บทที่ 1
                       ลําดับอนันตและอนุกรมอนันต
                                        (20 ชั่วโมง)

      ลําดับอนันตและอนุกรมอนันตที่จะกลาวถึงในบทนี้ เปนเรื่องเกี่ยวกับลิมิตของลําดับ
ทฤษฎีบทตาง ๆ เกี่ยวกับลิมตของลําดับ การหาผลบวกของอนุกรมอนันต และการใชสญลักษณ
                          ิ                                                       ั
แทนการบวก ตลอดจนโจทยที่แสดงใหเห็นการนําความรูที่กลาวมาไปใชในการแกปญหาตาง ๆ
                                                                               

ผลการเรียนรูที่คาดหวัง
1. หาลิมิตของลําดับอนันตโดยอาศัยทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิตได
2. หาผลบวกของอนุกรมอนันตได
3. นําความรูเรื่องลําดับและอนุกรมไปใชแกปญหาได

            ผลการเรียนรูที่คาดหวังดังกลาวเปนผลการเรียนรูที่สอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรู
ชวงชั้นที่ 4 ทางดานความรู ในการจัดการเรียนรูผูสอนตองคํานึงถึงมาตรฐานการเรียนรูดาน
ทักษะ/ กระบวนการทางคณิตศาสตรดวยการสอดแทรกกิจกรรมหรือโจทยปญหาที่จะสงเสริมให
ผูเรียนเกิดทักษะ / กระบวนการทางคณิตศาสตรที่จําเปนอันไดแกความสามารถในการแกปญหา
การใหเหตุผล การสื่อสาร การสื่อความหมายทางคณิตศาสตรและการนําเสนอ การเชื่อมโยง
ความรูตาง ๆ ทางคณิตศาสตรและเชื่อมโยงคณิตศาสตรกับศาสตรอื่น และการคิดริเริ่มสรางสรรค
นอกจากนั้น กิจกรรมการเรียนรูควรสงเสริมใหผูเรียนตระหนักในคุณคาและมีเจตคติที่ดีตอวิชา
คณิตศาสตร ตลอดจนฝกใหผูเรียนทํางานอยางเปนระบบ มีระเบียบวินัย รอบคอบ มีความ
รับผิดชอบ มีวิจารณญาณและมีความเชื่อมันในตนเอง
                                            ่
            สาระการเรียนรูคณิตศาสตรเพิ่มเติมเปนสาระการเรียนรูสาหรับการศึกษาตอและอาชีพ
                                                                   ํ
ดังนั้นในการจัดการเรียนรูในสาระนี้ ผูสอนควรสงเสริมใหผูเรียนไดฝกทักษะการคิดวิเคราะห
                             
โดยคํานึงถึงความสมเหตุสมผลของขอมูล ดังนั้น ในการสอนแตละสาระผูสอนจําเปนตองศึกษา
สาระนั้น ๆ ใหเขาใจถองแทเสียกอนแลวเลือกวิธีสอนใหเหมาะสม เพื่อทําใหการจัดการเรียนรู
ไดผลดี
2

ขอเสนอแนะ
          1. รูปแบบการกําหนดลําดับทําไดหลายแบบ ผูสอนควรย้าและยกตัวอยางใหผูเรียนเห็นวา
                                                                 ํ
การกําหนดลําดับโดยการแจงพจนแลวหาพจนทวไปของลําดับนั้น อาจหาพจนทั่วไปไดตางกัน
                                                  ั่
(ดูหนังสือเรียนหนา 3 – 4 และคูมือครูสาระการเรียนรูพื้นฐาน ชันมัธยมศึกษาปที่ 5 เรื่องลําดับ
                                                              ้
และอนุกรม หนา 2)
          2. ผูสอนควรทบทวนเรื่องลําดับจํากัด ลําดับเลขคณิตและลําดับเรขาคณิต และอนุกรม
จํากัดกอนที่จะขยายความตอและกลาวถึงลําดับอนันตและอนุกรมอนันต ผูสอนควรบอกผูเรียน
ดวยวา ยังมีลําดับอื่น ๆ อีกมากมายที่ไมใชลําดับเลขคณิตหรือลําดับเรขาคณิต ผูสอนอาจใช
ประโยชนจากเว็บไซต The On-Line Encyclopedia of Integer Sequences ซึ่งเก็บรวบรวมลําดับ
ตาง ๆ ไวใหคนหาไดมากมาย ที่ http://www.research.att.com/~njas/sequences/ หรือผูสอนอาจ
ใหผูเรียนชวยกันสรางลําดับใหมเอง
          3. ในเรื่องความสัมพันธเวียนเกิด ผูสอนอาจเพิ่มเติมแบบฝกหัดสําหรับผูเรียนที่สนใจ
คณิตศาสตรเปนพิเศษ ผูสอนอาจใหผูเรียนกําหนดลําดับที่กําหนดใหตอไปนี้โดยใชความสัมพันธ
เวียนเกิด
              (1) 1, 2, 4, 8, 16, ..., 2n–1 , ...
                  เพราะวา         a1 = 1
                                   a2 = 2 = 2(1) = 2a1
                                   a3 = 4 = 2(2) = 2a2
                                   a4 = 8 = 2(4) = 2a3

                                an            = 2n–1 = 2an–1
              ดังนั้น กําหนดลําดับนี้โดยใชความสัมพันธเวียนเกิดไดเปนลําดับ an = 2an–1
              เมื่อ n ≥ 2, a1 = 1
          (2) 1, –1, 1, –1, ..., (–1)n+1, ...
              เพราะวา          a1 = 1
                                a2 = –1 = (–1)(1) = (–1)a1
                                a3 = 1 = (–1)(–1) = (–1)a2
                                a4 = –1 = (–1)(1) = (–1)a3

                                  an                           = (–1)an–1
                ดังนั้น กําหนดลําดับนี้โดยใชความสัมพันธเวียนเกิดไดเปนลําดับ an = (–1)an–1
                เมื่อ n ≥ 2, a1 = 1
3

           (3) กําหนดลําดับ 5, 9, 13, 17, ..., 4n + 1, ... โดยใชความสัมพันธเวียนเกิดไดเปน
               ลําดับ an = an–1 + 4 เมื่อ n ≥ 2 , a1 = 5
           (4) กําหนดลําดับ 1, 3, 9, 27, ..., 3n–1, ... โดยใชความสัมพันธเวียนเกิดไดเปนลําดับ
               an = 3an–1 เมื่อ n ≥ 2 , a1 = 1
           (5) กําหนดลําดับ 1, 1, 1, 1, ..., 1, ... โดยใชความสัมพันธเวียนเกิดไดเปนลําดับ
               an = an–1 เมื่อ n ≥ 2, a1 = 1
                                                       n(n + 1)
           (6) กําหนดลําดับ 1, 3, 6, 10, 15, ...,               , ... โดยใชความสัมพันธเวียนเกิด
                                                          2
                    ไดเปนลําดับ an = an–1+ n เมื่อ n ≥ 2, a1 = 1
             (7) กําหนดลําดับ 5, 10, 30, 120, ..., 5n!, ... โดยใชความสัมพันธเวียนเกิดไดเปน
                    ลําดับ an = nan–1 เมื่อ n ≥ 2, a1 = 5
           4. การทบทวนสูตรพจนที่ n ของลําดับเลขคณิต (หนา 7) และสูตรพจนที่ n ของลําดับ
เรขาคณิต (หนา 9) โดยการเขียนยอนกลับ ผูสอนอาจจะแสดงตัวอยางที่เปนตัวเลขใหผูเรียนพิจารณา
ประกอบไปดวยสัก 2 – 3 ตัวอยางกอนที่จะสรุปเปนกรณีทั่วไป และถาผูสอนพิจารณาแลววา
แนวทางของเรื่องเดียวกันทีนําเสนอไวในหนังสือเรียนสาระการเรียนรูพื้นฐาน ชันมัธยมศึกษา
                                ่                                                    ้
ปที่ 5 เขาใจงายกวา ก็อาจขามสวนนี้ไปก็ได อยางไรก็ตาม ผูสอนควรชี้ใหผูเรียนเห็นแนวทาง
ที่แตกตางของทั้งสองวิธี
           5. จากการพิจารณาลิมิตของลําดับ ทําใหแบงลําดับออกเปน 2 ประเภท คือ ลําดับ
ที่มีลิมิต เรียกวา ลําดับลูเขา และลําดับที่ไมมีลิมิต เรียกวา ลําดับลูออก สําหรับลําดับลูออก
ถาพิจารณาลําดับจากกราฟจะแบงออกเปน 3 ประเภทคือ
               (1) ลําดับลูออกซึ่งพจนที่ n มีคามากขึ้นเรื่อย ๆ เมือ n มีคามากขึ้นโดยไมมีที่สนสุด
                                                                      ่                         ิ้
                    เชน 1, 2, 4, ..., 2 n–1 , ...
               (2) ลําดับลูออกซึ่งพจนที่ n มีคาลดลงเรื่อย ๆ เมื่อ n มีคามากขึ้นโดยไมมีที่สิ้นสุด
                    เชน –1, –3, –5, ..., –(2n – 1), ...
               (3) ลําดับลูออกซึ่งมีลักษณะแตกตางจากลําดับในขอ (1) และขอ (2) ซึงเรียกวา
                                                                                          ่
                    ลําดับแกวงกวัด เชน an = (–1)n , bn = (–1)n n
           6. การเชื่อมโยงมโนทัศนเรื่องลิมิตของลําดับกับรูปภาพ ผูสอนอาจเริ่มจากการคํานวณ
                                                                           
แลวเขียนกราฟ และพิจารณาแนวโนมวา เมื่อ n มีคามากขึ้นเรื่อย ๆ กราฟของลําดับ an จะเปน
อยางไร ผูสอนอาจแนะนําการเขียนกราฟโดยใชเครื่องมือตาง ๆ เชน กระดาษกราฟ เครื่องคํานวณ
โปรแกรม Geometer’s Sketchpad หรือโปรแกรมประเภทตารางทํางาน เชน Microsoft Excel
          7. หนังสือเรียนไมไดแสดงวิธีการพิสูจนทฤษฎีบทตาง ๆ เกี่ยวกับลิมิตไว ผูสอนควรให
ผูเรียนพิจารณาคา an โดยตรง หรือทดลองเขียนกราฟของลําดับ an แลวพิจารณาแนวโนมของกราฟ
4
                                            1                      1
เชน ใหผูเรียนพิจารณาลําดับ an =                   และ an =          1
                                                                           เพื่อนําไปสูการยอมรับทฤษฎีบทที่วา
                                            n3
                                                                   n   3

       1
 lim
n →∞ n r
            = 0 เมื่อ r เปนจํานวนจริงบวกใด ๆ ผูเรียนควรอธิบายไดวา เมื่อ n มีคามากขึ้นอยาง
                              1
                                                                                                   1               1
ไมมีที่สิ้นสุด n3 และ       n3   จะมีคามากขึ้นอยางไมมีที่สิ้นสุดดวย ซึ่งจะทําให                     และ          1
                                                                                                                           มีคา
                                                                                                   n3
                                                                                                                   n   3


นอยลงและเขาใกล 0
                                                                               1
             ใหผูเรียนพิจารณาลําดับ an = n4 และ an = n เพื่อนําไปสูการยอมรับทฤษฎีบท
                                                                               4


ที่วา nlim n r หาคาไมได เมื่อ r เปนจํานวนจริงบวกใด ๆ ผูเรียนควรอธิบายไดวา เมื่อ n มี
         →∞
                                                                               
                                                 1
คามากขึ้นอยางไมมีที่สิ้นสุด n4 และ           n4   จะมีคามากขึ้นอยางไมมีที่สิ้นสุดดวย
                                                             n                            n
                                                      ⎛1⎞                          ⎛ 1⎞
               ใหผูเรียนพิจารณาลําดับ an =          ⎜ ⎟        และ an =          ⎜− ⎟       เพื่อนําไปสูการยอมรับ
                                                      ⎝ 3⎠                         ⎝ 4⎠
ทฤษฎีบทที่วา      lim r n
                  n →∞
                             = 0 เมื่อ r เปนจํานวนจริง และ                  r <1

             ใหผูเรียนพิจารณาลําดับ an = 3n และ an = (–4)n เพื่อนําไปสูการยอมรับทฤษฎี
บทที่วา nlim r หาคาไมได เมื่อ r เปนจํานวนจริง และ r > 1
           →∞
                  n



           8. ขอความวา “ nlim a n หาคาไมได” มีความหมายเชนเดียวกับขอความ “ลําดับ an
                             →∞
ไมมลิมต” หรือ “พจนที่ n ของลําดับ an ไมเขาใกลหรือเทากับจํานวนจริง L ใด ๆ เลย” ในบทนี้
      ี ิ
ไมมการใชขอความวา “ nlim a n = ∞ ” หรือ “ nlim a n = – ∞ ”
    ี                    →∞                      →∞
           9. ในหนังสือเรียนหนา 22 ผูสอนควรย้ํากับผูเรียนวา จะใชทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิตได
                                                                                a    lim a n
เมื่อเงื่อนไขเบืองตนเปนจริงกอนเทานัน เชน จะสรุปวา
                ้                      ้                                    lim n = n →∞                ไดเมื่อ    lim a
                                                                           n →∞ b n  lim b                         n →∞ n
                                                                                    n →∞ n
และ     lim b
       n →∞ n
                  หาคาได และ          lim b ≠ 0
                                       n →∞ n
        ในกรณีที่ไมสามารถใชทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิตของลําดับ an โดยตรงได อาจตองจัดรูปของ an
กอนการใชทฤษฎีบทเกียวกับลิมิต ดังปรากฏในหลาย ๆ ตัวอยางในหนังสือเรียน อยางไรก็ตาม
                       ่
ลําดับบางลําดับก็ยังคงใชทฤษฎีบทเกียวกับลิมิตไมไดถึงแมจะพยายามจัดรูปใหแตกตางจากเดิม
                                   ่
แลว เชน
                                        2
                                      2n − 3n
           พิจารณาลําดับ      an =
                                       4n − 5
           เนื่องจาก              2
                        lim (2n − 3n)
                       n →∞
                                            และ       lim (4n − 5)
                                                     n →∞
                                                                           หาคาไมไดทั้งคู ฉะนั้น หากตองการ
                          2                                                                          2
                        2n − 3n                                                              lim (2n − 3n)
หา nlim a n = nlim
    →∞         →∞
                                      จึงใชทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิตที่วา             lim a =
                                                                                   n →∞ n
                                                                                            n →∞                           ไมได
                         4n − 5                                                                lim (4n − 5)
                                                                                              n →∞
           การจัดรูป an กอนการพิจารณาลิมิตอาจทําไดหลาย ๆ แบบ บางคนอาจทําดังนี้
5

                                             2⎛
                                            3⎞                                           3
           2
         2n − 3n
                                        ⎜2 − ⎟
                                         n                                          2−
                           =            ⎝ n⎠                       =                n
          4n − 5                      2⎛4   5 ⎞                                  4
                                                                                  −
                                                                                    5
                                     n ⎜ −    ⎟
                                       ⎝ n n2 ⎠                                  n n2

        กรณีนก็ยงคงใชทฤษฎีบทเกียวกับลิมิตไมได เพราะเปนกรณียกเวน เนื่องจาก
             ้ี ั               ่
     ⎛4 5      ⎞
        −
n →∞ ⎜ n n 2
 lim           ⎟     =0
     ⎝         ⎠
                                  2
                                2n − 3n                      n ( 2n − 3)                     2n − 3
        บางคนอาจทําดังนี้                            =                          =
                                 4n − 5                       ⎛      5⎞
                                                                                             4−
                                                                                                 5
                                                             n⎜4 −      ⎟
                                                              ⎝      n⎠                          n

       การจัดรูป an เชนนี้กยังคงใชทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิตไมไดเชนเดียวกัน เพราะ
                            ็
 lim (2n − 3) หาคาไมได
n →∞
          จะเห็นไดวาการจัดรูป an ทั้งสองแบบไมสามารถชวยสรุปไดวา a n เปนลําดับลูเขาหรือลู
ออกโดยใชทฤษฎีบทเกียวกับลิมตได จึงตองใชวิธีอื่นพิจารณา เชน การพิจารณาคาของ an
                        ่          ิ
โดยตรง หรือจากกราฟของลําดับ an เปนตน
          10. จากบทนิยามของอนุกรมจะเห็นวา อนุกรมไดจากการบวกพจนทุกพจนของลําดับ
และในการศึกษาเรื่องลิมิตของอนุกรมไดแบงอนุกรมออกเปน 2 ประเภท เชนเดียวกับลําดับ คือ
อนุกรมลูเขาและอนุกรมลูออก จากตัวอยางของอนุกรมลูเขาจะเห็นวา อนุกรมลูเขามักจะไดจาก
ลําดับลูเขา บางคนอาจจะเขาใจอยางไมถูกตองวา ลําดับลูเขาทุกลําดับเมื่อนํามาเขียนเปนอนุกรม
จะไดอนุกรมลูเขาเสมอ ซึ่งเปนขอที่ควรระวังอยางยิ่งดังตัวอยางตอไปนี้
                (1) 1, 1, 1, ..., 1, ...                     เปนลําดับลูเขาที่มีลิมิตเปน 1
                    1 + 1 + 1 + ... + 1 + ...                เปนอนุกรมลูออก
                                     1
               (2) 1, 1 , 1 , ...,           , ...                     เปนลําดับลูเขาที่มีลิมิตเปน 0
                        2 4    2n −1
                        1 1          1
                     1 + + + ... +
                                     n −1
                                          + ...                        เปนอนุกรมลูเขา และผลบวกของ
                        2 4        2
                                                                     อนุกรมนี้มีคาเปน 2
                                                                                 
                   1 1    1
               (3)
                1, , ,..., ,...                                        เปนลําดับลูเขาที่มีลิมิตเปน 0
                   2 3    n
                    1 1         1
                1 + + + ... + + ...                                    เปนอนุกรมลูออก
                                                                                   
                    2 3         n
        การแสดงวาอนุกรม 1 + 1 + 1 + ... + 1 + ...           เปนอนุกรมลูออกนัน จะตองพิสูจนไดวา
                                                                               ้
                              2 3          n
ลําดับผลบวกยอยไมมีลิมิต แตวิธีการพิสูจนคอนขางยุงยากในทีนี้จะแสดงคาของพจนแรก ๆ บาง
                                                              ่
พจนของลําดับผลบวกยอยเพื่อใหเห็นวา เมื่อมีจํานวนพจนมากเขาผลบวกยอยจะมากขึ้นไดเรื่อย ๆ
ดังนี้
6

                              S1     =        1
                                          1
                              S2     =        1+
                                          2
                                          1   1
                              S3   =   1+   +
                                          2   3
                                          1   1   1
                              S4   =   1+   +   +
                                          2   3   4
                                 1 1 1      1 1 1
              แต             1+ + +   > 1+ + +
                                 2 3 4      2 4 4
                                              > 2
              ดังนั้น         S4 > 2
                                                 1 1 1 1 1 1 1
                              S8     =        1+    + + + + + +
                                                 2 3 4 5 6 7 8
                                 1 ⎛1 1⎞ ⎛1 1 1 1⎞
              แต             1+ + ⎜ + ⎟ + ⎜ + + + ⎟
                                 2 ⎝3 4⎠ ⎝5 6 7 8⎠

                              > 1+ 1 + ⎛ 1 + 1 ⎞ + ⎛ 1 + 1 + 1 + 1 ⎞
                                       ⎜       ⎟ ⎜                 ⎟
                                     2 ⎝ 4 4⎠ ⎝8 8 8 8⎠

                              > 21
                                   2
              ดังนั้น         S8 > 2 1
                                       2
                                                 1 ⎛1 1⎞ ⎛1 1 1 1⎞
                              S16 =         1+ + ⎜ + ⎟ + ⎜ + + + ⎟
                                                 2 ⎝3 4⎠ ⎝5 6 7 8⎠
                                              ⎛1 1 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 1 1 ⎞
                                            +⎜ + + + ⎟ + ⎜ + + + ⎟
                                              ⎝ 9 10 11 12 ⎠ ⎝ 13 14 15 16 ⎠
                                                 1 ⎛1 1⎞ ⎛1 1 1 1⎞
                              S16 >         1+ + ⎜ + ⎟ + ⎜ + + + ⎟
                                                 2 ⎝ 4 4⎠ ⎝8 8 8 8⎠
                                              ⎛1 1 1 1 1 1 1 1⎞
                                            +⎜ + + + + + + + ⎟
                                              ⎝ 16 16 16 16 16 16 16 16 ⎠
                              S16    >        3

       จะพบวา          S4    (ผลบวก 4 พจนแรก) มากกวา 2
                                                               1
                        S8    (ผลบวก 8 พจนแรก) มากกวา    2
                                                               2
                        S16   (ผลบวก 16 พจนแรก) มากกวา 3
                                                               1
                        S32   (ผลบวก 32 พจนแรก) มากกวา   3
                                                               2
                      S64 (ผลบวก 64 พจนแรก) มากกวา 4
       และผลบวกยอยจะมีคามากขึ้นเรื่อย ๆ ไปไมมีที่สิ้นสุด
       11. จากการศึกษาเรื่องอนุกรมเลขคณิต จะเห็นวาอนุกรมอนันตที่เปนอนุกรมเลขคณิต
สวนมากเปนอนุกรมลูออก จะทําใหบางคนคิดวาอนุกรมอนันตที่เปนอนุกรมเลขคณิตทุกอนุกรม
7

เปนอนุกรมลูออก แตความจริงแลวมีอนุกรมอนันตที่เปนอนุกรมเลขคณิตและเปนอนุกรมลูเขา คือ
             
อนุกรม 0 + 0 + 0 + ... + 0 + ... ซึ่งเปนอนุกรมเลขคณิตที่มี a1 = 0 และ d = 0 และมีผลบวก
เปน 0
         12. ผูสอนควรย้ํากับผูเรียนวาการพิจารณาอนุกรมวาเปนอนุกรมลูเขาหรือลูออกตอง
พิจารณาจากลําดับของผลบวกยอยของอนุกรมเปนหลัก เชน
             พิจารณาอนุกรม 1 – 1 + 1 – 1 + ... + (–1)n–1 + ... จะเห็นวาลําดับของผลบวกยอย
ของอนุกรมนีคือ 1, 0, 1, 0, 1, ... ซึ่งเปนลําดับลูออก
               ้
             ดังนั้น อนุกรม 1 – 1 + 1 – 1 + ... + (–1)n–1 + ... จึงเปนอนุกรมลูออก
             ผูสอนควรเสนอแนะเพิ่มเติมวา อาจมีบางคนเขียนจัดรูปอนุกรมขางตนใหมดังนี้
             1 – 1 + 1 – 1 + ... + (–1)n–1 + ... = (1 – 1) + (1 – 1) + (1 – 1) + ...
ซึ่งจะไดอนุกรม 0 + 0 + 0 + 0 + ... + 0 + ... เปนอนุกรมลูเขา ที่มีผลบวกเปน 0
             หรือบางคนอาจเขียนจัดรูปอนุกรมขางตนใหมดังนี้
             1 – 1 + 1 – 1 + ... + (–1)n–1 + ... = 1 + (–1 + 1) + (–1 + 1) + (–1 + 1) + ...
ซึ่งจะไดอนุกรม 1 + 0 + 0 + 0 + 0 + ... เปนอนุกรมลูเขา ที่มีผลบวกเปน 1
             ผูสอนควรชี้แนะใหผเู รียนเขาใจใหไดวาการเขียนจัดรูปอนุกรมขางตนทั้งสองแบบ
แลวสรุปวา อนุกรม 1 – 1 + 1 – 1 + ... + (–1)n–1 + ... เปนอนุกรมลูเขานั้นไมถูกตอง
         13. ในบทเรียนนี้มุงใหพิจารณาอนุกรมอนันตเฉพาะอนุกรมเรขาคณิตหรืออนุกรมที่
อาจจะหาพจนที่ n ของลําดับผลบวกยอยไดไมยากนัก กลาวคือ ถาเปนอนุกรมเรขาคณิตก็
                                                                                     a1
พิจารณาอัตราสวนรวม r และถา         r <1    ก็สามารถหาผลบวกจากสูตร S =                   สวนอนุกรม
                                                                                    1− r
ที่ไมใชอนุกรมเรขาคณิตนัน ใหหาผลบวกโดยการหาลําดับของผลบวกยอยกอน นั่นคือ จะตอง
                            ้
หาพจนที่ n ของลําดับผลบวกยอยนั้น แลวจึงหาลิมิตของลําดับผลบวกยอย
          14. ในบทเรียนนี้ไดนําเสนออนุกรมประเภทหนึ่งซึ่งมีความสําคัญและนาสนใจเรียกวา
อนุกรมเทเลสโคป (telescoping series)
          อนุกรมเทเลสโคป คือ อนุกรม a1 + a2 + a3 + ... + an + ... ที่สามารถเขียนอยูในรูป
          a1 + a2 + a3 + ... + an + ... = (b1 – b2) + (b2 – b3) + (b3 – b4) + ... + (bn – bn+1) + ...
เมื่อ a1 = b1 – b2
          a2 = b2 – b3
          a3 = b3 – b4

        an = bn – bn+1
ดังนั้น a1 + a2 + a3 ... + an = b1 – bn+1
8


       ผูสอนควรเนนลักษณะพิเศษของอนุกรมประเภทนี้ใหผเู รียนทราบ ตัวอยางของอนุกรม
เทเลสโคปในหนังสือเรียน ดังเชน
         1    1     1               1                    ⎛ 1⎞ ⎛1 1⎞ ⎛1 1⎞                   ⎛1      1 ⎞
            +     +      + ... +                     =   ⎜ 1 − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ... + ⎜ −          ⎟
        1⋅ 2 2 ⋅ 3 3 ⋅ 4         n(n + 1)                ⎝ 2⎠ ⎝ 2 3⎠ ⎝3 4⎠                  ⎝ n n +1⎠
                                                                1
                                                     =   1−
                                                              n +1
          3    5      7              2n + 1               ⎛1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞          ⎛ 1        1 ⎞
             +     +       + ... + 2                 =    ⎜   − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ... + ⎜ 2 −
                                                                                  ⎜n
                                                                                                  ⎟
        1 ⋅ 4 4 ⋅ 9 9 ⋅ 16        n ( n + 1)                                            ( n + 1) ⎟
                                             2                                                  2
                                                          ⎝1 4 ⎠ ⎝ 4 9 ⎠          ⎝               ⎠
                                                                  1
                                                     =   1−
                                                              ( n + 1)
                                                                       2



         15. ผูสอนอาจจะแนะนําสัญลักษณ ∑ ในหัวขอเรื่องสัญลักษณแทนการบวก ไปพรอม
กับหัวขอเรื่องผลบวกของอนุกรมอนันตเลยก็ได หากพิจารณาแลวเห็นวาสอดคลองกับแนว
ทางการจัดการเรียนการสอนที่ปฏิบัติอยู
         16. ในหนังสือเรียนหัวขอ 1.2.2 ไดกลาวถึงสมบัติของ ∑ ที่ควรทราบไว สมบัติ
เหลานั้นแสดงใหเห็นจริงไดโดยงาย ผูสอนควรเชิญชวนใหผูเรียนทดลองพิสูจนสมบัติตาง ๆ ดวย
ตนเอง ดังนี้
                  n
       (1)       ∑c               =         nc                             เมื่อ c เปนคาคงตัว
                 i =1
                   n
                 ∑c               =         c + c + c + ... + c
                 i =1
                                                         n พจน
                                  =         nc
                  n                              n
       (2)       ∑ cai            =         c∑ a i                         เมื่อ c เปนคาคงตัว
                 i=1                         i =1
                  n
                 ∑ cai            =         ca1 + ca2 + ca3 + ... + can
                 i=1
                                  =         c(a1 + a2 + a3 + ... + an)
                                                 n
                                  =         c∑ a i
                                             i =1
                  n                          n                n
       (3)       ∑ (ai + bi )     =         ∑ a i + ∑ bi
                 i =1                       i =1             i =1
                   n
                 ∑ (ai + bi )     =         (a1 + b1) + (a2 + b2) + (a3 + b3) + ... + (an + bn)
                 i =1
                                  =         (a1 + a2 + a3 + ... + an) + (b1 + b2 + b3 + ... + bn)
                                             n                n
                                  =         ∑ a i + ∑ bi
                                            i =1             i =1
9
                                                          n                               n        n
       ในทํานองเดียวกันจะแสดงไดวา ∑ (ai − bi ) = ∑ ai − ∑ bi
                                                         i =1                            i =1     i =1
                                           n
       17. ในการหาผลบวก ∑ i นอกจากวิธีที่แสดงไวในหนังสือเรียนแลว ยังแสดงไดโดยวิธี
                                         i =1
                                     n                        n
เดียวกันกับที่ใชหาสูตรของ ∑ i2 หรือ ∑ i3 ดังนี้
                                    i =1                  i =1
                            2                       2
            เนื่องจาก n – (n – 1)                                             =       2n – 1                          -----(1)
                      (n – 1)2 – (n – 2)2                                     =       2(n – 1) – 1                    -----(2)
                      (n – 2)2 – (n – 3)2                                     =       2(n – 2) – 1                    -----(3)

