SlideShare a Scribd company logo
1
ชุดที่ 1 แนวข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์
มัธยมศึกษาตอนต้น
คาชี้แจง ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว
1. กำรใช้กล้องจุลทรรศน์ในกำรศึกษำเซลล์ กำรดูภำพครั้งแรกควรใช้เลนส์ใกล้วัตถุที่มีกำลังขยำยเท่ำใด
1. 10X 2. 20X
3. 40X 4. 100X
2. ส่วนประกอบใดภำยในเซลล์ที่ทำหน้ำที่เป็นแหล่งสร้ำงพลังงำนให้แก่เซลล์
1. นิวเคลียส 2. แวคิวโอล
3. คลอโรพลำสต์ 4. ไมโทคอนเดรีย
3. ออร์แกเนลล์ใดที่พบได้เฉพำะในเซลล์พืช
1. แวคิวโอล กอลจิบอดี
2. ผนังเซลล์ คลอโรพลำสต์
3. นิวเคลียส ไมโทคอนเดรีย
4. เยื่อหุ้มเซลล์ ร่ำงแหเอนโดพลำซึม
4. ส่วนประกอบที่อยู่ด้ำนนอกสุดของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ มีควำมเหมือนหรือแตกต่ำงกันอย่ำงไร
1. เหมือนกัน คือ เป็นผนังเซลล์
2. เหมือนกัน คือ เป็นเยื่อหุ้มเซลล์
3. ต่ำงกัน โดยเซลล์พืชจะมีผนังเซลล์ ส่วนเซลล์สัตว์มีเยื่อหุ้มเซลล์
4. ต่ำงกัน โดยเซลล์พืชจะมีเยื่อหุ้มเซลล์ ส่วนเซลล์สัตว์มีผนังเซลล์
5. ออร์แกเนลล์คู่ใดมีควำมสัมพันธ์กันมำกที่สุด
1. ไมโทคอนเดรีย – แวคิวโอล
2. เซนทริโอล – ไมโทคอนเดรีย
3. ร่ำงแหเอนโดพลำซึม – แวคิวโอล
4. ร่ำงแหเอนโดพลำซึม – กอลจิบอดี
2
6. กำรเคลื่อนที่ของสำรในข้อใดถูกต้อง
ข้อ กระบวนการแพร่ กระบวนกาออสโมซิส
1. กำรเคลื่อนที่ของน้ำเข้ำสู่เซลล์ขนรำก กำรกระจำยของน้ำหอมในอำกำศ
2. กำรกระจำยของน้ำหอมในอำกำศ กำรเคลื่อนที่ของน้ำเข้ำสู่เซลล์ขนรำก
3. กำรเคลื่อนที่ของแร่ธำตุเข้ำสู่เซลล์ขนรำก กำรละลำยของน้ำตำลในน้ำ
4. กำรละลำยของน้ำตำลในน้ำ กำรเคลื่อนที่ของแร่ธำตุเข้ำสู่เซลล์ขนรำก
7. นำลำต้นและรำกพืช 4 ชนิด มำส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ พบว่ำ
ลำต้นพืชชนิดที่ 1 มีไซเล็มและโฟลเอ็มเรียงตัวอยู่ทั่วลำต้น
ลำต้นพืชชนิดที่ 2 มีไซเล็มและโฟลเอ็มเรียงตัวเป็นวงรอบลำต้น
ลำต้นพืชชนิดที่ 3 มีไซเล็มเรียงตัวอยู่รอบพิธ มีโฟลเอ็มแทรกอยู่ระหว่ำงไซเล็ม
ลำต้นพืชชนิดที่ 4 มีไซเล็มเรียงตัวเป็นแฉกออกจำกกึ่งกลำงรำก โดยโฟลเอ็มแทรกอยู่ระหว่ำงแฉก
อยำกทรำบว่ำพืชชนิดใดเป็นพืชประเภทเดียวกัน
1. พืชชนิดที่ 1 และ 3
2. พืชชนิดที่ 1 และ 4
3. พืชชนิดที่ 2 และ 3
4. พืชชนิดที่ 3 และ 4
8. น้ำและแร่ธำตุลำเลียงเข้ำสู่รำกพืชด้วยกระบวนกำรใด
1. ลำเลียงโดยกำรแพร่ทั้งคู่
2. ลำเลียงโดยกำรออสโมซิสทั้งคู่
3. น้ำลำเลียงโดยกำรแพร่ ส่วนแร่ธำตุลำเลียงโดยกำรออสโมซิส
4. น้ำลำเลียงโดยกำรออสโมซิส ส่วนแร่ธำตุลำเลียงโดยกำรแพร่
9. จำกสมกำรดังนี้
คำร์บอนไดออกไซด์ + น้ำ แสง
คลอโรฟิลล์
น้ำตำล + A + น้ำ
A คือสำรใด
1. กลูโคส 2. ออกซิเจน
3. คลอโรฟิลล์ 4. คำร์บอนไดออกไซด์
3
10. กระบวนกำรสังเครำะห์ด้วยแสงมีควำมสำคัญต่อพืชอย่ำงไร
1. ทำให้พืชมีอำกำศหำยใจ
2. ทำให้พืชสร้ำงอำหำรได้
3. ทำให้พืชสำมำรถสืบพันธุ์ได้
4. ช่วยระบำยควำมร้อนออกจำกต้นพืช
11. โครงสร้ำงใดที่พืชใช้ในกำรสืบพันธุ์แบบอำศัยเพศ
1. ใบ 2. ผล
3. ดอก 4. ลำต้น
12. กำรปฏิสนธิของพืชเกิดขึ้นเมื่อใด
1. เมล็ดเริ่มงอกเป็นต้น
2. กลีบดอกเริ่มบำนออก
3. ละอองเรณูตกบนยอดเกสรเพศเมีย
4. นิวเคลียสของละอองเรณูผสมกับนิวเคลียสของเซลล์ไข่
13. ดอกทำนตะวันจะหันไปตำมดวงอำทิตย์ตลอดทั้งวัน เป็นผลมำจำกกำรตอบสนองต่อสิ่งเร้ำใด
1. แสง 2. อุณหภูมิ
3. ดวงอำทิตย์ 4. แก๊สออกซิเจน
14. กำรตอบสนองในข้อใดเป็นกำรตอบสนองต่อสิ่งเร้ำชนิดเดียวกัน
1. กำรงอกของรำกต้นถั่ว-กำรจำศีลของหมี
2. กำรบำนของดอกคุณนำยตื่นสำย-กำรบินกลับรังของนก
3. กำรหุบใบของต้นกำบหอยแครง-กำรลงไปแช่ในแอ่งน้ำของควำย
4. กำรลดรูปใบไปเป็นหนำมของต้นตะบองเพชร-กำรพองตัวของอึ่งอ่ำง
15. กำรเพำะเลี้ยงเนื้อเยื่อเหมำะสำหรับนำมำใช้ขยำยพันธุ์พืชชนิดใด
พืช A เป็นพืชที่ใกล้สูญพันธุ์ไปจำกประเทศไทย
พืช B เป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในบริเวณที่มีอำกำศร้อนชื้น
พืช C เป็นพืชที่ถูกรบกวนโดยแมลงศัตรูพืชและวัชพืชได้ง่ำย
พืช D เป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งทุกปีจะมีกำรส่งออกจำนวนมำก
1. พืช A เท่ำนั้น
2. พืช B เท่ำนั้น
3. พืช A B และ D
4. พืช A C และ D
4
16. กำรจำแนกสำรโดยใช้ขนำดของอนุภำคเป็นเกณฑ์เหมำะกับกำรจำแนกสำรในข้อใดมำกที่สุด
1. กำว โฟม เยลลี
2. เหล็ก ปรอท คลอรีน
3. น้ำนม น้ำส้มสำยชู น้ำคลอง
4. น้ำเกลือ น้ำเชื่อม แอลกอฮอล์ล้ำงแผล
17. ข้อใดระบุตัวทำละลำยละตัวละลำยได้ถูกต้อง
ข้อ สารละลาย ตัวทาละลาย ตัวละลาย
1. น้ำส้มสำยชู เอทำนอล กรดแอซีติก
2. น้ำเกลือ เกลือแกง น้ำ
3. น้ำเชื่อม น้ำ น้ำตำลทรำย
4. แอลกอฮอล์ล้ำงแผล น้ำ แอลกอฮอล์
18. สำรในข้อใดต่ำงไปจำกสำรอื่นๆ
1. นำก 2. ทอง
3. อำกำศ 4. น้ำเกลือ
19. ข้อใดต่อไปนี้กล่ำวถูกต้อง
1. อิมัลซิไฟเออร์ในน้ำนม คือ เคซีน
2. อิมัลซิไฟเออร์ในน้ำสลัด คือ น้ำมันพืช
3. อิมัลซิไฟเออร์ในน้ำสลัด คือ น้ำส้มสำยชู
4. อิมัลซิไฟเออร์ในกำรชำระล้ำงสิ่งสกปรก คือ ไขมัน
20. สำรในข้อใดมีสมบัติควำมเป็นกรด-เบสเหมือนกัน
1. ผงฟู ผงซักฟอก เกลือแกง
2. เบียร์ น้ำปูนใส น้ำตำลทรำย
3. น้ำยำเช็ดกระจก ผงชูรส ยำสระผม
4. น้ำมะขำม น้ำมะเขือเทศ น้ำส้มสำยชู
21. ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับแรง
1. แรงทำให้วัตถุหยุดนิ่ง
2. แรงทำให้วัตถุเปลี่ยนสถำนะ
3. แรงทำให้วัตถุเกิดกำรเคลื่อนที่
4. แรงทำให้วัตถุเปลี่ยนแปลงรูปร่ำง
5
22. ข้อใดระบุชนิดของแรงที่ใช้ทำกิจกรรมได้ถูกต้อง
1. ตักน้ำ-แรงดัน 2. ปำเป้ำ-แรงบิด
3. นวดแป้ง-แรงกด 4. โยนลูกบอล-แรงดึง
23. เด็กคนหนึ่งเดินทำงจำกบ้ำนไปโรงเรียนด้วยอัตรำเร็ว 2 เมตรต่อวินำที โดยใช้เวลำ 60 วินำที ดังนั้น
ระยะทำงจำกบ้ำนไปโรงเรียนมีค่ำเท่ำใด
1. 30 เมตร 2. 60 เมตร
3. 90 เมตร 4. 120 เมตร
24. กำรคำนวณหำค่ำควำมเร็ว หำกระยะทำงมีหน่วยเป็นกิโลเมตร เวลำควรมีหน่วยเป็นอะไร
1. วินำที 2. นำที
3. ชั่วโมง 4. วัน
25. กำรคำนวณหำค่ำอัตรำเร็วในกำรเคลื่อนที่จำเป็นต้องทรำบค่ำของปริมำณใดบ้ำง
1. ระยะทำง เวลำ 2. ระยะทำง กำรกระจัด
3. ควำมเร็ว ระยะทำง 4. ควำมเร่ง ระยะทำง
26. อุณหภูมิ 30 องศำเซลเซียสมีค่ำกี่องศำฟำเรนไฮด์
1. 26 2. 46
3. 66 4. 86
27. ตัวกลำงในข้อใดพำควำมร้อนได้ดีที่สุด
1. น้ำ 2. เงิน
3. เหล็ก 4. อำกำศ
28. “เมื่อยืนอยู่ใกล้เตำไฟในบริเวณที่มีลมพัด เรำจะรู้สึกได้ถึงควำมร้อนจำกเตำไฟ” ลักษณะดังกล่ำวนี้เป็น
กำรถ่ำยโอนพลังงำนควำมร้อนแบบใด
1. กำรนำควำมร้อน 2. กำรพำควำมร้อน
3. กำรแผ่รังสีควำมร้อน 4. กำรดูดกลืนควำมร้อน
29. ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับกำรดูดกลืนและกำรคำยควำมร้อน
1. เสื้อสีดำจะคำยควำมร้อนได้ดีกว่ำเสื้อสีขำว
2. ผงเหล็กจะคำยควำมร้อนได้ดีกว่ำแผ่นเหล็ก
3. น้ำเย็นจะดูดกลืนควำมร้อนได้ช้ำกว่ำน้ำร้อน
4. ลูกกอล์ฟจะดูดควำมร้อนได้ช้ำกว่ำลูกปิงปอง
6
30. ข้อใดเป็นกำรนำควำมรู้เรื่องกำรดูดกลืนและคำยควำมร้อนมำใช้ประโยชน์
ก. กำรทำด้ำมจับกระทะด้วยพลำสติก
ข. กำรเอำมืออังเหนือกองไฟในฤดูหนำว
ค. กำรใส่เสื้อสีขำวเมื่อต้องอยู่กลำงแดด
1. ข้อ ก. เท่ำนั้น 2. ข้อ ค. เท่ำนั้น
3. ข้อ ก. และ ข. 4. ข้อ ข. และ ค.
31. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของบรรยำกำศ
1. ช่วยดูดซับรังสีอัลตรำไวโอเลต
2. ช่วยป้องกันอันตรำยจำกสะเก็ดดำว
3. ช่วยให้โลกไม่ร้อนเกินไปในเวลำกลำงวัน
4. ช่วยให้โลกเย็นลงอย่ำงรวดเร็วในเวลำกลำงคืน
32. ในบริเวณใดที่มีอุณหภูมิของอำกำศสูงที่สุด
1. บนยอดดอยในเวลำ 06.00 น.
2. บริเวณริมทะเลในเวลำ 18.00 น.
3. บริเวณทะเลทรำยในเวลำ 15.00 น.
4. บริเวณป่ำไม้หนำทึบในเวลำ 10.00 น.
33. บริเวณใดจะมีควำมชื้นของอำกำศมำกที่สุด
1. บริเวณที่มีไอน้ำน้อย
2. บริเวณที่มีอุณหภูมิสูง
3. บริเวณที่รับไอน้ำจำกกำรระเหยได้มำก
4. บริเวณที่รับไอน้ำจำกกำรระเหยได้น้อย
34. บริเวณใดน่ำจะมีควำมกดอำกำศต่ำที่สุด
1. บริเวณยอดภูเขำ
2. บริเวณทะเลทรำย
3. บริเวณใต้ท้องทะเล
4. บริเวณที่รำบลุ่มแม่น้ำ
35. ควำมสัมพันธ์ของคำมชื้นสัมพัทธ์กับกิจกรรมต่ำงๆในชีวิตประจำวันในข้อใดถูกต้อง
1. ควำมชื้นสัมพัทธ์ต่ำ อำกำศจะอบอ้ำว
2. ควำมชื้นสัมพัทธ์ต่ำ เสื้อผ้ำจะแห้งช้ำ
3. ควำมชื้นสัมพัทธ์สูง เสื้อผ้ำจะแห้งเร็ว
4. ควำมชื้นสัมพัทธ์สูง จะรู้สึกเหนียวตัว
7
36. ข้อใดอธิบำยเกี่ยวกับหยำดน้ำฟ้ำได้ถูกต้องที่สุด
1. หมอกจัดเป็นหยำดน้ำฟ้ำชนิดหนึ่ง
2. ลูกเห็บจัดเป็นหยำดน้ำฟ้ำ ส่วนหิมะไม่จัดเป็นหยำดน้ำฟ้ำ
3. ฝนและน้ำค้ำงจัดเป็นหยำดน้ำฟ้ำที่มีสถำนะเป็นของเหลวเหมือนกัน
4. หยำดน้ำฟ้ำเป็นไอน้ำในบรรยำกำศที่เกิดกำรควบแน่นแล้วตกลงมำสู่พื้นโลก
37. ปัจจัยใดมีอิทธิพลต่อกำรเกิดลมมำกที่สุด
1. ควำมชื้นสัมพัทธ์
2. ปริมำณไอน้ำในอำกำศ
3. ควำมร้อนจำกดวงอำทิตย์
4. ระดับควำมสูง-ต่ำของพื้นที่
38. ข้อใดบอกลักษณะและกำรใช้ประโยชน์ของเครื่องมือที่ใช้วัดเกี่ยวกับลมได้ถูกต้องที่สุด
ข้อ อุปกรณ์ ลักษณะ การใช้ประโยชน์
1. ศรลม เป็นลูกศรที่มีหำงเป็นแผ่นใหญ่กว่ำหัวลูกศร วัดควำมเร็วลม
2. มำตรควำมเร็วลม เป็นกรวยโลหะ 3-4 อันติดอยู่ที่ก้ำน ตรวจสอบทิศทำงลม
3. แอนีมอมิเตอร์ เป็นกรวยโลหะ 3-4 อันติดอยู่ที่ก้ำน วัดควำมเร็วลม
4. แอโรเวน มีรูปร่ำงคล้ำยเครื่องบินไม่มีปีก ตรวจสอบทิศทำงลม
และวัดควำมเร็วลม
39. ข้อมูลเกี่ยวกับกำรพยำกรณ์อำกำศ มีดังนี้
ก. แผนที่อำกำศนำมำช่วยในกำรพยำกรณ์อำกำศ
ข. กำรพยำกรณ์อำกำศช่วยให้กำรคมนำคมทำงทะเลและทำงอำกำศปลอดภัยยิ่งขึ้น
ค. กำรพยำกรณ์อำกำศ คือ กำรทำนำยสภำพอำกำศที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลำข้ำงหน้ำ
จำกข้อมูลที่กำหนดให้มีข้อมูลที่ถูกต้องกี่ข้อ
1. 1 ข้อ 2. 2 ข้อ
3. 3 ข้อ 4. ไม่มีข้อถูก
40. ข้อใดไม่เป็นกำรช่วยลดภำวะโลกร้อน
1. กำรเข้ำร่วมโครงกำรปลูกป่ำทดแทน
2. กำรลดปริมำณขยะโดยกำรมำนำมำใช้ซ้ำ
3. กำรใช้พลังงำนแสงอำทิตย์ในกำรผลิตไฟฟ้ำ
4. กำรใช้ถุงพลำสติกจำกร้ำนค้ำแค่เพียงใบเดียว
8
41. หำกกำรจัดระบบในร่ำงกำยมนุษย์และสัตว์ผิดปกติในระดับใดระดับหนึ่ง จะส่งผลต่อร่ำงกำยอย่ำงไร
1. ทำให้มีภูมิคุ้มกันต่ำ
2. ทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ำย
3. ระบบต่ำงๆ ในร่ำงกำยทำงำนผิดปกติ
4. ร่ำงกำยจะปรับตัวได้จึงไม่มีผลแต่อย่ำงใด
42. อำกำรท้องผูกเกิดจำกกำรทำงำนผิดปกติของอวัยวะใด
1. ลำไส้เล็ก 2. ลำไส้ใหญ่
3. ทวำรหนัก 4. กระเพำะอำหำร
43. เพรำะเหตุใดกล้ำมเนื้อหัวใจห้องล่ำงจึงหนำกว่ำกล้ำมเนื้อหัวใจห้องบน
1. หัวใจห้องล่ำงต้องรับเลือดจำกส่วนต่ำงๆ ของร่ำงกำย
2. หัวใจห้องล่ำงต้องบีบตัวเพื่อส่งเลือดไปยังส่วนต่ำงๆ ของร่ำงกำย
3. เลือดที่เข้ำสู่หัวใจห้องล่ำงมีควำมดันสูงกว่ำเลือดที่เข้ำสู่หัวใจห้องบน
4. เลือดที่เข้ำสู่หัวใจห้องล่ำงมีปริมำณมำกกว่ำเลือดที่เข้ำสู่หัวใจห้องบน
44. กำรที่เหงือกของปลำมีลักษณะเป็นซี่เล็กๆ มีผลต่อระบบหำยใจอย่ำงไร
1. ช่วยให้น้ำซึมผ่ำนได้ดี
2. ช่วยเพิ่มพื้นที่ในกำรแลกเปลี่ยนแก๊ส
3. ช่วยให้ดูดซึมแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ได้ดี
4. ช่วยให้ปลำไม่ต้องขึ้นมำหำยใจเหนือน้ำบ่อยๆ
45. ในขณะที่เรำหำยใจเข้ำ ข้อใดกล่ำวถึงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกะบังลมกับกระดูกซี่โครงได้ถูกต้อง
1. ทั้งกะบังลมและกระดูกซี่โครงเลื่อนต่ำลง
2. ทั้งกะบังลมและกระดูกซี่โครงเลื่อนสูงขึ้น
3. กะบังลมเลื่อนสูงขึ้น กระดูกซี่โครงเลื่อนต่ำลง
4. กะบังลมเลื่อนต่ำลง กระดูกซี่โครงเลื่อนสูงขึ้น
46. หำกไตทำงำนผิดปกติ จะสำมำรถสังเกตได้จำกสิ่งใด
1. เหงื่อ 2. อุจจำระ
3. ปัสสำวะ 4. ลมหำยใจออก
47. หำกเด็กหญิงคนหนึ่งมีรังไข่ผิดปกติ จะส่งผลต่อร่ำงกำยอย่ำงไร
1. ร่ำงกำยไม่เจริญเติบโต 2. มีลักษณะเหมือนผู้ชำย
3. พัฒนำกำรทำงเพศผิดปกติ 4. ทำให้เกิดโรคมะเร็งในรังไข่
9
48. แฝดอิน – จัน แฝดสยำมคู่แรกของโลก เป็นกำรเกิดแฝดในกรณีใด
1. แฝดต่ำงไข่
2. แฝดร่วมไข่
3. อำจเป็นแฝดต่ำงไข่ หรือแฝดร่วมไข่
4. เป็นแฝดที่เกิดจำกวิธีกำรทำงกำรแพทย์
49. เพรำะเหตุใดสิ่งมีชีวิตจึงมีกำรแสดงพฤติกรรม
1. เพื่อปรับตัวเข้ำกับสิ่งแวดล้อม
2. เพื่อแสดงออกถึงควำมต้องกำร
3. เพื่อตอบสนองต่อสังคมที่อำศัยอยู่
4. เพื่อควำมอยู่รอดและดำรงเผ่ำพันธุ์
50. เทคโนโลยีชีวภำพมีประโยชน์อย่ำงไร
1. ช่วยประหยัดต้นทุนกำรผลิตสัตว์
2. ช่วยทำให้ได้สัตว์สำยพันธุ์ตำมต้องกำร
3. ลดระยะเวลำในกำรเจริญเติบโตของสัตว์
4. สำมำรถทำได้ง่ำย โดยไม่ต้องใช้ควำมเชี่ยวชำญ
51. ข้อควำมใดที่กล่ำวเกี่ยวกับกำรใช้พลังงำนจำกสำรอำหำรได้ถูกต้องที่สุด
1. ขณะนอนหลับร่ำงกำยจะไม่ใช้พลังงำนที่ได้จำกสำรอำหำร
2. ในกำรทำกิจกรรมชนิดเดียวกัน ผู้หญิงกับผู้ชำยจะใช้พลังงำนต่ำงกัน
3. ในกำรทำกิจกรรมชนิดเดียวกัน ผู้ที่มีน้ำหนักน้อยจะใช้พลังงำนมำกกว่ำผู้ที่มีน้ำหนักมำก
4. ขณะเล่นกีฬำผู้ชำยจะใช้พลังงำนมำกกว่ำผู้หญิง แต่ในขณะทำงำนเบำๆ ผู้หญิงจะใช้พลังงำน
มำกกว่ำผู้ชำย
52. เพื่อส่งเสริมให้ร่ำงกำยเจริญเติบโตอย่ำงสมวัย วัยรุ่นควรรับประทำนอำหำรชนิดใดมำกที่สุด
1. ข้ำว เนื้อสัตว์ 2. เนย ผักใบเขียว
3. ไข่ มะเขือเทศ 4. น้ำมันพืช ถั่วเหลือง
53. ข้อใดเป็นสำเหตุสำคัญที่สุด ที่ทำให้เด็กในวัยเรียนรับประทำนอำหำรไม่ครบ 5 หมู่
1. กำรรับประทำนอำหำรนอกบ้ำน
2. กำรรับประทำนอำหำรไม่เป็นเวลำ
3. กำรรับประทำนอำหำรไม่อิ่มเพรำะเร่งรีบ
4. กำรเลือกรับประทำนอำหำรเฉพำะที่ตนเองชอบ
10
54. นักเรียนควรเลือกรับประทำนอำหำรชนิดใดต่อไปนี้ จึงจะให้คุณค่ำทำงอำหำรดีที่สุด หำกอำหำร
ทั้งหมดนี้มีรำคำเท่ำกัน
1. ขนมครก 2. ปำท่องโก๋
3. กล้วยบวชชี 4. นมถั่วเหลือง
55. กำรสังเกตว่ำบุคคลใดติดสำรเสพติดนั้น วิธีใดที่ให้ผลแน่นอนที่สุด
1. สังเกตจำกบุคคลใกล้ชิด
2. สังเกตจำกพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป
3. สังเกตจำกสุขภำพร่ำงกำยของผู้เสพ
4. สังเกตจำกผลกำรตรวจเลือดและปัสสำวะ
56. ข้อใดกล่ำวถึงธำตุได้ถูกต้อง
1. ธำตุทุกชนิดสำมำรถนำไฟฟ้ำ
2. ธำตุแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ โลหะ และอโลหะ
3. โซเดียมคลอไรด์และโพแทสเซียมออกไซด์เป็นธำตุ
4. ไม่สำมำรถทำให้ธำตุแตกตัวเป็นสำรเดี่ยวหลำยชนิดได้
57. ข้อใดเป็นสมบัติทำงกำยภำพของสำร
1. สี กำรลุกติดไฟ
2. สถำนะ จุดเดือด
3. กลิ่น ควำมเป็นกรด-เบส
4. จุดหลอมเหลว กำรสลำยตัว
58. เพรำะเหตุใดภำชนะหุงต้มที่ใช้ประกอบอำหำรจึงทำด้วยโลหะ
1. มีผิวมันวำว
2. นำไฟฟ้ำได้ดี
3. นำควำมร้อนได้ดี
4. ตีแผ่เป็นรูปทรงต่ำงๆ ได้ง่ำย
59. สำรที่เหมำะสมจะนำมำแยกโดยกำรกลั่นแบบไอน้ำ ควรมีสมบัติตำมข้อใด
1. ไม่ละลำยน้ำ จุดเดือดสูง
2. ไม่ละลำยน้ำ จุดเดือดต่ำ
3. ละลำยน้ำได้ดี จุดเดือดสูง
4. ละลำยน้ำได้ดี จุดเดือดต่ำ
11
60. กำรแยกสำรบริสุทธิ์ด้วยวิธีโครมำโทกรำฟีอำศัยหลักกำรใด
1. ควำมแตกต่ำงของกำรถูกดูดซับ
2. ควำมแตกต่ำงของสำรในกำรละลำย
3. ควำมแตกต่ำงของสำรที่ใช้เป็นตัวทำละลำย
4. ควำมแตกต่ำงของสำรในกำรละลำยและกำรถูกดูดซับ
61. จำกกำรนำสำร 2 ชนิด มำผสมกัน ดังตำรำงที่กำหนดให้ ข้อใดเป็นปฏิกิริยำดูควำมร้อน
ข้อ สารที่ผสม
อุณหภูมิของสาร (o
C)
ก่อนผสม หลังผสม
1. A+B 27 28
2. C+D 29 29
3. E+F 29 28
4. G+H 26 25
62. พิจำรณำข้อควำมต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม
ก. เติมตัวเร่งปฏิกิริยำ
ข. ให้ควำมร้อนแก่ปฏิกิริยำ
ค. บดหรือหั่นสำรตั้งต้นให้มีขนำดเล็กลง
ง. เพิ่มปริมำณของสำรตั้งต้นโดยกำรเติมน้ำกลั่น
จ. เลือกสำรตั้งต้นที่มีคุณสมบัติเหมำะสมในกำรใช้งำน
ข้อใดเป็นกำรเร่งอัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำเคมี
1. ก. ข. ค. 2. ก. ข. จ.
3. ก. ข. ค. ง. 4. ก. ข. ค. จ.
63. ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อกำรเกิดปฏิกิริยำเคมี
1. อุณหภูมิที่สูงขึ้น จะทำให้เกิดปฏิกิริยำเคมีได้เร็ว
2. กำรเพิ่มพื้นที่ผิวของสำร จะช่วยให้ปฏิกิริยำเคมีเกิดช้ำลง
3. สำรตั้งต้นที่มีควำมเข้มข้นมำก จะทำให้เกิดปฏิกิริยำเคมีได้อย่ำงรวดเร็ว
4. สมบัติของสำรตั้งต้นที่เป็นสำรไวไฟ จะทำให้ปฏิกิริยำเคมีเกิดได้เร็วขึ้น
12
64. จำกข้อควำมที่กำหนดให้ต่อไปนี้
ก. ฝนกรด
ข. กำรเกิดหินงอกหินย้อย
ค. ปรำกฏกำรณ์เรือนกระจก
ง. น้ำเน่ำเสียจำกกำรทิ้งสำรอินทรีย์
ข้อใดเป็นผลกระทบของปฏิกิริยำเคมีที่เป็นอันตรำยต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม
1. ก. ข. 2. ข. ค.
3. ก. ข. ค. 4. ก. ค. ง.
65. จำกข้อควำมที่กำหดให้ต่อไปนี้
ก. สำรสังเครำะห์สำมำรถเกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติได้
ข. สำรสังเครำะห์ คือ กำรลอกเลียนแบบสำรจำกธรรมชำติ
ค. สำรสังเครำะห์มีประสิทธิภำพมำกกว่ำสำรจำกธรรมชำติ
ง. สำรจำกธรรมชำติมีพิษหรืออันตรำยมำกกว่ำสำรสังเครำะห์
ข้อใดกล่ำวถึงสำรสังเครำะห์ได้ถูกต้อง
1. ก. ข. 2. ข. ค.
3. ก. ค. 4. ก. ง.
66. แรงเป็นปริมำณที่มีลักษณะตำมข้อใด
1. มีแต่ขนำด
2. มีแต่ทิศทำง
3. มีทั้งขนำดและทิศทำง
4. มีขนำดในบำงทิศทำงเท่ำนั้น
67. ถ้ำแรง F1 มีขนำด 6 นิวตัน และแรง F2 มีขนำด 3 นิวตัน แรงลัพธ์ของแรงทั้งสองมีขนำด 9 นิวตัน
แสดงว่ำทั้งสองมีทิศทำงอย่ำงไร
1. มีทิศตั้งฉำกกัน
2. มีทิศตรงข้ำมกัน
3. มีทิศไปทำงเดียวกัน
4. แรง F1 มีทิศขึ้น ส่วนแรง F2 มีทิศลง
13
68. พิจำรณำภำพด้ำนล่ำงแล้วตอบคำถำม
จำกภำพ แรงลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับกล่องมีขนำดเท่ำใด และกล่องจะเคลื่อนที่ไปในทิศทำงใด
1. แรงลัพธ์มีขนำดเท่ำกับ 0 นิวตัน กล่องไม่เคลื่อนที่
2. แรงลัพธ์มีขนำดเท่ำกับ 5 นิวตัน กล่องเคลื่อนที่ไปทำงขวำ
3. แรงลัพธ์มีขนำดเท่ำกับ 10 นิวตัน กล่องเคลื่อนที่ไปทำงซ้ำย
4. แรงลัพธ์มีขนำดเท่ำกับ 15 นิวตัน กล่องเคลื่อนที่ไปทำงขวำ
69. จงพิจำรณำภำพต่อไปนี้แล้วตอบคำถำม
A B
O
P
a d
b c
ข้อใดคือรังสีตกกระทบ
1. OP 2. AO
3. BO 4. AB
70. กำรสะท้อนกลับหมดจะสำมำรถเกิดขึ้นเมื่อแสงเดินทำงตำมข้อใด
1. จำกน้ำไปแก้ว 2. จำกแก้วไปน้ำ
3. จำกอำกำศไปน้ำ 4. จำกอำกำศไปแก้ว
71. คนที่ใส่แว่นสำยตำยำว จะเห็นภำพของวัตถุมีขนำดเล็กกว่ำวัตถุจริงในกรณีใด
1. วัตถุอยู่ห่ำงจำกแว่นสำยตำน้อยกว่ำควำมยำวโฟกัส
2. วัตถุอยู่ห่ำงจำกแว่นสำยตำมำกกว่ำ 2 เท่ำของควำมยำวโฟกัส
3. วัตถุอยู่ห่ำงจำกแว่นสำยตำในระยะมำกกว่ำจุดศูนย์กลำงควำมโค้ง
4. วัตถุอยู่ห่ำงจำกแว่นสำยตำน้อยกว่ำ 2 เท่ำของควำมยำวโฟกัส แต่มำกกว่ำควำมยำวโฟกัส
14
72. จำกภำพในข้อใด จะทำให้เกิดภำพเสมือนหัวตั้ง ขนำดใหญ่กว่ำวัตถุ
1.
C F
2.
C F
3.
C F
4.
C F
73. ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับตำขำว
ก. ตำขำวมีหน้ำที่ช่วยรักษำสมดุลของแสงที่เข้ำสู่จอตำ
ข. ตำขำวมีหน้ำที่รักษำรูปทรงของลูกตำและปกป้องโครงสร้ำงภำยในตำ
ค. ตำขำวมีสีขำว เป็นชั้นบำงๆ ที่เคลือบลูกตำเอำไว้ ซึ่งมีควำมเหนียวและแข็งแรง
1. ก. 2. ข.
3. ค. 4. ทั้ง ก. และ ข.
