคลื่อนที่ด้วยอัตรำเร็วที่เพิ่มขึน 2. โปรตอนเคลื่อนที่ด้วยอัตรำเร็วที่ลดลง 3. โปรตอนเคลื่อนที่ด้วยอัตรำเร็วคงที่ 4. โปรตอนเดินทำงเป็นเส้นโค้ง 5. โปรตอนสั่นแบบฮำร์มอนิกอย่ำงง่ำย 84. ข้อใดต่อไปนีกล่ำวเกี่ยวกับเสียงได้ถูกต้อง 1. เสียงที่มีคุณภำพดีจะฟังได้ไพเรำะกว่ำเสียงที่มีคุณภำพด้วยกว่ำ 2. เสียงที่ค่อยที่สุดมีระดับควำมเข้มเสียง 0เดซิเบลและเสียงที่ดังที่สุดมีระดับควำมเข้มเสียง 120เดซิเบล 3. กำรเทียบเสียงสำยกีตำร์กับหลอดเทียบเสียง ต้องเทียบจนกระทั่งไม่เกิดบีตส์ 4. เสียงเป็นคลื่นที่เกิดจำกกำรสั่นของโมเลกุลอำกำศ 5. กำรเลียวเบนและกำรหักเหของเสียงเกิดเมื่อคลื่นเสียงเดินทำงผ่ำนตัวกลำงต่ำงชนิดกัน 85. ข้อใดกล่ำวได้ถูกต้องเกี่ยวกับคลื่นไหวสะเทือน 1. คลื่นพืนผิวมีอัตรำของกำรเคลื่อนที่เร็วกว่ำคลื่นในตัวกลำง 2. คลื่นพืนผิวมี 2 ชนิด คือ คลื่นปฐมภูมิและคลื่นทุติยภูมิ 3. คลื่นปฐมภูมิไม่สำมำรถเคลื่อนที่ผ่ำนตัวกลำงที่เป็นของแข็งได้ 4. คลื่นทุติยภูมิไม่สำมำรถเคลื่อนที่ผ่ำนตัวกลำงที่เป็นของเหลวได้ 5. คลื่นในตัวกลำงทุกชนิดสำมำรถเคลื่อนที่ผ่ำนตัวกลำงที่เป็นของแข็งได้ 86. ข้อใดไม่ใช่หินภูเขำไฟ 1. หินแกรนิต 2. หินบะซอลล์ 3. หินพัมมิช 4. หินเหล็กไฟ 5. หินออบซิเดียน 87. ข้อใดบ้ำงต่อไปนีถูกต้อง 1. ดำวฤกษ์สีแดงมีอำยุมำกกว่ำดำวฤกษ์สีนำเงิน 2. ดำวฤกษ์สีแดงอยู่ไกลกว่ำดำวฤกษ์สีนำเงิน 3. ดำวฤกษ์สีแดงเคลื่อนที่เร็วกว่ำดำวฤกษ์สีนำเงิน 4. ดำวฤกษ์สีแดงมีอุณหภูมิต่ำกว่ำดำวฤกษ์สีนำเงิน 5. ดำวฤกษ์สีแดงมีขนำดเล็กกว่ำดำวฤกษ์สีนำเงิน
  • 58. 88. นักวิทยำศำสตร์ท่ำนใดต่อไปนีมีส่วนในกำรพัฒนำกำรส่งจรวด 1. โรเบิร์ต กอดดำร์ด 2. โรเบิร์ต วิลสัน 3. ปีเตอร์ ไชคอฟสกี 4. คอนสแตนดิน ไชออลคอฟสกี 5. อำร์โน เพนเซียส 89. หำกต้องกำรทำกำรทดลองเพื่อเปรียบเทียบอัตรำเร็วกำรระเหยของนำมันรำข้ำวกับนำมันปำล์ม ตัวแปรในข้อใดไม่จำเป็นต้องควบคุมให้คงที่ 1. อุณหภูมิ 2. ยี่ห้อนำมัน 3. ควำมดันบรรยำกำศ 4. ขนำดของปำกภำชนะ 5. ควำมสูงของระดับนำมันในภำชนะ 90. หำกต้องกำรทดสอบว่ำตัวอักษรที่เขียนด้วยปำกกำสีใดจะสำมำรถอ่ำนได้ง่ำยกว่ำจะต้องควบคุม ตัวแปรต่ำงๆ ให้คงที่ ยกเว้นข้อใด 1. สีหมึกปำกกำ 2. สีของกระดำษ 3. ขนำดกระดำษ 4. ขนำดตัวอักษร 5. ขนำดหัวลูกลื่นปำกกำ
  • 59. เฉลยข้อสอบ ชุดที่ 1 แนวข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์ มัธยมศึกษาตอนปลาย ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 1. 1 หำกเซลล์พืชไม่มีผนังเซลล์จะทำให้มีรูปร่ำงไม่คงตัว เซลล์อำจได้รับอันตรำยง่ำย หำกถูกกระทบกระเทือนจำกสิ่งแวดล้อม 2. 2 ควำมเข้มข้นของสำรจะมีผลต่ออัตรำกำรแพร่ โดยหำกควำมเข้มข้นของสำร 2 บริเวณแตกต่ำงกันมำก จะทำให้กำรแพร่เกิดขึนได้เร็ว 3. 4 กำรแพร่แบบฟำซิลิเทตจะมีอัตรำกำรแพร่เร็วกว่ำกำรแพร่แบบธรรมดำ แม้ว่ำสำรที่ แพร่จะมีโมเลกุลขนำดใหญ่ แต่เนื่องจำกมีโปรตีนตัวพำที่ช่วยลำเลียงสำรผ่ำน เยื่อหุ้มเซลล์ได้เร็ว 4. 2 กำรลำเลียงสำรแบบใช้พลังงำน เป็นกำรลำเลียงสำรจำกบริเวณที่มีควำมเข้มข้นน้อย ไปสู่บริเวณที่มีควำมเข้มข้นมำก โดยใช้โปรตีนเป็นตัวพำ และอำศัยพลังงำนจำก ATP ซึ่งอำจเปรียบได้กับกำรสูบนำขึนสู่ถังเก็บนำ ที่ต้องอำศัยพลังงำนไฟฟ้ำ 5. 1 หำกใส่ปุ๋ยให้ต้นไม้มำกเกินไป จะทำให้ในดินมีแร่ธำตุเข้มข้นมำก ดังนัน นำในเซลล์ รำกต้นไม้จะออสโมซิสออกจำกเซลล์ ต้นไม้จึงขำดนำ ส่งผลให้ต้นไม้เหี่ยวเฉำ 6. 1 หำกร่ำงกำยของสัตว์มีอุณหภูมิต่ำ สมองจะสั่งกำรให้มีอัตรำเมแทบอลิซึมสูงขึน เพื่อ ช่วยทำให้ร่ำงกำยเกิดควำมอบอุ่นขึน เนื่องจำกกกระบวนกำรเมแทบอลิซึมจะได้ พลังงำนที่ช่วยให้ควำมอบอุ่นแก่ร่ำงกำย 7. 2 หลังจำกออกกำลังกำยกลำงแดดนำนๆ ร่ำงกำยจะมีอุณหภูมิสูงขึน จึงต้องมีกำรปรับ สมดุลของอุณหภูมิในร่ำงกำย โดยจะมีเมแทบอลิซึมลดลงเพื่อช่วยให้อุณหภูมิ ร่ำงกำยลดลง และหลอดเลือดจะขยำยตัวเพื่อช่วยระบำยควำมร้อนออกนอกร่ำงกำย 8. 4 เชือจุลินทรีย์ประจำถิ่นจะสำมำรถเจริญเติบโตได้ดีในสภำพแวดล้อมปกติบริเวณ อวัยวะต่ำงๆ ของร่ำงกำย ซึ่งหำกมีเชือจุลินทรีย์ก่อโรคเข้ำมำในร่ำงกำย เชือจุลินทรีย์ ประจำถิ่นอำจจับกินเชือนันแย่งชิงอำหำร หรือสร้ำงสำรเพื่อยังยังเชือจุลินทรีย์ก่อโรค
