1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201-33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6
ปีการศึกษา 2560
ชื่อโครงงาน ผลของการนอนดึก
ชื่อผู้ทาโครงงาน
1.นางสาว ณฐมณ ปัญจิตร เลขที่ ชั้น ม.6 ห้อง 13
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
2
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
อัลไซเมอร์
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
Alzheimer
ประเภทโครงงาน พัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาว ณฐมณ ปัญจิตร
ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน
ในปัจจุบันโลกของเราก็มีเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ประชากรก็เพิ่มคนเรื่อยๆเช่นกัน เด็กๆก็เพิ่มขึ้น ผู้สูงอายุก็อายุอยู่
นานขึ้นเช่นกัน และโรคอัลไซเมอร์ก็จะเกิดกับผู้สูงอายุ เราเลยต้องการศึกษาในเรื่องโรคอัลไซเมอร์ ให้เข้าใจว่ามัน
เป็นมาจากสาเหตุใด รักษาได้ไหม ดูแล ป้องกันได้อย่างไรบ้าง
วัตถุประสงค์
1.เพื่อศึกษาความรู้เกี่ยวกับโรคอัลไมอร์
2.เพื่อศึกษาวิธีการดูแลรักษา
ขอบเขตโครงงาน
1.สามรถนาเสนอแก่คนทั่วไป ใช้งานได้ง่าย
2.มีเนื้อหาน่าอ่าน เข้าใจง่าย
หลักการและทฤษฎี
นักวิชาการทั้งในและต่างประเทศได้พิจารณาเกณฑ์ในการกาหนดความสูงอายุของ
บุคคล ซึ่งโดยทั่วไปได้แบ่งการพิจารณาออกเป็น 4 ลักษณะ
ลักษณะแรก ความสูงอายุทางลาดับเวลา (Chronological Aging) หมายถึง กระบวนการ
สมาชิกในกลุ่ม.....
1.นางสาว ณฐมณ ปัญจิตร เลขที่ 14
3
สูงอายุที่เกิดขึ้นนับตั้ง แต่มนุษย์ลืมตามาดูโลกจากการทบทวนวรรณกรรมในการกาหนดกฏเกณฑ์บุคคล
เข้าสู่การสูงอายุนั้น ซึ่งมีความแตกต่างกัน ในประเทศพัฒนาแล้วโดยกาหนดเมื่ออายุ 65 ปี และประเทศ
ที่กาลังพัฒนากาหนดเมื่ออายุ 60 ปี โดยประเทศไทยได้กาหนดอายุ 60 ปีตามพระราชบัญญัติของ
ผู้สูงอายุปี พ.ศ. 2546 สอดคล้องกับองค์การ
ลักษณะที่สอง ความสูงอายุทางกายภาพ (Biological Aging, Physiological Aging)
จากสภาพร่างกายและสรีระของบุคคลที่เปลี่ยนไปเมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้น คือ ประสิทธิภาพการทางานของ
อวัยวะต่างๆ ในร่างกายได้ลดน้อยถอยลงเป็นผลมาจากความเสื่อมโทรมตามกระบวนการสูงอายุซึ่ง
เป็นไปตามอายุขัยของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสมอง ซึ่งสาเหตุเกิดจากการขยายตัวของโพรง
ประสาทและทาให้เซลล์ประสาทต่างๆ ใน
ส่วนสมองเกิดการหดตัวลง ซึ่งส่งผลให้ผู้สูงอายุมีร่างกายที่เสื่อมถอยเกิดมีโรคแทรกซ้อน โดยโรคที่
สาคัญและมักพบในผู้สูงอายุมากคือโรคเกี่ยวกับความจา อันทาให้ผู้สูงอายุเริ่มมีความผิดปกติใน
เรื่องความจาในระยะสั้น ไม่มีปัญหาเรื่องความจาในอดีต เกิดลักษณะพฤติกรรมที่ขีลื้ม (Forgetfulness)
ในสิ่งที่พึ่งกระทาหากความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ยังคงเป็นปกติ
หากแต่ยังไม่มีผลต่อการดาเนินชีวิตประจาวันถือว่ายังเป็ นผู้สูงอายุที่ยังมีความปกติตามวัย
มากขึ้น และกระทบกับบุคคลรอบข้างรวมไปถึงการใช้ชีวิตประจาวันถือว่าผู้สูงอายุนั้นอาจมีอาการ
ของโรคความจาเสื่อม โดยเฉพาะโรคอัลไซเมอร์ (Alzeimer’s disease) ได้
ลักษณะที่สาม ความสูงอายุทางจิตวิทยา (Psychological Aging) เป็นการเปลี่ยนแปลง
ที่ได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย ซึ่งเกิดจากความบกพร่องในระบบประสาท
ด้านความรู้สึก การรับรู้ และด้านจิตใจ ได้แก่ ความสามารถในการจา การเรียนรู้และสติปัญญา
ชีวิตแต่ละคนเมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการลดกิจกรรมที่
เกี่ยวข้องต่างๆลง ขาดความมั่นใจในความสามารถและคุณค่าตนเอง โดยความสามารถในการช่วยเหลือ
ตนเองหรืออิสระต่างๆลดลงไปกว่าเดิม อาการซึมเศร้าจากการสูญเสียคู่ชีวิตหรือเพื่อนร่วมกลุ่ม ภาวะ
สูญเสียดังกล่าวหากเกิดขึ้น พร้อมๆ กัน หรือในระยะเวลาอันใกล้ก็ยิ่งทาให้ผู้สูงอายุมีความลาบาก
ที่จะเผชิญกับความเป็นจริงได้ โดยเฉพาะถ้าตนเองกาลังจะเข้าสู่ภาวะนั้น ที่เป็นผลมาจากการ
เปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่มีความเสื่อมถอยลง และการเปลี่ยนแปลงก่อให้เกิดความเครียดในชีวิต ซึ่ง
จะต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ถ้ามีการเตรียมตัวดีหรือสุขภาพจิตดี ก็สามารถ
ปรับตัวได้ แต่ถ้าชีวิตไม่มีการเตรียมตัวในด้านสุขภาพจิตไม่ดี ก็จะเกิดพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป
จากปกติบางครั้ง อาจรุนแรงถึงขั้น เจ็บป่วยได้
ลักษณะที่สี่ ความสูงอายุทางสังคมวิทยา (Sociological Aging) เป็นการเปลี่ยนแปลง
ในสถานภาพ หน้าที่ และบทบาทของบุคคลในระบบสังคม ความคาดหวังของสังคมต่อบุคคลนั้น ได้แก่
วิถีการดาเนินชีวิตที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนไปตามบทบาทหน้าที่ที่เป็นผลจากการ
4
ต้องออกจากงานทาให้สูญเสียตาแหน่งทางสังคม สูญเสียรายได้ประจา การลดความสัมพันธ์กับ
เพื่อนฝูงและสังคมลดลง การสูญเสียหรือพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก บทความจากการเป็นหัวหน้า
ครอบครัว เมื่อมีอายุที่เพิ่มขึ้น การถูกลดลงในสถานภาพ หน้าที่ บทบาทลง เป็นเพราะสภาพร่างกาย
จิตใจของผู้สูงอายุมีการเสื่อมถอยไปตามวัย และการเปลี่ยนแปลงด้านสังคมใน
ประชากรสูงอายุไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อย่างรวดเร็วและต่อเนื่องตลอดเวลา ซึ่งเกิดจาก
ความสาเร็จในการลดอัตราเกิดที่ลดลง ส่งผลให้สัดส่วนประชากรวัยเด็กลดลงอย่างมาก ใน
ขณะเดียวกันสัดส่วนประชากรสูงอายุหรือประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s Disease)
โรคอัลไซเมอร์เป็นภาวะสมองเสื่อมชนิดหนึ่ง เกิดจากสารอะเซติลโคลีน(Acetylcholine) ซึ่ง
เป็นสารสื่อประสาท (Neuro-Transmitter) ที่จะช่วยนาคาสั่งจากสมองไปยังอวัยวะเป้าหมายเพื่อให้เกิด
กระบวนการทางานของอวัยวะนั้น และมีความสาคัญเป็นอย่างมากต่อระบบความจาโดยมีการเสื่อมของ
เซลล์ประสาทในสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ซึ่งทาหน้าที่เกี่ยวกับความจา (Memory)
ร่วมกับการเรียนรู้ การคิด ที่ค่อยๆ ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทาให้เซลล์สมองถูกทาลายมากกว่าสมองของ