74. ภำพที่ตกบนจอตำของมนุษย์เป็นภำพที่มีลักษณะอย่ำงไร
1. ภำพจริงหัวตั้ง 2. ภำพจริงหัวกลับ
3. ภำพเสมือนหัวตั้ง 4. ภำพเสมือนหัวกลับ
75. ข้อใดต่อไปนี้กล่ำวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับโลก
1. โลกมีลักษณะเป็นทรงกลมแป้นคล้ำยลูกมะนำว ที่มีเส้นผ่ำนศูนย์กลำงเท่ำกันทั้งโลก
2. โลกประกอบด้วยเปลือกโลก เนื้อโลก และแก่นโลก ซึ่งเนื้อโลกจะมีควำมเย็นมำกกว่ำแก่นโลก
3. โลกเกิดขึ้น เมื่อ 4,600 ล้ำนปีก่อน โดยในช่วงแรกจะยังไม่มีสิ่งมีชีวิต ซึ่งมนุษย์ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ
0.003 ล้ำนปีก่อน
4. โลกถูกแบ่งโครงสร้ำงจำกชั้นบรรยำกำศสู่แก่นโลก ได้แก่ เปลือกโลก เนื้อโลกชั้นนอก เนื้อโลก
ชั้นใน แก่นโลกชั้นนอก และแก่นโลกชั้นในตำมลำดับ
76. โครงสร้ำงของโลกส่วนใดมีควำมหนำมำกที่สุด
1. เนื้อโลก 2. แก่นโลก
3. เปลือกโลกชั้นใน 4. เปลือกโลกชั้นนอก
15
77. ดินชั้นบนและดินชั้นล่ำงมีลักษณะแตกต่ำงกันอย่ำงไร
1. ดินชั้นบนมีสีจำงกว่ำดินชั้นล่ำง
2. ดินชั้นบนมีสีคล้ำกว่ำดินชั้นล่ำง
3. ดินชั้นบนมีควำมพรุนน้อยกว่ำดินชั้นล่ำง
4. ดินชั้นบนมีขนำดเม็ดดินใหญ่กว่ำดินชั้นล่ำง
78. ปัจจัยใดที่มีผลทำให้หินอัคนีและหินตะกอนกลำยสภำพเป็นหินแปร
1. กำรหลอมละลำย
2. ควำมร้อนและควำมดัน
3. กำรสะสมและกำรทับถม
4. ควำมแค้นและควำมเครียด
79. ข้อใดไม่ใช่สมบัติทำงกำยภำพของแร่
1. สี สีผง
2. รูปผลึก ควำมวำว
3. สีเปลวไฟ แสงเรือง
4. ควำมแข็ง ควำมถ่วงจำเพำะ
80. ข้อใดเป็นควำมหมำยของคำว่ำ “ทรัพยำกรธรรมชำติ”
1. สิ่งที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติ
2. สิ่งที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติ หรือบำงส่วนที่มนุษย์สร้ำงขึ้น
3. สิ่งที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติ แต่มนุษย์ไม่สำมำรถนำมำใช้ประโยชน์
4. สิ่งที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติ และมีประโยชน์ต่อมนุษย์ทั้งทำงตรงและทำงอ้อม
81. กำรถ่ำยทอดลักษณะของสิ่งมีชีวิตจำกรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง หมำยถึงข้อใด
1. พันธุกรรม 2. พันธุศำสตร์
3. พันธุวิศวกรรม 4. โรคทำงพันธุกรรม
82. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะทำงพันธุกรรม
1. สีผิว 2. ลักยิ้ม
3. ชั้นตำ 4. แผลเป็น
83. เมื่อมองเซลล์ผ่ำนกล้องจุลทรรศน์ในขณะที่มีกำรแบ่งเซลล์ จะพบโครงสร้ำงใด
1. โครมำทิด 2. โครมำทิน
3. โครโมโซม 4. เซนโทรเมียร์
16
84. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับโครโมโซมของมนุษย์
1. เป็นออโตโซม 22 คู่ และเป็นโครโมโซมเพศ 1 คู่
2. เป็นออโตโซม 23 คู่ และเป็นโครโมโซมเพศ 1 คู่
3. เป็นออโตโซม 45 คู่ และเป็นโครโมโซมเพศ 1 คู่
4. เป็นออโตโซม 46 คู่ และเป็นโครโมโซมเพศ 1 คู่
85. กำรที่สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันมีหลำยสำยพันธุ์ จัดเป็นควำมหลำกหลำยทำงใด
1. ควำมหลำกหลำยทำงกำยภำพ
2. ควำมหลำกหลำยทำงชนิดพันธุ์
3. ควำมหลำกหลำยทำงพันธุกรรม
4. ควำมหลำกหลำยทำงระบบนิเวศ
86. มนุษย์ยุคปัจจุบันมีชื่อวิทยำศำสตร์ว่ำอะไร
1. Homo sapiens
2. Homo erectus
3. Homo sapiens idaltu
4. Homo neanderthalensis
87. กำรจัดจำแนกสิ่งมีชีวิตตำมแนวคิดของรอเบิร์ต วิตเทเกอร์ แบ่งสิ่งมีชีวิตออกเป็นกี่อำณำจักร
1. 4 อำณำจักร 2. 5 อำณำจักร
3. 6 อำณำจักร 4. 7 อำณำจักร
88. แพรวำจัดสิ่งมีชีวิตออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
1) ฟองน้ำ แมงกะพรุน หอย และหมึก
2) ปลำหำงนกยูง โลมำ ไก่ และสุนัข
แพรวำใช้สิ่งใดเป็นเกณฑ์ในกำรจัดจำแนกสิ่งมีชีวิต
1. แหล่งที่อยู่ 2. แหล่งกำเนิด
3. ลักษณะลำตัว 4. กระดูกสันหลัง
89. ระบบนิเวศประกอบด้วยโครงสร้ำงใดบ้ำง
1. กลุ่มสิ่งมีชีวิตเพียงอย่ำงเดียว
2. กลุ่มสิ่งมีชีวิต และแหล่งที่อยู่
3. กลุ่มสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อม
4. กลุ่มสิ่งมีชีวิต แหล่งที่อยู่ และสิ่งแวดล้อม
17
90. สิ่งมีชีวิตในข้อใดแสดงบทบำทต่ำงจำกสิ่งมีชีวิตในข้ออื่น
1. มอส 2. ชวนชม
3. เห็ดนำงฟ้ำ 4. สำหร่ำยหำงกระรอก
91. “ไลเคน” เป็นกำรอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตที่มีควำมสัมพันธ์กันแบบใด
1. ภำวะแข่งขัน 2. ภำวะล่ำเหยื่อ
3. ภำวะอิงอำศัย 4. ภำวะพึ่งพำกัน
92. “หนอน นก หญ้ำ งู” พบในระบบนิเวศแห่งหนึ่ง จะเขียนควำมสัมพันธ์ในรูปโซ่อำหำรได้อย่ำงไร
1. หญ้ำ ⟶ หนอน ⟶ งู ⟶ นก
2. หญ้ำ ⟶ หนอน ⟶ นก ⟶ งู
3. หญ้ำ ⟶ นก ⟶ หนอน ⟶ งู
4. หญ้ำ ⟶ งู ⟶ นก ⟶ หนอน
93. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับวัฏจักรคำร์บอน
1. กำรคำยน้ำของพืช
2. กำรหำยใจของสิ่งมีชีวิต
3. กำรสังเครำะห์ด้วยแสงของพืช
4. กำรย่อยสลำยซำกพืช ซำกสัตว์
94. วัฏจักรสำรใดที่จะเกิดขึ้นได้สมบูรณ์ต้องอำศัยจุลินทรีย์
1. น้ำ 2. คำร์บอน
3. ไนโตรเจน 4. ฟอสฟอรัส
95. ปัจจัยใดบ้ำงที่มีผลต่อกำรเปลี่ยนแปลงขนำดของประชำกร
1. อัตรำกำรเกิดเท่ำนั้น
2. อัตรำกำรตำยเท่ำนั้น
3. อัตรำกำรเกิด อัตรำกำรตำย และอัตรำกำรอพยพเข้ำ
4. อัตรำกำรเกิด อัตรำกำรตำย อัตรำกำรอพยพเข้ำ และอัตรำกำรอพยพออก
96. ระบบนิเวศที่สมดุลหมำยถึงข้อใด
1. บริเวณที่มีสิ่งมีชีวิตหลำกหลำยชนิดมำอยู่รวมกัน
2. บริเวณที่มีสิ่งแวดล้อมทั้งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิตจำนวนเท่ำๆ กัน
3. บริเวณที่มีสิ่งมีชีวิตอำศัยอยู่ และมีควำมสัมพันธ์กันในลักษณะต่ำงๆ
4. บริเวณที่มีสิ่งมีชีวิตทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลำยในปริมำณ สัดส่วน และกำรกระจำยที่
เหมำะสม
18
97. ข้อใดอธิบำยควำมหมำยของคำว่ำ “สิ่งแวดล้อม” ได้ถูกต้องที่สุด
1. สิ่งต่ำงๆ ที่อยู่รอบตัวเรำ
2. สิ่งต่ำงๆ ที่มีควำมเหมำะสมต่อมนุษย์
3. ทุกสิ่งที่ประกอบกันเป็นโลกและสภำพแวดล้อมที่เกี่ยวกับป่ำไม้ ดิน น้ำ อำกำศ
4. ทุกสิ่งทุกอย่ำงที่อยู่รอบตัวเรำทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ทั้งที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติและที่
มนุษย์สร้ำงขึ้น
98. สำเหตุสำคัญที่สุดของปัญหำวิกฤตกำรณ์ด้ำนสิ่งแวดล้อมและทรัพยำกรธรรมชำติคือข้อใด
1. กำรเพิ่มขึ้นของประชำกร
2. กำรขยำยตัวทำงเศรษฐกิจ
3. ภัยธรรมชำติและอุบัติเหตุ
4. ควำมเจริญทำงด้ำนเทคโนโลยี
99. ตัวกำรสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหำวิกฤตกำรณ์ด้ำนสิ่งแวดล้อมและทรัพยำกรธรรมชำติคือข้อใด
1. มนุษย์
2. นักกำรเมือง
3. ภัยธรรมชำติ
4. ควำมก้ำวหน้ำของเทคโนโลยี
100. กำรแก้ปัญหำสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดคือข้อใด
1. กำรอนุรักษ์ทรัพยำกรธรรมชำติ
2. ลดปริมำณกำรใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
3. ให้กำรศึกษำด้ำนสิ่งแวดล้อมแก่ประชำชน
4. กำหนดบทลงโทษอย่ำงจริงจังเกี่ยวกับกำรทำลำยสิ่งแวดล้อม
101. แรงโน้มถ่วงของโลกบริเวณใดมีค่ำมำกที่สุด
1. ที่ระดับน้ำทะเลสูงสุด
2. ที่ระดับน้ำทะเลปำนกลำง
3. ที่ระดับควำมสูง 50 เมตร
4. ที่ระดับควำมสูง 100 เมตร
102. ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับกฎกำรเคลื่อนที่ของนิวตัน
1. แรงลอยตัวเป็นแรงคู่กิริยำปฏิกิริยำกับแรงโน้มถ่วงของโลก
2. เมื่อไม่มีแรงภำยนอกมำกระทำ วัตถุจะเคลื่อนที่ด้วยควำมเร็วคงตัว
3. เมื่อมีแรงคงที่กระทำต่อวัตถุ ทำให้วัตถุเคลื่อนที่ด้วยควำมเร็วคงตัว
4. แรงปฏิกิริยำจะมีทิศทำงตรงกันข้ำมกับแรงกิริยำ ซึ่งกระทำต่อวัตถุก้อนเดียวกัน
19
103. แรงลอยตัวของของเหลวจะมีค่ำมำกหรือน้อยขึ้นอยู่กับสิ่งใด
1. ปริมำตรของของเหลว
2. ควำมหนำแน่นของของเหลว
3. ควำมหนำแน่นของวัตถุที่จมในของเหลว
4. ควำมหนำแน่นของวัตถุที่ลอยในของเหลว
104. คำนเบำที่มีควำมยำวสม่ำเสมอ 0.60 เมตร ปลำยด้ำนหนึ่งปักติดอยู่กับกำแพง ส่วนปลำยอีกด้ำนแขวน
วัตถุมวล 9 กิโลกรัม จงหำโมเมนต์ของแรงที่กระทำต่อคำนดังกล่ำว
1. 0.54 นิตันเมตร 2. 5.40 นิตันเมตร
3. 5.04 นิตันเมตร 4. 54.0 นิตันเมตร
105. นำย ก ออกแรง 50 นิวตัน เข็นรถให้เคลื่อนที่เป็นระยะทำง 1 เมตร จงหำงำนที่นำย ก. ใช้ในกำรเข็นรถ
1. 20 นิวตันเมตร 2. 30 นิวตันเมตร
3. 40 นิวตันเมตร 4. 50 นิวตันเมตร
106. นำย ก ขับรถขึ้นภูเขำ 50 กิโลเมตร เมื่อถึงยอดเขำจึงปล่อยให้รถไถลลงมำถึงเชิงเขำ ข้อใดสำมำรถ
อธิบำยกำรเปลี่ยนรูปพลังงำนของรถยนต์คันนี้ได้ถูกต้องที่สุด
1. พลังงำนจลน์ ⟶ พลังงำนศักย์
2. พลังงำนศักย์ ⟶ พลังงำนจลน์
3. พลังงำนศักย์ ⟶ พลังงำนจลน์ ⟶ พลังงำนศักย์
4. พลังงำนจลน์ ⟶ พลังงำนศักย์ ⟶ พลังงำนจลน์
107. รถยนต์คันหนึ่งมีมวล 1 ตัน แล่นด้วยควำมเร็ว 10 เมตรต่อวินำที จงหำพลังงำนจลน์ของรถยนต์คันนี้
1. 10,000 จูล 2. 30,000 จูล
3. 50,000 จูล 4. 100,000 จูล
108. ข้อใดแสดงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงำนและพลังงำน
1. งำน = พลังงำนศักย์ – พลังงำนจลน์
2. งำน = พลังงำนจลน์ + พลังงำนศักย์
3. งำน = ผลบวกของพลังงำนเมื่อเวลำเปลี่ยนไป
4. งำน = ผลต่ำงของพลังงำนเมื่อเวลำเปลี่ยนไป
109. ข้อใดแสดงทิศทำงกำรไหลของกระแสไฟฟ้ำ
1. ไหลจำกที่สูงลงสู่ที่ต่ำ
2. ไหลจำกขั้วลบไปยังขั้วบวก
3. ไหลจำกแรงดันต่ำไปยังแรงดันสูง
4. ไหลจำกศักย์ไฟฟ้ำสูงไปยังศักย์ไฟฟ้ำต่ำ
20
110. หลอดไฟฟ้ำ 220 V 80 W ถ้ำใช้นำน 20 ชั่วโมง จะสิ้นเปลืองพลังงำนไฟฟ้ำกี่ยูนิต
1. 0.8 ยูนิต 2. 1.6 ยูนิต
3. 2.4 ยูนิต 4. 3.2 ยูนิต
111. วงจรไฟฟ้ำวงจรหนึ่งมีควำมต้ำนทำนไฟฟ้ำ 12 กิโลโอห์ม มีกระแสไฟฟ้ำ 30 มิลลิแอมแปร์
จงคำนวณหำค่ำควำมต่ำงศักย์ไฟฟ้ำ
1. 36 มิลลิโวลต์ 2. 36 กิโลโวลต์
3. 0.36 มิลลิโวลด์ 4. 360 โวลต์
112. ข้อใดกล่ำวถึงกฎของโอห์มได้ถูกต้อง
1. กระแสไฟฟ้ำแปรผกผันกับควำมต้ำนทำนไฟฟ้ำ
2. กระแสไฟฟ้ำแปรผันตรงกับควำมต้ำนทำนไฟฟ้ำ
3. กระแสไฟฟ้ำแปรผันตรงกับควำมต่ำงศักย์ไฟฟ้ำ
4. กระแสไฟฟ้ำแปรผกผันกับควำมต่ำงศักย์ไฟฟ้ำ
113. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
1. อุปกรณ์ที่เป็นฉนวนไฟฟ้ำ
2. อุปกรณ์ที่ควบคุมกำรไหลของประจุ
3. อุปกรณ์ที่ควบคุมปริมำณและทิศทำงกำรไหลของอิเล็กตรอน
4. อุปกรณ์ที่ควบคุมปริมำณและทิศทำงกำรไหลของกระแสไฟฟ้ำ
114.
ตัวต้ำนทำนดังกล่ำวมีค่ำควำมต้ำนทำนกี่กิโลโอห์ม
1. 10 2. 100
3. 1,000 4. 10,000
115. อุปกรณ์ใดเป็นกำรใช้ประโยชน์จำกไดโอดเปล่งแสง
1. พัดลมไฟฟ้ำ
2. จอโทรทัศน์แอลซีดี
3. หน้ำจอคอมพิวเตอร์
4. หลอดฟลูออเรสเซนต์
21
116. อุปกรณ์ใดมีกำรใช้ตัวต้ำนทำนปรับค่ำได้
1. ตู้เย็น
2. สวิตช์หรี่ไฟ
3. โทรศัพท์มือถือ
4. จอโทรทัศน์แอลอีดี
117. ดำวเครำะห์ดวงใดมีขนำดเล็กที่สุดในระบบสุริยะ
1. ดำวพุธ 2. ดำวศุกร์
3. ดำวพลูโต 4. ดำวอังคำร
118. นักวิทยำศำสตร์ทรำบอำยุของระบบสุริยะได้จำกสิ่งใด
1. ดำวหำง
2. ดวงอำทิตย์
3. ดำวเครำะห์บำงดวง
4. อุกกำบำตที่ตกลงสู่โลก
119. สีของดำวฤกษ์ในข้อใดมีอุณหภูมิสูงที่สุด
1. แดง 2. ขำว
3. เหลือง 4. ส้มแดง
120. กำรใช้กล้องโทรทรรศน์ติดตั้งบนโลก ส่องดูดำวบนท้องฟ้ำจะรับได้เพียงคลื่นไมโครเวฟ และแสงสี
ที่มองเห็นได้เท่ำนั้น เพรำะเหตุใด
1. รังสีอื่นๆ จะสะท้อนกลับหมด
2. รังสีอื่นๆ ถูกบรรยำกำศของโลกดูดไว้
3. กล้องโทรทรรศน์มีสมบัติไม่ดีพอที่จะรับคลื่นอื่นๆ ได้
4. รังสีจำกดวงดำวมีเพียงคลื่นไมโครเวฟและแสงสีเท่ำนั้น
22
เฉลยข้อสอบ
ชุดที่ 1 แนวข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์
มัธยมศึกษาตอนต้น
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
1. 1 กำรใช้กล้องจุลทรรศน์ในกำรศึกษำเซลล์ ในกำรดูภำพครั้งแรกต้องใช้เลนส์ใกล้วัตถุ
ที่มีกำลังขยำยต่ำสุดก่อน ซึ่งเมื่อเห็นภำพแล้วจึงค่อยๆ ปรับให้มีกำลังขยำยสูงขึ้น
2. 4 ออร์แกเนลล์ที่ทำหน้ำที่สร้ำงพลังงำนให้แก่เซลล์ คือ ไมโทคอนเดรีย ส่วนนิวเครียส
เป็นแหล่งข้อมูลทำงพันธุกรรม คลอโรพลำสต์มีหน้ำที่เกี่ยวข้องกับกระบวนกำร
สังเครำะห์ด้วยแสง และแวคิวโอลทำหน้ำที่ขับถ่ำยของเสียออกจำกเซลล์
3. 2 ออร์แกเนลล์ที่พบเฉพำะในเซลล์พืชเท่ำนั้น ได้แก่ ผนังเซลล์ และคลอโรพลำสต์
ส่วนออร์แกเนลล์ที่พบเฉพำะในเซลล์สัตว์เท่ำนั้น ได้แก่ เซนทริโอล
4. 3 ส่วนประกอบที่อยู่ด้ำนนอกสุดของเซลล์พืช คือ ผนังเซลล์ ส่วนของเซลล์สัตว์ คือ
เยื่อหุ้มเซลล์
5. 4 ไมโทคอนเดรียทำหน้ำที่เป็นแหล่งสร้ำงพลังงำนให้แก่เซลล์ แวคิวโอลทำหน้ำที่เป็น
ที่เก็บ หลั่ง และถ่ำยเทของเหลวภำยในเซลล์ เซนทริโอลทำหน้ำที่ช่วยในกำร
เคลื่อนที่ของโครโมโซมในขณะที่มีกำรแบ่งเซลล์ และช่วยในกำรเคลื่อนที่ของเซลล์
บำงชนิด ร่ำงแหเอนโดพลำซึมทำหน้ำที่สังเครำะห์โปรตีนและเอนไซม์ กอลจิบอดี
ทำหน้ำที่เก็บสำรที่ร่ำงแหเอนโดพลำซึมสร้ำงขึ้น ร่ำงแหเอนโดพลำซึมและกอลจิบอดี
จึงมีควำมสัมพันธ์กันมำกที่สุด
6. 2 กำรกระจำยของน้ำหอมในอำกำศ กำรละลำยของน้ำตำลในน้ำ และกำรเคลื่อนที่ของ
แร่ธำตุเข้ำสู่เซลล์ขนรำก เป็นกระบวนกำรแพร่ เพรำะโมเลกุลของสำรเคลื่อนที่จำก
บริเวณที่มีควำมเข้มข้นของสำรมำกไปยังบริเวณที่มีควำมเข้มข้นของสำรน้อย ส่วน
กำรเคลื่อนที่ของน้ำข้ำสู่เซลล์ขนรำก เป็นกระบวนกำรออสโมซิส เพรำะน้ำเคลื่อนที่
จำกบริเวณที่มีโมเลกุลของน้ำมำกไปยังบริเวณที่มีโมเลกุลของน้ำน้อย
7. 1 พืชชนิดที่ 1 และ 3 เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว เนื่องจำกลำต้นมีไซเล็มและโฟลเอ็มเรียงตัว
กระจัดกระจำย และที่รำกมีไซเล็มเรียงตัวอยู่รอบพิธ โดยมีโฟลเอ็มแทรกอยู่ ส่วนพืช
ชนิดที่ 2 และ 4 เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ เนื่องจำกที่ลำต้นมีไซเล็มและโฟลเอ็มเรียงตัวเป็น
ระเบียบ ส่วนที่รำกมีไซเล็มเรียงตัวเป็นแฉก โดยมีโฟลเอ็มแทรกอยู่ระหว่ำงแฉก
23
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
8. 4 กำรลำเลียงน้ำเข้ำสู่รำกพืชจะใช้กระบวนกำรออสโมซิส โดยลำเลียงจำกบริเวณที่มี
น้ำมำกไปยังบริเวณที่มีน้ำน้อย ส่วนกำรลำเลียงแร่ธำตุจะใช้กำรแพร่ โดยลำเลียง
จำกบริเวณที่มีควำมเข้มข้นของแร่ธำตุมำกไปยังบริเวณที่มีควำมเข้มข้นของแร่ธำตุ
น้อย
9. 2 จำกสมกำรที่กำหนดให้เป็นปฏิกิริยำของกระบวนกำรสังเครำะห์ด้วยแสง ซึ่งจะมี
คำร์บอนไดออกไซด์และน้ำเป็นสำรตั้งต้น มีแสงและคลอโรฟิลล์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยำ
โดยจะได้น้ำตำลกลูโคส ออกซิเจน และน้ำเป็นผลิตภัณฑ์ ดั้งนั้น A คือ ออกซิเจน
10. 2 กระบวนกำรสังเครำะห์ด้วยแสง เป็นกระบวนกำรสร้ำงอำหำรของพืช ซึ่งอำหำรนั้น
จะทำให้พืชเจริญเติบโต และสะสมไว้ตำมเนื้อเยื่อต่ำงๆ ของพืช เมื่อสัตว์มำกินพืช
ก็จะได้รับกำรถ่ำยทอดพลังงำนกันไปเป็นทอดๆ ตำมโซ่อำหำรและสำยใยอำหำร
11. 3 โครงสร้ำงที่พืชใช้ในกำรสืบพันธุ์แบบอำศัยเพศ คือ ดอก ซึ่งภำยในจะประกอบ
ไปด้วยเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้และเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย
12. 4 กำรปฏิสนธิของพืชจะเกิดขึ้นเมื่อนิวเคลียสของละอองเรณูผสมกับนิวเคลียสของ
เซลล์ไข่ ซึ่งหลังจำกปฏิสนธิแล้ว กลีบเลี้ยง กลีบดอก และเกสรเพศผู้จะล่วงหล่นไป
รังไข่จะพัฒนำเป็นเปลือกและเนื้อของผล และออวุลจะพัฒนำเป็นเมล็ด
13. 1 กำรที่ดอกทำนตะวันหันไปทำงดวงอำทิตตลอดทั้งวัน เป็นผลมำจำกกำรตอบสนอง
ต่อแสง
14. 2 รำกต้นถั่วจะงอกไปตำมทิศทำงของแรงโน้มถ่วง (กำรตอบสนองต่อแรงโน้มถ่วง)
หมีจะจำศีลในช่วงฤดูหนำว (กำรตอบสนองต่ออุณหภูมิ) ดอกคุณนำยตื่นสำยจะบำน
เมื่อได้รับแสงแดด (กำรตอบสนองต่อแสง) นกจะบินกลับรังในเวลำพลบค่ำ
(กำรตอบสนองต่อแสง) ใบของต้นกำบหอยแครงจะหุบลงเมื่อได้รับกำรสัมผัสจำก
แมลง (กำรตอบสนองต่อกำรสัมผัส)ควำยจะลงไปแช่ในแอ่งน้ำเพื่อระบำยควำมร้อน
(กำรตอบสนองต่ออุณหภูมิ) ใบของต้นตะบองเพชรจะลดรูปเป็นหนำม เพื่อป้องกัน
กำรสูญเสียน้ำ (กำรตอบสนองต่อควำมชื้น) อึ่งอ่ำงจะพองตัวเมื่อถูกสัมผัส
(กำรตอบสนองต่อกำรสัมผัส)
15. 4 กำรเพำะเลี้ยงเนื้อเยื่อเป็นกำรขยำยพันธุ์พืชที่นิยมใช้กับพืชที่เป็นพืชเศรษฐกิจ และ
พืชที่ใกล้สูญพันธุ์ ซึ่งกำรเพำะเลี้ยงเนื้อเยื่อจะทำให้ได้พืชจำนวนมำกในเวลำอัน
รวดเร็ว และพืชที่ได้จะทนทำนต่อสภำพแวดล้อม แมลงศัตรูพืช และวัชพืชต่ำงๆ ได้
ดั้งนั้น พืชที่เหมำะสำหรับนำมำเพำะเลี้ยงเนื้อเยื่อ คือ พืช A C และ D ส่วนพืช B นั้น
สำมำรถเจริญเติบโตได้ในสภำพอำกำศของประเทศไทยอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้อง
ขยำยพันธุ์โดยกำรเพำะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
24
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
16. 3 เนื่องจำก
ข้อ 1. กำว โฟม และเยลลี เป็นคอลลอยด์
ข้อ 2. เหล็ก ปรอท และคลอรีน เป็นธำตุ
ข้อ 3. น้ำนมเป็นคอลลอยด์ น้ำส้มสำยชูเป็นสำรละลำย และน้ำคลองเป็น
สำรแขวนลอย
ข้อ 4. น้ำเกลือ น้ำเชื่อม และแอลกอฮอล์ล้ำงแผล เป็นสำรละลำย
17. 3 เนื่องจำก
- น้ำส้มสำยชู มีน้ำเป็นตัวทำละลำย และมีกรดแอซีติกเป็นตัวละลำย
- น้ำเกลือ มีน้ำเป็นตัวทำละลำย และมีเกลือแกงเป็นตัวละลำย
- น้ำเชื่อม มีน้ำเป็นตัวทำละลำย และมีน้ำตำลทรำยเป็นตัวละลำย
- แอลกอฮอล์ล้ำงแผล มีแอลกอฮอล์เป็นตัวทำละลำย และมีน้ำเป็นตัวละลำย
18. 2 ทองเป็นสำรเนื้อเดียวที่เป็นธำตุ ส่วนนำก อำกำศ และน้ำเกลือเป็นสำรเนื้อเดียวที่
เป็นสำรละลำย
19. 1 อิมัลซิไฟเออร์ คือ สำรที่ทำหน้ำที่เป็นตัวประสำนให้อนุภำคของเหลว 2 ชนิดที่
ไม่ละลำยซึ่งกันและกัน สำมำรถรวมตัวกันได้ ในน้ำนมจะมีโปรตีนเคซีนทำหน้ำที่
เป็นอิมัลไฟเออร์ ในน้ำสลัดจะมีไข่แดงทำหน้ำที่เป็นอิมัลไฟเออร์ ส่วนในกำร
ชำระล้ำงสิ่งสกปรกจะมีสบู่หรือผงซักฟอกทำหน้ำที่เป็นอิมัลซิไฟเออร์
20. 4 ผงฟู ผงซักฟอก น้ำปูนใส น้ำยำเช็ดกระจก และยำสระผม มีสมบัติเป็นเบส เบียร์
น้ำมะขำม น้ำมะเขือเทศ และน้ำส้มสำยชู มีสมบัติเป็นกรด ส่วนเกลือแกง
น้ำตำลทรำย และผงชูรส มีสมบัติเป็นกลำง
21. 2 แรงจะทำให้วัตถุหยุดนิ่ง เคลื่อนที่ หรือเปลี่ยนรูปร่ำงได้ แต่แรงไม่สำมำรถทำให้
วัตถุเปลี่ยนสถำนะได้
22. 3 กำรตักน้ำต้องใช้แรงดึง กำรปำเป้ำต้องใช้แรงดัน กำรนวดแป้งต้องใช้แรงกดและ
แรงบีบ ส่วนกำรโยนลูกบอลต้องใช้แรงดัน
23. 4 จำกสูตร อัตรำเร็ว =
ระยะทำง
เวลำ
แทนค่ำ 2 m/s =
ระยะทำง
เวลำ
ระยะทำง = 2 m/s x 60 s
= 120 m
24. 3 ควำมเร็วมีหน่วยเป็นเมตรต่อวินำที (m/s) หรือกิโลเมตรต่อชั่วโมง (km/hr)
25
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
25. 1 อัตรำเร็ว คือ ระยะทำงที่วัตถุเคลื่อนที่ไปได้ในหนึ่งหน่วยเวลำ ดังนั้น หำกต้องกำร
หำอัตรำเร็ว จะต้องทรำบค่ำระยะทำงและเวลำที่ใช้ในกำรเคลื่อนที่
26. 4 จำกสูตร
C
5
=
F−32
9
แทนค่ำ
30
5
=
F−32
9
F = (6 x 9) + 32
= 86
27. 4 กำรพำควำมร้อน เป็นกำรถ่ำยโอนพลังงำนควำมร้อนจำกจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง
โดยอำศัยตัวกลำงในกำรเคลื่อนที่ โดยตัวกลำงนั้นจะเคลื่อนที่ไปด้วย ซึ่งตัวกลำงใน
กำรพำควำมร้อน ได้แก่ ของเหลวและแก๊ส แต่แก๊สสำมำรถพำควำมร้อนได้ดีกว่ำ
ของเหลว เนื่องจำกโมเลกุลของแก๊สสำมำรถเคลื่อนที่ได้ดีกว่ำของเหลว
28. 2 เมื่อยืนอยู่ใกล้เตำไฟในบริเวณที่มีลมพัด เรำจะรู้สึกได้ถึงควำมร้อนจำกเตำไฟ
เนื่องจำกมีลมเป็นตัวกลำงในกำรพำควำมร้อนมำสู่ร่ำงกำย
29. 1 วัตถุสีเข้มจะดูดกลืนและคำยควำมร้อนได้ดีกว่ำวัตถุสีอ่อน วัตถุที่มีพื้นที่ผิวมำกจะ
ดูดกลืนและคำยควำมร้อนได้ดีกว่ำวัตถุที่มีพื้นที่ผิวน้อย วัตถุที่มีอุณหภูมิต่ำกว่ำ
อุณหภูมิสิ่งแวดล้อมจะดูดกลืนควำมร้อนได้เร็วกว่ำ แต่คำยควำมร้อนได้ช้ำกว่ำวัตถุ
ที่มีอุณหภูมิสูงกว่ำอุณหภูมิสิ่งแวดล้อม และวัตถุที่มีเนื้อหยำบหรือผิวด้ำนจะดูดกลืน
และคำยควำมร้อนได้ดีกว่ำวัตถุที่มีเนื้อละเอียดหรือผิวเป็นมัน
30. 2 กำรทำด้ำมจับกระทะด้วยพลำสติกเป็นกำรนำควำมรู้เรื่องกำรนำควำมร้อนมำใช้
ประโยชน์ กำรเอำมืออังเหนือกองไฟในฤดูหนำวเป็นกำรนำควำมรู้เรื่องกำรพำ
ควำมร้อนมำใช้ประโยชน์ กำรใส่เสื้อสีขำวเมื่อต้องอยู่กลำงแดดเป็นกำรนำควำมรู้
เรื่องกำรดูดกลืนและคำยควำมร้อนมำใช้ประโยชน์
31. 4 ชั้นบรรยำกำศมีประโยชน์ต่อโลกหลำยประกำร เช่น ช่วยปรับอุณหภูมิของโลกให้
เหมำะสมกับกำรดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต โดยไม่ให้ร้อนเกินไปในเวลำกลำงวัน ไม่
เย็นเกินไปในเวลำกลำงคืน ช่วยป้องกันอันตรำยจำกรังสีต่ำงๆ และอนุภำคต่ำงๆ
เป็นต้น
32. 3 บริเวณที่มีอุณหภูมิสูงจะเป็นบริเวณที่แห้งแล้ง เช่น ทะเลทรำย ซึ่งดูดกลืนควำมร้อน
จำกดวงอำทิตย์ได้ดี และในเวลำกลำงวันอำกำศจะร้อนกว่ำเวลำกลำงคืน
33. 4 บริเวณที่มีควำมชื้นในอำกำศสูงจะเป็นบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำ มีปริมำณไอน้ำใน
อำกำศมำก และสำมำรถรับไอน้ำจำกกำรระเหยได้น้อย
26
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
34. 1 ควำมกดอำกำศจะขึ้นอยู่กับระดับควำมสูงของพื้นที่ อุณหภูมิ และควำมชื้นของ
อำกำศ โดยควำมกดอำกำศจะมีค่ำน้อยเมื่อสถำนที่นั้นอยู่สูงขึ้นไปจำกระดับน้ำทะเล
มีอุณหภูมิต่ำ และมีควำมชื้นในอำกำศมำก
35. 4 ควำมชื้นสัมพัทธ์ที่มีค่ำพอเหมำะที่จะทำให้เรำรู้สึกสบำยตัว คือ มีค่ำประมำณ
60-70% ซึ่งหำกควำมชื้นสัมพัทธ์มีค่ำสูง อำกำศจะชื้น ร้อนอบอ้ำว รู้สึกเหนียวตัว
เสื้อผ้ำที่ตำกไว้จะแห้งช้ำ แต่ถ้ำควำมชื้นสัมพัทธ์มีค่ำต่ำ อำกำศจะแห้ง ผิวหนัง
ของเรำจะแตกแห้ง และเสื้อผ้ำที่ตำกไว้จะแห้งเร็ว
36. 4 หยำดน้ำฟ้ำ คือ ไอน้ำในบรรยำกำศที่ควบแน่นกลำยเป็นหยดน้ำหรือน้ำแข็งแล้วตก
ลงมำสู่พื้นโลก ได้แก่ ฝน ลูกเห็บ และหิมะ ส่วนหมอก น้ำค้ำง และน้ำค้ำงแข็ง ไม่ได้
ตกลงมำจำกฟ้ำ จึงไม่จัดเป็นหยำดน้ำฟ้ำ
37. 3 ลมเกิดจำกอำกำศในบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงลอยตัวสูงขึ้น ในขณะที่อำกำศในบริเวณ
ใกล้เคียงที่อุณหภูมิต่ำกว่ำจะเคลื่อนตัวเข้ำมำแทนที่ โดยควำมแตกต่ำงของอุณหภูมิ
ทั้ง 2 บริเวณนั้นเกิดจำกอำกำศทั้ง 2 บริเวณได้รับควำมร้อนจำกดวงอำทิตย์ไม่เท่ำกัน
38. 4 ศรลมเป็นอุปกรณ์ตรวจสอบควำมเร็วลม มีลักษณะเป็นลูกศรที่มีหำงเป็นแผ่นใหญ่
กว่ำหัวลูกศร มำตรวัดควำมเร็วลม หรือแอนีมอมิเตอร์ เป็นอุปกรณ์วัดควำมเร็วลม
มีลักษณะเป็นกรวยโลหะ 3 – 4 อัน ติดอยู่ที่ปลำยก้ำน ส่วนแอโรเวนเป็นอุปกรณ์ที่ใช้
ตรวจสอบทิศทำงลมและวัดควำมเร็วลม มีรูปร่ำงคล้ำยเครื่องบินไม่มีปีก
39. 3 กำรพยำกรณ์อำกำศ คือ กำรคำดหมำยสภำวะลมฟ้ำอำกำศ รวมทั้งปรำกฏกำรณ์
ทำงธรรมชำติที่เกิดขึ้นในช่วงเวลำข้ำงหน้ำ โดยใช้ข้อมูลจำกแผ่นที่อำกำศช่วย
ในกำรพยำกรณ์ ซึ่งกำรพยำกรณ์อำกำศจะมีประโยชน์ในหลำยด้ำน เช่น เมื่อทรำบ
สภำพอำกำศล่วงหน้ำจะทำให้สำมำรถกำหนดและปรับเปลี่ยนเส้นทำงคมนำคม
เพื่อควำมปลอดภัยได้
40. 4 กำรปลูกป่ำทดแทน หรือกำรฟื้นฟูสภำพป่ำไม้ กำรลดปริมำณขยะ และกำรใช้
พลังงำนหมุนเวียน จัดเป็นกำรช่วยลดภำวะโลกร้อน แต่กำรใช้ถุงพลำสติกแม้เพียง
ใบเดียวก็นับว่ำไม่เป็นกำรช่วยลดภำวะโลกร้อน
41. 3 หำกกำรจัดระบบในร่ำงกำยผิดปกติในระดับใดระดับหนึ่ง จะส่งผลให้ระบบต่ำงๆ
ในร่ำงกำยทำงำนผิดปกติ ซึ่งทำให้ไม่สำมำรถดำรงชีวิตอยู่ได้
42. 2 อำหำรที่เหลือจำกกำรย่อยและอำหำรที่ย่อยไม่ได้นั้นจะถูกส่งไปยังลำไส้ใหญ่ โดย
ลำไส้ใหญ่จะทำหน้ำที่ดูดน้ำและแร่ธำตุกลับคืนสู่ร่ำงกำย ส่วนที่เป็นกำกอำหำรจะ
เคลื่อนที่ไปรวมกันที่ปลำยของลำไส้ใหญ่ เพื่อรอขับถ่ำยออกทำงทวำรหนัก หำก
ลำไส้ใหญ่ทำงำนผิดปกติจะทำให้มีอำกำรท้องผูก
27