  • 60. ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 9. 2 เมื่อเซลล์ลิมโฟไซต์ชนิดบีสัมผัสกับแอนติเจนหรือสิ่งแปลกปลอม จะเปลี่ยนแปลง เป็นพลำสมำเซลล์ที่จะสร้ำงแอนติบอดีจำเพำะต่อแอนติเจนนัน และนอกจำกนี บำงเซลล์ยังเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์เมมมอรี ทำหน้ำที่จดจำลักษณะของแอนติเจน ซึ่งถ้ำแอนติเจนชนิดเดิมเข้ำสู่ร่ำงกำยอีก ร่ำงกำยจะตอบสนองโดยสร้ำงแอนติบอดี ได้อย่ำงรวดเร็ว 10. 4 เนื่องจำกกลุ่มเลือดแต่ละกลุ่มจะมีแอนติเจนและแอนติบอดีต่ำงกัน กำรให้หรือกำร รับเลือดจึงต้องคำนึงถึงหมู่เลือดของผู้ให้และผู้รับ ซึ่งหำกแอนติเจนของผู้ให้ตรงกับ แอนติบอดีของผู้รับ จะทำให้เม็ดเลือดแดงตกตะกอน เป็นอันตรำยถึงชีวิตได้ 11. 3 ภูมิคุ้มกันที่รับมำแต่กำเนิดเป็นภูมิคุ้มกันที่ติดตัวมำตังแต่เกิด พร้อมทำงำนทันทีที่มี แอนติเจนเข้ำสู่ร่ำงกำย ไม่มีควำมจำเพำะเจำะจง และไม่มีกำรจดจำชนิดของ แอนติเจน ซึ่งมีกลไกกำรป้องกันและกำจัดสิ่งแปลกปลอมโดยกำรจับกินและ ย่อยทำลำยโดยเม็ดเลือดขำวกลุ่มฟำโกไซต์ 12. 1 กำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรมจำกสิ่งมีชีวิตรุ่นหนึ่งไปยังสิ่งมีชีวิตอีกรุ่นหนึ่ง จะผ่ำนทำงเซลล์สืบพันธุ์ของพ่อแม่ โดยลูกที่เกิดมำอำจมีลักษณะบำงอย่ำงเหมือน พ่อ บำงอย่ำงเหมือนแม่ และอำจมีลักษณะบำงอย่ำงที่ไม่พบในพ่อและแม่ แต่พบใน รุ่นปู่ย่ำ ตำยำย กำรศึกษำลักษณะทำงพันธุกรรมจึงต้องศึกษำจำกบุคคลหลำยรุ่น 13. 2 กำรฉีดวัคซีนเป็นกำรกระตุ้นให้ร่ำงกำยสร้ำงภูมิคุ้มกันขึนมำ หรือเรียกว่ำ ภูมิคุ้มกัน ที่สร้ำงขึนเอง (active immunity) หมำยถึง ภูมิคุ้มกันที่ถูกกระตุ้นให้สร้ำงขึนมำ จำเพำะต่อแอนติเจนหรือวัคซีนที่ฉีดเข้ำไป 14. 1 โครโมโซมร่ำงกำยหรือออโตโซม จะมียีนที่ควบคุมลักษณะต่ำงๆ ของสิ่งมีชีวิต ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเพศ 15. 3 นิวคลีโอไทล์แต่ละสำยที่พบในสำยอำร์เอ็นเอจะประกอบไปด้วยหมู่ฟอสเฟต และ นำตำลไรโบสเหมือนกัน แต่จะต่ำงกันที่ไนโตรเจนเบส ซึ่งอำจเป็นไซโทซีน ยูรำซิล อะดีนีน หรือกวำนีน 16. 3 ควำมแตกต่ำงระหว่ำงดีเอ็นเอกับอำร์เอ็นเอ คือ ในนิวคลีโอไทด์ของดีเอ็นเอมีนำตำล ดีออกซีไรโบส ส่วนของอำร์เอ็นเอเป็นนำตำลไรโบส และเบสในดีเอ็นเอเป็นไทมีน แต่ในอำร์เอ็นเป็นยูรำซิล
  • 61. ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 17. 2 ระยะที่เหมำะสมต่อกำรศึกษำรูปร่ำงและลักษณะของโครโมโซม คือ ระยะที่มีกำร แบ่งเซลล์ในขันเมทำเฟส เนื่องจำกโครโมโซมจะมำเรียงตัวอยู่ในแนวกึ่งกลำงเซลล์ มองเห็นได้อย่ำงชัดเจน และยังเป็นช่วงที่เหมำะต่อกำรนับจำนวนโครโมโซมอีกด้วย 18. 1 กำรแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส เป็นกำรแบ่งเซลล์เพื่อสร้ำงเซลล์สืบพันธุ์ จึงพบในเซลล์ ที่เกี่ยวข้องกับกำรสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต ได้แก่ อัณฑะและรังไข่ของมนุษย์หรือสัตว์ อับสปอร์หรืออับเรณูและออวุลของพืชทั่วไป และโคนของสน 19. 2 จำกโจทย์เมื่อนำสิ่งมีชีวิตที่กำหนดให้มำเขียนโซ่อำหำร ได้ดังนี หญ้ำ ⟶ ตั๊กแตน ⟶ กระรอก ⟶ งู ⟶ เหยี่ยว ซึ่งหำกดูจำกปริมำณสิ่งมีชีวิต และนำมำวัดมวลชีวภำพ (เนือเยื่อของสิ่งมีชีวิตทังหมด ในรูปของนำหนักแห้ง มีหน่วยเป็นกรัมต่อตำรำงเมตร) ผู้บริโภคอันดับสุดท้ำยใน โซ่อำหำรจะมีมวลชีวภำพน้อยที่สุด 20. 2 กำรถ่ำยทอดพลังงำนในระบบนิเวศจะส่งผ่ำนสิ่งมีชีวิตโดยกำรกินต่อกันเป็นทอดๆ ในรูปของโซ่อำหำรและสำยใยอำหำร เริ่มต้นจำกผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคลำดับต่ำงๆ ซึ่งยิ่งผู้บริโภคลำดับสูงขึนจะยิ่งได้รับพลังงำนน้อยลงตำมกฎสิบเปอร์เซ็นต์ และในโซ่อำหำรนันผู้ย่อยสลำยจะไม่มีส่วนในกำรถ่ำยทอดพลังงำน โดยโซ่อำหำร และสำยใยอำหำรไม่สำมำรถบอกถึงควำมสมดุลของระบบนิเวศได้ 21. 1 นกที่มีลักษณะคล้ำยกันนัน อำจมีสปีชีส์ต่ำงกัน เช่น นกเอียงกับนกขุนทอง เป็นต้น ซึ่งไม่สำมำรถผสมพันธุ์กันได้ หรือหำกผสมพันธุ์กันจะได้ลูกจะเป็นหมัน 22. 4 สิ่งมีชีวิตบุกเบิกพวกแรกที่เข้ำไปเจริญเติบโตตำมก้อนหินที่ว่ำงเปล่ำ ได้แก่ พวก ครัสโตสไลเคน (ไลเคน คือ รำและสำหร่ำยที่อำศัยอยู่ร่วมกัน) ซึ่งจะช่วยทำให้หิน ผุพังกลำยเป็นดิน 23. 2 ในระบบนิเวศใดๆ จะเกิดควำมสมดุลของสิ่งมีชีวิตได้ก็ต่อเมื่อมีสัดส่วนของผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลำยในปริมำณที่เหมำะสม 24. 1 สิ่งมีชีวิตต่ำงๆ มีควำมสัมพันธ์กัน ดังนี ต่อไทรกับต้นไทร เป็นควำมสัมพันธ์แบบ ภำวะพึ่งพำกัน ส่วนฉลำมกับเหำฉลำม นกทำรังอยู่บนต้นไม้ และเพรียงเกำะบน ตัวสัตว์ เป็นควำมสัมพันธ์แบบภำวะอิงอำศัย
  • 62. ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 25. 3 สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม คือ สิ่งมีชีวิตที่เกิดจำกกำรตัดต่อยีนด้วยเทคนิคทำง พันธุวิศวกรรม โดยนำยีนจำกสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ไปใส่ให้กับสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง เพื่อให้ได้สิ่งมีชีวิตที่มีคุณสมบัติตรงตำมต้องกำร เช่น พืชทนต่อแมลงศัตรูพืช แบคทีเรียที่สำมำรถสร้ำงสำรบำงอย่ำงที่มีประโยชน์ทำงกำรแพทย์ เป็นต้น 26. 2 สิ่งแวดล้อมและทรัพยำกรธรรมชำติมีควำมสัมพันธ์กันทังในทำงตรงและทำงอ้อม โดยทรัพยำกรธรรมชำติจะเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อม 27. 