                                               32 – 22                        =       2(3) – 1                        -----(n–2)
                                               22 – 12                        =       2(2) – 1                        -----(n–1)
                                               12 – 02                        =       2(1) – 1                        -----(n)
                                                                                           n      n
             (1) + (2) + (3) + ... + (n) จะได n2 =                                   2∑ i − ∑1
                                                                                          i=1     i=1
                                                                                            n
                                                                              =          2∑ i − n
                                                                                           i=1
                                                                   n                     n2 + n              n(n + 1)
             ดังนั้น                                              ∑i =                                   =
                                                                  i =1                     2                    2
                                                              n           n          n
             หลังจากศึกษาที่มาของสูตร ∑ i , ∑ i , ∑ i แลว ผูสอนอาจถามผูเรียนตอวา
                                                                                2          3

                                                          i =1           i =1       i =1
             n              n
การหาสูตร ∑ i หรือ ∑ i จะดําเนินการตามวิธีการเดิมไดหรือไม ผูสอนอาจแนะนําให
                   4                 5

            i =1           i =1
ผูเรียนเริ่มตนจาก n – (n – 1)5 และ n6 – (n – 1)6 ตามลําดับ
                       5

            18. แบบฝกหัด 1.2 ข ขอ 7 และขอ 9 อาจจะยากเกินไปหากผูเรียนไมสามารถจัดรูปใหม
ได ดังนัน ผูสอนควรใหคาแนะนําเบื้องตนในแตละขอดังนี้
            ้               ํ
                                1                                                        1   1
           7(1)                                                           =                −
                           n ( n + 1)                                                    n n +1
                                           1                                             1⎛ 1         1 ⎞
           7(2)                                                           =                ⎜       −       ⎟
                           ( 2n − 1)( 2n + 1)                                            2 ⎝ 2n − 1 2n + 1 ⎠
                                    1                                                    1⎛      1               1         ⎞
           7(3)                                                           =               ⎜ n ( n + 1) − ( n + 1)( n + 2 ) ⎟
                                                                                          ⎜                                ⎟
                           n ( n + 1)( n + 2 )                                           2⎝                                ⎠
                                1                                                        1⎛1    1 ⎞
           7(4)                                                           =               ⎜ −     ⎟
                           n ( n + 2)                                                    2⎝ n n +2⎠
                                    2n + 1                                               1         1
           9(1)                                                           =                  −
                           n ( n + 1)                                                          ( n + 1)
                                                2                                          2            2
                                2
                                                                                         n
10

กิจกรรมแสนอแนะ
ลิมิตของลําดับ
กิจกรรมที่ 1
      ผูสอนและผูเรียนชวยกันเขียนกราฟของลําดับ an ตอไปนี้บนกระดานดํา หรือใชโปรแกรม
ประเภทตารางทํางาน เชน Microsoft Excel
                       1
         (1) an =
                      2n
         (2) an = 2
                           (−1)n
         (3) an =     1+
                             n
            (4) an = 2n – 1
            (5) an = (–1)n+1
            จากนั้นชวยกันพิจารณากราฟของลําดับ an เมื่อ n มีคามากขึ้นโดยไมมีที่สิ้นสุด คาของ
พจนที่ n ของลําดับ จะมีคาเขาใกลจํานวนจริงใดหรือไม ซึ่งผูเรียนควรบอกไดวา
            สําหรับ ลําดับในขอ (1) คาของพจนที่ n จะเขาใกล 0
                    ลําดับในขอ (2) คาของพจนที่ n จะเปน 2 เสมอ
                    ลําดับในขอ (3) คาของพจนที่ n จะเขาใกล 1
                    ลําดับในขอ (4) คาของพจนที่ n จะมากขึนเรื่อย ๆ
                                                                ้
                    ลําดับในขอ (5) คาของพจนที่ n จะเปน 1 เมื่อ n เปนจํานวนคี่ และ
                                                         เปน –1 เมื่อ n เปนจํานวนคู
            ผูสอนเสนอแนะผูเรียนวาลําดับในขอ (1), (2) และ (3) คาของพจนที่ n จะเขาใกลหรือ
เทากับจํานวนจริงเพียงจํานวนเดียวเทานั้น ในกรณีที่พจนที่ n ของลําดับมีคาเขาใกลหรือเทากับ
จํานวนจริง L เพียงจํานวนเดียวเทานั้น เมื่อ n มีคามากขึ้นโดยไมมีที่สนสุด จะเรียก L วาเปนลิมิต
                                                                              ิ้
ของลําดับนั้น หรือกลาววาลําดับนั้นมีลิมิตเปน L สวนลําดับที่ไมมีสมบัติเชนนี้จะเปนลําดับที่ไมมี
ลิมิต ผูสอนใหผูเรียนบอกวาลําดับขางตนลําดับใดบางมีลิมิตและลิมตเปนเทาใด ลําดับใดไมมีลิมต
                                                                           ิ                           ิ
ซึ่งผูเรียนควรบอกไดวา ลําดับในขอ (1) มีลิมิตเปน 0 ลําดับในขอ (2) มีลิมิตเปน 2 และลําดับใน
ขอ (3) มีลิมิตเปน 1
            ผูสอนทบทวนผูเรียนเกี่ยวกับลําดับที่มีลิมิตเรียกวา ลําดับลูเขา สวนลําดับที่ไมมีลิมิต
เรียกวาลําดับลูออก แลวผูสอนใหผูเรียนบอกวาลําดับทั้งหาลําดับขางตน ลําดับใดเปนลําดับลูเขา
และลําดับใดเปนลําดับลูออก ซึ่งผูเรียนควรบอกไดวา ลําดับในขอ (1), (2) และ (3) เปนลําดับลู
เขา ลําดับในขอ (4) และ (5) เปนลําดับลูออก
11

กิจกรรมที่ 2
        ผูสอนอาจใชการพับกระดาษแสดงความหมายของลิมิตของลําดับบางลําดับไดดังตอไปนี้
                        1       1       1       1        1
เชน พิจารณาลําดับ 1,       ,       ,       ,        ,        ,…
                        2       4       8       16       32


                                                                         1

                                                                          1
                                                                          2


                                                                          1
                                                                          4


                                                                          1
                                                                          8


                                                                           1
                                                                          16


                                                                           1
                                                                          32


        ผูสอนอธิบายวาถาพับกระดาษตอไปอีก จะไดความยาวของกระดาษนอยลงเรื่อย ๆ จน
เกือบเปน 0 แสดงวา ถา n มีคามากขึ้นโดยไมมีที่สิ้นสุด พจนที่ n ของลําดับจะเขาใกล 0 และ
กลาวไดวา ลิมิตของลําดับขางตนเทากับ 0
         


อนุกรมอนันต
กิจกรรมที่ 3
        ผูสอนอาจประยุกตใชกจกรรมตอไปนี้นําเขาเรื่องอนุกรมอนันตได ใหผูเรียนปฏิบติ
                             ิ                                                        ั
ตามลําดับขั้นและตอบคําถามตอไปนี้
        ขั้นที่ 1 ตัดกระดาษขนาด A4 เปนรูปสี่เหลี่ยมผืนผาสามรูปที่เทากัน ดังรูป
12

        ขั้นที่ 2 แยกสวนที่หนึ่งไวกองหนึ่ง สวนที่สองไวอีกกองหนึ่ง เก็บสวนที่สามไวในมือ
        ขั้นที่ 3 ทําซ้ําขั้นที่ 1 และ 2 กับกระดาษสวนที่สามที่อยูในมือไปเรื่อย ๆ

         1. สมมติวากระดาษ A4 มีพื้นที่ 1 ตารางหนวย และสมมติวาสามารถตัดกระดาษซ้ํา
ตอไปไดอีกอยางตอเนื่องไมสิ้นสุด จะมีกระดาษในกองที่หนึ่งเทาไร กองที่สองเทาไร และมี
เหลืออยูในมือเทาไร ใหเขียนผลบวกของเศษสวนทีใชแทนพื้นที่ของกระดาษที่มีอยูในแตละกอง
                                                ่
         ผูเรียนควรตอบไดวา จะมีกระดาษในกองที่หนึ่งและกองที่สองเทากันคือเทากับ
1 1 1 1
 + + + + ...           ตารางหนวย และกระดาษที่อยูในมือจะชิ้นเล็กลงเรื่อย ๆ จนไมสามารถตัด
3 32 33 34
ไดจริง ๆ
          2. สมมติวาสามารถตัดกระดาษซ้ําตอไปไดอีกอยางตอเนืองอยางไมสิ้นสุด เศษสวนในขอ 1
                                                                 ่
จะมีอยูอยางจํากัดหรือนับไมถวน และผลบวกของเศษสวนเหลานันหาคาไดหรือไม
                                                                   ้
          ผูเรียนควรตอบไดวา เศษสวนในขอ 1 มีอยูอยางไมจํากัด แตผลบวกของเศษสวนเหลานั้น
ยังไมแนใจวาจะหาไดหรือไม
          3. อนุกรมอนันต คือ ผลบวกของจํานวนหลาย ๆ จํานวน นับไมถวน เชน 1 + 2 + 3 + 4
+ 5 + ... + n + ... เปนอนุกรมอนันต อนุกรมนี้สามารถหาผลบวกเปนจํานวน ๆ หนึงไดหรือไม
                                                                                  ่
          ผูเรียนควรตอบไดวา ไมสามารถหาผลบวกดังกลาวได
                             
          4. ถาอนุกรมอนันตไมสามารถหาผลบวกเปนจํานวน ๆ หนึ่งได เรียกอนุกรมนั้นวา
                                                               1 1 1 1
อนุกรมลูออก เชน อนุกรมในขอ 3 เปนอนุกรมลูออก อนุกรม         + + + + ...            ลูออก
                                                               2 2 2 23 2 4
หรือไม ใหสรางแบบจําลองการตัดกระดาษคลาย ๆ กับที่ทํามาแลว
                1 1 1 1
        อนุกรม    + + + + ... ยังไมแนใจวาจะหาผลบวกไดหรือไม แบบจําลองการ
                2 2 2 23 2 4
ตัดกระดาษไปเรื่อย ๆ ซึ่งแทนอนุกรม 1 + 12 + 13 + 14 + ... ในขอ 4 เปนดังนี้
                                  2 2 2 2



                                            1
                                            23          1
                                                        24
                                1
                                2
                                                   1
                                                   22
13

กิจกรรมที่ 4
                        n
       การหาสูตร ∑ i นอกจากจะใชวิธีทางพีชคณิตดังที่ปรากฏในหนังสือเรียนแลว ผูสอน
                       i =1
อาจเพิ่มความนาสนใจใหผูเรียนโดยใชพนที่สรุปการหาผลบวกของ i ไดอีกวิธหนึงดังนี้
                                         ื้                              ี ่
        กําหนดใหรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็ก ๆ 1 รูป มีพื้นที่ 1 ตารางหนวย




                                          รูปที่ 1

       จะเห็นวารูปที่ 1 มีพื้นที่เทากับ 1 + 2 + 3 + 4 ตารางหนวย
       ถานํารูปที่ 1 จํานวนสองรูปมาประกอบกัน จะไดรูปสี่เหลี่ยมผืนผาหนึ่งรูป ดังนี้



                                                                       4
        4
                   4                                                                  5

       รูปสี่เหลี่ยมผืนผาที่ไดมีพื้นที่เปนสองเทาของรูปที่ 1 และมีพื้นที่เทากับ 4 × 5 ตารางหนวย
       ดังนัน จึงได 4 × 5 = 2(1 + 2 + 3 + 4)
             ้
                              4×5
                                    = 1+2+3+4
                               2
        ในทํานองเดียวกัน เมื่อ n เปนจํานวนเต็มบวก และตองการหาคาของ 1 + 2 + 3 + ... + n
ก็พิจารณาจากพื้นที่ได




 n                                                                                                     n



               n                                                                  n+1
14

       จะเห็นวารูปซาย มีพื้นที่เทากับ 1 + 2 + 3 + 4 + ... + n ตารางหนวย
       ถานํารูปซายจํานวนสองรูปมาประกอบกัน จะไดรูปสี่เหลี่ยมผืนผาหนึ่งรูปทีมความยาว
                                                                                     ่ ี
n + 1 หนวย และความกวาง n หนวย
       รูปสี่เหลี่ยมผืนผามีพื้นที่เปนสองเทาของรูปซาย และมีพื้นที่เทากับ n(n + 1) ตารางหนวย
       ดังนัน จึงได n(n + 1) = 2(1 + 2 + 3 + 4 + ... + n)
             ้
                                                    n
                                              =   2∑ i
                                                   i=1
                                        n         n(n + 1)
                                       ∑i =          2
                                       i =1



ตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
1. ลําดับตอไปนี้เปนลําดับลูเขาหรือลูออก
                           2n                                                  1 − n2
    (1) an =                                      (2)         an =
                         5n − 3                                               2 + 3n 2
                                                                                         n
                         n2 − n + 7                                               ⎛9⎞
    (3) an =                                      (4)         an =            1+ ⎜ ⎟
                          2n 3 + n 2                                              ⎝ 10 ⎠
                                   n
                           ⎛ 1⎞
    (5) an =             2−⎜− ⎟                   (6)         an = 1 + (–1)n
                           ⎝ 2⎠
2. จงตัดสินวาลําดับตอไปนี้เปนลําดับลูเขาหรือลูออก โดยพิจารณาคาของพจนตาง ๆ ในลําดับ
   โดยตรง หรือใชเครื่องคํานวณชวยเขียนกราฟของลําดับ หรือใชทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมต     ิ
                     n−2                                                              1
    (1) an =                                      (2)         an =        (−1) n +1
                     n + 13                                                           n
3. เขียน 0.249 ใหอยูในรูปเศษสวน
4. จงหาคา
           ∞                                                  ∞
    (1) ∑ 2                                       (2)     ∑ 4k
                                                                      1
          3
          n =1
                 n
                                                          k =1
                                                                      2
                                                                          −1
           ∞ 2n + 7 n                                      ∞
                                                                  ⎛       6           6      ⎞
    (3)    ∑             n
                                                  (4)     ∑ ⎜ 4k − 1 − 4k + 3 ⎟
          n =0       9                                      ⎝
                                                          k =1                ⎠
              1    1     1               1
5. อนุกรม        +     +      + ... +          + ...              เปนอนุกรมลูเขาหรือลูออก
             1⋅ 5 2 ⋅ 6 3 ⋅ 7         n(n + 4)
6. การเลนบันจีจัมป (bungee jump) เปนกิจกรรมทาทายที่ผูเลนกระโดดลงมาจากที่สงโดยมีปลาย
                                                                                       ู
   เชือกดานหนึ่งผูกติดลําตัวหรือหัวเขาของผูเลน ปลายเชือกอีกดานหนึ่งผูกติดไวกบฐานกระโดด
                                                                                     ั
   ชายคนหนึงใชเชือกยาว 250 ฟุต กระโดดบันจีจัมปจากฐานกระโดด และพบวาหลังจากใน
              ่
   แตละครั้งที่เขาดิ่งลงถึงตําแหนงต่ําสุด เชือกที่มีความยืดหยุนสูงจะดึงตัวเขาใหลอยขึ้นเปน
   ระยะทาง 55% ของระยะทางที่เขาดิ่งลงถึงตําแหนงต่ําสุด จงหาระยะทางที่ชายคนนี้เคลื่อนที่
   ลอยขึ้นและดิ่งลงทั้งหมด
15

เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
                 2n                                     2n                               2
1. (1)    lim
         n →∞ 5n − 3
                             =            lim
                                       n →∞ ⎛
                                                                       =       lim
                                                                              n →∞           3
                                                         3⎞
                                                    n⎜5 − ⎟                          5−
                                                     ⎝   n⎠                                  n
                                                          ⎛    3⎞
         เนื่องจาก    lim 2
                      n →∞
                                 = 2 และ              lim ⎜ 5 − ⎟
                                                     n →∞ ⎝
                                                                            = 5
                                                               n⎠
                                      2                                    lim 2                     2
         จะได               lim
                          n →∞            3
                                                     =                 n →∞                  =
                                    5−                               ⎛   3⎞                          5
                                                                  lim 5 − ⎟
                                          n                       n →∞ ⎜
                                                                       ⎝ n⎠
                                    2n                                               2n                  2
         ดังนั้น ลําดับ   an =                  เปนลําดับลูเขา และ          lim
                                                                               n →∞ 5n − 3
                                                                                                 =
                                   5n − 3                                                                5
                                           ⎛ 1      ⎞               1
                                       n 2 ⎜ 2 − 1⎟                    −1
                1− n  2
                                           ⎝n       ⎠ = lim n 2
   (2)     lim
          n →∞ 2 + 3n 2
                          = nlim →∞ 2 ⎛ 2                     n →∞ 2
                                                    ⎞                  +3
                                      n ⎜ 2 + 3⎟
                                           ⎝n       ⎠              n2

         เนื่องจาก nlim ⎛ 12 − 1⎞ = –1 และ nlim ⎛ 22 + 3 ⎞ = 3
                       →∞ ⎜ n       ⎟                    →∞ ⎜ n       ⎟
                           ⎝        ⎠                          ⎝      ⎠
                             1                        ⎛ 1      ⎞
                               −1               lim         − 1⎟
                                               n →∞ ⎜ n 2
         จะได nlim 2 →∞
                            n2         =              ⎝        ⎠    = −1
                               +3                     ⎛ 2      ⎞          3
                                                lim        + 3⎟
                           n2                  n →∞ ⎜ n 2
                                                      ⎝        ⎠
                               1 − n2
                                           เปนลําดับลูเขา และ nlim 1 − n 2
                                                                            2
                                                                                                                 1
         ดังนั้น ลําดับ a n =                                      →∞ 2 + 3n
                                                                                                     =       −
                               2 + 3n 2                                                                          3
                                           ⎛1 1       7 ⎞             1 1     7
                                        n3 ⎜ − 2 + 3 ⎟                  − 2+ 3
                n −n+7
                 2
                                             n n     n ⎠
   (3)     lim
          n →∞ 2n 2 + n 2
                              = nlim ⎝
                                    →∞
                                                            = nlim n n 1 n
                                                                 →∞
                                              3⎛   1⎞
                                            n ⎜2+ ⎟                      2+
                                               ⎝   n⎠                       n

         เนื่องจาก nlim ⎛ 1 − 13 + 73 ⎞ = 0 และ nlim ⎛ 2 + 1 ⎞ = 2
                       →∞ ⎜ n n          ⎟                →∞ ⎜    ⎟
                           ⎝          n ⎠                    ⎝   n⎠
                           1 1       7
                             − 2+ 3
         จะได nlim n n 1 n = 0 = 0
                      →∞
                              2+                 2
                                  n
         ดังนั้น ลําดับ a n = 2 2 เปนลําดับลูเขา และ nlim n − n + 27 = 0
                              n2 − n + 7                           2


                               2n + n                          →∞ 2n 3 + n
                                                                   n
                                                          ⎛ 9⎞
   (4) เนื่องจาก       lim 1
                      n →∞
                                 = 1 และ              lim
                                                     n →∞ ⎜ 10 ⎟
                                                                       =0
                                                          ⎝ ⎠
                           ⎛ ⎛ 9 ⎞n ⎞                                 ⎛9⎞
                                                                                     n

         จะได         lim ⎜ 1 + ⎜ ⎟ ⎟
                      n →∞ ⎜ ⎝ 10 ⎠ ⎟
                                                    =     lim 1 + lim ⎜ ⎟
                                                         n →∞    n →∞ ⎝ 10 ⎠
                           ⎝         ⎠
                                                    = 1+0
                                      ⎛9⎞
                                                n
                                                                                        ⎛ ⎛ 9 ⎞n ⎞
         ดังนั้น ลําดับ an =       1+ ⎜ ⎟            เปนลําดับลูเขา และ          lim ⎜ 1 +    ⎟
                                                                                   n →∞ ⎜ ⎜ 10 ⎟ ⎟
                                                                                                             =1
                                      ⎝ 10 ⎠                                            ⎝ ⎝ ⎠ ⎠
16
                                                          n
                                                ⎛ 1⎞
   (5) เนื่องจาก      lim 2
                     n →∞
                              = 2 และ       lim −
                                           n →∞ ⎜ 2 ⎟
                                                               =0
                                                ⎝   ⎠
                          ⎛     ⎛ 1⎞ ⎞
                                     n
                                                                 ⎛ 1⎞
                                                                            n

         จะได        lim ⎜ 2 − ⎜ − ⎟ ⎟
                     n →∞ ⎜
                                            =        lim 2 − lim ⎜ − ⎟
                          ⎝     ⎝ 2⎠ ⎟ ⎠
                                                    n →∞    n →∞ ⎝ 2 ⎠

                                            = 2–0                   =       2
                            ⎛ 1⎞
                                   n
                                                                         ⎛     ⎛ 1⎞ ⎞
                                                                                    n

         ดังนั้น an =     2−⎜− ⎟       เปนลําดับลูเขา และ         lim ⎜ 2 − ⎜ − ⎟ ⎟
                                                                    n →∞ ⎜
                                                                                          = 2
                            ⎝ 2⎠                                         ⎝     ⎝ 2⎠ ⎟ ⎠

   (6) ลําดับนี้คือ 0, 2, 0, 2, ... ซึ่งไมมีลิมิต ดังนั้น ลําดับนี้เปนลําดับลูออก

2. (1) พิจารณาคาของ an โดยตรง เมื่อ n มีคามากขึ้น n – 2 และ n +13 มีคาใกลเคียงกัน
                                       n−2
         มาก ลิมิตของลําดับ an =                จึงเทากับ 1
                                       n + 13
         ใชทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิตเพือสนับสนุนการพิจารณาขางตนดังนี้
                                    ่
                                         ⎛ 2⎞                      2
                                       n ⎜1 − ⎟                1−
                 n−2                     ⎝ n⎠
           lim
          n →∞ n + 13
                            = nlim  →∞ ⎛ 13 ⎞
                                                        = nlim 13
                                                            →∞
                                                                   n
                                      n ⎜1 + ⎟                 1+
                                        ⎝      n⎠                  n

         เนื่องจาก nlim ⎛1 − 2 ⎞ = 1 และ nlim ⎛1 + 13 ⎞ = 1
                       →∞ ⎜       ⎟              →∞ ⎜       ⎟
                           ⎝ n⎠                       ⎝   n⎠
                            2                   ⎛ 2⎞
                        1−                  lim ⎜1 − ⎟
                                           n →∞ ⎝     n⎠
         จะได nlim 13 =
                    →∞
                            n
                        1+                      ⎛ 13 ⎞
                                           lim 1 + ⎟
                            n             n →∞ ⎜⎝     n⎠
                                          1
                                    =              =      1
                                          1
         ดังนั้น ลําดับ a n = n − 2 เปนลําดับลูเขา และ nlim n − 2
                                                            →∞ n + 13
                                                                                  =3
                              n + 13

                                                                1                   1 1   1 1
   (2) คํานวณหาแตละพจนของลําดับ an =              (−1) n +1       ไดลําดับ   1, − , , − , , ...
                                                                n                   2 3   4 5
        จากนั้นพิจารณาคาของ an โดยตรง หรือเขียนกราฟของลําดับ an โดยใชโปรแกรม
        ประเภทตาราง เชน Microsoft Excel มาชวย จะไดกราฟดังรูป
                     an
                      1
                    0.8
                    0.6
                    0.4
                    0.2
                      0
                                   2            4          6            8         10
                                                                                            n
                   -0.2
                   -0.4
17

                      จากกราฟ จะเห็นวา an จะเขาใกล 0 เมื่อ n มีคามากขึ้นโดยไมมีที่สนสุด
                                                                                        ิ้
                      ดังนั้น ลําดับ an =                  (−1) n +1
                                                                            1
                                                                                    เปนลําดับลูเขา และ n →∞ ⎛ (−1)n +1 1 ⎞ = 0
                                                                                                          lim ⎜             ⎟
                                                                            n                                 ⎝         n⎠

3.   0.249            =       0.24999...
                      =       0.24 + 0.009 + 0.0009 + 0.00009 + ...
                                           9     9   9
                      =       0.24 +         3
                                               + 4 + 5 + ...
                                          10 10 10
      9     9   9                                                            9
        3
          + 4 + 5 + ...                       เปนอนุกรมเรขาคณิตที่มี a1 =     3
                                                                                   และ r = 1
     10 10 10                                                               10              10
                                           1                        9     9 9
     เนื่องจาก            r       =             <1          อนุกรม 3 + 4 + 5 + ... เปนอนุกรมลูเขา
                                          10                       10 10 10
                                                               9        9
                                           a1                 103     103 =      1
     และมีผลบวกเทากับ                                 =         1
                                                                   = 9              = 0.01
                                          1− r               1−               100
                                                                10     10
                                                                      1
     ดังนั้น     0.249        = 0.24 + 0.01                 = 0.25 =
                                                                      4
               ∞
4. (1) ∑ 2 =          n
                                   2 2 2            2
                                    + 2 + 3 + ... + n + ...
         3     n =1                3 3 3           3
                                                                        2                      1
           เปนอนุกรมเรขาคณิตที่มี a1 =                                         และ r =
                                                                        3                      3
                                                   1                1
           เนื่องจาก           r          =                 =           < 1 อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูเขา
                                                   3                3
                                                                            2
                                                    a1
           และมีผลบวกเทากับ                                    =           3
                                                                                1
                                                                                         = 1
                                                   1− r                 1−
                                                                                3
                              ∞
           ดังนั้น ∑ 2 = 1            n
                     3    n =1
                                      n
     (2) ให Sn = ∑ 1
                   4k − 1          k =1
                                               2


                                      1                                    1
           เนื่องจาก                                       =
                               4k − 1 2
                                                                        (2k) 2 − 1
                                                                                1
                                                           =
                                                                        (2k − 1)(2k + 1)
                                                           n ⎛1
                                                                ⎛               1          1       ⎞⎞
           จะได Sn                       =            ∑ ⎜ 2 ⎜ 2k − 1 − 2k + 1 ⎟ ⎟
                                                       k =1⎝ ⎝                 ⎠                    ⎠
                                                       1 n          ⎛       1             1    ⎞
                                          =              ∑ ⎝ 2k − 1 − 2k + 1 ⎠
                                                           ⎜                 ⎟
                                                       2    k =1
                                                       1 ⎛⎛ 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞           ⎛ 1        1 ⎞⎞
                                          =              ⎜ ⎜1 − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ... + ⎜       −       ⎟⎟
                                                       2 ⎝⎝ 3 ⎠ ⎝ 3 5 ⎠ ⎝ 5 7 ⎠           ⎝ 2n − 1 2n + 1 ⎠ ⎠
18

                                           1⎛       1 ⎞
                                 =           ⎜1 −      ⎟
                                           2 ⎝ 2n + 1 ⎠
                                                 1⎛      1 ⎞                                 1
          lim Sn
         n →∞
                                 =          lim ⎜ 1 −
                                           n →∞ 2 ⎝          ⎟                          =
                                                      2n + 1 ⎠                               2
                   ∞
         ดังนั้น ∑ 1                       =        1
                  4k − 1
                k =1
                             2
                                                    2

          ∞ 2n + 7 n                            ∞ 2n                   ∞       n
   (3)   ∑                       =             ∑                    + ∑7
         n =0   9n                             n =0 9
                                                            n
                                                                       9
                                                                      n =0
                                                                               n