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
43. 2 หัวใจห้องล่ำงมีกล้ำมเนื้อที่หนำกว่ำกล้ำมเนื้อหัวใจห้องบน เนื่องจำกเป็นกล้ำมเนื้อที่
ทำหน้ำที่บีบตัว เพื่อดันเลือดให้ออกจำกหัวใจไปยังส่วนต่ำงๆ ของร่ำงกำยและไปยัง
ปอด จึงจำเป็นต้องมีกล้ำมเนื้อที่มีควำมแข็งแรงและหนำ ส่วนหัวใจห้องบน
ทำหน้ำที่รับและเก็บเลือดเพื่อส่งต่อมำยังหัวใจห้องล่ำงเท่ำนั้น ดังนั้น จึงมีกล้ำมเนื้อ
ไม่หนำมำกนัก
44. 2 เนื่องจำกแก๊สออกซิเจนในน้ำมีปริมำณน้อยกว่ำในอำกำศ กำรที่เหงือกของปลำมี
ลักษณะเป็นซี่เล็กๆ จะช่วยเพิ่มพื้นที่ในกำรแลกเปลี่ยนแก๊สระหว่ำงน้ำกับเซลล์ของ
เหงือก
45. 4 ในขณะหำยใจเข้ำ กระดูกซี่โครงจะเลื่อนสูงขึ้น กะบังลมเลื่อนต่ำลง ทำให้ปริมำตร
ช่องอกมีมำกขึ้น ควำมดันอำกำศลดต่ำลง อำกำศภำยนอกร่ำงกำยจะผ่ำนเข้ำสู่ปอด
ซึ่งหำกเป็นกำรหำยใจออกจะมีลักษณะตรงข้ำมกัน
46. 3 ไตมีหน้ำที่กรองของเสียที่ร่ำงกำยไม่ต้องกำรออกจำกเลือด ซึ่งของเสียนั้นจะสลำย
เป็นน้ำปัสสำวะ แล้ถูกขับออกนอกร่ำงกำย ดังนั้นหำกไตทำงำนผิดปกติ จะทำให้
กำรปัสสำวะเกิดควำมผิดปกติ หรือน้ำปัสสำวะมีองค์ประกอบเปลี่ยนแปลงไป
47. 3 รังไข่มีหน้ำที่ผลิตเซลล์ไข่และฮอร์โมนเพศหญิงที่ควบคุมพัฒนำกำรทำงเพศของ
เพศหญิง หำกรังไข่ผิดปกติ จะทำให้มีพัฒนำกำรทำงเพศปกติ
48. 2 แฝดอิน-จัน เกิดจำกแฝดร่วมไข่ ซึ่งกำรที่มีบำงส่วนในร่ำงกำนติดกันอยู่ เนื่องจำก
เมื่อไข่ได้รับกำรผสมแล้วเกิดกำรแบ่งเซลล์จำก 1 เป็น 2 เซลล์ โดยเซลล์ทั้งสอง
แยกตัวจำกกันไม่สมบูรณ์ จึงทำให้ตัวอ่อนที่เจริญเติบโตนั้นมีบำงส่วนในร่ำงกำย
ติดกันอยู่
49. 4 พฤติกรรม เป็นกำรแสดงออกที่เกิดขึ้นจำกกำรทำงำนร่วมกันของพันธุกรรมและ
สภำพแวดล้อม ซึ่งกำรแสดงพฤติกรรมต่ำงๆ ของสิ่งมีชีวิตนั้นล้วนเพื่อกำรอยู่รอด
และดำรงเผ่ำพันธุ์
50. 2 เทคโนโลยีชีวภำพทำให้สำมำรถขยำยพันธุ์สัตว์ได้อย่ำงรวดเร็ว ได้สัตว์ที่มี
คุณสมบัติตรงตำมต้องกำร แต่ยังมีข้อเสีย คือ มีค่ำใช้จ่ำยมำก และต้องใช้ผู้ที่มีควำมรู้
ควำมเชี่ยวชำญ
51. 2 พลังงำนที่ร่ำงกำยต้องกำรจะขึ้นอยู่กับเพศ วัย และกิจกรรมที่ทำ ซึ่งในกิจกรรม
เดียวกันนั้น เพศชำยจะใช้พลังงำนมำกกว่ำเพศหญิง และผู้ที่มีน้ำหนักมำกจะใช้
พลังงำนมำกกว่ำผู้ที่มีน้ำหนักน้อย
28
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
52. 1 วัยรุ่นเป็นวัยที่กำลังมีกำรเจริญเติบโตทำงร่ำงกำยอย่ำงมำก และต้องใช้พลังงำนมำก
ในกำรทำกิจกรรมต่ำงๆ จึงควรบริโภคอำหำรที่ให้เพลังงำนและช่วยเสริมสร้ำงกำร
เจริญเติบโต ซึ่งได้แก่ อำหำรในกลุ่มคำร์โบไฮเดรตและโปรตีน
53. 4 เด็กในวัยเรียนอำจยังขำดควำมรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับกำรบริโภคอำหำรเพื่อสุขภำพ
ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเลือกรับประทำนอำหำรที่ตนเองชอบ ไม่รับประทำนอำหำรให้
ครบทั้ง 5 หมู่ ซึ่งทำให้ร่ำงกำยขำดสำรอำหำรบำงชนิด
54. 3 จำกอำหำรที่กำหนดให้ มีสำรอำหำร ดังนี้
อาหาร สารอาหาร
ขนมครก คำร์โบไฮเดรต ไขมัน
ปำท่องโก๋ คำร์โบไฮเดรต ไขมัน
กล้วยบวชชี คำร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตำมิน
นมถั่วเหลือง โปรตีน
ดังนั้น ควรเลือกรับประทำนกล้วยบวชชี เพรำะมีสำรอำหำรมำกที่สุด
55. 4 กำรสังเกตว่ำบุคคลใดติดสำรเสพติดนั้น วิธีที่ให้ผลน่ำเชื่อถือมำกที่สุด คือ กำรตรวจ
เลือดและปัสสำวะ ซึ่งเป็นวิธีกำรตรวจหำสำรเสพติดในร่ำงกำยผู้เสพ
56. 4 ธำตุเป็นสำรบริสุทธิ์ที่ประกอบด้วยอะตอมชนิดเดียวกัน ในทำงเคมีจึงไม่สำมำรถ
แยกสลำยเป็นสำรอื่นได้ ซึ่งธำตุแต่ละชนิดมีสมบัติแตกต่ำงกัน สำมำรถแบ่งธำตุ
ออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่ โลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ
57. 2 เนื่องจำกสมบัติของสำรแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่
1. สมบัติทำงกำยภำพ คือ สมบัติที่สังเกตเห็นได้หรือทดลองด้วยวิธีง่ำยๆ ได้ เช่น
สี กลิ่น รส จุดเดือด จุดหลอมเหลว สถำนะ กำรนำไฟฟ้ำ ควำมแข็ง เป็นต้น
2. สมบัติทำงเคมี คือ สมบัติที่ทรำบได้เมื่อมีกำรเปลี่ยนแปลงทำงเคมี หรือก็คือ
สมบัติเฉพำะตัวของสำรที่เกี่ยวข้องกับกำรเกิดปฏิกิริยำเคมี เช่น ควำมเป็นกรด-เบส
กำรลุกติดไฟ กำรสลำยตัวให้สำรใหม่ เป็นต้น
58. 3 เนื่องจำกโลหะมีสมบัติในกำรนำควำมร้อนได้ดี ช่วยทำให้อำหำรสุกเร็ว ภำชนะ
หุงต้มจึงมักทำจำกโลหะ
59. 2 กำรกลั่นแบบไอน้ำ เป็นวิธีกำรแยกสำรที่เป็นของเหลวระเหยง่ำย (จุดเดือดต่ำ) และ
ไม่ละลำยน้ำ โดยใช้ควำมดันจำกไอน้ำทำให้สำรที่ระเหยง่ำยเดือดกลำยเป็นไอแล้ว
ถูกกลั่นออกมำพร้อมกับน้ำ
29
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
60. 4 กำรแยกสำรโดยวิธีโครมำโทกรำฟี อำศัยควำมสำมำรถของสำรในกำรละลำย และ
ควำมสำมำรถในกำรถูกดูดซับบนตัวดูดซับ ซึ่งหำกสำรใดละลำยได้ดี และถูกดูดซับ
ได้น้อย จะสำมำรถเคลื่อนที่ไปบนตัวดูดซับได้มำก
61. 1 ปฏิกิริยำดูดควำมร้อน คือ กำรที่ระบบดูดพลังงำนควำมร้อนจำกสิ่งแวดล้อม ทำให้
อุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมลดลง เมื่อลองสัมผัสที่ภำชนะจะรู้สึกเย็น แต่หลังจำก
สิ้นสุดปฏิกิริยำระบบจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น นั่นคือ หลังทำปฏิกิริยำอุณหภูมิของระบบ
จะสูงกว่ำก่อนทำปฏิกิริยำ
62. 2 ในข้อก.ข.ค.และจ.เป็นกำรเพิ่มกระทำที่ช่วยเพิ่มอัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำทั้งสิ้นแต่ใน
ข้อ ง. กำรเพิ่มปริมำณของสำรตั้งต้นโดยกำรเติมน้ำกลั่นลงไปนั้น ควำมเข้มข้นของ
สำรตั้งต้นจะเจือจำงลง ซึ่งทำให้อัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำช้ำลง
63. 4 อุณหภูมิที่สูงขึ้น กำรเพิ่มพื้นที่ผิว และสำรตั้งต้นที่มีควำมเข้มข้นสูง เป็นปัจจัยที่จะ
ทำให้สำรสำมำรถเกิดปฏิกิริยำเคมีได้อย่ำงรวดเร็วทั้งสิ้น ส่วนสำรไวไฟนั้น หมำยถึง
สำรที่ลุกติดไฟได้ง่ำยในสภำพอุณหภูมิและควำมดันปกติ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกำร
เกิดปฏิกิริยำเคมีบำงประเภท
64. 4 กำรเกิดหินงอกหินย้อย เป็นปรำกฏกำรณ์ที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติ ซึ่งไม่มีอันตรำย
ต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม แต่กำรเกิดฝนกรด ปรำกฏกำรณ์เรือนกระจก และ
น้ำเน่ำเสียจำกกำรทิ้งสำรอินทรีย์ เป็นปรำกฏกำรณ์ที่เกิดขึ้นแล้วจะเป็นอันตรำยต่อ
สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม
65. 2 สำรสังเครำะห์ คือ สำรที่มนุษย์สร้ำงขึ้นโดยกำรลอกเลียนแบบจำกสำรธรรมชำติ
ซึ่งมีประสิทธิภำพสูงกว่ำสำรจำกธรรมชำติ แต่บำงชนิดจะมีอันตรำยสูง เพรำะ
เกิดจำกกำรสังเครำะห์ของธำตุโลหะหนักที่เป็นพิษต่อร่ำงกำยสิ่งมีชีวิต
66. 3 แรงเป็นปริมำณเวกเตอร์ ซึ่งมีทั้งขนำดและทิศทำง
67. 3 จำกที่กำหนดให้ว่ำแรงลัพธ์มีค่ำ 9 นิวตัน ซึ่งเกิดจำกผลรวมของแรง F1 และ F2
แสดงว่ำ ทั้งแรง F1 และ F2 มีค่ำเป็นบวกและมีทิศทำงไปในทำงเดียวกัน
68. 2 จำกภำพสำมำรถหำแรงลัพธ์ ได้ดังนี้
Fลัพธ์ = (F1+F2)-F3
= (15+5)-15
= 5 นิวตัน โดยมีทิศไปทำงขวำ
69. 2 รังสีตกกระทบ คือ รังสีของแสงที่พุ่งเข้ำหำพื้นผิวของวัตถุ จำกภำพจะสังเกตรังสีที่
พุ่งเข้ำหำพื้นผิวของวัตถุได้จำกลูกศรที่เขียนกำกับไว้ ซึ่งรังสีตกกระทบ คือ รังสี AO
30
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
70. 2 กำรสะท้อนกลับหมดจะเกิดจำกกำรที่แสงเคลื่อนที่ผ่ำนตัวกลำงที่มีควำมหนำแน่น
มำกไปยังตัวกลำงที่มีควำมหนำแน่นน้อยกว่ำ ซึ่งจำกตัวกลำงที่กำหนดให้นั้น ดัชนี
หักเหของแก้วมีค่ำมำกที่สุด รองลงมำเป็น น้ำ และอำกำศตำมลำดับ
71. 3 เนื่องจำกแว่นสำยตำยำวทำมำจำกเลนส์นูน ซึ่งกรณีที่จะทำให้มองเห็นวัตถุมีขนำด
เล็กกว่ำควำมจริง วัตถุนั้นจะต้องอยู่ไกลกว่ำตำแหน่งของจุดศูนย์กลำงควำมโค้ง
(จุด C) ดังภำพ
72. 3 กำรเกิดภำพจำกกระจกเว้ำนั้น ตำแหน่งของวัตถุที่จะทำให้เกิดภำพเสมือนหัวตั้ง
ขนำดใหญ่กว่ำวัตถุ คือ วัตถุต้องอยู่ในระยะใกล้กว่ำจุดโฟกัส (F)
73. 2 ตำขำวหรือเยื่อหุ้มลูกตำ มีสีขำว เป็นชั้นที่มีควำมหนำ เหนียวและแข็งแรง มีหน้ำที่
รักษำรูปทรงของลูกตำและปกป้องโครงสร้ำงภำยในตำทั้งหมด ส่วนกำรรักษำสมดุล
ของแสงที่เข้ำสู่จอตำนั้นจะเป็นหน้ำที่ของรูม่ำนตำ
74. 2 ภำพที่ตกบนจอตำนั้นจะเป็นภำพจริงหัวกลับ ส่วนขนำดของภำพจะขึ้นอยู่กับระยะ
วัตถุว่ำอยู่ในตำแหน่งใดของเลนส์ตำ ซึ่งหลังจำกนั้นสมองจะทำกำรแปลงสัญญำณ
ภำพที่ได้จำกจอตำให้กลำยเป็นภำพจริงหัวตั้ง
75. 1 โลกมีลักษณะเป็นทรงกลมแป้นคล้ำยลูกมะนำวนั้น หมำยควำมว่ำ โลกจะมีเส้นผ่ำน
ศูนย์กลำงไม่เท่ำกันทั่วทั้งโลก โดยจะมีเส้นศูนย์กลำงในแนวนอนยำวกว่ำเส้นผ่ำน
ศูนย์กลำงในแนวตั้ง
76. 2 เปลือกโลกมีควำมหนำประมำณ 70 กิโลเมตร เนื้อโลกมีควำมหนำประมำณ 2,830
กิโลเมตร และแก่นโลกมีควำมหนำประมำณ 3,470 กิโลเมตร
77. 2 ดินชั้นบนจะมีสีคล้ำกว่ำดินชั้นล่ำง เพรำะดินชั้นบนมีปริมำณของฮิวมัสที่ได้จำกกำร
สลำยของซำกพืชซำกสัตว์มำกกว่ำดินชั้นล่ำง นอกจำกนี้ ดินชั้นบนยังมีขนำดของ
เม็ดดินเล็กกว่ำและมีควำมพรุนมำกกว่ำดินชั้นล่ำงอีกด้วย
78. 2 ควำมร้อนและควำมดันจะส่งผลทำให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงของพันธะเคมีภำยใน
โมเลกุลของหิน จึงเป็นผลทำให้หินอัคนีและหินตะกอนกลำยสภำพเป็นหินแปร
79. 3 สมบัติทำงกำยภำพของแร่ประกอบไปด้วย ผลึก ควำมหนำแน่น ควำมแข็ง สี
สีผงละเอียด ควำมวำว และกำรให้แสงผ่ำน ส่วนสีเปลวไฟกับกำรเรืองแสงจะเป็น
สมบัติทำงเคมีของแร่
31
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
80. 4 ทรัพยำกรธรรมชำติ หมำยถึง สิ่งที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติ และมนุษย์สำมำรถ
นำมำใช้ประโยชน์ได้
81. 1 กำรถ่ำยทอดลักษณะของสิ่งมีชีวิตจำกรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง หมำยถึง พันธุกรรม
(heredity)
82. 4 ลักษณะทำงพันธุกรรม เป็นลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่สำมำรถถ่ำยทอดจำกรุ่นสู่รุ่น โดย
ผ่ำนทำงเซลล์สืบพันธุ์ ซึ่งแผลเป็นนั้นอำจเกิดจำกอุบัติเหตุจึงไม่จัดเป็นลักษณะทำง
พันธุกรรม
83. 3 เมื่อมองเซลล์ผ่ำนกล้องจุลทรรศน์ในขณะที่เซลล์ยังไม่มีกำรแบ่งเซลล์ จะเห็นเส้นใย
เล็กๆ เรียกว่ำ โครมำทิน (chromatin) เมื่อมีกำรแบ่งเซลล์ เส้นโครมำทินจะหดตัวสั้น
มีลักษณะเป็นแท่ง เรียกว่ำ โครโมโซม (chromosome) ซึ่งแต่ละโครโมโซม
ประกอบด้วยแขนสองข้ำง เรียกว่ำ โครมำทิด (chromatid) ที่มีจุดเชื่อมติดกัน เรียกว่ำ
เซนโทรเมียร์ (centromere)
84. 1 มนุษย์มีโครโมโซม 46 แท่ง หรือ 23 คู่ ซึ่งเป็นออโตโซม 22 คู่ และเป็นโครโมโซม
เพศ 1 คู่
85. 2 กำรที่สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันมีหลำยสำยพันธุ์ เป็นควำมหลำกหลำยทำงชนิดพันธุ์
86. 1 มนุษย์ยุคปัจจุบันมีชื่อวิทยำศำสตร์ว่ำ Homo sapiens
87. 2 กำรจัดจำแนกสิ่งมีชีวิตที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันเป็นแนวคิดของรอเบิร์ต วิตเทเกอร์ ซึ่ง
จำแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็น 5 อำณำจักร คือ อำณำจักรมอเนอรำ อำณำจักรโพรทิสตำ
อำณำจักรฟังไจ อำณำจักรพืช และอำณำจักรสัตว์
88. 4 จำกกำรแบ่งสิ่งมีชีวิตออกเป็น 2 กลุ่มตำมโจทย์นั้น แสดงว่ำใช้กำรมีกระดูกสันหลัง
เป็นเกณฑ์ในกำรจำแนก
89. 4 โครงสร้ำงของระบบนิเวศประกอบด้วยกลุ่มสิ่งมีชีวิต แหล่งที่อยู่ และสิ่งแวดล้อม
90. 3 ทั้งมอส ชวนชม และสำหร่ำยหำงกระรอกเป็นผู้ผลิตในระบบนิเวศ ส่วนเห็ดนำงฟ้ำ
เป็นผู้ย่อยสลำย
91. 4 ไลเคนเป็นกำรอยู่ร่วมกันของรำกับสำหร่ำย โดยรำได้อำหำรจำกที่สำหร่ำยสร้ำงขึ้น
ส่วนสำหร่ำยได้ควำมชื้นจำกรำเพื่อนำไปใช้ในกระบวนกำรสังเครำะห์ด้วยแสง
ซึ่งเป็นควำมสัมพันธ์แบบภำวะพึ่งพำกัน
92. 2 โซ่อำหำร เป็นควำมสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศที่มีกำรกินต่อกันเป็นทอดๆ
และมักเริ่มต้นด้วยผู้ผลิตเสมอ ซึ่งกำรเขียนโซ่อำหำรนิยมให้ผู้ถูกกินหรือเหยื่ออยู่ทำง
ซ้ำยมือและผู้กินหรือผู้ล่ำอยู่ทำงขวำมือ โดยมีลูกศรอยู่ระหว่ำงผู้ล่ำและเหยื่อ ส่วน
หัวลูกศรจะชี้ไปทำงผู้กินหรือผู้ล่ำเสมอ
32
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
93. 1 กำรคำยน้ำของพืชเกี่ยวข้องกับวัฏจักรของน้ำ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับวัฏจักรคำร์บอน
94. 3 วัฏจักรไนโตรเจนต้องอำศัยแบคทีเรียในกำรตรึงไนโตรเจน และเปลี่ยนสำรต่ำงๆ
ภำยในวัฏจักร
95. 4 ปัจจัยที่มีผลต่อกำรเปลี่ยนแปลงขนำดของประชำกร ได้แก่ อัตรำกำรเกิด อัตรำกำร
ตำย อัตรำกำรอพยพเข้ำ และอัตรำกำรอพยพออก
96. 4 ระบบนิเวศจะสมดุลได้จะต้องมีกำรควบคุมจำนวนผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลำย
ให้มีปริมำณ สัดส่วน และกำรกระจำยที่เหมำะสม
97. 1 สิ่งแวดล้อม หมำยถึง สิ่งต่ำงๆ ที่อยู่รอบตัวเรำ ประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตและ
สิ่งไม่มีชีวิต อำจมองเห็นได้หรือมองไม่เห็น และอำจเกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติหรือ
จำกที่มนุษย์สร้ำงขึ้น
98. 1 สำเหตุสำคัญที่สุดของปัญหำวิกฤตกำรณ์ด้ำนสิ่งแวดล้อมและทรัพยำกรธรรมชำติ
คือ กำรเพิ่มขึ้นของประชำกร เนื่องจำกเมื่อประชำกรเพิ่มขึ้น ควำมต้องกำรทรัพยำกร
ก็ย่อมเพิ่มขึ้น จึงส่งผลให้ทรัพยำกรมีไม่เพียงพอต่อควำมต้องกำร
99. 3 มนุษย์เป็นตัวกำรสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหำวิกฤติกำรณ์ด้ำนสิ่งแวดล้อมและ
ทรัพยำกรธรรมชำติ เนื่องจำกมนุษย์นำทรัพยำกรมำใช้อย่ำงฟุ่มเฟือยและไม่รู้คุณค่ำ
100. 3 กำรให้กำรศึกษำแก่ประชำชนให้ตะหนักถึงปัญหำ ตลอดจนร่วมกันแก้ปัญหำ
สิ่งแวดล้อมและทรัพยำกรธรรมชำติ เป็นแนวทำงกำรแก้ปัญหำในระยะยำวที่นับว่ำ
ได้ผลดีที่สุด
101. 2 แรงโน้มถ่วงของโลกจะมีค่ำมำกหรือน้อยขึ้นอยู่กับควำมเร่งเนื่องจำกแรงโน้มถ่วง
ซึ่งจะแปรผันกับระยะห่ำงระหว่ำงวัตถุกับพื้นโลก นั่นคือ ยิ่งมีระยะห่ำงน้อย
ควำมเร่งโน้มถ่วงและแรงโน้มถ่วงก็จะยิ่งมีค่ำมำกขึ้น
102. 3 กฎกำรเคลื่อนที่ของนิวตัน ได้แก่ 1. วัตถุที่ไม่ถูกกระทำด้วยแรงลัพธ์จะเคลื่อนที่ด้วย
ควำมเร็วคงตัวหรือหยุดนิ่ง 2. ถ้ำมีแรงภำยนอกมำกระทำ วัตถุจะมีควำมเร่ง 3. เมื่อมี
แรงกิริยำจะมีแรงปฏิกิริยำกระทำด้วยขนำดเท่ำกัน แต่ทิศทำงตรงกันข้ำมและกระทำ
ต่อวัตถุต่ำงชิ้นกัน
103. 2 แรงลอยตัวหรือแรงพยุงจะมีค่ำมำกหรือน้อยขึ้นอยู่กับควำมหนำแน่นของของเหลว
ปริมำตรของของเหลวที่ถูกแทนที่ และควำมเร่งเนื่องจำกแรงโน้มถ่วงของโลก
104. 4 โมเมนต์ M = F x I เมื่อ F = mg (9 kg x 10 m/s2
= 90 N)
แทนค่ำ M = 90 N x 0.6 m
= 54 Nm
33
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
105. 3 จำก W = F x S
= 50 N x 1 m
= 50 Nm
106. 4 ขณะที่รถเคลื่อนที่ขึ้นภูเขำจะเกิดพลังงำนจลน์ ส่วนพลังงำนศักย์โน้มถ่วงจะค่อยๆ
เพิ่มขึ้นตำมควำมสูงและมีค่ำสูงสุดที่ยอดเขำ จำกนั้นพลังงำนศักย์โน้มถ่วงจะลดลง
และเปลี่ยนเป็นพลังงำนจลน์อีกครั้ง
107. 3 พลังงำนจลน์ Ek =
1
2
mv2
แทนค่ำ =
1
2
(1,000 kg) (102
)
= 50,000 J
108. 4 จำกกฎกำรอนุรักษ์พลังงำน งำนมีค่ำเท่ำกับผลต่ำงของพลังงำนเมื่อเวลำเปลี่ยนไป
หรือ W = E2 – E1
109. 4 กระแสไฟฟ้ำจะไหลจำกบริเวณศักย์ไฟฟ้ำสูงไปยังบริเวณศักย์ไฟฟ้ำต่ำ โดยไหลจำก
ขั้วบวกไปยังขั้วลบซึ่งสวนทำงกับทิศทำงกำรไหลของอิเล็กตรอน
110. 2 จำก W = Pt
= 0.08 kw x 20 hr
= 1.6 Unit
111. 4 จำก V = IR
= (30 mA)(12 kΩ)
= 360 V
112. 3 กฎของโอห์มอธิบำยควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกระแสไฟฟ้ำและควำมแตกต่ำงศักย์ไฟฟ้ำ
ว่ำ ควำมต่ำงศักย์ไฟฟ้ำจะเพิ่มขึ้นตำมกระแสไฟฟ้ำที่เพิ่มขึ้น
113. 4 อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นอุปกรณ์ที่ควบคุมปริมำณและทิศทำงกำรไหลของ
กระแสไฟฟ้ำในวงจรไฟฟ้ำ มีทั้งสำรตัวนำ สำรกึ่งตัวนำ และฉนวนไฟฟ้ำ
114. 1 แถบสีตัวต้ำนทำน น้ำตำล (1) ดำ (0) ส้ม (x1,000) ทอง (±0.5%)
ค่ำควำมต้ำนทำน = 10 x 1,000 Ω ± 0.5%
= 10,000 ± 0.5% Ω
= 10 kΩ
115. 3 ไดโอดเปล่งแสงเป็นอุปกรณ์ที่มักนำมำใช้เพื่อให้ควำมสว่ำงปัจจุบันเป็นที่นิยมใช้มำก
ในกำรสร้ำงอุปกรณ์แสดงผลทำงหน้ำจอเช่นจอคอมพิวเตอร์ จอโทรทัศน์ เป็นต้น
34
ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ
116. 2 ตัวต้ำนทำนปรับค่ำได้สำมำรถเลือกค่ำควำมต้ำนทำนได้ตำมต้องกำร มักอยู่ในอุปกรณ์
ที่ต้องกำรปรับเปลี่ยนควำมต้ำนทำน เช่นปุ่มปรับเสียง สวิตช์หรี่ไฟ เป็นต้น
117. 1 ดำวพุธ เป็นดำวเครำะห์ที่มีขนำดเล็กที่สุดในระบบสุริยะ ส่วนดำวพลูโตถูกจัดเป็น
ดำวเครำะห์แคระ
118. 4 นักวิทยำศำสตร์สำมำรถทรำบอำยุของระบบสุริยะได้จำกอุกกำบำตที่ตกลงสู่โลก
เพรำะวัตถุท้องฟ้ำจะเกิดขึ้นพร้อมกับกำรเกิดระบบสุริยะ
119. 2 ดำวฤกษ์ที่มีสีขำวมีอุณหภูมิสูงที่สุด รองลงมำ คือ ดำวฤกษ์ที่มีสีเหลือง ดำวฤกษ์ที่มี
สีส้มแดง และดำวฤกษ์ที่มีสีแดง ตำมลำดับ
120. 2 เนื่องจำกรังสีส่วนใหญ่จะถูกชั้นบรรยำกำศของโลกดูดไว้ ไม่ให้ผ่ำนมำยังพื้นโลกได้
35
ชุดที่ 2 ข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์ 2552
มัธยมศึกษาตอนต้น
ส่วนที่ 1 : แบบระบำยตัวเลือก แต่ละข้อมีคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว
จำนวน 32 ข้อ (ข้อ 1-32) : ข้อละ 2.5 คะแนน
1. กำรสับหรือบดอำหำรให้มีขนำดเล็กจะมีผลต่อกำรย่อยอย่ำงไร
1. กลืนง่ำยและดูดซึมง่ำย
2. ชิ้นอำหำรมีขนำดเล็ก ดูดซึมง่ำย
3. อำหำรซึมผ่ำนผนังลำไส้เล็กได้ง่ำย
4. อำหำรมีพื้นที่ผิวสัมผัสกับน้ำย่อยได้มำก
2. กำรรับประทำนผักดิบกับน้ำพริก เมื่อเทียบกับกำรรับประทำนผักชนิดเดียวกันที่ผ่ำนกำรต้มเป็น
ระยะเวลำนำน ผักทั้งสองแบบมีปริมำณวิตำมินชนิดใดแตกต่ำงกันมำกที่สุด
1. วิตำมิน เอ 2. วิตำมิน ซี
3. วิตำมิน ดี 4. วิตำมิน อี
3. นักเรียนโรงเรียนหนึ่งต้องกำรตรวจสอบสมมติฐำนที่ว่ำ “สำรต่ำงชนิดกันมีควำมสำมำรถในกำรรับ
และคำยควำมร้อนได้ไม่เท่ำกัน” นักเรียนจึงเลือกใช้น้ำประปำ ดินเหนียว ดินทรำย และเศษไม้เล็กๆ
ในกำรทดลอง ให้ควำมร้อนจนอุณหภูมิของสำรเพิ่มขึ้นจนถึง 40 องศำเซลเซียส ปัจจัยในข้อใดที่ต้อง
จัดให้เหมือนกัน
1. สถำนะของสำร ปริมำณสำร
2. สถำนะของสำร อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง
3. สถำนที่วำงสำร ภำชนะที่ใส่สำร
4. สถำนที่วำงสำร ระยะเวลำในกำรเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิที่กำหนด
4. ถ้ำในเลือดมีปริมำณ CO2 มำก และมีปริมำณ O2 น้อย จะทำให้เกิดอำกำรใด
1. ไอ 2. หำว
3. จำม 4. สะอึก
ปีการศึกษา
36
5. นำอำหำรเหลวชนิดหนึ่งมำทดสอบหำสำรอำหำร ได้ผลดังตำรำง
ตำรำง ผลกำรทดสอบสำรอำหำรโดยใช้สำรละลำยชนิดต่ำงๆ
ชนิดอาหาร
ผลการทดสอบกับสารละลายชนิดต่างๆ
คอปเปอร์ซัลเฟต
โซเดียม
ไฮดรอกไซด์
เบเนดิกต์ ไอโอดีน
อำหำรเหลว ตะกอนสีม่วง ตะกอนสีม่วง ตะกอนสีส้ม ไม่เปลี่ยนแปลง
ข้อใดสรุปได้ครอบคลุมที่สุด
1. มีโปรตีน และคำร์โบไฮเดรตเป็นองค์ประกอบ
2. มีโปรตีน และแป้งเป็นองค์ประกอบ
3. มีโปรตีน และน้ำตำลทรำยเป็นองค์ประกอบ
4. มีโปรตีน และน้ำตำลโมเลกุลเดี่ยวเป็นองค์ประกอบ
6. ภำพ กำรทดสอบแป้งที่ตำแหน่งปิดกระดำษของใบไม้ที่อยู่ในต้นเดียวกัน เมื่อให้ใบได้รับแสงเป็นเวลำ
4 ชั่วโมง
จำกภำพ กำรออกแบบกำรทดลองนี้กำหนดให้สิ่งใดเป็นตัวแปรต้น
1. ปริมำณแป้ง
2. ตำแหน่งของใบไม้
3. ชนิดของกระดำษ
4. ระยะเวลำที่ได้รับแสง
กระดาษดา
กระดาษสา
กระดาษแก้วใส
37
7. แผนภำพ กำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรม
จำกภำพ ถ้ำหมำยเลข 1 และ 4 เป็นโรคธำลัสซีเมีย หมำยเลข 2 จะเป็นโรคธำลัสซีเมียหรือไม่ และควรมี
ยีนเป็นอย่ำงไร
1. ไม่เป็นโรคธำลัสซีเมีย มียีนเป็น
2. ไม่เป็นโรคธำลัสซีเมีย มียีนเป็น
3. เป็นโรคธำลัสซีเมีย มียีนเป็น
4. เป็นโรคธำลัสซีเมีย มียีนเป็น
8. ม้ำและม้ำลำยมีจำนวนโครโมโซนเป็น 64 แท่ง และ 44 แท่งตำมลำดับ ลูกผสมข้ำมสำยพันธุ์ระหว่ำงม้ำ
กับม้ำลำย จะมีจำนวนโครโมโซนของเซลล์ร่ำงกำยเป็นกี่แท่ง
1. 44 แท่ง 2. 54 แท่ง
3. 64 แท่ง 4. 108 แท่ง
9. ตำรำง สำยพันธุ์ของหอยที่พบในป่ำชำยเลนที่มีควำมหมำยหนำแน่นของต้นไม้แตกต่ำงกัน
ความหนาแน่ของต้นไม้ (จานวนต้นต่อไร่) สายพันธุ์ของหอยที่พบ
979
395
125
A B C D
A C
A D
จำกตำรำง ถ้ำป่ำมีควำมหนำแน่นของต้นไม้ลดลงจะส่งผลกระทบต่อหอยสำยพันธุ์ใดเป็นอันดับแรก
1. A 2. B
3. C 4. D
38
10. แผนภำพ สำยใยอำหำรของสิ่งมีชีวิต 4 ชนิด
ถ้ำปลำมีจำนวนลดลงมำก เหตุกำรณ์ในข้อใดมีโอกำสเกิดขึ้นน้อยที่สุด
1. จำนวนเหยี่ยวลดลง
2. เหยี่ยวกินกุ้งมำกขึ้น
3. กุ้งจำนวนเพิ่มขึ้น
4. สำหร่ำยมีจำนวนลดลง
11. เมื่อพลังงำนในสำรอำหำรถูกถ่ำยทอดจำกผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคลำดับต่อไปได้เพียง 10% ถ้ำไก่ตัวหนึ่ง
กินเมล็ดข้ำวเปลือกจำนวน 2,500 เมล็ดต่อวัน ปริมำณพลังงำนที่ไก่ตัวนี้สำมำรถใช้สร้ำงเป็นเนื้อเยื่อ
เทียบได้กับเมล็ดข้ำวเปลือกจำนวนเท่ำใด
1. 25 เมล็ด 2. 250 เมล็ด
3. 2,500 เมล็ด 4. 25,000 เมล็ด
12. กรำฟ จำนวนสิ่งมีชีวิต 4 ชนิดในโซ่อำหำร จำกช่วงเวลำ A ถึง F
ถ้ำเขียนควำมสัมพันธ์ระหว่ำงสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ชนิดในรูปของโซ่อำหำรเป็น ดังนี้
พืช ⟶ หนอน ⟶ ไก่ ⟶ งู
39
จำกกรำฟ ช่วงเวลำใดที่มีอำหำรของไก่อยู่น้อยที่สุด
1. A ถึง B 2. B ถึง C
3. C ถึง D 4. E ถึง F
13. ในกำรจำแนกประเภทของสำรเป็น สำรละลำย คอลลอยด์ และสำรแขวนลอย ควรพิจำรณำโดยใช้
เกณฑ์ในข้อใด
1. สี 2. ควำมขุ่น
3. องค์ประกอบ 4. ขนำดอนุภำค
14. นำของเหลวชนิดหนึ่งไประเหยแห้ง พบว่ำไม่มีสำรใดเหลืออยู่ในภำชนะเลย กำรสรุปที่ดีที่สุดเกี่ยวกับ
ของเหลวชนิดนี้คือข้อใด
1. เป็นสำรละลำย
2. เป็นสำรบริสุทธิ์
3. เป็นตัวทำละลำย
4. ไม่มีของแข็งเป็นองค์ประกอบ
15. ควำมร้อนแฝงของกำรหลอมเหลวของน้ำแข็ง = 80 แคลอรี / กรัม
ควำมร้อนแฝงของกำรกลำยเป็นไอของน้ำ = 540 แคลอรี / กรัม
จำกข้อควำมข้ำงบน ข้อใดสรุปได้ถูกต้องที่สุด
1. พลังงำนควำมร้อนเท่ำๆ กัน จะระเหยน้ำได้มำกกว่ำกำรหลอมเหลวน้ำแข็ง
2. พลังงำนควำมร้อนเท่ำๆ กัน จะระเหยน้ำได้มำกกว่ำกำรหลอมเหลวน้ำแข็ง 3.325 เท่ำโดยน้ำหนัก
3. พลังงำนควำมร้อนเท่ำๆ กัน จะหลอมเหลวน้ำแข็งได้มำกกว่ำกำรระเหยน้ำ 3.325 เท่ำโดยน้ำหนัก
4. พลังงำนควำมร้อนเท่ำๆ กัน จะหลอมเหลวน้ำแข็งได้มำกกว่ำกำรระเหยน้ำ 6.750 เท่ำโดยน้ำหนัก
16. ในกำรวิเครำะห์องค์ประกอบของสีจำกสิ่งต่ำงๆ ด้วยวิธีโครมำโทกรำฟี ข้อใดไม่เหมำะกับหลักกำร
วิเครำะห์โดยใช้วิธีนี้
1. องค์ประกอบของสีในใบไม้
2. องค์ประกอบของสีในน้ำส้มสำยชูกลั่น
3. องค์ประกอบของสีในปำกกำเมจิก
4. องค์ประกอบของสีที่ใช้ย้อมผ้ำสีดำ
40
17. เตรียมสำรละลำยเอทิลแอลกอฮอล์โดยใช้ส่วนผสมในปริมำณที่กำหนดในตำรำง
บีกเกอร์ที่ 1 2 3 4
ปริมำณสำรละลำยเอทิลแอลกอฮอล์ (cm3
) 700 380 150 80
ปริมำณน้ำ (cm3
) 300 120 50 20
จำกข้อมูล สำรละลำยเอทิลแอลกอฮอล์ในบีกเกอร์ใด มีควำมเข้มข้นมำกที่สุด
1. บีกเกอร์ที่ 1 2. บีกเกอร์ที่ 2
3. บีกเกอร์ที่ 3 4. บีกเกอร์ที่ 4
18. แผนภำพวัฏจักรคำร์บอน
พิจำรณำขั้นตอนต่อไปนี้
ก. กำรสังเครำะห์ด้วยแสงของพืช
ข. กำรหำยใจของพืช
ค. กำรเปลี่ยนแปลงจำกพืชเป็นถ่ำนหิน
ขั้นตอนใดที่เกิดปฏิกิริยำเคมี
1. ก. และ ข. 2. ข. เท่ำนั้น
3. ข. และ ค. 4. ก. ข. และ ค.