1 ทรัพยำกรนำนับเป็นทรัพยำกรที่เกิดขึนทดแทนใหม่ที่มนุษย์นำมำใช้ประโยชน์ มำกที่สุดในปัจจุบัน ทังในกำรอุปโภคบริโภค กำรเกษตร อุตสำหกรรม และกำรผลิต กระแสไฟฟ้ำ 28. 3 แก๊สเรือนกระจกมี 4 ชนิด ได้แก่ แก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มีเทน (CH2) สำรประกอบคลอโรฟลูออโรคำร์บอน (CFCs) และแก๊สไนตรัสออกไซด์ (NO) 29. 4 สำเหตุหลักที่ก่อให้เกิดปัญหำสิ่งแวดล้อมและทรัพยำกรธรรมชำติในปัจจุบัน คือ มนุษย์ ยิ่งปัจจุบันประชำกรมนุษย์เพิ่มจำนวนขึนอย่ำงต่อเนื่อง ควำมต้องกำรใช้ ทรัพยำกรย่อมมำกขึนตำม อีกทังมนุษย์ยังมีควำมรู้ควำมสำมำรถมำกขึน ทำให้เกิด ควำมเจริญก้ำวหน้ำทำงอุตสำหกรรม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี โดยที่ไม่มีกำร วำงแผนกำรใช้ทรัพยำกร จึงส่งผลให้เกิดปัญหำดังกล่ำว และในอนำคตทรัพยำกร บำงชนิดอำจหมดไปจำกโลกใบนี 30. 4 จำกคำตอบทังหมด ล้วนเป็นกำรสร้ำงรำยได้แก่ตนเองทังสิน แต่ในข้อ 1. 2. และ 3. เป็นกำรทำลำยทรัพยำกรธรรมชำติ ส่วนข้อ 4. กำรนำขวดพลำสติกไปขำย ขวดนัน อำจถูกนำไปผ่ำนกระบวนกำรรีไซเคิลแล้วขึนรูปเพื่อนำกลับมำใช้ประโยชน์ได้อีก ซึ่งนับว่ำเป็นกำรช่วยอนุรักษ์ทรัพยำกรธรรมชำติ 31. 3 เมื่ออะตอมเสียอิเล็กตรอนไปซึ่งเป็นกำรเสียประจุลบ ทำให้อะตอมกลำยเป็นไอออน บวก เช่น อะตอมของลิเทียม (Li) เมื่อเสียอิเล็กตรอนให้ธำตุอื่นไป 1 อนุภำค จะเป็น ลิเทียมไอออน (Li+ )
  • 63. ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 32. 4 กำรยิงอนุภำคแอลฟำ (มีประจุบวก) ไปยังแผ่นโลหะ แล้วอนุภำคส่วนใหญ่ทะลุผ่ำน ไปได้ แสดงว่ำอะตอมของแผ่นโลหะส่วนใหญ่เป็นที่ว่ำง แต่ถ้ำอนุภำคนันพุ่งเข้ำชน นิวเคลียส (มีประจุบวก) ซึ่งมีขนำดเล็กมำก จะทำให้อนุภำคกระเจิงออกหรือสะท้อน กลับเพียงส่วนน้อย 33. 1 ตัวเลขด้ำนบนของสัญลักษณ์ธำตุ คือ เลขมวล ซึ่งเป็นจำนวนโปรตอนรวมกับ นิวตรอน ส่วนตัวเลขด้ำนล่ำงของสัญลักษณ์ คือ เลขอะตอม ซึ่งเป็นจำนวนโปรตอน ดังนันธำตุ x จึงมีสัญลักษณ์เป็น x9 19 34. 3 H+ มีจำนวนโปรตอนเท่ำกับ 1 มีจำนวนนิวตรอนเท่ำกับ 0 และมีจำนวนอิเล็กตรอน เท่ำกับ 0 ดังนัน H+ จึงขำดนิวตรอนและอิเล็กตรอน 35. 2 ธำตุที่มีกำรจัดเรียงอิเล็กตรอนเป็น 2, 8, 18, 32, 18, 7 เป็นธำตุหมู่ที่ 7 คำบที่ 6 ซึ่งก็คือ At 36. 3 Pb มีกำรจัดเรียงอิเล็กตรอนเป็น 2, 8, 18, 32, 18, 4 มีจำนวนอิเล็กตรอนชันในสุด เท่ำกับ 2 และมีจำนวนอิเล็กตรอนชันนอกสุด เท่ำกับ 4 Pb2- มีกำรจัดเรียงอิเล็กตรอนเป็น 2, 8, 18, 32, 18, 6 มีจำนวนอิเล็กตรอนชันในสุด เท่ำกับ 2 และมีจำนวนอิเล็กตรอนชันนอกสุด เท่ำกับ 6 Pb2+ มีกำรจัดเรียงอิเล็กตรอนเป็น2,8,18,32,18,2มีจำนวนอิเล็กตรอนชันในสุด เท่ำกับ 2 และมีจำนวนอิเล็กตรอนชันนอกสุด เท่ำกับ 2 Pb4+ มีกำรจัดเรียงอิเล็กตรอนเป็น 2, 8, 18, 32, 18 มีจำนวนอิเล็กตรอนชันในสุด เท่ำกับ 2 และมีจำนวนอิเล็กตรอนชันนอกสุด เท่ำกับ 18 37. 1 ธำตุในหมู่เดียวกันจะมีสมบัติทำงเคมีคล้ำยคลึงกัน ซึ่งธำตุหมู่ 1A จะมีขนำดอะตอม ใหญ่ มีควำมว่องไวในกำรเกิดปฏิกิริยำมำกกว่ำ และเกิดปฏิกิริยำกับนำได้ดีกว่ำธำตุ หมู่ 2A 38. 3 รังสีแกมมำมีพลังงำนสูง จึงก่อให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงโครงสร้ำงดีเอ็นเอซึ่งเป็นสำร พันธุกรรมในสิ่งมีชีวิตได้ โดยปกติสำรพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตมีหน้ำที่ควบคุม ลักษณะต่ำงๆ ของสิ่งมีชีวิต ดังนัน เมื่อสำรพันธุกรรมมีกำรเปลี่ยนแปลงจะทำให้ หน่วยพันธุกรรมเกิดกำรเปลี่ยนแปลงไป สิ่งมีชีวิตก็จะกลำยพันธุ์ได้ 39. 3 100% ⟶ 50% ⟶ 25% ⟶ 12.5% ⟶ 6.25%
  • 64. ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ ธำตุกัมมันตรังสี X จะเหลืออยู่ 6.25% จะต้องผ่ำนครึ่งชีวิตมำ 4 ครัง ดังนัน สัตว์โบรำณนีมีชีวิตอยู่เมื่อ 5,000x4 = 20,000 ปีมำแล้ว 40. 4 ในโรงงำนไฟฟ้ำนิวเคลียร์ เมื่อเกิดปฏิกิริยำนิวเคลียร์จะได้พลังงำนออกมำมหำศำล และจะมีควำมร้อนเกิดขึนจำนวนมหำศำลเช่นเดียวกัน ดังนันกำรสร้ำงโรงไฟฟ้ำ นิวเคลียร์ไว้ใกล้แหล่งนำก็เพื่อนำนำจำกแหล่งนำมำใช้ในกำรหล่อเย็น เพื่อถ่ำยเท ควำมร้อนออกจำกเตำปฏิกรณ์ เพรำะถ้ำไม่ได้ถ่ำยเทควำมร้อนออกจำกเตำปฏิกรณ์ ก็อำจทำให้โรงไฟฟ้ำนิวเคลียร์เกิดกำรระเบิดได้ 41. 4 สำเหตุที่ธำตุมีกำรสร้ำงพันธะเคมีขึนก็เนื่องมำจำกธำตุต้องกำรปรับตัวให้มีเวเลนซ์ อิเล็กตรอนครบ 8 ซึ่งเป็นสภำวะที่อะตอมของธำตุมีควำมเสถียรมำกที่สุด โดยกำร ปรับตัวให้มีเวเลนต์อิเล็กตรอนครบ 8 นัน อำจเป็นกำรใช้อิเล็กตรอนร่วมกับธำตุอื่น ให้อิเล็กตรอนแก่ธำตุอื่น หรือรับอิเล็กตรอนจำกธำตุอื่นก็ได้ 42. 3 พันธะโคเวเลนต์เป็นพันธะที่เกิดขึนระหว่ำงอะตอมของธำตุอโลหะกับธำตุอโลหะ เข้ำมำสร้ำงแรงยึดเหนี่ยวต่อกัน เหล็ก แบเรียม รูบิเดียม เป็นโลหะ ส่วนฟลูออรีน กำมะถัน ฟอสฟอรัส โบรมีน และออกซิเจน เป็นอโลหะ 43. 