                                                ∞ ⎛ 2 ⎞n                  ∞ ⎛ 7 ⎞n
                                 =             ∑⎜               ⎟    + ∑⎜ ⎟
                                               n =0 ⎝ 9 ⎠               ⎝9⎠
                                                                          n =0
                                                   1                  1
                                 =                     2
                                                                +         7
                                               1−                    1−
                                                       9               9
                                               9           9         18 + 63           81
                                 =                  +           =                  =
                                               7 2                        14           14
          ∞ 2n + 7 n                           81
         ∑                       =
         n =0   9n                             14


   (4) ให Sn = ∑ ⎛ 6 − 6 ⎞
                        n

                  ⎜               ⎟
                  ⎝ 4k − 1 4k + 3 ⎠
                       k =1
                                                n
                                                       ⎛        6              6   ⎞
         จะได Sn                =             ∑ ⎝ 4k − 1 − 4k + 3 ⎠
                                                 ⎜                 ⎟
                                               k =1
                                               ⎛ 6⎞ ⎛6 6 ⎞ ⎛ 6 6 ⎞             ⎛ 6        6 ⎞
                                 =             ⎜ 2 − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ... + ⎜       −       ⎟
                                               ⎝ 7 ⎠ ⎝ 7 11 ⎠ ⎝ 11 15 ⎠        ⎝ 4n − 1 4n + 3 ⎠
                                                            6
                                 =             2−
                                   4n + 3
                                      ⎛     6 ⎞
          lim S
         n →∞ n
                        =       lim 2 −
                               n →∞ ⎜            ⎟                                     = 2
                                      ⎝   4n + 3 ⎠
                  ∞
         ดังนั้น ∑ ⎛ 6 − 6 ⎞ = 2
                     ⎜               ⎟
                 k =1⎝ 4k − 1 4k + 3 ⎠

                1                    1⎛1  1 ⎞
5. พิจารณา                       =    ⎜ −   ⎟
             k(k + 4)                4⎝k k+4⎠
                            1        1             1                      1
   ดังนั้น Sn =                  +         +               + ... +
                        1⋅ 5         2⋅6       3⋅ 7                  n(n + 4)
                            1 ⎛⎛ 1⎞ ⎛1 1⎞ ⎛1 1⎞ ⎛1 1⎞ ⎛1 1⎞ ⎛1 1 ⎞
                =          ⎜ ⎜1 − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ +
                         4 ⎝ ⎝ 5 ⎠ ⎝ 2 6 ⎠ ⎝ 3 7 ⎠ ⎝ 4 8 ⎠ ⎝ 5 9 ⎠ ⎝ 6 10 ⎠
                        ⎛1 1 ⎞         ⎛1    1 ⎞⎞
                        ⎜ − ⎟ + ... + ⎜ −        ⎟⎟
                        ⎝ 7 11 ⎠       ⎝ n n + 4 ⎠⎠
                        1⎛ 1 1 1⎞ 1⎛              1   1   1     1 ⎞
                =         ⎜1 + + + ⎟ + ⎜ −          −   −     −   ⎟
                        4 ⎝ 2 3 4 ⎠ 4 ⎝ n +1 n + 2 n + 3 n + 4 ⎠
19

                                          ⎛1⎛ 1 1 1⎞ 1⎛ 1        1     1     1 ⎞⎞
   เนื่องจาก     lim Sn
                n →∞
                               =     lim ⎜ ⎜ 1 + + + ⎟ + ⎜ −  −     −     −      ⎟⎟
                                          ⎝ ⎝ 2 3 4 ⎠ 4 ⎝ n +1 n + 2 n + 3 n + 4 ⎠⎠
                                     n →∞ 4

                                     1⎛ 1 1 1⎞
                               =        ⎜1 + + + ⎟
                                     4⎝ 2 3 4⎠
                                     25
                               =
                                     48
                     1         1          1                  1                                                      25
   ดังนั้น อนุกรม          +         +          + ... +               + ...   เปนอนุกรมลูเขา และมีผลบวกเทากับ
                    1⋅ 5       2⋅6       3⋅ 7             n(n + 4)                                                  48

6. ระยะทางทีชายคนนี้เริ่มกระโดดจนถึงตําแหนงต่ําสุดมีระยะทาง 250 ฟุต
               ่
   ชายคนนี้จะลอยขึ้นสูงเปนระยะทาง 55% ของระยะทางที่เขาดิ่งลงถึงตําแหนงต่ําสุด
   มีคาเทากับ 11 ของระยะทางที่เขาดิ่งลงถึงตําแหนงต่ําสุด
                 20
   ระยะทางที่ชายคนนี้ลอยขึ้นครั้งที่ 1 แลวดิ่งลงถึงตําแหนงต่ําสุดมีระยะทาง

                 11           11           11
       คือ 250 ⎛ 20 ⎞ + 250 ⎛ 20 ⎞ = 500 ⎛ 20 ⎞ ฟุต
               ⎜ ⎟          ⎜ ⎟          ⎜ ⎟
               ⎝ ⎠          ⎝ ⎠          ⎝ ⎠

   ระยะทางที่ชายคนนี้ลอยขึ้นครั้งที่ 2 แลวดิ่งลงถึงตําแหนงต่ําสุดมีระยะทางคือ
                     11 11              11 11              11 2
               250 ⎛ 20 ⎞⎛ 20 ⎞ + 250 ⎛ 20 ⎞⎛ 20 ⎞ = 500 ⎛ 20 ⎞
                   ⎜ ⎟⎜ ⎟             ⎜ ⎟⎜ ⎟             ⎜ ⎟                                 ฟุต
                   ⎝ ⎠⎝ ⎠             ⎝ ⎠⎝ ⎠             ⎝ ⎠

   ระยะทางที่ชายคนนี้ลอยขึ้นแลวดิ่งลงเปนเชนนีไปเรื่อย ๆ
                                                ้
   จะไดระยะทางที่ชายคนนี้เคลื่อนที่ลอยขึ้นและดิ่งลงทั้งหมดเทากับ
                                                 2                    3
                  ⎛ 11 ⎞    ⎛ 11 ⎞    ⎛ 11 ⎞
        250 + 500 ⎜ ⎟ + 500 ⎜ ⎟ + 500 ⎜ ⎟ + ...
                  ⎝ 20 ⎠    ⎝ 20 ⎠    ⎝ 20 ⎠
                                                                                        ⎛ 11 ⎛ 11 ⎞2 ⎛ 11 ⎞3    ⎞
                                                                      =       250 + 500 ⎜     + ⎜ ⎟ + ⎜ ⎟ + ... ⎟
                                                                                        ⎜ 20 ⎝ 20 ⎠ ⎝ 20 ⎠      ⎟
                                                                                        ⎝                       ⎠
                                                                                         ⎛ 11 ⎞
                                                                                         ⎜        ⎟
                                                                      =       250 + 500 ⎜ 20 ⎟
                                                                                               11
                                                                                         ⎜1− ⎟
                                                                                         ⎜        ⎟
                                                                                         ⎝ 20 ⎠
                                                                                         ⎛ 11 ⎞
                                                                      =       250 + 500 ⎜ ⎟
                                                                                         ⎝9⎠
                                                 = 861.11
       ดังนั้น ในการกระโดดบันจีจัมปครั้งนี้ ชายคนนี้เคลื่อนที่ลอยขึ้นและดิ่งลงเปนระยะทาง
       ทั้งหมด 861.11 ฟุต
20

                                   เฉลยแบบฝกหัด 1.1 ก
1. (1) a2 =       a1 + 2 – 1 = 0 + 2 – 1 = 1
       a3 =       a2 + 3 – 1 = 1 + 3 – 1 = 3
       a4 =       a3 + 4 – 1 = 3 + 4 – 1 = 6
       a5 =       a4 + 5 – 1 = 6 + 5 – 1 = 10
       ดังนั้น   5 พจนแรกของลําดับนี้คือ 0, 1, 3, 6, 10
   (2) a2 =       1 + 0.05a1 = 1 + 0.05(1000)           = 51
       a3 =       1 + 0.05a2 = 1 + 0.05(51)             = 3.55
       a4 =       1 + 0.05a3 = 1 + 0.05(3.55)           = 1.1775
       a5 =       1 + 0.05a4 = 1 + 0.05(1.1775)         = 1.058875
       ดังนั้น   5 พจนแรกของลําดับนี้คือ 1000, 51, 3.55, 1.1775, 1.058875
   (3) a2 =          6a1 =           6(2) =            12
       a3 =          6a2 =           6(12) =           72
       a4 =          6a3 =           6(72) =           432
       a5 =          6a4 =           6(432) =          2592
       ดังนั้น 5 พจนแรกของลําดับนี้คือ 2, 12, 72, 432, 2592
   (4) a3 =          a2 + 2a1        =         2 + 2(1)         =       4
       a4 =          a3 + 2a2        =         4 + 2(2)         =       8
       a5 =          a4 + 2a3        =         8 + 2(4)         =       16
       ดังนั้น 5 พจนแรกของลําดับนี้คือ 1, 2, 4, 8, 16
   (5) a3 =          a2 + a1         =         0+2              =       2
       a4 =          a3 + a2         =         2+0              =       2
       a5 =          a4 + a3         =         2+2              =       4
       ดังนั้น 5 พจนแรกของลําดับนี้คือ 2, 0, 2, 2, 4
2. (1) เปนลําดับเลขคณิต มีผลตางรวมเปน 2
   (2) เปนลําดับเรขาคณิต มีอัตราสวนรวมเปน –1
   (3) เปนลําดับเลขคณิต มีผลตางรวมเปน –2
                                                   1
   (4) เปนลําดับเรขาคณิต มีอัตราสวนรวมเปน
                                                   3
   (5) ไมเปนทั้งลําดับเลขคณิตและลําดับเรขาคณิต
21

3. (1) d = 4 – (–2) = 6
       เนื่องจาก    an         =         a1 + (n – 1)d
              ∴ an             =         –2 + (n – 1)6
                               =         6n – 8
        พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an    = 6n – 8
                1 ⎛ 1⎞              1
   (2) d =       −⎜− ⎟      =
                6 ⎝ 6⎠              3
        เนื่องจาก     an        =        a1 + (n – 1)d
                                            1         1
               ∴      an        =         − + (n − 1)
                                            6         3
                                            3 n
                                =         − +
                                            6 3
                                          2n − 3
                                =
                                             6
                                           2n − 3
        พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an =
                                              6

                 1              5
   (3) d =     13 − 11     =
                 2              2
        เนื่องจาก     an        =        a1 + (n – 1)d
                                                        5
               ∴      an        =        11 + (n − 1)
                                                        2
                                          17 5n
                                =            +
                                           2    2
                                          5n + 17
                                =
                                             2
                                           5n + 17
        พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an =
                                              2

   (4) d = 22.54 – 19.74 = 2.8
       เนื่องจาก    an        =          a1 + (n – 1)d
              ∴ an            =          19.74 + (n – 1)(2.8)
                              =          2.8n + 16.94
       พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an =    2.8n + 16.94
   (5) d = (x + 2) – x = 2
       เนื่องจาก     an       =          a1 + (n – 1)d
              ∴ an            =          x + (n – 1)2
                              =          x + 2n – 2
       พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an =    x – 2 + 2n
22

    (6) d = (2a + 4b) – (3a + 2b) = –a + 2b
        เนื่องจาก     an       =       a1 + (n – 1)d
               ∴ an            =       (3a + 2b) + (n – 1)(–a + 2b)
                               =       3a + 2b – na + 2nb + a – 2b
                               =       4a – na + 2nb
        พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = 4a – na + 2nb

4. จะได         5p – p =        6p + 9 – 5p
                 4p      =       p+9
                 3p      =       9
                 p       =       3
    จะได สามพจนแรกของลําดับนี้คือ 3, 15, 27 ลําดับนี้มีผลตางรวมเปน 12
    ดังนั้น สี่พจนตอไปของลําดับนี้คือ 39, 51, 63, 75

5. ใหลําดับนี้มีสามพจนแรกคือ a – d, a, a + d
   จะได         a–d+a+a+d                 =       12              ---------- (1)
                        3   3          3
   และ           (a – d) + a + (a + d) =           408             ---------- (2)
   จาก (1)                        3a       =       12
                                  a        =       4
   จาก (2), a3 – 3a2d + 3ad2 – d3 + a3 + a3 + 3a2d + 3ad2 + d3 = 408
                          3a3 + 6ad2       =       408
                              3      2
                          3(4) + 24d       =       408
                                 24d2 =            408 – 192
                                                     216
                                      d2   =
                                                      24
                                          =        9
                                    d =            3 หรือ –3
    ถา d = 3 แลว จะไดลําดับนี้คือ 1, 4, 7, 10, 13, ...
    ถา d = –3 แลว จะไดลําดับนี้คือ 7, 4, 1, –2, –5, ...
                          −6
6. (1) r         =                =        2
                          −3
           เนื่องจาก    an        =       a1rn–1
                  ∴ an            =       (–3)2n–1
           พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = (–3)2n–1
23
                         −5              1
(2) r     =                   =      −
                         10              2
    เนื่องจาก         an      =      a1rn–1
                                                      n −1
                                        ⎛ 1⎞
          ∴           an      =      10 ⎜ − ⎟
                                        ⎝ 2⎠
                                                      n −1
                                        ⎛ 1⎞
    พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an =   10 ⎜ − ⎟
                                        ⎝ 2⎠

                         5
(3) r     =              4
                         1
                              =      5
                         4
    เนื่องจาก         an      =      a1rn–1
                                     ⎛ 1 ⎞ n −1
          ∴           an      =      ⎜ ⎟5
                                     ⎝4⎠
                                     ⎛ 1 ⎞ n −1
    พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an =   ⎜ ⎟5
                                     ⎝4⎠

                 5
(4) r     =      3
                 5
                      =       2
                 6
    เนื่องจาก         an      =      a1rn–1
                                     ⎛ 5 ⎞ n −1
          ∴           an      =      ⎜ ⎟ (2)
                                     ⎝6⎠
                                     ⎛ 5 ⎞ n −1
    พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an =   ⎜ ⎟ (2)
                                     ⎝6⎠

                 1
                                         3
(5) r     =     12
                  2
                              =      −
                −                        8
                  9
    เนื่องจาก         an      =      a1rn–1
                                                             n −1
                                     ⎛ 2 ⎞⎛ 3 ⎞
          ∴           an      =      ⎜ − ⎟⎜ − ⎟
                                     ⎝ 9 ⎠⎝ 8 ⎠
                                                             n −1
                                     ⎛ 2 ⎞⎛ 3 ⎞
    พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an =   ⎜ − ⎟⎜ − ⎟
                                     ⎝ 9 ⎠⎝ 8 ⎠

                a 2 b2               a
(6) r     =                   =
                 ab3                 b
    เนื่องจาก         an      =      a1rn–1
                                                        n −1
                                           ⎛a⎞
          ∴           an      =              3
                                     (ab ) ⎜ ⎟
                                           ⎝b⎠
24

                                                            an
                                             =
                                                           b4− n
                                                            an
             พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an =
                                                           b4− n


7. (1) ให a1 = –15 และ a5 = –1215
       จะได a5 = a 1r4 = –1215
                  –15r4 = –1215
                     r4 = 81
                     r = –3 หรือ r = 3
       ดังนั้น สามพจนที่อยูระหวาง –15 กับ –1215 คือ 45, –135, 405 หรือ –45, –135, –405
                        4                        27
   (2) ให a1 =              และ a5 =
                        3                         64
                                                 27
             จะได a5 = a 1r4 =
                                             64
                             4 4             27
                               r         =
                             3               64
                                 4            81
                                 r =
                                             256
                                             3                               3
                                 r =               หรือ r =             −
                                             4                               4
                                                       4           27                3 9               3
             ดังนั้น 3 พจนที่อยูระหวาง                  กับ              คือ 1,    ,     หรือ –1,     , −9
                                                       3           64                4 16              4    16


8. ให a เปนจํานวนทีนําไปบวก
                      ่
   จะได       3 + a, 20 + a, 105 + a เปนลําดับเรขาคณิต
                    20 + a                                 105 + a
   ดังนั้น                                   =
                    3+ a                                    20 + a
                   400 + 40a + a2 =                        315 + 108a + a2
                           68a =                           85
                                                           85                        5
                             a               =                          =
                                                           68                        4
                                     5
   จํานวนที่นําไปบวกคือ
                                     4
25

                                                        เฉลยแบบฝกหัด 1.1 ข

1. (1) ลูออก

               n           1           2       3         4        5        6       7            8        9       10
               an          1           0       –1        0        1        0       –1           0        1        0
                  an
         1.5

              1

         0.5

              0                                                                                                  n
                       1       2           3        4        5    6        7       8        9       10
        -0.5

          -1

        -1.5




(2) ลูเขา

          n            1           2          3              4     5           6      7             8           9     10
          an           1           0       –0.333            0    0.2          0   –0.142           0        –0.111   0

                  an
        1.2

          1

        0.8

        0.6

        0.4

        0.2

          0                                                                                                  n
       -0.2 0                  5               10            15         20             25           30

       -0.4
26

(3) ลูเขา

        n              1    2     3     4         5     6     7     8    9 10
        an            2.5 1.666 1.25    1       0.833 0.714 0.625 0.555 0.5 0.454

                  an

        2.5

              2

         1.5

              1

         0.5

              0                                                           n
                  0                10                20            30



(4) ลูออก

        n              1   2     3      4        5     6      7    8    9    10
        an             2   2   2.666    4       6.4 10.666 18.285 32 56.888 102.4


                      an
              60

              50

              40

              30

              20

              10

                  0                                                           n
                      0        2            4        6        8
27

(5) ลูออก

        n           1      2    3    4    5        6    7        8    9    10
        an          0      4    0    8    0        12   0        16   0    20


                    an
              40
              35
              30
              25
              20
              15
              10
               5
               0                                                                n
                    0            5            10            15            20




(6) ลูเขา

       n 1                 2      3     4     5     6     7     8     9     10
       an 3.5            3.75   3.875 3.937 3.968 3.984 3.992 3.996 3.998 3.999


                    an
              4.1

               4

              3.9

              3.8

              3.7

              3.6

              3.5

              3.4                                                                   n
                    0            2            4             6              8
28

(7) ลูเขา

  n 1                 2    3        4          5      6         7       8       9         10
  an 4                2    1       0.5       0.25   0.125     0.0625 0.03125 0.015625 0.0078125

                  an
              9
              8
              7
              6
              5
              4
              3
              2
              1
              0                                                                       n
                  0                    2            4             6           8




(8) ลูเขา

       n    1                    2           3     4     5     6     7     8     9     10
       an 0.666                0.816       0.873 0.903 0.922 0.934 0.943 0.950 0.955 0.960


                      an
              1.2

                  1

              0.8

              0.6

              0.4

              0.2

                  0                                                               n
                      0                5            10           15         20
29

(9) ลูออก

  n     1     2      3     4      5     6      7     8      9      10
  an –1.333 1.777 –2.370 3.160 –4.213 5.618 –7.491 9.988 –13.318 17.757


                an
         20

         15

         10

          5

          0                                                                      n
                0           2        4       6            8       10    12
         -5

        -10

        -15




(10) ลูเขา

         .n           1           2    3    4     5     6     7     8     9     10
         an          0.25       0.333 0.3 0.222 0.147 0.090 0.053 0.031 0.017 0.009



                     an
          0.35

               0.3

          0.25

               0.2

          0.15

               0.1

          0.05

                0                                                            n
                     0          2        4       6            8    10    12
30

2. ไมเห็นดวย เพราะเปนการสรุปที่ไมถูกตอง ถา x n และ                                   yn   เปนลําดับ การที่จะกลาววา
        ⎛x ⎞                  lim x n
    lim ⎜ n ⎟
    n →∞ y
                      =       n →∞
                                             ไดนน ขอตกลงเบืองตนเกียวกับ
                                                 ั้          ้       ่                      lim x n   และ   lim y n   ตองเปน
        ⎝ n⎠                  lim y n                                                       n →∞            n →∞
                              n →∞

   จริงกอน ขอกําหนดเบื้องตนนั้นคือ                         lim x n
                                                              n →∞
                                                                           และ   lim y n
                                                                                 n →∞
                                                                                           ตองหาคาได
   ในกรณีน้ี ตองจัดรูป an และ bn กอนการใชทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิต ดังนี้
                                                               1                               1
                                                     n 4 (2 −    )                         2−
         2n 4 − n 2                                           n2                              n2
   จาก                                   =                                       =
         3n 4 + 13                                   n 4 (3 +
                                                              13
                                                                 )                         3+
                                                                                              13
                                                              n4                              n4
                                         1
   และเนื่องจาก           lim(2 −           )    = 2 และ lim(3 + 13 ) = 3
                          n →∞           n2                         n →∞n4
                                                                          1
                                                                      2−
   ดังนั้น            lim
                           2n 4 − n 2
                                                     =            lim    n2
                      n →∞ 3n 4 + 13                             n →∞    13
                                                                      3+
                                                                         n4

                                                                         1
                                                                 lim(2 −   )
                                                     =           n →∞   n2
                                                                        13
                                                                 lim(3 + 4 )
                                                                 n →∞   n

                                                                 2
                                                     =
                                                                 3


                     8                               8      1
3. (1)       lim                     =                 lim
             n →∞   3n                               3 n →∞ n

                                                     8
                                     =                 (0)
                                                     3
                                     =               0
                                                 8
             ดังนั้น ลําดับ an =                         เปนลําดับลูเขา
                                                3n
                                                     n
                         8n                  ⎛8⎞
   (2) จาก                           =       ⎜ ⎟
                         7n                  ⎝7⎠
                                                                n
                              8n                         ⎛8⎞
             จะได       lim
                         n →∞ 7 n
                                         =           lim ⎜ ⎟
                                                     n →∞ 7
                                                         ⎝ ⎠
                          n
                 ⎛8⎞                                                8
             lim ⎜ ⎟             หาคาไมได เพราะ                         >1
             n →∞ 7
                 ⎝ ⎠                                                7
                                                8n
             ดังนั้น ลําดับ an =                          เปนลําดับลูออก
                                                7n

   (3)       (−1) n  = 1 เมื่อ n เปนจํานวนคู และ (−1) = –1 เมื่อ n เปนจํานวนคี่
                                                                                 n



             ดังนั้น ลําดับ an = (–1)n ไมมีลิมิต และเปนลําดับลูออก
31
                  n                                n
            ⎛1⎞                         ⎛1⎞
(4)   lim 3 ⎜ ⎟          =         3lim ⎜ ⎟
      n →∞
            ⎝2⎠                     n →∞ 2
                                        ⎝ ⎠
                         =        3(0)
                         =        0
                                        n
                                  ⎛1⎞
      ดังนั้น ลําดับ an =        3⎜ ⎟        เปนลําดับลูเขา
                                  ⎝2⎠

                                                    1
(5) เนื่องจาก     lim 4      = 4 และ         lim           =0
                  n →∞                       n →∞   n
                    ⎛   1⎞                                           1
      จะได    lim ⎜ 4 + ⎟        =              lim 4 + lim
               n →∞
                    ⎝   n⎠                       n →∞           n →∞ n


                                  =              4+0
                                  =              4
                                       1
      ดังนั้น ลําดับ an =         4+         เปนลําดับลูเขา
                                       n

              6n − 4               6n 4                                                2
(6) จาก                  =           −                          =                1–
               6n                  6n 6n                                              3n
                                                      ⎛ 2 ⎞
      และเนื่องจาก       lim1    = 1 และ         lim ⎜ ⎟ = 0
                                                 n →∞ 3n
                         n →∞
                                                      ⎝ ⎠
                    ⎛ 6n − 4 ⎞                         ⎛    2 ⎞
      จะได    lim ⎜         ⎟    =               lim ⎜1 − ⎟
               n →∞
                    ⎝ 6n ⎠                        n →∞
                                                       ⎝ 3n ⎠
                                                               2
                                  =               lim1 − lim
                                                  n →∞   n →∞ 3n


                                  =              1–0
                                  =              1
                                  6n − 4
      ดังนั้น ลําดับ an =                        เปนลําดับลูเขา
                                   6n

(7) เมื่อ n มีคาเพิ่มขึ้น คาของพจนที่ n ของลําดับนี้จะเพิ่มขึ้น และไมเขาใกลจํานวนใด
    จํานวนหนึ่ง
                                  3n + 5
      ดังนั้น ลําดับ an =                        เปนลําดับลูออก
                                    6

                 n                     n                                 1
(8) จาก                  =                              =
               n +1                ⎛        1⎞
                                                                    1+
                                                                             1
                                 n ⎜1 +      ⎟
                                   ⎝        n⎠                               n
                                                            1
      และเนื่องจาก        lim1    = 1 และ           lim          = 0
                          n →∞                      n →∞    n
                                                      ⎛     ⎞
                   ⎛ n ⎞                              ⎜ 1 ⎟
      จะได    lim ⎜      ⎟       =              lim ⎜      ⎟
                                                      ⎜1+ 1 ⎟
               n →∞ n + 1
                   ⎝      ⎠                      n →∞
                                                      ⎜     ⎟
                                                      ⎝   n⎠
32

                                                         lim1
                                   =                     n →∞
                                                                      1
                                                 lim1 + lim
                                                 n →∞          n →∞   n
                                                  1
                                   =
                                                 1+ 0
                                   =             1
                                   n
     ดังนั้น ลําดับ an =                  เปนลําดับลูเขา
                                 n +1

                          4
(9) เนื่องจาก     lim          = 0 และ nlim 5n             = 0
                  n →∞   n2              →∞ n 2

                          ⎛ 4 + 5n ⎞                                   4          5n
     จะได           lim ⎜      2  ⎟      =                     lim      2
                                                                           + lim 2
                     n →∞
                          ⎝ n ⎠                                 n →∞   n     n →∞ n


                                                 =              0+0
                                                 =              0
                                 4 + 5n
     ดังนั้น ลําดับ an =                    เปนลําดับลูเขา
                                   n2

                                    ⎛ 1⎞                                   1
                                    n⎜2 −⎟                            2−
             2n − 1                 ⎝ n⎠
(10) จาก                  =                               =                n
                                                                           1
             3n + 1                 ⎛ 1⎞                              3+
                                  n ⎜3 + ⎟
                                    ⎝ n⎠                                   n
                              ⎛ 1⎞                                             ⎛     1⎞
     และเนื่องจาก         lim ⎜ 2 − ⎟ = 2
                         n →∞ ⎝
                                                         และ        lim 3 + ⎟
                                                                   n →∞ ⎜
                                                                                          = 3
                                    n⎠                                  ⎝ n⎠
                                                      ⎛   1⎞
                                                 lim ⎜ 2 − ⎟
                      2n − 1                     n →∞
                                                      ⎝   n⎠
     จะได     lim                 =
               n →∞   3n + 1                          ⎛   1⎞
                                                 lim ⎜ 3 + ⎟
                                                 n →∞
                                                      ⎝   n⎠
                                                 2
                                   =
                                                 3
                                 2n − 1
     ดังนั้น ลําดับ an =                   เปนลําดับลูเขา
                                 3n + 1

             3n 2 − 5n
(11) an =                  เปนลําดับลูออก
              7n − 1

              7n 2                        7n 2                             7
(12) จาก                   =                                   =               3
             5n 2 − 3                  ⎛     3 ⎞
                                                                       5−
                                    n2 ⎜ 5 − 2 ⎟
                                       ⎝    n ⎠                                n2
                                                         ⎛     3 ⎞
     และเนื่องจาก        lim 7    = 7 และ            lim ⎜ 5 − 2 ⎟                 = 5
                         n →∞
                                                         ⎝
                                                        n →∞  n ⎠
                     7n 2                        lim 7
     จะได     lim
               n →∞ 5n 2 − 3
                                   =             n →∞

                                               ⎛    3 ⎞
                                          lim ⎜ 5 − 2 ⎟
                                          n →∞
                                               ⎝   n ⎠
33

                                              7
                                     =
                                              5
                                   7n 2
       ดังนั้น ลําดับ an =                    เปนลําดับลูเขา
                                  5n 2 − 3