41
19. สนำมเด็กเล่นมีพื้นที่เป็นวงกลม รัศมี 10 เมตร ชำยคนหนึ่งออกวิ่งจำกจุด A ด้วยควำมเร็วสม่ำเสมอไป
ตำมขอบพื้นที่ และไปหยุดที่จุด B ใช้เวลำทั้งสิ้น 1 นำที
ขนำดของควำมเร็วเฉลี่ยที่ชำยคนนี้วิ่งเป็นกี่เมตรต่อวินำที
1. π/6 2. π/3
2. 10π 4. 20π
20. โยนวัตถุชิ้นหนึ่งขึ้นตรงๆ ในแนวดิ่ง เมื่อวัตถุขึ้นไปถึงตำแหน่งสูงสุดข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้อง
1. วัตถุมีควำมเร็วเป็นศูนย์
2. วัตถุมีอัตรำเร็วเป็นศูนย์
3. วัตถุมีควำมเร่งเป็นศูนย์
4. วัตถุมีน้ำหนักเท่ำกับน้ำหนักก่อนโยน
21. ภำพ กำรโคจรของโลกรอบดวงอำทิตย์
เรำอำจประมำณได้ว่ำโลกโคจรรอบดวงอำทิตย์เป็นรูปวงกลม ทิศของควำมเร่งเป็นไปตำมข้อใด
1. เป็นไปตำมลูกศร ( 1 )
2. เป็นไปตำมลูกศร ( 2 )
3. เป็นไปตำมลูกศร ( 3 )
4. ระบุไม่ได้ เพรำะควำมเร่งเป็นศูนย์
42
22. แขวนป้ำยอันหนึ่งเอำไว้หน้ำร้ำนด้วยเชือกที่มีลักษณะเหมือนกัน 2 เส้น ดังรูป
( 1 ) ( 2 )
30 cm 60 cm
ถ้ำป้ำยมีน้ำหนัก 90 นิวตัน เชือกหมำยเลข ( 1 ) และเชือกหมำยเลข ( 2 ) รับน้ำหนักเส้นละกี่นิวตัน
ตำมลำดับ
1. 60.0 และ 30.0
2. 67.5 และ 22.5
3. 75.0 และ 15.0
4. 77.5 และ 12.5
23. ชำยสองคนเดินขึ้นเขำพร้อมกัน ถ้ำชำยสองคนมีน้ำหนักไม่เท่ำกันแต่มีกำลังเท่ำกัน ข้อใดกล่ำวถูกต้อง
เกี่ยวกับเวลำที่ใช้ในกำรเดินเพื่อให้ถึงยอดเขำ
1. ชำยทั้งสองใช้เวลำเท่ำกัน
2. ชำยที่มีน้ำหนักมำกกว่ำใช้เวลำมำกกว่ำ
3. ชำยที่มีน้ำหนักมำกกว่ำใช้เวลำน้อยกว่ำ
4. ไม่สำมำรถสรุปได้ เพรำะข้อมูลไม่เพียงพอ
24. ปล่อยวัตถุที่มีน้ำหนัก 10 นิวตัน จำกที่สูง 2 เมตรเหนือผิวดิน เมื่อวัตถุกระทบพื้น งำนที่เกิดเนื่องจำก
แรงโน้มถ่วงมีค่ำเท่ำใด
1. 5 จูล 2. 10 จูล
3. 15 จูล 4. 20 จูล
25. เมื่อวำงวัตถุหน้ำกระจกเว้ำ โดยให้ระยะวัตถุน้อยกว่ำควำมยำวโฟกัส ภำพที่เห็นในกระจกเว้ำจะมี
ลักษณะอย่ำงไร
1. ภำพเสมือน หัวตั้ง ขนำดเล็กกว่ำวัตถุ
2. ภำพจริง หัวกลับ ขนำดเล็กกว่ำวัตถุ
3. ภำพเสมือน หัวตั้ง ขนำดใหญ่กว่ำวัตถุ
4. ภำพจริง หัวกลับ ขนำดใหญ่กว่ำวัตถุ
43
26. คนที่ใส่แว่นสำยตำสั้น จะเห็นภำพของวัตถุมีขนำดเล็กกว่ำวัตถุจริงในกรณีใด
1. วัตถุอยู่ห่ำงจำกแว่นสำยตำน้อยกว่ำควำมยำวโฟกัส
2. วัตถุอยู่ห่ำงจำกแว่นสำยตำน้อยกว่ำ 2 เท่ำของควำมยำวโฟกัสแต่มำกกว่ำควำมยำวโฟกัส
3. วัตถุอยู่ห่ำงจำกแว่นสำยตำมำกกว่ำ 2 เท่ำของควำมยำวโฟกัส
4. เหตุกำรณ์นี้ไม่เกิดขึ้นจริง คนย่อมเห็นภำพขนำดเท่ำวัตถุ
27. รูป กำรหักเหของแสงผ่ำนแท่งพลำสติกใส
4
3
2
1
พลาสติกใส
อากาศ
แสง
ข้อใดแสดงกำรหักเหของแสงไม่ถูกต้อง
1. มุม 1 ต้องมำกกว่ำ มุม 2
2. มุม 2 ต้องเท่ำกับ มุม 3
3. มุม 1 ต้องเท่ำกับ มุม 4
4. มุม 1 และ 2 รวมกันต้องได้ 90°
28. ภำพวงจรไฟฟ้ำที่เชื่อมต่อด้วยโลหะชนิด M หรือ N หรือ O หรือ P ระหว่ำงจุด X และ Y
A
V
โลหะ
X Y
เขียนกรำฟควำมสัมพันธ์ระหว่ำงควำมต่ำงศักย์ไฟฟ้ำกับกระแสไฟฟ้ำของโลหะชนิด M N O และ P
44
จำกกรำฟ ถ้ำโลหะแต่ละชนิดมีควำมยำวและพื้นที่หน้ำตัดเท่ำกัน โลหะชนิดใดมีควำมต้ำนทำนสูงที่สุด
1. M 2. N
3. O 4. P
29. ภำพ วัฏจักรหิน
จำกภำพ กระบวนกำรใดทำให้หินตะกอนเปลี่ยนเป็นหินแปรได้
1. กำรหลอมละลำย
2. กำรกัดกร่อนและผุพัง
3. กำรสะสมและทับถม
4. กำรได้รับควำมร้อนและควำมดัน
45
30. ปรำกฏกำรณ์เรือนกระจก มีผลกระทบต่อเหตุกำรณ์ใดน้อยที่สุด
1. น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลำยมำกขึ้น
2. พันธุ์พืชในเขตอบอุ่นอพยพขึ้นที่สูงขึ้น
3. สัตว์ป่ำมีจำนวนชุกชุมมำกขึ้น
4. พื้นที่ทะเลทรำยแผ่ขยำยกว้ำงขึ้น
31. ข้อมูล ลักษณะอำกำศ กำรกระจำยของฝน และลักษณะฝน
จำกข้อมูล ถ้ำวันนี้มีอุณหภูมิเฉลี่ย 19 o
C มีฝนตกประมำณ 53% ของพื้นที่ และวัดปริมำณน้ำฝนได้
20 มิลลิเมตร จะรำยงำนสภำพอำกำศตำมข้อใด
1. อำกำศเย็น มีมีฝนตกในระดับปำนกลำงทั่วไปในพื้นที่
2. อำกำศร้อน มีฝนตกหนักกระจำยเป็นแห่งๆ ในพื้นที่
3. อำกำศเย็น มีฝนตกในระดับปำนกลำงกระจำยในพื้นที่
4. อำกำศค่อนข้ำงหนำว มีฝนตกเล็กน้อยกระจำยในพื้นที่
32. ข้อใดไม่ใช่ดำวเทียมสื่อสำร
1. ไทยคม 2. เทลสตำร์
3. อินเทลแซท 4. วอยเอเจอร์
46
ส่วนที่2 : แบบระบำยคำตอบ : จำนวน 5 ข้อ (ข้อ 33 - 37) : ข้อละ 4 คะแนน แต่ละข้อให้ระบำยคำตอบ
ที่ถูกต้อง 2 คำตอบจำก 6 ตัวเลือกที่กำหนดให้
33. ตำรำงผลกำรตรวจวัดค่ำ DO BOD และปริมำณสำรตะกั่ว จำกแหล่งน้ำ 4 แหล่ง
ถ้ำกำหนดให้น้ำที่มีค่ำ DO ต่ำกว่ำ 3 มิลลิกรัมต่อลิตร และมีค่ำ BOD สูงกว่ำ 100 มิลลิกรัมต่อลิตร
เป็นน้ำเสีย
ข้อมูลที่ถูกต้องคือข้อใดบ้ำง
1. แหล่งน้ำที่ 1 และ 3 อยู่ใกล้เมืองใหญ่มำกที่สุด
2. แหล่งน้ำที่ 4 สำมำรถใช้ดื่มได้อย่ำงปลอดภัย
3. บริเวณแหล่งน้ำที่ 2 มีชุมชนบ้ำนเรือนหนำแน่นมำกกว่ำบริเวณแหล่งน้ำที่ 4
4. เฉพำะแหล่งน้ำที่ 3 เท่ำนั้น ที่ต้องกำรระบบบำบัดน้ำเสีย
5. เฉพำะแหล่งน้ำที่ 2 และ 4 เท่ำนั้น ที่ใช้เพื่อกำรคมนำคมได้
6. แหล่งน้ำที่ 3 อยู่ใกล้โรงงำนทำแบตเตอรีมำกกว่ำแหล่งน้ำที่ 1
34. ยำลดกรดประกอบด้วย MgO และ MgCO3 อัดเป็นเม็ดโดยผสมกับแป้ง เมื่อนำเม็ดยำมำบดให้เป็นผงใน
ภำชนะ A แล้วนำมำละลำยด้วยสำรละลำยกรด HCI ปริมำณมำกเกินพอในภำชนะ B พบว่ำมีฟองแก๊ส
เกิดขึ้น เมื่อกรองแป้งออกแล้ว นำสำรละลำยที่ได้ไปต้มไล่กรดในภำชนะ C จะเหลือของแข็งสีขำว
จำกกำรทดลองนี้ สำรใดบ้ำงที่จัดเป็นสำรบริสุทธิ์
1. ยำลดกรด
2. ผงละเอียดในภำชนะ A
3. แก๊สที่เกิดในภำชนะ B
4. สำรละลำยที่เหลืออยู่ในภำชนะ B
5. ไอสำรที่ได้จำกภำชนะ C
6. ของแข็งสีขำวที่เหลือในภำชนะ C
แหล่งน้าที่
ค่า DO
(มิลลิกรัมต่อลิตร)
ค่า BOD
(มิลลิกรัมต่อลิตร)
สารตะกั่ว
(มิลลิกรัมต่อลิตร)
1
2
3
4
1.8
6.0
2.5
6.7
150
87
162
65
0.22
0.03
0.08
0.02
47
35. ปรำกฏกำรณ์ในข้อใดบ้ำงที่มีระยะเวลำยำวนำนเท่ำกัน
1. คำบกำรหมุนรอบตัวเองของโลก
2. คำบกำรหมุนรอบตัวเองของดวงจันทร์
3. คำบกำรหมุนรอบตัวเองของดวงอำทิตย์
4. คำบกำรโคจรของดวงจันทร์รอบโลก
5. คำบกำรโคจรของโลกรอบดวงอำทิตย์
6. คำบกำรโคจรของดวงอำทิตย์รอบกำแล็กซี
36. ปรำกฏกำรณ์จันทรุปรำคำจะไม่มีโอกำสเกิดขึ้นได้ในวันใดบ้ำง
1. วันวิสำขบูชำ
2. วันอำสำฬหบูชำ
3. วันมำฆะบูชำ
4. วันลอยกระทง
5. วันพระ แรม 15 ค่ำ
6. วันที่เกิดสุริยุปรำคำ
37. ตำรำง กำลังไฟฟ้ำและควำมต่ำงศักย์ของเครื่องใช้ไฟฟ้ำชนิดต่ำงๆ
ชนิดของเครื่องใช้ไฟฟ้า กาลังไฟฟ้า (วัตต์) ความต่างศักย์ (โวลต์)
หม้อหุงข้ำว
ตู้เย็น
เตำรีดไฟฟ้ำ
เครื่องเป่ำผม
700
300
1,000
1,100
220
220
220
220
ข้อควำมต่อไปนี้ ข้อใดถูกต้อง
1. ใช้ตู้เย็น 2 ชั่วโมง จะสิ้นเปลืองพลังงำนไฟฟ้ำมำกกว่ำใช้หม้อหุงข้ำว 1 ชั่งโมง
2. ใช้เตำรีด 2 ชั่วโมง จะสิ้นเปลืองพลังงำนไฟฟ้ำมำกกว่ำใช้เครื่องเป่ำผม 2 ชั่วโมง
3. ใช้เตำรีด 2 ชั่วโมง จะสิ้นเปลืองพลังงำนไฟฟ้ำมำกกว่ำใช้หม้อหุงข้ำว 3 ชั่วโมง
4. ใช้ตู้เย็น 1 วัน จะสิ้นเปลืองพลังงำนไฟฟ้ำมำกกว่ำใช้เตำรีด 2 ชั่วโมง และหม้อหุงข้ำว 2 ชั่วโมง
5. ใช้เตำรีด 2 ชั่วโมง จะสิ้นเปลืองพลังงำนไฟฟ้ำมำกกว่ำใช้เครื่องเป่ำผม 2 ชั่วโมง
6. ใช้เครื่องเป่ำผม 1 ชั่วโมง จะสิ้นเปลืองพลังงำนไฟฟ้ำมำกกว่ำใช้เตำรีด 1 ชั่วโมง และหม้อหุงข้ำว 1
ชั่วโมง
48
ข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์ มัธยมศึกษาตอนต้น 2553
ส่วนที่ 1 : แบบปรนัย 4 ตัวเลือก แต่ละข้อมีคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว
จำนวน 12 ข้อ ข้อละ 2.5 คะแนน รวม 30 คะแนน
จำกตำรำงแสดงปริมำณพลังงำนที่ควรได้รับในแต่ละวันสำหรับคนไทยในวัยต่ำงๆ ต่อไปนี้
ใช้เป็นข้อมูลตอบคำถำมข้อ 1
สถานภาพ อายุ ( ปี )
พลังงาน (กิโลแคลอรี)
ชาย หญิง
ทำรก 0 – 5 เดือน ควรได้รับพลังงำนจำกน้ำนมแม่
6 – 11 เดือน 800
เด็ก 1 – 3 ปี 1,000
4 – 5 ปี 1,300
6 – 8 ปี 1,400
วัยรุ่น 9 – 12 ปี 1,700 1,600
13 – 15 ปี 2,100 1,800
16 – 18 ปี 2,300 1,850
วัยผู้ใหญ่ 19 – 30 ปี 2,150 1,750
31 – 50 ปี 2,100 1,750
51 – 70 ปี 2,100 1,750
71 ปีขึ้นไป 1,750 1,550
ตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก + 0
เดือนที่ 4 - 9 + 300
ให้นมบุตร + 500
ที่มำ : กรมอนำมัย กระทรวงสำธำรณสุข พ.ศ. 2546
ปีการศึกษา
49
1. พิจำรณำบุคคล 4 คนต่อไปนี้
บุคคลที่ 1 : หญิงอำยุ 18 ปีที่กำลังเลี้ยงลูกโดยให้กินนมแม่
บุคคลที่ 2 : หญิงอำยุ 28 ปีที่กำลังตั้งครรภ์ได้ 5 เดือน
บุคคลที่ 3 : ชำยหนุ่มอำยุ 30 ปี
บุคคลที่ 4 : วัยรุ่นชำยอำยุ 17 ปี
จำตำรำงข้ำงต้น จงเรียงลำดับบุคคลจำกผู้ที่ต้องกำรพลังงำนในแต่ละวันมำกที่สุดไปหำน้อยที่สุด
1. บุคคลที่ 1 , 4 , 3 , 2
2. บุคคลที่ 2 , 1 , 4 , 3
3. บุคคลที่ 1 , 2 , 3 , 4
4. บุคคลที่ 4 , 1 , 2 , 3
2. ข้อใดเรียงลำดับเหตุกำรณ์ในกำรสืบพันธุ์แบบอำศัยเพศของพืชมีดอกได้ถูกต้อง
1. กำรงอกหลอดละอองเรณู กำรปฏิสนธิ กำรถ่ำยละอองเรณู กำรเจริญไปเป็นผล
2. กำรปฏิสนธิ กำรถ่ำยละอองเรณู กำรเจริญไปเป็นผล กำรงอกหลอดละอองเรณู
3. กำรงอกหลอดละอองเรณู กำรถ่ำยละอองเรณู กำรปฏิสนธิ กำรเจริญไปเป็นผล
4. กำรถ่ำยละอองเรณู กำรงอกหลอดละอองเรณู กำรปฏิสนธิ กำรเจริญไปเป็นผล
3. กำหนดให้ A แทน ยีนเด่นที่ควบคุมลักษณะผิวปกติ และ
a แทน ยีนด้อยที่ควบคุมลักษณะผิวเผือก
สำมี – ภรรยำ ที่มีลักษณะยีนในคู่ใดที่ลูกของพวกเขำมีโอกำสแสดงลักษณะผิวเผือก 50%
1. AA × aa 2. Aa × Aa
3. Aa × aa 4. AA × Aa
4. จำกสำยใยอำหำรต่อไปนี้สิ่งมีชีวิตใดน่ำจะเป็นมนุษย์
1. C 2. D
3. E 4. F
50
5. กำรกระทำในลักษณะใดที่จัดว่ำได้ช่วยนำทรัพยำกรธรรมชำติกลับมำใช้ใหม่ (Recycle)
1. สำนักงำนให้พนักงำนนำกระดำษว่ำงหน้ำเดียวมำใช้
2. นำขวดแก้วและเศษเหล็กไปขำยให้ร้ำนรับซื้อของเก่ำ
3. กำรนำถุงพลำสติกใบเก่ำไปใส่ของจำกห้ำงสรรพสินค้ำ
4. แม่บ้ำนเลือกซื้อน้ำยำล้ำงจำนและน้ำยำเคมีอื่นๆ ชนิดถุงเติม
6. กำหนดอินดิเคเตอร์และช่วง pH ที่เปลี่ยนสี ดังนี้
สำรละลำยตัวอย่ำงนิดหนึ่ง เมื่อนำมำทดสอบด้วยอินดิเคเตอร์ชนิดต่ำงๆ ได้ผล ดังนี้
ชนิดของอินดิเคเตอร์ที่ใช้ทดสอบสารตัวอย่าง ผลการทดสอบ
ฟีนอล์ฟทำลีน สำรละลำยไม่มีสี
โบรโมไทมอลบลู สำรละลำยมีสีเหลือง
โบรโมฟีนอลบลู สำรละลำยมีสีเหลือง
สำรละลำยตัวอย่ำงกล่ำว ควรมี pH เท่ำใด
1. น้อยกว่ำ 8.3 2. น้อยกว่ำ 6.0
3. น้อยกว่ำ 3.0 4. ระหว่ำง 3.0 – 8.3
7. จำกกำรทดลองปล่อยลูกเหล็ก A และ B จำกที่สูงลงบนกระบะทรำย ลูกเหล็กทั้งสองจมลงไป
ในผิวทรำยเป็นระยะต่ำงๆ ซึ่งมีรำยละเอียด ดังตำรำง
ตำรำง ระยะจมลึกของผิวทรำยเมื่อปล่อยลูกเหล็ก A และ B จำกที่ระดับควำมสูงต่ำงๆ
ลูกเหล็ก มวลของลูกเหล็ก (กรัม)
ระยะความสูงจาก
ผิวทราย (เมตร)
ระยะจมลึกของผิวทราย
(เมตร)
A
100 1 3
100 2 4
B
300 1 5
300 2 6.5
ชนิดของอินดิเคเตอร์ ช่วง pH ที่เปลี่ยนสี การเปลี่ยนสี
ฟีนอล์ฟทำลีน 8.3 – 10.0 ไม่มีสี – แดง
โบรโมไทมอลบลู 6.0 – 7.6 เหลือง – น้ำเงิน
โบรโมฟีนอลบลู 3.0 – 4.6 เหลือง – น้ำเงิน
51
จำกข้อมูลในตำรำง ลูกเหล็กในข้อใดมีพลังงำนศักย์โน้มถ่วงสูงที่สุด
1. ลูกเหล็ก A ปล่อยที่ระยะควำมสูง 1 เมตร
2. ลูกเหล็ก A ปล่อยที่ระยะควำมสูง 2 เมตร
3. ลูกเหล็ก B ปล่อยที่ระยะควำมสูง 1 เมตร
4. ลูกเหล็ก B ปล่อยที่ระยะควำมสูง 2 เมตร
8. จำกภำพตัดขวำงของโลก ข้อใดอธิบำยได้ถูกต้อง
1. หมำยเลข 1 ประกอบด้วยเปลือกโลกภำคพื้นทวีป
2. หมำยเลข 2 ประกอบด้วยหินที่มีลักษณะเหนียวหนืด
3. หมำยเลข 3 ส่วนใหญ่มีสถำนะเป็นของแข็ง ประกอบด้วยเหล็กกับนิเกิล
4. หมำยเลข 4 ส่วนใหญ่มีสถำนะเป็นของเหลว ประกอบด้วยเหล็กกับนิเกิล
9. ดำวดวงใดไม่สำมำรถมองเห็นด้วยตำเปล่ำ
1. ดำวพุธ 2. ดำวศุกร์
3. ดำวเสำร์ 4. ดำวยูเรนัส
10. ดำวเทียมไทยคม ใช้ประโยชน์ในด้ำนใด
1. สื่อสำร
2. กำรสำรวจทรัพยำกร
3. กำรพยำกรณ์สภำพภูมิอำกำศ
4. กำรนำอุปกรณ์ออกไปสำรวจอวกำศ
52
ใช้ข้อมูลต่อไปนี้ตอบคำถำมข้อ 11 – 12
เด็กชำย A ออกแบบกำรทดลองโดยเทของเหลว 3 ชนิด คือ ของเหลว X Y และ Z ชนิดละ
500 ลูกบำศก์เซนติเมตรลงในท่อพลำสติกใสขนำดเท่ำกัน จำนวน 3 ท่อ แล้วหย่อนลูกกลมโลหะขนำด
เส้นผ่ำนศูนย์กลำง 1.5 cm ลงในของเหลว จับเวลำตั้งแต่เริ่มปล่อยจนกระทั่งลูกกลมโลหะกระทบ
ก้นภำชนะ
11. ปัญหำกำรทดลองใดสอดคล้องกับกำรออกแบบกำรทดลองของเด็กชำย A
1. ขนำดเส้นผ่ำนศูนย์กลำงของลูกกลมโลหะมีผลต่อควำมเร็วในกำรตกของลูกกลมโลหะใน
ของเหลวชนิดต่ำงๆ หรือไม่
2. ขนำดเส้นผ่ำนศูนย์กลำงของลูกกลมโลหะมีผลต่อควำมเร็วในกำรตกของลูกกลมโลหะใน
ของเหลวหรือไม่
3. ชนิดของของเหลวมีผลต่อควำมเร็วในกำรตกของลูกกลมโลหะในของเหลวหรือไม่
4. ชนิดของของเหลวมีผลต่อควำมเร็วในกำรตกของลูกกลมโลหะขนำดต่ำงๆ ในของเหลวหรือไม่
12. เด็กชำย A ควรออกแบบตำรำงบันทึกผลกำรทดลองแบบใดจึงจะเหมำะสมที่สุด
1. ตำรำง เวลำที่ใช้ในกำรตกของลูกกลมโลหะในของเหลว X Y และ Z ตั้งแต่เริ่มปล่อยจนกระทั่งลูก
กลมโลหะกระทบก้นภำชนะ
ชนิดของของเหลว เวลา (วินาที)
X
Y
Z
2.
ชนิดของของเหลว เวลา (วินาที)
X
Y
Z
53
3. ตำรำง เวลำที่ใช้ในกำรตกของลูกกลมโลหะในของเหลว X Y และ Z ตั้งแต่เริ่มปล่อยจนกระทั่งลูก
กลมโลหะกระทบก้นภำชนะ
ชนิดของ
ของเหลว
เวลาที่ใช้ในการตกของลูกกลมโลหะขนาดต่างๆ (วินาที)
ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่
X
Y
Z
4.
ชนิดของ
ของเหลว
เวลาที่ใช้ในการตกของลูกกลมโลหะขนาดต่างๆ (วินาที)
ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่
X
Y
Z
ส่วนที่ 2 : แบบระบำยตัวเลข จำนวน 3 ข้อ ข้อ 13 – 14 ข้อละ 3 คะแนน ข้อ 15 ข้อละ 4 คะแนน
รวม 10 คะแนน
13. มีเกลือแกงอยู่ 270 กรัม ถ้ำต้องกำรเตรียมน้ำเกลือเข้มข้นร้อยละ 30 โดยมวลต่อปริมำตร จะสำมำรถ
เตรียมน้ำเกลือได้กี่ลูกบำศก์เซนติเมตร
14. จำกกำรทดลองดึงห่วงโลหะวงกลมด้วยตำชั่งสปริง 2 อัน โดยดึงตั้งฉำกกันดังรูป ถ้ำตำชั่งสปริงอันที่ 1
และอันที่ 2 อ่ำนค่ำแรงดึงได้ 8 นิวตัน และ 6 นิวตัน ตำมลำดับ แรงลัพธ์ที่กระทำต่อห่วงโลหะวงกลม
จะมีขนำดกี่นิวตัน
54
15. นิลต้องกำรเดินทำงจำกบ้ำนไปวัดโดยเริ่มเดินทำงจำกบ้ำน ผ่ำนโรงเรียนและผ่ำนบ้ำนของแก้ว
ซึ่งแผนผังกำรเดินทำงเป็นดังรูป ถ้ำวัดอยู่ห่ำงจำกบ้ำนแก้วไปทำงทิศตะวันตกเป็นระยะ 160 เมตร
และนิลใช้เวลำเดินทำงจำกบ้ำนไปวัดทั้งหมด 50 วินำที นิลเดินทำงด้วยอัตรำเร็วกี่เมตรต่อวินำที
กำหนดให้หัวกระดำษเป็นทิศเหนือ
55
ข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์ มัธยมศึกษาตอนต้น 2553
ส่วนที่ 1 : แบบปรนัย 4 ตัวเลือก แต่ละข้อมีคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว
จำนวน 12 ข้อ ข้อละ 2.5 คะแนน รวม 30 คะแนน
1. พิจำรณำส่วนประกอบต่ำงๆ ของดอกไม้ 4 ชนิด ต่อไปนี้
ชนิดของดอกไม้ กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรตัวผู้ เกสรตัวเมีย ริ้วประดับ
A   -  
B -    
C     -
D  -   -
ดอกไม้ชนิดใดบ้ำงเป็นดอกครบส่วน
1. A , B , C 2. B , C , D
3. B , C 4. C
2. ถ้ำลักษณะทำงพันธุกรรมลักษณะหนึ่งถูกควบคุมด้วยยีนด้อยที่อยู่บนโครโมโซมเพศชนิด X
กำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรมลักษณะนี้จะเป็นอย่ำงไร
1. พบลักษณะนี้ในผู้หญิงเท่ำนั้น
2. พบลักษณะนี้ในผู้หญิงมำกกว่ำผู้ชำย
3. พบลักษณะนี้ในผู้ชำยมำกกว่ำผู้หญิง
4. ไม่สำรำรถพบลักษณะนี้ในผู้ชำยได้
3. ข้อใดจัดว่ำมีรูปแบบของควำมสัมพันธ์ระหว่ำสิ่งมีชิตแบบเดียวกัน
1. ดอกไม้กับแมลง ไลเคน
2. นกเอี้ยงกับควำย พลูด่ำงกับต้นไม้ใหญ่
3. เสือกับกวำง เสือกับสิงโตที่ล่ำเหยื่อตัวเดียวกัน
4. กล้วยไม้กับต้นมะม่วง ปลำฉลำมกับเหำฉลำม
ปีการศึกษา
56
พิจำรณำตำรำงแสดงปริมำณพลังงำนที่ควรได้รับในแต่ละวันสำหรับคนไทยในวัยต่ำงๆ ต่อไปนี้แล้ว
ตอบคำถำมข้อ 4
สถานภาพ อายุ ( ปี )
พลังงาน (กิโลแคลอรี)
ชาย หญิง
ทำรก 0 – 5 เดือน ควรได้รับพลังงำนจำกน้ำนมแม่
6 – 11 เดือน 800
เด็ก 1 – 3 ปี 1,000
4 – 5 ปี 1,300
6 – 8 ปี 1,400
วัยรุ่น 9 – 12 ปี 1,700 1,600
13 – 15 ปี 2,100 1,800
16 – 18 ปี 2,300 1,850
วัยผู้ใหญ่ 19 – 30 ปี 2,150 1,750
31 – 50 ปี 2,100 1,750
51 – 70 ปี 2,100 1,750
71 ปีขึ้นไป 1,750 1,550
ตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก + 0
เดือนที่ 4 - 9 + 300
ให้นมบุตร + 500
ที่มำ : กรมอนำมัย กระทรวงสำธำรณสุข พ.ศ. 2546
4. จำกตำรำง บุคลใดต่อไปนี้ได้รับพลังงำนเพียงพอและเหมำะสม
1. เด็กชำยอำยุ 7 ขวบ ได้รับพลังงำนวันละ 1,300 กิโลแคลอรี
2. วัยรุ่นชำยอำยุ 18 ปี ได้รับพลังงำนวันละ 2,300 กิโลแคลอรี
3. คุณยำยอำยุ 70 ปี ได้รับพลังงำนวันละ 2,100 กิโลแคลอรี
4. หญิงอำยุ 25 ปี ตั้งครรภ์ได้ 4 เดือนได้รับพลังงำนวันละ 1,950 กิโลแคลอรี
5. กำรกระทำใดได้ชื่อว่ำเพิ่มรำยได้ให้ตนเองโดยยึดหลักอนุรักษ์ทรัพยำกรธรรมชำติ
1. เก็บกล้วยไม้และเฟินจำกป่ำมำขำยให้คนในเมือง
2. จับม้ำน้ำมำตำกแห้งขำยให้กับร้ำนขำยยำแผนโบรำณ
3. เก็บเปลือกหอยและเศษปะกำรังตำมชำยหำดมำประดิษฐ์เป็นของที่ระลึกขำยให้นักท่องเที่ยว
4. เก็บของพลำสติกที่มีคนทิ้งไว้ข้ำงทำงมำสะสมไว้ขำย
57
6. ในกำรทดลองผ่ำนแสงเข้ำไปในของเหลว 3 ชนิด ได้ผลดังตำรำง
ชนิดสาร ผลการทดลองเมื่อฉายแสงผ่านบีกเกอร์บรรจุของเหลว
I แสงผ่ำนได้แต่มองไม่เห็นลำแสงที่ผ่ำนเข้ำมำในของเหลว
II แสงผ่ำนได้และมองเห็นลำแสงผ่ำนเป็นทำง
III แสงผ่ำนได้และมองเห็นลำแสงผ่ำนเป็นทำง
สำร I , II และ III น่ำจะเป็นสำรในข้อใดตำมลำดับ
1. น้ำเกลือ น้ำนมสด น้ำสบู่
2. น้ำนมสด น้ำเชื่อม น้ำอัดลม
3. น้ำส้มสำยชู น้ำเกลือ น้ำสบู่
4. น้ำมะนำว น้ำสลัด น้ำส้มสำยชู
7. นักเรียนคนหนึ่งเดินจำกจุด A ไปจุด B เป็นเส้นทำงดังรูป หำกนักเรียนใช้เวลำในกำรเดินทำง 40 วินำที
ข้อใดต่อไปนี้ไม่ถูกต้อง
1. นักเรียนเดินด้วยควำมเร็วเฉลี่ย 2.5 เมตรต่อวินำที
2. นักเรียนเดินด้วยอัตรำเร็วเฉลี่ย 2.5 เมตรต่อวินำที
3. กำรกระจัดที่นักเรียนเดินได้เป็น 0 เมตร
4. นักเรียนเดินได้ระยะทำง 100 เมตร
58
8. จำกภำพตัดขวำงของโลก ลำวำที่ถูกพ่นออกมำจำกปล่องภูเขำไฟมำจำกส่วนใด
1. หมำยเลข 1 2. หมำยเลข 2
3. หมำยเลข 3 4. หมำยเลข 4
9. ทิศกำรหมุนรอบตัวเองของดำวเครำะห์ดวงใดต่อไปนี้ ตรงข้ำมกับดำวเครำะห์อื่น
1. ดำวศุกร์ 2. ดำวเสำร์
3. ดำวอังคำร 4. ดำวพฤหัสบดี
10. ดำวเทียมทำหน้ำที่ต่อไปนี้ยกเว้นข้อใด
1. สื่อสำร
2. สำรวจทรัพยำกร
3. นำอุปกรณ์ออกไปสำรวจอวกำศ
4. เก็บข้อมูลเพื่อใช้พยำกรณ์สภำพอำกำศ
ใช้ข้อมูลต่อไปนี้ตอบคำถำมข้อ 11 – 12
สมชำยทำกำรทดลองเติมสำร A ลงในน้ำที่มีอุณหภูมิ 30o
C คนสำร A ให้ละลำยในน้ำ แล้ววัดอุณหภูมิ
ของสำรละลำย ได้ผลดังตำรำงบันทึกผลกำรทดลองต่อไปนี้
ตำรำง อุณหภูมิของสำรละลำย A เมื่อเติมสำร A ในปริมำณที่แตกต่ำงกันลงในน้ำ
ปริมาณสาร A ที่เติมลงในน้า (กรัม) อุณหภูมิของสารละลาย A (o
C)
10 35.0
20 37.5
30 40.0
40 42.5
59
11. จำกข้อมูลข้ำงต้นปัญหำของกำรทดลองคืออะไร
1. อุณหภูมิของน้ำมีผลต่อปริมำณสำร A ที่ละลำยได้ในน้ำหรือไม่
2. ปริมำณสำร A ที่ละลำยในน้ำมีผลต่ออุณหภูมิของสำรละลำย A หรือไม่
3. ถ้ำปริมำณสำร A มีผลต่ออุณหภูมิของสำรละลำยแล้ว ดังนั้นเมื่อเพิ่มปริมำณสำร A ลงในน้ำ
อุณหภูมิของสำรละลำยจะเพิ่มขึ้น
4. ถ้ำอุณหภูมิของน้ำมีผลต่อควำมสำมำรถในกำรละลำยของสำร A ในน้ำแล้ว ดังนั้นเมื่อเพิ่มอุณหภูมิ
ให้สูงขึ้น ปริมำณสำร A ที่ละลำยได้ในน้ำจะเพิ่มขึ้น
12. จำกตำรำง ตัวแปรต้น และตัวแปรตำมคือสิ่งใดตำมลำดับ
1.
2.
3.
4.