บุคคลทั่วไป การสั่งการของสมองเสื่อมลงเรื่อยๆ ส่งผลทาให้ความสามารถของบุคคลลดลง มีความ
บกพร่องด้านความจา การเรียนรู้ และเริ่มมีพฤติกรรมและบุคลิกภาพเปลี่ยนไปจนส่งผลกระทบต่อ
กิจกรรมในชีวิตประจาวัน โดยการเสื่อมของเซลล์สมองจะรุนแรงต่อเนื่อง ทาให้การทางานของสมอง
ลดลงและหายไปภายในระยะเวลา 5-6 ปีโรคอัลไซเมอร์กาลังเป็นโรคที่รุนแรงและเป็นสาเหตุการตายใน
ลาดับต้นๆ ของผู้สูงอายุในหลายประเทศเช่นในสหรัฐอเมริกา (Alzheimer’s Association, 2010)
อุบัติการณ์ของโรคอัลไซเมอร์ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกมีลักษณะที่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน โดยพบว่า
ประมาณร้อยละ 2-4ของผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี เป็นในผู้หญิงจะเป็นมากกว่าผู้ชายเป็นอัตราส่วน 3:1
จากรายงานการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกามีการคาดประมาณผู้ที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์จะมี
จานวนเพิ่มมากขึ้น โดยความชุกของโรคประมาณร้อยละ 0.5 ที่อายุ 65 ปี และมีการอาการปรากฏ
ให้เห็นภายหลังอายุ 60 ปี จะเพิ่มขึ้น แบบทวีคูณทุกช่วงเวลา 5 ปี จนถึงอายุ 80-90 ปี โดยช่วงอายุ
60-64 ปี พบร้อยละ 1-2 ช่วงอายุ 70-74 ปี พบร้อยละ 12 และช่วงอายุ 80-84 ปี พบร้อยละ
31 ของประชากรไทยในช่วงอายุ 85 ปีขึ้นไป สมาคมผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม; สถาบันระบบประสาท,
2551) ในผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่65 ปี ขึ้นไปจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคสมองเสื่อมสูงขึ้น ถึงร้อยละ 70
และเพิ่มสูงขึ้น ตามจานวนประชากรสูงอายุ ซึ่งถ้าเป็นโรคนีแ้ ล้วยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้น
การป้องกันและชะลอเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการเตรียมความพร้อม ซึ่ง มีผลต่อครอบครัวและสังคม
ส่วนรวม ทั้งในด้านสุขภาพ คุณภาพชีวิต
ตลอดจนการสูญเสียทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะค่ายาในการชะลออาการที่มีราคาค่อนข้างสูง
5
ซึ่งจากรายงานการศึกษาที่ผ่านมาใช้ให้เห็นว่า ราคาอยู่ประมาณวันละ 200-300 บาท หรือประมาณ
รายละเกือบหนึ่งหมื่นบาทต่อเดือน และในรายงานจากต่างประเทศได้มีการคานวณค่าใช้จ่ายในการดูแล
โรคนี้ต่อปีถึง 18,408 อเมริกันดอลลาร์ และเพิ่มเป็น 30,096จนถึง 36,132 อเมริกันดอลลาร์ ในกรณี
ผู้ป่วยที่มีความรุนแรงเล็กน้อย ปานกลาง และรุนแรงมากตามลาดับ จากการทบทวนรายงานการศึกษาที่
ผ่านมา พบว่า สาเหตุของโรคอัลไซเมอร์เกิดจากพันธุกรรมและปัจจัยเสี่ยงเป็นหลัก โดยในส่วนของ
พันธุกรรมนั้น นับว่าเป็นสาเหตุสาคัญของโรคนี้ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป จากรายงานการสารวจนี้บ่งชี้ว่า
โรคอัลไซเมอร์กาลังเป็นโรคที่รุนแรงและมีความเสี่ยงสูงต่อผู้สูงอายุ โดยพบว่า คู่แฝดที่เกิดจากไข่ใบ
เดียวกันถ้าคนหนึ่งเป็นโรคอีกคนหนึ่งจะมีโอกาสเป็นด้วยร้อยละ 43 ในขณะที่คู่แฝดจากไข่คนละใบจะมี
โอกาสเป็นโรคด้วยเพียงร้อยละ 8รวมไปถึงการมีบิดามารดาหรือพี่น้องคนใดคนหนึ่งเป็นโรค ผู้ป่วยจะมี
โอกาสเป็นโรคด้วย สูงกว่าที่พบในประชากรทั่วไป 4 เท่า และถ้าญาติสนิทเป็นโรค 2 คน โอกาสการเป็น
โรคจะเพิ่มขึ้น เป็น 8เท่า การตรวจพบยีนชนิด E4 Allele คือ ยีนที่เกิดจากกรรมพันธุ์ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยง
สาคัญที่ทาให้เป็นโรคอัลไซเมอร์กับบุคคลที่มีอายุน้อย (Early – onset Alzheimer) สาหรับในด้าน
ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคนี้ได้ง่าย เช่น การเป็นปัญญาอ่อนชนิดกลุ่มอาการดาวน์ การได้รับบาดเจ็บที่
ศีรษะการมีการศึกษาต่า การเป็นโรคหัวใจขาดเลือดในวัยสูงอายุ ผู้ที่เกิดจากมารดาอายุมากกว่า 40 ปี
และการได้รับสารอะลูมิเนียม เป็นลักษณะอาการของการดาเนินโรคอัลไซเมอร์จะเริ่มจาก ความจาเสีย
ซึ่งสังเกตได้จากการลืมชื่อบุคคลที่เคยรู้จัก มีอาการหลงลืมจากการวางของที่ใช้อยู่เป็นประจาแล้วหาไม่
พบ หรือการลืมว่าตัวเองกาลังจะทาอะไร การหมกมุ่นครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ในชีวิตที่ผ่านมา การมี
พฤติกรรมเฉื่อยชา การขาดการริเริ่มในการทางานต่างๆ และมักจะนั่งซึมเฉย ตลอดจนความสามารถใน
การ ปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมลดน้อยลง อีกทั้ง ความสามารถในการแก้ปัญหาเริ่มมีความบกพร่อง อาการ
เหล่านี้ทาให้เกิดมีปัญหาภายในครอบครัวและในที่ทางาน โดยในช่วงระยะเวลานี้ผู้ป่วยจะรู้ตัวว่า
ตนเองมีความจาที่เริ่มเสื่อมลงเนื่องจากทากิจวัตรประจาวันที่เคยทามาไม่ได้ และเริ่มมีอาการ
ซึมเศร้า ซึ่งจะส่งผลทาให้ระบบการทางานของสมองเสียมากขึ้น มีปัญหาในการใช้ภาษา โดยผู้ป่วย
จะไม่สามารถเรียกชื่อสิ่งของได้ถูกต้อง (Anomia) ความสามารถในการเข้าใจ เรียนรู้ การตัดสินใจ
ความคิดและการใช้เหตุผลที่แย่ลง รวมถึงการปรับตัวของผู้ป่วยลดลงอย่างมาก แม้ว่าก่อนหน้านี้
บุคคลผู้นั้น จะเคยเป็นบุคคลที่มีความสามารถมากเพียงใดก็ตาม เริ่มหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ไม่คุ้นเคย
เนื่องจากไม่สามารถจาเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้น ได้ เริ่มมีอาการสับสน ซึ่งอาจจะออกไปนอกบ้านโดยไม่
มีจุดหมายและหลงทางกลับบ้านไม่ถูก มีความผิดปกติทางพฤติกรรมและอารมณ์ เช่น หงุดหงิด
ก้าวร้าว ไม่สนใจดูแลสุขอนามัยของตัวเอง ไม่ปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ของสังคม หรือกระทาความผิด
ลงไปโดยขาดการควบคุมอารมณ์ มีอาการหูแว่วและภาพหลอน โดยที่ไม่ทราบว่าตนผิดปกติและ
ไม่ให้ความสนใจเกี่ยวกับความจาที่ได้เสื่อมลงอย่างมาก ในช่วงระยะสุดท้ายทั้ง เชาวน์ปัญญาและ
ระบบการทางานของสมองจะเสื่อมลงอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีอาการทางกายภาพในหลายๆ
6
ลักษณะ เช่น เป็นอัมพาต ชาตามแขนขา ชัก แขนขาแข็งเกร็ง มือสั่น รวมถึงมีปัญหาในการดูแล
ตนเอง เช่น เดินไม่ได้ กลั้นปัสสาวะไม่ได้ พูดไม่ได้ และอยู่ในสภาพซึ่งเรียกว่าการตอบสนองของ
การเคลื่อนไหว (Decorticate Posture) คือ แขนงอ ขาเหยียดและนอนตลอดเวลา โดยทั่วไป
อาการของผู้ป่วยจะทรุดลงช้าๆ และจะมีชีวิตอยู่ได้นานประมาณ 8-10 ปี จากอาการแทรกซ้อนคือ ปอด