               4n 2 − 2n + 3                      2 3
(13) จาก                             =        4−    +
                    n2                            n n2
                                                   2                    3
       และเนื่องจาก        lim 4 =       4,   lim     =      0 และ      lim=          0
                           n →∞               n →∞ n                    n2
                                                                        n →∞

                      ⎛ 4n 2 − 2n + 3 ⎞                           ⎛   2 3 ⎞
       จะได     lim ⎜                ⎟           =          lim ⎜ 4 − + 2 ⎟
                 n →∞
                      ⎝      n2       ⎠                      n →∞
                                                                  ⎝   n n ⎠
                                                                              2        3
                                                  =          lim 4 − lim        + lim 2
                                                             n →∞      n →∞   n   n →∞ n


                                                  =          4–0+0
                                                  =          4
                                  4n 2 − 2n + 3
       ดังนั้น ลําดับ an =                             เปนลําดับลูเขา
                                       n2

                                        ⎛    1 ⎞               1
                                    n2 ⎜ 3 − 2 ⎟         3− 2
               3n − 1
                   2
                                        ⎝    n ⎠
(14)   จาก                    =                    = 10       n
              10n − 5n 2              2 ⎛ 10   ⎞              −5
                                    n ⎜ − 5⎟
                                        ⎝n     ⎠           n

       และเนื่องจาก nlim ⎛ 3 − 12 ⎞ = 3 และ nlim ⎛ 10 − 5 ⎞
                            ⎜        ⎟               →∞ ⎜ n       ⎟                = –5
                         →∞
                            ⎝    n ⎠                      ⎝       ⎠
                                                      ⎛      1 ⎞
                                                 lim ⎜ 3 − 2 ⎟
                   ⎛ 3n 2 − 1 ⎞                  n →∞
                                                      ⎝      n ⎠
       จะได nlim ⎜
                →∞ 10n − 5n 2
                                ⎟          =
                   ⎝            ⎠                     ⎛ 10      ⎞
                                                 lim ⎜ − 5 ⎟
                                                 n →∞
                                                      ⎝  n      ⎠
                                                    3
                                           =     −
                                                   5
       ดังนั้น ลําดับ an = 3n − 1 2 เปนลําดับลูเขา
                                  2


                              10n − 5n

                         1
(15) เนื่องจาก      lim    = 0 และ nlim 1 = 0
                                     →∞ n + 1
                    n →∞ n
                       ⎛1     1 ⎞                  1        1
       จะได       lim ⎜ −      ⎟     =       lim − lim
                                                     n →∞ n + 1
                   n →∞ n
                       ⎝    n +1⎠             n →∞ n


                                                  =          0–0
                                                  =          0
                                  1   1
       ดังนั้น ลําดับ an =          −              เปนลําดับลูเขา
                                  n n +1
34
                                                                               n +1
            3n +1                   3n +1                       1⎛ 3⎞
(16) จาก                   =                           =         ⎜ ⎟
            5n + 2                 5 ⋅ 5n +1                    5⎝ 5⎠
                                                                    n +1
                      3n +1                             1⎛ 3⎞
    จะได        lim
                 n →∞ 5n + 2
                                        =          lim ⎜ ⎟
                                                   n →∞ 5 5
                                                         ⎝ ⎠
                                                                    n +1
                                                   1     ⎛3⎞
                                        =            lim ⎜ ⎟
                                                   5 n →∞ 5
                                                         ⎝ ⎠
                                                   1
                                        =            (0)
                                                   5
                                        =          0
                                       n +1
                                   3
    ดังนั้น ลําดับ an =                       เปนลําดับลูเขา
                                   5n + 2

                                                                                          n −1
            2n −1 + 3                     2n −1        3                   1  ⎛2⎞                       1
(17) จาก                       =                    + n+2       =             ⎜ ⎟                 +
                                                                                                       n +1
             3n + 2                      27 ⋅ 3n −1
                                                     3                     27 ⎝ 3 ⎠                   3
                                ⎛ 1 2 n −1 ⎞                    1                          ⎛ 1 ⎞
    และเนื่องจาก            lim ⎜ ⎛ ⎞⎜ ⎟   ⎟           =                   และ         lim ⎜       ⎟          = 0
                           n →∞ ⎜ 27 ⎝ 3 ⎠
                                ⎝
                                           ⎟
                                           ⎠                27                        n →∞ ⎜ 3n +1 ⎟
                                                                                           ⎝       ⎠
                         2n −1 + 3                      ⎛ 1 2 n −1     1 ⎞
    จะได            lim
                     n →∞ 3n + 2
                                        =           lim ⎜ ⎛ ⎞
                                                        ⎜ 27 ⎜ 3 ⎟
                                                                   +       ⎟
                                                                      n +1 ⎟
                                                   n →∞ ⎝ ⎝ ⎠        3     ⎠
                                                                      n −1
                                                   1      ⎛2⎞                                 1
                                        =             lim ⎜ ⎟                  + lim        n +1
                                                   27 n →∞ 3
                                                          ⎝ ⎠                     n →∞    3
                                                   1
                                        =             (0) + 0
                                                   27
                                        =          0
                                       n −1
                                   2       +3
    ดังนั้น ลําดับ an =                          เปนลําดับลูเขา
                                       3n + 2

                                     ⎛          1 ⎞                      1
                                   n ⎜1 −         ⎟                   1−
              n −1                   ⎝           n⎠                       n
(18) จาก                   =                               =             1
              n +1                   ⎛          1 ⎞                   1+
                                   n ⎜1 +         ⎟
                                     ⎝           n⎠                       n
                                    1                                                 1
    และเนื่องจาก           lim(1 −     )        = 1 และ             lim(1 +                )      = 1
                           n →∞      n                              n →∞              n
                                                        ⎛           1 ⎞
                                                   lim ⎜ 1 −          ⎟
                           n −1                    n →∞
                                                        ⎝            n⎠
    จะได      lim                      =
               n →∞        n +1                         ⎛           1 ⎞
                                                   lim 1 +
                                                   n →∞ ⎜             ⎟
                                                        ⎝            n⎠
                                        =          1
                                       n −1
    ดังนั้น ลําดับ an =                          เปนลําดับลูเขา
                                       n +1
35

                                                    1                                  1
                                          n 1−                                1−
              n2 −1                                 n2                                 n2
(19) จาก                     =                                  =
              4n                               4n                                  4
                                      1
     และเนื่องจาก       lim 1 −                = 1 และ              lim 4    = 4
                        n →∞          n2                            n →∞


                                                                    1
                                                           1−
                   n2 −1                                            n2
     จะได    lim                     =             lim
              n →∞ 4n                               n →∞        4
                                                    1      ⎛   1 ⎞
                                      =               lim ⎜1 − 2 ⎟
                                                    4 n →∞ ⎝ n ⎠
                                                    1
                                      =               1
                                                    4
                                                    1
                                      =
                                                    4
                                      n2 −1
     ดังนั้น ลําดับ an =                            เปนลําดับลูเขา
                                      4n


                                                                    1                            1
                                                         n 4−                               4−
                      4n − 1
                         2
                                                                    n2                           n2
(20) จาก                                   =                                   =
               2n + 3 n 3 + 2                        ⎛          2 ⎞                2
                                                    n⎜ 2 + 3 1+ 3 ⎟       2 + 3 1+ 3
                                                     ⎝         n ⎠                n
                            ⎛     1 ⎞                              ⎛            ⎞
     และเนื่องจาก       lim ⎜ 4 − 2 ⎟
                            ⎜                      = 2 และ nlim ⎜ 2 + 3 1 + 23 ⎟ = 3
                        n →∞
                            ⎝    n ⎟⎠
                                                                →∞ ⎜
                                                                   ⎝        n ⎟ ⎠
                                                                                 1
                                                                            4−
                             4n − 1
                                 2
                                                                                 n2
     จะได      lim                                =            lim
                n →∞
                       2n + 3 n 3 + 2                           n →∞                2
                                                                         2 + 3 1+
                                                                                    n3
                                                                       ⎛       1 ⎞
                                                                  lim ⎜ 4 − 2 ⎟
                                                                    n →∞
                                                                       ⎝      n ⎠
                                                   =
                                                                     ⎛          2 ⎞
                                                                lim ⎜ 2 + 3 1 + 3 ⎟
                                                                n →∞
                                                                     ⎝          n ⎠
                                                                2
                                                   =
                                                                3
                                          4n − 1
                                               2
     ดังนั้น ลําดับ an =                                   เปนลําดับลูเขา
                                     2n + 3 n 3 + 2

             ( −1)n
(21) an =              เปนลําดับลูเขา
                n

             8n 2 + 5n + 2
(22) an =                        เปนลําดับลูออก
                3 + 2n
36

4. (1) ไมจริง เชน ลําดับ an = n และ ลําดับ bn = –n เปนลําดับลูออก
        แตลาดับ (an + bn) = n – n = 0 เปนลําดับลูเขา
               ํ
   (2) จริง การพิสูจนโดยขอขัดแยง (proof by contradiction) ทําไดดังนี้
        สิ่งที่กําหนดใหคือ ลําดับ an เปนลําดับลูเขา และ ลําดับ bn เปนลําดับลูออก
        สมมติวา “(an + bn) เปนลําดับลูเขา”
        เนื่องจากลําดับ an และลําดับ (an + bn) เปนลําดับลูเขา จึงไดวา lim a และ
                                                                                                    n →∞
                                                                                                            n


         lim(a n + b n )
         n →∞
                            หาคาได ให         lim a n
                                                 n →∞
                                                            = A และ        lim(a n + b n )
                                                                           n →∞
                                                                                                  =B
         พิจารณา     lim(a n + b n − a n )
                     n →∞
                                                        =      lim b n
                                                               n →∞

         และ         lim(a n + b n − a n )
                     n →∞
                                                        =      lim(a n + b n ) – lim a n
                                                               n →∞                       n →∞

                                               = B–A
         ดังนั้น   lim b n
                   n →∞
                             หาคาได ซึ่งทําให ลําดับ bn เปนลําดับลูเขา
         เกิดขอขัดแยงกับสิ่งทีกําหนดให
                                ่
         จึงสรุปวา ขอความที่สมมติวา “(an + bn) เปนลําดับลูเขา” เปนเท็จ
         นั่นคือ (an + bn) ตองเปนลําดับลูออก
                        r n                                              r n
5. (1)     lim P(1 +      )              =              P lim(1 +          )
           n →∞        12                                   n →∞        12
                                                                                      n
                                        r                                ⎛  r ⎞
          เนื่องจาก               1+      > 1           ดังนั้น     lim ⎜1 + ⎟              หาคาไมได
                                       12                           n →∞
                                                                         ⎝ 12 ⎠
                                             n
                                ⎛   r ⎞
          ดังนั้น an =        P ⎜1 + ⎟             ไมเปนลําดับลูเขา
                                ⎝ 12 ⎠
                                             n
                                ⎛   r ⎞
    (2) จาก an =              P ⎜1 + ⎟
                                ⎝ 12 ⎠
                                                        1.5
          กําหนด              r          =                          =      0.015
                                                        100
                                                             ⎛ 0.015 ⎞
          สิ้นเดือนที่ 1 จะได a1 =                     9000 ⎜1 +    ⎟                =          9011.25
                                                             ⎝    12 ⎠
                                                                                  2
                                                             ⎛ 0.015 ⎞
          สิ้นเดือนที่ 2 จะได a2 =                     9000 ⎜1 +    ⎟                = 9022.51
                                                             ⎝    12 ⎠
                                                                                  3
                                                             ⎛ 0.015 ⎞
          สิ้นเดือนที่ 3 จะได a3 =                     9000 ⎜1 +    ⎟                = 9033.79
                                                             ⎝    12 ⎠
                                                                                  4
                                                             ⎛ 0.015 ⎞
          สิ้นเดือนที่ 4 จะได a4 =                     9000 ⎜1 +    ⎟                = 9045.08
                                                             ⎝    12 ⎠
                                                                                  5
                                                             ⎛ 0.015 ⎞
          สิ้นเดือนที่ 5 จะได a5 =                     9000 ⎜1 +    ⎟                = 9056.39
                                                             ⎝    12 ⎠
                                                                                  6
                                                             ⎛ 0.015 ⎞
          สิ้นเดือนที่ 6 จะได a6 =                     9000 ⎜1 +    ⎟                = 9067.71
                                                             ⎝    12 ⎠
37
                                                                          7
                                                    ⎛ 0.015 ⎞
         สิ้นเดือนที่ 7 จะได a7 =             9000 ⎜1 +    ⎟                      = 9079.05
                                                    ⎝    12 ⎠
                                                                          8
                                                    ⎛ 0.015 ⎞
         สิ้นเดือนที่ 8 จะได a8 =             9000 ⎜1 +    ⎟                      = 9090.39
                                                    ⎝    12 ⎠
                                                                          9
                                                    ⎛ 0.015 ⎞
         สิ้นเดือนที่ 9 จะได a9 =             9000 ⎜1 +    ⎟                      = 9101.76
                                                    ⎝    12 ⎠
                                                                          10
                                                    ⎛ 0.015 ⎞
         สิ้นเดือนที่ 10 จะได a10 =           9000 ⎜ 1 +    ⎟                     = 9113.13
                                                    ⎝     12 ⎠
         ดังนั้น สิบพจนแรกของลําดับ คือ 9011.25, 9022.51, 9033.79, 9045.08, 9056.39,
         9067.71, 9079.05, 9090.39, 9101.76, 9113.13
6. (1) ให an เปนงบรายจายปกติทถูกตัดลงเมื่อเวลาผานไป n ป
                                ี่
       A แทนงบรายจายปกติเปน 2.5 พันลานบาท
                                                              20                                   4
         สิ้นปที่ 1       จะได a1       =         A−             (A)                     =           A
                                                            100                                    5
                                                                                                           2
                                                   4            20 ⎛ 4    ⎞                        ⎛4⎞
         สิ้นปที่ 2       จะได a2       =            A−           ⎜ A⎟                   =       ⎜ ⎟ A
                                                   5            100 ⎝ 5 ⎠                          ⎝5⎠
                                                            2                  2                           3
                                                   ⎛4⎞     20 ⎛ 4 ⎞                                ⎛4⎞
         สิ้นปที่ 3       จะได a3       =        ⎜ ⎟ A−     ⎜ ⎟ A                        =       ⎜ ⎟ A
                                                   ⎝5⎠    100 ⎝ 5 ⎠                                ⎝5⎠

                                                          n
                                                   ⎛4⎞
         สิ้นปท่ี n       จะได an       =        ⎜ ⎟ A
                                                   ⎝5⎠
                                                                               n
                                                                        ⎛4⎞
         ดังนั้น เมื่อเวลาผานไป n ป งบรายจายเปน                 2.5 ⎜ ⎟         พันลานบาท
                                                                        ⎝5⎠
                                              4
   (2) งบรายจายเมื่อสิ้นปที่ 1 เปน             (2.5)                  = 2         พันลานบาท
                                              5
                                                    2
                                              ⎛4⎞
         งบรายจายเมื่อสิ้นปที่ 2 เปน       ⎜ ⎟ (2.5)                  = 1.6        พันลานบาท
                                              ⎝5⎠
                                                    3
                                              ⎛4⎞
         งบรายจายเมื่อสิ้นปที่ 3 เปน       ⎜ ⎟ (2.5)                  = 1.28 พันลานบาท
                                              ⎝5⎠
                                                    4
                                              ⎛4⎞
         งบรายจายเมื่อสิ้นปที่ 4 เปน       ⎜ ⎟ (2.5)                  = 1.024 พันลานบาท
                                              ⎝5⎠
         ดังนั้น งบรายจายในสี่ปแรก หลังถูกตัดงบเปน 2, 1.6, 1.28 และ 1.024 พันลานบาท
         ตามลําดับ
                                                                    n
                       4                               ⎛4⎞
   (3) เนื่องจาก           < 1   จะได         lim 2.5 ⎜ ⎟
                                              n →∞
                                                                         = 0
                       5                               ⎝5⎠
         ดังนั้น ลําดับของงบรายจายนี้เปนลําดับลูเขา
38

                                  เฉลยแบบฝกหัด 1.2 ก

1. (1) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดังนี้
                             ี
                               1
              S1      =
                               2
                               1 1                                2
              S2      =          +                 =
                               2 6                                3
                               1 1 1                              13
              S3      =          + +               =
                               2 6 18                             18

                                                              n −1
                            1 1 1           1⎛1⎞                                              3n − 1
              Sn      =       + + + ... + ⎜ ⎟                                  =
                            2 6 18          2⎝ 3⎠                                             4 ⋅ 3n −1
                                                                          3n − 1
        ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 1 , 2 , 13 ,               ...,                , ...
                                       2 3 18                             4 ⋅ 3n −1

   (2) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดังนี้
                             ี
           S1     =      3
           S2     =      3+2                       =              5
              S3      =        3+2+4               =              19
                                       3                           3

                                                           n −1
                                                                                 ⎛ ⎛2⎞          n
                                                                                                    ⎞
              Sn      =        3 + 2 + 4 + ... + 3 ⎛ 2 ⎞
                                                   ⎜ ⎟                =        9 ⎜1 − ⎜ ⎟
                                                                                 ⎜ ⎝3⎠              ⎟
                                                                                                    ⎟
                                       3           ⎝3⎠                           ⎝                  ⎠
                                                    19                  ⎛ ⎛ 2 ⎞n ⎞
        ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 3, 5,           , ...,         9 ⎜ 1 − ⎜ ⎟ ⎟ , ...
                                                                        ⎜ ⎝3⎠ ⎟
                                                     3                  ⎝           ⎠

   (3) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดังนี้
                             ี
                               1
              S1      =
                               2
                               1 5
              S2      =          +                 =              3
                               2 2
                               1 5 25                             31
              S3      =          + +               =
                               2 2 2                              2


                            1 5 25            1                  1
              Sn      =       + +      + ... + (5) n −1 =      − (1 − 5n )
                            2 2 2             2                  8
        ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 1 , 3, 31 , ..., − 1 (1 − 5n ) , ....
                                       2        2         8
39

(4) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดังนี้
                          ี
                           1
           S1      =
                           2
                           1     1                      1
           S2      =         + (− )           =
                           2     4                      4
                           1 ⎛ 1⎞ 1                     3
           S3      =         +⎜− ⎟ +          =
                           2 ⎝ 4⎠ 8                     8


                                                                         1⎛ ⎛ 1 ⎞          ⎞
                                                                                       n
                           1 ⎛ 1⎞ 1           (−1) n −1
           Sn      =        + ⎜ − ⎟ + + ... +                    =        ⎜1 − ⎜ − ⎟       ⎟
                           2 ⎝ 4⎠ 8             2n                       3⎜ ⎝ 2 ⎠
                                                                          ⎝
                                                                                           ⎟
                                                                                           ⎠
                                                   1⎛ ⎛ 1 ⎞ ⎞
                                                              n
                                        1 1 3
     ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ      , , , ..., ⎜1 − ⎜ − ⎟ ⎟ , ...
                                        2 4 8      3⎜ ⎝ 2 ⎠ ⎟
                                                    ⎝           ⎠


(5) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดังนี้
                          ี
        S1     =      2
        S2     =      2 + (–1)        =                 1
        S3     =      2 + (–1) + (–4) =                 –3

                                                                               n
           Sn      =       2 + (–1) + (–4) + ... + (5 – 3n)          =           (7 − 3n)
                                                                               2
                                                        n
     ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 2, 1, –3, ...,        (7 − 3n) , ...
                                                        2

(6) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดังนี้
                          ี
                           3
           S1      =
                           4
                           3 9                          21
           S2      =         +                =
                           4 16                         16
                           3 9 27                       111
           S3      =         + +              =
                           4 16 64                       64


                           3 9 27          ⎛3⎞
                                                    n
                                                                       ⎛ ⎛ 3 ⎞n ⎞
           Sn      =        + +    + ... + ⎜ ⎟               =       3 ⎜1 − ⎜ ⎟ ⎟
                                                                       ⎜ ⎝4⎠ ⎟
                           4 16 64         ⎝4⎠                         ⎝          ⎠
                                        3 21 111                   ⎛ ⎛3⎞ ⎞   n

     ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ      , ,     , ...,          3 ⎜ 1 − ⎜ ⎟ ⎟ , ...
                                                                   ⎜ ⎝4⎠ ⎟
                                        4 16 64                    ⎝           ⎠

(7) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดังนี้
                          ี
        S1     =      0
        S2     =      0+3                     =         3
40

           S3      =       0+3+8                =    11

                                                                   n
                                                                                    2n 3 + 3n 2 − 5n
           Sn      =       0 + 3 + + 8 + ... + (n2 – 1) = ∑ (i 2 − 1) =
                                                                i =1                        6
                                                         3
                                                             + 3n 2 − 5n
     ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 0, 3, 11, ..., 2n                      , ...
                                                                6

(8) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดังนี้
                          ี
        S1     =      –1
        S2     =      –1 + 0                    =    –1
        S3     =      –1 + 0 + 9                =     8

                                              n 3                3n 4 − 2n 3 − 9n 2 − 4n
           Sn      =       –1 + 0 + 9 + ... + ∑ (i − 2i ) =
                                                         2

                                             i=1                           12

                                            –1, 8, ..., 3n − 2n − 9n − 4n , ...
                                                           4   3      2
     ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ –1,
                                                               12

(9) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดังนี้
                          ี
                             1
           S1      =       −
                            10
                             1  1                                         9
           S2      =       − +                       =                 −
                            10 100                                       100
                             1  1    1                                    91
           S3      =       − +     −                 =                 −
                            10 100 1000                                  1000


                                                                               1⎛ ⎛ 1⎞             ⎞
                                                               n                               n
                                1   1   1          ⎛ −1 ⎞
           Sn      =       −      +   −    + ... + ⎜ ⎟                 =   −      ⎜1 − ⎜ − ⎟       ⎟
                               10 100 1000         ⎝ 10 ⎠                      11 ⎜ ⎝ 10 ⎠
                                                                                  ⎝
                                                                                                   ⎟
                                                                                                   ⎠
                                                                   1⎛ ⎛ 1⎞ ⎞
                                                                              n
                                          1    9       91
     ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ     − , −     , −      , ..., − ⎜1 − ⎜ − ⎟ ⎟ , ...
                                         10   100     1000         11 ⎜ ⎝ 10 ⎠ ⎟
                                                                      ⎝         ⎠
(10) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดังนี้
                           ี
         S1     =      100
         S2     =      100 + 10                 =    110
         S3     =      100 + 10 + 1             =    111

                                                                         1000 ⎛     1 ⎞
           Sn      =       100 + 10 + 1 + 0.1 + ... + 103 – n =               ⎜1 − n ⎟
                                                                           9 ⎝ 10 ⎠
                                                                   1000 ⎛    1 ⎞
     ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 100, 110, 111, ...,                 ⎜1 − n ⎟ , ...
                                                                     9 ⎝ 10 ⎠
41

   (11) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มีดังนี้
            S1      =     1
            S2      =     1–2                                     =             –1
            S3      =     1–2+3                                   =              2
            S4      =     1–2+3–4                                 =             –2
            S5      =     1–2+3–4+5                               =              3
            S6      =     1–2+3–4+5–6                             =             –3

         ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 1, –1, 2, –2, 3, –3, ...
                                 n −1
          1 1 1       1⎛1⎞                                                               1
2. (1)     + + + ... + ⎜ ⎟              + ... เปนอนุกรมเรขาคณิตที่มี r =                    ซึ่ง | r | < 1
          2 6 18      2⎝ 3⎠                                                              3
                                                                            1
                                                                                         3
         ดังนั้น อนุกรมนี้จึงเปนอนุกรมลูเขาที่มีผลบวกเปน                2
                                                                                1
                                                                                     =
                                                                          1−             4
                                                                                3
   (2) อนุกรมลูเขา มีผลบวกเปน 9
                                                1          31
   (3) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ             ,   3,      , ..., − 1 (1 − 5n ) , ...      ลําดับนี้ไมมีลิมิต
                                                2          2           8
         ดังนั้น อนุกรมที่กําหนดให ไมสามารถหาผลบวกได จึงเปนอนุกรมลูออก
                                         1
   (4) อนุกรมลูเขา มีผลบวกเปน
                                         3
                                                                  n
   (5) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 2, 1, –3, ...,                (7 − 3n) , ...       ลําดับนี้ไมมีลิมิต
                                                                  2
       ดังนั้น อนุกรมที่กําหนดให ไมสามารถหาผลบวกได จึงเปนอนุกรมลูออก
   (6) อนุกรมลูเขา มีผลบวกเปน 3
                                                                      3
                                                                          + 3n 2 − 5n
   (7) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 0, 3, 11, ..., 2n                                  , ... ลําดับนี้ไมมีลิมิต
                                                                             6
         ดังนั้น อนุกรมทีกําหนดให ไมสามารถหาผลบวกได จึงเปนอนุกรมลูออก
                         ่
                                                                      3n 4 − 2n 3 − 9n 2 − 4n
   (8) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ –1, –1, 8, ...,                                                , ... ลําดับนี้
                                                                                12
         ไมมีลิมิต ดังนั้น อนุกรมที่กําหนดให ไมสามารถหาผลบวกได จึงเปนอนุกรมลูออก
                                           1
   (9) อนุกรมลูเขา มีผลบวกเปน         −
                                          11
                                         1000
   (10) อนุกรมลูเขา มีผลบวกเปน
                                           9
   (11) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 1, –1, 2, –2, 3, –3, ... ลําดับนี้ไมมีลิมิต
        ดังนั้น อนุกรมทีกําหนดให ไมสามารถหาผลบวกได จึงเปนอนุกรมลูออก
                        ่
42

                       4 + 1 8 + 1 16 + 1                                ⎛ 4 8 16           ⎞ ⎛1 1   1      ⎞
3. (1) จะได                +     +       + ...                 =        ⎜ +      + + ... ⎟ + ⎜ +   + + ... ⎟
                         9    27    81                                   ⎝ 9 27 81          ⎠ ⎝ 9 27 81     ⎠
                                                                           4       1
                                                                =          9 + 9
                                                                              2      1
                                                                         1−     1−
                                                                              3      3
                                                                         ⎛ 4⎞      ⎛ 1 ⎞⎛ 3 ⎞
                                                                =        ⎜ ⎟ (3) + ⎜ ⎟⎜ ⎟
                                                                         ⎝9⎠       ⎝ 9 ⎠⎝ 2 ⎠
                                                                         4 1
                                                                =           +
                                                                         3 6
                                                                         3
                                                                =
                                                                         2
                                   3 3 3         3                                                     1
     (2) อนุกรม            3+       + + + ... + n −1 + ... เปนอนุกรมเรขาคณิตที่มีอัตราสวนรวมเทากับ
                                   2 4 8       2                                                       2
                                       3 3 3            3                    3
               จะได                3 + + + + ... + n −1 + ...      =          1
                                       2 4 8          2                    1−
                                                                               2
                                                                           3
                                                                    =      1
                                                                           2
                                                                                    =                    6
                                                            1                  1                     1                     1
     (3) เมื่อ x เปนจํานวนจริง จะได                           2
                                                                    +
                                                                              2 2
                                                                                        +
                                                                                                  2 3
                                                                                                             + ... +
                                                                                                                             2 n
                                                                                                                                   + ...
                                                          2+x           (2 + x )            (2 + x )                   (2 + x )
                                                                                    1
           เปนอนุกรมเรขาคณิตที่มีอัตราสวนรวมเทากับ                                      2
                                                                                   2+x
                                                                                                1
                                                                                                1
           เนื่องจาก x2            ≥    0 ดังนัน 2 + x2
                                               ้                ≥   2 ซึ่งทําให            2
                                                                                              ≤                  <1
                                                                                        2+x     2
                                                                                                                           1
                           1                1               1                       1                                        2
          ดังนัน
               ้               2
                                   +
                                              2 2
                                                    +
                                                              2 3
                                                                     + ... +
                                                                                     2 n
                                                                                                    + ...    =          2+x
                                                                                                                            1
                       2+x              (2 + x )        (2 + x )               (2 + x )                                1−
                                                                                                                               2
                                                                                                                           2+x
                                                                                                                          1
                                                                                                             =          2
                                                                                                                       x +1
               i
4.        0.9          =               0.9999...
                       =               0.9 + 0.09 + 0.009 + 0.0009 + ...
                              9     9      9   9
                       =         + 2 + 3 + 4 + ...
                             10 10 10 10
                    9    9     9                                                   1
     เนื่องจาก         + 2 + 3 + ... เปนอนุกรมเรขาคณิต ที่มีอัตราสวนรวมเทากับ
                   10 10 10                                                       10
                                                     9
                       9   9      9
     ดังนั้น             +    +      + ...   =      10
                                                       1
                      10 102 103                  1−
                                                      10
                                                  ⎛ 9 ⎞⎛ 10 ⎞
                                             =    ⎜ ⎟⎜ ⎟
                                                  ⎝ 10 ⎠⎝ 9 ⎠
43