ส่วนที่ 2 : แบบระบำยตัวเลข จำนวน 3 ข้อ ข้อ 13 – 14 ข้อละ 3 คะแนน ข้อ 15 ข้อละ 4 คะแนน
รวม 10 คะแนน
13. นำโซเดียมคลอไรด์ 4.5g มำละลำยในน้ำจนมีปริมำณ 20 ลูกบำศก์เซนติเมตร สำรละลำย
โซเดียมคลอไรด์ที่ได้มีคววำมเข้มข้นร้อยละเท่ำไรโดยมวลต่อปริมำณ
14. ในกำรทำให้น้ำแข็งมวล 3 กิโลกรัมหลอมเหลวหมดพอดี จะต้องใช้ควำมร้อนกี่กิโลแคลอรี
ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม
ปริมำณสำร A ที่เติมลงในน้ำ อุณหภูมิขอสำรละลำย A
อุณหภูมิของสำรละลำย A ปริมำณสำร A ที่เติมลงในน้ำ
ปริมำณสำร A ที่เติมลงในน้ำ ปริมำณน้ำ
ปริมำณน้ำ อุณหภูมิของน้ำ
60
15. จำกกำรทดลองดึงห่วงโลหะวงกลมด้วยตำชั่งสปริง 2 อัน โดยดึงตั้งฉำกกันดังรูป ถ้ำตำสปริงอันที่ 1
และอันที่ 2 อ่ำนค่ำแรงดึงได้ 8 นิวตัน และ 6 นิวตัน ตำมลำดับ เมื่อนำตำชั่งสปริงอันที่ 3 มำดึงห่วง
โลหะวงกลมในทิศทำงดังรูป พบว่ำห่วงโลหะวงกลมไม่เคลื่อนที่ ตำชั่งสปริงอันที่ 3 ควรอ่ำนค่ำ
ได้เท่ำใด
61
เฉลยข้อสอบ
ชุดที่ 2 ข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์ 2552
มัธยมศึกษาตอนต้น
1. 4 2. 2 3. 3 4. 2 5. 4
6. 3 7. 1 8. 2 9. 2 10. 4
11. 2 12. 3 13. 4 14. 4 15. 4
16. 3 17. 4 18. 1 19. 1 20. 3
21. 2 22. 2 23. 2 24. 4 25. 3
26. 2 27. 4 28. 4 29. 4 30. 3
31. 3 32. 4 33. 1,2 34. 3,5 35. 2,4
36. 5,6 37. 4,5
ปีการศึกษา
62
เฉลยข้อสอบ
ข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์ มัธยมศึกษาตอนต้น 2553
ชุด 91C
1. 1 2. 4 3. 3 4. 2 5. 2
6. 3 7. 4 8. 2 9. 4 10. 1
11. 3 12. 1 13. 375 14. 46.1 15. 0.28
ชุด 91D
1. 4 2. 3 3. 4 4. 2 5. 4
6. 1 7. 3 8. 2 9. 1 10. 3
11. 2 12. 1 13. 375 14. 46.1 15. 0.28
ปีการศึกษา

More Related Content

PDF
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
DOC
แบบฝึกหัดที่ 2 เซลล์พืช และเซลล์สัตว์
PDF
ใบงานที่ 1 ธาตุและสารประกอบ
PDF
10แบบทดสอบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ตอนที่ 1)
PDF
Aแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การถ่ายโอนพลังงานความร้อน
PDF
Pre onet วิทย์ม.3 ปีการศึกษา 2554
PDF
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ 2 ชั้น ม.1 ชุดที่ 2
PDF
ข้อสอบวิทยาศาสตร์ O net (โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ)
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
แบบฝึกหัดที่ 2 เซลล์พืช และเซลล์สัตว์
ใบงานที่ 1 ธาตุและสารประกอบ
10แบบทดสอบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ตอนที่ 1)
Aแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การถ่ายโอนพลังงานความร้อน
Pre onet วิทย์ม.3 ปีการศึกษา 2554
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ 2 ชั้น ม.1 ชุดที่ 2
ข้อสอบวิทยาศาสตร์ O net (โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ)

What's hot (20)

PDF
ข้อสอบวิทย์เรื่องเซลล์ 1
PDF
Slแบบฝึกหัดทบทวน เรื่อง อัตราเร็ว ความเร็ว ระยะทาง และการกระจัด
PDF
ใบงานที่ 1
PDF
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ 2 ชั้น ม.1 ชุดที่ 1
PDF
พันธุกรรมเพิ่ม
PDF
สอบกลางภาคชีวะ51 2m-5
PDF
แบบทดสอบย่อย เรื่องกล้องจุลทรรศน์
PDF
ใบกิจกรรมที่ 10 กลไกภูมิคุ้มกัน
DOCX
ข้อสอบกลางภาควิทยาศาสตร์ ม.3 เทอม 1 (ชุด 30 ข้อ)
PDF
ระบบขับถ่าย ม.2
PDF
สอบปลายภาคชีวะ51 2
PDF
แผนการจัดหน่วยการเรียนรู้ วิทย์ 1 ม.1 ปี 56
PDF
แบบทดสอบเรื่อง ดาราศาสตร์ ชุด 1(อัตนัย)
DOCX
ใบงานที่ 4.1 ม4
PDF
ใบงาน 3.1 3.2
DOCX
แบบฝึกหัดเสริม สมดุลกล.docx
PDF
PDF
เฉลยแบบฝึกหัด17.5โครงสร้างdna
PDF
Atomic structures m4
ข้อสอบวิทย์เรื่องเซลล์ 1
Slแบบฝึกหัดทบทวน เรื่อง อัตราเร็ว ความเร็ว ระยะทาง และการกระจัด
ใบงานที่ 1
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ 2 ชั้น ม.1 ชุดที่ 1
พันธุกรรมเพิ่ม
สอบกลางภาคชีวะ51 2m-5
แบบทดสอบย่อย เรื่องกล้องจุลทรรศน์
ใบกิจกรรมที่ 10 กลไกภูมิคุ้มกัน
ข้อสอบกลางภาควิทยาศาสตร์ ม.3 เทอม 1 (ชุด 30 ข้อ)
ระบบขับถ่าย ม.2
สอบปลายภาคชีวะ51 2
แผนการจัดหน่วยการเรียนรู้ วิทย์ 1 ม.1 ปี 56
แบบทดสอบเรื่อง ดาราศาสตร์ ชุด 1(อัตนัย)
ใบงานที่ 4.1 ม4
ใบงาน 3.1 3.2
แบบฝึกหัดเสริม สมดุลกล.docx
เฉลยแบบฝึกหัด17.5โครงสร้างdna
Atomic structures m4
Ad

Viewers also liked (20)

DOCX
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
PDF
ข้อสอบวิทย์ ม.1 ภาค 1 และ ภาค 2
PDF
ข้อสอบวิทยาศาสตร์ (PISA)
PDF
ข้อสอบการงานอาชีพและเทคโนโลยี O-net ม.6
PDF
ข้อสอบ O net ภาษาต่างประเทศ ม.3 ชุด 1
PDF
ข้อสอบ O net ภาษาไทย ม.๖ ชุด ๒
PDF
M3social+science2553
PDF
คะแนน O net ม.3 รวมทุกวิชาปี 55
PDF
ภาษาไทย ม.3
PDF
แผนภาพต้นไม้14
PDF
ข้อสอบ O net คณิต ม.3 ชุด 2
DOC
ตารางซ่อมเสริม 5
PDF
เฉลย O net ละอียดตามสาระปี53-55
PPTX
ระบบสื่อสารข้อมูลของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
DOC
ข้อสอบ O net 58 ม.3
PPTX
ระบบสารสนเทศ
PDF
วิทยาศาสตร์ ม.3
PDF
เฉลย O net ละอียดตามสาระ
PDF
ข้อสอบการงานอาชีพและเทคโนโลยี O-net ม.3
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
ข้อสอบวิทย์ ม.1 ภาค 1 และ ภาค 2
ข้อสอบวิทยาศาสตร์ (PISA)
ข้อสอบการงานอาชีพและเทคโนโลยี O-net ม.6
ข้อสอบ O net ภาษาต่างประเทศ ม.3 ชุด 1
ข้อสอบ O net ภาษาไทย ม.๖ ชุด ๒
M3social+science2553
คะแนน O net ม.3 รวมทุกวิชาปี 55
ภาษาไทย ม.3
แผนภาพต้นไม้14
ข้อสอบ O net คณิต ม.3 ชุด 2
ตารางซ่อมเสริม 5
เฉลย O net ละอียดตามสาระปี53-55
ระบบสื่อสารข้อมูลของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ข้อสอบ O net 58 ม.3
ระบบสารสนเทศ
วิทยาศาสตร์ ม.3
เฉลย O net ละอียดตามสาระ
ข้อสอบการงานอาชีพและเทคโนโลยี O-net ม.3
Ad

Similar to 3.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.3) (10)

PDF
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
DOC
6หลักสูตรวิทยาศาตร์
PDF
ข้อสอบวิทย์
PDF
ข้อสอบ Pat 2 ปี 52
DOC
แบบทดสอบ รายวิชาฟิสิกส์ (พื้นฐาน)
PDF
Pat2 52 72
PDF
Pat2 52-1
PDF
Pat2 2552
PDF
ข้อสอบ Pat 2 (ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ)
PDF
ครูตุ้ย ฟิสิกส์ .. โจทย์ โควต้า มช. 50
2. ข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์ (มัธยมต้น)
6หลักสูตรวิทยาศาตร์
ข้อสอบวิทย์
ข้อสอบ Pat 2 ปี 52
แบบทดสอบ รายวิชาฟิสิกส์ (พื้นฐาน)
Pat2 52 72
Pat2 52-1
Pat2 2552
ข้อสอบ Pat 2 (ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ)
ครูตุ้ย ฟิสิกส์ .. โจทย์ โควต้า มช. 50

More from teerachon (20)

PDF
แบบทดสอบ สุขศึกษา ม.6
PDF
แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6
PDF
แบบทดสอบ พระพุทธ ม.6
PDF
แบบทดสอบ นาฏศิลป์ ม.6
PDF
แบบทดสอบ เทคโนโลยี ม.6
PDF
แบบทดสอบ ทัศนศิลป์ ม.6
PDF
แบบทดสอบ การงานอาชีพฯ ม.6
PDF
แบบทดสอบ ภาษาไทย(หลักภาษา) ม.6
PDF
แบบทดสอบ ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.6
PDF
แบบทดสอบ ดนตรี ม.6
PDF
แบบทดสอบ หน้าที่พลเมืองฯ ม.3
PDF
แบบทดสอบ สุขศึกษา ม.3
PDF
แบบทดสอบ เศรษฐศาสตร์ ม.3
PDF
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2
PDF
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1
PDF
แบบทดสอบ ภูมิศาสตร์ ม.3
PDF
แบบทดสอบ ภาษาไทย(หลักภาษา) ม.3
PDF
แบบทดสอบ ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.3
PDF
แบบทดสอบ พระพุทธ ม.3
PDF
แบบทดสอบ ประวัติศาสตร์ ม.3
แบบทดสอบ สุขศึกษา ม.6
แบบทดสอบ แรงและการเเคลื่อนที่ฯ ม.4 6
แบบทดสอบ พระพุทธ ม.6
แบบทดสอบ นาฏศิลป์ ม.6
แบบทดสอบ เทคโนโลยี ม.6
แบบทดสอบ ทัศนศิลป์ ม.6
แบบทดสอบ การงานอาชีพฯ ม.6
แบบทดสอบ ภาษาไทย(หลักภาษา) ม.6
แบบทดสอบ ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.6
แบบทดสอบ ดนตรี ม.6
แบบทดสอบ หน้าที่พลเมืองฯ ม.3
แบบทดสอบ สุขศึกษา ม.3
แบบทดสอบ เศรษฐศาสตร์ ม.3
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2
แบบทดสอบ วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1
แบบทดสอบ ภูมิศาสตร์ ม.3
แบบทดสอบ ภาษาไทย(หลักภาษา) ม.3
แบบทดสอบ ภาษาไทย(วรรณคดี) ม.3
แบบทดสอบ พระพุทธ ม.3
แบบทดสอบ ประวัติศาสตร์ ม.3

3.แนวข้อสอบ o net วิทยาศาสตร์(ม.3)

  • 1. 1 ชุดที่ 1 แนวข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์ มัธยมศึกษาตอนต้น คาชี้แจง ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. กำรใช้กล้องจุลทรรศน์ในกำรศึกษำเซลล์ กำรดูภำพครั้งแรกควรใช้เลนส์ใกล้วัตถุที่มีกำลังขยำยเท่ำใด 1. 10X 2. 20X 3. 40X 4. 100X 2. ส่วนประกอบใดภำยในเซลล์ที่ทำหน้ำที่เป็นแหล่งสร้ำงพลังงำนให้แก่เซลล์ 1. นิวเคลียส 2. แวคิวโอล 3. คลอโรพลำสต์ 4. ไมโทคอนเดรีย 3. ออร์แกเนลล์ใดที่พบได้เฉพำะในเซลล์พืช 1. แวคิวโอล กอลจิบอดี 2. ผนังเซลล์ คลอโรพลำสต์ 3. นิวเคลียส ไมโทคอนเดรีย 4. เยื่อหุ้มเซลล์ ร่ำงแหเอนโดพลำซึม 4. ส่วนประกอบที่อยู่ด้ำนนอกสุดของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ มีควำมเหมือนหรือแตกต่ำงกันอย่ำงไร 1. เหมือนกัน คือ เป็นผนังเซลล์ 2. เหมือนกัน คือ เป็นเยื่อหุ้มเซลล์ 3. ต่ำงกัน โดยเซลล์พืชจะมีผนังเซลล์ ส่วนเซลล์สัตว์มีเยื่อหุ้มเซลล์ 4. ต่ำงกัน โดยเซลล์พืชจะมีเยื่อหุ้มเซลล์ ส่วนเซลล์สัตว์มีผนังเซลล์ 5. ออร์แกเนลล์คู่ใดมีควำมสัมพันธ์กันมำกที่สุด 1. ไมโทคอนเดรีย – แวคิวโอล 2. เซนทริโอล – ไมโทคอนเดรีย 3. ร่ำงแหเอนโดพลำซึม – แวคิวโอล 4. ร่ำงแหเอนโดพลำซึม – กอลจิบอดี
  • 2. 2 6. กำรเคลื่อนที่ของสำรในข้อใดถูกต้อง ข้อ กระบวนการแพร่ กระบวนกาออสโมซิส 1. กำรเคลื่อนที่ของน้ำเข้ำสู่เซลล์ขนรำก กำรกระจำยของน้ำหอมในอำกำศ 2. กำรกระจำยของน้ำหอมในอำกำศ กำรเคลื่อนที่ของน้ำเข้ำสู่เซลล์ขนรำก 3. กำรเคลื่อนที่ของแร่ธำตุเข้ำสู่เซลล์ขนรำก กำรละลำยของน้ำตำลในน้ำ 4. กำรละลำยของน้ำตำลในน้ำ กำรเคลื่อนที่ของแร่ธำตุเข้ำสู่เซลล์ขนรำก 7. นำลำต้นและรำกพืช 4 ชนิด มำส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ พบว่ำ ลำต้นพืชชนิดที่ 1 มีไซเล็มและโฟลเอ็มเรียงตัวอยู่ทั่วลำต้น ลำต้นพืชชนิดที่ 2 มีไซเล็มและโฟลเอ็มเรียงตัวเป็นวงรอบลำต้น ลำต้นพืชชนิดที่ 3 มีไซเล็มเรียงตัวอยู่รอบพิธ มีโฟลเอ็มแทรกอยู่ระหว่ำงไซเล็ม ลำต้นพืชชนิดที่ 4 มีไซเล็มเรียงตัวเป็นแฉกออกจำกกึ่งกลำงรำก โดยโฟลเอ็มแทรกอยู่ระหว่ำงแฉก อยำกทรำบว่ำพืชชนิดใดเป็นพืชประเภทเดียวกัน 1. พืชชนิดที่ 1 และ 3 2. พืชชนิดที่ 1 และ 4 3. พืชชนิดที่ 2 และ 3 4. พืชชนิดที่ 3 และ 4 8. น้ำและแร่ธำตุลำเลียงเข้ำสู่รำกพืชด้วยกระบวนกำรใด 1. ลำเลียงโดยกำรแพร่ทั้งคู่ 2. ลำเลียงโดยกำรออสโมซิสทั้งคู่ 3. น้ำลำเลียงโดยกำรแพร่ ส่วนแร่ธำตุลำเลียงโดยกำรออสโมซิส 4. น้ำลำเลียงโดยกำรออสโมซิส ส่วนแร่ธำตุลำเลียงโดยกำรแพร่ 9. จำกสมกำรดังนี้ คำร์บอนไดออกไซด์ + น้ำ แสง คลอโรฟิลล์ น้ำตำล + A + น้ำ A คือสำรใด 1. กลูโคส 2. ออกซิเจน 3. คลอโรฟิลล์ 4. คำร์บอนไดออกไซด์
  • 3. 3 10. กระบวนกำรสังเครำะห์ด้วยแสงมีควำมสำคัญต่อพืชอย่ำงไร 1. ทำให้พืชมีอำกำศหำยใจ 2. ทำให้พืชสร้ำงอำหำรได้ 3. ทำให้พืชสำมำรถสืบพันธุ์ได้ 4. ช่วยระบำยควำมร้อนออกจำกต้นพืช 11. โครงสร้ำงใดที่พืชใช้ในกำรสืบพันธุ์แบบอำศัยเพศ 1. ใบ 2. ผล 3. ดอก 4. ลำต้น 12. กำรปฏิสนธิของพืชเกิดขึ้นเมื่อใด 1. เมล็ดเริ่มงอกเป็นต้น 2. กลีบดอกเริ่มบำนออก 3. ละอองเรณูตกบนยอดเกสรเพศเมีย 4. นิวเคลียสของละอองเรณูผสมกับนิวเคลียสของเซลล์ไข่ 13. ดอกทำนตะวันจะหันไปตำมดวงอำทิตย์ตลอดทั้งวัน เป็นผลมำจำกกำรตอบสนองต่อสิ่งเร้ำใด 1. แสง 2. อุณหภูมิ 3. ดวงอำทิตย์ 4. แก๊สออกซิเจน 14. กำรตอบสนองในข้อใดเป็นกำรตอบสนองต่อสิ่งเร้ำชนิดเดียวกัน 1. กำรงอกของรำกต้นถั่ว-กำรจำศีลของหมี 2. กำรบำนของดอกคุณนำยตื่นสำย-กำรบินกลับรังของนก 3. กำรหุบใบของต้นกำบหอยแครง-กำรลงไปแช่ในแอ่งน้ำของควำย 4. กำรลดรูปใบไปเป็นหนำมของต้นตะบองเพชร-กำรพองตัวของอึ่งอ่ำง 15. กำรเพำะเลี้ยงเนื้อเยื่อเหมำะสำหรับนำมำใช้ขยำยพันธุ์พืชชนิดใด พืช A เป็นพืชที่ใกล้สูญพันธุ์ไปจำกประเทศไทย พืช B เป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในบริเวณที่มีอำกำศร้อนชื้น พืช C เป็นพืชที่ถูกรบกวนโดยแมลงศัตรูพืชและวัชพืชได้ง่ำย พืช D เป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งทุกปีจะมีกำรส่งออกจำนวนมำก 1. พืช A เท่ำนั้น 2. พืช B เท่ำนั้น 3. พืช A B และ D 4. พืช A C และ D
  • 4. 4 16. กำรจำแนกสำรโดยใช้ขนำดของอนุภำคเป็นเกณฑ์เหมำะกับกำรจำแนกสำรในข้อใดมำกที่สุด 1. กำว โฟม เยลลี 2. เหล็ก ปรอท คลอรีน 3. น้ำนม น้ำส้มสำยชู น้ำคลอง 4. น้ำเกลือ น้ำเชื่อม แอลกอฮอล์ล้ำงแผล 17. ข้อใดระบุตัวทำละลำยละตัวละลำยได้ถูกต้อง ข้อ สารละลาย ตัวทาละลาย ตัวละลาย 1. น้ำส้มสำยชู เอทำนอล กรดแอซีติก 2. น้ำเกลือ เกลือแกง น้ำ 3. น้ำเชื่อม น้ำ น้ำตำลทรำย 4. แอลกอฮอล์ล้ำงแผล น้ำ แอลกอฮอล์ 18. สำรในข้อใดต่ำงไปจำกสำรอื่นๆ 1. นำก 2. ทอง 3. อำกำศ 4. น้ำเกลือ 19. ข้อใดต่อไปนี้กล่ำวถูกต้อง 1. อิมัลซิไฟเออร์ในน้ำนม คือ เคซีน 2. อิมัลซิไฟเออร์ในน้ำสลัด คือ น้ำมันพืช 3. อิมัลซิไฟเออร์ในน้ำสลัด คือ น้ำส้มสำยชู 4. อิมัลซิไฟเออร์ในกำรชำระล้ำงสิ่งสกปรก คือ ไขมัน 20. สำรในข้อใดมีสมบัติควำมเป็นกรด-เบสเหมือนกัน 1. ผงฟู ผงซักฟอก เกลือแกง 2. เบียร์ น้ำปูนใส น้ำตำลทรำย 3. น้ำยำเช็ดกระจก ผงชูรส ยำสระผม 4. น้ำมะขำม น้ำมะเขือเทศ น้ำส้มสำยชู 21. ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับแรง 1. แรงทำให้วัตถุหยุดนิ่ง 2. แรงทำให้วัตถุเปลี่ยนสถำนะ 3. แรงทำให้วัตถุเกิดกำรเคลื่อนที่ 4. แรงทำให้วัตถุเปลี่ยนแปลงรูปร่ำง
  • 5. 5 22. ข้อใดระบุชนิดของแรงที่ใช้ทำกิจกรรมได้ถูกต้อง 1. ตักน้ำ-แรงดัน 2. ปำเป้ำ-แรงบิด 3. นวดแป้ง-แรงกด 4. โยนลูกบอล-แรงดึง 23. เด็กคนหนึ่งเดินทำงจำกบ้ำนไปโรงเรียนด้วยอัตรำเร็ว 2 เมตรต่อวินำที โดยใช้เวลำ 60 วินำที ดังนั้น ระยะทำงจำกบ้ำนไปโรงเรียนมีค่ำเท่ำใด 1. 30 เมตร 2. 60 เมตร 3. 90 เมตร 4. 120 เมตร 24. กำรคำนวณหำค่ำควำมเร็ว หำกระยะทำงมีหน่วยเป็นกิโลเมตร เวลำควรมีหน่วยเป็นอะไร 1. วินำที 2. นำที 3. ชั่วโมง 4. วัน 25. กำรคำนวณหำค่ำอัตรำเร็วในกำรเคลื่อนที่จำเป็นต้องทรำบค่ำของปริมำณใดบ้ำง 1. ระยะทำง เวลำ 2. ระยะทำง กำรกระจัด 3. ควำมเร็ว ระยะทำง 4. ควำมเร่ง ระยะทำง 26. อุณหภูมิ 30 องศำเซลเซียสมีค่ำกี่องศำฟำเรนไฮด์ 1. 26 2. 46 3. 66 4. 86 27. ตัวกลำงในข้อใดพำควำมร้อนได้ดีที่สุด 1. น้ำ 2. เงิน 3. เหล็ก 4. อำกำศ 28. “เมื่อยืนอยู่ใกล้เตำไฟในบริเวณที่มีลมพัด เรำจะรู้สึกได้ถึงควำมร้อนจำกเตำไฟ” ลักษณะดังกล่ำวนี้เป็น กำรถ่ำยโอนพลังงำนควำมร้อนแบบใด 1. กำรนำควำมร้อน 2. กำรพำควำมร้อน 3. กำรแผ่รังสีควำมร้อน 4. กำรดูดกลืนควำมร้อน 29. ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับกำรดูดกลืนและกำรคำยควำมร้อน 1. เสื้อสีดำจะคำยควำมร้อนได้ดีกว่ำเสื้อสีขำว 2. ผงเหล็กจะคำยควำมร้อนได้ดีกว่ำแผ่นเหล็ก 3. น้ำเย็นจะดูดกลืนควำมร้อนได้ช้ำกว่ำน้ำร้อน 4. ลูกกอล์ฟจะดูดควำมร้อนได้ช้ำกว่ำลูกปิงปอง
  • 6. 6 30. ข้อใดเป็นกำรนำควำมรู้เรื่องกำรดูดกลืนและคำยควำมร้อนมำใช้ประโยชน์ ก. กำรทำด้ำมจับกระทะด้วยพลำสติก ข. กำรเอำมืออังเหนือกองไฟในฤดูหนำว ค. กำรใส่เสื้อสีขำวเมื่อต้องอยู่กลำงแดด 1. ข้อ ก. เท่ำนั้น 2. ข้อ ค. เท่ำนั้น 3. ข้อ ก. และ ข. 4. ข้อ ข. และ ค. 31. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของบรรยำกำศ 1. ช่วยดูดซับรังสีอัลตรำไวโอเลต 2. ช่วยป้องกันอันตรำยจำกสะเก็ดดำว 3. ช่วยให้โลกไม่ร้อนเกินไปในเวลำกลำงวัน 4. ช่วยให้โลกเย็นลงอย่ำงรวดเร็วในเวลำกลำงคืน 32. ในบริเวณใดที่มีอุณหภูมิของอำกำศสูงที่สุด 1. บนยอดดอยในเวลำ 06.00 น. 2. บริเวณริมทะเลในเวลำ 18.00 น. 3. บริเวณทะเลทรำยในเวลำ 15.00 น. 4. บริเวณป่ำไม้หนำทึบในเวลำ 10.00 น. 33. บริเวณใดจะมีควำมชื้นของอำกำศมำกที่สุด 1. บริเวณที่มีไอน้ำน้อย 2. บริเวณที่มีอุณหภูมิสูง 3. บริเวณที่รับไอน้ำจำกกำรระเหยได้มำก 4. บริเวณที่รับไอน้ำจำกกำรระเหยได้น้อย 34. บริเวณใดน่ำจะมีควำมกดอำกำศต่ำที่สุด 1. บริเวณยอดภูเขำ 2. บริเวณทะเลทรำย 3. บริเวณใต้ท้องทะเล 4. บริเวณที่รำบลุ่มแม่น้ำ 35. ควำมสัมพันธ์ของคำมชื้นสัมพัทธ์กับกิจกรรมต่ำงๆในชีวิตประจำวันในข้อใดถูกต้อง 1. ควำมชื้นสัมพัทธ์ต่ำ อำกำศจะอบอ้ำว 2. ควำมชื้นสัมพัทธ์ต่ำ เสื้อผ้ำจะแห้งช้ำ 3. ควำมชื้นสัมพัทธ์สูง เสื้อผ้ำจะแห้งเร็ว 4. ควำมชื้นสัมพัทธ์สูง จะรู้สึกเหนียวตัว
  • 7. 7 36. ข้อใดอธิบำยเกี่ยวกับหยำดน้ำฟ้ำได้ถูกต้องที่สุด 1. หมอกจัดเป็นหยำดน้ำฟ้ำชนิดหนึ่ง 2. ลูกเห็บจัดเป็นหยำดน้ำฟ้ำ ส่วนหิมะไม่จัดเป็นหยำดน้ำฟ้ำ 3. ฝนและน้ำค้ำงจัดเป็นหยำดน้ำฟ้ำที่มีสถำนะเป็นของเหลวเหมือนกัน 4. หยำดน้ำฟ้ำเป็นไอน้ำในบรรยำกำศที่เกิดกำรควบแน่นแล้วตกลงมำสู่พื้นโลก 37. ปัจจัยใดมีอิทธิพลต่อกำรเกิดลมมำกที่สุด 1. ควำมชื้นสัมพัทธ์ 2. ปริมำณไอน้ำในอำกำศ 3. ควำมร้อนจำกดวงอำทิตย์ 4. ระดับควำมสูง-ต่ำของพื้นที่ 38. ข้อใดบอกลักษณะและกำรใช้ประโยชน์ของเครื่องมือที่ใช้วัดเกี่ยวกับลมได้ถูกต้องที่สุด ข้อ อุปกรณ์ ลักษณะ การใช้ประโยชน์ 1. ศรลม เป็นลูกศรที่มีหำงเป็นแผ่นใหญ่กว่ำหัวลูกศร วัดควำมเร็วลม 2. มำตรควำมเร็วลม เป็นกรวยโลหะ 3-4 อันติดอยู่ที่ก้ำน ตรวจสอบทิศทำงลม 3. แอนีมอมิเตอร์ เป็นกรวยโลหะ 3-4 อันติดอยู่ที่ก้ำน วัดควำมเร็วลม 4. แอโรเวน มีรูปร่ำงคล้ำยเครื่องบินไม่มีปีก ตรวจสอบทิศทำงลม และวัดควำมเร็วลม 39. ข้อมูลเกี่ยวกับกำรพยำกรณ์อำกำศ มีดังนี้ ก. แผนที่อำกำศนำมำช่วยในกำรพยำกรณ์อำกำศ ข. กำรพยำกรณ์อำกำศช่วยให้กำรคมนำคมทำงทะเลและทำงอำกำศปลอดภัยยิ่งขึ้น ค. กำรพยำกรณ์อำกำศ คือ กำรทำนำยสภำพอำกำศที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลำข้ำงหน้ำ จำกข้อมูลที่กำหนดให้มีข้อมูลที่ถูกต้องกี่ข้อ 1. 1 ข้อ 2. 2 ข้อ 3. 3 ข้อ 4. ไม่มีข้อถูก 40. ข้อใดไม่เป็นกำรช่วยลดภำวะโลกร้อน 1. กำรเข้ำร่วมโครงกำรปลูกป่ำทดแทน 2. กำรลดปริมำณขยะโดยกำรมำนำมำใช้ซ้ำ 3. กำรใช้พลังงำนแสงอำทิตย์ในกำรผลิตไฟฟ้ำ 4. กำรใช้ถุงพลำสติกจำกร้ำนค้ำแค่เพียงใบเดียว
  • 8. 8 41. หำกกำรจัดระบบในร่ำงกำยมนุษย์และสัตว์ผิดปกติในระดับใดระดับหนึ่ง จะส่งผลต่อร่ำงกำยอย่ำงไร 1. ทำให้มีภูมิคุ้มกันต่ำ 2. ทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ำย 3. ระบบต่ำงๆ ในร่ำงกำยทำงำนผิดปกติ 4. ร่ำงกำยจะปรับตัวได้จึงไม่มีผลแต่อย่ำงใด 42. อำกำรท้องผูกเกิดจำกกำรทำงำนผิดปกติของอวัยวะใด 1. ลำไส้เล็ก 2. ลำไส้ใหญ่ 3. ทวำรหนัก 4. กระเพำะอำหำร 43. เพรำะเหตุใดกล้ำมเนื้อหัวใจห้องล่ำงจึงหนำกว่ำกล้ำมเนื้อหัวใจห้องบน 1. หัวใจห้องล่ำงต้องรับเลือดจำกส่วนต่ำงๆ ของร่ำงกำย 2. หัวใจห้องล่ำงต้องบีบตัวเพื่อส่งเลือดไปยังส่วนต่ำงๆ ของร่ำงกำย 3. เลือดที่เข้ำสู่หัวใจห้องล่ำงมีควำมดันสูงกว่ำเลือดที่เข้ำสู่หัวใจห้องบน 4. เลือดที่เข้ำสู่หัวใจห้องล่ำงมีปริมำณมำกกว่ำเลือดที่เข้ำสู่หัวใจห้องบน 44. กำรที่เหงือกของปลำมีลักษณะเป็นซี่เล็กๆ มีผลต่อระบบหำยใจอย่ำงไร 1. ช่วยให้น้ำซึมผ่ำนได้ดี 2. ช่วยเพิ่มพื้นที่ในกำรแลกเปลี่ยนแก๊ส 3. ช่วยให้ดูดซึมแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ได้ดี 4. ช่วยให้ปลำไม่ต้องขึ้นมำหำยใจเหนือน้ำบ่อยๆ 45. ในขณะที่เรำหำยใจเข้ำ ข้อใดกล่ำวถึงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกะบังลมกับกระดูกซี่โครงได้ถูกต้อง 1. ทั้งกะบังลมและกระดูกซี่โครงเลื่อนต่ำลง 2. ทั้งกะบังลมและกระดูกซี่โครงเลื่อนสูงขึ้น 3. กะบังลมเลื่อนสูงขึ้น กระดูกซี่โครงเลื่อนต่ำลง 4. กะบังลมเลื่อนต่ำลง กระดูกซี่โครงเลื่อนสูงขึ้น 46. หำกไตทำงำนผิดปกติ จะสำมำรถสังเกตได้จำกสิ่งใด 1. เหงื่อ 2. อุจจำระ 3. ปัสสำวะ 4. ลมหำยใจออก 47. หำกเด็กหญิงคนหนึ่งมีรังไข่ผิดปกติ จะส่งผลต่อร่ำงกำยอย่ำงไร 1. ร่ำงกำยไม่เจริญเติบโต 2. มีลักษณะเหมือนผู้ชำย 3. พัฒนำกำรทำงเพศผิดปกติ 4. ทำให้เกิดโรคมะเร็งในรังไข่
  • 9. 9 48. แฝดอิน – จัน แฝดสยำมคู่แรกของโลก เป็นกำรเกิดแฝดในกรณีใด 1. แฝดต่ำงไข่ 2. แฝดร่วมไข่ 3. อำจเป็นแฝดต่ำงไข่ หรือแฝดร่วมไข่ 4. เป็นแฝดที่เกิดจำกวิธีกำรทำงกำรแพทย์ 49. เพรำะเหตุใดสิ่งมีชีวิตจึงมีกำรแสดงพฤติกรรม 1. เพื่อปรับตัวเข้ำกับสิ่งแวดล้อม 2. เพื่อแสดงออกถึงควำมต้องกำร 3. เพื่อตอบสนองต่อสังคมที่อำศัยอยู่ 4. เพื่อควำมอยู่รอดและดำรงเผ่ำพันธุ์ 50. เทคโนโลยีชีวภำพมีประโยชน์อย่ำงไร 1. ช่วยประหยัดต้นทุนกำรผลิตสัตว์ 2. ช่วยทำให้ได้สัตว์สำยพันธุ์ตำมต้องกำร 3. ลดระยะเวลำในกำรเจริญเติบโตของสัตว์ 4. สำมำรถทำได้ง่ำย โดยไม่ต้องใช้ควำมเชี่ยวชำญ 51. ข้อควำมใดที่กล่ำวเกี่ยวกับกำรใช้พลังงำนจำกสำรอำหำรได้ถูกต้องที่สุด 1. ขณะนอนหลับร่ำงกำยจะไม่ใช้พลังงำนที่ได้จำกสำรอำหำร 2. ในกำรทำกิจกรรมชนิดเดียวกัน ผู้หญิงกับผู้ชำยจะใช้พลังงำนต่ำงกัน 3. ในกำรทำกิจกรรมชนิดเดียวกัน ผู้ที่มีน้ำหนักน้อยจะใช้พลังงำนมำกกว่ำผู้ที่มีน้ำหนักมำก 4. ขณะเล่นกีฬำผู้ชำยจะใช้พลังงำนมำกกว่ำผู้หญิง แต่ในขณะทำงำนเบำๆ ผู้หญิงจะใช้พลังงำน มำกกว่ำผู้ชำย 52. เพื่อส่งเสริมให้ร่ำงกำยเจริญเติบโตอย่ำงสมวัย วัยรุ่นควรรับประทำนอำหำรชนิดใดมำกที่สุด 1. ข้ำว เนื้อสัตว์ 2. เนย ผักใบเขียว 3. ไข่ มะเขือเทศ 4. น้ำมันพืช ถั่วเหลือง 53. ข้อใดเป็นสำเหตุสำคัญที่สุด ที่ทำให้เด็กในวัยเรียนรับประทำนอำหำรไม่ครบ 5 หมู่ 1. กำรรับประทำนอำหำรนอกบ้ำน 2. กำรรับประทำนอำหำรไม่เป็นเวลำ 3. กำรรับประทำนอำหำรไม่อิ่มเพรำะเร่งรีบ 4. กำรเลือกรับประทำนอำหำรเฉพำะที่ตนเองชอบ
  • 10. 10 54. นักเรียนควรเลือกรับประทำนอำหำรชนิดใดต่อไปนี้ จึงจะให้คุณค่ำทำงอำหำรดีที่สุด หำกอำหำร ทั้งหมดนี้มีรำคำเท่ำกัน 1. ขนมครก 2. ปำท่องโก๋ 3. กล้วยบวชชี 4. นมถั่วเหลือง 55. กำรสังเกตว่ำบุคคลใดติดสำรเสพติดนั้น วิธีใดที่ให้ผลแน่นอนที่สุด 1. สังเกตจำกบุคคลใกล้ชิด 2. สังเกตจำกพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป 3. สังเกตจำกสุขภำพร่ำงกำยของผู้เสพ 4. สังเกตจำกผลกำรตรวจเลือดและปัสสำวะ 56. ข้อใดกล่ำวถึงธำตุได้ถูกต้อง 1. ธำตุทุกชนิดสำมำรถนำไฟฟ้ำ 2. ธำตุแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ โลหะ และอโลหะ 3. โซเดียมคลอไรด์และโพแทสเซียมออกไซด์เป็นธำตุ 4. ไม่สำมำรถทำให้ธำตุแตกตัวเป็นสำรเดี่ยวหลำยชนิดได้ 57. ข้อใดเป็นสมบัติทำงกำยภำพของสำร 1. สี กำรลุกติดไฟ 2. สถำนะ จุดเดือด 3. กลิ่น ควำมเป็นกรด-เบส 4. จุดหลอมเหลว กำรสลำยตัว 58. เพรำะเหตุใดภำชนะหุงต้มที่ใช้ประกอบอำหำรจึงทำด้วยโลหะ 1. มีผิวมันวำว 2. นำไฟฟ้ำได้ดี 3. นำควำมร้อนได้ดี 4. ตีแผ่เป็นรูปทรงต่ำงๆ ได้ง่ำย 59. สำรที่เหมำะสมจะนำมำแยกโดยกำรกลั่นแบบไอน้ำ ควรมีสมบัติตำมข้อใด 1. ไม่ละลำยน้ำ จุดเดือดสูง 2. ไม่ละลำยน้ำ จุดเดือดต่ำ 3. ละลำยน้ำได้ดี จุดเดือดสูง 4. ละลำยน้ำได้ดี จุดเดือดต่ำ
  • 11. 11 60. กำรแยกสำรบริสุทธิ์ด้วยวิธีโครมำโทกรำฟีอำศัยหลักกำรใด 1. ควำมแตกต่ำงของกำรถูกดูดซับ 2. ควำมแตกต่ำงของสำรในกำรละลำย 3. ควำมแตกต่ำงของสำรที่ใช้เป็นตัวทำละลำย 4. ควำมแตกต่ำงของสำรในกำรละลำยและกำรถูกดูดซับ 61. จำกกำรนำสำร 2 ชนิด มำผสมกัน ดังตำรำงที่กำหนดให้ ข้อใดเป็นปฏิกิริยำดูควำมร้อน ข้อ สารที่ผสม อุณหภูมิของสาร (o C) ก่อนผสม หลังผสม 1. A+B 27 28 2. C+D 29 29 3. E+F 29 28 4. G+H 26 25 62. พิจำรณำข้อควำมต่อไปนี้ แล้วตอบคำถำม ก. เติมตัวเร่งปฏิกิริยำ ข. ให้ควำมร้อนแก่ปฏิกิริยำ ค. บดหรือหั่นสำรตั้งต้นให้มีขนำดเล็กลง ง. เพิ่มปริมำณของสำรตั้งต้นโดยกำรเติมน้ำกลั่น จ. เลือกสำรตั้งต้นที่มีคุณสมบัติเหมำะสมในกำรใช้งำน ข้อใดเป็นกำรเร่งอัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำเคมี 1. ก. ข. ค. 2. ก. ข. จ. 3. ก. ข. ค. ง. 4. ก. ข. ค. จ. 63. ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อกำรเกิดปฏิกิริยำเคมี 1. อุณหภูมิที่สูงขึ้น จะทำให้เกิดปฏิกิริยำเคมีได้เร็ว 2. กำรเพิ่มพื้นที่ผิวของสำร จะช่วยให้ปฏิกิริยำเคมีเกิดช้ำลง 3. สำรตั้งต้นที่มีควำมเข้มข้นมำก จะทำให้เกิดปฏิกิริยำเคมีได้อย่ำงรวดเร็ว 4. สมบัติของสำรตั้งต้นที่เป็นสำรไวไฟ จะทำให้ปฏิกิริยำเคมีเกิดได้เร็วขึ้น