บวม หรือติดเชื้อจากแผลกดทับ ซึ่งในระยะสุดท้ายนี้ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
สามารถประเมินและวินิจฉัยได้ว่าผู้สูงอายุรายใดเป็นโรคอัลไซเมอร์ซึ่งใช้ วิธีการตรวจสอบหลายวิธีในการ
ประเมินอาการผู้สูงอายุที่ป่วยเพื่อวินิจฉัยว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์ในระยะต่างๆ จากการซักประวัติ ตรวจ
ร่างกาย โดยเฉพาะการตรวจสภาพสมอง(Mental Stage Examination) และการตรวจระบบประสาท
ในห้องปฏิบัติการและเอ็กซเรย์สมอง
สรุปได้ว่า โรคอัลไซเมอร์เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ประสาทในสมองส่วนของการทา
หน้าที่ด้านความจา ร่วมกับการเรียนรู้ การคิด โดยมีความเสื่อมลดลงอย่างต่อเนื่อง และพบมาก
ในกลุ่มผู้สูงอายุ อีกทั้งยังไม่สามารถรักษาให้ หายได้ โดยโรคอัลไซเมอร์นัน้ เป็นภาวะ
สมองเสื่อมชนิดหนึ่งที่แตกต่างไปจากภาวะสมองเสื่อมชนิดอื่น
อาการแบ่งได้เป็น3ระยะ
 ระยะแรก (Mild Alzheimer’s disease) มีลักษณะการดาเนินโรค 1-3 ปี ผู้ป่วยมีอาการไม่
รุนแรง ปัญหาที่พบในระยะนีคื้อ เริ่มมีความจาบกพร่อง ความจาเริ่มหายไปโดยเฉพาะสิ่งที่พูดไป
แล้ว ทาให้ผู้ป่วยถามซ้า แล้วซ้า อีกกับคาถามเดิมๆ มีปัญหาในเรื่องการใช้ภาษา สับสนทิศทาง
บุคลิกภาพเปลี่ยนไป คือ เริ่มมีอาการซึมเศร้า หงุดหงิด บางครั้งอาจจะแสดงพฤติกรรม
กระสับกระส่ายเนื่องจากไม่สามารถสื่อสารบอกความต้องการของตนเองได้
 ระยะที่สอง (Moderate Alzheimers disease) มีลักษณะการดาเนินโรคนานขึ้น 2-10
ปี อาการที่แสดงก็เริ่มรุนแรงเพิ่มขึ้น การสูญเสียความสามารถต่างๆ เริ่มรุนแรง และการ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจะเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น คือ มีอาการหลงลืมถึงขั้น จาทางกลับบ้านไม่ได้
ความจาในอดีตเริ่มเสื่อม จาญาติห่างๆ ไม่ได้ พูดลาบากขึ้น หรือพูดคนละเรื่อง บกพร่องใน
ชีวิตประจาวันโดยเฉพาะเรื่องสุขภาพอนามัยส่วนบุคคล
 ระยะสุดท้าย (Severe Alzheimers disease) มีลักษณะการดาเนินของโรค 3-12 ปี
สภาพร่างกายและสติปัญญาจะเสื่อมถอยลงอย่างมาก คือ ความจาเสื่อมลงจนจาคนใกล้ตัวไม่ได้
จนในที่สุดไม่สามารถจาชื่อตนเองได้ว่าเป็นใคร ไม่สามารถดูแลตนเองได้ กลืนอาหารโดยไม่เคี้ยว
ไม่สามารถกาหนดหรือควบคุมระบบขับถ่ายได้ พูดซ้าๆ ตามที่ได้ยินบุคคลอื่นพูดเป็นคาๆ จนใน
ที่สุดไม่สามารถพูดได้ ผู้ป่วยจะมีอาการนอนติดเตียง แขนขาเกร็งงอ สุดท้ายอาจเกิดการเสียชีวิต
7
ปัจจัยเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์ มีปัจจัยที่ไม่อาจจะควบคุมได้หลายประการที่เพิ่มโอกาสการเกิดโรคอัลไซ
เมอร์ ปัจจัยที่สาคัญ มากที่สุด คืออายุในคนอายุ 80 ปี มีโอกาสเป็นโรคนี้สูงกว่าคนมีอายุ 65 – 69 ปี ถึง
10 เท่าในประเทศ สหรัฐอเมริกาและประเทศที่เจริญแล้ว ซึ่งประชากรมีอายุยาวนานขึ้นจึงทาให้พบ
ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์มาก ขึ้นด้วย ปัจจุบันในสหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์มากกว่า 4 ล้านคน
ภายในปี 2040 คาดว่าจะมี จานวนสูงขึ้นเป็น 7 – 10 ล้านคนอีกปัจจัยหนึ่งซึ่งสาคัญมากคือกรรมพันธุ์
จากการศึกษาพบว่าผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคอัลไซเมอร์มีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าคนทั่วไป
การตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ มีลักษณะอาการและพฤติกรรมที่เป็นรูปแบบเด่นชัดทาให้สามารถ
คาดเดาได้ว่าผู้ป่วยรายใดตกเป็นเหยื่อของโรคนี้ โดยดูจากลักษณะอาการและพฤติกรรมที่ เกิดขึ้น แพทย์
ผู้เชี่ยวชาญจะใช้วิธีการตรวจสอบหลายวิธีในการประเมินอาการของผู้ป่วยเพื่อวินิจฉัยว่า เป็นโรคอัลไซ
เมอร์ โดยการตรวจสอบความสามารถในการรับรู้ ของผู้ป่วย เช่น ความจา ความ ใส่ใจ การใช้ ภาษา
การตัดสินใจ และการแก้ปัญหา รวมถึงการทดสอบทางห้องปฏิบัติการ และการเอ็กซเรย์สมอง (BRAIN
SCAN) เพื่อให้การวินิจฉัยโรคถูกต้องมากขึ้น แพทย์จะถามถึงความสามารถของ ผู้ป่วยในการท า
กิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจาวัน เช่น การกิน การอาบน้า การเดิน การแต่งตัว การซื้อของการทาอาหาร
และการใช้โทรศัพท์เป็นต้น การวินิจฉัยโรคทางคลินิกด้วยวิธีดังกล่าวให้ความถูกต้องสูงถึง 80 – 90% ใน
การบ่งชี้ว่าผู้ป่วย เป็นโรคอัลไซเมอร์หรือไม่มีเพียงวิธีเดียวที่จะให้แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ก็คือการตรวจ
ชิ้นเนื้อสมอง
การรักษาโรคอัลไซเมอร์
การรักษาทั่วไปที่ไม่เกี่ยวกับการใช้ยาเป็นการรักษาที่มีความสาคัญอย่างยิ่งยวด เนื่องจากอัลไซ
เมอร์เป็นโรคที่รักษาให้หายขาดไม่ได้ ผู้ป่วยต้องการการดูแลที่ถูกต้องอย่างใกล้ชิด
 ระยะที่หนึ่ง การดูแลผู้ป่วยระยะนี้เริ่มตั้งแต่การให้เวลาผู้ป่วยในการตอบคาถามหรือการ
ตอบสนองกับสิ่งรอบข้าง เนื่องจากผู้ป่วยจะเชื่องช้าลงจากการทางานของสมองที่เสียไป ควรจะ
ช่วยให้ผู้ป่วยคลายความวิตกกังวลโดยบอกขั้นตอนทีละลาดับช้าๆ เพื่อให้ผู้ป่วยทาตามได้และ
ควรจัดให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนเป็นช่วงๆซึ่งจะทาให้ผู้ป่วยอารมณ์ดีขึ้น
 ระยะที่สอง การดูแลผู้ป่วยในระยะนี้ ควรดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดมากขึ้น โดยจัดกิจวัตรประจาวัน
ให้กับผู้ป่วยเพื่อจะได้ปรับตัวง่ายขึ้น บางครั้งควรทบทวนในสิ่งที่ผู้ป่วยพูดและเน้นสรุปในสิ่งที่
ผู้ป่วยต้องการจะสื่อเพื่อช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น การใช้ปฏิทินตัวใหญ่ๆ
การแขวนนาฬิกาให้ผู้ป่วยเห็นได้ง่าย นอกจากนี้ญาติและคนในครอบครัวของผู้ป่วยต้องช่วยกัน
สังเกตประเมินในเรื่องความสามารถในด้านต่างๆรวมทั้งสังเกตพฤติกรรมของผู้ป่วยโดยเทียบกับ
8
พฤติกรรมเดิมเพื่อให้ทราบความสามารถที่ลดลงในด้านต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้จัดกิจกรรมที่เหมาะสม
กับผู้ป่วยในช่วงนั้นๆได้
 ระยะที่สาม การดูแลผู้ป่วยระยะนี้จะต้องคานึงถึงความปลอดภัยเป็นสาคัญญาติต้องคอยดูและ
ปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับความสามารถของผู้ป่วยที่ถดถอยลง ในรายที่มีอาการโรคจิต
หูแว่ว จาเป็นต้องพบแพทย์และรับประทานยาเพื่อควบคุมพฤติกรรมที่เป็นปัญหา