3 เกลือแกงมีสูตร คือ NaC1 โซดำไฟมีสูตร คือ NaOH ดังนันสำรทังสองจึงเป็น สำรประกอบของโลหะหมู่ 1A สำรประกอบไอออนิกที่มีสถำนะเป็นของแข็ง ไอออนต่ำงๆ ที่มีประจุไฟฟ้ำจะถูกยึดเหนี่ยวกันอย่ำงหนำแน่น จึงไม่สำมำรถนำ ไฟฟ้ำได้ และโลหะแทรนซิชันกับโลหะหมู่ 1A และ 2A เป็นโลหะเหมือนกัน เกิดแรงยึดเหนี่ยวที่เป็นพันธะโลหะเหมือนกัน จึงมีสมบัติทำงกำยภำพเหมือนกัน 44. 2 แรงลอนดอน เป็นแรงยึดเหนี่ยวที่เกิดระหว่ำงโมเลกุลโคเวเลนต์ที่ไม่มีขัว ดังนัน สำรที่มีแรงยึดเหนี่ยวเป็นแรงลอนดอนได้แก่ O2 CCI4 BCI3 และ CI2 แรงดึงดูดระหว่ำงขัว เป็นแรงยึดเหนี่ยวที่เกิดระหว่ำงโมเลกุลโคเวเลนต์ที่มีขัว ดังนันสำรที่มีแรงยึดเหนี่ยวเป็นแรงดึงดูดระหว่ำงขัว ได้แก่ SF2 CHC13 และ SO2 พันธะไฮโดรเจน เป็นพันธะที่เกิดจำกอะตอมของธำตุไฮโดรเจน สร้ำงพันธะกับ อะตอมของธำตุฟลูออรีน หรือออกซิเจน หรือไนโตรเจน ดังนันสำรที่มีแรงยึดเหนี่ยว เป็นพันธะไฮโดรเจน ได้แก่ HF CH3 OH และ NH3 45. 2 Li2HPO4 อ่ำนว่ำ ลิเทียมไฮโรเจนฟอสเฟต Fe2O3 อ่ำนว่ำ ไอร์ออน (III) ออกไซด์ Cu2S อ่ำนว่ำ คอปเปอร์ (I) ซัลไฟด์ CaHCO3 อ่ำนว่ำ แคลเซียมไฮโดรเจนคำร์บอเนต
  • 65. ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 46. 4 กำรเคียวข้ำวก่อนกลืน ข้ำวจะทำปฏิกิริยำกับเอนไซม์ในปำก แล้วข้ำวจะถูกย่อย กลำยเป็นนำตำล กำรฟอกสบู่ในนำกระด้ำง สบู่จะทำปฏิกิริยำกับนำกระด้ำง ทำให้ เกิดไคลสบู่ กำรทำแล็กเกอร์เคลือบผิวไม้ แล็กเกอร์จะทำให้ผิวไม้เกิดควำมมันวำว ส่วนกลีเซอรอลและเอทำนอลเป็นสำรเคมีประเภทเดียวกัน คือ แอลกอฮอล์ ดังนัน สำรทัง 2 ชนิดนีจึงไม่ทำปฏิกิริยำเคมีกัน 47. 1 จำกควำมสำมำรถในกำรนำไฟฟ้ำที่กำหนดให้ สรุปได้ว่ำ สำร A เป็นสำรประกอบ ไอออนิก ซึ่งก็คือ KI สำร B เป็นโลหะ ซึ่งก็คือ Cr และสำร C เป็นสำรประกอบ โคเวเลนต์ ซึ่งก็คือ CO2 48. 3 เมื่อนำนำกระด้ำงที่มีเกลือแคลเซียมไบคำร์บอเนต (Ca(HCO3)2) ปนอยู่มำต้มจะทำ ให้เกลือแคลเซียมไบคำร์บอเนตนันเกิดปฏิกิริยำสลำยตัวไปเป็นแคลเซียมคำร์บอเนต (CaCO3) ซึ่งไม่ละลำยนำ และจะแยกตัวออกมำตกตะกอนสะสมอยู่ในกำต้มนำ กลำยเป็นตะกรัน 49. 1 พืนที่ผิวสัมผัสที่เพิ่มขึนจะทำให้ปฏิกิริยำเคมีเกิดได้เร็วขึน เพรำะสำรมีพืนที่สำหรับ เข้ำทำปฏิกิริยำได้มำกขึน ดังนัน กระดำษฝอยที่มีพืนที่ผิวสัมผัสกับเชือเพลิงได้ มำกกว่ำกระดำษแผ่นจึงลุกติดไฟได้เร็วกว่ำ 50. 2 กำรเกิดปฏิกิริยำเคมีของสำรจะอธิบำยโดยอำศัยทฤษฎีกำรชนกัน คือ สำรจะสำมำรถ เกิดปฏิกิริยำเคมีขึนได้ สำรตังต้นจะต้องมีกำรชนกันในทิศทำงที่เหมำะสม และกำร ชนกันนันจะต้องทำให้สำรมีพลังงำนที่มำกพอ (มำกกว่ำค่ำพลังงำนก่อกัมมันต์) 51. 4 พลังงำนที่สะสมอยู่ในอำหำร คือ พลังงำนเคมี สำรอำหำรที่รับประทำนเข้ำไปต้อง ผ่ำนกำรย่อยให้เป็นโมเลกุลที่เล็กที่สุดก่อนร่ำงกำยจึงสำมำรถนำไปใช้ประโยชน์ได้ โดยไขมันเป็นสำรอำหำรที่ให้พลังงำนแก่ร่ำงกำยมำกที่สุด และในร่ำงกำยจะมี โปรตีนเป็นองค์ประกอบมำกที่สุด 52. 2 สำรละลำยเบเนดิกต์นำมำใช้ทดสอบนำตำลโมเลกุลเดี่ยว โดยจะเกิดผลิตภัณฑ์ที่เป็น ตะกอนสีแดงอิฐ นำองุ่น นำผึง และนำแอปเปิล มีนำตำลโมเลกุลเดี่ยวเป็น องค์ประกอบจึงสำมำรถทำปฏิกิริยำกับสำรละลำยเบเนดิกต์ได้ ส่วนนำแป้งเป็น พอลิแซ็กคำไรด์ซึ่งจะไม่เกิดปฏิกิริยำกับสำรละลำยเบเนดิกต์ 53. 2 กรดไขมันมีหมู่คำร์บอกซิลเป็นหมู่ฟังก์ชัน ส่วนกลีเซอรอลมีหมู่ไฮดรอกซิลเป็น หมู่ฟังก์ชัน โดยกำรเกิดไขมันหรือที่เรียกว่ำไตรกลีเซอไรด์ จะเกิดจำกกรดไขมันนำ
  • 66. ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ หมู่คำร์บอกซิลมำทำปฏิกิริยำกับหมู่ไฮดรอกซิลของกลีเซอรอล 54. 1 สำรละลำยคอปเปอร์ (II) ซัลเฟตในเบสจะทำปฏิกิริยำกับโปรตีน โดยคอปเปอร์ (II) ไอออน จะไปจับกับไนโตรเจนของพันธะเพปไทด์ เกิดเป็นสำรประกอบเชิงซ้อนที่ เป็นของแข็งสีนำเงินม่วง โปรตีนจึงมีกำรแปลงสภำพไป 55. 2 นำมันที่เผำไหม้แล้วให้พลังงำนมำกกว่ำแสดงว่ำรถยนต์จะวิ่งได้ระยะทำงมำกกว่ำ และค่ำออกเทนเป็นค่ำที่แสดงถึงควำมสำมำรถในกำรต้ำนทำนกำรจุดระเบิดก่อน เวลำที่กำหนดในเครื่องยนต์เบนซิน ดังนัน นำมันที่มีค่ำออกเทนมำกกว่ำจะต้ำนทำน กำรจุดระเบิดในเครื่องยนต์ได้ดีกว่ำ เครื่องยนต์จึงทำงำนได้ดีกว่ำ 56. 1 นำมันหล่อลื่นนำมำใช้ทำนำมันเครื่อง เทียนไข และแว็ก แก๊สปิโตรเลียมนำมำใช้เป็น แก๊สหุงต้ม แก๊สโซลีนนำมำใช้เป็นนำมันเชือเพลิงสำหรับรถยนต์ และนำมันเชือเพลิง นำมำใช้เป็นเชือเพลิงของเครื่องจักรและเรือ 57. 3 แก๊สคำร์บอนมอนอกไซด์จะไปจับกับเฮโมโกลบินทำให้เลือดไม่สำมำรถรับ ออกซิเจนได้ แก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ทำให้เกิดฝนกรด แก๊สคำร์บอนไดออกไซด์จะ ก่อให้เกิดภำวะโลกร้อน และแก๊สไฮโดรคำร์บอนจะก่อให้เกิดกำรระคำยเคืองใน ระบบหำยใจ 58. 