  • 12. 12 64. จำกข้อควำมที่กำหนดให้ต่อไปนี้ ก. ฝนกรด ข. กำรเกิดหินงอกหินย้อย ค. ปรำกฏกำรณ์เรือนกระจก ง. น้ำเน่ำเสียจำกกำรทิ้งสำรอินทรีย์ ข้อใดเป็นผลกระทบของปฏิกิริยำเคมีที่เป็นอันตรำยต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม 1. ก. ข. 2. ข. ค. 3. ก. ข. ค. 4. ก. ค. ง. 65. จำกข้อควำมที่กำหดให้ต่อไปนี้ ก. สำรสังเครำะห์สำมำรถเกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติได้ ข. สำรสังเครำะห์ คือ กำรลอกเลียนแบบสำรจำกธรรมชำติ ค. สำรสังเครำะห์มีประสิทธิภำพมำกกว่ำสำรจำกธรรมชำติ ง. สำรจำกธรรมชำติมีพิษหรืออันตรำยมำกกว่ำสำรสังเครำะห์ ข้อใดกล่ำวถึงสำรสังเครำะห์ได้ถูกต้อง 1. ก. ข. 2. ข. ค. 3. ก. ค. 4. ก. ง. 66. แรงเป็นปริมำณที่มีลักษณะตำมข้อใด 1. มีแต่ขนำด 2. มีแต่ทิศทำง 3. มีทั้งขนำดและทิศทำง 4. มีขนำดในบำงทิศทำงเท่ำนั้น 67. ถ้ำแรง F1 มีขนำด 6 นิวตัน และแรง F2 มีขนำด 3 นิวตัน แรงลัพธ์ของแรงทั้งสองมีขนำด 9 นิวตัน แสดงว่ำทั้งสองมีทิศทำงอย่ำงไร 1. มีทิศตั้งฉำกกัน 2. มีทิศตรงข้ำมกัน 3. มีทิศไปทำงเดียวกัน 4. แรง F1 มีทิศขึ้น ส่วนแรง F2 มีทิศลง
  • 13. 13 68. พิจำรณำภำพด้ำนล่ำงแล้วตอบคำถำม จำกภำพ แรงลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับกล่องมีขนำดเท่ำใด และกล่องจะเคลื่อนที่ไปในทิศทำงใด 1. แรงลัพธ์มีขนำดเท่ำกับ 0 นิวตัน กล่องไม่เคลื่อนที่ 2. แรงลัพธ์มีขนำดเท่ำกับ 5 นิวตัน กล่องเคลื่อนที่ไปทำงขวำ 3. แรงลัพธ์มีขนำดเท่ำกับ 10 นิวตัน กล่องเคลื่อนที่ไปทำงซ้ำย 4. แรงลัพธ์มีขนำดเท่ำกับ 15 นิวตัน กล่องเคลื่อนที่ไปทำงขวำ 69. จงพิจำรณำภำพต่อไปนี้แล้วตอบคำถำม A B O P a d b c ข้อใดคือรังสีตกกระทบ 1. OP 2. AO 3. BO 4. AB 70. กำรสะท้อนกลับหมดจะสำมำรถเกิดขึ้นเมื่อแสงเดินทำงตำมข้อใด 1. จำกน้ำไปแก้ว 2. จำกแก้วไปน้ำ 3. จำกอำกำศไปน้ำ 4. จำกอำกำศไปแก้ว 71. คนที่ใส่แว่นสำยตำยำว จะเห็นภำพของวัตถุมีขนำดเล็กกว่ำวัตถุจริงในกรณีใด 1. วัตถุอยู่ห่ำงจำกแว่นสำยตำน้อยกว่ำควำมยำวโฟกัส 2. วัตถุอยู่ห่ำงจำกแว่นสำยตำมำกกว่ำ 2 เท่ำของควำมยำวโฟกัส 3. วัตถุอยู่ห่ำงจำกแว่นสำยตำในระยะมำกกว่ำจุดศูนย์กลำงควำมโค้ง 4. วัตถุอยู่ห่ำงจำกแว่นสำยตำน้อยกว่ำ 2 เท่ำของควำมยำวโฟกัส แต่มำกกว่ำควำมยำวโฟกัส
  • 14. 14 72. จำกภำพในข้อใด จะทำให้เกิดภำพเสมือนหัวตั้ง ขนำดใหญ่กว่ำวัตถุ 1. C F 2. C F 3. C F 4. C F 73. ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับตำขำว ก. ตำขำวมีหน้ำที่ช่วยรักษำสมดุลของแสงที่เข้ำสู่จอตำ ข. ตำขำวมีหน้ำที่รักษำรูปทรงของลูกตำและปกป้องโครงสร้ำงภำยในตำ ค. ตำขำวมีสีขำว เป็นชั้นบำงๆ ที่เคลือบลูกตำเอำไว้ ซึ่งมีควำมเหนียวและแข็งแรง 1. ก. 2. ข. 3. ค. 4. ทั้ง ก. และ ข. 74. ภำพที่ตกบนจอตำของมนุษย์เป็นภำพที่มีลักษณะอย่ำงไร 1. ภำพจริงหัวตั้ง 2. ภำพจริงหัวกลับ 3. ภำพเสมือนหัวตั้ง 4. ภำพเสมือนหัวกลับ 75. ข้อใดต่อไปนี้กล่ำวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับโลก 1. โลกมีลักษณะเป็นทรงกลมแป้นคล้ำยลูกมะนำว ที่มีเส้นผ่ำนศูนย์กลำงเท่ำกันทั้งโลก 2. โลกประกอบด้วยเปลือกโลก เนื้อโลก และแก่นโลก ซึ่งเนื้อโลกจะมีควำมเย็นมำกกว่ำแก่นโลก 3. โลกเกิดขึ้น เมื่อ 4,600 ล้ำนปีก่อน โดยในช่วงแรกจะยังไม่มีสิ่งมีชีวิต ซึ่งมนุษย์ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 0.003 ล้ำนปีก่อน 4. โลกถูกแบ่งโครงสร้ำงจำกชั้นบรรยำกำศสู่แก่นโลก ได้แก่ เปลือกโลก เนื้อโลกชั้นนอก เนื้อโลก ชั้นใน แก่นโลกชั้นนอก และแก่นโลกชั้นในตำมลำดับ 76. โครงสร้ำงของโลกส่วนใดมีควำมหนำมำกที่สุด 1. เนื้อโลก 2. แก่นโลก 3. เปลือกโลกชั้นใน 4. เปลือกโลกชั้นนอก
  • 15. 15 77. ดินชั้นบนและดินชั้นล่ำงมีลักษณะแตกต่ำงกันอย่ำงไร 1. ดินชั้นบนมีสีจำงกว่ำดินชั้นล่ำง 2. ดินชั้นบนมีสีคล้ำกว่ำดินชั้นล่ำง 3. ดินชั้นบนมีควำมพรุนน้อยกว่ำดินชั้นล่ำง 4. ดินชั้นบนมีขนำดเม็ดดินใหญ่กว่ำดินชั้นล่ำง 78. ปัจจัยใดที่มีผลทำให้หินอัคนีและหินตะกอนกลำยสภำพเป็นหินแปร 1. กำรหลอมละลำย 2. ควำมร้อนและควำมดัน 3. กำรสะสมและกำรทับถม 4. ควำมแค้นและควำมเครียด 79. ข้อใดไม่ใช่สมบัติทำงกำยภำพของแร่ 1. สี สีผง 2. รูปผลึก ควำมวำว 3. สีเปลวไฟ แสงเรือง 4. ควำมแข็ง ควำมถ่วงจำเพำะ 80. ข้อใดเป็นควำมหมำยของคำว่ำ “ทรัพยำกรธรรมชำติ” 1. สิ่งที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติ 2. สิ่งที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติ หรือบำงส่วนที่มนุษย์สร้ำงขึ้น 3. สิ่งที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติ แต่มนุษย์ไม่สำมำรถนำมำใช้ประโยชน์ 4. สิ่งที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติ และมีประโยชน์ต่อมนุษย์ทั้งทำงตรงและทำงอ้อม 81. กำรถ่ำยทอดลักษณะของสิ่งมีชีวิตจำกรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง หมำยถึงข้อใด 1. พันธุกรรม 2. พันธุศำสตร์ 3. พันธุวิศวกรรม 4. โรคทำงพันธุกรรม 82. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะทำงพันธุกรรม 1. สีผิว 2. ลักยิ้ม 3. ชั้นตำ 4. แผลเป็น 83. เมื่อมองเซลล์ผ่ำนกล้องจุลทรรศน์ในขณะที่มีกำรแบ่งเซลล์ จะพบโครงสร้ำงใด 1. โครมำทิด 2. โครมำทิน 3. โครโมโซม 4. เซนโทรเมียร์
  • 16. 16 84. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับโครโมโซมของมนุษย์ 1. เป็นออโตโซม 22 คู่ และเป็นโครโมโซมเพศ 1 คู่ 2. เป็นออโตโซม 23 คู่ และเป็นโครโมโซมเพศ 1 คู่ 3. เป็นออโตโซม 45 คู่ และเป็นโครโมโซมเพศ 1 คู่ 4. เป็นออโตโซม 46 คู่ และเป็นโครโมโซมเพศ 1 คู่ 85. กำรที่สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันมีหลำยสำยพันธุ์ จัดเป็นควำมหลำกหลำยทำงใด 1. ควำมหลำกหลำยทำงกำยภำพ 2. ควำมหลำกหลำยทำงชนิดพันธุ์ 3. ควำมหลำกหลำยทำงพันธุกรรม 4. ควำมหลำกหลำยทำงระบบนิเวศ 86. มนุษย์ยุคปัจจุบันมีชื่อวิทยำศำสตร์ว่ำอะไร 1. Homo sapiens 2. Homo erectus 3. Homo sapiens idaltu 4. Homo neanderthalensis 87. กำรจัดจำแนกสิ่งมีชีวิตตำมแนวคิดของรอเบิร์ต วิตเทเกอร์ แบ่งสิ่งมีชีวิตออกเป็นกี่อำณำจักร 1. 4 อำณำจักร 2. 5 อำณำจักร 3. 6 อำณำจักร 4. 7 อำณำจักร 88. แพรวำจัดสิ่งมีชีวิตออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) ฟองน้ำ แมงกะพรุน หอย และหมึก 2) ปลำหำงนกยูง โลมำ ไก่ และสุนัข แพรวำใช้สิ่งใดเป็นเกณฑ์ในกำรจัดจำแนกสิ่งมีชีวิต 1. แหล่งที่อยู่ 2. แหล่งกำเนิด 3. ลักษณะลำตัว 4. กระดูกสันหลัง 89. ระบบนิเวศประกอบด้วยโครงสร้ำงใดบ้ำง 1. กลุ่มสิ่งมีชีวิตเพียงอย่ำงเดียว 2. กลุ่มสิ่งมีชีวิต และแหล่งที่อยู่ 3. กลุ่มสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อม 4. กลุ่มสิ่งมีชีวิต แหล่งที่อยู่ และสิ่งแวดล้อม
  • 17. 17 90. สิ่งมีชีวิตในข้อใดแสดงบทบำทต่ำงจำกสิ่งมีชีวิตในข้ออื่น 1. มอส 2. ชวนชม 3. เห็ดนำงฟ้ำ 4. สำหร่ำยหำงกระรอก 91. “ไลเคน” เป็นกำรอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตที่มีควำมสัมพันธ์กันแบบใด 1. ภำวะแข่งขัน 2. ภำวะล่ำเหยื่อ 3. ภำวะอิงอำศัย 4. ภำวะพึ่งพำกัน 92. “หนอน นก หญ้ำ งู” พบในระบบนิเวศแห่งหนึ่ง จะเขียนควำมสัมพันธ์ในรูปโซ่อำหำรได้อย่ำงไร 1. หญ้ำ ⟶ หนอน ⟶ งู ⟶ นก 2. หญ้ำ ⟶ หนอน ⟶ นก ⟶ งู 3. หญ้ำ ⟶ นก ⟶ หนอน ⟶ งู 4. หญ้ำ ⟶ งู ⟶ นก ⟶ หนอน 93. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับวัฏจักรคำร์บอน 1. กำรคำยน้ำของพืช 2. กำรหำยใจของสิ่งมีชีวิต 3. กำรสังเครำะห์ด้วยแสงของพืช 4. กำรย่อยสลำยซำกพืช ซำกสัตว์ 94. วัฏจักรสำรใดที่จะเกิดขึ้นได้สมบูรณ์ต้องอำศัยจุลินทรีย์ 1. น้ำ 2. คำร์บอน 3. ไนโตรเจน 4. ฟอสฟอรัส 95. ปัจจัยใดบ้ำงที่มีผลต่อกำรเปลี่ยนแปลงขนำดของประชำกร 1. อัตรำกำรเกิดเท่ำนั้น 2. อัตรำกำรตำยเท่ำนั้น 3. อัตรำกำรเกิด อัตรำกำรตำย และอัตรำกำรอพยพเข้ำ 4. อัตรำกำรเกิด อัตรำกำรตำย อัตรำกำรอพยพเข้ำ และอัตรำกำรอพยพออก 96. ระบบนิเวศที่สมดุลหมำยถึงข้อใด 1. บริเวณที่มีสิ่งมีชีวิตหลำกหลำยชนิดมำอยู่รวมกัน 2. บริเวณที่มีสิ่งแวดล้อมทั้งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิตจำนวนเท่ำๆ กัน 3. บริเวณที่มีสิ่งมีชีวิตอำศัยอยู่ และมีควำมสัมพันธ์กันในลักษณะต่ำงๆ 4. บริเวณที่มีสิ่งมีชีวิตทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลำยในปริมำณ สัดส่วน และกำรกระจำยที่ เหมำะสม
  • 18. 18 97. ข้อใดอธิบำยควำมหมำยของคำว่ำ “สิ่งแวดล้อม” ได้ถูกต้องที่สุด 1. สิ่งต่ำงๆ ที่อยู่รอบตัวเรำ 2. สิ่งต่ำงๆ ที่มีควำมเหมำะสมต่อมนุษย์ 3. ทุกสิ่งที่ประกอบกันเป็นโลกและสภำพแวดล้อมที่เกี่ยวกับป่ำไม้ ดิน น้ำ อำกำศ 4. ทุกสิ่งทุกอย่ำงที่อยู่รอบตัวเรำทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ทั้งที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติและที่ มนุษย์สร้ำงขึ้น 98. สำเหตุสำคัญที่สุดของปัญหำวิกฤตกำรณ์ด้ำนสิ่งแวดล้อมและทรัพยำกรธรรมชำติคือข้อใด 1. กำรเพิ่มขึ้นของประชำกร 2. กำรขยำยตัวทำงเศรษฐกิจ 3. ภัยธรรมชำติและอุบัติเหตุ 4. ควำมเจริญทำงด้ำนเทคโนโลยี 99. ตัวกำรสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหำวิกฤตกำรณ์ด้ำนสิ่งแวดล้อมและทรัพยำกรธรรมชำติคือข้อใด 1. มนุษย์ 2. นักกำรเมือง 3. ภัยธรรมชำติ 4. ควำมก้ำวหน้ำของเทคโนโลยี 100. กำรแก้ปัญหำสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดคือข้อใด 1. กำรอนุรักษ์ทรัพยำกรธรรมชำติ 2. ลดปริมำณกำรใช้น้ำมันเชื้อเพลิง 3. ให้กำรศึกษำด้ำนสิ่งแวดล้อมแก่ประชำชน 4. กำหนดบทลงโทษอย่ำงจริงจังเกี่ยวกับกำรทำลำยสิ่งแวดล้อม 101. แรงโน้มถ่วงของโลกบริเวณใดมีค่ำมำกที่สุด 1. ที่ระดับน้ำทะเลสูงสุด 2. ที่ระดับน้ำทะเลปำนกลำง 3. ที่ระดับควำมสูง 50 เมตร 4. ที่ระดับควำมสูง 100 เมตร 102. ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับกฎกำรเคลื่อนที่ของนิวตัน 1. แรงลอยตัวเป็นแรงคู่กิริยำปฏิกิริยำกับแรงโน้มถ่วงของโลก 2. เมื่อไม่มีแรงภำยนอกมำกระทำ วัตถุจะเคลื่อนที่ด้วยควำมเร็วคงตัว 3. เมื่อมีแรงคงที่กระทำต่อวัตถุ ทำให้วัตถุเคลื่อนที่ด้วยควำมเร็วคงตัว 4. แรงปฏิกิริยำจะมีทิศทำงตรงกันข้ำมกับแรงกิริยำ ซึ่งกระทำต่อวัตถุก้อนเดียวกัน
  • 19. 19 103. แรงลอยตัวของของเหลวจะมีค่ำมำกหรือน้อยขึ้นอยู่กับสิ่งใด 1. ปริมำตรของของเหลว 2. ควำมหนำแน่นของของเหลว 3. ควำมหนำแน่นของวัตถุที่จมในของเหลว 4. ควำมหนำแน่นของวัตถุที่ลอยในของเหลว 104. คำนเบำที่มีควำมยำวสม่ำเสมอ 0.60 เมตร ปลำยด้ำนหนึ่งปักติดอยู่กับกำแพง ส่วนปลำยอีกด้ำนแขวน วัตถุมวล 9 กิโลกรัม จงหำโมเมนต์ของแรงที่กระทำต่อคำนดังกล่ำว 1. 0.54 นิตันเมตร 2. 5.40 นิตันเมตร 3. 5.04 นิตันเมตร 4. 54.0 นิตันเมตร 105. นำย ก ออกแรง 50 นิวตัน เข็นรถให้เคลื่อนที่เป็นระยะทำง 1 เมตร จงหำงำนที่นำย ก. ใช้ในกำรเข็นรถ 1. 20 นิวตันเมตร 2. 30 นิวตันเมตร 3. 40 นิวตันเมตร 4. 50 นิวตันเมตร 106. นำย ก ขับรถขึ้นภูเขำ 50 กิโลเมตร เมื่อถึงยอดเขำจึงปล่อยให้รถไถลลงมำถึงเชิงเขำ ข้อใดสำมำรถ อธิบำยกำรเปลี่ยนรูปพลังงำนของรถยนต์คันนี้ได้ถูกต้องที่สุด 1. พลังงำนจลน์ ⟶ พลังงำนศักย์ 2. พลังงำนศักย์ ⟶ พลังงำนจลน์ 3. พลังงำนศักย์ ⟶ พลังงำนจลน์ ⟶ พลังงำนศักย์ 4. พลังงำนจลน์ ⟶ พลังงำนศักย์ ⟶ พลังงำนจลน์ 107. รถยนต์คันหนึ่งมีมวล 1 ตัน แล่นด้วยควำมเร็ว 10 เมตรต่อวินำที จงหำพลังงำนจลน์ของรถยนต์คันนี้ 1. 10,000 จูล 2. 30,000 จูล 3. 50,000 จูล 4. 100,000 จูล 108. ข้อใดแสดงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงำนและพลังงำน 1. งำน = พลังงำนศักย์ – พลังงำนจลน์ 2. งำน = พลังงำนจลน์ + พลังงำนศักย์ 3. งำน = ผลบวกของพลังงำนเมื่อเวลำเปลี่ยนไป 4. งำน = ผลต่ำงของพลังงำนเมื่อเวลำเปลี่ยนไป 109. ข้อใดแสดงทิศทำงกำรไหลของกระแสไฟฟ้ำ 1. ไหลจำกที่สูงลงสู่ที่ต่ำ 2. ไหลจำกขั้วลบไปยังขั้วบวก 3. ไหลจำกแรงดันต่ำไปยังแรงดันสูง 4. ไหลจำกศักย์ไฟฟ้ำสูงไปยังศักย์ไฟฟ้ำต่ำ
  • 20. 20 110. หลอดไฟฟ้ำ 220 V 80 W ถ้ำใช้นำน 20 ชั่วโมง จะสิ้นเปลืองพลังงำนไฟฟ้ำกี่ยูนิต 1. 0.8 ยูนิต 2. 1.6 ยูนิต 3. 2.4 ยูนิต 4. 3.2 ยูนิต 111. วงจรไฟฟ้ำวงจรหนึ่งมีควำมต้ำนทำนไฟฟ้ำ 12 กิโลโอห์ม มีกระแสไฟฟ้ำ 30 มิลลิแอมแปร์ จงคำนวณหำค่ำควำมต่ำงศักย์ไฟฟ้ำ 1. 36 มิลลิโวลต์ 2. 36 กิโลโวลต์ 3. 0.36 มิลลิโวลด์ 4. 360 โวลต์ 112. ข้อใดกล่ำวถึงกฎของโอห์มได้ถูกต้อง 1. กระแสไฟฟ้ำแปรผกผันกับควำมต้ำนทำนไฟฟ้ำ 2. กระแสไฟฟ้ำแปรผันตรงกับควำมต้ำนทำนไฟฟ้ำ 3. กระแสไฟฟ้ำแปรผันตรงกับควำมต่ำงศักย์ไฟฟ้ำ 4. กระแสไฟฟ้ำแปรผกผันกับควำมต่ำงศักย์ไฟฟ้ำ 113. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 1. อุปกรณ์ที่เป็นฉนวนไฟฟ้ำ 2. อุปกรณ์ที่ควบคุมกำรไหลของประจุ 3. อุปกรณ์ที่ควบคุมปริมำณและทิศทำงกำรไหลของอิเล็กตรอน 4. อุปกรณ์ที่ควบคุมปริมำณและทิศทำงกำรไหลของกระแสไฟฟ้ำ 114. ตัวต้ำนทำนดังกล่ำวมีค่ำควำมต้ำนทำนกี่กิโลโอห์ม 1. 10 2. 100 3. 1,000 4. 10,000 115. อุปกรณ์ใดเป็นกำรใช้ประโยชน์จำกไดโอดเปล่งแสง 1. พัดลมไฟฟ้ำ 2. จอโทรทัศน์แอลซีดี 3. หน้ำจอคอมพิวเตอร์ 4. หลอดฟลูออเรสเซนต์
  • 21. 21 116. อุปกรณ์ใดมีกำรใช้ตัวต้ำนทำนปรับค่ำได้ 1. ตู้เย็น 2. สวิตช์หรี่ไฟ 3. โทรศัพท์มือถือ 4. จอโทรทัศน์แอลอีดี 117. ดำวเครำะห์ดวงใดมีขนำดเล็กที่สุดในระบบสุริยะ 1. ดำวพุธ 2. ดำวศุกร์ 3. ดำวพลูโต 4. ดำวอังคำร 118. นักวิทยำศำสตร์ทรำบอำยุของระบบสุริยะได้จำกสิ่งใด 1. ดำวหำง 2. ดวงอำทิตย์ 3. ดำวเครำะห์บำงดวง 4. อุกกำบำตที่ตกลงสู่โลก 119. สีของดำวฤกษ์ในข้อใดมีอุณหภูมิสูงที่สุด 1. แดง 2. ขำว 3. เหลือง 4. ส้มแดง 120. กำรใช้กล้องโทรทรรศน์ติดตั้งบนโลก ส่องดูดำวบนท้องฟ้ำจะรับได้เพียงคลื่นไมโครเวฟ และแสงสี ที่มองเห็นได้เท่ำนั้น เพรำะเหตุใด 1. รังสีอื่นๆ จะสะท้อนกลับหมด 2. รังสีอื่นๆ ถูกบรรยำกำศของโลกดูดไว้ 3. กล้องโทรทรรศน์มีสมบัติไม่ดีพอที่จะรับคลื่นอื่นๆ ได้ 4. รังสีจำกดวงดำวมีเพียงคลื่นไมโครเวฟและแสงสีเท่ำนั้น
  • 22. 22 เฉลยข้อสอบ ชุดที่ 1 แนวข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์ มัธยมศึกษาตอนต้น ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 1. 1 กำรใช้กล้องจุลทรรศน์ในกำรศึกษำเซลล์ ในกำรดูภำพครั้งแรกต้องใช้เลนส์ใกล้วัตถุ ที่มีกำลังขยำยต่ำสุดก่อน ซึ่งเมื่อเห็นภำพแล้วจึงค่อยๆ ปรับให้มีกำลังขยำยสูงขึ้น 2. 4 ออร์แกเนลล์ที่ทำหน้ำที่สร้ำงพลังงำนให้แก่เซลล์ คือ ไมโทคอนเดรีย ส่วนนิวเครียส เป็นแหล่งข้อมูลทำงพันธุกรรม คลอโรพลำสต์มีหน้ำที่เกี่ยวข้องกับกระบวนกำร สังเครำะห์ด้วยแสง และแวคิวโอลทำหน้ำที่ขับถ่ำยของเสียออกจำกเซลล์ 3. 2 ออร์แกเนลล์ที่พบเฉพำะในเซลล์พืชเท่ำนั้น ได้แก่ ผนังเซลล์ และคลอโรพลำสต์ ส่วนออร์แกเนลล์ที่พบเฉพำะในเซลล์สัตว์เท่ำนั้น ได้แก่ เซนทริโอล 4. 3 ส่วนประกอบที่อยู่ด้ำนนอกสุดของเซลล์พืช คือ ผนังเซลล์ ส่วนของเซลล์สัตว์ คือ เยื่อหุ้มเซลล์ 5. 4 ไมโทคอนเดรียทำหน้ำที่เป็นแหล่งสร้ำงพลังงำนให้แก่เซลล์ แวคิวโอลทำหน้ำที่เป็น ที่เก็บ หลั่ง และถ่ำยเทของเหลวภำยในเซลล์ เซนทริโอลทำหน้ำที่ช่วยในกำร เคลื่อนที่ของโครโมโซมในขณะที่มีกำรแบ่งเซลล์ และช่วยในกำรเคลื่อนที่ของเซลล์ บำงชนิด ร่ำงแหเอนโดพลำซึมทำหน้ำที่สังเครำะห์โปรตีนและเอนไซม์ กอลจิบอดี ทำหน้ำที่เก็บสำรที่ร่ำงแหเอนโดพลำซึมสร้ำงขึ้น ร่ำงแหเอนโดพลำซึมและกอลจิบอดี จึงมีควำมสัมพันธ์กันมำกที่สุด 6. 2 กำรกระจำยของน้ำหอมในอำกำศ กำรละลำยของน้ำตำลในน้ำ และกำรเคลื่อนที่ของ แร่ธำตุเข้ำสู่เซลล์ขนรำก เป็นกระบวนกำรแพร่ เพรำะโมเลกุลของสำรเคลื่อนที่จำก บริเวณที่มีควำมเข้มข้นของสำรมำกไปยังบริเวณที่มีควำมเข้มข้นของสำรน้อย ส่วน กำรเคลื่อนที่ของน้ำข้ำสู่เซลล์ขนรำก เป็นกระบวนกำรออสโมซิส เพรำะน้ำเคลื่อนที่ จำกบริเวณที่มีโมเลกุลของน้ำมำกไปยังบริเวณที่มีโมเลกุลของน้ำน้อย 7. 1 พืชชนิดที่ 1 และ 3 เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว เนื่องจำกลำต้นมีไซเล็มและโฟลเอ็มเรียงตัว กระจัดกระจำย และที่รำกมีไซเล็มเรียงตัวอยู่รอบพิธ โดยมีโฟลเอ็มแทรกอยู่ ส่วนพืช ชนิดที่ 2 และ 4 เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ เนื่องจำกที่ลำต้นมีไซเล็มและโฟลเอ็มเรียงตัวเป็น ระเบียบ ส่วนที่รำกมีไซเล็มเรียงตัวเป็นแฉก โดยมีโฟลเอ็มแทรกอยู่ระหว่ำงแฉก
  • 23. 23 ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 8. 4 กำรลำเลียงน้ำเข้ำสู่รำกพืชจะใช้กระบวนกำรออสโมซิส โดยลำเลียงจำกบริเวณที่มี น้ำมำกไปยังบริเวณที่มีน้ำน้อย ส่วนกำรลำเลียงแร่ธำตุจะใช้กำรแพร่ โดยลำเลียง จำกบริเวณที่มีควำมเข้มข้นของแร่ธำตุมำกไปยังบริเวณที่มีควำมเข้มข้นของแร่ธำตุ น้อย 9. 2 จำกสมกำรที่กำหนดให้เป็นปฏิกิริยำของกระบวนกำรสังเครำะห์ด้วยแสง ซึ่งจะมี คำร์บอนไดออกไซด์และน้ำเป็นสำรตั้งต้น มีแสงและคลอโรฟิลล์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยำ โดยจะได้น้ำตำลกลูโคส ออกซิเจน และน้ำเป็นผลิตภัณฑ์ ดั้งนั้น A คือ ออกซิเจน 10. 2 กระบวนกำรสังเครำะห์ด้วยแสง เป็นกระบวนกำรสร้ำงอำหำรของพืช ซึ่งอำหำรนั้น จะทำให้พืชเจริญเติบโต และสะสมไว้ตำมเนื้อเยื่อต่ำงๆ ของพืช เมื่อสัตว์มำกินพืช ก็จะได้รับกำรถ่ำยทอดพลังงำนกันไปเป็นทอดๆ ตำมโซ่อำหำรและสำยใยอำหำร 11. 3 โครงสร้ำงที่พืชใช้ในกำรสืบพันธุ์แบบอำศัยเพศ คือ ดอก ซึ่งภำยในจะประกอบ ไปด้วยเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้และเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย 12. 4 กำรปฏิสนธิของพืชจะเกิดขึ้นเมื่อนิวเคลียสของละอองเรณูผสมกับนิวเคลียสของ เซลล์ไข่ ซึ่งหลังจำกปฏิสนธิแล้ว กลีบเลี้ยง กลีบดอก และเกสรเพศผู้จะล่วงหล่นไป รังไข่จะพัฒนำเป็นเปลือกและเนื้อของผล และออวุลจะพัฒนำเป็นเมล็ด 13. 1 กำรที่ดอกทำนตะวันหันไปทำงดวงอำทิตตลอดทั้งวัน เป็นผลมำจำกกำรตอบสนอง ต่อแสง 14. 2 รำกต้นถั่วจะงอกไปตำมทิศทำงของแรงโน้มถ่วง (กำรตอบสนองต่อแรงโน้มถ่วง) หมีจะจำศีลในช่วงฤดูหนำว (กำรตอบสนองต่ออุณหภูมิ) ดอกคุณนำยตื่นสำยจะบำน เมื่อได้รับแสงแดด (กำรตอบสนองต่อแสง) นกจะบินกลับรังในเวลำพลบค่ำ (กำรตอบสนองต่อแสง) ใบของต้นกำบหอยแครงจะหุบลงเมื่อได้รับกำรสัมผัสจำก แมลง (กำรตอบสนองต่อกำรสัมผัส)ควำยจะลงไปแช่ในแอ่งน้ำเพื่อระบำยควำมร้อน (กำรตอบสนองต่ออุณหภูมิ) ใบของต้นตะบองเพชรจะลดรูปเป็นหนำม เพื่อป้องกัน กำรสูญเสียน้ำ (กำรตอบสนองต่อควำมชื้น) อึ่งอ่ำงจะพองตัวเมื่อถูกสัมผัส (กำรตอบสนองต่อกำรสัมผัส) 15. 4 กำรเพำะเลี้ยงเนื้อเยื่อเป็นกำรขยำยพันธุ์พืชที่นิยมใช้กับพืชที่เป็นพืชเศรษฐกิจ และ พืชที่ใกล้สูญพันธุ์ ซึ่งกำรเพำะเลี้ยงเนื้อเยื่อจะทำให้ได้พืชจำนวนมำกในเวลำอัน รวดเร็ว และพืชที่ได้จะทนทำนต่อสภำพแวดล้อม แมลงศัตรูพืช และวัชพืชต่ำงๆ ได้ ดั้งนั้น พืชที่เหมำะสำหรับนำมำเพำะเลี้ยงเนื้อเยื่อ คือ พืช A C และ D ส่วนพืช B นั้น สำมำรถเจริญเติบโตได้ในสภำพอำกำศของประเทศไทยอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้อง ขยำยพันธุ์โดยกำรเพำะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
  • 24. 24 ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 16. 3 เนื่องจำก ข้อ 1. กำว โฟม และเยลลี เป็นคอลลอยด์ ข้อ 2. เหล็ก ปรอท และคลอรีน เป็นธำตุ ข้อ 3. น้ำนมเป็นคอลลอยด์ น้ำส้มสำยชูเป็นสำรละลำย และน้ำคลองเป็น สำรแขวนลอย ข้อ 4. น้ำเกลือ น้ำเชื่อม และแอลกอฮอล์ล้ำงแผล เป็นสำรละลำย 17. 3 เนื่องจำก - น้ำส้มสำยชู มีน้ำเป็นตัวทำละลำย และมีกรดแอซีติกเป็นตัวละลำย - น้ำเกลือ มีน้ำเป็นตัวทำละลำย และมีเกลือแกงเป็นตัวละลำย - น้ำเชื่อม มีน้ำเป็นตัวทำละลำย และมีน้ำตำลทรำยเป็นตัวละลำย - แอลกอฮอล์ล้ำงแผล มีแอลกอฮอล์เป็นตัวทำละลำย และมีน้ำเป็นตัวละลำย 18. 2 ทองเป็นสำรเนื้อเดียวที่เป็นธำตุ ส่วนนำก อำกำศ และน้ำเกลือเป็นสำรเนื้อเดียวที่ เป็นสำรละลำย 19. 1 อิมัลซิไฟเออร์ คือ สำรที่ทำหน้ำที่เป็นตัวประสำนให้อนุภำคของเหลว 2 ชนิดที่ ไม่ละลำยซึ่งกันและกัน สำมำรถรวมตัวกันได้ ในน้ำนมจะมีโปรตีนเคซีนทำหน้ำที่ เป็นอิมัลไฟเออร์ ในน้ำสลัดจะมีไข่แดงทำหน้ำที่เป็นอิมัลไฟเออร์ ส่วนในกำร ชำระล้ำงสิ่งสกปรกจะมีสบู่หรือผงซักฟอกทำหน้ำที่เป็นอิมัลซิไฟเออร์ 20. 4 ผงฟู ผงซักฟอก น้ำปูนใส น้ำยำเช็ดกระจก และยำสระผม มีสมบัติเป็นเบส เบียร์ น้ำมะขำม น้ำมะเขือเทศ และน้ำส้มสำยชู มีสมบัติเป็นกรด ส่วนเกลือแกง น้ำตำลทรำย และผงชูรส มีสมบัติเป็นกลำง 21. 2 แรงจะทำให้วัตถุหยุดนิ่ง เคลื่อนที่ หรือเปลี่ยนรูปร่ำงได้ แต่แรงไม่สำมำรถทำให้ วัตถุเปลี่ยนสถำนะได้ 22. 3 กำรตักน้ำต้องใช้แรงดึง กำรปำเป้ำต้องใช้แรงดัน กำรนวดแป้งต้องใช้แรงกดและ แรงบีบ ส่วนกำรโยนลูกบอลต้องใช้แรงดัน 23. 4 จำกสูตร อัตรำเร็ว = ระยะทำง เวลำ แทนค่ำ 2 m/s = ระยะทำง เวลำ ระยะทำง = 2 m/s x 60 s = 120 m 24. 3 ควำมเร็วมีหน่วยเป็นเมตรต่อวินำที (m/s) หรือกิโลเมตรต่อชั่วโมง (km/hr)
  • 25. 25 ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 25. 1 อัตรำเร็ว คือ ระยะทำงที่วัตถุเคลื่อนที่ไปได้ในหนึ่งหน่วยเวลำ ดังนั้น หำกต้องกำร หำอัตรำเร็ว จะต้องทรำบค่ำระยะทำงและเวลำที่ใช้ในกำรเคลื่อนที่ 26. 4 จำกสูตร C 5 = F−32 9 แทนค่ำ 30 5 = F−32 9 F = (6 x 9) + 32 = 86 27. 4 กำรพำควำมร้อน เป็นกำรถ่ำยโอนพลังงำนควำมร้อนจำกจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง โดยอำศัยตัวกลำงในกำรเคลื่อนที่ โดยตัวกลำงนั้นจะเคลื่อนที่ไปด้วย ซึ่งตัวกลำงใน กำรพำควำมร้อน ได้แก่ ของเหลวและแก๊ส แต่แก๊สสำมำรถพำควำมร้อนได้ดีกว่ำ ของเหลว เนื่องจำกโมเลกุลของแก๊สสำมำรถเคลื่อนที่ได้ดีกว่ำของเหลว 28. 2 เมื่อยืนอยู่ใกล้เตำไฟในบริเวณที่มีลมพัด เรำจะรู้สึกได้ถึงควำมร้อนจำกเตำไฟ เนื่องจำกมีลมเป็นตัวกลำงในกำรพำควำมร้อนมำสู่ร่ำงกำย 29. 1 วัตถุสีเข้มจะดูดกลืนและคำยควำมร้อนได้ดีกว่ำวัตถุสีอ่อน วัตถุที่มีพื้นที่ผิวมำกจะ ดูดกลืนและคำยควำมร้อนได้ดีกว่ำวัตถุที่มีพื้นที่ผิวน้อย วัตถุที่มีอุณหภูมิต่ำกว่ำ อุณหภูมิสิ่งแวดล้อมจะดูดกลืนควำมร้อนได้เร็วกว่ำ แต่คำยควำมร้อนได้ช้ำกว่ำวัตถุ ที่มีอุณหภูมิสูงกว่ำอุณหภูมิสิ่งแวดล้อม และวัตถุที่มีเนื้อหยำบหรือผิวด้ำนจะดูดกลืน และคำยควำมร้อนได้ดีกว่ำวัตถุที่มีเนื้อละเอียดหรือผิวเป็นมัน 30. 2 กำรทำด้ำมจับกระทะด้วยพลำสติกเป็นกำรนำควำมรู้เรื่องกำรนำควำมร้อนมำใช้ ประโยชน์ กำรเอำมืออังเหนือกองไฟในฤดูหนำวเป็นกำรนำควำมรู้เรื่องกำรพำ ควำมร้อนมำใช้ประโยชน์ กำรใส่เสื้อสีขำวเมื่อต้องอยู่กลำงแดดเป็นกำรนำควำมรู้ เรื่องกำรดูดกลืนและคำยควำมร้อนมำใช้ประโยชน์ 31. 4 ชั้นบรรยำกำศมีประโยชน์ต่อโลกหลำยประกำร เช่น ช่วยปรับอุณหภูมิของโลกให้ เหมำะสมกับกำรดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต โดยไม่ให้ร้อนเกินไปในเวลำกลำงวัน ไม่ เย็นเกินไปในเวลำกลำงคืน ช่วยป้องกันอันตรำยจำกรังสีต่ำงๆ และอนุภำคต่ำงๆ เป็นต้น 32. 3 บริเวณที่มีอุณหภูมิสูงจะเป็นบริเวณที่แห้งแล้ง เช่น ทะเลทรำย ซึ่งดูดกลืนควำมร้อน จำกดวงอำทิตย์ได้ดี และในเวลำกลำงวันอำกำศจะร้อนกว่ำเวลำกลำงคืน 33. 4 บริเวณที่มีควำมชื้นในอำกำศสูงจะเป็นบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำ มีปริมำณไอน้ำใน อำกำศมำก และสำมำรถรับไอน้ำจำกกำรระเหยได้น้อย
  • 26. 26 ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 34. 1 ควำมกดอำกำศจะขึ้นอยู่กับระดับควำมสูงของพื้นที่ อุณหภูมิ และควำมชื้นของ อำกำศ โดยควำมกดอำกำศจะมีค่ำน้อยเมื่อสถำนที่นั้นอยู่สูงขึ้นไปจำกระดับน้ำทะเล มีอุณหภูมิต่ำ และมีควำมชื้นในอำกำศมำก 35. 4 ควำมชื้นสัมพัทธ์ที่มีค่ำพอเหมำะที่จะทำให้เรำรู้สึกสบำยตัว คือ มีค่ำประมำณ 60-70% ซึ่งหำกควำมชื้นสัมพัทธ์มีค่ำสูง อำกำศจะชื้น ร้อนอบอ้ำว รู้สึกเหนียวตัว เสื้อผ้ำที่ตำกไว้จะแห้งช้ำ แต่ถ้ำควำมชื้นสัมพัทธ์มีค่ำต่ำ อำกำศจะแห้ง ผิวหนัง ของเรำจะแตกแห้ง และเสื้อผ้ำที่ตำกไว้จะแห้งเร็ว 36. 4 หยำดน้ำฟ้ำ คือ ไอน้ำในบรรยำกำศที่ควบแน่นกลำยเป็นหยดน้ำหรือน้ำแข็งแล้วตก ลงมำสู่พื้นโลก ได้แก่ ฝน ลูกเห็บ และหิมะ ส่วนหมอก น้ำค้ำง และน้ำค้ำงแข็ง ไม่ได้ ตกลงมำจำกฟ้ำ จึงไม่จัดเป็นหยำดน้ำฟ้ำ 37. 3 ลมเกิดจำกอำกำศในบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงลอยตัวสูงขึ้น ในขณะที่อำกำศในบริเวณ ใกล้เคียงที่อุณหภูมิต่ำกว่ำจะเคลื่อนตัวเข้ำมำแทนที่ โดยควำมแตกต่ำงของอุณหภูมิ ทั้ง 2 บริเวณนั้นเกิดจำกอำกำศทั้ง 2 บริเวณได้รับควำมร้อนจำกดวงอำทิตย์ไม่เท่ำกัน 38. 4 ศรลมเป็นอุปกรณ์ตรวจสอบควำมเร็วลม มีลักษณะเป็นลูกศรที่มีหำงเป็นแผ่นใหญ่ กว่ำหัวลูกศร มำตรวัดควำมเร็วลม หรือแอนีมอมิเตอร์ เป็นอุปกรณ์วัดควำมเร็วลม มีลักษณะเป็นกรวยโลหะ 3 – 4 อัน ติดอยู่ที่ปลำยก้ำน ส่วนแอโรเวนเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ ตรวจสอบทิศทำงลมและวัดควำมเร็วลม มีรูปร่ำงคล้ำยเครื่องบินไม่มีปีก 39. 3 กำรพยำกรณ์อำกำศ คือ กำรคำดหมำยสภำวะลมฟ้ำอำกำศ รวมทั้งปรำกฏกำรณ์ ทำงธรรมชำติที่เกิดขึ้นในช่วงเวลำข้ำงหน้ำ โดยใช้ข้อมูลจำกแผ่นที่อำกำศช่วย ในกำรพยำกรณ์ ซึ่งกำรพยำกรณ์อำกำศจะมีประโยชน์ในหลำยด้ำน เช่น เมื่อทรำบ สภำพอำกำศล่วงหน้ำจะทำให้สำมำรถกำหนดและปรับเปลี่ยนเส้นทำงคมนำคม เพื่อควำมปลอดภัยได้ 40. 4 กำรปลูกป่ำทดแทน หรือกำรฟื้นฟูสภำพป่ำไม้ กำรลดปริมำณขยะ และกำรใช้ พลังงำนหมุนเวียน จัดเป็นกำรช่วยลดภำวะโลกร้อน แต่กำรใช้ถุงพลำสติกแม้เพียง ใบเดียวก็นับว่ำไม่เป็นกำรช่วยลดภำวะโลกร้อน 41. 3 หำกกำรจัดระบบในร่ำงกำยผิดปกติในระดับใดระดับหนึ่ง จะส่งผลให้ระบบต่ำงๆ ในร่ำงกำยทำงำนผิดปกติ ซึ่งทำให้ไม่สำมำรถดำรงชีวิตอยู่ได้ 42. 2 อำหำรที่เหลือจำกกำรย่อยและอำหำรที่ย่อยไม่ได้นั้นจะถูกส่งไปยังลำไส้ใหญ่ โดย ลำไส้ใหญ่จะทำหน้ำที่ดูดน้ำและแร่ธำตุกลับคืนสู่ร่ำงกำย ส่วนที่เป็นกำกอำหำรจะ เคลื่อนที่ไปรวมกันที่ปลำยของลำไส้ใหญ่ เพื่อรอขับถ่ำยออกทำงทวำรหนัก หำก ลำไส้ใหญ่ทำงำนผิดปกติจะทำให้มีอำกำรท้องผูก