                        = 1
                  i
   จะได    0.9         = 1
                  i i
5. (1)      0.21            =   0.212121...
                            =   0.21 + 0.0021 + 0.000021 + ...
                                 21 21 21
                            =        +     +   + ...
                                102 104 106
                                   21
                            =     102
                                     1
                                1− 2
                                    10
                                ⎛ 21 ⎞ ⎛ 10 ⎞
                                           2
                            =   ⎜ 2 ⎟⎜       ⎟
                                ⎝ 10 ⎠ ⎝ 99 ⎠
                                21                7
                            =           =
                                99                33
              i         i
   (2)     0.610 4          =   0.6104104...
                            =   0.6 + 0.0104 + 0.0000104 + 0.0000000104 + ...
                                 6 104 104 104
                            =      +     +  +   + ...
                                10 104 107 1010
                                      104
                                 6       4
                            =      + 10
                                10 1 − 1
                                        103
                                 6 104
                            =      +
                                10 9990
                                5994 + 104
                            =
                                   9990
                                6098
                            =
                                9990
                  i i
   (3)     7.256            =   7.25656...
                            =   7 + 0.2 + 0.056 + 0.00056 + 0.0000056 + ...
                                    2 56 56 56
                            =   7+     +    +  +  + ...
                                   10 103 105 107
                                          56
                                    2       3
                            =   7 + + 10
                                   10 1 − 1
                                           102
                                    2    56
                            =   7+ +
                                   10 990
                                   198 + 56
                            =   7+
                                      990
44
                      254
                =   7
                      990
                      127
                =   7
                      495
          i i
(4)    4.387    =   4.38787...
                =   4 + 0.3 + 0.087 + 0.00087 + 0.0000087 + ...
                         3 87 87 87
                =   4+     +     +  +  + ...
                        10 103 105 107
                               87
                         3       3
                =   4 + + 10
                        10 1 − 1
                                102
                         3 87
                =   4+ +
                        10 990
                        297 + 87
                =   4+
                           990
                      384
                =   4
                      990
                      192
                =   4
                      495
         i i
(5)   0.073     =   0.07373...
                =   0.073 + 0.00073 + 0.0000073 + ...
                     73 73 73
                =        + +    + ...
                    103 105 107
                       73
                =     103
                         1
                    1− 2
                        10
                     73
                =
                    990
          i
(6)     2.9     =   2.999 ...
                =   2 + 0.9 + 0.09 + 0.009 + ...
                        9     9  9
                =   2+     + 2 + 3 + ...
                       10 10 10
                          9
                =   2 + 10
                            1
                       1−
                           10
                       9
                =   2+
                       9
                =   3
45
                                                     2
6. เพราะวา 1 + x + x2 + x3 + ... + xn–1 + ... =
                                                     3
    และเนื่องจาก a1 = 1 , r = x
                   2                1
    จะไดวา               =
                   3               1− x
               2 – 2x      =       3
                                       1
          ∴        x       =       −
                                       2
                                           3                           a1                    3
7. จาก a1 + a1r + a1r2 + a1r3 + ... =           จะได                                =                                 ---------- (1)
                                           2                          1− r                   2
                                           3                           a1                    3
    และ a1 – a1r + a1r2 – a1r3 + ... =          จะได                                =                                 ---------- (2)
                                           4                          1+ r                   4
                  จาก (1),         2a1 + 3r              =              3                                              ---------- (3)
                  จาก (2),         4a1 – 3r              =              3                                              ---------- (4)
                  (3) + (4),       6a1                   =              6
                                   ∴ a1                  =              1
                                                                        3− 2                         1
                  จาก (3) จะได            r             =                               =
                                                                         3                           3
8. (1) รูปสี่เหลี่ยมจัตรัสรูปแรกมีดานยาว 5 หนวย
                       ุ
                                                                  2              2
                                                         ⎛5⎞ ⎛5⎞                                     25
          ดานของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรสรูปที่สองยาว
                                   ั                     ⎜ ⎟ +⎜ ⎟                        =
                                                         ⎝2⎠ ⎝2⎠                                     2
                                                                                                     5 2
                                                                                         =                       หนวย
                                                                                                      2
          ดังนั้น รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสรูปที่สองมีเสนรอบรูปยาว               10 2            หนวย
                                                                         2                       2
                                                             ⎛5 2 ⎞ ⎛5 2 ⎞                                       5
    (2) ดานของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรสรูปที่สามยาว
                                 ั                           ⎜ 4 ⎟ +⎜ 4 ⎟
                                                             ⎜    ⎟ ⎜    ⎟                               =            หนวย
                                                             ⎝    ⎠ ⎝    ⎠                                       2

          รูปสี่เหลี่ยมจัตรัสรูปที่สามมีเสนรอบรูปยาว 10 หนวย
                          ุ
                                                              2              2
                                                     ⎛5⎞ ⎛5⎞                                         5 2
          ดานของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสรูปที่สี่ยาว    ⎜ ⎟ +⎜ ⎟                            =                       หนวย
                                                     ⎝4⎠ ⎝4⎠                                          4
          รูปสี่เหลี่ยมจัตรัสรูปที่สี่มีเสนรอบรูปยาว 5 2 หนวย
                          ุ
          จะได ผลบวกของเสนรอบรูปของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเปน 20 + 10                                        2   + 10 + 5     2   + ...
                                                                                                                 20
                                                                                         =
                                                                                                                  2
                                                                                                             1−
                                                                                                                 2
                                                          =                                                  20(2 + 2)
9. ความยาวของเสนรอบรูปของรูปสามเหลี่ยมรูปแรก เทากับ 30 นิ้ว
   ความยาวของเสนรอบรูปของรูปสามเหลี่ยมรูปที่สอง เทากับ 15 นิ้ว
                                                                                     15
    ความยาวของเสนรอบรูปของรูปสามเหลี่ยมรูปที่สาม เทากับ                                    นิ้ว
                                                                                      2
46

   ผลบวกของความยาวเสนรอบรูปของรูปสามเหลี่ยมทั้งหมดคือ 30 + 15 + 15 + ...
                                                                                       2
                                                                                     30
                                                                            =          1
                                                                                    1−
                                                                                       2
                                                      = 60
   ∴ ผลบวกความยาวเสนรอบรูปของรูปสามเหลี่ยมทั้งหมดมีคา 60 นิ้ว

10. การแกวงครั้งแรกจากจุดไกลสุดดานหนึ่งไปอีกดานหนึงไดระยะทาง 75 เมตร
                                                     ่
   การแกวงครั้งที่สองไดระยะทาง 75 ⎛ 3 ⎞ เมตร
                                    ⎜ ⎟
                                            ⎝5⎠
                                                                        2
                                        ⎛3⎞ ⎛3⎞
   การแกวงครั้งที่สามไดระยะทาง        ⎜ ⎟ 75 ⎜ ⎟          = 75 ⎛ 3 ⎞ เมตร
                                                                 ⎜ ⎟
                                        ⎝5⎠ ⎝5⎠                 ⎝5⎠
                                                   2                3
                                    ⎛3⎞ ⎛3⎞
   การแกวงครั้งที่สี่ไดระยะทาง    ⎜ ⎟ 75 ⎜ ⎟          = 75 ⎛ 3 ⎞ เมตร
                                                             ⎜ ⎟
                                    ⎝5⎠ ⎝5⎠                   ⎝5⎠
   ระยะทางที่ไดจากการแกวงครั้งใหมเปนเชนนี้ไปเรื่อย ๆ
   ดังนั้น เรือไวกิ้งจะแกวงไปมาตั้งแตเริ่มตนจากจุดสูงสุดเปนระยะทางเทากับ
                              2             3                   ⎛               2   3     ⎞
   75 + 75 ⎛ 3 ⎞ + 75 ⎛ 3 ⎞ + 75 ⎛ 3 ⎞ + ... = 75 ⎜1 + 3 + ⎛ 3 ⎞
           ⎜ ⎟        ⎜ ⎟        ⎜ ⎟                       ⎜ ⎟
                                                                                ⎛3⎞
                                                                              + ⎜ ⎟ + ... ⎟
            ⎝5⎠        ⎝5⎠              ⎝5⎠                     ⎜       5 ⎝5⎠ ⎝5⎠         ⎟
                                                                ⎝                         ⎠
                                                                 ⎛    ⎞
                                                                 ⎜ 1 ⎟
                                                        =     75 ⎜ 3 ⎟
                                                                 ⎜ 1− ⎟
                                                                 ⎜    ⎟
                                                                 ⎝ 5⎠
                                                        = 75 ⎛ 5 ⎞
                                                             ⎜ ⎟
                                                                ⎝2⎠
                                                        = 187.5             เมตร
11. (1) ให an เปนระยะทางที่สารพิษแพรกระจายตอจากตําแหนงเดิมเมื่อเวลาผานไป n ป
        กําหนด a1 = 1500 , a2 = 900 , a3 = 540
        สังเกตวา 900 = 540 = 3
                    1500      900       5
                                                                                              3
         สมมติให an เปนลําดับเรขาคณิตที่มีพจนแรกเปน 1500 และมีอัตราสวนรวมเปน
                                                                                              5
         ให S10 เปนผลบวกของระยะทางที่สารพิษแพรกระจายไปไดเมื่อสิ้นปที่สิบ
                                                                                      9

         จะได          S10         =           1500 + 900 + 540 + ... + 1500 ⎛ 3 ⎞
                                                                              ⎜ ⎟
                                                                              ⎝5⎠
                                                     ⎛ ⎛3⎞ ⎞ 10

                                                1500 ⎜1 − ⎜ ⎟ ⎟
                                                     ⎜ ⎝5⎠ ⎟
                                    =                ⎝          ⎠
                                                         3
                                                      1−
                                                         5
47

                                            5         ⎛ ⎛ 3 ⎞10 ⎞
                                   =          (1500 ) ⎜1 − ⎜ ⎟ ⎟
                                                      ⎜ ⎝5⎠ ⎟
                                            2         ⎝         ⎠
                                                 ⎛    ⎛ ⎞  ⎞ 10

                                   =        3750 ⎜1 − ⎜ 3 ⎟
                                                 ⎜         ⎟
                                                 ⎝     ⎝5⎠ ⎟
                                                           ⎠
                                    =      3727.325
           เมื่อสิ้นปที่สิบ สารพิษจะแพรกระจายไปได 3727.325 เมตร
                                                           1500
   (2) เพราะวา ผลบวกอนันตของอนุกรมนี้เทากับ                3
                                                                        = 3750
                                                           1−
                                                              5
           ดังนั้น สารพิษจะแพรกระจายไปไดไกลทีสุด 3,750 เมตร ซึ่งไปไมถึงโรงเรียน
                                               ่
                                                                          2          n −1
                                                             2 ⎛2⎞          ⎛2⎞
12. ให Sn แทนผลบวกยอย n พจนแรกของอนุกรม                1 + + ⎜ ⎟ + ... + ⎜ ⎟             + ...
                                                             3 ⎝3⎠          ⎝3⎠
                               ⎛ ⎛ 2 ⎞n ⎞
                              1⎜1 − ⎜ ⎟ ⎟
   Sn =
                (
           a1 1 − r n   ) =    ⎜ ⎝3⎠ ⎟
                               ⎝        ⎠   =
                                                  ⎛ ⎛ 2 ⎞n ⎞
                                                3 ⎜1 − ⎜ ⎟ ⎟
              1− r                    2           ⎜ ⎝3⎠ ⎟
                                 1−               ⎝        ⎠
                                      3
                                                                  5
   S1 = 1                                             S2 =                    = 1.6666
                                                                  3
           19                                                     65
   S3 =                 = 2.1111                      S4 =                    = 2.4074
            9                                                     27
            211                                                   665
   S5 =                 = 2.6049                      S6 =                    = 2.7366
            81                                                    243
            2059                                                  6305
   S7 =                  = 2.8244                     S8 =                    = 2.8829
            729                                                   2187
            19171                                                 58025
   S9 =                  = 2.9219                     S10 =                   = 2.9479
             6561                                                 19683
            175099
   S11 =                = 2.9653
             59049


   เมื่อ Sn มีคานอยกวา 3 อยูไมเกิน 1 จะได 2 ≤ Sn < 3
   เมื่อ Sn มีคานอยกวา 3 อยูไมเกิน 0.2 จะได 2.8 ≤ Sn < 3
   เมื่อ Sn มีคานอยกวา 3 อยูไมเกิน 0.05 จะได 2.95 ≤ Sn < 3
   จะได n ที่นอยที่สุด ตามเงือนไขขางตนเปน n = 3, n = 7 และ n = 11 ตามลําดับ
                                ่
                                                             1 1       1
13. ให Sn แทนผลบวกยอย n พจนแรกของอนุกรม                1 + + + ... + + ...
                                                             2 3       n
   โดยใชเครื่องคํานวณ จะได S1             =         1
                                                      3
                                   S2       =                                 =    1.500
                                                      2
48
               11
S3    =                    =   1.833
                6

               25
S4    =                    =   2.083
               12

               137
S5    =                    =   2.283
               60

               49
S6    =                    =   2.450
               20

               363
S7    =                    =   2.592
               140
               761
S8    =                    =   2.717
               280

               7129
S9    =                    =   2.828
               2520

               7381
S10   =                    =   2.928
               2520

               83711
S11   =                    =   3.019
               27720

               86021
S12   =                    =   3.103
               27720

               1145993
S13   =                    =   3.180
                360360

               1171733
S14   =                    =   3.251
                360360

               1195757
S15   =                    =   3.318
                360360

               2436559
S16   =                    =   3.380
               720720

               42142223
S17   =                    =   3.439
               12252240

               14274301
S18   =                    =   3.495
                4084080

               275295799
S19   =                    =   3.547
               77597520
49
                                               55835135
                              S20    =                             =       3.597
                                               15519504

                                               18858053
                              S21    =                             =       3.645
                                                5173168

                                               19093197
                              S22    =                             =       3.690
                                                5173168

                                               444316699
                              S23    =                             =       3.734
                                               118982864

                                               1347822955
                              S24    =                             =       3.775
                                                356948592

                                               34052522467
                              S25    =                             =       3.815
                                               8923714800

                                               34395742267
                              S26    =                             =       3.854
                                               8923714800

                                               312536252003
                              S27    =                             =       3.891
                                               80313433200

                                               315404588903
                              S28    =                             =       3.927
                                               80313433200

                                               9227046511387
                              S29    =                             =       3.961
                                               2329089562800

                                               9304682830147
                              S30    =                             =       3.994
                                               2329089562800

                                               290774257297357
                              S31    =                             =       4.027
                                                72201776446800

         ดังนั้น      n    ที่นอยทีสุด เมื่อ Sn มากกวา 2 คือ 4
                                ่
                      n    ที่นอยทีสุด เมื่อ Sn มากกวา 3 คือ 11
                                    ่
                      n    ที่นอยทีสุด เมื่อ Sn มากกวา 4 คือ 31
                                      ่

14. (1) ไมถูกตอง เพราะ 1 + 2 + 4 + 8 + 16 + 32 + ... เปนอนุกรมอนันตที่เปนอนุกรม
        เรขาคณิต อนุกรมนี้มอัตราสวนรวมเปน 2 ซึ่ง | 2 | > 1 จึงไมสามารถหาผลบวกได
                            ี

   (2) ไมถูกตอง เพราะ 1 – 2 + 4 – 8 + 16 – 32 + ... เปนอนุกรมอนันตที่เปนอนุกรม
       เรขาคณิต อนุกรมนี้มอัตราสวนรวมเปน –2 ซึ่ง | –2 | > 1 จึงไมสามารถหาผลบวกได
                           ี
50

                      a1 (1 − r n )
15.   Sn    =
                         1− r


                          ⎛ ⎛ 3 ⎞n ⎞
                      160 ⎜ 1 − ⎜ ⎟ ⎟
                          ⎜ ⎝2⎠ ⎟
      2110 =              ⎝         ⎠
                                  3
                             1−
                                  2

      n     =            5

16.   ใหพจนแรกของอนุกรมเรขาคณิตเปน a และมีอัตราสวนรวมเปน r
      จะได       a + ar        =       –3
                                                          3
      และ                ar4 + ar5       =            −
                                                          16
                                                1
      แกระบบสมการขางตน จะได r =                  หรือ – 1
                                                2                  2
                1
      ถา r =         แลวจะได a = –2
                2
                 1
      ถา r = –        แลวจะได a = –6
                  2
                                                           255
      ผลบวก 8 พจนแรกของอนุกรมนี้เทากับ               −               ทั้งสองกรณี
                                                              64


18.   เดิมมีแบคทีเรีย 1000 ตัว
                                                          120
      เมื่อเวลาผานไป 1 ชั่วโมง จะมีแบคทีเรีย                      (1000) = 1200 ตัว
                                                          100
                                                                       2
                                                          ⎛ 120 ⎞
      เมื่อเวลาผานไป 2 ชั่วโมง จะมีแบคทีเรีย             ⎜     ⎟          (1000) = 1440 ตัว
                                                          ⎝ 100 ⎠
                                                                       3
                                                          ⎛ 120 ⎞
      เมื่อเวลาผานไป 3 ชั่วโมง จะมีแบคทีเรีย             ⎜     ⎟          (1000) = 1728 ตัว
                                                          ⎝ 100 ⎠
                                                                                 t
                                                                       ⎛ 120 ⎞
      ดังนั้น เมื่อเวลาผานไป t ชั่วโมง จะมีแบคทีเรีย                  ⎜     ⎟       (1000)
                                                                       ⎝ 100 ⎠
                                             10
                                      ⎛ 120 ⎞
      เมื่อ t = 10 จะได a10 =        ⎜     ⎟     (1000)        ≈       6191 ตัว
                                      ⎝ 100 ⎠
51

                                                        เฉลยแบบฝกหัด 1.2 ข
          4
1. (1) ∑ 2i                      =                2+4+6+8
         i =1
          52
   (2) ∑ ( i + 2 )               =                (1 + 2) + (2 + 2) + (3 + 2) + ... + (50 + 2) + (51 + 2) + (52 + 2)
         i =1
           4
   (3) ∑ (10 − 2k ) =                             (10 – 2) + (10 – 4 ) + (10 – 6) +(10 – 8)
         k =1
          20
   (4) ∑ ( i      2
                      + 4)       =                (12 + 4) + (22 + 4) + (32 + 4) + ... + (182 + 4) + (192 + 4) + (202 + 4)
         i =1

          5
2. (1) ∑ 3j = 3(1) + 3(2) + 3(3) + 3(4) + 3(5)
          j=1

                      = 3 + 6 + 9 + 12 + 15
                      = 45
          50
   (2) ∑ 8            = 8 + 8 + 8 + ... + 8
         k =1

                      50 จํานวน
               = 8 x 50
               = 400
              4
   (3)    ∑ i ( i − 3) =
                  2
                                12(1 – 3) + 22(2 – 3) + 32(3 – 3) + 42(4 – 3)
          i =1

                        =       –2 – 4 + 0 + 16
                        =       10
            k+4
              6
                                 2+ 4 3+ 4 4+ 4 5+ 4 6+ 4
   (4)    ∑             =              +       +        +        +
          k =2    k −1                            2 −1 3 −1 4 −1                 5 −1   6 −1
                                                      7 8 9
                                 =                6+ + + +2
                                                      2 3 4
                                                  197
                                 =
                                                   12
              5
   (5)    ∑(k
          k =1
                      2
                          + 3)   =                (12 + 3) + (22 + 3) + (32 + 3) + (42 + 3) + (52 + 3)
                                 =                4 + 7 + 12 + 19 + 28
                                 =                70
           10                    10
   (6)    ∑ (i − 2) = ∑ (i                      − 6i 2 + 12i − 8 )
                            3               3

          i =1                   i =1
                                 10                10         10          10
                             = ∑i       3
                                            − 6∑ i 2 + 12∑ i − ∑ 8
                                 i =1              i =1       i =1        i =1
                                                          2
                                 ⎛ 10 (10 + 1) ⎞     ⎛ 10                ⎞      ⎛ (10 )(10 + 1) ⎞
                             =   ⎜             ⎟ − 6 ⎜ (10 + 1)( 20 + 1) ⎟ + 12 ⎜               ⎟ − 80
                                 ⎝      2      ⎠     ⎝6                  ⎠      ⎝       2       ⎠
                             = 3025 – 2310 + 660 – 80
                             = 1295
52
             15                               15              15
    (7)     ∑ ( i + 5)        =               ∑i         + ∑5
             i =1                             i =1            i =1

                                              15(16)
                              =                              + 5(15)
                                                     2
                              =               195
             20                               20                            9
    (8)     ∑ ( 2i + 1)       =               ∑ ( 2i + 1) – ∑ ( 2i + 1)
            i =10                             i =1                         i =1
                                                 20             20                      9                9
                              =               2∑ i           + ∑1 – 2 ∑ i – ∑1
                                                  i =1          i =1                   i =1             i =1

                                              2(20)(21)                                     2(9)(10)
                              =                                        + 20 –                                  –9
                                                         2                                      2
                              =               420 + 20 – 90 – 9
                              =               341
             15                                               15
    (9)     ∑ ( k + 5) (k − 5)
            k =1
                                              =               ∑(k
                                                              k =1
                                                                           2
                                                                                − 25 )
                                                              15                      15
                                              =               ∑ k – ∑ 25
                                                                       2

                                                              k =1                    k =1

                                                              15(16)(31)
                                              =                                              – 15(25)
                                                                        6
                                              =              1240 – 375
                                              =              865
                                                                                                 ∞
3. (1) 1⋅3 + 2⋅4 + 3⋅5 + ... + n(n + 2) + ...                                     =             ∑ n ( n + 2)
                                                                                                 n =1
                                                                                                  n
            1 1 1        1                                                                              1
    (2)      + + + ... +                                                          =             ∑i
            4 5 6        n                                                                       i=4
                                                                                                  ∞
    (3) arp + arp + 1 + arp + 2 + ... + arp + q + ...                             =             ∑ ar         p+i

                                                                                                 i =0
                                                                                                   n
    (4) 2 + 4 + 6 + ... + 2n                                                      =             ∑ 2i
                                                                                                 i =1
                                                                                                  ∞
            1 1 1            1                                                                                 1
    (5)      + + + ... +             + ...                                        =             ∑3
            3 6 12       3 ( 2n −1 )                                                             n =1        ( 2n −1 )
                                                                                                                          ∞
                    1          1                     1                                      1                                     1
    (6)                  +                +                   + ... +                                   + ...        = ∑
                  2+ 1       3+ 2                 4+ 3                            n + n −1                               n =2   n + n −1

              n                     n
4. (1)      ∑ 6i =             6∑ i
             i =1                  i =1

                                ⎛ n ( n + 1) ⎞
                        =      6⎜            ⎟
                                ⎝      2     ⎠
                        =     3n(n + 1)
53
          k                                  k      k
   (2)   ∑ ( 2i + 1)       =          2∑ i + ∑ 1
         i =1                               i =1   i =1

                                       ⎛ k ( k + 1) ⎞
                           =          2⎜            ⎟+k
                                       ⎝      2     ⎠
                           =          k2 + k + k
                           =          k2 + 2k
          m                                 m
   (3)   ∑3⋅ 4      i
                           =          3∑ 4i
         i =1                            i =1

                           =          3(4 + 42 + 43 + ... + 4m)
                                       ⎛ ( 4 ) (1 − 4m ) ⎞
                           =          3⎜
                                       ⎜ 1− 4
                                                         ⎟
                                                         ⎟
                                       ⎝                 ⎠
                           =          4m + 1 – 4
          n                             n           n
   (4)   ∑ (i
         i =1
                2
                    − i)   =          ∑ i 2 −∑ i
                                       i =1        i =1

                                       n(n + 1)(2n + 1)
                           =                             – n(n + 1)
                                               6               2
                                       n(n + 1) ⎛ 2n + 1 ⎞
                           =                     ⎜ 3 − 1⎟
                                           2     ⎝          ⎠
                                       n(n + 1) ⎛ 2n + 1 − 3 ⎞
                           =                     ⎜           ⎟
                                           2     ⎝     3     ⎠
                                       n(n + 1)(2n − 2)
                           =
                                               6
                                       n(n + 1)(n − 1)
                           =
                                              3
                                       n −n
                                        3
                           =
                                          3
                                                                                  10
5. (1)   1 ⋅ 2 + 2 ⋅ 3 + 3 ⋅ 4 + 4 ⋅ 5 + ... + n(n + 1) + ...          =          ∑ n ( n + 1)
                                                                                  n =1
                                                                                  10            10
                                                                       =          ∑n + ∑n  2

                                                                                  n =1          n =1

                                                                                  10(11)(12) 10 (11)
                                                                       =                    +
                                                                                      6         2
                                                                       =          385 + 55
                                                                       =          440
   (2)   1 ⋅ 4 ⋅ 7 + 2 ⋅ 5 ⋅ 8 + 3 ⋅ 6 ⋅ 9 + ... + n(n + 3)(n + 6) + ...
                                                                10
                                                   =           ∑ n ( n + 3)( n + 6 )
                                                               n =1
                                                               10          10            10
                                                   =           ∑ n 3 + 9∑ n 2 + 18∑ n
                                                               n =1        n =1          n =1
54

                                                             ⎛ 10 (11) ⎞ 9 (10 )(11)( 21) 18 (10 )(11)
                                                                                2

                                                 =           ⎜         ⎟ +               +
                                                             ⎝ 2 ⎠               6             2
                                                 =           3025 + 3465 + 990
                                                 =           7480

   (3)                                                       2
         1(2 + 3) + 4(4 + 3) + 9(6 + 3) + 16(8 + 3) + ... + n (2n + 3) + ...
                                                             10
                                                 =           ∑ n ( 2n + 3)
                                                                      2

                                                             n =1
                                                                10                  10
                                                 =           2∑ n 3 + 3∑ n 2
                                                               i =1                 n =1

                                                              ⎛ 10 (11) ⎞ 3 (10 )(11)( 21)
                                                                                    2

                                                 =           2⎜         ⎟ +
                                                              ⎝ 2 ⎠               6
                                                 =           6050 + 1155
                                                 =           7205

   (4)   12 + 32 + 52 + 7 2 + ... + (2n − 1) 2 + ...
                                                             10
                                                 =           ∑ ( 2n − 1)
                                                                                    2

                                                             n =1
                                                             10
                                                 =           ∑ (4n         2
                                                                               − 4n + 1)
                                                             n =1
                                                                10                  10          10
                                                 =           4∑ n 2 − 4 ∑ n + ∑1
                                                               n =1                 n =1        n =1

                                                              ⎛ 10(11)(21) ⎞    ⎛ (10 )(11) ⎞
                                                 =           4⎜            ⎟ − 4⎜           ⎟ + 10
                                                              ⎝     6      ⎠    ⎝     2     ⎠
                                                 =           1540 – 220 + 10
                                                 =           1330
          ⎛ 1⎞ ⎛ 1 ⎞ ⎛ 1 ⎞                          ⎛ 1⎞
                                                                                               = ∑ n ⎛1 + 1 ⎞
                                                                                                       10
   (5)   1⎜ 1 + ⎟ + 2 ⎜ 1 + ⎟ + 3 ⎜ 1 + ⎟ + ... + n ⎜ 1 + ⎟ + ...                                    ⎜      ⎟
          ⎝ 1⎠ ⎝ 2 ⎠ ⎝ 3 ⎠                          ⎝ n⎠                                             ⎝ n⎠
                                                                                                       n =1
                                                                                    10
                                                                          = ∑ ( n + 1)
                                                                                 n =1
                                                                                                  10          10
                                                                                           = ∑ n + ∑1
                                                                                                 n =1         n =1

                                                                                                 10 (11)
                                                                                           =                  + 10
                                                                                                        2
                                                                                           = 65