 ระยะที่สี่ การดูแลผู้ป่วยจาเป็นต้องดูแลใกล้ชิดตลอดเวลา เนื่องจากผู้ป่วยไม่สามารถดูแลตนเอง
ได้เลย รวมถึงเรื่องกิจวัตรประจาวัน เช่น เรื่องการรับประทานอาหารซึ่งผู้ป่วยอาจเคี้ยวหรือกลืน
อาหารเองไม่ได้ การเตรียมอาหารที่บดหยาบและไม่เหลวจนเกินไปจะช่วยให้ผู้ป่วยรับประทานได้
ง่ายขึ้น พยายามป้อนน้าทีละน้อยแต่บ่อยเพื่อลดภาวการณ์ขาดน้าของผู้ป่วย นอกจากนี้การดูแล
เรื่องการขับถ่ายเป็นสิ่งสาคัญพยายามพาผู้ป่วยเข้าห้องน้าให้ถี่ขึ้นเพื่อลดการถ่ายเรี่ยราดรวมทั้ง
ดูแลเรื่องความสะอาดของร่างกายเพื่อป้องกันการติดเชื้อทางผิวหนังด้วย
การรักษาด้วยยา
การรักษาทั่วไป ได้แก่ การให้ยารักษาตามอาการอื่นที่ผู้ป่วยมี เช่น การใช้ยาควบคุมจิตใจให้สงบ
ควบคุมพฤติกรรมที่ก้าวร้าว เช่น ให้ยานอนหลับ ยาแก้อาการเกร็งในผู้ป่วยที่มีอาการพาร์กินสันร่วมด้วย
ใส่ท่อสายยางเข้าทางหลอดอาหารเพื่อให้ยาและอาหารสาหรับผู้ที่รับประทานเองไม่ได้
การรักษาด้วยยาเฉพาะของโรคอัลไซเมอร์ การใช้ยารักษาโรคอัลไซเมอร์มีการถกเถียงกันมาก เช่น ผลที่
จะได้มีมากน้อยแค่ไหน การเกิดผลข้างเคียงที่ค่อนข้างรุนแรงในผู้ป่วยบางราย ราคายาที่ค่อนข้างแพง
เป็นต้น
เนื่องจากผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์มีการขาดสาร Acetylcholine ในสมอง ดังนั้นจึงมีการใช้ยาบางอย่างเพื่อ
เพิ่มสาร Acetylcholine นี้ ที่ใช้กันอยู่ได้แก่ Aricept (Donepezil) Exelon (Rivastigmine) Reminyl
( Galantamine) เป็นยาที่มีผลข้างเคียงน้อยและช่วยลดอาการสมองเสื่อมได้ดีพอสมควรในผู้ป่วยที่มี
อาการในระยะที่ 1 และ 2 (คือมีอาการน้อยถึงปานกลาง) ยานี้ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการอาหาร
และยาของไทยให้ใช้ได้ ยาอีกกลุ่มหนึ่งที่สามารถลดสารอมีรอยด์ (Amyloid plague) ในสมองได้บ้าง
ได้แก่ Ebixa (Me-mantine)
9
วิธีป้องกัน “อัลไซเมอร์”
1.ควรงดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะส่งผลต่อสมอง
2.ควรระวังเรื่องการใช้ยา ไม่ควรรับประทานยาสุ่มสี่สุ่มห้า ควรให้แพทย์เป็นผู้สั่งยาทุกครั้งและควรนายา
ที่รับประทานเป็นประจาไปให้แพทย์ดูด้วยเพื่อหลีกเลี่ยงการสั่งยาซ้าซ้อน
3.ควรระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุที่ส่งผลกระทบกระเทือนศีรษะ
4.สาหรับผู้สูงอายุที่เดินลาบากควรมีคนดูแล เช่น เวลาเข้าห้องน้าควรมีคนไปเป็นเพื่อน เพราะอาจเกิด
การลื่นหกล้มหัวฟาดในห้องน้าได้
5.เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุควรหมั่นไปตรวจสุขภาพเป็นประจาทุกปี และไม่ควรลืมเจาะเลือดเพื่อตรวจหา
โรคเบาหวานและโรคไขมันในเลือดสูง
6.ตรวจเช็กความดันเลือดสม่าเสมอตามที่แพทย์นัด หากพบว่าเป็นความดันโลหิตสูงก็ต้องปฏิบัติตน
ตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพราะมีผลกระทบต่อภาวะสมองเสื่อมได้
7.ควรออกกาลังกายเป็นประจา ผู้สูงอายุไม่ควรหักโหมจนเกินไป เพราะอาจทาให้เกิดโทษได้
8.ควรหากิจกรรมที่ทาให้ผ่อนคลายความตึงเครียด เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูโทรทัศน์ หมั่นเข้าร่วม
กิจกรรมของชมรมผู้สูงอายุ และกิจกรรมบาเพ็ญประโยชน์ตามสมควร
9.เมื่อสังเกตว่าตนเองเริ่มมีอาการหลงๆ ลืมๆ มากผิดปกติ หรือมีอาการบ่งชี้อื่นๆ ที่น่าสงสัยก็ควรรีบไป
พบประสาทแพทย์ หรือแพทย์เวชศาสตร์ผู้สูงอายุทันที
10
วิธีดาเนินงาน
แนวทางการดาเนินงาน
ปรึกษาและเลือกหัวข้อโครงงาน
เสนอหัวข้อโครงงาน
ศึกษาข้อมูลจากการทาโครงงาน
เลือกสื่อในการทาโครงงาน
จัดทาโครงงานในโปรแกรม Microsoft Word
ทดสอบงาน
แก้ไขและเพิ่มเติมและปรับปรุงงาน
รายงานผลการดาเนินงาน
จัดทาเอกสาร
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้
1.คอมพิวเตอร์
2.โปรแกรม Microsoft Word
3.โปรแกรม Adobe Photoshop
4.อินเทอร์เน็ต
11
ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน
ลาดับ
ที่
ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ
1 2 3 4 5 6 7 8 9
1
0
1
1
12
1
3
1
4
1
5
16 17
1 คิดหัวข้อโครงงาน
2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล
3 จัดทาโครงร่างงาน
4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน
5 ปรับปรุงทดสอบ
6 การทาเอกสารรายงาน
7 ประเมินผลงาน
8 นาเสนอโครงงาน
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1.ได้รู้เท่าทันโรคอัลไซเมอร์
2.ได้รู้จักระวังตัวเองให้มากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นอัลไซเมอร์
3.ความรู้ที่ได้จะสามารถนาไปบอกต่อได้
สถานที่ดาเนินการ
1.ห้องคอมโรงเรียน
2.ห้องสมุดโรงเรียน
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษา
แหล่งอ้างอิง
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000124043
(วันที่สืบค้น 31 สิงหาคม 2560)

More Related Content

PDF
2560 project 2
PDF
PDF
Rabies
PDF
Tuangtham Sura M.6/9 No.37
DOC
โรคติดต่อทางเพสสัมพันธุ์
PDF
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
PDF
2562 final-project 22
PDF
9 9-1-อาเซียนมัลติมีเดีย
2560 project 2
Rabies
Tuangtham Sura M.6/9 No.37
โรคติดต่อทางเพสสัมพันธุ์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
2562 final-project 22
9 9-1-อาเซียนมัลติมีเดีย

What's hot (11)

PDF
9 9-2-ebook-อาเซียน
PDF
โครงร่างบีม
PDF
โครงงาน สมุนไพรลดความอ้วน
PDF
แมวบำบัดซึมเศร้า
PDF
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
PDF
DOC
2562 final-project 39
PDF
ใบงานที่5 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
DOCX
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
PDF
Project 05
PDF
Korean war
9 9-2-ebook-อาเซียน
โครงร่างบีม
โครงงาน สมุนไพรลดความอ้วน
แมวบำบัดซึมเศร้า
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
2562 final-project 39
ใบงานที่5 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
Project 05
Korean war
Ad

Similar to 2560 project (1) (20)

PDF
2562 final-project
PDF
2562 final-project 35-savanee_
PDF
ภาคิน
PPTX
โรคอัลไซเมอร์
PPTX
โรคอัลไซเมอร์
PPTX
โรคอัลไซเมอร์
PDF
Work1.1
DOCX
PDF
2562 final-project 0710
PDF
N sdis 143_60_1
PDF
โรคอัลไซเมอร์
PDF