  • 27. 27 ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 43. 2 หัวใจห้องล่ำงมีกล้ำมเนื้อที่หนำกว่ำกล้ำมเนื้อหัวใจห้องบน เนื่องจำกเป็นกล้ำมเนื้อที่ ทำหน้ำที่บีบตัว เพื่อดันเลือดให้ออกจำกหัวใจไปยังส่วนต่ำงๆ ของร่ำงกำยและไปยัง ปอด จึงจำเป็นต้องมีกล้ำมเนื้อที่มีควำมแข็งแรงและหนำ ส่วนหัวใจห้องบน ทำหน้ำที่รับและเก็บเลือดเพื่อส่งต่อมำยังหัวใจห้องล่ำงเท่ำนั้น ดังนั้น จึงมีกล้ำมเนื้อ ไม่หนำมำกนัก 44. 2 เนื่องจำกแก๊สออกซิเจนในน้ำมีปริมำณน้อยกว่ำในอำกำศ กำรที่เหงือกของปลำมี ลักษณะเป็นซี่เล็กๆ จะช่วยเพิ่มพื้นที่ในกำรแลกเปลี่ยนแก๊สระหว่ำงน้ำกับเซลล์ของ เหงือก 45. 4 ในขณะหำยใจเข้ำ กระดูกซี่โครงจะเลื่อนสูงขึ้น กะบังลมเลื่อนต่ำลง ทำให้ปริมำตร ช่องอกมีมำกขึ้น ควำมดันอำกำศลดต่ำลง อำกำศภำยนอกร่ำงกำยจะผ่ำนเข้ำสู่ปอด ซึ่งหำกเป็นกำรหำยใจออกจะมีลักษณะตรงข้ำมกัน 46. 3 ไตมีหน้ำที่กรองของเสียที่ร่ำงกำยไม่ต้องกำรออกจำกเลือด ซึ่งของเสียนั้นจะสลำย เป็นน้ำปัสสำวะ แล้ถูกขับออกนอกร่ำงกำย ดังนั้นหำกไตทำงำนผิดปกติ จะทำให้ กำรปัสสำวะเกิดควำมผิดปกติ หรือน้ำปัสสำวะมีองค์ประกอบเปลี่ยนแปลงไป 47. 3 รังไข่มีหน้ำที่ผลิตเซลล์ไข่และฮอร์โมนเพศหญิงที่ควบคุมพัฒนำกำรทำงเพศของ เพศหญิง หำกรังไข่ผิดปกติ จะทำให้มีพัฒนำกำรทำงเพศปกติ 48. 2 แฝดอิน-จัน เกิดจำกแฝดร่วมไข่ ซึ่งกำรที่มีบำงส่วนในร่ำงกำนติดกันอยู่ เนื่องจำก เมื่อไข่ได้รับกำรผสมแล้วเกิดกำรแบ่งเซลล์จำก 1 เป็น 2 เซลล์ โดยเซลล์ทั้งสอง แยกตัวจำกกันไม่สมบูรณ์ จึงทำให้ตัวอ่อนที่เจริญเติบโตนั้นมีบำงส่วนในร่ำงกำย ติดกันอยู่ 49. 4 พฤติกรรม เป็นกำรแสดงออกที่เกิดขึ้นจำกกำรทำงำนร่วมกันของพันธุกรรมและ สภำพแวดล้อม ซึ่งกำรแสดงพฤติกรรมต่ำงๆ ของสิ่งมีชีวิตนั้นล้วนเพื่อกำรอยู่รอด และดำรงเผ่ำพันธุ์ 50. 2 เทคโนโลยีชีวภำพทำให้สำมำรถขยำยพันธุ์สัตว์ได้อย่ำงรวดเร็ว ได้สัตว์ที่มี คุณสมบัติตรงตำมต้องกำร แต่ยังมีข้อเสีย คือ มีค่ำใช้จ่ำยมำก และต้องใช้ผู้ที่มีควำมรู้ ควำมเชี่ยวชำญ 51. 2 พลังงำนที่ร่ำงกำยต้องกำรจะขึ้นอยู่กับเพศ วัย และกิจกรรมที่ทำ ซึ่งในกิจกรรม เดียวกันนั้น เพศชำยจะใช้พลังงำนมำกกว่ำเพศหญิง และผู้ที่มีน้ำหนักมำกจะใช้ พลังงำนมำกกว่ำผู้ที่มีน้ำหนักน้อย
  • 28. 28 ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 52. 1 วัยรุ่นเป็นวัยที่กำลังมีกำรเจริญเติบโตทำงร่ำงกำยอย่ำงมำก และต้องใช้พลังงำนมำก ในกำรทำกิจกรรมต่ำงๆ จึงควรบริโภคอำหำรที่ให้เพลังงำนและช่วยเสริมสร้ำงกำร เจริญเติบโต ซึ่งได้แก่ อำหำรในกลุ่มคำร์โบไฮเดรตและโปรตีน 53. 4 เด็กในวัยเรียนอำจยังขำดควำมรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับกำรบริโภคอำหำรเพื่อสุขภำพ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเลือกรับประทำนอำหำรที่ตนเองชอบ ไม่รับประทำนอำหำรให้ ครบทั้ง 5 หมู่ ซึ่งทำให้ร่ำงกำยขำดสำรอำหำรบำงชนิด 54. 3 จำกอำหำรที่กำหนดให้ มีสำรอำหำร ดังนี้ อาหาร สารอาหาร ขนมครก คำร์โบไฮเดรต ไขมัน ปำท่องโก๋ คำร์โบไฮเดรต ไขมัน กล้วยบวชชี คำร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตำมิน นมถั่วเหลือง โปรตีน ดังนั้น ควรเลือกรับประทำนกล้วยบวชชี เพรำะมีสำรอำหำรมำกที่สุด 55. 4 กำรสังเกตว่ำบุคคลใดติดสำรเสพติดนั้น วิธีที่ให้ผลน่ำเชื่อถือมำกที่สุด คือ กำรตรวจ เลือดและปัสสำวะ ซึ่งเป็นวิธีกำรตรวจหำสำรเสพติดในร่ำงกำยผู้เสพ 56. 4 ธำตุเป็นสำรบริสุทธิ์ที่ประกอบด้วยอะตอมชนิดเดียวกัน ในทำงเคมีจึงไม่สำมำรถ แยกสลำยเป็นสำรอื่นได้ ซึ่งธำตุแต่ละชนิดมีสมบัติแตกต่ำงกัน สำมำรถแบ่งธำตุ ออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่ โลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ 57. 2 เนื่องจำกสมบัติของสำรแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ 1. สมบัติทำงกำยภำพ คือ สมบัติที่สังเกตเห็นได้หรือทดลองด้วยวิธีง่ำยๆ ได้ เช่น สี กลิ่น รส จุดเดือด จุดหลอมเหลว สถำนะ กำรนำไฟฟ้ำ ควำมแข็ง เป็นต้น 2. สมบัติทำงเคมี คือ สมบัติที่ทรำบได้เมื่อมีกำรเปลี่ยนแปลงทำงเคมี หรือก็คือ สมบัติเฉพำะตัวของสำรที่เกี่ยวข้องกับกำรเกิดปฏิกิริยำเคมี เช่น ควำมเป็นกรด-เบส กำรลุกติดไฟ กำรสลำยตัวให้สำรใหม่ เป็นต้น 58. 3 เนื่องจำกโลหะมีสมบัติในกำรนำควำมร้อนได้ดี ช่วยทำให้อำหำรสุกเร็ว ภำชนะ หุงต้มจึงมักทำจำกโลหะ 59. 2 กำรกลั่นแบบไอน้ำ เป็นวิธีกำรแยกสำรที่เป็นของเหลวระเหยง่ำย (จุดเดือดต่ำ) และ ไม่ละลำยน้ำ โดยใช้ควำมดันจำกไอน้ำทำให้สำรที่ระเหยง่ำยเดือดกลำยเป็นไอแล้ว ถูกกลั่นออกมำพร้อมกับน้ำ
  • 29. 29 ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 60. 4 กำรแยกสำรโดยวิธีโครมำโทกรำฟี อำศัยควำมสำมำรถของสำรในกำรละลำย และ ควำมสำมำรถในกำรถูกดูดซับบนตัวดูดซับ ซึ่งหำกสำรใดละลำยได้ดี และถูกดูดซับ ได้น้อย จะสำมำรถเคลื่อนที่ไปบนตัวดูดซับได้มำก 61. 1 ปฏิกิริยำดูดควำมร้อน คือ กำรที่ระบบดูดพลังงำนควำมร้อนจำกสิ่งแวดล้อม ทำให้ อุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมลดลง เมื่อลองสัมผัสที่ภำชนะจะรู้สึกเย็น แต่หลังจำก สิ้นสุดปฏิกิริยำระบบจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น นั่นคือ หลังทำปฏิกิริยำอุณหภูมิของระบบ จะสูงกว่ำก่อนทำปฏิกิริยำ 62. 2 ในข้อก.ข.ค.และจ.เป็นกำรเพิ่มกระทำที่ช่วยเพิ่มอัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำทั้งสิ้นแต่ใน ข้อ ง. กำรเพิ่มปริมำณของสำรตั้งต้นโดยกำรเติมน้ำกลั่นลงไปนั้น ควำมเข้มข้นของ สำรตั้งต้นจะเจือจำงลง ซึ่งทำให้อัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำช้ำลง 63. 4 อุณหภูมิที่สูงขึ้น กำรเพิ่มพื้นที่ผิว และสำรตั้งต้นที่มีควำมเข้มข้นสูง เป็นปัจจัยที่จะ ทำให้สำรสำมำรถเกิดปฏิกิริยำเคมีได้อย่ำงรวดเร็วทั้งสิ้น ส่วนสำรไวไฟนั้น หมำยถึง สำรที่ลุกติดไฟได้ง่ำยในสภำพอุณหภูมิและควำมดันปกติ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกำร เกิดปฏิกิริยำเคมีบำงประเภท 64. 4 กำรเกิดหินงอกหินย้อย เป็นปรำกฏกำรณ์ที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติ ซึ่งไม่มีอันตรำย ต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม แต่กำรเกิดฝนกรด ปรำกฏกำรณ์เรือนกระจก และ น้ำเน่ำเสียจำกกำรทิ้งสำรอินทรีย์ เป็นปรำกฏกำรณ์ที่เกิดขึ้นแล้วจะเป็นอันตรำยต่อ สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม 65. 2 สำรสังเครำะห์ คือ สำรที่มนุษย์สร้ำงขึ้นโดยกำรลอกเลียนแบบจำกสำรธรรมชำติ ซึ่งมีประสิทธิภำพสูงกว่ำสำรจำกธรรมชำติ แต่บำงชนิดจะมีอันตรำยสูง เพรำะ เกิดจำกกำรสังเครำะห์ของธำตุโลหะหนักที่เป็นพิษต่อร่ำงกำยสิ่งมีชีวิต 66. 3 แรงเป็นปริมำณเวกเตอร์ ซึ่งมีทั้งขนำดและทิศทำง 67. 3 จำกที่กำหนดให้ว่ำแรงลัพธ์มีค่ำ 9 นิวตัน ซึ่งเกิดจำกผลรวมของแรง F1 และ F2 แสดงว่ำ ทั้งแรง F1 และ F2 มีค่ำเป็นบวกและมีทิศทำงไปในทำงเดียวกัน 68. 2 จำกภำพสำมำรถหำแรงลัพธ์ ได้ดังนี้ Fลัพธ์ = (F1+F2)-F3 = (15+5)-15 = 5 นิวตัน โดยมีทิศไปทำงขวำ 69. 2 รังสีตกกระทบ คือ รังสีของแสงที่พุ่งเข้ำหำพื้นผิวของวัตถุ จำกภำพจะสังเกตรังสีที่ พุ่งเข้ำหำพื้นผิวของวัตถุได้จำกลูกศรที่เขียนกำกับไว้ ซึ่งรังสีตกกระทบ คือ รังสี AO
  • 30. 30 ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 70. 2 กำรสะท้อนกลับหมดจะเกิดจำกกำรที่แสงเคลื่อนที่ผ่ำนตัวกลำงที่มีควำมหนำแน่น มำกไปยังตัวกลำงที่มีควำมหนำแน่นน้อยกว่ำ ซึ่งจำกตัวกลำงที่กำหนดให้นั้น ดัชนี หักเหของแก้วมีค่ำมำกที่สุด รองลงมำเป็น น้ำ และอำกำศตำมลำดับ 71. 3 เนื่องจำกแว่นสำยตำยำวทำมำจำกเลนส์นูน ซึ่งกรณีที่จะทำให้มองเห็นวัตถุมีขนำด เล็กกว่ำควำมจริง วัตถุนั้นจะต้องอยู่ไกลกว่ำตำแหน่งของจุดศูนย์กลำงควำมโค้ง (จุด C) ดังภำพ 72. 3 กำรเกิดภำพจำกกระจกเว้ำนั้น ตำแหน่งของวัตถุที่จะทำให้เกิดภำพเสมือนหัวตั้ง ขนำดใหญ่กว่ำวัตถุ คือ วัตถุต้องอยู่ในระยะใกล้กว่ำจุดโฟกัส (F) 73. 2 ตำขำวหรือเยื่อหุ้มลูกตำ มีสีขำว เป็นชั้นที่มีควำมหนำ เหนียวและแข็งแรง มีหน้ำที่ รักษำรูปทรงของลูกตำและปกป้องโครงสร้ำงภำยในตำทั้งหมด ส่วนกำรรักษำสมดุล ของแสงที่เข้ำสู่จอตำนั้นจะเป็นหน้ำที่ของรูม่ำนตำ 74. 2 ภำพที่ตกบนจอตำนั้นจะเป็นภำพจริงหัวกลับ ส่วนขนำดของภำพจะขึ้นอยู่กับระยะ วัตถุว่ำอยู่ในตำแหน่งใดของเลนส์ตำ ซึ่งหลังจำกนั้นสมองจะทำกำรแปลงสัญญำณ ภำพที่ได้จำกจอตำให้กลำยเป็นภำพจริงหัวตั้ง 75. 1 โลกมีลักษณะเป็นทรงกลมแป้นคล้ำยลูกมะนำวนั้น หมำยควำมว่ำ โลกจะมีเส้นผ่ำน ศูนย์กลำงไม่เท่ำกันทั่วทั้งโลก โดยจะมีเส้นศูนย์กลำงในแนวนอนยำวกว่ำเส้นผ่ำน ศูนย์กลำงในแนวตั้ง 76. 2 เปลือกโลกมีควำมหนำประมำณ 70 กิโลเมตร เนื้อโลกมีควำมหนำประมำณ 2,830 กิโลเมตร และแก่นโลกมีควำมหนำประมำณ 3,470 กิโลเมตร 77. 2 ดินชั้นบนจะมีสีคล้ำกว่ำดินชั้นล่ำง เพรำะดินชั้นบนมีปริมำณของฮิวมัสที่ได้จำกกำร สลำยของซำกพืชซำกสัตว์มำกกว่ำดินชั้นล่ำง นอกจำกนี้ ดินชั้นบนยังมีขนำดของ เม็ดดินเล็กกว่ำและมีควำมพรุนมำกกว่ำดินชั้นล่ำงอีกด้วย 78. 2 ควำมร้อนและควำมดันจะส่งผลทำให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงของพันธะเคมีภำยใน โมเลกุลของหิน จึงเป็นผลทำให้หินอัคนีและหินตะกอนกลำยสภำพเป็นหินแปร 79. 3 สมบัติทำงกำยภำพของแร่ประกอบไปด้วย ผลึก ควำมหนำแน่น ควำมแข็ง สี สีผงละเอียด ควำมวำว และกำรให้แสงผ่ำน ส่วนสีเปลวไฟกับกำรเรืองแสงจะเป็น สมบัติทำงเคมีของแร่
  • 31. 31 ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 80. 4 ทรัพยำกรธรรมชำติ หมำยถึง สิ่งที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติ และมนุษย์สำมำรถ นำมำใช้ประโยชน์ได้ 81. 1 กำรถ่ำยทอดลักษณะของสิ่งมีชีวิตจำกรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง หมำยถึง พันธุกรรม (heredity) 82. 4 ลักษณะทำงพันธุกรรม เป็นลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่สำมำรถถ่ำยทอดจำกรุ่นสู่รุ่น โดย ผ่ำนทำงเซลล์สืบพันธุ์ ซึ่งแผลเป็นนั้นอำจเกิดจำกอุบัติเหตุจึงไม่จัดเป็นลักษณะทำง พันธุกรรม 83. 3 เมื่อมองเซลล์ผ่ำนกล้องจุลทรรศน์ในขณะที่เซลล์ยังไม่มีกำรแบ่งเซลล์ จะเห็นเส้นใย เล็กๆ เรียกว่ำ โครมำทิน (chromatin) เมื่อมีกำรแบ่งเซลล์ เส้นโครมำทินจะหดตัวสั้น มีลักษณะเป็นแท่ง เรียกว่ำ โครโมโซม (chromosome) ซึ่งแต่ละโครโมโซม ประกอบด้วยแขนสองข้ำง เรียกว่ำ โครมำทิด (chromatid) ที่มีจุดเชื่อมติดกัน เรียกว่ำ เซนโทรเมียร์ (centromere) 84. 1 มนุษย์มีโครโมโซม 46 แท่ง หรือ 23 คู่ ซึ่งเป็นออโตโซม 22 คู่ และเป็นโครโมโซม เพศ 1 คู่ 85. 2 กำรที่สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันมีหลำยสำยพันธุ์ เป็นควำมหลำกหลำยทำงชนิดพันธุ์ 86. 1 มนุษย์ยุคปัจจุบันมีชื่อวิทยำศำสตร์ว่ำ Homo sapiens 87. 2 กำรจัดจำแนกสิ่งมีชีวิตที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันเป็นแนวคิดของรอเบิร์ต วิตเทเกอร์ ซึ่ง จำแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็น 5 อำณำจักร คือ อำณำจักรมอเนอรำ อำณำจักรโพรทิสตำ อำณำจักรฟังไจ อำณำจักรพืช และอำณำจักรสัตว์ 88. 4 จำกกำรแบ่งสิ่งมีชีวิตออกเป็น 2 กลุ่มตำมโจทย์นั้น แสดงว่ำใช้กำรมีกระดูกสันหลัง เป็นเกณฑ์ในกำรจำแนก 89. 4 โครงสร้ำงของระบบนิเวศประกอบด้วยกลุ่มสิ่งมีชีวิต แหล่งที่อยู่ และสิ่งแวดล้อม 90. 3 ทั้งมอส ชวนชม และสำหร่ำยหำงกระรอกเป็นผู้ผลิตในระบบนิเวศ ส่วนเห็ดนำงฟ้ำ เป็นผู้ย่อยสลำย 91. 4 ไลเคนเป็นกำรอยู่ร่วมกันของรำกับสำหร่ำย โดยรำได้อำหำรจำกที่สำหร่ำยสร้ำงขึ้น ส่วนสำหร่ำยได้ควำมชื้นจำกรำเพื่อนำไปใช้ในกระบวนกำรสังเครำะห์ด้วยแสง ซึ่งเป็นควำมสัมพันธ์แบบภำวะพึ่งพำกัน 92. 2 โซ่อำหำร เป็นควำมสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศที่มีกำรกินต่อกันเป็นทอดๆ และมักเริ่มต้นด้วยผู้ผลิตเสมอ ซึ่งกำรเขียนโซ่อำหำรนิยมให้ผู้ถูกกินหรือเหยื่ออยู่ทำง ซ้ำยมือและผู้กินหรือผู้ล่ำอยู่ทำงขวำมือ โดยมีลูกศรอยู่ระหว่ำงผู้ล่ำและเหยื่อ ส่วน หัวลูกศรจะชี้ไปทำงผู้กินหรือผู้ล่ำเสมอ
  • 32. 32 ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 93. 1 กำรคำยน้ำของพืชเกี่ยวข้องกับวัฏจักรของน้ำ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับวัฏจักรคำร์บอน 94. 3 วัฏจักรไนโตรเจนต้องอำศัยแบคทีเรียในกำรตรึงไนโตรเจน และเปลี่ยนสำรต่ำงๆ ภำยในวัฏจักร 95. 4 ปัจจัยที่มีผลต่อกำรเปลี่ยนแปลงขนำดของประชำกร ได้แก่ อัตรำกำรเกิด อัตรำกำร ตำย อัตรำกำรอพยพเข้ำ และอัตรำกำรอพยพออก 96. 4 ระบบนิเวศจะสมดุลได้จะต้องมีกำรควบคุมจำนวนผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลำย ให้มีปริมำณ สัดส่วน และกำรกระจำยที่เหมำะสม 97. 1 สิ่งแวดล้อม หมำยถึง สิ่งต่ำงๆ ที่อยู่รอบตัวเรำ ประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตและ สิ่งไม่มีชีวิต อำจมองเห็นได้หรือมองไม่เห็น และอำจเกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติหรือ จำกที่มนุษย์สร้ำงขึ้น 98. 1 สำเหตุสำคัญที่สุดของปัญหำวิกฤตกำรณ์ด้ำนสิ่งแวดล้อมและทรัพยำกรธรรมชำติ คือ กำรเพิ่มขึ้นของประชำกร เนื่องจำกเมื่อประชำกรเพิ่มขึ้น ควำมต้องกำรทรัพยำกร ก็ย่อมเพิ่มขึ้น จึงส่งผลให้ทรัพยำกรมีไม่เพียงพอต่อควำมต้องกำร 99. 3 มนุษย์เป็นตัวกำรสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหำวิกฤติกำรณ์ด้ำนสิ่งแวดล้อมและ ทรัพยำกรธรรมชำติ เนื่องจำกมนุษย์นำทรัพยำกรมำใช้อย่ำงฟุ่มเฟือยและไม่รู้คุณค่ำ 100. 3 กำรให้กำรศึกษำแก่ประชำชนให้ตะหนักถึงปัญหำ ตลอดจนร่วมกันแก้ปัญหำ สิ่งแวดล้อมและทรัพยำกรธรรมชำติ เป็นแนวทำงกำรแก้ปัญหำในระยะยำวที่นับว่ำ ได้ผลดีที่สุด 101. 2 แรงโน้มถ่วงของโลกจะมีค่ำมำกหรือน้อยขึ้นอยู่กับควำมเร่งเนื่องจำกแรงโน้มถ่วง ซึ่งจะแปรผันกับระยะห่ำงระหว่ำงวัตถุกับพื้นโลก นั่นคือ ยิ่งมีระยะห่ำงน้อย ควำมเร่งโน้มถ่วงและแรงโน้มถ่วงก็จะยิ่งมีค่ำมำกขึ้น 102. 3 กฎกำรเคลื่อนที่ของนิวตัน ได้แก่ 1. วัตถุที่ไม่ถูกกระทำด้วยแรงลัพธ์จะเคลื่อนที่ด้วย ควำมเร็วคงตัวหรือหยุดนิ่ง 2. ถ้ำมีแรงภำยนอกมำกระทำ วัตถุจะมีควำมเร่ง 3. เมื่อมี แรงกิริยำจะมีแรงปฏิกิริยำกระทำด้วยขนำดเท่ำกัน แต่ทิศทำงตรงกันข้ำมและกระทำ ต่อวัตถุต่ำงชิ้นกัน 103. 2 แรงลอยตัวหรือแรงพยุงจะมีค่ำมำกหรือน้อยขึ้นอยู่กับควำมหนำแน่นของของเหลว ปริมำตรของของเหลวที่ถูกแทนที่ และควำมเร่งเนื่องจำกแรงโน้มถ่วงของโลก 104. 4 โมเมนต์ M = F x I เมื่อ F = mg (9 kg x 10 m/s2 = 90 N) แทนค่ำ M = 90 N x 0.6 m = 54 Nm
  • 33. 33 ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 105. 3 จำก W = F x S = 50 N x 1 m = 50 Nm 106. 4 ขณะที่รถเคลื่อนที่ขึ้นภูเขำจะเกิดพลังงำนจลน์ ส่วนพลังงำนศักย์โน้มถ่วงจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นตำมควำมสูงและมีค่ำสูงสุดที่ยอดเขำ จำกนั้นพลังงำนศักย์โน้มถ่วงจะลดลง และเปลี่ยนเป็นพลังงำนจลน์อีกครั้ง 107. 3 พลังงำนจลน์ Ek = 1 2 mv2 แทนค่ำ = 1 2 (1,000 kg) (102 ) = 50,000 J 108. 4 จำกกฎกำรอนุรักษ์พลังงำน งำนมีค่ำเท่ำกับผลต่ำงของพลังงำนเมื่อเวลำเปลี่ยนไป หรือ W = E2 – E1 109. 4 กระแสไฟฟ้ำจะไหลจำกบริเวณศักย์ไฟฟ้ำสูงไปยังบริเวณศักย์ไฟฟ้ำต่ำ โดยไหลจำก ขั้วบวกไปยังขั้วลบซึ่งสวนทำงกับทิศทำงกำรไหลของอิเล็กตรอน 110. 2 จำก W = Pt = 0.08 kw x 20 hr = 1.6 Unit 111. 4 จำก V = IR = (30 mA)(12 kΩ) = 360 V 112. 3 กฎของโอห์มอธิบำยควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกระแสไฟฟ้ำและควำมแตกต่ำงศักย์ไฟฟ้ำ ว่ำ ควำมต่ำงศักย์ไฟฟ้ำจะเพิ่มขึ้นตำมกระแสไฟฟ้ำที่เพิ่มขึ้น 113. 4 อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นอุปกรณ์ที่ควบคุมปริมำณและทิศทำงกำรไหลของ กระแสไฟฟ้ำในวงจรไฟฟ้ำ มีทั้งสำรตัวนำ สำรกึ่งตัวนำ และฉนวนไฟฟ้ำ 114. 1 แถบสีตัวต้ำนทำน น้ำตำล (1) ดำ (0) ส้ม (x1,000) ทอง (±0.5%) ค่ำควำมต้ำนทำน = 10 x 1,000 Ω ± 0.5% = 10,000 ± 0.5% Ω = 10 kΩ 115. 3 ไดโอดเปล่งแสงเป็นอุปกรณ์ที่มักนำมำใช้เพื่อให้ควำมสว่ำงปัจจุบันเป็นที่นิยมใช้มำก ในกำรสร้ำงอุปกรณ์แสดงผลทำงหน้ำจอเช่นจอคอมพิวเตอร์ จอโทรทัศน์ เป็นต้น
  • 34. 34 ข้อที่ เฉลย เหตุผลประกอบ 116. 2 ตัวต้ำนทำนปรับค่ำได้สำมำรถเลือกค่ำควำมต้ำนทำนได้ตำมต้องกำร มักอยู่ในอุปกรณ์ ที่ต้องกำรปรับเปลี่ยนควำมต้ำนทำน เช่นปุ่มปรับเสียง สวิตช์หรี่ไฟ เป็นต้น 117. 1 ดำวพุธ เป็นดำวเครำะห์ที่มีขนำดเล็กที่สุดในระบบสุริยะ ส่วนดำวพลูโตถูกจัดเป็น ดำวเครำะห์แคระ 118. 4 นักวิทยำศำสตร์สำมำรถทรำบอำยุของระบบสุริยะได้จำกอุกกำบำตที่ตกลงสู่โลก เพรำะวัตถุท้องฟ้ำจะเกิดขึ้นพร้อมกับกำรเกิดระบบสุริยะ 119. 2 ดำวฤกษ์ที่มีสีขำวมีอุณหภูมิสูงที่สุด รองลงมำ คือ ดำวฤกษ์ที่มีสีเหลือง ดำวฤกษ์ที่มี สีส้มแดง และดำวฤกษ์ที่มีสีแดง ตำมลำดับ 120. 2 เนื่องจำกรังสีส่วนใหญ่จะถูกชั้นบรรยำกำศของโลกดูดไว้ ไม่ให้ผ่ำนมำยังพื้นโลกได้
  • 35. 35 ชุดที่ 2 ข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์ 2552 มัธยมศึกษาตอนต้น ส่วนที่ 1 : แบบระบำยตัวเลือก แต่ละข้อมีคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว จำนวน 32 ข้อ (ข้อ 1-32) : ข้อละ 2.5 คะแนน 1. กำรสับหรือบดอำหำรให้มีขนำดเล็กจะมีผลต่อกำรย่อยอย่ำงไร 1. กลืนง่ำยและดูดซึมง่ำย 2. ชิ้นอำหำรมีขนำดเล็ก ดูดซึมง่ำย 3. อำหำรซึมผ่ำนผนังลำไส้เล็กได้ง่ำย 4. อำหำรมีพื้นที่ผิวสัมผัสกับน้ำย่อยได้มำก 2. กำรรับประทำนผักดิบกับน้ำพริก เมื่อเทียบกับกำรรับประทำนผักชนิดเดียวกันที่ผ่ำนกำรต้มเป็น ระยะเวลำนำน ผักทั้งสองแบบมีปริมำณวิตำมินชนิดใดแตกต่ำงกันมำกที่สุด 1. วิตำมิน เอ 2. วิตำมิน ซี 3. วิตำมิน ดี 4. วิตำมิน อี 3. นักเรียนโรงเรียนหนึ่งต้องกำรตรวจสอบสมมติฐำนที่ว่ำ “สำรต่ำงชนิดกันมีควำมสำมำรถในกำรรับ และคำยควำมร้อนได้ไม่เท่ำกัน” นักเรียนจึงเลือกใช้น้ำประปำ ดินเหนียว ดินทรำย และเศษไม้เล็กๆ ในกำรทดลอง ให้ควำมร้อนจนอุณหภูมิของสำรเพิ่มขึ้นจนถึง 40 องศำเซลเซียส ปัจจัยในข้อใดที่ต้อง จัดให้เหมือนกัน 1. สถำนะของสำร ปริมำณสำร 2. สถำนะของสำร อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง 3. สถำนที่วำงสำร ภำชนะที่ใส่สำร 4. สถำนที่วำงสำร ระยะเวลำในกำรเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิที่กำหนด 4. ถ้ำในเลือดมีปริมำณ CO2 มำก และมีปริมำณ O2 น้อย จะทำให้เกิดอำกำรใด 1. ไอ 2. หำว 3. จำม 4. สะอึก ปีการศึกษา
  • 36. 36 5. นำอำหำรเหลวชนิดหนึ่งมำทดสอบหำสำรอำหำร ได้ผลดังตำรำง ตำรำง ผลกำรทดสอบสำรอำหำรโดยใช้สำรละลำยชนิดต่ำงๆ ชนิดอาหาร ผลการทดสอบกับสารละลายชนิดต่างๆ คอปเปอร์ซัลเฟต โซเดียม ไฮดรอกไซด์ เบเนดิกต์ ไอโอดีน อำหำรเหลว ตะกอนสีม่วง ตะกอนสีม่วง ตะกอนสีส้ม ไม่เปลี่ยนแปลง ข้อใดสรุปได้ครอบคลุมที่สุด 1. มีโปรตีน และคำร์โบไฮเดรตเป็นองค์ประกอบ 2. มีโปรตีน และแป้งเป็นองค์ประกอบ 3. มีโปรตีน และน้ำตำลทรำยเป็นองค์ประกอบ 4. มีโปรตีน และน้ำตำลโมเลกุลเดี่ยวเป็นองค์ประกอบ 6. ภำพ กำรทดสอบแป้งที่ตำแหน่งปิดกระดำษของใบไม้ที่อยู่ในต้นเดียวกัน เมื่อให้ใบได้รับแสงเป็นเวลำ 4 ชั่วโมง จำกภำพ กำรออกแบบกำรทดลองนี้กำหนดให้สิ่งใดเป็นตัวแปรต้น 1. ปริมำณแป้ง 2. ตำแหน่งของใบไม้ 3. ชนิดของกระดำษ 4. ระยะเวลำที่ได้รับแสง กระดาษดา กระดาษสา กระดาษแก้วใส
  • 37. 37 7. แผนภำพ กำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรม จำกภำพ ถ้ำหมำยเลข 1 และ 4 เป็นโรคธำลัสซีเมีย หมำยเลข 2 จะเป็นโรคธำลัสซีเมียหรือไม่ และควรมี ยีนเป็นอย่ำงไร 1. ไม่เป็นโรคธำลัสซีเมีย มียีนเป็น 2. ไม่เป็นโรคธำลัสซีเมีย มียีนเป็น 3. เป็นโรคธำลัสซีเมีย มียีนเป็น 4. เป็นโรคธำลัสซีเมีย มียีนเป็น 8. ม้ำและม้ำลำยมีจำนวนโครโมโซนเป็น 64 แท่ง และ 44 แท่งตำมลำดับ ลูกผสมข้ำมสำยพันธุ์ระหว่ำงม้ำ กับม้ำลำย จะมีจำนวนโครโมโซนของเซลล์ร่ำงกำยเป็นกี่แท่ง 1. 44 แท่ง 2. 54 แท่ง 3. 64 แท่ง 4. 108 แท่ง 9. ตำรำง สำยพันธุ์ของหอยที่พบในป่ำชำยเลนที่มีควำมหมำยหนำแน่นของต้นไม้แตกต่ำงกัน ความหนาแน่ของต้นไม้ (จานวนต้นต่อไร่) สายพันธุ์ของหอยที่พบ 979 395 125 A B C D A C A D จำกตำรำง ถ้ำป่ำมีควำมหนำแน่นของต้นไม้ลดลงจะส่งผลกระทบต่อหอยสำยพันธุ์ใดเป็นอันดับแรก 1. A 2. B 3. C 4. D
  • 38. 38 10. แผนภำพ สำยใยอำหำรของสิ่งมีชีวิต 4 ชนิด ถ้ำปลำมีจำนวนลดลงมำก เหตุกำรณ์ในข้อใดมีโอกำสเกิดขึ้นน้อยที่สุด 1. จำนวนเหยี่ยวลดลง 2. เหยี่ยวกินกุ้งมำกขึ้น 3. กุ้งจำนวนเพิ่มขึ้น 4. สำหร่ำยมีจำนวนลดลง 11. เมื่อพลังงำนในสำรอำหำรถูกถ่ำยทอดจำกผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคลำดับต่อไปได้เพียง 10% ถ้ำไก่ตัวหนึ่ง กินเมล็ดข้ำวเปลือกจำนวน 2,500 เมล็ดต่อวัน ปริมำณพลังงำนที่ไก่ตัวนี้สำมำรถใช้สร้ำงเป็นเนื้อเยื่อ เทียบได้กับเมล็ดข้ำวเปลือกจำนวนเท่ำใด 1. 25 เมล็ด 2. 250 เมล็ด 3. 2,500 เมล็ด 4. 25,000 เมล็ด 12. กรำฟ จำนวนสิ่งมีชีวิต 4 ชนิดในโซ่อำหำร จำกช่วงเวลำ A ถึง F ถ้ำเขียนควำมสัมพันธ์ระหว่ำงสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ชนิดในรูปของโซ่อำหำรเป็น ดังนี้ พืช ⟶ หนอน ⟶ ไก่ ⟶ งู
  • 39. 39 จำกกรำฟ ช่วงเวลำใดที่มีอำหำรของไก่อยู่น้อยที่สุด 1. A ถึง B 2. B ถึง C 3. C ถึง D 4. E ถึง F 13. ในกำรจำแนกประเภทของสำรเป็น สำรละลำย คอลลอยด์ และสำรแขวนลอย ควรพิจำรณำโดยใช้ เกณฑ์ในข้อใด 1. สี 2. ควำมขุ่น 3. องค์ประกอบ 4. ขนำดอนุภำค 14. นำของเหลวชนิดหนึ่งไประเหยแห้ง พบว่ำไม่มีสำรใดเหลืออยู่ในภำชนะเลย กำรสรุปที่ดีที่สุดเกี่ยวกับ ของเหลวชนิดนี้คือข้อใด 1. เป็นสำรละลำย 2. เป็นสำรบริสุทธิ์ 3. เป็นตัวทำละลำย 4. ไม่มีของแข็งเป็นองค์ประกอบ 15. ควำมร้อนแฝงของกำรหลอมเหลวของน้ำแข็ง = 80 แคลอรี / กรัม ควำมร้อนแฝงของกำรกลำยเป็นไอของน้ำ = 540 แคลอรี / กรัม จำกข้อควำมข้ำงบน ข้อใดสรุปได้ถูกต้องที่สุด 1. พลังงำนควำมร้อนเท่ำๆ กัน จะระเหยน้ำได้มำกกว่ำกำรหลอมเหลวน้ำแข็ง 2. พลังงำนควำมร้อนเท่ำๆ กัน จะระเหยน้ำได้มำกกว่ำกำรหลอมเหลวน้ำแข็ง 3.325 เท่ำโดยน้ำหนัก 3. พลังงำนควำมร้อนเท่ำๆ กัน จะหลอมเหลวน้ำแข็งได้มำกกว่ำกำรระเหยน้ำ 3.325 เท่ำโดยน้ำหนัก 4. พลังงำนควำมร้อนเท่ำๆ กัน จะหลอมเหลวน้ำแข็งได้มำกกว่ำกำรระเหยน้ำ 6.750 เท่ำโดยน้ำหนัก 16. ในกำรวิเครำะห์องค์ประกอบของสีจำกสิ่งต่ำงๆ ด้วยวิธีโครมำโทกรำฟี ข้อใดไม่เหมำะกับหลักกำร วิเครำะห์โดยใช้วิธีนี้ 1. องค์ประกอบของสีในใบไม้ 2. องค์ประกอบของสีในน้ำส้มสำยชูกลั่น 3. องค์ประกอบของสีในปำกกำเมจิก 4. องค์ประกอบของสีที่ใช้ย้อมผ้ำสีดำ
  • 40. 40 17. เตรียมสำรละลำยเอทิลแอลกอฮอล์โดยใช้ส่วนผสมในปริมำณที่กำหนดในตำรำง บีกเกอร์ที่ 1 2 3 4 ปริมำณสำรละลำยเอทิลแอลกอฮอล์ (cm3 ) 700 380 150 80 ปริมำณน้ำ (cm3 ) 300 120 50 20 จำกข้อมูล สำรละลำยเอทิลแอลกอฮอล์ในบีกเกอร์ใด มีควำมเข้มข้นมำกที่สุด 1. บีกเกอร์ที่ 1 2. บีกเกอร์ที่ 2 3. บีกเกอร์ที่ 3 4. บีกเกอร์ที่ 4 18. แผนภำพวัฏจักรคำร์บอน พิจำรณำขั้นตอนต่อไปนี้ ก. กำรสังเครำะห์ด้วยแสงของพืช ข. กำรหำยใจของพืช ค. กำรเปลี่ยนแปลงจำกพืชเป็นถ่ำนหิน ขั้นตอนใดที่เกิดปฏิกิริยำเคมี 1. ก. และ ข. 2. ข. เท่ำนั้น 3. ข. และ ค. 4. ก. ข. และ ค.