4 เชือเพลิงที่เป็นสำรประกอบไฮโดรคำร์บอน เมื่อนำมำเผำไหม้ในที่ที่มีแก๊ส ออกซิเจนเพียงพอ จะเกิดกำรเผำไหม้สมบูรณ์ให้ไอนำและแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ เป็นผลิตภัณฑ์ เช่น กำรเผำไหม้มีเทนจะเกิดปฏิกิริยำ ดังนี CH4 + 2O2 ⟶ CO22H2O แก๊สโซฮอล์ แก๊สบิวเทนและแก๊สธรรมชำติ เป็นเชือเพลิงที่เป็นสำรประกอบ ไฮโดรคำร์บอน เมื่อเกิดกำรเผ่ำไหม้ในบรรยำกำศที่มีออกซิเจนจะได้ไอนำและแก๊ส คำร์บอนไดออกไซด์เป็นผลิตภัณฑ์ 59. 4 ลินิน เซลลูโลส ยำงพำรำ ไคติน ไกลโคเจน แป้ง โปรตีน และกรดนิวคลีอิก เป็น พอลิเมอร์ธรรมชำติ ส่วนไนลอน พีวีซี นีโอพรีน ซิลิโคน เป็นพอลิเมอร์สังเครำะห์ 60. 3 พอลิเมอร์ที่มีโครงสร้ำงแบบกิ่งจะมีควำมหนำแน่นและจุดหลอมเหลวต่ำ มีควำม ยืดหยุ่น ควำมเหนียวต่ำ เมื่อร้อนจะอ่อนตัวและเมื่อเย็นลงจะแข็งตัว พอลิเมอร์ที่มี โครงสร้ำงแบบเส้นจะมีควำมหนำแน่นและจุดหลอมเหลวสูง มีลักษณะแข็ง ขุ่น และ เหนียว ส่วนพอลิเมอร์ที่มีโครงสร้ำงแบบร่ำงแหจะมีควำมแข็งแกร่ง แต่เปรำะ
  • 67. ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 61. 4 เทอร์มอพลำสติกเป็นพลำสติกที่เมื่อได้รับควำมร้อนแล้วจะหลอมเหลว และจะ กลับมำแข็งตัวใหม่อีกครังเมื่อเย็นลง ส่วนพลำสติกเทอร์มอเซตเป็นพลำสติกที่เมื่อ ได้รับควำมร้อนที่สูงมำกเกินไปจะแตกและหัก ไม่สำมำรถคืนรูปได้ ดังนันจึงใช้กำร เปลี่ยนแปลงเมื่อได้รับควำมร้อนเป็นเกณฑ์ในกำรแยกพลำสติกทัง 2 ประเภทนี 62. 2 พอลิบิวตำไดอีน มีมอนอเมอร์ คือ บิวตำไดอีน ส่วนนีโอพรีน มีมอนอเมอร์ คือ คลอโรบิวตำไดอีน จึงเป็นโฮโมพอลิเมอร์ที่เกิดปฏิกิริยำพอลิเมอไรเซชันแบบต่อเติม ยำงเอสบีอำร์ มีมอนอเมอร์ คือ สไตรีนและบิวตำไดอีน ส่วนยำงเอบีเอส มี มอนอเมอร์ คือ อะคริโลไนไตรล์ สไตรีน และบิวตำไดอีน จึงเป็นโคพอลิเมอร์ที่ เกิดปฏิกิริยำพอลิเมอไรเซชันแบบต่อเติม 63. 1 กำรกระจัด คือ ระยะที่วัดจำกจุดเริ่มต้นไปยังจุดสุดท้ำย จำกโจทย์มีกำรกระจัด ดังนี ข้อ 1. มีกำรกระจัด 10 − 2 = 8 เมตร ข้อ 2. มีกำรกระจัด 3 × 4 = 12 เมตร ข้อ 3. มีกำรกระจัด 4 × 3 = 12 เมตร 64. 2 กำรกระจัดทังหมด S⃑ = 20 − 2 = 18 เมตร เวลำที่ใช้ทังหมด t = 5 วินำที ดังนัน ควำมเร็วเฉลี่ย v⃑ = s⃑ t = 18 5 = 3.6 เมตรต่อวินำที 65. 2 ควำมเร็วต้น u⃑ = 0 เมตร/วินำที ควำมเร่ง a⃑ = 2 เมตร/วินำที เวลำ t = 5 วินำที ควำมเร็วปลำย V⃑⃑ = ? ดังนันแทนค่ำลงในสูตรหำควำมเร่ง จำกสูตร a⃑ = v⃑⃑ −u⃑⃑ t V⃑⃑ = u⃑ + a⃑ t = 0 + (2×5) = 10 เมตร/วินำที 66. 1 ควำมเร่งโน้มถ่วงนันเป็นค่ำคงที่และจะไม่เปลี่ยนแปลงตำมเวลำ แต่จะเปลี่ยนตำม ระดับควำมสูงจำกพืนโลก ดังนันถ้ำในระดับควำมสูงเดิมควำมเร่งโน้มถ่วงก็จะมีค่ำ เท่ำเดิมตลอดเวลำและจะเปลี่ยนแปลงเมื่อมีค่ำควำมสูงจำกพืนโลกมำกๆ
  • 68. ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 67. 3 กำรเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์เป็นกำรเคลื่อนที่ภำยใต้แรงโน้มถ่วง จึงมีค่ำควำมเร่ง โน้มถ่วงกระทำในทิศชีลงตลอดกำรเคลื่อนที่ ในขณะที่ในแนวรำบมีควำมเร่งเป็น ศูนย์ เนื่องจำกควำมเร็วในแนวรำบจะคงที่ และที่จุดสูงสุดของกำรเคลื่อนที่แบบ โพรเจกไทล์จะพิจำรณำในทำนองเดียวกับกำรเคลื่อนที่ในแนวดิ่ง คือ ควำมเร็วใน แนวดิ่งจะมีค่ำเป็นศูนย์ที่ตำแหน่งสูงสุด 68. 4 เมื่อเกิดกำรเคลื่อนที่แบบวงกลมดังที่โจทย์กำหนด แรงที่กระทำกับจุกยำงขณะเหวี่ยง จะเป็นแรงสู่ศูนย์กลำง และแรงสู่ศูนย์กลำงจะมีทิศเข้ำหำจุดศูนย์กลำงวงกลมเสมอ 69. 3 แรงที่กระทำกับวัตถุขณะหมุนในแนวดิ่งจะมีทังแรงตึงเชือกกับนำหนักของวัตถุ แรงสู่ศูนย์กำลำงจึงเป็นผลรวมของแรงตึงเชือกกับนำหนักของวัตถุ 70. 2 กำรเคลื่อนที่ของลูกตุ้ม คำบของกำรแกว่งจะขึนอยู่กับควำมยำวเชือกและค่ำควำมเร่ง โน้มถ่วงของโลก แต่จะไม่เกี่ยวข้องกับมวลของวัตถุ 71. 3 กำรเคลื่อนที่แบบฮำร์มอนิกอย่ำงง่ำยจะสั่นด้วยกำรกระจัดเล็กๆ สม่ำเสมอ ดังนัน ข้อที่ไม่ใช่กำรเคลื่อนที่แบบฮำร์มอนิกอย่ำงง่ำยคือข้อ 3 72. 4 เส้นแรงแม่เหล็กจะพุ่งจำกขัวเหนือไปขัวใต้เสมอ จำกภำพในโจทย์จะเห็นว่ำเส้นแรง แม่เหล็กจะพุ่งจำก B ไป A และ C ไป D ทำให้ทรำบได้ว่ำ B และ C เป็นขัวเหนือ A และ D เป็นขัวใต้ 73. 3 ประจุไฟฟ้ำชนิดเดียวกันจะออกแรงผลักกันทำให้ประจุห่ำงกันเป็นระยะหนึ่งเท่ำนัน แล้วจะหยุดนิ่งเนื่องจำกแรงทำงไฟฟ้ำจะมีค่ำน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อประจุมีระยะห่ำงกัน มำกขึน 74. 4 อิเล็กตรอนเป็นอนุภำคที่มีประจุเป็นลบ ซึ่งจำกที่เรียนมำเกี่ยวกับกำรเบนของอนุภำค ในสนำมไฟฟ้ำ ประจุบวกจะเคลื่อนตำมแนวสนำมไฟฟ้ำ แต่ถ้ำเป็นประจุลบจะมี กำรเคลื่อนที่ตรงข้ำมกับประจุบวก คือ เคลื่อนที่สวนกับแนวสนำมไฟฟ้ำ 75. 1 จำกสมกำร W⃑⃑⃑ = mg⃑ ต้องกำรหำสนำมโน้มถ่วง (g⃑ ) โดยมวลของวัตถุจะมีค่ำคงที่ ทุกสภำพโน้มถ่วง g⃑ = w⃑⃑⃑ m = 16 10 = 1.6 m/s2 ดังนัน สนำมโน้มถ่วงของดวงจันทร์มีค่ำเท่ำกับ 1.6 m/s2