6. (1)   1 ⋅ 2 ⋅ 3 + 2 ⋅ 3 ⋅ 4 + 3 ⋅ 4 ⋅ 5 + ... + n(n + 1)(n + 2) + ... + 10 ⋅ 11 ⋅ 12
                                                             10
                                                 =           ∑ n ( n + 1)( n + 2 )
                                                             n =1
55
                                                                          10           10      10
                                                      =                  ∑ n 3 + 3∑ n 2 + 2∑ n
                                                                         n =1          n =1    n =1

                                                                         ⎛ 10 (11) ⎞ 3 (10 )(11)( 21) 2 (10 )(11)
                                                                                       2

                                                      =                  ⎜         ⎟ +               +
                                                                         ⎝ 2 ⎠               6             2
                                                      =                  3025 + 1155 + 110
                                                      =                  4290

   (2)   1 ⋅ 2 + 2 ⋅ 3 + 3 ⋅ 4 + ... + n(n + 1) + ... + 99 ⋅ 100
                                      99
                            =         ∑ n ( n + 1)
                                      n =1
                                                      99                 99
                                     =                ∑ n2 + ∑ n
                                                      n =1               n =1

                                      99 (100 )(199 )                    99 (100 )
                            =                                        +
                                                  6                             2
                            =        328350 + 4950
                            =        333300

   (3) จํานวนเต็มระหวาง 1 ถึง 100 ทีหารดวย 4 แลวเหลือเศษ 3 คือ 7, 11, 15, ... , 99
                                     ่
                                                                                                24
         อนุกรม 7 + 11 + 15 + ... + (4n + 3) + ... + 99 เขียนแทนดวย ∑ ( 4n + 3)
                                                                                               n =1
                 24                                       24              24
         จะได ∑ ( 4n + 3)           =                4∑ n + ∑ 3
                 n =1                                     n =1           n =1

                                                      4 ( 24 )( 25 )
                                     =                                          + ( 24 )( 3)
                                                                 2
                            =      1200 + 72
                            =      1272
         ผลบวกของจํานวนเต็มทังหมดระหวาง 1 ถึง 100 ทีหารดวย 4 แลวเหลือเศษ 3 เปน 1272
                             ้                       ่
          n
                1                      n
                                             ⎛1        1 ⎞
7. (1)   ∑ i ( i + 1)       =         ∑⎜ i − i +1⎟
         i =1                          ⎝
                                      i =1       ⎠
                            ⎛ 1⎞ ⎛1 1⎞ ⎛1 1⎞                ⎛1    1 ⎞
         Sn     =           ⎜ 1 − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ... + ⎜ −     ⎟
                            ⎝ 2⎠ ⎝ 2 3⎠ ⎝3 4⎠               ⎝ n n +1⎠
                                   1               n
                =           1−            =
                                 n +1            n +1
                            20
         S20 =
                            21
          n
                        1                             1 n ⎛ 1          1 ⎞
   (2)   ∑ ( 2i − 1)( 2i + 1)        =                  ∑ ⎜ 2i − 1 − 2i + 1 ⎟
         i =1                                         2 i =1 ⎝              ⎠
                            1 ⎡⎛ 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞                    ⎛ 1          1 ⎞⎤
         Sn     =             ⎢⎜1 − 3 ⎟ + ⎜ 3 − 5 ⎟ + ⎜ 5 − 7 ⎟ + ... + ⎜ 2n − 1 − 2n + 1 ⎟ ⎥
                            2 ⎣⎝      ⎠ ⎝         ⎠ ⎝         ⎠         ⎝                 ⎠⎦
56

                        1⎛     1 ⎞                           n
               =          ⎜1 −     ⎟        =
                        2 ⎝ 2n + 1 ⎠                     2n + 1
                        20
         S20 =
                        41
                                   n
                                            1
   (3) ให Sn          =         ∑ i ( i + 1)( i + 2 )
                                  i =1

                                    1                              1⎛ 1      1 ⎞
         จะได a1      =                              =              ⎜     −      ⎟
                                 1⋅ 2 ⋅ 3                          2 ⎝ 1⋅ 2 2 ⋅ 3 ⎠
                                    1                              1⎛ 1       1 ⎞
               a2      =                              =              ⎜     −      ⎟
                                 2⋅3⋅ 4                            2 ⎝ 2 ⋅3 3⋅ 4 ⎠
                                    1                              1⎛ 1       1 ⎞
               a3      =                              =              ⎜     −      ⎟
                                 3⋅ 4 ⋅5                           2 ⎝ 3⋅ 4 4⋅5 ⎠


                                       1                          1⎛       1             1         ⎞
               an      =                                 =          ⎜           −                  ⎟
                              n ( n + 1)( n + 2 )                 2 ⎜ n ( n + 1) ( n + 1)( n + 2 ) ⎟
                                                                    ⎝                              ⎠
         Sn    =       a1 + a2 + a3 + ... + an
                                 1 ⎡⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞       ⎛      1             1         ⎞⎤
                       =           ⎢⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ... + ⎜
                                                          ⎜           −                  ⎟⎥
                                                                                         ⎟
                                 2 ⎢⎝ 2 6 ⎠ ⎝ 6 12 ⎠
                                   ⎣                      ⎝ n ( n + 1) ( n + 1)( n + 2 ) ⎠ ⎥
                                                                                           ⎦
                        1⎛1          1         ⎞
               =         ⎜ −
                         ⎜ 2 ( n + 1)( n + 2 ) ⎟
                                               ⎟
                        2⎝                     ⎠
                        1⎛1     1 ⎞                                115
         S20 =            ⎜ −         ⎟               =
                        2 ⎝ 2 21 ⋅ 22 ⎠                            462

          n
                1                1 n ⎛1     1 ⎞
   (4)   ∑ i (i + 2)   =           ∑⎜ i − i + 2 ⎟
         i =1                    2 i =1 ⎝       ⎠
                        1 ⎡⎛ 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞                    ⎛1      1 ⎞⎤
         Sn    =          ⎢⎜1 − 3 ⎟ + ⎜ 2 − 4 ⎟ + ⎜ 3 − 5 ⎟ + ... + ⎜ n − n + 2 ⎟ ⎥
                        2 ⎣⎝      ⎠ ⎝         ⎠ ⎝         ⎠         ⎝           ⎠⎦
                        1⎡ 1        1       1 ⎤
               =         ⎢1 + 2 − n + 1 − n + 2 ⎥
                        2⎣                      ⎦
                        1⎛3        2n + 3       ⎞
               =          ⎜ −                   ⎟
                        2 ⎜ 2 ( n + 1)( n + 2 ) ⎟
                          ⎝                     ⎠
                        1⎛3    43 ⎞                                325
         S20 =            ⎜ −         ⎟               =
                        2 ⎝ 2 21 ⋅ 22 ⎠                            462

8. (1) ให Sn แทนผลบวกของอนุกรมนี้
           Sn    =    1 + 2⋅2 + 3⋅22 + 4⋅23 + ... + n⋅2n–1                                      ---------- (1)
         (1) × 1 , 2Sn =         1⋅2 + 2⋅22 + 3⋅23 + ... + (n – 1)⋅2n–1 + n⋅2n                  ---------- (2)
              5
         (1) – (2), –Sn =        1 + (2 – 1)2 + (3 – 2)22 + (4 – 3)23 + … + (n – n + 1)2n-1 – n⋅2n
57

                            =       1 + 2 + 22 + 23 + ... + 2n–1 – n⋅2n
                                    1(1 − 2n )
                  –Sn       =                  − n ⋅ 2n
                                      1− 2
              –Sn           =       –1(1 – 2n) – n⋅2n
               Sn           =       (1 – 2n) + n⋅2n
         จะได S10          =       (1 – 210) + 10⋅210
                            =       –1023 + 10240
                            =       9217

   (2) ให Sn แทนผลบวกของอนุกรมนี้
                                       1         1          1             1
                  Sn        =       1 ⋅ + 2 ⋅ 2 + 3 ⋅ 3 + ... + n ⋅ n                        ---------- (1)
                                        5        5         5             5
                        1               1          1                   1      1
         (1) × (2),       Sn =      1 ⋅ 2 + 2 ⋅ 3 + ... + (n − 1) ⋅ n + n ⋅ n +1             ---------- (2)
                        5               5         5                   5     5
                        4           1                1              1                      1         1
         (1) – (2),       Sn =         + (2 − 1) ⋅ 2 + (3 − 2) ⋅ 3 + ... + (n − (n − 1)) ⋅ n − n ⋅ n +1
                        5           5                5              5                     5        5
                                    1 1 1                     1         1
                            =          + + + ... + n − n ⋅ n +1
                                    5 52 53                   5       5
                                    1⎛ ⎛1⎞ ⎞
                                                   n

                                       ⎜1 − ⎜ ⎟ ⎟
                  4                 5⎜ ⎝ 5⎠ ⎟
                                       ⎝             ⎠ −n⋅ 1
                    Sn      =
                  5                       1−
                                               1              5n +1
                                               5
                  4                 1        1             1
                    Sn      =          (1 − n ) − n ⋅ n +1
                  5                 4        5          5
                                     5         1             1
                  Sn        =            (1 − n ) − n ⋅
                                    16        5           4 ⋅ 5n
                                     5         1         1
               จะได        S10 =        (1 − 10 ) −
                                    16        5        2 ⋅ 59

               2n + 1               1         1
9. (1)                      =           −
         n ( n + 1)                       ( n + 1)
                        2             2            2
           2
                                    n
                                      3    5      7              2n + 1
         ให Sn             =            +     +       + ... + 2
                                    1 ⋅ 4 4 ⋅ 9 9 ⋅ 16        n ( n + 1)
                                                                         2



                                    ⎛1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞        ⎛ 1       1 ⎞
                            =       ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ... + ⎜ 2 −
                                                          ⎜n
                                                                          ⎟
                                                                ( n + 1) ⎟
                                                                        2
                                    ⎝1 4 ⎠ ⎝ 4 9 ⎠        ⎝               ⎠
                                            1
                            =       1−
                                         ( n + 1)
                                                    2


                                    n 2 + 2n
                            =
                                    ( n + 1)
                                               2


                                           n 2 + 2n
         ผลบวก n พจนแรก เปน
                                           ( n + 1)
                                                        2
58

                                            2 −1              3− 2 2− 3                                  n +1 − n
   (2) ให Sn                         =          +                  +     + ... +
                                          1⋅ 2                2⋅ 3    3⋅2                                 n n +1
                                  ⎛    1 ⎞ ⎛ 1                1 ⎞ ⎛ 1 1⎞          ⎛                      1      1 ⎞
                      =           ⎜1 −    ⎟+⎜      −            ⎟+⎜   − ⎟ + ... + ⎜                         −       ⎟
                                  ⎝     2⎠ ⎝ 2                 3⎠ ⎝ 3 2⎠          ⎝                       n    n +1 ⎠
                                        1
                      =           1−
                                       n +1
                                                              1
        ผลบวก n พจนแรก เปน                          1−
                                                              n +1

                          ∞                            ∞              n −1
                                  −(n −1)                  ⎛1⎞
10. (1) เนื่องจาก ∑ e                          =      ∑⎜e⎟
                      n =1                            n =1 ⎝ ⎠
                                1 1              1
                Sn            =
                             1+ +
                                    2
                                      + ... +
                                                n −1
                                e e           e
                       ⎛    1 ⎞
                      1⎜1 − n ⎟
            =             ⎝e              ⎠
                                      1
                              1−
                                      e
                                       1
                                   1− n
                                                                           e
         lim Sn       =       lim e
                                       1
                                                              =
         n →∞                 n →∞                                        e −1
                                    1−
                                       e
                                                                                                      e
        ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูเขา และมีผลบวกเทากับ
                                                                                                    e −1

   (2) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 1, –1, 3, –5, 11, ...
       อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูออก
                  9               9           9               9
   (3) Sn =               +               +         + ... +
              100 1002 1003          100n
                9 ⎛       1 ⎞
                  ⎜1 −      n⎟
            = 100 ⎝ 100 ⎠ = 1 ⎛1 − 1 n ⎞
                        1            ⎜      ⎟
                                  11 ⎝ 100 ⎠
                  1−
                       100
                          1⎛    1 ⎞       1
         lim Sn = lim ⎜ 1 −      n ⎟ = 11
         n →∞       n →∞ 11
                            ⎝ 100 ⎠
                                                                                                    1
        ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูเขา และมีผลบวกเทากับ
                                                                                                    11
                                                               5           10 15           20       25            5n
   (4) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ                                 ,        ,       ,        ,        , ...,          , ...
                                                                  2        3       4       5         6            n +1
                                  5n
        เนื่องจาก     lim                     = 5
                      n →∞        n +1
        ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูเขา และมีผลบวกเทากับ 5
59

       ∞      2n + 1                  ∞ ⎛ 1       1      ⎞
(5)    ∑                       =      ∑ ⎜     −          ⎟
      n =1 n 2 (n + 1) 2             n =1⎜ n 2 (n + 1) 2 ⎟
                                         ⎝               ⎠
                 ⎛    1 ⎞ ⎛ 1   1 ⎞ ⎛ 1     1 ⎞         ⎛ 1      1      ⎞
      Sn =       ⎜ 1−   ⎟ +⎜  −   ⎟ + ⎜ 2 − 2 ⎟ + ... + ⎜ 2 −
                                                        ⎜               ⎟
                 ⎝ 22 ⎠ ⎝ 22 32 ⎠ ⎝ 3      4 ⎠          ⎝n    (n + 1) 2 ⎟
                                                                        ⎠
                           1
             =   1−
                      (n + 1) 2
                          ⎛    1    ⎞
      lim Sn
      n →∞
                 =   lim ⎜1 −
                     n →∞ ⎜        2⎟
                                    ⎟
                                               = 1
                          ⎝ (n + 1) ⎠
      ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูเขา และมีผลบวกเทากับ 1

                 ⎛    1 ⎞ ⎛ 1   1 ⎞ ⎛ 1   1 ⎞         ⎛ 1    1 ⎞
(6) Sn =         ⎜1 −   ⎟+⎜   −   ⎟+⎜   −   ⎟ + ... + ⎜   −      ⎟
                 ⎝     2⎠ ⎝ 2    3⎠ ⎝ 3    4⎠         ⎝ n   n +1 ⎠
                           1
          =      1−
                        n +1
                          ⎛    1 ⎞
      lim Sn     =   lim ⎜1 −      ⎟          = 1
      n →∞           n →∞
                          ⎝   n +1 ⎠
      ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูเขา และมีผลบวกเทากับ 1

                                                                16               4
(7) อนุกรมที่กําหนดใหเปนอนุกรมเรขาคณิตที่มี a1 =                   และ r =
                                                                 5               5
      เนื่องจาก | r | < 1 อนุกรมนี้จึงเปนอนุกรมลูเขา
                                              16
                                    a1
      และมีผลบวกเทากับ                   =    5        = 16
                                   1− r       1−
                                                   4
                                                   5

       ∞      1               1 ∞            2
(8)    ∑
              2 −1
                       =         ∑
      n =1 4n                 2 n =1 (2n + 1)(2n − 1)
                                  ∞
                        = 1 ∑⎛ 1 − 1 ⎞
                                     ⎜                  ⎟
                               2 n =1⎝ 2n − 1 2n + 1 ⎠
                 1 ⎛⎛ 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞                      ⎛ 1          1 ⎞⎞
      Sn =          ⎜ ⎜1 − 3 ⎟ + ⎜ 3 − 5 ⎟ + ⎜ 5 − 7 ⎟ + ... + ⎜ 2n − 1 − 2n + 1 ⎟ ⎟
                 2 ⎝⎝        ⎠ ⎝         ⎠ ⎝         ⎠         ⎝                 ⎠⎠
                  1⎛        1 ⎞
          =         ⎜1 −         ⎟
                  2 ⎝ 2n + 1 ⎠

      lim Sn     = lim 1 ⎛1 − 1 ⎞ = 1
                            ⎜           ⎟
      n →∞           n →∞ 2
                            ⎝ 2n + 1 ⎠           2
                                                                       1
      ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูเขา และมีผลบวกเทากับ
                                                                      2
60

11. ใหอนุกรมนี้คอ a1 + a2 + a3 + ... + an + ... โดยที่ an = 2n – 5
                 ื
                                                             15            15
    จะได ผลบวกของ 15 พจนแรกของอนุกรมนี้ คือ ∑ a n =                      ∑ (2n − 5)
                                                             n =1         n =1
                                                                            15      15
                                                                      =   2 ∑ n– ∑ 5
                                                                            n =1 n =1
                                                                             ⎛ 15(16) ⎞
                                                                      =   2⎜          ⎟ –15(5)
                                                                             ⎝ 2 ⎠
                                                                      = 240 – 75
                                                                      = 165

12. (1) ลําดับของจํานวนเต็มระหวาง 9 กับ 199 ที่ 8 หารลงตัวคือ 16, 24, 32, ..., 192
        เพราะวา      an     =       a1 + (n – 1)8
        จะได         192 =          16 + (n – 1)8
                                             ⎛ 192 − 16 ⎞
                           n        =        ⎜          ⎟ +1
                                             ⎝    8     ⎠
                           n        =        23
                                             n
           จาก             Sn       =          (a1 + a n )
                                             2
                                             23
           จะได           S23      =           (16 + 192)
                                             2
                               =        2392
           ดังนัน ผลบวกของจํานวนเต็มที่อยูระหวาง 9 กับ 199 ที่ 8 หารลงตัวเทากับ 2392
                ้

    (2) ลําดับของจํานวนเต็มระหวาง 9 กับ 199 คือ 10, 11, 12, ..., 198 ซึ่งมี 189 จํานวน
                                             189
           จะได           S189     =            (10 + 198)
                                              2
                                =        19656
           ผลบวกของจํานวนเต็มทีอยูระหวาง 9 กับ 199 เปน 19656
                                ่
           จะไดผลบวกของจํานวนเต็มที่อยูระหวาง 9 กับ 199 ที่ 8 หารไมลงตัวเปน
           19656 – 2392 = 17264

13. (1) e
    (2) π
    (3) ln 2

More Related Content

PDF
ข้อสอบตรรกศาตร์ม.4
PDF
มาตรฐานและตัวบ่งชี้ สมศ.รอบสี่
PDF
แบบทดสอบ พร้อมเฉลย ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน
PDF
ใบงานสถิติและข้อมูล
PDF
การลบแบบมีการยืม 3 หลัก สำหรับ ป.1
PDF
เขียนเรื่องจากจินตนาการ ป.3
PDF
โครงสร้างคณิตศาสตร์ เพิ่มเติม ม.ต้น
PDF
สมบัติของเลขยกกำลัง
ข้อสอบตรรกศาตร์ม.4
มาตรฐานและตัวบ่งชี้ สมศ.รอบสี่
แบบทดสอบ พร้อมเฉลย ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน
ใบงานสถิติและข้อมูล
การลบแบบมีการยืม 3 หลัก สำหรับ ป.1
เขียนเรื่องจากจินตนาการ ป.3
โครงสร้างคณิตศาสตร์ เพิ่มเติม ม.ต้น
สมบัติของเลขยกกำลัง

What's hot (20)

PDF
กรณฑ์ที่สอง
PDF
แบบฝึกหัดรูปสี่เหลี่ยมป.5 6
PDF
การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน
PDF
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเพื่อนคู่คิด เล่มที่ 13 การบวก ลบ คูณ หาร เศษส่วน
PDF
ข้อสอบคณิตศาสตร์ (PISA)
PDF
รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ ม.1
PDF
รูปสี่เหลี่ยม ป.5.pdf
PDF
การเขียนเรื่องจากจินตนาการ
PDF
เขียนเรื่องจากจินตนาการ ป.3
PDF
ติวก่อนสอบ ม.2
PDF
ใบงาน วิชา เศรษฐศาสตร์ ม.1
PDF
ฮิสโทแกรม
PDF
ใบงานรูปเรขาคณิตสามมิติ
PPT
สูตรการหาพื้นที่ พร้อมตัวอย่าง
PDF
โครงการปรับปรุงซ่อมแซมโรงอาหารโรงเรียนบ้านโคกกลางแก้งน้อยฯ
PPTX
การลบโดยใช้วิธีนิขิลัม.pptx
PDF
กิจกรรมการคิดเกมค่ายนักเรียน
PDF
ชุดที่ 8 การแก้โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับสัดส่วน
PDF
แผนภาพต้นไม้11
กรณฑ์ที่สอง
แบบฝึกหัดรูปสี่เหลี่ยมป.5 6
การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเพื่อนคู่คิด เล่มที่ 13 การบวก ลบ คูณ หาร เศษส่วน
ข้อสอบคณิตศาสตร์ (PISA)
รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ ม.1
รูปสี่เหลี่ยม ป.5.pdf
การเขียนเรื่องจากจินตนาการ
เขียนเรื่องจากจินตนาการ ป.3
ติวก่อนสอบ ม.2
ใบงาน วิชา เศรษฐศาสตร์ ม.1
ฮิสโทแกรม
ใบงานรูปเรขาคณิตสามมิติ
สูตรการหาพื้นที่ พร้อมตัวอย่าง
โครงการปรับปรุงซ่อมแซมโรงอาหารโรงเรียนบ้านโคกกลางแก้งน้อยฯ
การลบโดยใช้วิธีนิขิลัม.pptx
กิจกรรมการคิดเกมค่ายนักเรียน
ชุดที่ 8 การแก้โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับสัดส่วน
แผนภาพต้นไม้11
Ad

Viewers also liked (14)

PDF
61 ลำดับและอนุกรม ตอนที่3_ลิมิตของลำดับ
PPT
Prob[1]
PDF
แบบฝึก แฟกทอเรียล N
PDF
62 ลำดับและอนุกรม ตอนที่4_ผลบวกย่อย
PDF
Report1 5
PDF
68 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่3_การจัดหมู่
PDF
โครงงาน 5 บท
PDF
67 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่2_การเรียงสับเปลี่ยน
PDF
โครงงานคิดคล่องว่องไว
PPT
โครงงานคณิตศาสตร์ มุม
PDF
ตัวอย่างโครงงาน
DOCX
โครงงานคณิตศาสตร์
PDF
โครงงานเรขาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ของพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยมและรูปสี่เ...
PDF
ความน่าจะเป็น
61 ลำดับและอนุกรม ตอนที่3_ลิมิตของลำดับ
Prob[1]
แบบฝึก แฟกทอเรียล N
62 ลำดับและอนุกรม ตอนที่4_ผลบวกย่อย
Report1 5
68 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่3_การจัดหมู่
โครงงาน 5 บท
67 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่2_การเรียงสับเปลี่ยน
โครงงานคิดคล่องว่องไว
โครงงานคณิตศาสตร์ มุม
ตัวอย่างโครงงาน
โครงงานคณิตศาสตร์
โครงงานเรขาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ของพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยมและรูปสี่เ...
ความน่าจะเป็น
Ad

Similar to คณิตเพิ่ม ม6 เล่ม2 - บทที่ 1 (20)

PDF
66 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่1_การนับเบื้องต้น
PDF
72 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่7_ความน่าจะเป็น2
PDF
3 กำหนดการสอน
PDF
แนวข้อสอบ
PDF
71 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่6_ความน่าจะเป็น1
PDF
ข้อสอบ กพ ปี 57 คู่มือสอบภาค ก กพ ความรู้ความสมารถทั่วไป หนังสิอสอบ E-BOOK ภา...
PDF
ค30202 แคลคูลัสเบื้องต้น
PDF
Series
PDF
Series
PDF
Series
PDF
Series
PDF
1 คำอธิบายรายวิชา
PDF
9789740333005
PDF
9789740333005
PDF
Sequence and series 01
PDF
3 ระบบจำนวนจริง
PDF
66 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่1_การนับเบื้องต้น
72 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่7_ความน่าจะเป็น2
3 กำหนดการสอน
แนวข้อสอบ
71 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่6_ความน่าจะเป็น1
ข้อสอบ กพ ปี 57 คู่มือสอบภาค ก กพ ความรู้ความสมารถทั่วไป หนังสิอสอบ E-BOOK ภา...
ค30202 แคลคูลัสเบื้องต้น
Series
Series
Series
Series
1 คำอธิบายรายวิชา
9789740333005
9789740333005
Sequence and series 01
3 ระบบจำนวนจริง