โครงงานคอมพิวเตอร์ กิจกรรมที่ 5 โรคอัลไซเมอร์
PDF
โครงงานคอมพิวเตอร์ กิจกรรมที่ 5 โรคอัลไซเมอร์
PDF
โครงงานคอมพิวเตอร์ กิจกรรมที่ 5 โรคอัลไซเมอร์
PDF
PDF
N sdis 126_60_5
PDF
โครงงานคอมพิวเตอร์ กิจกรรมที่ 5 โรคอัลไซเมอร์
PDF
N sdis 144_60_1
PDF
N sdis 78_60_1
PDF
P pcom
2562 final-project
2562 final-project 35-savanee_
ภาคิน
โรคอัลไซเมอร์
โรคอัลไซเมอร์
โรคอัลไซเมอร์
Work1.1
2562 final-project 0710
N sdis 143_60_1
โรคอัลไซเมอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์ กิจกรรมที่ 5 โรคอัลไซเมอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์ กิจกรรมที่ 5 โรคอัลไซเมอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์ กิจกรรมที่ 5 โรคอัลไซเมอร์
N sdis 126_60_5
โครงงานคอมพิวเตอร์ กิจกรรมที่ 5 โรคอัลไซเมอร์
N sdis 144_60_1
N sdis 78_60_1
P pcom
Ad

More from Dduang07 (6)

PDF
โรค Phobia
PDF
แบบโครงร่าง โรคเบาหวาน
PDF
งานคอม22
PDF
งานคอม
PDF
2560 project
PDF
โครงร่าง งานคอม 2560
โรค Phobia
แบบโครงร่าง โรคเบาหวาน
งานคอม22
งานคอม
2560 project
โครงร่าง งานคอม 2560

2560 project (1)

  • 1. 1 แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ รหัสวิชา ง33201-33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6 ปีการศึกษา 2560 ชื่อโครงงาน ผลของการนอนดึก ชื่อผู้ทาโครงงาน 1.นางสาว ณฐมณ ปัญจิตร เลขที่ ชั้น ม.6 ห้อง 13 ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์ ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
  • 2. 2 ใบงาน การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์ ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย) อัลไซเมอร์ ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ) Alzheimer ประเภทโครงงาน พัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาว ณฐมณ ปัญจิตร ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์ ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1 ที่มาและความสาคัญของโครงงาน ในปัจจุบันโลกของเราก็มีเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ประชากรก็เพิ่มคนเรื่อยๆเช่นกัน เด็กๆก็เพิ่มขึ้น ผู้สูงอายุก็อายุอยู่ นานขึ้นเช่นกัน และโรคอัลไซเมอร์ก็จะเกิดกับผู้สูงอายุ เราเลยต้องการศึกษาในเรื่องโรคอัลไซเมอร์ ให้เข้าใจว่ามัน เป็นมาจากสาเหตุใด รักษาได้ไหม ดูแล ป้องกันได้อย่างไรบ้าง วัตถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษาความรู้เกี่ยวกับโรคอัลไมอร์ 2.เพื่อศึกษาวิธีการดูแลรักษา ขอบเขตโครงงาน 1.สามรถนาเสนอแก่คนทั่วไป ใช้งานได้ง่าย 2.มีเนื้อหาน่าอ่าน เข้าใจง่าย หลักการและทฤษฎี นักวิชาการทั้งในและต่างประเทศได้พิจารณาเกณฑ์ในการกาหนดความสูงอายุของ บุคคล ซึ่งโดยทั่วไปได้แบ่งการพิจารณาออกเป็น 4 ลักษณะ ลักษณะแรก ความสูงอายุทางลาดับเวลา (Chronological Aging) หมายถึง กระบวนการ สมาชิกในกลุ่ม..... 1.นางสาว ณฐมณ ปัญจิตร เลขที่ 14
  • 3. 3 สูงอายุที่เกิดขึ้นนับตั้ง แต่มนุษย์ลืมตามาดูโลกจากการทบทวนวรรณกรรมในการกาหนดกฏเกณฑ์บุคคล เข้าสู่การสูงอายุนั้น ซึ่งมีความแตกต่างกัน ในประเทศพัฒนาแล้วโดยกาหนดเมื่ออายุ 65 ปี และประเทศ ที่กาลังพัฒนากาหนดเมื่ออายุ 60 ปี โดยประเทศไทยได้กาหนดอายุ 60 ปีตามพระราชบัญญัติของ ผู้สูงอายุปี พ.ศ. 2546 สอดคล้องกับองค์การ ลักษณะที่สอง ความสูงอายุทางกายภาพ (Biological Aging, Physiological Aging) จากสภาพร่างกายและสรีระของบุคคลที่เปลี่ยนไปเมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้น คือ ประสิทธิภาพการทางานของ อวัยวะต่างๆ ในร่างกายได้ลดน้อยถอยลงเป็นผลมาจากความเสื่อมโทรมตามกระบวนการสูงอายุซึ่ง เป็นไปตามอายุขัยของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสมอง ซึ่งสาเหตุเกิดจากการขยายตัวของโพรง ประสาทและทาให้เซลล์ประสาทต่างๆ ใน ส่วนสมองเกิดการหดตัวลง ซึ่งส่งผลให้ผู้สูงอายุมีร่างกายที่เสื่อมถอยเกิดมีโรคแทรกซ้อน โดยโรคที่ สาคัญและมักพบในผู้สูงอายุมากคือโรคเกี่ยวกับความจา อันทาให้ผู้สูงอายุเริ่มมีความผิดปกติใน เรื่องความจาในระยะสั้น ไม่มีปัญหาเรื่องความจาในอดีต เกิดลักษณะพฤติกรรมที่ขีลื้ม (Forgetfulness) ในสิ่งที่พึ่งกระทาหากความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ยังคงเป็นปกติ หากแต่ยังไม่มีผลต่อการดาเนินชีวิตประจาวันถือว่ายังเป็ นผู้สูงอายุที่ยังมีความปกติตามวัย มากขึ้น และกระทบกับบุคคลรอบข้างรวมไปถึงการใช้ชีวิตประจาวันถือว่าผู้สูงอายุนั้นอาจมีอาการ ของโรคความจาเสื่อม โดยเฉพาะโรคอัลไซเมอร์ (Alzeimer’s disease) ได้ ลักษณะที่สาม ความสูงอายุทางจิตวิทยา (Psychological Aging) เป็นการเปลี่ยนแปลง ที่ได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย ซึ่งเกิดจากความบกพร่องในระบบประสาท ด้านความรู้สึก การรับรู้ และด้านจิตใจ ได้แก่ ความสามารถในการจา การเรียนรู้และสติปัญญา ชีวิตแต่ละคนเมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการลดกิจกรรมที่ เกี่ยวข้องต่างๆลง ขาดความมั่นใจในความสามารถและคุณค่าตนเอง โดยความสามารถในการช่วยเหลือ ตนเองหรืออิสระต่างๆลดลงไปกว่าเดิม อาการซึมเศร้าจากการสูญเสียคู่ชีวิตหรือเพื่อนร่วมกลุ่ม ภาวะ สูญเสียดังกล่าวหากเกิดขึ้น พร้อมๆ กัน หรือในระยะเวลาอันใกล้ก็ยิ่งทาให้ผู้สูงอายุมีความลาบาก ที่จะเผชิญกับความเป็นจริงได้ โดยเฉพาะถ้าตนเองกาลังจะเข้าสู่ภาวะนั้น ที่เป็นผลมาจากการ เปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่มีความเสื่อมถอยลง และการเปลี่ยนแปลงก่อให้เกิดความเครียดในชีวิต ซึ่ง จะต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ถ้ามีการเตรียมตัวดีหรือสุขภาพจิตดี ก็สามารถ ปรับตัวได้ แต่ถ้าชีวิตไม่มีการเตรียมตัวในด้านสุขภาพจิตไม่ดี ก็จะเกิดพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป จากปกติบางครั้ง อาจรุนแรงถึงขั้น เจ็บป่วยได้ ลักษณะที่สี่ ความสูงอายุทางสังคมวิทยา (Sociological Aging) เป็นการเปลี่ยนแปลง ในสถานภาพ หน้าที่ และบทบาทของบุคคลในระบบสังคม ความคาดหวังของสังคมต่อบุคคลนั้น ได้แก่ วิถีการดาเนินชีวิตที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนไปตามบทบาทหน้าที่ที่เป็นผลจากการ