  • 69. ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 76. 1. นิวเคลียสของอะตอมนันจะประกอบไปด้วยโปรตอนที่มีประจุบวก และนิวตรอนที่ เป็นกลำงทำงไฟฟ้ำ จึงทำให้แรงไฟฟ้ำมีอิทธิพลน้อยมำกภำยในนิวเคลียส และด้วย มวลของโปรตอนและนิวตรอนที่มีน้อยมำก ทำให้แรงดึงดูดระหว่ำงมวลไม่มีผล เพรำะฉะนันแรงที่ทำหน้ำที่ยึดโปรตอนกับนิวตรอนไว้ภำยในนิวเคลียสนันก็คือ แรงนิวเคลียร์เพียงอย่ำงเดียว 77. 4 คลื่นตำมขวำงและคลื่นตำมยำวจะต่ำงกันตรงที่ทิศกำรสั่นของคลื่นกับทิศกำร เคลื่อนที่ของตัวกลำง ถ้ำคลื่นสั่นในทิศตังฉำกกับทิศกำรเคลื่อนที่ของตัวกลำง เรียกว่ำ คลื่นตำมขวำง ถ้ำคลื่นสั่นในทิศเดียวกันหรือขนำนกับกำรเคลื่อนที่ของ ตัวกลำง เรียกว่ำ คลื่นตำมยำว 78. 4 คลื่นตำมยำว คือ คลื่นที่กำรสั่นในทิศทำงเดียวกันหรือขนำนกับทิศกำรเคลื่อนที่ของ ตัวกลำง 79. 2 จำก v = 𝑓𝜆 จะได้ 𝜆 = v 𝑓 = 3.0×108 m/s 88 MHz = 3.0×108 88×106 = 0.034 ×10 2 เมตร 𝜆 = 3.4 เมตร 80. 4 โรงภำพยนตร์เป็นห้องโล่งจึงเกิดเสียงสะท้อน และเสียงสะท้อนนีจะก่อปัญหำใน กำรรับชมภำพยนตร์ จึงมีกำรบุผนังและเก้ำอีของโรงภำพยนตร์ด้วยวัสดุดูดซับเสียง เพื่อลดกำรสะท้อนของเสียง 81. 2 กำรเลียวเบนเกิดเมื่อคลื่นเคลื่อนที่ปะทะสิ่งกีดขวำงแล้วเบนอ้อมสิ่งกีดขวำงนัน 82. 2 กำรแทรกสอดทำให้เกิดกำรเสริมและหักล้ำงของคลื่นเสียงเป็นช่วงๆ จึงเกิดเสียงดัง และเบำสลับกัน เรียกว่ำ บีตส์ของเสียง 83. 3 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำทุกชนิดจะประกอบด้วยสนำมแม่เหล็กและสนำมไฟฟ้ำ และทัง 2 สนำมจะมีทิศตังฉำกกับทิศกำรเคลื่อนที่ของคลื่น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำจึงเป็นคลื่น ตำมขวำง
  • 70. ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 84. 2 เรียงระดับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำตำมควำมยำวคลื่นจำกมำกไปน้อยได้ ดังนี คลื่นวิทยุ >ไมโครเวฟ > อินฟรำเรด > แสง > อัตรำไวโอเลต > รังสีเอกซ์ > รังสีแกมมำ จำกตัวเลือกทัง 4 คลื่นที่มีควำมยำวคลื่นสันที่สุด คือ คลื่นอินฟรำเรด 85. 2 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำเป็นคลื่นที่ไม่จำเป็นต้องอำศัยตัวกลำงในกำรเคลื่อนที่ 86. 1 ไอโซโทป คือ ธำตุชนิดเดียวกันที่มีจำนวนโปรตอนหรือเลขอะตอมเท่ำกัน แต่มี เลขมวลต่ำงกัน ดังนัน เลขอะตอมจะต้องเป็น 5 ส่วนเลขมวลจะมีกำรเปลี่ยนไป 87. 3 รังสีแกมมำสีที่ไม่มีประจุไฟฟ้ำหรือเป็นกลำงทำงไฟฟ้ำ ทำให้เมื่อเคลื่อนที่เข้ำไปใน สนำมแม่เหล็กหรือสนำมไฟฟ้ำจึงไม่เกิดกำรเบน กล่ำวคือจะเคลื่อนผ่ำนไปใน แนวทำงเดิมของกำรเคลื่อนที่ 88. 2 รังสีแอลฟำ คือ ไอออนของฮีเลียมที่มีประจุ +2 มีมวลมำกที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับ รังสี 2 ชนิด แต่มีอำนำจทะลุทะลวงต่ำที่สุด รังสีบีตำ คือ อิเล็กตรอนที่วิ่งด้วย ควำมเร็วสูง มีอำนำจทะลุทะลวงมำกกว่ำรังสีแอลฟำ แต่น้อยกว่ำรังสีแกมมำ ส่วนรังสีแกมมำไม่มีมวล แต่มีอำนำจทะลุทะลวงสูงที่สุด 89. 3 จำกสมกำรกำรสลำยตัวจำก Ra88 226 ไปเป็น Rn86 222 มีเลขมวลหำยไป 4 เลขอะตอมหำยไป 2 ดังนัน x คือ อนุภำคแอลฟำ ( He+2 2 4 ) 90. 2 เริ่มต้นมีไอโอดีน 256 กรัม เมื่อเวลำผ่ำนไป 25 นำที จะเหลือไอโอดีน 128 กรัม เมื่อ เวลำผ่ำนไปอีก 25 นำที จะเหลือไอโอดีน 64 กรัม และเมื่อเวลำผ่ำนไปอีก 25 นำที จะเหลือไอโอดีนเพียง 32 กรัม รวมเวลำในกำรสลำยตัวของไอโอดีน-128 จำก 256 กรัม จนเหลือเพียง 32 กรัม ใช้เวลำ 25+25+25 เท่ำกับ 75 นำที (1 ชั่วโมง 15 นำที) โดยเขียนเป็นแผนผังได้ ดังนี I 256 กรัม 25 นำที I 128 กรัม 25 นำที I 64 กรัม 25 นำที I 32 กรัม 91. 3 กำรทำควำมสะอำดอุปกรณ์ทำงกำรแพทย์นอกจำกจะใช้วิธีกำรอบด้วยควำมร้อน แล้วยังใช้รังสีแกมมำจำก Co-60 ในกำรฆ่ำเชือโรคบำงชนิดอีกด้วย เหตุที่ใช้รังสี แกมมำ เนื่องจำกรังสีแกมมำมีอำนำจทะลุทะลวงสูง ทำให้สำมำรถฆ่ำเชือโรคได้ เกือบทุกชนิด 92. 3 ปฏิกิริยำนิวเคลียร์ฟิวชัน เป็นกำรรวมตัวของธำตุเบำแล้วกลำยเป็นธำตุหนัก และ จะคำยควำมร้อนสูงออกมำ ปฏิกิริยำนิวเคลียร์ฟิวชันเกิดที่พืนผิวหรือภำยในของ ดวงอำทิตย์ โดยเกิดจำกกกำรรวมตัวของไอโซโทปของไฮโดรเจนให้กลำยเป็น ฮีเลียม