  • 41. 41 19. สนำมเด็กเล่นมีพื้นที่เป็นวงกลม รัศมี 10 เมตร ชำยคนหนึ่งออกวิ่งจำกจุด A ด้วยควำมเร็วสม่ำเสมอไป ตำมขอบพื้นที่ และไปหยุดที่จุด B ใช้เวลำทั้งสิ้น 1 นำที ขนำดของควำมเร็วเฉลี่ยที่ชำยคนนี้วิ่งเป็นกี่เมตรต่อวินำที 1. π/6 2. π/3 2. 10π 4. 20π 20. โยนวัตถุชิ้นหนึ่งขึ้นตรงๆ ในแนวดิ่ง เมื่อวัตถุขึ้นไปถึงตำแหน่งสูงสุดข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้อง 1. วัตถุมีควำมเร็วเป็นศูนย์ 2. วัตถุมีอัตรำเร็วเป็นศูนย์ 3. วัตถุมีควำมเร่งเป็นศูนย์ 4. วัตถุมีน้ำหนักเท่ำกับน้ำหนักก่อนโยน 21. ภำพ กำรโคจรของโลกรอบดวงอำทิตย์ เรำอำจประมำณได้ว่ำโลกโคจรรอบดวงอำทิตย์เป็นรูปวงกลม ทิศของควำมเร่งเป็นไปตำมข้อใด 1. เป็นไปตำมลูกศร ( 1 ) 2. เป็นไปตำมลูกศร ( 2 ) 3. เป็นไปตำมลูกศร ( 3 ) 4. ระบุไม่ได้ เพรำะควำมเร่งเป็นศูนย์
  • 42. 42 22. แขวนป้ำยอันหนึ่งเอำไว้หน้ำร้ำนด้วยเชือกที่มีลักษณะเหมือนกัน 2 เส้น ดังรูป ( 1 ) ( 2 ) 30 cm 60 cm ถ้ำป้ำยมีน้ำหนัก 90 นิวตัน เชือกหมำยเลข ( 1 ) และเชือกหมำยเลข ( 2 ) รับน้ำหนักเส้นละกี่นิวตัน ตำมลำดับ 1. 60.0 และ 30.0 2. 67.5 และ 22.5 3. 75.0 และ 15.0 4. 77.5 และ 12.5 23. ชำยสองคนเดินขึ้นเขำพร้อมกัน ถ้ำชำยสองคนมีน้ำหนักไม่เท่ำกันแต่มีกำลังเท่ำกัน ข้อใดกล่ำวถูกต้อง เกี่ยวกับเวลำที่ใช้ในกำรเดินเพื่อให้ถึงยอดเขำ 1. ชำยทั้งสองใช้เวลำเท่ำกัน 2. ชำยที่มีน้ำหนักมำกกว่ำใช้เวลำมำกกว่ำ 3. ชำยที่มีน้ำหนักมำกกว่ำใช้เวลำน้อยกว่ำ 4. ไม่สำมำรถสรุปได้ เพรำะข้อมูลไม่เพียงพอ 24. ปล่อยวัตถุที่มีน้ำหนัก 10 นิวตัน จำกที่สูง 2 เมตรเหนือผิวดิน เมื่อวัตถุกระทบพื้น งำนที่เกิดเนื่องจำก แรงโน้มถ่วงมีค่ำเท่ำใด 1. 5 จูล 2. 10 จูล 3. 15 จูล 4. 20 จูล 25. เมื่อวำงวัตถุหน้ำกระจกเว้ำ โดยให้ระยะวัตถุน้อยกว่ำควำมยำวโฟกัส ภำพที่เห็นในกระจกเว้ำจะมี ลักษณะอย่ำงไร 1. ภำพเสมือน หัวตั้ง ขนำดเล็กกว่ำวัตถุ 2. ภำพจริง หัวกลับ ขนำดเล็กกว่ำวัตถุ 3. ภำพเสมือน หัวตั้ง ขนำดใหญ่กว่ำวัตถุ 4. ภำพจริง หัวกลับ ขนำดใหญ่กว่ำวัตถุ
  • 43. 43 26. คนที่ใส่แว่นสำยตำสั้น จะเห็นภำพของวัตถุมีขนำดเล็กกว่ำวัตถุจริงในกรณีใด 1. วัตถุอยู่ห่ำงจำกแว่นสำยตำน้อยกว่ำควำมยำวโฟกัส 2. วัตถุอยู่ห่ำงจำกแว่นสำยตำน้อยกว่ำ 2 เท่ำของควำมยำวโฟกัสแต่มำกกว่ำควำมยำวโฟกัส 3. วัตถุอยู่ห่ำงจำกแว่นสำยตำมำกกว่ำ 2 เท่ำของควำมยำวโฟกัส 4. เหตุกำรณ์นี้ไม่เกิดขึ้นจริง คนย่อมเห็นภำพขนำดเท่ำวัตถุ 27. รูป กำรหักเหของแสงผ่ำนแท่งพลำสติกใส 4 3 2 1 พลาสติกใส อากาศ แสง ข้อใดแสดงกำรหักเหของแสงไม่ถูกต้อง 1. มุม 1 ต้องมำกกว่ำ มุม 2 2. มุม 2 ต้องเท่ำกับ มุม 3 3. มุม 1 ต้องเท่ำกับ มุม 4 4. มุม 1 และ 2 รวมกันต้องได้ 90° 28. ภำพวงจรไฟฟ้ำที่เชื่อมต่อด้วยโลหะชนิด M หรือ N หรือ O หรือ P ระหว่ำงจุด X และ Y A V โลหะ X Y เขียนกรำฟควำมสัมพันธ์ระหว่ำงควำมต่ำงศักย์ไฟฟ้ำกับกระแสไฟฟ้ำของโลหะชนิด M N O และ P
  • 44. 44 จำกกรำฟ ถ้ำโลหะแต่ละชนิดมีควำมยำวและพื้นที่หน้ำตัดเท่ำกัน โลหะชนิดใดมีควำมต้ำนทำนสูงที่สุด 1. M 2. N 3. O 4. P 29. ภำพ วัฏจักรหิน จำกภำพ กระบวนกำรใดทำให้หินตะกอนเปลี่ยนเป็นหินแปรได้ 1. กำรหลอมละลำย 2. กำรกัดกร่อนและผุพัง 3. กำรสะสมและทับถม 4. กำรได้รับควำมร้อนและควำมดัน
  • 45. 45 30. ปรำกฏกำรณ์เรือนกระจก มีผลกระทบต่อเหตุกำรณ์ใดน้อยที่สุด 1. น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลำยมำกขึ้น 2. พันธุ์พืชในเขตอบอุ่นอพยพขึ้นที่สูงขึ้น 3. สัตว์ป่ำมีจำนวนชุกชุมมำกขึ้น 4. พื้นที่ทะเลทรำยแผ่ขยำยกว้ำงขึ้น 31. ข้อมูล ลักษณะอำกำศ กำรกระจำยของฝน และลักษณะฝน จำกข้อมูล ถ้ำวันนี้มีอุณหภูมิเฉลี่ย 19 o C มีฝนตกประมำณ 53% ของพื้นที่ และวัดปริมำณน้ำฝนได้ 20 มิลลิเมตร จะรำยงำนสภำพอำกำศตำมข้อใด 1. อำกำศเย็น มีมีฝนตกในระดับปำนกลำงทั่วไปในพื้นที่ 2. อำกำศร้อน มีฝนตกหนักกระจำยเป็นแห่งๆ ในพื้นที่ 3. อำกำศเย็น มีฝนตกในระดับปำนกลำงกระจำยในพื้นที่ 4. อำกำศค่อนข้ำงหนำว มีฝนตกเล็กน้อยกระจำยในพื้นที่ 32. ข้อใดไม่ใช่ดำวเทียมสื่อสำร 1. ไทยคม 2. เทลสตำร์ 3. อินเทลแซท 4. วอยเอเจอร์
  • 46. 46 ส่วนที่2 : แบบระบำยคำตอบ : จำนวน 5 ข้อ (ข้อ 33 - 37) : ข้อละ 4 คะแนน แต่ละข้อให้ระบำยคำตอบ ที่ถูกต้อง 2 คำตอบจำก 6 ตัวเลือกที่กำหนดให้ 33. ตำรำงผลกำรตรวจวัดค่ำ DO BOD และปริมำณสำรตะกั่ว จำกแหล่งน้ำ 4 แหล่ง ถ้ำกำหนดให้น้ำที่มีค่ำ DO ต่ำกว่ำ 3 มิลลิกรัมต่อลิตร และมีค่ำ BOD สูงกว่ำ 100 มิลลิกรัมต่อลิตร เป็นน้ำเสีย ข้อมูลที่ถูกต้องคือข้อใดบ้ำง 1. แหล่งน้ำที่ 1 และ 3 อยู่ใกล้เมืองใหญ่มำกที่สุด 2. แหล่งน้ำที่ 4 สำมำรถใช้ดื่มได้อย่ำงปลอดภัย 3. บริเวณแหล่งน้ำที่ 2 มีชุมชนบ้ำนเรือนหนำแน่นมำกกว่ำบริเวณแหล่งน้ำที่ 4 4. เฉพำะแหล่งน้ำที่ 3 เท่ำนั้น ที่ต้องกำรระบบบำบัดน้ำเสีย 5. เฉพำะแหล่งน้ำที่ 2 และ 4 เท่ำนั้น ที่ใช้เพื่อกำรคมนำคมได้ 6. แหล่งน้ำที่ 3 อยู่ใกล้โรงงำนทำแบตเตอรีมำกกว่ำแหล่งน้ำที่ 1 34. ยำลดกรดประกอบด้วย MgO และ MgCO3 อัดเป็นเม็ดโดยผสมกับแป้ง เมื่อนำเม็ดยำมำบดให้เป็นผงใน ภำชนะ A แล้วนำมำละลำยด้วยสำรละลำยกรด HCI ปริมำณมำกเกินพอในภำชนะ B พบว่ำมีฟองแก๊ส เกิดขึ้น เมื่อกรองแป้งออกแล้ว นำสำรละลำยที่ได้ไปต้มไล่กรดในภำชนะ C จะเหลือของแข็งสีขำว จำกกำรทดลองนี้ สำรใดบ้ำงที่จัดเป็นสำรบริสุทธิ์ 1. ยำลดกรด 2. ผงละเอียดในภำชนะ A 3. แก๊สที่เกิดในภำชนะ B 4. สำรละลำยที่เหลืออยู่ในภำชนะ B 5. ไอสำรที่ได้จำกภำชนะ C 6. ของแข็งสีขำวที่เหลือในภำชนะ C แหล่งน้าที่ ค่า DO (มิลลิกรัมต่อลิตร) ค่า BOD (มิลลิกรัมต่อลิตร) สารตะกั่ว (มิลลิกรัมต่อลิตร) 1 2 3 4 1.8 6.0 2.5 6.7 150 87 162 65 0.22 0.03 0.08 0.02
  • 47. 47 35. ปรำกฏกำรณ์ในข้อใดบ้ำงที่มีระยะเวลำยำวนำนเท่ำกัน 1. คำบกำรหมุนรอบตัวเองของโลก 2. คำบกำรหมุนรอบตัวเองของดวงจันทร์ 3. คำบกำรหมุนรอบตัวเองของดวงอำทิตย์ 4. คำบกำรโคจรของดวงจันทร์รอบโลก 5. คำบกำรโคจรของโลกรอบดวงอำทิตย์ 6. คำบกำรโคจรของดวงอำทิตย์รอบกำแล็กซี 36. ปรำกฏกำรณ์จันทรุปรำคำจะไม่มีโอกำสเกิดขึ้นได้ในวันใดบ้ำง 1. วันวิสำขบูชำ 2. วันอำสำฬหบูชำ 3. วันมำฆะบูชำ 4. วันลอยกระทง 5. วันพระ แรม 15 ค่ำ 6. วันที่เกิดสุริยุปรำคำ 37. ตำรำง กำลังไฟฟ้ำและควำมต่ำงศักย์ของเครื่องใช้ไฟฟ้ำชนิดต่ำงๆ ชนิดของเครื่องใช้ไฟฟ้า กาลังไฟฟ้า (วัตต์) ความต่างศักย์ (โวลต์) หม้อหุงข้ำว ตู้เย็น เตำรีดไฟฟ้ำ เครื่องเป่ำผม 700 300 1,000 1,100 220 220 220 220 ข้อควำมต่อไปนี้ ข้อใดถูกต้อง 1. ใช้ตู้เย็น 2 ชั่วโมง จะสิ้นเปลืองพลังงำนไฟฟ้ำมำกกว่ำใช้หม้อหุงข้ำว 1 ชั่งโมง 2. ใช้เตำรีด 2 ชั่วโมง จะสิ้นเปลืองพลังงำนไฟฟ้ำมำกกว่ำใช้เครื่องเป่ำผม 2 ชั่วโมง 3. ใช้เตำรีด 2 ชั่วโมง จะสิ้นเปลืองพลังงำนไฟฟ้ำมำกกว่ำใช้หม้อหุงข้ำว 3 ชั่วโมง 4. ใช้ตู้เย็น 1 วัน จะสิ้นเปลืองพลังงำนไฟฟ้ำมำกกว่ำใช้เตำรีด 2 ชั่วโมง และหม้อหุงข้ำว 2 ชั่วโมง 5. ใช้เตำรีด 2 ชั่วโมง จะสิ้นเปลืองพลังงำนไฟฟ้ำมำกกว่ำใช้เครื่องเป่ำผม 2 ชั่วโมง 6. ใช้เครื่องเป่ำผม 1 ชั่วโมง จะสิ้นเปลืองพลังงำนไฟฟ้ำมำกกว่ำใช้เตำรีด 1 ชั่วโมง และหม้อหุงข้ำว 1 ชั่วโมง
  • 48. 48 ข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์ มัธยมศึกษาตอนต้น 2553 ส่วนที่ 1 : แบบปรนัย 4 ตัวเลือก แต่ละข้อมีคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว จำนวน 12 ข้อ ข้อละ 2.5 คะแนน รวม 30 คะแนน จำกตำรำงแสดงปริมำณพลังงำนที่ควรได้รับในแต่ละวันสำหรับคนไทยในวัยต่ำงๆ ต่อไปนี้ ใช้เป็นข้อมูลตอบคำถำมข้อ 1 สถานภาพ อายุ ( ปี ) พลังงาน (กิโลแคลอรี) ชาย หญิง ทำรก 0 – 5 เดือน ควรได้รับพลังงำนจำกน้ำนมแม่ 6 – 11 เดือน 800 เด็ก 1 – 3 ปี 1,000 4 – 5 ปี 1,300 6 – 8 ปี 1,400 วัยรุ่น 9 – 12 ปี 1,700 1,600 13 – 15 ปี 2,100 1,800 16 – 18 ปี 2,300 1,850 วัยผู้ใหญ่ 19 – 30 ปี 2,150 1,750 31 – 50 ปี 2,100 1,750 51 – 70 ปี 2,100 1,750 71 ปีขึ้นไป 1,750 1,550 ตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก + 0 เดือนที่ 4 - 9 + 300 ให้นมบุตร + 500 ที่มำ : กรมอนำมัย กระทรวงสำธำรณสุข พ.ศ. 2546 ปีการศึกษา
  • 49. 49 1. พิจำรณำบุคคล 4 คนต่อไปนี้ บุคคลที่ 1 : หญิงอำยุ 18 ปีที่กำลังเลี้ยงลูกโดยให้กินนมแม่ บุคคลที่ 2 : หญิงอำยุ 28 ปีที่กำลังตั้งครรภ์ได้ 5 เดือน บุคคลที่ 3 : ชำยหนุ่มอำยุ 30 ปี บุคคลที่ 4 : วัยรุ่นชำยอำยุ 17 ปี จำตำรำงข้ำงต้น จงเรียงลำดับบุคคลจำกผู้ที่ต้องกำรพลังงำนในแต่ละวันมำกที่สุดไปหำน้อยที่สุด 1. บุคคลที่ 1 , 4 , 3 , 2 2. บุคคลที่ 2 , 1 , 4 , 3 3. บุคคลที่ 1 , 2 , 3 , 4 4. บุคคลที่ 4 , 1 , 2 , 3 2. ข้อใดเรียงลำดับเหตุกำรณ์ในกำรสืบพันธุ์แบบอำศัยเพศของพืชมีดอกได้ถูกต้อง 1. กำรงอกหลอดละอองเรณู กำรปฏิสนธิ กำรถ่ำยละอองเรณู กำรเจริญไปเป็นผล 2. กำรปฏิสนธิ กำรถ่ำยละอองเรณู กำรเจริญไปเป็นผล กำรงอกหลอดละอองเรณู 3. กำรงอกหลอดละอองเรณู กำรถ่ำยละอองเรณู กำรปฏิสนธิ กำรเจริญไปเป็นผล 4. กำรถ่ำยละอองเรณู กำรงอกหลอดละอองเรณู กำรปฏิสนธิ กำรเจริญไปเป็นผล 3. กำหนดให้ A แทน ยีนเด่นที่ควบคุมลักษณะผิวปกติ และ a แทน ยีนด้อยที่ควบคุมลักษณะผิวเผือก สำมี – ภรรยำ ที่มีลักษณะยีนในคู่ใดที่ลูกของพวกเขำมีโอกำสแสดงลักษณะผิวเผือก 50% 1. AA × aa 2. Aa × Aa 3. Aa × aa 4. AA × Aa 4. จำกสำยใยอำหำรต่อไปนี้สิ่งมีชีวิตใดน่ำจะเป็นมนุษย์ 1. C 2. D 3. E 4. F
  • 50. 50 5. กำรกระทำในลักษณะใดที่จัดว่ำได้ช่วยนำทรัพยำกรธรรมชำติกลับมำใช้ใหม่ (Recycle) 1. สำนักงำนให้พนักงำนนำกระดำษว่ำงหน้ำเดียวมำใช้ 2. นำขวดแก้วและเศษเหล็กไปขำยให้ร้ำนรับซื้อของเก่ำ 3. กำรนำถุงพลำสติกใบเก่ำไปใส่ของจำกห้ำงสรรพสินค้ำ 4. แม่บ้ำนเลือกซื้อน้ำยำล้ำงจำนและน้ำยำเคมีอื่นๆ ชนิดถุงเติม 6. กำหนดอินดิเคเตอร์และช่วง pH ที่เปลี่ยนสี ดังนี้ สำรละลำยตัวอย่ำงนิดหนึ่ง เมื่อนำมำทดสอบด้วยอินดิเคเตอร์ชนิดต่ำงๆ ได้ผล ดังนี้ ชนิดของอินดิเคเตอร์ที่ใช้ทดสอบสารตัวอย่าง ผลการทดสอบ ฟีนอล์ฟทำลีน สำรละลำยไม่มีสี โบรโมไทมอลบลู สำรละลำยมีสีเหลือง โบรโมฟีนอลบลู สำรละลำยมีสีเหลือง สำรละลำยตัวอย่ำงกล่ำว ควรมี pH เท่ำใด 1. น้อยกว่ำ 8.3 2. น้อยกว่ำ 6.0 3. น้อยกว่ำ 3.0 4. ระหว่ำง 3.0 – 8.3 7. จำกกำรทดลองปล่อยลูกเหล็ก A และ B จำกที่สูงลงบนกระบะทรำย ลูกเหล็กทั้งสองจมลงไป ในผิวทรำยเป็นระยะต่ำงๆ ซึ่งมีรำยละเอียด ดังตำรำง ตำรำง ระยะจมลึกของผิวทรำยเมื่อปล่อยลูกเหล็ก A และ B จำกที่ระดับควำมสูงต่ำงๆ ลูกเหล็ก มวลของลูกเหล็ก (กรัม) ระยะความสูงจาก ผิวทราย (เมตร) ระยะจมลึกของผิวทราย (เมตร) A 100 1 3 100 2 4 B 300 1 5 300 2 6.5 ชนิดของอินดิเคเตอร์ ช่วง pH ที่เปลี่ยนสี การเปลี่ยนสี ฟีนอล์ฟทำลีน 8.3 – 10.0 ไม่มีสี – แดง โบรโมไทมอลบลู 6.0 – 7.6 เหลือง – น้ำเงิน โบรโมฟีนอลบลู 3.0 – 4.6 เหลือง – น้ำเงิน
  • 51. 51 จำกข้อมูลในตำรำง ลูกเหล็กในข้อใดมีพลังงำนศักย์โน้มถ่วงสูงที่สุด 1. ลูกเหล็ก A ปล่อยที่ระยะควำมสูง 1 เมตร 2. ลูกเหล็ก A ปล่อยที่ระยะควำมสูง 2 เมตร 3. ลูกเหล็ก B ปล่อยที่ระยะควำมสูง 1 เมตร 4. ลูกเหล็ก B ปล่อยที่ระยะควำมสูง 2 เมตร 8. จำกภำพตัดขวำงของโลก ข้อใดอธิบำยได้ถูกต้อง 1. หมำยเลข 1 ประกอบด้วยเปลือกโลกภำคพื้นทวีป 2. หมำยเลข 2 ประกอบด้วยหินที่มีลักษณะเหนียวหนืด 3. หมำยเลข 3 ส่วนใหญ่มีสถำนะเป็นของแข็ง ประกอบด้วยเหล็กกับนิเกิล 4. หมำยเลข 4 ส่วนใหญ่มีสถำนะเป็นของเหลว ประกอบด้วยเหล็กกับนิเกิล 9. ดำวดวงใดไม่สำมำรถมองเห็นด้วยตำเปล่ำ 1. ดำวพุธ 2. ดำวศุกร์ 3. ดำวเสำร์ 4. ดำวยูเรนัส 10. ดำวเทียมไทยคม ใช้ประโยชน์ในด้ำนใด 1. สื่อสำร 2. กำรสำรวจทรัพยำกร 3. กำรพยำกรณ์สภำพภูมิอำกำศ 4. กำรนำอุปกรณ์ออกไปสำรวจอวกำศ
  • 52. 52 ใช้ข้อมูลต่อไปนี้ตอบคำถำมข้อ 11 – 12 เด็กชำย A ออกแบบกำรทดลองโดยเทของเหลว 3 ชนิด คือ ของเหลว X Y และ Z ชนิดละ 500 ลูกบำศก์เซนติเมตรลงในท่อพลำสติกใสขนำดเท่ำกัน จำนวน 3 ท่อ แล้วหย่อนลูกกลมโลหะขนำด เส้นผ่ำนศูนย์กลำง 1.5 cm ลงในของเหลว จับเวลำตั้งแต่เริ่มปล่อยจนกระทั่งลูกกลมโลหะกระทบ ก้นภำชนะ 11. ปัญหำกำรทดลองใดสอดคล้องกับกำรออกแบบกำรทดลองของเด็กชำย A 1. ขนำดเส้นผ่ำนศูนย์กลำงของลูกกลมโลหะมีผลต่อควำมเร็วในกำรตกของลูกกลมโลหะใน ของเหลวชนิดต่ำงๆ หรือไม่ 2. ขนำดเส้นผ่ำนศูนย์กลำงของลูกกลมโลหะมีผลต่อควำมเร็วในกำรตกของลูกกลมโลหะใน ของเหลวหรือไม่ 3. ชนิดของของเหลวมีผลต่อควำมเร็วในกำรตกของลูกกลมโลหะในของเหลวหรือไม่ 4. ชนิดของของเหลวมีผลต่อควำมเร็วในกำรตกของลูกกลมโลหะขนำดต่ำงๆ ในของเหลวหรือไม่ 12. เด็กชำย A ควรออกแบบตำรำงบันทึกผลกำรทดลองแบบใดจึงจะเหมำะสมที่สุด 1. ตำรำง เวลำที่ใช้ในกำรตกของลูกกลมโลหะในของเหลว X Y และ Z ตั้งแต่เริ่มปล่อยจนกระทั่งลูก กลมโลหะกระทบก้นภำชนะ ชนิดของของเหลว เวลา (วินาที) X Y Z 2. ชนิดของของเหลว เวลา (วินาที) X Y Z
  • 53. 53 3. ตำรำง เวลำที่ใช้ในกำรตกของลูกกลมโลหะในของเหลว X Y และ Z ตั้งแต่เริ่มปล่อยจนกระทั่งลูก กลมโลหะกระทบก้นภำชนะ ชนิดของ ของเหลว เวลาที่ใช้ในการตกของลูกกลมโลหะขนาดต่างๆ (วินาที) ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ X Y Z 4. ชนิดของ ของเหลว เวลาที่ใช้ในการตกของลูกกลมโลหะขนาดต่างๆ (วินาที) ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ X Y Z ส่วนที่ 2 : แบบระบำยตัวเลข จำนวน 3 ข้อ ข้อ 13 – 14 ข้อละ 3 คะแนน ข้อ 15 ข้อละ 4 คะแนน รวม 10 คะแนน 13. มีเกลือแกงอยู่ 270 กรัม ถ้ำต้องกำรเตรียมน้ำเกลือเข้มข้นร้อยละ 30 โดยมวลต่อปริมำตร จะสำมำรถ เตรียมน้ำเกลือได้กี่ลูกบำศก์เซนติเมตร 14. จำกกำรทดลองดึงห่วงโลหะวงกลมด้วยตำชั่งสปริง 2 อัน โดยดึงตั้งฉำกกันดังรูป ถ้ำตำชั่งสปริงอันที่ 1 และอันที่ 2 อ่ำนค่ำแรงดึงได้ 8 นิวตัน และ 6 นิวตัน ตำมลำดับ แรงลัพธ์ที่กระทำต่อห่วงโลหะวงกลม จะมีขนำดกี่นิวตัน
  • 54. 54 15. นิลต้องกำรเดินทำงจำกบ้ำนไปวัดโดยเริ่มเดินทำงจำกบ้ำน ผ่ำนโรงเรียนและผ่ำนบ้ำนของแก้ว ซึ่งแผนผังกำรเดินทำงเป็นดังรูป ถ้ำวัดอยู่ห่ำงจำกบ้ำนแก้วไปทำงทิศตะวันตกเป็นระยะ 160 เมตร และนิลใช้เวลำเดินทำงจำกบ้ำนไปวัดทั้งหมด 50 วินำที นิลเดินทำงด้วยอัตรำเร็วกี่เมตรต่อวินำที กำหนดให้หัวกระดำษเป็นทิศเหนือ
  • 55. 55 ข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์ มัธยมศึกษาตอนต้น 2553 ส่วนที่ 1 : แบบปรนัย 4 ตัวเลือก แต่ละข้อมีคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว จำนวน 12 ข้อ ข้อละ 2.5 คะแนน รวม 30 คะแนน 1. พิจำรณำส่วนประกอบต่ำงๆ ของดอกไม้ 4 ชนิด ต่อไปนี้ ชนิดของดอกไม้ กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรตัวผู้ เกสรตัวเมีย ริ้วประดับ A   -   B -     C     - D  -   - ดอกไม้ชนิดใดบ้ำงเป็นดอกครบส่วน 1. A , B , C 2. B , C , D 3. B , C 4. C 2. ถ้ำลักษณะทำงพันธุกรรมลักษณะหนึ่งถูกควบคุมด้วยยีนด้อยที่อยู่บนโครโมโซมเพศชนิด X กำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรมลักษณะนี้จะเป็นอย่ำงไร 1. พบลักษณะนี้ในผู้หญิงเท่ำนั้น 2. พบลักษณะนี้ในผู้หญิงมำกกว่ำผู้ชำย 3. พบลักษณะนี้ในผู้ชำยมำกกว่ำผู้หญิง 4. ไม่สำรำรถพบลักษณะนี้ในผู้ชำยได้ 3. ข้อใดจัดว่ำมีรูปแบบของควำมสัมพันธ์ระหว่ำสิ่งมีชิตแบบเดียวกัน 1. ดอกไม้กับแมลง ไลเคน 2. นกเอี้ยงกับควำย พลูด่ำงกับต้นไม้ใหญ่ 3. เสือกับกวำง เสือกับสิงโตที่ล่ำเหยื่อตัวเดียวกัน 4. กล้วยไม้กับต้นมะม่วง ปลำฉลำมกับเหำฉลำม ปีการศึกษา
  • 56. 56 พิจำรณำตำรำงแสดงปริมำณพลังงำนที่ควรได้รับในแต่ละวันสำหรับคนไทยในวัยต่ำงๆ ต่อไปนี้แล้ว ตอบคำถำมข้อ 4 สถานภาพ อายุ ( ปี ) พลังงาน (กิโลแคลอรี) ชาย หญิง ทำรก 0 – 5 เดือน ควรได้รับพลังงำนจำกน้ำนมแม่ 6 – 11 เดือน 800 เด็ก 1 – 3 ปี 1,000 4 – 5 ปี 1,300 6 – 8 ปี 1,400 วัยรุ่น 9 – 12 ปี 1,700 1,600 13 – 15 ปี 2,100 1,800 16 – 18 ปี 2,300 1,850 วัยผู้ใหญ่ 19 – 30 ปี 2,150 1,750 31 – 50 ปี 2,100 1,750 51 – 70 ปี 2,100 1,750 71 ปีขึ้นไป 1,750 1,550 ตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก + 0 เดือนที่ 4 - 9 + 300 ให้นมบุตร + 500 ที่มำ : กรมอนำมัย กระทรวงสำธำรณสุข พ.ศ. 2546 4. จำกตำรำง บุคลใดต่อไปนี้ได้รับพลังงำนเพียงพอและเหมำะสม 1. เด็กชำยอำยุ 7 ขวบ ได้รับพลังงำนวันละ 1,300 กิโลแคลอรี 2. วัยรุ่นชำยอำยุ 18 ปี ได้รับพลังงำนวันละ 2,300 กิโลแคลอรี 3. คุณยำยอำยุ 70 ปี ได้รับพลังงำนวันละ 2,100 กิโลแคลอรี 4. หญิงอำยุ 25 ปี ตั้งครรภ์ได้ 4 เดือนได้รับพลังงำนวันละ 1,950 กิโลแคลอรี 5. กำรกระทำใดได้ชื่อว่ำเพิ่มรำยได้ให้ตนเองโดยยึดหลักอนุรักษ์ทรัพยำกรธรรมชำติ 1. เก็บกล้วยไม้และเฟินจำกป่ำมำขำยให้คนในเมือง 2. จับม้ำน้ำมำตำกแห้งขำยให้กับร้ำนขำยยำแผนโบรำณ 3. เก็บเปลือกหอยและเศษปะกำรังตำมชำยหำดมำประดิษฐ์เป็นของที่ระลึกขำยให้นักท่องเที่ยว 4. เก็บของพลำสติกที่มีคนทิ้งไว้ข้ำงทำงมำสะสมไว้ขำย
  • 57. 57 6. ในกำรทดลองผ่ำนแสงเข้ำไปในของเหลว 3 ชนิด ได้ผลดังตำรำง ชนิดสาร ผลการทดลองเมื่อฉายแสงผ่านบีกเกอร์บรรจุของเหลว I แสงผ่ำนได้แต่มองไม่เห็นลำแสงที่ผ่ำนเข้ำมำในของเหลว II แสงผ่ำนได้และมองเห็นลำแสงผ่ำนเป็นทำง III แสงผ่ำนได้และมองเห็นลำแสงผ่ำนเป็นทำง สำร I , II และ III น่ำจะเป็นสำรในข้อใดตำมลำดับ 1. น้ำเกลือ น้ำนมสด น้ำสบู่ 2. น้ำนมสด น้ำเชื่อม น้ำอัดลม 3. น้ำส้มสำยชู น้ำเกลือ น้ำสบู่ 4. น้ำมะนำว น้ำสลัด น้ำส้มสำยชู 7. นักเรียนคนหนึ่งเดินจำกจุด A ไปจุด B เป็นเส้นทำงดังรูป หำกนักเรียนใช้เวลำในกำรเดินทำง 40 วินำที ข้อใดต่อไปนี้ไม่ถูกต้อง 1. นักเรียนเดินด้วยควำมเร็วเฉลี่ย 2.5 เมตรต่อวินำที 2. นักเรียนเดินด้วยอัตรำเร็วเฉลี่ย 2.5 เมตรต่อวินำที 3. กำรกระจัดที่นักเรียนเดินได้เป็น 0 เมตร 4. นักเรียนเดินได้ระยะทำง 100 เมตร
  • 58. 58 8. จำกภำพตัดขวำงของโลก ลำวำที่ถูกพ่นออกมำจำกปล่องภูเขำไฟมำจำกส่วนใด 1. หมำยเลข 1 2. หมำยเลข 2 3. หมำยเลข 3 4. หมำยเลข 4 9. ทิศกำรหมุนรอบตัวเองของดำวเครำะห์ดวงใดต่อไปนี้ ตรงข้ำมกับดำวเครำะห์อื่น 1. ดำวศุกร์ 2. ดำวเสำร์ 3. ดำวอังคำร 4. ดำวพฤหัสบดี 10. ดำวเทียมทำหน้ำที่ต่อไปนี้ยกเว้นข้อใด 1. สื่อสำร 2. สำรวจทรัพยำกร 3. นำอุปกรณ์ออกไปสำรวจอวกำศ 4. เก็บข้อมูลเพื่อใช้พยำกรณ์สภำพอำกำศ ใช้ข้อมูลต่อไปนี้ตอบคำถำมข้อ 11 – 12 สมชำยทำกำรทดลองเติมสำร A ลงในน้ำที่มีอุณหภูมิ 30o C คนสำร A ให้ละลำยในน้ำ แล้ววัดอุณหภูมิ ของสำรละลำย ได้ผลดังตำรำงบันทึกผลกำรทดลองต่อไปนี้ ตำรำง อุณหภูมิของสำรละลำย A เมื่อเติมสำร A ในปริมำณที่แตกต่ำงกันลงในน้ำ ปริมาณสาร A ที่เติมลงในน้า (กรัม) อุณหภูมิของสารละลาย A (o C) 10 35.0 20 37.5 30 40.0 40 42.5
  • 59. 59 11. จำกข้อมูลข้ำงต้นปัญหำของกำรทดลองคืออะไร 1. อุณหภูมิของน้ำมีผลต่อปริมำณสำร A ที่ละลำยได้ในน้ำหรือไม่ 2. ปริมำณสำร A ที่ละลำยในน้ำมีผลต่ออุณหภูมิของสำรละลำย A หรือไม่ 3. ถ้ำปริมำณสำร A มีผลต่ออุณหภูมิของสำรละลำยแล้ว ดังนั้นเมื่อเพิ่มปริมำณสำร A ลงในน้ำ อุณหภูมิของสำรละลำยจะเพิ่มขึ้น 4. ถ้ำอุณหภูมิของน้ำมีผลต่อควำมสำมำรถในกำรละลำยของสำร A ในน้ำแล้ว ดังนั้นเมื่อเพิ่มอุณหภูมิ ให้สูงขึ้น ปริมำณสำร A ที่ละลำยได้ในน้ำจะเพิ่มขึ้น 12. จำกตำรำง ตัวแปรต้น และตัวแปรตำมคือสิ่งใดตำมลำดับ 1. 2. 3. 4. ส่วนที่ 2 : แบบระบำยตัวเลข จำนวน 3 ข้อ ข้อ 13 – 14 ข้อละ 3 คะแนน ข้อ 15 ข้อละ 4 คะแนน รวม 10 คะแนน 13. นำโซเดียมคลอไรด์ 4.5g มำละลำยในน้ำจนมีปริมำณ 20 ลูกบำศก์เซนติเมตร สำรละลำย โซเดียมคลอไรด์ที่ได้มีคววำมเข้มข้นร้อยละเท่ำไรโดยมวลต่อปริมำณ 14. ในกำรทำให้น้ำแข็งมวล 3 กิโลกรัมหลอมเหลวหมดพอดี จะต้องใช้ควำมร้อนกี่กิโลแคลอรี ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ปริมำณสำร A ที่เติมลงในน้ำ อุณหภูมิขอสำรละลำย A อุณหภูมิของสำรละลำย A ปริมำณสำร A ที่เติมลงในน้ำ ปริมำณสำร A ที่เติมลงในน้ำ ปริมำณน้ำ ปริมำณน้ำ อุณหภูมิของน้ำ
  • 60. 60 15. จำกกำรทดลองดึงห่วงโลหะวงกลมด้วยตำชั่งสปริง 2 อัน โดยดึงตั้งฉำกกันดังรูป ถ้ำตำสปริงอันที่ 1 และอันที่ 2 อ่ำนค่ำแรงดึงได้ 8 นิวตัน และ 6 นิวตัน ตำมลำดับ เมื่อนำตำชั่งสปริงอันที่ 3 มำดึงห่วง โลหะวงกลมในทิศทำงดังรูป พบว่ำห่วงโลหะวงกลมไม่เคลื่อนที่ ตำชั่งสปริงอันที่ 3 ควรอ่ำนค่ำ ได้เท่ำใด
  • 61. 61 เฉลยข้อสอบ ชุดที่ 2 ข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์ 2552 มัธยมศึกษาตอนต้น 1. 4 2. 2 3. 3 4. 2 5. 4 6. 3 7. 1 8. 2 9. 2 10. 4 11. 2 12. 3 13. 4 14. 4 15. 4 16. 3 17. 4 18. 1 19. 1 20. 3 21. 2 22. 2 23. 2 24. 4 25. 3 26. 2 27. 4 28. 4 29. 4 30. 3 31. 3 32. 4 33. 1,2 34. 3,5 35. 2,4 36. 5,6 37. 4,5 ปีการศึกษา
  • 62. 62 เฉลยข้อสอบ ข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์ มัธยมศึกษาตอนต้น 2553 ชุด 91C 1. 1 2. 4 3. 3 4. 2 5. 2 6. 3 7. 4 8. 2 9. 4 10. 1 11. 3 12. 1 13. 375 14. 46.1 15. 0.28 ชุด 91D 1. 4 2. 3 3. 4 4. 2 5. 4 6. 1 7. 3 8. 2 9. 1 10. 3 11. 2 12. 1 13. 375 14. 46.1 15. 0.28 ปีการศึกษา