  • 4. 4 ต้องออกจากงานทาให้สูญเสียตาแหน่งทางสังคม สูญเสียรายได้ประจา การลดความสัมพันธ์กับ เพื่อนฝูงและสังคมลดลง การสูญเสียหรือพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก บทความจากการเป็นหัวหน้า ครอบครัว เมื่อมีอายุที่เพิ่มขึ้น การถูกลดลงในสถานภาพ หน้าที่ บทบาทลง เป็นเพราะสภาพร่างกาย จิตใจของผู้สูงอายุมีการเสื่อมถอยไปตามวัย และการเปลี่ยนแปลงด้านสังคมใน ประชากรสูงอายุไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อย่างรวดเร็วและต่อเนื่องตลอดเวลา ซึ่งเกิดจาก ความสาเร็จในการลดอัตราเกิดที่ลดลง ส่งผลให้สัดส่วนประชากรวัยเด็กลดลงอย่างมาก ใน ขณะเดียวกันสัดส่วนประชากรสูงอายุหรือประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s Disease) โรคอัลไซเมอร์เป็นภาวะสมองเสื่อมชนิดหนึ่ง เกิดจากสารอะเซติลโคลีน(Acetylcholine) ซึ่ง เป็นสารสื่อประสาท (Neuro-Transmitter) ที่จะช่วยนาคาสั่งจากสมองไปยังอวัยวะเป้าหมายเพื่อให้เกิด กระบวนการทางานของอวัยวะนั้น และมีความสาคัญเป็นอย่างมากต่อระบบความจาโดยมีการเสื่อมของ เซลล์ประสาทในสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ซึ่งทาหน้าที่เกี่ยวกับความจา (Memory) ร่วมกับการเรียนรู้ การคิด ที่ค่อยๆ ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทาให้เซลล์สมองถูกทาลายมากกว่าสมองของ บุคคลทั่วไป การสั่งการของสมองเสื่อมลงเรื่อยๆ ส่งผลทาให้ความสามารถของบุคคลลดลง มีความ บกพร่องด้านความจา การเรียนรู้ และเริ่มมีพฤติกรรมและบุคลิกภาพเปลี่ยนไปจนส่งผลกระทบต่อ กิจกรรมในชีวิตประจาวัน โดยการเสื่อมของเซลล์สมองจะรุนแรงต่อเนื่อง ทาให้การทางานของสมอง ลดลงและหายไปภายในระยะเวลา 5-6 ปีโรคอัลไซเมอร์กาลังเป็นโรคที่รุนแรงและเป็นสาเหตุการตายใน ลาดับต้นๆ ของผู้สูงอายุในหลายประเทศเช่นในสหรัฐอเมริกา (Alzheimer’s Association, 2010) อุบัติการณ์ของโรคอัลไซเมอร์ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกมีลักษณะที่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน โดยพบว่า ประมาณร้อยละ 2-4ของผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี เป็นในผู้หญิงจะเป็นมากกว่าผู้ชายเป็นอัตราส่วน 3:1 จากรายงานการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกามีการคาดประมาณผู้ที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์จะมี จานวนเพิ่มมากขึ้น โดยความชุกของโรคประมาณร้อยละ 0.5 ที่อายุ 65 ปี และมีการอาการปรากฏ ให้เห็นภายหลังอายุ 60 ปี จะเพิ่มขึ้น แบบทวีคูณทุกช่วงเวลา 5 ปี จนถึงอายุ 80-90 ปี โดยช่วงอายุ 60-64 ปี พบร้อยละ 1-2 ช่วงอายุ 70-74 ปี พบร้อยละ 12 และช่วงอายุ 80-84 ปี พบร้อยละ 31 ของประชากรไทยในช่วงอายุ 85 ปีขึ้นไป สมาคมผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม; สถาบันระบบประสาท, 2551) ในผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่65 ปี ขึ้นไปจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคสมองเสื่อมสูงขึ้น ถึงร้อยละ 70 และเพิ่มสูงขึ้น ตามจานวนประชากรสูงอายุ ซึ่งถ้าเป็นโรคนีแ้ ล้วยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้น การป้องกันและชะลอเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการเตรียมความพร้อม ซึ่ง มีผลต่อครอบครัวและสังคม ส่วนรวม ทั้งในด้านสุขภาพ คุณภาพชีวิต ตลอดจนการสูญเสียทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะค่ายาในการชะลออาการที่มีราคาค่อนข้างสูง
  • 5. 5 ซึ่งจากรายงานการศึกษาที่ผ่านมาใช้ให้เห็นว่า ราคาอยู่ประมาณวันละ 200-300 บาท หรือประมาณ รายละเกือบหนึ่งหมื่นบาทต่อเดือน และในรายงานจากต่างประเทศได้มีการคานวณค่าใช้จ่ายในการดูแล โรคนี้ต่อปีถึง 18,408 อเมริกันดอลลาร์ และเพิ่มเป็น 30,096จนถึง 36,132 อเมริกันดอลลาร์ ในกรณี ผู้ป่วยที่มีความรุนแรงเล็กน้อย ปานกลาง และรุนแรงมากตามลาดับ จากการทบทวนรายงานการศึกษาที่ ผ่านมา พบว่า สาเหตุของโรคอัลไซเมอร์เกิดจากพันธุกรรมและปัจจัยเสี่ยงเป็นหลัก โดยในส่วนของ พันธุกรรมนั้น นับว่าเป็นสาเหตุสาคัญของโรคนี้ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป จากรายงานการสารวจนี้บ่งชี้ว่า โรคอัลไซเมอร์กาลังเป็นโรคที่รุนแรงและมีความเสี่ยงสูงต่อผู้สูงอายุ โดยพบว่า คู่แฝดที่เกิดจากไข่ใบ เดียวกันถ้าคนหนึ่งเป็นโรคอีกคนหนึ่งจะมีโอกาสเป็นด้วยร้อยละ 43 ในขณะที่คู่แฝดจากไข่คนละใบจะมี โอกาสเป็นโรคด้วยเพียงร้อยละ 8รวมไปถึงการมีบิดามารดาหรือพี่น้องคนใดคนหนึ่งเป็นโรค ผู้ป่วยจะมี โอกาสเป็นโรคด้วย สูงกว่าที่พบในประชากรทั่วไป 4 เท่า และถ้าญาติสนิทเป็นโรค 2 คน โอกาสการเป็น โรคจะเพิ่มขึ้น เป็น 8เท่า การตรวจพบยีนชนิด E4 Allele คือ ยีนที่เกิดจากกรรมพันธุ์ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยง สาคัญที่ทาให้เป็นโรคอัลไซเมอร์กับบุคคลที่มีอายุน้อย (Early – onset Alzheimer) สาหรับในด้าน ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคนี้ได้ง่าย เช่น การเป็นปัญญาอ่อนชนิดกลุ่มอาการดาวน์ การได้รับบาดเจ็บที่ ศีรษะการมีการศึกษาต่า การเป็นโรคหัวใจขาดเลือดในวัยสูงอายุ ผู้ที่เกิดจากมารดาอายุมากกว่า 40 ปี และการได้รับสารอะลูมิเนียม เป็นลักษณะอาการของการดาเนินโรคอัลไซเมอร์จะเริ่มจาก ความจาเสีย ซึ่งสังเกตได้จากการลืมชื่อบุคคลที่เคยรู้จัก มีอาการหลงลืมจากการวางของที่ใช้อยู่เป็นประจาแล้วหาไม่ พบ หรือการลืมว่าตัวเองกาลังจะทาอะไร การหมกมุ่นครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ในชีวิตที่ผ่านมา การมี พฤติกรรมเฉื่อยชา การขาดการริเริ่มในการทางานต่างๆ และมักจะนั่งซึมเฉย ตลอดจนความสามารถใน การ ปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมลดน้อยลง อีกทั้ง ความสามารถในการแก้ปัญหาเริ่มมีความบกพร่อง อาการ เหล่านี้ทาให้เกิดมีปัญหาภายในครอบครัวและในที่ทางาน โดยในช่วงระยะเวลานี้ผู้ป่วยจะรู้ตัวว่า ตนเองมีความจาที่เริ่มเสื่อมลงเนื่องจากทากิจวัตรประจาวันที่เคยทามาไม่ได้ และเริ่มมีอาการ ซึมเศร้า ซึ่งจะส่งผลทาให้ระบบการทางานของสมองเสียมากขึ้น มีปัญหาในการใช้ภาษา