  • 71. ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 93. 2 โลกมีรูปร่ำงกลมรีคล้ำยผลส้ม มีเส้นผ่ำนศูนย์กลำงในแนวนอนยำวกว่ำเส้นผ่ำน ศูนย์กลำงในแนวดิ่ง ซึ่งโครงสร้ำงของโลก แบ่งออกเป็นเปลือกโลก เนือโลก และ แก่นโลก ส่วนเปลือกโลกเป็นส่วนที่บำงที่สุด โดยแต่ละบริเวณจะมีควำมหนำ แตกต่ำงกันไป ส่วนเนือโลกและแก่นโลกจะมีควำมร้อนและอุณหภูมิสูงมำก 94. 3 เมื่อเปลือกโลกภำคพืนทวีปกับเปลือกโลกภำคพืนมหำสมุทรชนกัน เปลือกโลก ภำคพืนมหำสมุทรที่มีควำมหนำแน่นมำกกว่ำ จะจมตัวลงและดันหนุนให้เปลือกโลก ภำคพืนทวีปยกตัวขึน 95. 3 แผ่นธรณีภำคลอยอยู่บนหินหนืดในชันเนือโลก ซึ่งหินหนืดมีกำรเคลื่อนที่ไหลวน ตลอดเวลำ จึงเป็นผลให้แผ่นธรณีภำคเคลื่อนที่ไปด้วย 96. 3 หลักฐำนที่สนับสนุนทฤษฎีกำรเลื่อนไหลของทวีป มีหลำยอย่ำง ได้แก่ 1. ลักษณะของทวีปต่ำงๆ ในปัจจุบันสำมำรถนำมำต่อกันได้อย่ำงพอดี 2. พบฟอสซิลของเมโซซอรัสในทวีปอเมริกำใต้และทวีปแอฟริกำ 3. ขอบของทวีปอเมริกำใต้และทวีปแอฟริกำมีหินที่คล้ำยคลึงกันและเกิดในยุค ใกล้เคียงกัน 97. 2 แผ่นดินไหวในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเกิดจำกรอยเลื่อนที่มีพลัง ซึ่งเป็น แผ่นดินไหวที่มีควำมรุนแรงไม่มำกนัก แต่หำกแผ่นดินไหวที่สำมำรถทำให้เกิด ควำมรู้สึกสั่นสะเทือนได้มักมีศูนย์กลำงอยู่ที่ประเทศพม่ำ เนื่องจำกพม่ำตังอยู่ในแนว ของวงแหวนแห่งไฟ ที่มีโอกำสเกิดแผ่นดินไหวได้มำก 98. 3 แผ่นดินไหวอำจเกิดจำกธรรมชำติ โดยกำรเคลื่อนตัวชนกันของแผ่นเปลือกโลก กำร ปะทุของภูเขำไฟ และนอกจำกนียังอำจเกิดจำกกระทำของมนุษย์ เช่น กำรสร้ำงเขื่อน กำรสร้ำงเหมืองกำรทดลองระเบิดปรมำณู เป็นต้นซึ่งล้วนทำให้เปลือกโลกเกิดกำร เปลี่ยนแปลง อันเป็นเหตุให้เกิดแผ่นดินไหวขึน 99. 2 บริเวณที่มักเกิดภูเขำไฟ คือ บริเวณแนวรอยต่อของแผ่นธรณีภำค ซึ่งเป็นบริเวณ เดียวกับที่เกิดแผ่นดินไหว นั่นคือ บริเวณวงแหวนแห่งไฟนันเอง 100. 4 ซำกดึกดำบรรพ์ดัชนีถูกใช้เป็นตัวกำหนดและระบุระยะทำงธรณีวิทยำ ซึ่งมีลักษณะ เด่นคือ สำมำรถบอกอำยุได้แน่นอน
  • 72. ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 101. 1 วิธีกำรหำอำยุของซำกดึกดำบรรพ์ไดโนเสำร์ ทำได้โดยกำรเปรียบเทียบอำยุกับชัน หินที่พบซำกนัน ซึ่งจะระบุได้เพียงว่ำซำกไดโนเสำร์นันใหม่กว่ำหรือเก่ำกว่ำซำก ไดโนเสำร์อีกซำกหนึ่ง และอีกวิธีหนึ่ง คือ กำรวิเครำะห์ปริมำณธำตุกัมมันตรังสี ที่อยู่ในซำกไดโนเสำร์นัน เช่น คำร์บอน-14 ยูเรเนียม-238 เป็นต้น ส่วนกำรใช้ ซำกดึกดำบรรพ์ดัชนีนันไม่สำมำรถนำมำหำอำยุของซำกดึกดำบรรพ์ไดโนเสำร์ได้ เนื่องจำกซำกดึกดำบรรพ์ดัชนีที่พบในแต่ละยุคนัน ไม่ได้เป็นซำกของไดโนเสำร์ 102. 4 ในประเทศไทยมีรำยงำนกำรค้นพบซำกดึกดำบรรพ์ทังพืชและสัตว์อยู่แทบทุกภำค แต่พบมำกที่สุดในภำคตะวันออกเฉียงเหนือ 103. 3 เอกภพ คือ บริเวณที่กว้ำงใหญ่ไพศำลและไร้ขอบเขต ภำยในเอกภพประกอบไปด้วย กำแล็กซีต่ำงๆ และเอกภพยังคงขยำยตัวออกไปเรื่อยๆ ในทุกทิศทำง ทำให้กำแล็กซี ภำยในเอกภพเคลื่อนที่ออกห่ำงจำกกัน ซึ่งเอกภพเกิดจำกกำรระเบิดครังใหญ่ ที่ เรียกว่ำ บิกแบง เมื่อเกิดกำรระเบิดแล้วจะทำให้เกิดอนุภำคมูลฐำนต่ำงๆ ได้แก่ กลุ่มแลปตอน และอนุภำคควำร์ก 104. 4 เอ็ดวิน พำเวลล์ ฮับเบิล ศึกษำกำรขยำยตัวของเอกภพ โดยกำรวัดสเปกตรัมของแสง จำกกำรสะท้อนกลับมำจำกกำแล็กซีอื่นๆ แล้วพบว่ำกำแล็กซีกำลังเคลื่อนออกห่ำง จำกกัน ซึ่งกำแล็กซีที่อยู่ไกลโลกจะเคลื่อนตัวออกไปเร็วกว่ำกำแล็กซีที่อยู่ใกล้โลก 105. 1 ดำรำจักรหรือกำแล็กซี ประกอบขึนมำจำกกระจุกดำวจำนวนมำกมำย และในแต่ละ กระจุกดำวก็จะประกอบไปด้วยระบบดำวฤกษ์หรือระบบสุริยะต่ำงๆ ซึ่งดำรำจักรนัน เป็นส่วนหนึ่งของเอกภพ 106. 3 กำแล็กซีทำงช้ำงเผือกเป็นกำแล็กซีที่มีรูปร่ำงก้นหอยหรือกังหัน ที่มีแขน 4 แขน ยื่นออกมำจำกใจกลำง ซึ่งระบบสุริยะของเรำก็อยู่ที่ปลำยแขนข้ำงหนึ่ง 107. 2 วัตถุที่มีมวลทุกชนิดจะมีแรงดึงดูดระหว่ำงมวลเสมอ โดยยิ่งวัตถุมีขนำดใหญ่ก็จะมี แรงดึงดูดมำกตำมไปด้วย ดวงอำทิตย์เป็นวัตถุที่มีมวลมหำศำลจึงออกแรงดึงดูด ดำวเครำะห์ในระบบสุริยะ ทำให้ดำวเครำะห์โคจรรอบดวงอำทิตย์ และดวงอำทิตย์ ยังทำให้เกิดกำรแผ่สนำมโน้มถ่วงออกไปครอบคลุมทั่วทังระบบสุริยะ ทำให้ดวงดำว ในระบบสุริยะทุกดวงอยู่ภำยใต้สนำมโน้มถ่วงของดวงอำทิตย์ด้วย 108. 1 ดำวเกิดจำกกลุ่มแก๊สขนำดใหญ่เกิดกำรยุบตัวลงอย่ำงช้ำๆ เนื่องจำกแรงโน้มถ่วงจำก
  • 73. ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ จุดศูนย์กลำงของกลุ่มแก๊สนัน 109. 4 กำรสินสุดของดำวฤกษ์ที่มีขนำดเล็กเริ่มจำกดำวฤกษ์ขยำยใหญ่ขึนเป็นดำวยักษ์แดง จำกนันใจกลำงของดำวยักษ์แดงจะหดตัวมีขนำดเล็กลงเป็นดำวแคระขำว ส่วนกำร สินสุดของดำวฤกษ์ที่มีขนำดใหญ่จะเริ่มจำกดำวฤกษ์เกิดกำรระเบิดขนำดใหญ่ เรียกว่ำ ซูเปอร์โนวำ แล้วส่วนแกนกลำงจะเหลือสภำพเป็นดำวนิวตรอน หรือยุบตัว ต่อไปกลำยเป็นหลุมดำ 110. 3 อันดับควำมสว่ำงเป็นตัวเลขที่ไม่มีหน่วย ใช้บอกค่ำควำมสว่ำงปรำกฏของดำว โดย จะมีได้ทังค่ำบวก ศูนย์ และค่ำลบ ซึ่งดำวที่มีอันดับควำมสว่ำงเป็นบวกหรือมีตัวเลข มำกๆ จะมีควำมสว่ำงน้อยกว่ำดำวที่มีอันดับควำมสว่ำงเป็นลบหรือมีตัวเลขน้อยๆ 111. 