คณิตเพิ่ม ม6 เล่ม2 - บทที่ 1

  • 1. บทที่ 1 ลําดับอนันตและอนุกรมอนันต (20 ชั่วโมง) ลําดับอนันตและอนุกรมอนันตที่จะกลาวถึงในบทนี้ เปนเรื่องเกี่ยวกับลิมิตของลําดับ ทฤษฎีบทตาง ๆ เกี่ยวกับลิมตของลําดับ การหาผลบวกของอนุกรมอนันต และการใชสญลักษณ ิ ั แทนการบวก ตลอดจนโจทยที่แสดงใหเห็นการนําความรูที่กลาวมาไปใชในการแกปญหาตาง ๆ  ผลการเรียนรูที่คาดหวัง 1. หาลิมิตของลําดับอนันตโดยอาศัยทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิตได 2. หาผลบวกของอนุกรมอนันตได 3. นําความรูเรื่องลําดับและอนุกรมไปใชแกปญหาได ผลการเรียนรูที่คาดหวังดังกลาวเปนผลการเรียนรูที่สอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรู ชวงชั้นที่ 4 ทางดานความรู ในการจัดการเรียนรูผูสอนตองคํานึงถึงมาตรฐานการเรียนรูดาน ทักษะ/ กระบวนการทางคณิตศาสตรดวยการสอดแทรกกิจกรรมหรือโจทยปญหาที่จะสงเสริมให ผูเรียนเกิดทักษะ / กระบวนการทางคณิตศาสตรที่จําเปนอันไดแกความสามารถในการแกปญหา การใหเหตุผล การสื่อสาร การสื่อความหมายทางคณิตศาสตรและการนําเสนอ การเชื่อมโยง ความรูตาง ๆ ทางคณิตศาสตรและเชื่อมโยงคณิตศาสตรกับศาสตรอื่น และการคิดริเริ่มสรางสรรค นอกจากนั้น กิจกรรมการเรียนรูควรสงเสริมใหผูเรียนตระหนักในคุณคาและมีเจตคติที่ดีตอวิชา คณิตศาสตร ตลอดจนฝกใหผูเรียนทํางานอยางเปนระบบ มีระเบียบวินัย รอบคอบ มีความ รับผิดชอบ มีวิจารณญาณและมีความเชื่อมันในตนเอง ่ สาระการเรียนรูคณิตศาสตรเพิ่มเติมเปนสาระการเรียนรูสาหรับการศึกษาตอและอาชีพ ํ ดังนั้นในการจัดการเรียนรูในสาระนี้ ผูสอนควรสงเสริมใหผูเรียนไดฝกทักษะการคิดวิเคราะห  โดยคํานึงถึงความสมเหตุสมผลของขอมูล ดังนั้น ในการสอนแตละสาระผูสอนจําเปนตองศึกษา สาระนั้น ๆ ใหเขาใจถองแทเสียกอนแลวเลือกวิธีสอนใหเหมาะสม เพื่อทําใหการจัดการเรียนรู ไดผลดี
  • 2. 2 ขอเสนอแนะ 1. รูปแบบการกําหนดลําดับทําไดหลายแบบ ผูสอนควรย้าและยกตัวอยางใหผูเรียนเห็นวา ํ การกําหนดลําดับโดยการแจงพจนแลวหาพจนทวไปของลําดับนั้น อาจหาพจนทั่วไปไดตางกัน ั่ (ดูหนังสือเรียนหนา 3 – 4 และคูมือครูสาระการเรียนรูพื้นฐาน ชันมัธยมศึกษาปที่ 5 เรื่องลําดับ  ้ และอนุกรม หนา 2) 2. ผูสอนควรทบทวนเรื่องลําดับจํากัด ลําดับเลขคณิตและลําดับเรขาคณิต และอนุกรม จํากัดกอนที่จะขยายความตอและกลาวถึงลําดับอนันตและอนุกรมอนันต ผูสอนควรบอกผูเรียน ดวยวา ยังมีลําดับอื่น ๆ อีกมากมายที่ไมใชลําดับเลขคณิตหรือลําดับเรขาคณิต ผูสอนอาจใช ประโยชนจากเว็บไซต The On-Line Encyclopedia of Integer Sequences ซึ่งเก็บรวบรวมลําดับ ตาง ๆ ไวใหคนหาไดมากมาย ที่ http://www.research.att.com/~njas/sequences/ หรือผูสอนอาจ ใหผูเรียนชวยกันสรางลําดับใหมเอง 3. ในเรื่องความสัมพันธเวียนเกิด ผูสอนอาจเพิ่มเติมแบบฝกหัดสําหรับผูเรียนที่สนใจ คณิตศาสตรเปนพิเศษ ผูสอนอาจใหผูเรียนกําหนดลําดับที่กําหนดใหตอไปนี้โดยใชความสัมพันธ เวียนเกิด (1) 1, 2, 4, 8, 16, ..., 2n–1 , ... เพราะวา a1 = 1 a2 = 2 = 2(1) = 2a1 a3 = 4 = 2(2) = 2a2 a4 = 8 = 2(4) = 2a3 an = 2n–1 = 2an–1 ดังนั้น กําหนดลําดับนี้โดยใชความสัมพันธเวียนเกิดไดเปนลําดับ an = 2an–1 เมื่อ n ≥ 2, a1 = 1 (2) 1, –1, 1, –1, ..., (–1)n+1, ... เพราะวา a1 = 1 a2 = –1 = (–1)(1) = (–1)a1 a3 = 1 = (–1)(–1) = (–1)a2 a4 = –1 = (–1)(1) = (–1)a3 an = (–1)an–1 ดังนั้น กําหนดลําดับนี้โดยใชความสัมพันธเวียนเกิดไดเปนลําดับ an = (–1)an–1 เมื่อ n ≥ 2, a1 = 1
  • 3. 3 (3) กําหนดลําดับ 5, 9, 13, 17, ..., 4n + 1, ... โดยใชความสัมพันธเวียนเกิดไดเปน ลําดับ an = an–1 + 4 เมื่อ n ≥ 2 , a1 = 5 (4) กําหนดลําดับ 1, 3, 9, 27, ..., 3n–1, ... โดยใชความสัมพันธเวียนเกิดไดเปนลําดับ an = 3an–1 เมื่อ n ≥ 2 , a1 = 1 (5) กําหนดลําดับ 1, 1, 1, 1, ..., 1, ... โดยใชความสัมพันธเวียนเกิดไดเปนลําดับ an = an–1 เมื่อ n ≥ 2, a1 = 1 n(n + 1) (6) กําหนดลําดับ 1, 3, 6, 10, 15, ..., , ... โดยใชความสัมพันธเวียนเกิด 2 ไดเปนลําดับ an = an–1+ n เมื่อ n ≥ 2, a1 = 1 (7) กําหนดลําดับ 5, 10, 30, 120, ..., 5n!, ... โดยใชความสัมพันธเวียนเกิดไดเปน ลําดับ an = nan–1 เมื่อ n ≥ 2, a1 = 5 4. การทบทวนสูตรพจนที่ n ของลําดับเลขคณิต (หนา 7) และสูตรพจนที่ n ของลําดับ เรขาคณิต (หนา 9) โดยการเขียนยอนกลับ ผูสอนอาจจะแสดงตัวอยางที่เปนตัวเลขใหผูเรียนพิจารณา ประกอบไปดวยสัก 2 – 3 ตัวอยางกอนที่จะสรุปเปนกรณีทั่วไป และถาผูสอนพิจารณาแลววา แนวทางของเรื่องเดียวกันทีนําเสนอไวในหนังสือเรียนสาระการเรียนรูพื้นฐาน ชันมัธยมศึกษา ่  ้ ปที่ 5 เขาใจงายกวา ก็อาจขามสวนนี้ไปก็ได อยางไรก็ตาม ผูสอนควรชี้ใหผูเรียนเห็นแนวทาง ที่แตกตางของทั้งสองวิธี 5. จากการพิจารณาลิมิตของลําดับ ทําใหแบงลําดับออกเปน 2 ประเภท คือ ลําดับ ที่มีลิมิต เรียกวา ลําดับลูเขา และลําดับที่ไมมีลิมิต เรียกวา ลําดับลูออก สําหรับลําดับลูออก ถาพิจารณาลําดับจากกราฟจะแบงออกเปน 3 ประเภทคือ (1) ลําดับลูออกซึ่งพจนที่ n มีคามากขึ้นเรื่อย ๆ เมือ n มีคามากขึ้นโดยไมมีที่สนสุด ่  ิ้ เชน 1, 2, 4, ..., 2 n–1 , ... (2) ลําดับลูออกซึ่งพจนที่ n มีคาลดลงเรื่อย ๆ เมื่อ n มีคามากขึ้นโดยไมมีที่สิ้นสุด เชน –1, –3, –5, ..., –(2n – 1), ... (3) ลําดับลูออกซึ่งมีลักษณะแตกตางจากลําดับในขอ (1) และขอ (2) ซึงเรียกวา ่ ลําดับแกวงกวัด เชน an = (–1)n , bn = (–1)n n 6. การเชื่อมโยงมโนทัศนเรื่องลิมิตของลําดับกับรูปภาพ ผูสอนอาจเริ่มจากการคํานวณ  แลวเขียนกราฟ และพิจารณาแนวโนมวา เมื่อ n มีคามากขึ้นเรื่อย ๆ กราฟของลําดับ an จะเปน อยางไร ผูสอนอาจแนะนําการเขียนกราฟโดยใชเครื่องมือตาง ๆ เชน กระดาษกราฟ เครื่องคํานวณ โปรแกรม Geometer’s Sketchpad หรือโปรแกรมประเภทตารางทํางาน เชน Microsoft Excel 7. หนังสือเรียนไมไดแสดงวิธีการพิสูจนทฤษฎีบทตาง ๆ เกี่ยวกับลิมิตไว ผูสอนควรให ผูเรียนพิจารณาคา an โดยตรง หรือทดลองเขียนกราฟของลําดับ an แลวพิจารณาแนวโนมของกราฟ
  • 4. 4 1 1 เชน ใหผูเรียนพิจารณาลําดับ an = และ an = 1 เพื่อนําไปสูการยอมรับทฤษฎีบทที่วา n3 n 3 1 lim n →∞ n r = 0 เมื่อ r เปนจํานวนจริงบวกใด ๆ ผูเรียนควรอธิบายไดวา เมื่อ n มีคามากขึ้นอยาง 1 1 1 ไมมีที่สิ้นสุด n3 และ n3 จะมีคามากขึ้นอยางไมมีที่สิ้นสุดดวย ซึ่งจะทําให และ 1 มีคา n3 n 3 นอยลงและเขาใกล 0 1 ใหผูเรียนพิจารณาลําดับ an = n4 และ an = n เพื่อนําไปสูการยอมรับทฤษฎีบท 4 ที่วา nlim n r หาคาไมได เมื่อ r เปนจํานวนจริงบวกใด ๆ ผูเรียนควรอธิบายไดวา เมื่อ n มี →∞  1 คามากขึ้นอยางไมมีที่สิ้นสุด n4 และ n4 จะมีคามากขึ้นอยางไมมีที่สิ้นสุดดวย n n ⎛1⎞ ⎛ 1⎞ ใหผูเรียนพิจารณาลําดับ an = ⎜ ⎟ และ an = ⎜− ⎟ เพื่อนําไปสูการยอมรับ ⎝ 3⎠ ⎝ 4⎠ ทฤษฎีบทที่วา lim r n n →∞ = 0 เมื่อ r เปนจํานวนจริง และ r <1 ใหผูเรียนพิจารณาลําดับ an = 3n และ an = (–4)n เพื่อนําไปสูการยอมรับทฤษฎี บทที่วา nlim r หาคาไมได เมื่อ r เปนจํานวนจริง และ r > 1 →∞ n 8. ขอความวา “ nlim a n หาคาไมได” มีความหมายเชนเดียวกับขอความ “ลําดับ an →∞ ไมมลิมต” หรือ “พจนที่ n ของลําดับ an ไมเขาใกลหรือเทากับจํานวนจริง L ใด ๆ เลย” ในบทนี้ ี ิ ไมมการใชขอความวา “ nlim a n = ∞ ” หรือ “ nlim a n = – ∞ ” ี →∞ →∞ 9. ในหนังสือเรียนหนา 22 ผูสอนควรย้ํากับผูเรียนวา จะใชทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิตได a lim a n เมื่อเงื่อนไขเบืองตนเปนจริงกอนเทานัน เชน จะสรุปวา ้ ้ lim n = n →∞ ไดเมื่อ lim a n →∞ b n lim b n →∞ n n →∞ n และ lim b n →∞ n หาคาได และ lim b ≠ 0 n →∞ n ในกรณีที่ไมสามารถใชทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิตของลําดับ an โดยตรงได อาจตองจัดรูปของ an กอนการใชทฤษฎีบทเกียวกับลิมิต ดังปรากฏในหลาย ๆ ตัวอยางในหนังสือเรียน อยางไรก็ตาม ่ ลําดับบางลําดับก็ยังคงใชทฤษฎีบทเกียวกับลิมิตไมไดถึงแมจะพยายามจัดรูปใหแตกตางจากเดิม ่ แลว เชน 2 2n − 3n พิจารณาลําดับ an = 4n − 5 เนื่องจาก 2 lim (2n − 3n) n →∞ และ lim (4n − 5) n →∞ หาคาไมไดทั้งคู ฉะนั้น หากตองการ 2 2 2n − 3n lim (2n − 3n) หา nlim a n = nlim →∞ →∞ จึงใชทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิตที่วา lim a = n →∞ n n →∞ ไมได 4n − 5 lim (4n − 5) n →∞ การจัดรูป an กอนการพิจารณาลิมิตอาจทําไดหลาย ๆ แบบ บางคนอาจทําดังนี้
  • 5. 5 2⎛ 3⎞ 3 2 2n − 3n ⎜2 − ⎟ n 2− = ⎝ n⎠ = n 4n − 5 2⎛4 5 ⎞ 4 − 5 n ⎜ − ⎟ ⎝ n n2 ⎠ n n2 กรณีนก็ยงคงใชทฤษฎีบทเกียวกับลิมิตไมได เพราะเปนกรณียกเวน เนื่องจาก ้ี ั ่ ⎛4 5 ⎞ − n →∞ ⎜ n n 2 lim ⎟ =0 ⎝ ⎠ 2 2n − 3n n ( 2n − 3) 2n − 3 บางคนอาจทําดังนี้ = = 4n − 5 ⎛ 5⎞ 4− 5 n⎜4 − ⎟ ⎝ n⎠ n การจัดรูป an เชนนี้กยังคงใชทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิตไมไดเชนเดียวกัน เพราะ ็ lim (2n − 3) หาคาไมได n →∞ จะเห็นไดวาการจัดรูป an ทั้งสองแบบไมสามารถชวยสรุปไดวา a n เปนลําดับลูเขาหรือลู ออกโดยใชทฤษฎีบทเกียวกับลิมตได จึงตองใชวิธีอื่นพิจารณา เชน การพิจารณาคาของ an ่ ิ โดยตรง หรือจากกราฟของลําดับ an เปนตน 10. จากบทนิยามของอนุกรมจะเห็นวา อนุกรมไดจากการบวกพจนทุกพจนของลําดับ และในการศึกษาเรื่องลิมิตของอนุกรมไดแบงอนุกรมออกเปน 2 ประเภท เชนเดียวกับลําดับ คือ อนุกรมลูเขาและอนุกรมลูออก จากตัวอยางของอนุกรมลูเขาจะเห็นวา อนุกรมลูเขามักจะไดจาก ลําดับลูเขา บางคนอาจจะเขาใจอยางไมถูกตองวา ลําดับลูเขาทุกลําดับเมื่อนํามาเขียนเปนอนุกรม จะไดอนุกรมลูเขาเสมอ ซึ่งเปนขอที่ควรระวังอยางยิ่งดังตัวอยางตอไปนี้ (1) 1, 1, 1, ..., 1, ... เปนลําดับลูเขาที่มีลิมิตเปน 1 1 + 1 + 1 + ... + 1 + ... เปนอนุกรมลูออก 1 (2) 1, 1 , 1 , ..., , ... เปนลําดับลูเขาที่มีลิมิตเปน 0 2 4 2n −1 1 1 1 1 + + + ... + n −1 + ... เปนอนุกรมลูเขา และผลบวกของ 2 4 2 อนุกรมนี้มีคาเปน 2  1 1 1 (3) 1, , ,..., ,... เปนลําดับลูเขาที่มีลิมิตเปน 0 2 3 n 1 1 1 1 + + + ... + + ... เปนอนุกรมลูออก  2 3 n การแสดงวาอนุกรม 1 + 1 + 1 + ... + 1 + ... เปนอนุกรมลูออกนัน จะตองพิสูจนไดวา ้ 2 3 n ลําดับผลบวกยอยไมมีลิมิต แตวิธีการพิสูจนคอนขางยุงยากในทีนี้จะแสดงคาของพจนแรก ๆ บาง ่ พจนของลําดับผลบวกยอยเพื่อใหเห็นวา เมื่อมีจํานวนพจนมากเขาผลบวกยอยจะมากขึ้นไดเรื่อย ๆ ดังนี้
  • 6. 6 S1 = 1 1 S2 = 1+ 2 1 1 S3 = 1+ + 2 3 1 1 1 S4 = 1+ + + 2 3 4 1 1 1 1 1 1 แต 1+ + + > 1+ + + 2 3 4 2 4 4 > 2 ดังนั้น S4 > 2 1 1 1 1 1 1 1 S8 = 1+ + + + + + + 2 3 4 5 6 7 8 1 ⎛1 1⎞ ⎛1 1 1 1⎞ แต 1+ + ⎜ + ⎟ + ⎜ + + + ⎟ 2 ⎝3 4⎠ ⎝5 6 7 8⎠ > 1+ 1 + ⎛ 1 + 1 ⎞ + ⎛ 1 + 1 + 1 + 1 ⎞ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ 2 ⎝ 4 4⎠ ⎝8 8 8 8⎠ > 21 2 ดังนั้น S8 > 2 1 2 1 ⎛1 1⎞ ⎛1 1 1 1⎞ S16 = 1+ + ⎜ + ⎟ + ⎜ + + + ⎟ 2 ⎝3 4⎠ ⎝5 6 7 8⎠ ⎛1 1 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 1 1 ⎞ +⎜ + + + ⎟ + ⎜ + + + ⎟ ⎝ 9 10 11 12 ⎠ ⎝ 13 14 15 16 ⎠ 1 ⎛1 1⎞ ⎛1 1 1 1⎞ S16 > 1+ + ⎜ + ⎟ + ⎜ + + + ⎟ 2 ⎝ 4 4⎠ ⎝8 8 8 8⎠ ⎛1 1 1 1 1 1 1 1⎞ +⎜ + + + + + + + ⎟ ⎝ 16 16 16 16 16 16 16 16 ⎠ S16 > 3 จะพบวา S4 (ผลบวก 4 พจนแรก) มากกวา 2 1 S8 (ผลบวก 8 พจนแรก) มากกวา 2 2 S16 (ผลบวก 16 พจนแรก) มากกวา 3 1 S32 (ผลบวก 32 พจนแรก) มากกวา 3 2 S64 (ผลบวก 64 พจนแรก) มากกวา 4 และผลบวกยอยจะมีคามากขึ้นเรื่อย ๆ ไปไมมีที่สิ้นสุด 11. จากการศึกษาเรื่องอนุกรมเลขคณิต จะเห็นวาอนุกรมอนันตที่เปนอนุกรมเลขคณิต สวนมากเปนอนุกรมลูออก จะทําใหบางคนคิดวาอนุกรมอนันตที่เปนอนุกรมเลขคณิตทุกอนุกรม
  • 7. 7 เปนอนุกรมลูออก แตความจริงแลวมีอนุกรมอนันตที่เปนอนุกรมเลขคณิตและเปนอนุกรมลูเขา คือ  อนุกรม 0 + 0 + 0 + ... + 0 + ... ซึ่งเปนอนุกรมเลขคณิตที่มี a1 = 0 และ d = 0 และมีผลบวก เปน 0 12. ผูสอนควรย้ํากับผูเรียนวาการพิจารณาอนุกรมวาเปนอนุกรมลูเขาหรือลูออกตอง พิจารณาจากลําดับของผลบวกยอยของอนุกรมเปนหลัก เชน พิจารณาอนุกรม 1 – 1 + 1 – 1 + ... + (–1)n–1 + ... จะเห็นวาลําดับของผลบวกยอย ของอนุกรมนีคือ 1, 0, 1, 0, 1, ... ซึ่งเปนลําดับลูออก ้ ดังนั้น อนุกรม 1 – 1 + 1 – 1 + ... + (–1)n–1 + ... จึงเปนอนุกรมลูออก ผูสอนควรเสนอแนะเพิ่มเติมวา อาจมีบางคนเขียนจัดรูปอนุกรมขางตนใหมดังนี้ 1 – 1 + 1 – 1 + ... + (–1)n–1 + ... = (1 – 1) + (1 – 1) + (1 – 1) + ... ซึ่งจะไดอนุกรม 0 + 0 + 0 + 0 + ... + 0 + ... เปนอนุกรมลูเขา ที่มีผลบวกเปน 0 หรือบางคนอาจเขียนจัดรูปอนุกรมขางตนใหมดังนี้ 1 – 1 + 1 – 1 + ... + (–1)n–1 + ... = 1 + (–1 + 1) + (–1 + 1) + (–1 + 1) + ... ซึ่งจะไดอนุกรม 1 + 0 + 0 + 0 + 0 + ... เปนอนุกรมลูเขา ที่มีผลบวกเปน 1 ผูสอนควรชี้แนะใหผเู รียนเขาใจใหไดวาการเขียนจัดรูปอนุกรมขางตนทั้งสองแบบ แลวสรุปวา อนุกรม 1 – 1 + 1 – 1 + ... + (–1)n–1 + ... เปนอนุกรมลูเขานั้นไมถูกตอง 13. ในบทเรียนนี้มุงใหพิจารณาอนุกรมอนันตเฉพาะอนุกรมเรขาคณิตหรืออนุกรมที่ อาจจะหาพจนที่ n ของลําดับผลบวกยอยไดไมยากนัก กลาวคือ ถาเปนอนุกรมเรขาคณิตก็ a1 พิจารณาอัตราสวนรวม r และถา r <1 ก็สามารถหาผลบวกจากสูตร S = สวนอนุกรม 1− r ที่ไมใชอนุกรมเรขาคณิตนัน ใหหาผลบวกโดยการหาลําดับของผลบวกยอยกอน นั่นคือ จะตอง ้ หาพจนที่ n ของลําดับผลบวกยอยนั้น แลวจึงหาลิมิตของลําดับผลบวกยอย 14. ในบทเรียนนี้ไดนําเสนออนุกรมประเภทหนึ่งซึ่งมีความสําคัญและนาสนใจเรียกวา อนุกรมเทเลสโคป (telescoping series) อนุกรมเทเลสโคป คือ อนุกรม a1 + a2 + a3 + ... + an + ... ที่สามารถเขียนอยูในรูป a1 + a2 + a3 + ... + an + ... = (b1 – b2) + (b2 – b3) + (b3 – b4) + ... + (bn – bn+1) + ... เมื่อ a1 = b1 – b2 a2 = b2 – b3 a3 = b3 – b4 an = bn – bn+1 ดังนั้น a1 + a2 + a3 ... + an = b1 – bn+1
  • 8. 8 ผูสอนควรเนนลักษณะพิเศษของอนุกรมประเภทนี้ใหผเู รียนทราบ ตัวอยางของอนุกรม เทเลสโคปในหนังสือเรียน ดังเชน 1 1 1 1 ⎛ 1⎞ ⎛1 1⎞ ⎛1 1⎞ ⎛1 1 ⎞ + + + ... + = ⎜ 1 − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ... + ⎜ − ⎟ 1⋅ 2 2 ⋅ 3 3 ⋅ 4 n(n + 1) ⎝ 2⎠ ⎝ 2 3⎠ ⎝3 4⎠ ⎝ n n +1⎠ 1 = 1− n +1 3 5 7 2n + 1 ⎛1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ + + + ... + 2 = ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ... + ⎜ 2 − ⎜n ⎟ 1 ⋅ 4 4 ⋅ 9 9 ⋅ 16 n ( n + 1) ( n + 1) ⎟ 2 2 ⎝1 4 ⎠ ⎝ 4 9 ⎠ ⎝ ⎠ 1 = 1− ( n + 1) 2 15. ผูสอนอาจจะแนะนําสัญลักษณ ∑ ในหัวขอเรื่องสัญลักษณแทนการบวก ไปพรอม กับหัวขอเรื่องผลบวกของอนุกรมอนันตเลยก็ได หากพิจารณาแลวเห็นวาสอดคลองกับแนว ทางการจัดการเรียนการสอนที่ปฏิบัติอยู 16. ในหนังสือเรียนหัวขอ 1.2.2 ไดกลาวถึงสมบัติของ ∑ ที่ควรทราบไว สมบัติ เหลานั้นแสดงใหเห็นจริงไดโดยงาย ผูสอนควรเชิญชวนใหผูเรียนทดลองพิสูจนสมบัติตาง ๆ ดวย ตนเอง ดังนี้ n (1) ∑c = nc เมื่อ c เปนคาคงตัว i =1 n ∑c = c + c + c + ... + c i =1 n พจน = nc n n (2) ∑ cai = c∑ a i เมื่อ c เปนคาคงตัว i=1 i =1 n ∑ cai = ca1 + ca2 + ca3 + ... + can i=1 = c(a1 + a2 + a3 + ... + an) n = c∑ a i i =1 n n n (3) ∑ (ai + bi ) = ∑ a i + ∑ bi i =1 i =1 i =1 n ∑ (ai + bi ) = (a1 + b1) + (a2 + b2) + (a3 + b3) + ... + (an + bn) i =1 = (a1 + a2 + a3 + ... + an) + (b1 + b2 + b3 + ... + bn) n n = ∑ a i + ∑ bi i =1 i =1
  • 9. 9 n n n ในทํานองเดียวกันจะแสดงไดวา ∑ (ai − bi ) = ∑ ai − ∑ bi i =1 i =1 i =1 n 17. ในการหาผลบวก ∑ i นอกจากวิธีที่แสดงไวในหนังสือเรียนแลว ยังแสดงไดโดยวิธี i =1 n n เดียวกันกับที่ใชหาสูตรของ ∑ i2 หรือ ∑ i3 ดังนี้ i =1 i =1 2 2 เนื่องจาก n – (n – 1) = 2n – 1 -----(1) (n – 1)2 – (n – 2)2 = 2(n – 1) – 1 -----(2) (n – 2)2 – (n – 3)2 = 2(n – 2) – 1 -----(3) 32 – 22 = 2(3) – 1 -----(n–2) 22 – 12 = 2(2) – 1 -----(n–1) 12 – 02 = 2(1) – 1 -----(n) n n (1) + (2) + (3) + ... + (n) จะได n2 = 2∑ i − ∑1 i=1 i=1 n = 2∑ i − n i=1 n n2 + n n(n + 1) ดังนั้น ∑i = = i =1 2 2 n n n หลังจากศึกษาที่มาของสูตร ∑ i , ∑ i , ∑ i แลว ผูสอนอาจถามผูเรียนตอวา 2 3 i =1 i =1 i =1 n n การหาสูตร ∑ i หรือ ∑ i จะดําเนินการตามวิธีการเดิมไดหรือไม ผูสอนอาจแนะนําให 4 5 i =1 i =1 ผูเรียนเริ่มตนจาก n – (n – 1)5 และ n6 – (n – 1)6 ตามลําดับ 5 18. แบบฝกหัด 1.2 ข ขอ 7 และขอ 9 อาจจะยากเกินไปหากผูเรียนไมสามารถจัดรูปใหม ได ดังนัน ผูสอนควรใหคาแนะนําเบื้องตนในแตละขอดังนี้ ้ ํ 1 1 1 7(1) = − n ( n + 1) n n +1 1 1⎛ 1 1 ⎞ 7(2) = ⎜ − ⎟ ( 2n − 1)( 2n + 1) 2 ⎝ 2n − 1 2n + 1 ⎠ 1 1⎛ 1 1 ⎞ 7(3) = ⎜ n ( n + 1) − ( n + 1)( n + 2 ) ⎟ ⎜ ⎟ n ( n + 1)( n + 2 ) 2⎝ ⎠ 1 1⎛1 1 ⎞ 7(4) = ⎜ − ⎟ n ( n + 2) 2⎝ n n +2⎠ 2n + 1 1 1 9(1) = − n ( n + 1) ( n + 1) 2 2 2 2 n