โดยผู้ป่วย จะไม่สามารถเรียกชื่อสิ่งของได้ถูกต้อง (Anomia) ความสามารถในการเข้าใจ เรียนรู้ การตัดสินใจ ความคิดและการใช้เหตุผลที่แย่ลง รวมถึงการปรับตัวของผู้ป่วยลดลงอย่างมาก แม้ว่าก่อนหน้านี้ บุคคลผู้นั้น จะเคยเป็นบุคคลที่มีความสามารถมากเพียงใดก็ตาม เริ่มหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ไม่คุ้นเคย เนื่องจากไม่สามารถจาเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้น ได้ เริ่มมีอาการสับสน ซึ่งอาจจะออกไปนอกบ้านโดยไม่ มีจุดหมายและหลงทางกลับบ้านไม่ถูก มีความผิดปกติทางพฤติกรรมและอารมณ์ เช่น หงุดหงิด ก้าวร้าว ไม่สนใจดูแลสุขอนามัยของตัวเอง ไม่ปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ของสังคม หรือกระทาความผิด ลงไปโดยขาดการควบคุมอารมณ์ มีอาการหูแว่วและภาพหลอน โดยที่ไม่ทราบว่าตนผิดปกติและ ไม่ให้ความสนใจเกี่ยวกับความจาที่ได้เสื่อมลงอย่างมาก ในช่วงระยะสุดท้ายทั้ง เชาวน์ปัญญาและ ระบบการทางานของสมองจะเสื่อมลงอย่างมาก ผู้ป่วยจะมีอาการทางกายภาพในหลายๆ
  • 6. 6 ลักษณะ เช่น เป็นอัมพาต ชาตามแขนขา ชัก แขนขาแข็งเกร็ง มือสั่น รวมถึงมีปัญหาในการดูแล ตนเอง เช่น เดินไม่ได้ กลั้นปัสสาวะไม่ได้ พูดไม่ได้ และอยู่ในสภาพซึ่งเรียกว่าการตอบสนองของ การเคลื่อนไหว (Decorticate Posture) คือ แขนงอ ขาเหยียดและนอนตลอดเวลา โดยทั่วไป อาการของผู้ป่วยจะทรุดลงช้าๆ และจะมีชีวิตอยู่ได้นานประมาณ 8-10 ปี จากอาการแทรกซ้อนคือ ปอด บวม หรือติดเชื้อจากแผลกดทับ ซึ่งในระยะสุดท้ายนี้ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สามารถประเมินและวินิจฉัยได้ว่าผู้สูงอายุรายใดเป็นโรคอัลไซเมอร์ซึ่งใช้ วิธีการตรวจสอบหลายวิธีในการ ประเมินอาการผู้สูงอายุที่ป่วยเพื่อวินิจฉัยว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์ในระยะต่างๆ จากการซักประวัติ ตรวจ ร่างกาย โดยเฉพาะการตรวจสภาพสมอง(Mental Stage Examination) และการตรวจระบบประสาท ในห้องปฏิบัติการและเอ็กซเรย์สมอง สรุปได้ว่า โรคอัลไซเมอร์เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ประสาทในสมองส่วนของการทา หน้าที่ด้านความจา ร่วมกับการเรียนรู้ การคิด โดยมีความเสื่อมลดลงอย่างต่อเนื่อง และพบมาก ในกลุ่มผู้สูงอายุ อีกทั้งยังไม่สามารถรักษาให้ หายได้ โดยโรคอัลไซเมอร์นัน้ เป็นภาวะ สมองเสื่อมชนิดหนึ่งที่แตกต่างไปจากภาวะสมองเสื่อมชนิดอื่น อาการแบ่งได้เป็น3ระยะ  ระยะแรก (Mild Alzheimer’s disease) มีลักษณะการดาเนินโรค 1-3 ปี ผู้ป่วยมีอาการไม่ รุนแรง ปัญหาที่พบในระยะนีคื้อ เริ่มมีความจาบกพร่อง ความจาเริ่มหายไปโดยเฉพาะสิ่งที่พูดไป แล้ว ทาให้ผู้ป่วยถามซ้า แล้วซ้า อีกกับคาถามเดิมๆ มีปัญหาในเรื่องการใช้ภาษา สับสนทิศทาง บุคลิกภาพเปลี่ยนไป คือ เริ่มมีอาการซึมเศร้า หงุดหงิด บางครั้งอาจจะแสดงพฤติกรรม กระสับกระส่ายเนื่องจากไม่สามารถสื่อสารบอกความต้องการของตนเองได้  ระยะที่สอง (Moderate Alzheimers disease) มีลักษณะการดาเนินโรคนานขึ้น 2-10 ปี อาการที่แสดงก็เริ่มรุนแรงเพิ่มขึ้น การสูญเสียความสามารถต่างๆ เริ่มรุนแรง และการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจะเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น คือ มีอาการหลงลืมถึงขั้น จาทางกลับบ้านไม่ได้ ความจาในอดีตเริ่มเสื่อม จาญาติห่างๆ ไม่ได้ พูดลาบากขึ้น หรือพูดคนละเรื่อง บกพร่องใน ชีวิตประจาวันโดยเฉพาะเรื่องสุขภาพอนามัยส่วนบุคคล  ระยะสุดท้าย (Severe Alzheimers disease) มีลักษณะการดาเนินของโรค 3-12 ปี สภาพร่างกายและสติปัญญาจะเสื่อมถอยลงอย่างมาก คือ ความจาเสื่อมลงจนจาคนใกล้ตัวไม่ได้ จนในที่สุดไม่สามารถจาชื่อตนเองได้ว่าเป็นใคร ไม่สามารถดูแลตนเองได้ กลืนอาหารโดยไม่เคี้ยว ไม่สามารถกาหนดหรือควบคุมระบบขับถ่ายได้ พูดซ้าๆ ตามที่ได้ยินบุคคลอื่นพูดเป็นคาๆ จนใน ที่สุดไม่สามารถพูดได้ ผู้ป่วยจะมีอาการนอนติดเตียง แขนขาเกร็งงอ สุดท้ายอาจเกิดการเสียชีวิต
  • 7. 7 ปัจจัยเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์ มีปัจจัยที่ไม่อาจจะควบคุมได้หลายประการที่เพิ่มโอกาสการเกิดโรคอัลไซ เมอร์ ปัจจัยที่สาคัญ มากที่สุด คืออายุในคนอายุ 80 ปี มีโอกาสเป็นโรคนี้สูงกว่าคนมีอายุ 65 – 69 ปี ถึง 10 เท่าในประเทศ สหรัฐอเมริกาและประเทศที่เจริญแล้ว ซึ่งประชากรมีอายุยาวนานขึ้นจึงทาให้พบ ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์มาก ขึ้นด้วย ปัจจุบันในสหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์มากกว่า 4 ล้านคน ภายในปี 2040 คาดว่าจะมี จานวนสูงขึ้นเป็น 7 – 10 ล้านคนอีกปัจจัยหนึ่งซึ่งสาคัญมากคือกรรมพันธุ์ จากการศึกษาพบว่าผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคอัลไซเมอร์มีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าคนทั่วไป การตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ มีลักษณะอาการและพฤติกรรมที่เป็นรูปแบบเด่นชัดทาให้สามารถ คาดเดาได้ว่าผู้ป่วยรายใดตกเป็นเหยื่อของโรคนี้ โดยดูจากลักษณะอาการและพฤติกรรมที่ เกิดขึ้น แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญจะใช้วิธีการตรวจสอบหลายวิธีในการประเมินอาการของผู้ป่วยเพื่อวินิจฉัยว่า เป็นโรคอัลไซ เมอร์ โดยการตรวจสอบความสามารถในการรับรู้ ของผู้ป่วย เช่น ความจา ความ ใส่ใจ การใช้ ภาษา การตัดสินใจ และการแก้ปัญหา รวมถึงการทดสอบทางห้องปฏิบัติการ และการเอ็กซเรย์สมอง (BRAIN SCAN) เพื่อให้การวินิจฉัยโรคถูกต้องมากขึ้น แพทย์จะถามถึงความสามารถของ ผู้ป่วยในการท า กิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจาวัน เช่น การกิน การอาบน้า การเดิน การแต่งตัว การซื้อของการทาอาหาร และการใช้โทรศัพท์เป็นต้น การวินิจฉัยโรคทางคลินิกด้วยวิธีดังกล่าวให้ความถูกต้องสูงถึง 80 – 90% ใน การบ่งชี้ว่าผู้ป่วย เป็นโรคอัลไซเมอร์หรือไม่มีเพียงวิธีเดียวที่จะให้แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ก็คือการตรวจ ชิ้นเนื้อสมอง การรักษาโรคอัลไซเมอร์ การรักษาทั่วไปที่ไม่เกี่ยวกับการใช้ยาเป็นการรักษาที่มีความสาคัญอย่างยิ่งยวด เนื่องจากอัลไซ เมอร์เป็นโรคที่รักษาให้หายขาดไม่ได้ ผู้ป่วยต้องการการดูแลที่ถูกต้องอย่างใกล้ชิด  ระยะที่หนึ่ง