2 ดำวฤกษ์ทุกดวงจะมีกำรสินสุดอำยุลง ซึ่งกำรสินสุดของดำวฤกษ์แต่ละดวงจะมีควำม แตกต่ำงกันขึนอยู่กับมวลของดำวฤกษ์ดวงนันๆ โดยดำวฤกษ์ที่มีมวลน้อยจะสินสุด โดยไม่เกิดกำรระเบิดขึน แต่ดำวฤกษ์ที่มีมวลมำกจะสินสุดโดยเกิดกำรระเบิด 112. 3 สีของดำวฤกษ์ที่มีอุณหภูมิพืนผิวเรียงลำดับจำกต่ำสุดไปสูงสุด ได้แก่ แดง ส้ม เหลือง เหลืองขำว ขำว ฟ้ำ และนำเงินอมขำว/นำเงินตำมลำดับ 113. 3 ดำวเทียมจะขึนไปโคจรรอบโลกได้เมื่อดำวเทียมมีควำมเร็วที่สำมำรถเอำชนะแรง โน้มถ่วงของโลก แต่ดำวเทียมก็ยังคงมีแรงโน้มถ่วงของโลกคอยดึงดูดไว้ไม่ให้โคจร ออกไปนอกวงโคจร 114. 2 แรงดึงดูดระหว่ำงวัตถุ 2 ชนิด จะขึนอยู่กับมวลของวัตถุ และระยะห่ำงระหว่ำงวัตถุ โดยวัตถุที่มีมวลมำกจะมีแรงดึงดูดมำก วัตถุที่มีมวลน้อยจะมีแรงดึงดูดน้อย และวัตถุ ที่อยู่ห่ำงกันมำกจะมีแรงดึงดูดระหว่ำงวัตถุน้อยกว่ำวัตถุที่อยู่ใกล้กัน 115. 4 กำรส่งดำวเทียมขึนสู่วงโคจรจะอำศัยจรวดเป็นตัวนำส่ง ซึ่งจรวดจะมีทังหมด 3 ท่อน เมื่อท่อนใดใช้พลังงำนหมดแล้วก็จะถูกสลัดทิงเพื่อลดนำหนัก โดยดำวเทียมจะโคจร ได้นันจะต้องมีแรงสู่ศูนย์กลำงเท่ำกับแรงหนีศูนย์กลำง และดำวเทียมที่อยู่ห่ำงจำก โลกมำกก็จะโคจรด้วยควำมเร็วที่น้อยกว่ำดำวเทียมที่อยู่ใกล้โลก เนื่องจำกมีแรง โน้มถ่วงจำกโลกไปดึงดูดน้อยกว่ำนั่นเอง 116. 3 เทคโนโลยีสำรวจระยะไกลเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในกำรศึกษำพืนผิวโลกด้วยอุปกรณ์ บันทึกข้อมูลบนดำวเทียม ดังนัน กำรพยำกรณ์อำกำศ กำรเตือนภัยธรรมชำติ และกำร สำรวจกำรใช้ประโยชน์ของที่ดิน จึงเป็นประโยชน์ที่ได้รับจำกเทคโนโลยีสำรวจ ระยะไกล ส่วนกำรสำรวจทิศทำงนันเป็นประโยชน์ที่ได้รับจำกระบบกำรค้นหำ ตำแหน่งบนพืนโลกด้วยดำวเทียม
  • 74. ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 117. 1 ธีออสเป็นดำวเทียมสำรวจทรัพยำกรธรรมชำติดวงแรกของประเทศไทย แลนแซท เป็นดำวเทียมสำรวจทรัพยำกรธรรมชำติที่ถูกสร้ำงขึนโดย NASA ส่วนไทยคม 1A และไทยคม 4 เป็นดำวเทียมสื่อสำรของประเทศไทย 118. 1 กำรกำหนดพิกัดของตำแหน่งต่ำงๆ บนพืนโลกเป็นประโยชน์ที่ได้รับจำกดำวเทียม สำรวจหำตำแหน่งของวัตถุบนพืนโลก กำรเตือนภัยเกี่ยวกับภัยธรรมชำติ เช่น พำยุ นำท่วม เป็นประโยชน์ที่ได้รับจำกดำวเทียมอุตุนิยมวิทยำ กำรค้นหำแหล่งทรัพยำกร ที่มีค่ำ เช่น ทองคำ นำมัน เป็นประโยชน์ที่ได้รับจำกดำวเทียมสำรวจ ทรัพยำกรธรรมชำติ 119. 2 เทคโนโลยีอวกำศ เป็นเทคโนโลยีกำรสำรวจและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับอวกำศ และ ข้อมูลเกี่ยวกับโลก เช่น กำรถ่ำยภำพจำกดำวเทียมหรือสถำนีอวกำศ เพื่อนำมำใช้ พยำกรณ์อำกำศ ถ่ำยภำพภูมิประเทศ เพื่อนำมำทำแผนที่กำรเดินทำง หรือแม้แต่กำร ถ่ำยทอดสดกำรแข่งขันกีฬำต่ำงๆ ไปทั่วโลก ส่วนเครื่องไซสโมกรำฟเป็นเครื่องมือที่ มนุษย์ประดิษฐ์ขึนเพื่อใช้วัดควำมสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว 120. 4 ยำนขนส่งอวกำศ ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ตัวยำนโคจร ถังเชือเพลิงภำยนอก และจรวดขับดันเชือเพลิงแข็ง ซึ่งส่วนจรวดขับดันนีสำมำรถนำกลับมำใช้ใหม่ได้อีก ต่ำงจำกจรวดที่มี 3 ท่อน ที่เมื่อเชือเพลิงหมดแล้วต้องดีดตัวทิงไป
  • 75. เฉลยข้อสอบ ชุดที่ 2 ข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์ 2552 มัธยมศึกษาตอนปลาย 1. 4 2. 3 3. 2 4. 3 5. 1 6. 4 7. 4 8. 4 9. 3 10. 4 11. 2 12. 2 13. 3 14. 2 15. 2 16. 1 17. 4 18. 1 19. 2 20. 3 21. 4 22. 3 23. 4 24. 2 25. 1 26. 3 27. 2 28. 4 29. 1 30. 2 31. 1 32. 1 33. 2 34. 1 35. 1 36. 3 37. 1 38. 4 39. 3 40. 3 41. 1 42. 4 43. 1 44. 4 45. 4 46. 1 47. 4 48. 3 49. 2 50. 1 51. 3 52. 2 53. 2 54. 1 55. 2 56. 2 57. 3 58. 3 59. 2 60. 2 61. 1 62. 1 63. 3 64. 4 65. 2 66. 4 67. 3 68. 3 69. 1 70. 1 71. 4 72. 3 73. 2 74. 4 75. 2 76. 3 77. 2 78. 3 79. 4 80. 1 81. 4 82. 3 83. 1 84. 2 85. 4 86. 2 ปีการศึกษา
  • 76. ข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์มัธยมศึกษาตอนปลาย 2553 1. 3 2. 1 3. 4 4. 2 5. 3 6. 2 7. 1 8. 4 9. 4 10. 3 11. 4 12. 4 13. 1 14. 1 15. 2 16. 4 17. 4 18. 3 19. 3 20. 4 21. 1 22. 1 23. 1 24. 1 25. 2 26. 4 27. 4 28. 3 29. 4 30. 1 31. 1 32. 2 33. 3 34. 1 35. 4 36. 4 37. 1 38. 2 39. 1 40. 3 41 1 42. 1 43. 3 44. 4 45. 1 46. 1 47. 2 48. 2 49. 1 50. 3 51. 2 52. 3 53. 3 54. 2 55. 1 56. 3 57. 1 58. 2 59. 1 60. 2 61. 3 62. 4 63. 1 64. 2 65. 1 66. 3 67. 2 68. 2 69. 4 70. 4 71. 2 72. 2 73. 1 74. 2 75. 1 76. 2 77. 2 78. 3 79. 4 80. 1 81. 1, 5 82. 3, 5 83. 3, 5 84. 3, 4 85. 4, 5 86. 1, 4 87. 1, 4 88. 2, 4 89. 2, 5 90. 2, 3 ปีการศึกษา