การดูแลผู้ป่วยระยะนี้เริ่มตั้งแต่การให้เวลาผู้ป่วยในการตอบคาถามหรือการ ตอบสนองกับสิ่งรอบข้าง เนื่องจากผู้ป่วยจะเชื่องช้าลงจากการทางานของสมองที่เสียไป ควรจะ ช่วยให้ผู้ป่วยคลายความวิตกกังวลโดยบอกขั้นตอนทีละลาดับช้าๆ เพื่อให้ผู้ป่วยทาตามได้และ ควรจัดให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนเป็นช่วงๆซึ่งจะทาให้ผู้ป่วยอารมณ์ดีขึ้น  ระยะที่สอง การดูแลผู้ป่วยในระยะนี้ ควรดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดมากขึ้น โดยจัดกิจวัตรประจาวัน ให้กับผู้ป่วยเพื่อจะได้ปรับตัวง่ายขึ้น บางครั้งควรทบทวนในสิ่งที่ผู้ป่วยพูดและเน้นสรุปในสิ่งที่ ผู้ป่วยต้องการจะสื่อเพื่อช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น การใช้ปฏิทินตัวใหญ่ๆ การแขวนนาฬิกาให้ผู้ป่วยเห็นได้ง่าย นอกจากนี้ญาติและคนในครอบครัวของผู้ป่วยต้องช่วยกัน สังเกตประเมินในเรื่องความสามารถในด้านต่างๆรวมทั้งสังเกตพฤติกรรมของผู้ป่วยโดยเทียบกับ
  • 8. 8 พฤติกรรมเดิมเพื่อให้ทราบความสามารถที่ลดลงในด้านต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้จัดกิจกรรมที่เหมาะสม กับผู้ป่วยในช่วงนั้นๆได้  ระยะที่สาม การดูแลผู้ป่วยระยะนี้จะต้องคานึงถึงความปลอดภัยเป็นสาคัญญาติต้องคอยดูและ ปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับความสามารถของผู้ป่วยที่ถดถอยลง ในรายที่มีอาการโรคจิต หูแว่ว จาเป็นต้องพบแพทย์และรับประทานยาเพื่อควบคุมพฤติกรรมที่เป็นปัญหา  ระยะที่สี่ การดูแลผู้ป่วยจาเป็นต้องดูแลใกล้ชิดตลอดเวลา เนื่องจากผู้ป่วยไม่สามารถดูแลตนเอง ได้เลย รวมถึงเรื่องกิจวัตรประจาวัน เช่น เรื่องการรับประทานอาหารซึ่งผู้ป่วยอาจเคี้ยวหรือกลืน อาหารเองไม่ได้ การเตรียมอาหารที่บดหยาบและไม่เหลวจนเกินไปจะช่วยให้ผู้ป่วยรับประทานได้ ง่ายขึ้น พยายามป้อนน้าทีละน้อยแต่บ่อยเพื่อลดภาวการณ์ขาดน้าของผู้ป่วย นอกจากนี้การดูแล เรื่องการขับถ่ายเป็นสิ่งสาคัญพยายามพาผู้ป่วยเข้าห้องน้าให้ถี่ขึ้นเพื่อลดการถ่ายเรี่ยราดรวมทั้ง ดูแลเรื่องความสะอาดของร่างกายเพื่อป้องกันการติดเชื้อทางผิวหนังด้วย การรักษาด้วยยา การรักษาทั่วไป ได้แก่ การให้ยารักษาตามอาการอื่นที่ผู้ป่วยมี เช่น การใช้ยาควบคุมจิตใจให้สงบ ควบคุมพฤติกรรมที่ก้าวร้าว เช่น ให้ยานอนหลับ ยาแก้อาการเกร็งในผู้ป่วยที่มีอาการพาร์กินสันร่วมด้วย ใส่ท่อสายยางเข้าทางหลอดอาหารเพื่อให้ยาและอาหารสาหรับผู้ที่รับประทานเองไม่ได้ การรักษาด้วยยาเฉพาะของโรคอัลไซเมอร์ การใช้ยารักษาโรคอัลไซเมอร์มีการถกเถียงกันมาก เช่น ผลที่ จะได้มีมากน้อยแค่ไหน การเกิดผลข้างเคียงที่ค่อนข้างรุนแรงในผู้ป่วยบางราย ราคายาที่ค่อนข้างแพง เป็นต้น เนื่องจากผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์มีการขาดสาร Acetylcholine ในสมอง ดังนั้นจึงมีการใช้ยาบางอย่างเพื่อ เพิ่มสาร Acetylcholine นี้ ที่ใช้กันอยู่ได้แก่ Aricept (Donepezil) Exelon (Rivastigmine) Reminyl ( Galantamine) เป็นยาที่มีผลข้างเคียงน้อยและช่วยลดอาการสมองเสื่อมได้ดีพอสมควรในผู้ป่วยที่มี อาการในระยะที่ 1 และ 2 (คือมีอาการน้อยถึงปานกลาง) ยานี้ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการอาหาร และยาของไทยให้ใช้ได้ ยาอีกกลุ่มหนึ่งที่สามารถลดสารอมีรอยด์ (Amyloid plague) ในสมองได้บ้าง ได้แก่ Ebixa (Me-mantine)
  • 9. 9 วิธีป้องกัน “อัลไซเมอร์” 1.ควรงดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะส่งผลต่อสมอง 2.ควรระวังเรื่องการใช้ยา ไม่ควรรับประทานยาสุ่มสี่สุ่มห้า ควรให้แพทย์เป็นผู้สั่งยาทุกครั้งและควรนายา ที่รับประทานเป็นประจาไปให้แพทย์ดูด้วยเพื่อหลีกเลี่ยงการสั่งยาซ้าซ้อน 3.ควรระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุที่ส่งผลกระทบกระเทือนศีรษะ 4.สาหรับผู้สูงอายุที่เดินลาบากควรมีคนดูแล เช่น เวลาเข้าห้องน้าควรมีคนไปเป็นเพื่อน เพราะอาจเกิด การลื่นหกล้มหัวฟาดในห้องน้าได้ 5.เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุควรหมั่นไปตรวจสุขภาพเป็นประจาทุกปี และไม่ควรลืมเจาะเลือดเพื่อตรวจหา โรคเบาหวานและโรคไขมันในเลือดสูง 6.ตรวจเช็กความดันเลือดสม่าเสมอตามที่แพทย์นัด หากพบว่าเป็นความดันโลหิตสูงก็ต้องปฏิบัติตน ตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพราะมีผลกระทบต่อภาวะสมองเสื่อมได้ 7.ควรออกกาลังกายเป็นประจา ผู้สูงอายุไม่ควรหักโหมจนเกินไป เพราะอาจทาให้เกิดโทษได้ 8.ควรหากิจกรรมที่ทาให้ผ่อนคลายความตึงเครียด เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูโทรทัศน์ หมั่นเข้าร่วม กิจกรรมของชมรมผู้สูงอายุ และกิจกรรมบาเพ็ญประโยชน์ตามสมควร 9.เมื่อสังเกตว่าตนเองเริ่มมีอาการหลงๆ ลืมๆ มากผิดปกติ หรือมีอาการบ่งชี้อื่นๆ ที่น่าสงสัยก็ควรรีบไป พบประสาทแพทย์ หรือแพทย์เวชศาสตร์ผู้สูงอายุทันที
  • 10. 10 วิธีดาเนินงาน แนวทางการดาเนินงาน ปรึกษาและเลือกหัวข้อโครงงาน เสนอหัวข้อโครงงาน ศึกษาข้อมูลจากการทาโครงงาน เลือกสื่อในการทาโครงงาน จัดทาโครงงานในโปรแกรม Microsoft Word ทดสอบงาน แก้ไขและเพิ่มเติมและปรับปรุงงาน รายงานผลการดาเนินงาน จัดทาเอกสาร เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ 1.คอมพิวเตอร์ 2.โปรแกรม Microsoft Word 3.โปรแกรม Adobe Photoshop 4.อินเทอร์เน็ต
  • 11. 11 ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน ลาดับ ที่ ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 1 0 1 1 12 1 3 1 4 1 5 16 17 1 คิดหัวข้อโครงงาน 2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล 3 จัดทาโครงร่างงาน 4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน 5 ปรับปรุงทดสอบ 6 การทาเอกสารรายงาน 7 ประเมินผลงาน 8 นาเสนอโครงงาน ผลที่คาดว่าจะได้รับ 1.ได้รู้เท่าทันโรคอัลไซเมอร์ 2.ได้รู้จักระวังตัวเองให้มากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นอัลไซเมอร์ 3.ความรู้ที่ได้จะสามารถนาไปบอกต่อได้ สถานที่ดาเนินการ 1.ห้องคอมโรงเรียน 2.ห้องสมุดโรงเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษา แหล่งอ้างอิง http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000124043 (วันที่สืบค้น 31 สิงหาคม 2560)