  • 10. 10 กิจกรรมแสนอแนะ ลิมิตของลําดับ กิจกรรมที่ 1 ผูสอนและผูเรียนชวยกันเขียนกราฟของลําดับ an ตอไปนี้บนกระดานดํา หรือใชโปรแกรม ประเภทตารางทํางาน เชน Microsoft Excel 1 (1) an = 2n (2) an = 2 (−1)n (3) an = 1+ n (4) an = 2n – 1 (5) an = (–1)n+1 จากนั้นชวยกันพิจารณากราฟของลําดับ an เมื่อ n มีคามากขึ้นโดยไมมีที่สิ้นสุด คาของ พจนที่ n ของลําดับ จะมีคาเขาใกลจํานวนจริงใดหรือไม ซึ่งผูเรียนควรบอกไดวา สําหรับ ลําดับในขอ (1) คาของพจนที่ n จะเขาใกล 0 ลําดับในขอ (2) คาของพจนที่ n จะเปน 2 เสมอ ลําดับในขอ (3) คาของพจนที่ n จะเขาใกล 1 ลําดับในขอ (4) คาของพจนที่ n จะมากขึนเรื่อย ๆ ้ ลําดับในขอ (5) คาของพจนที่ n จะเปน 1 เมื่อ n เปนจํานวนคี่ และ เปน –1 เมื่อ n เปนจํานวนคู ผูสอนเสนอแนะผูเรียนวาลําดับในขอ (1), (2) และ (3) คาของพจนที่ n จะเขาใกลหรือ เทากับจํานวนจริงเพียงจํานวนเดียวเทานั้น ในกรณีที่พจนที่ n ของลําดับมีคาเขาใกลหรือเทากับ จํานวนจริง L เพียงจํานวนเดียวเทานั้น เมื่อ n มีคามากขึ้นโดยไมมีที่สนสุด จะเรียก L วาเปนลิมิต ิ้ ของลําดับนั้น หรือกลาววาลําดับนั้นมีลิมิตเปน L สวนลําดับที่ไมมีสมบัติเชนนี้จะเปนลําดับที่ไมมี ลิมิต ผูสอนใหผูเรียนบอกวาลําดับขางตนลําดับใดบางมีลิมิตและลิมตเปนเทาใด ลําดับใดไมมีลิมต ิ ิ ซึ่งผูเรียนควรบอกไดวา ลําดับในขอ (1) มีลิมิตเปน 0 ลําดับในขอ (2) มีลิมิตเปน 2 และลําดับใน ขอ (3) มีลิมิตเปน 1 ผูสอนทบทวนผูเรียนเกี่ยวกับลําดับที่มีลิมิตเรียกวา ลําดับลูเขา สวนลําดับที่ไมมีลิมิต เรียกวาลําดับลูออก แลวผูสอนใหผูเรียนบอกวาลําดับทั้งหาลําดับขางตน ลําดับใดเปนลําดับลูเขา และลําดับใดเปนลําดับลูออก ซึ่งผูเรียนควรบอกไดวา ลําดับในขอ (1), (2) และ (3) เปนลําดับลู เขา ลําดับในขอ (4) และ (5) เปนลําดับลูออก
  • 11. 11 กิจกรรมที่ 2 ผูสอนอาจใชการพับกระดาษแสดงความหมายของลิมิตของลําดับบางลําดับไดดังตอไปนี้ 1 1 1 1 1 เชน พิจารณาลําดับ 1, , , , , ,… 2 4 8 16 32 1 1 2 1 4 1 8 1 16 1 32 ผูสอนอธิบายวาถาพับกระดาษตอไปอีก จะไดความยาวของกระดาษนอยลงเรื่อย ๆ จน เกือบเปน 0 แสดงวา ถา n มีคามากขึ้นโดยไมมีที่สิ้นสุด พจนที่ n ของลําดับจะเขาใกล 0 และ กลาวไดวา ลิมิตของลําดับขางตนเทากับ 0  อนุกรมอนันต กิจกรรมที่ 3 ผูสอนอาจประยุกตใชกจกรรมตอไปนี้นําเขาเรื่องอนุกรมอนันตได ใหผูเรียนปฏิบติ ิ ั ตามลําดับขั้นและตอบคําถามตอไปนี้ ขั้นที่ 1 ตัดกระดาษขนาด A4 เปนรูปสี่เหลี่ยมผืนผาสามรูปที่เทากัน ดังรูป
  • 12. 12 ขั้นที่ 2 แยกสวนที่หนึ่งไวกองหนึ่ง สวนที่สองไวอีกกองหนึ่ง เก็บสวนที่สามไวในมือ ขั้นที่ 3 ทําซ้ําขั้นที่ 1 และ 2 กับกระดาษสวนที่สามที่อยูในมือไปเรื่อย ๆ 1. สมมติวากระดาษ A4 มีพื้นที่ 1 ตารางหนวย และสมมติวาสามารถตัดกระดาษซ้ํา ตอไปไดอีกอยางตอเนื่องไมสิ้นสุด จะมีกระดาษในกองที่หนึ่งเทาไร กองที่สองเทาไร และมี เหลืออยูในมือเทาไร ใหเขียนผลบวกของเศษสวนทีใชแทนพื้นที่ของกระดาษที่มีอยูในแตละกอง ่ ผูเรียนควรตอบไดวา จะมีกระดาษในกองที่หนึ่งและกองที่สองเทากันคือเทากับ 1 1 1 1 + + + + ... ตารางหนวย และกระดาษที่อยูในมือจะชิ้นเล็กลงเรื่อย ๆ จนไมสามารถตัด 3 32 33 34 ไดจริง ๆ 2. สมมติวาสามารถตัดกระดาษซ้ําตอไปไดอีกอยางตอเนืองอยางไมสิ้นสุด เศษสวนในขอ 1 ่ จะมีอยูอยางจํากัดหรือนับไมถวน และผลบวกของเศษสวนเหลานันหาคาไดหรือไม ้ ผูเรียนควรตอบไดวา เศษสวนในขอ 1 มีอยูอยางไมจํากัด แตผลบวกของเศษสวนเหลานั้น ยังไมแนใจวาจะหาไดหรือไม 3. อนุกรมอนันต คือ ผลบวกของจํานวนหลาย ๆ จํานวน นับไมถวน เชน 1 + 2 + 3 + 4 + 5 + ... + n + ... เปนอนุกรมอนันต อนุกรมนี้สามารถหาผลบวกเปนจํานวน ๆ หนึงไดหรือไม ่ ผูเรียนควรตอบไดวา ไมสามารถหาผลบวกดังกลาวได  4. ถาอนุกรมอนันตไมสามารถหาผลบวกเปนจํานวน ๆ หนึ่งได เรียกอนุกรมนั้นวา 1 1 1 1 อนุกรมลูออก เชน อนุกรมในขอ 3 เปนอนุกรมลูออก อนุกรม + + + + ... ลูออก 2 2 2 23 2 4 หรือไม ใหสรางแบบจําลองการตัดกระดาษคลาย ๆ กับที่ทํามาแลว 1 1 1 1 อนุกรม + + + + ... ยังไมแนใจวาจะหาผลบวกไดหรือไม แบบจําลองการ 2 2 2 23 2 4 ตัดกระดาษไปเรื่อย ๆ ซึ่งแทนอนุกรม 1 + 12 + 13 + 14 + ... ในขอ 4 เปนดังนี้ 2 2 2 2 1 23 1 24 1 2 1 22
  • 13. 13 กิจกรรมที่ 4 n การหาสูตร ∑ i นอกจากจะใชวิธีทางพีชคณิตดังที่ปรากฏในหนังสือเรียนแลว ผูสอน i =1 อาจเพิ่มความนาสนใจใหผูเรียนโดยใชพนที่สรุปการหาผลบวกของ i ไดอีกวิธหนึงดังนี้ ื้ ี ่ กําหนดใหรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็ก ๆ 1 รูป มีพื้นที่ 1 ตารางหนวย รูปที่ 1 จะเห็นวารูปที่ 1 มีพื้นที่เทากับ 1 + 2 + 3 + 4 ตารางหนวย ถานํารูปที่ 1 จํานวนสองรูปมาประกอบกัน จะไดรูปสี่เหลี่ยมผืนผาหนึ่งรูป ดังนี้ 4 4 4 5 รูปสี่เหลี่ยมผืนผาที่ไดมีพื้นที่เปนสองเทาของรูปที่ 1 และมีพื้นที่เทากับ 4 × 5 ตารางหนวย ดังนัน จึงได 4 × 5 = 2(1 + 2 + 3 + 4) ้ 4×5 = 1+2+3+4 2 ในทํานองเดียวกัน เมื่อ n เปนจํานวนเต็มบวก และตองการหาคาของ 1 + 2 + 3 + ... + n ก็พิจารณาจากพื้นที่ได n n n n+1
  • 14. 14 จะเห็นวารูปซาย มีพื้นที่เทากับ 1 + 2 + 3 + 4 + ... + n ตารางหนวย ถานํารูปซายจํานวนสองรูปมาประกอบกัน จะไดรูปสี่เหลี่ยมผืนผาหนึ่งรูปทีมความยาว ่ ี n + 1 หนวย และความกวาง n หนวย รูปสี่เหลี่ยมผืนผามีพื้นที่เปนสองเทาของรูปซาย และมีพื้นที่เทากับ n(n + 1) ตารางหนวย ดังนัน จึงได n(n + 1) = 2(1 + 2 + 3 + 4 + ... + n) ้ n = 2∑ i i=1 n n(n + 1) ∑i = 2 i =1 ตัวอยางแบบทดสอบประจําบท 1. ลําดับตอไปนี้เปนลําดับลูเขาหรือลูออก 2n 1 − n2 (1) an = (2) an = 5n − 3 2 + 3n 2 n n2 − n + 7 ⎛9⎞ (3) an = (4) an = 1+ ⎜ ⎟ 2n 3 + n 2 ⎝ 10 ⎠ n ⎛ 1⎞ (5) an = 2−⎜− ⎟ (6) an = 1 + (–1)n ⎝ 2⎠ 2. จงตัดสินวาลําดับตอไปนี้เปนลําดับลูเขาหรือลูออก โดยพิจารณาคาของพจนตาง ๆ ในลําดับ โดยตรง หรือใชเครื่องคํานวณชวยเขียนกราฟของลําดับ หรือใชทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมต ิ n−2 1 (1) an = (2) an = (−1) n +1 n + 13 n 3. เขียน 0.249 ใหอยูในรูปเศษสวน 4. จงหาคา ∞ ∞ (1) ∑ 2 (2) ∑ 4k 1 3 n =1 n k =1 2 −1 ∞ 2n + 7 n ∞ ⎛ 6 6 ⎞ (3) ∑ n (4) ∑ ⎜ 4k − 1 − 4k + 3 ⎟ n =0 9 ⎝ k =1 ⎠ 1 1 1 1 5. อนุกรม + + + ... + + ... เปนอนุกรมลูเขาหรือลูออก 1⋅ 5 2 ⋅ 6 3 ⋅ 7 n(n + 4) 6. การเลนบันจีจัมป (bungee jump) เปนกิจกรรมทาทายที่ผูเลนกระโดดลงมาจากที่สงโดยมีปลาย ู เชือกดานหนึ่งผูกติดลําตัวหรือหัวเขาของผูเลน ปลายเชือกอีกดานหนึ่งผูกติดไวกบฐานกระโดด ั ชายคนหนึงใชเชือกยาว 250 ฟุต กระโดดบันจีจัมปจากฐานกระโดด และพบวาหลังจากใน ่ แตละครั้งที่เขาดิ่งลงถึงตําแหนงต่ําสุด เชือกที่มีความยืดหยุนสูงจะดึงตัวเขาใหลอยขึ้นเปน ระยะทาง 55% ของระยะทางที่เขาดิ่งลงถึงตําแหนงต่ําสุด จงหาระยะทางที่ชายคนนี้เคลื่อนที่ ลอยขึ้นและดิ่งลงทั้งหมด
  • 15. 15 เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท 2n 2n 2 1. (1) lim n →∞ 5n − 3 = lim n →∞ ⎛ = lim n →∞ 3 3⎞ n⎜5 − ⎟ 5− ⎝ n⎠ n ⎛ 3⎞ เนื่องจาก lim 2 n →∞ = 2 และ lim ⎜ 5 − ⎟ n →∞ ⎝ = 5 n⎠ 2 lim 2 2 จะได lim n →∞ 3 = n →∞ = 5− ⎛ 3⎞ 5 lim 5 − ⎟ n n →∞ ⎜ ⎝ n⎠ 2n 2n 2 ดังนั้น ลําดับ an = เปนลําดับลูเขา และ lim n →∞ 5n − 3 = 5n − 3 5 ⎛ 1 ⎞ 1 n 2 ⎜ 2 − 1⎟ −1 1− n 2 ⎝n ⎠ = lim n 2 (2) lim n →∞ 2 + 3n 2 = nlim →∞ 2 ⎛ 2 n →∞ 2 ⎞ +3 n ⎜ 2 + 3⎟ ⎝n ⎠ n2 เนื่องจาก nlim ⎛ 12 − 1⎞ = –1 และ nlim ⎛ 22 + 3 ⎞ = 3 →∞ ⎜ n ⎟ →∞ ⎜ n ⎟ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ 1 ⎛ 1 ⎞ −1 lim − 1⎟ n →∞ ⎜ n 2 จะได nlim 2 →∞ n2 = ⎝ ⎠ = −1 +3 ⎛ 2 ⎞ 3 lim + 3⎟ n2 n →∞ ⎜ n 2 ⎝ ⎠ 1 − n2 เปนลําดับลูเขา และ nlim 1 − n 2 2 1 ดังนั้น ลําดับ a n = →∞ 2 + 3n = − 2 + 3n 2 3 ⎛1 1 7 ⎞ 1 1 7 n3 ⎜ − 2 + 3 ⎟ − 2+ 3 n −n+7 2 n n n ⎠ (3) lim n →∞ 2n 2 + n 2 = nlim ⎝ →∞ = nlim n n 1 n →∞ 3⎛ 1⎞ n ⎜2+ ⎟ 2+ ⎝ n⎠ n เนื่องจาก nlim ⎛ 1 − 13 + 73 ⎞ = 0 และ nlim ⎛ 2 + 1 ⎞ = 2 →∞ ⎜ n n ⎟ →∞ ⎜ ⎟ ⎝ n ⎠ ⎝ n⎠ 1 1 7 − 2+ 3 จะได nlim n n 1 n = 0 = 0 →∞ 2+ 2 n ดังนั้น ลําดับ a n = 2 2 เปนลําดับลูเขา และ nlim n − n + 27 = 0 n2 − n + 7 2 2n + n →∞ 2n 3 + n n ⎛ 9⎞ (4) เนื่องจาก lim 1 n →∞ = 1 และ lim n →∞ ⎜ 10 ⎟ =0 ⎝ ⎠ ⎛ ⎛ 9 ⎞n ⎞ ⎛9⎞ n จะได lim ⎜ 1 + ⎜ ⎟ ⎟ n →∞ ⎜ ⎝ 10 ⎠ ⎟ = lim 1 + lim ⎜ ⎟ n →∞ n →∞ ⎝ 10 ⎠ ⎝ ⎠ = 1+0 ⎛9⎞ n ⎛ ⎛ 9 ⎞n ⎞ ดังนั้น ลําดับ an = 1+ ⎜ ⎟ เปนลําดับลูเขา และ lim ⎜ 1 + ⎟ n →∞ ⎜ ⎜ 10 ⎟ ⎟ =1 ⎝ 10 ⎠ ⎝ ⎝ ⎠ ⎠
  • 16. 16 n ⎛ 1⎞ (5) เนื่องจาก lim 2 n →∞ = 2 และ lim − n →∞ ⎜ 2 ⎟ =0 ⎝ ⎠ ⎛ ⎛ 1⎞ ⎞ n ⎛ 1⎞ n จะได lim ⎜ 2 − ⎜ − ⎟ ⎟ n →∞ ⎜ = lim 2 − lim ⎜ − ⎟ ⎝ ⎝ 2⎠ ⎟ ⎠ n →∞ n →∞ ⎝ 2 ⎠ = 2–0 = 2 ⎛ 1⎞ n ⎛ ⎛ 1⎞ ⎞ n ดังนั้น an = 2−⎜− ⎟ เปนลําดับลูเขา และ lim ⎜ 2 − ⎜ − ⎟ ⎟ n →∞ ⎜ = 2 ⎝ 2⎠ ⎝ ⎝ 2⎠ ⎟ ⎠ (6) ลําดับนี้คือ 0, 2, 0, 2, ... ซึ่งไมมีลิมิต ดังนั้น ลําดับนี้เปนลําดับลูออก 2. (1) พิจารณาคาของ an โดยตรง เมื่อ n มีคามากขึ้น n – 2 และ n +13 มีคาใกลเคียงกัน n−2 มาก ลิมิตของลําดับ an = จึงเทากับ 1 n + 13 ใชทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิตเพือสนับสนุนการพิจารณาขางตนดังนี้ ่ ⎛ 2⎞ 2 n ⎜1 − ⎟ 1− n−2 ⎝ n⎠ lim n →∞ n + 13 = nlim →∞ ⎛ 13 ⎞ = nlim 13 →∞ n n ⎜1 + ⎟ 1+ ⎝ n⎠ n เนื่องจาก nlim ⎛1 − 2 ⎞ = 1 และ nlim ⎛1 + 13 ⎞ = 1 →∞ ⎜ ⎟ →∞ ⎜ ⎟ ⎝ n⎠ ⎝ n⎠ 2 ⎛ 2⎞ 1− lim ⎜1 − ⎟ n →∞ ⎝ n⎠ จะได nlim 13 = →∞ n 1+ ⎛ 13 ⎞ lim 1 + ⎟ n n →∞ ⎜⎝ n⎠ 1 = = 1 1 ดังนั้น ลําดับ a n = n − 2 เปนลําดับลูเขา และ nlim n − 2 →∞ n + 13 =3 n + 13 1 1 1 1 1 (2) คํานวณหาแตละพจนของลําดับ an = (−1) n +1 ไดลําดับ 1, − , , − , , ... n 2 3 4 5 จากนั้นพิจารณาคาของ an โดยตรง หรือเขียนกราฟของลําดับ an โดยใชโปรแกรม ประเภทตาราง เชน Microsoft Excel มาชวย จะไดกราฟดังรูป an 1 0.8 0.6 0.4 0.2 0 2 4 6 8 10 n -0.2 -0.4
  • 17. 17 จากกราฟ จะเห็นวา an จะเขาใกล 0 เมื่อ n มีคามากขึ้นโดยไมมีที่สนสุด ิ้ ดังนั้น ลําดับ an = (−1) n +1 1 เปนลําดับลูเขา และ n →∞ ⎛ (−1)n +1 1 ⎞ = 0 lim ⎜ ⎟ n ⎝ n⎠ 3. 0.249 = 0.24999... = 0.24 + 0.009 + 0.0009 + 0.00009 + ... 9 9 9 = 0.24 + 3 + 4 + 5 + ... 10 10 10 9 9 9 9 3 + 4 + 5 + ... เปนอนุกรมเรขาคณิตที่มี a1 = 3 และ r = 1 10 10 10 10 10 1 9 9 9 เนื่องจาก r = <1 อนุกรม 3 + 4 + 5 + ... เปนอนุกรมลูเขา 10 10 10 10 9 9 a1 103 103 = 1 และมีผลบวกเทากับ = 1 = 9 = 0.01 1− r 1− 100 10 10 1 ดังนั้น 0.249 = 0.24 + 0.01 = 0.25 = 4 ∞ 4. (1) ∑ 2 = n 2 2 2 2 + 2 + 3 + ... + n + ... 3 n =1 3 3 3 3 2 1 เปนอนุกรมเรขาคณิตที่มี a1 = และ r = 3 3 1 1 เนื่องจาก r = = < 1 อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูเขา 3 3 2 a1 และมีผลบวกเทากับ = 3 1 = 1 1− r 1− 3 ∞ ดังนั้น ∑ 2 = 1 n 3 n =1 n (2) ให Sn = ∑ 1 4k − 1 k =1 2 1 1 เนื่องจาก = 4k − 1 2 (2k) 2 − 1 1 = (2k − 1)(2k + 1) n ⎛1 ⎛ 1 1 ⎞⎞ จะได Sn = ∑ ⎜ 2 ⎜ 2k − 1 − 2k + 1 ⎟ ⎟ k =1⎝ ⎝ ⎠ ⎠ 1 n ⎛ 1 1 ⎞ = ∑ ⎝ 2k − 1 − 2k + 1 ⎠ ⎜ ⎟ 2 k =1 1 ⎛⎛ 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞⎞ = ⎜ ⎜1 − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ... + ⎜ − ⎟⎟ 2 ⎝⎝ 3 ⎠ ⎝ 3 5 ⎠ ⎝ 5 7 ⎠ ⎝ 2n − 1 2n + 1 ⎠ ⎠
  • 18. 18 1⎛ 1 ⎞ = ⎜1 − ⎟ 2 ⎝ 2n + 1 ⎠ 1⎛ 1 ⎞ 1 lim Sn n →∞ = lim ⎜ 1 − n →∞ 2 ⎝ ⎟ = 2n + 1 ⎠ 2 ∞ ดังนั้น ∑ 1 = 1 4k − 1 k =1 2 2 ∞ 2n + 7 n ∞ 2n ∞ n (3) ∑ = ∑ + ∑7 n =0 9n n =0 9 n 9 n =0 n ∞ ⎛ 2 ⎞n ∞ ⎛ 7 ⎞n = ∑⎜ ⎟ + ∑⎜ ⎟ n =0 ⎝ 9 ⎠ ⎝9⎠ n =0 1 1 = 2 + 7 1− 1− 9 9 9 9 18 + 63 81 = + = = 7 2 14 14 ∞ 2n + 7 n 81 ∑ = n =0 9n 14 (4) ให Sn = ∑ ⎛ 6 − 6 ⎞ n ⎜ ⎟ ⎝ 4k − 1 4k + 3 ⎠ k =1 n ⎛ 6 6 ⎞ จะได Sn = ∑ ⎝ 4k − 1 − 4k + 3 ⎠ ⎜ ⎟ k =1 ⎛ 6⎞ ⎛6 6 ⎞ ⎛ 6 6 ⎞ ⎛ 6 6 ⎞ = ⎜ 2 − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ... + ⎜ − ⎟ ⎝ 7 ⎠ ⎝ 7 11 ⎠ ⎝ 11 15 ⎠ ⎝ 4n − 1 4n + 3 ⎠ 6 = 2− 4n + 3 ⎛ 6 ⎞ lim S n →∞ n = lim 2 − n →∞ ⎜ ⎟ = 2 ⎝ 4n + 3 ⎠ ∞ ดังนั้น ∑ ⎛ 6 − 6 ⎞ = 2 ⎜ ⎟ k =1⎝ 4k − 1 4k + 3 ⎠ 1 1⎛1 1 ⎞ 5. พิจารณา = ⎜ − ⎟ k(k + 4) 4⎝k k+4⎠ 1 1 1 1 ดังนั้น Sn = + + + ... + 1⋅ 5 2⋅6 3⋅ 7 n(n + 4) 1 ⎛⎛ 1⎞ ⎛1 1⎞ ⎛1 1⎞ ⎛1 1⎞ ⎛1 1⎞ ⎛1 1 ⎞ = ⎜ ⎜1 − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + 4 ⎝ ⎝ 5 ⎠ ⎝ 2 6 ⎠ ⎝ 3 7 ⎠ ⎝ 4 8 ⎠ ⎝ 5 9 ⎠ ⎝ 6 10 ⎠ ⎛1 1 ⎞ ⎛1 1 ⎞⎞ ⎜ − ⎟ + ... + ⎜ − ⎟⎟ ⎝ 7 11 ⎠ ⎝ n n + 4 ⎠⎠ 1⎛ 1 1 1⎞ 1⎛ 1 1 1 1 ⎞ = ⎜1 + + + ⎟ + ⎜ − − − − ⎟ 4 ⎝ 2 3 4 ⎠ 4 ⎝ n +1 n + 2 n + 3 n + 4 ⎠
  • 19. 19 ⎛1⎛ 1 1 1⎞ 1⎛ 1 1 1 1 ⎞⎞ เนื่องจาก lim Sn n →∞ = lim ⎜ ⎜ 1 + + + ⎟ + ⎜ − − − − ⎟⎟ ⎝ ⎝ 2 3 4 ⎠ 4 ⎝ n +1 n + 2 n + 3 n + 4 ⎠⎠ n →∞ 4 1⎛ 1 1 1⎞ = ⎜1 + + + ⎟ 4⎝ 2 3 4⎠ 25 = 48 1 1 1 1 25 ดังนั้น อนุกรม + + + ... + + ... เปนอนุกรมลูเขา และมีผลบวกเทากับ 1⋅ 5 2⋅6 3⋅ 7 n(n + 4) 48 6. ระยะทางทีชายคนนี้เริ่มกระโดดจนถึงตําแหนงต่ําสุดมีระยะทาง 250 ฟุต ่ ชายคนนี้จะลอยขึ้นสูงเปนระยะทาง 55% ของระยะทางที่เขาดิ่งลงถึงตําแหนงต่ําสุด มีคาเทากับ 11 ของระยะทางที่เขาดิ่งลงถึงตําแหนงต่ําสุด 20 ระยะทางที่ชายคนนี้ลอยขึ้นครั้งที่ 1 แลวดิ่งลงถึงตําแหนงต่ําสุดมีระยะทาง 11 11 11 คือ 250 ⎛ 20 ⎞ + 250 ⎛ 20 ⎞ = 500 ⎛ 20 ⎞ ฟุต ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ระยะทางที่ชายคนนี้ลอยขึ้นครั้งที่ 2 แลวดิ่งลงถึงตําแหนงต่ําสุดมีระยะทางคือ 11 11 11 11 11 2 250 ⎛ 20 ⎞⎛ 20 ⎞ + 250 ⎛ 20 ⎞⎛ 20 ⎞ = 500 ⎛ 20 ⎞ ⎜ ⎟⎜ ⎟ ⎜ ⎟⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ฟุต ⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ระยะทางที่ชายคนนี้ลอยขึ้นแลวดิ่งลงเปนเชนนีไปเรื่อย ๆ ้ จะไดระยะทางที่ชายคนนี้เคลื่อนที่ลอยขึ้นและดิ่งลงทั้งหมดเทากับ 2 3 ⎛ 11 ⎞ ⎛ 11 ⎞ ⎛ 11 ⎞ 250 + 500 ⎜ ⎟ + 500 ⎜ ⎟ + 500 ⎜ ⎟ + ... ⎝ 20 ⎠ ⎝ 20 ⎠ ⎝ 20 ⎠ ⎛ 11 ⎛ 11 ⎞2 ⎛ 11 ⎞3 ⎞ = 250 + 500 ⎜ + ⎜ ⎟ + ⎜ ⎟ + ... ⎟ ⎜ 20 ⎝ 20 ⎠ ⎝ 20 ⎠ ⎟ ⎝ ⎠ ⎛ 11 ⎞ ⎜ ⎟ = 250 + 500 ⎜ 20 ⎟ 11 ⎜1− ⎟ ⎜ ⎟ ⎝ 20 ⎠ ⎛ 11 ⎞ = 250 + 500 ⎜ ⎟ ⎝9⎠ = 861.11 ดังนั้น ในการกระโดดบันจีจัมปครั้งนี้ ชายคนนี้เคลื่อนที่ลอยขึ้นและดิ่งลงเปนระยะทาง ทั้งหมด 861.11 ฟุต
  • 20. 20 เฉลยแบบฝกหัด 1.1 ก 1. (1) a2 = a1 + 2 – 1 = 0 + 2 – 1 = 1 a3 = a2 + 3 – 1 = 1 + 3 – 1 = 3 a4 = a3 + 4 – 1 = 3 + 4 – 1 = 6 a5 = a4 + 5 – 1 = 6 + 5 – 1 = 10 ดังนั้น 5 พจนแรกของลําดับนี้คือ 0, 1, 3, 6, 10 (2) a2 = 1 + 0.05a1 = 1 + 0.05(1000) = 51 a3 = 1 + 0.05a2 = 1 + 0.05(51) = 3.55 a4 = 1 + 0.05a3 = 1 + 0.05(3.55) = 1.1775 a5 = 1 + 0.05a4 = 1 + 0.05(1.1775) = 1.058875 ดังนั้น 5 พจนแรกของลําดับนี้คือ 1000, 51, 3.55, 1.1775, 1.058875 (3) a2 = 6a1 = 6(2) = 12 a3 = 6a2 = 6(12) = 72 a4 = 6a3 = 6(72) = 432 a5 = 6a4 = 6(432) = 2592 ดังนั้น 5 พจนแรกของลําดับนี้คือ 2, 12, 72, 432, 2592 (4) a3 = a2 + 2a1 = 2 + 2(1) = 4 a4 = a3 + 2a2 = 4 + 2(2) = 8 a5 = a4 + 2a3 = 8 + 2(4) = 16 ดังนั้น 5 พจนแรกของลําดับนี้คือ 1, 2, 4, 8, 16 (5) a3 = a2 + a1 = 0+2 = 2 a4 = a3 + a2 = 2+0 = 2 a5 = a4 + a3 = 2+2 = 4 ดังนั้น 5 พจนแรกของลําดับนี้คือ 2, 0, 2, 2, 4 2. (1) เปนลําดับเลขคณิต มีผลตางรวมเปน 2 (2) เปนลําดับเรขาคณิต มีอัตราสวนรวมเปน –1 (3) เปนลําดับเลขคณิต มีผลตางรวมเปน –2 1 (4) เปนลําดับเรขาคณิต มีอัตราสวนรวมเปน 3 (5) ไมเปนทั้งลําดับเลขคณิตและลําดับเรขาคณิต
  • 21. 21 3. (1) d = 4 – (–2) = 6 เนื่องจาก an = a1 + (n – 1)d ∴ an = –2 + (n – 1)6 = 6n – 8 พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = 6n – 8 1 ⎛ 1⎞ 1 (2) d = −⎜− ⎟ = 6 ⎝ 6⎠ 3 เนื่องจาก an = a1 + (n – 1)d 1 1 ∴ an = − + (n − 1) 6 3 3 n = − + 6 3 2n − 3 = 6 2n − 3 พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = 6 1 5 (3) d = 13 − 11 = 2 2 เนื่องจาก an = a1 + (n – 1)d 5 ∴ an = 11 + (n − 1) 2 17 5n = + 2 2 5n + 17 = 2 5n + 17 พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = 2 (4) d = 22.54 – 19.74 = 2.8 เนื่องจาก an = a1 + (n – 1)d ∴ an = 19.74 + (n – 1)(2.8) = 2.8n + 16.94 พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = 2.8n + 16.94 (5) d = (x + 2) – x = 2 เนื่องจาก an = a1 + (n – 1)d ∴ an = x + (n – 1)2 = x + 2n – 2 พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = x – 2 + 2n
  • 22. 22 (6) d = (2a + 4b) – (3a + 2b) = –a + 2b เนื่องจาก an = a1 + (n – 1)d ∴ an = (3a + 2b) + (n – 1)(–a + 2b) = 3a + 2b – na + 2nb + a – 2b = 4a – na + 2nb พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = 4a – na + 2nb 4. จะได 5p – p = 6p + 9 – 5p 4p = p+9 3p = 9 p = 3 จะได สามพจนแรกของลําดับนี้คือ 3, 15, 27 ลําดับนี้มีผลตางรวมเปน 12 ดังนั้น สี่พจนตอไปของลําดับนี้คือ 39, 51, 63, 75 5. ใหลําดับนี้มีสามพจนแรกคือ a – d, a, a + d จะได a–d+a+a+d = 12 ---------- (1) 3 3 3 และ (a – d) + a + (a + d) = 408 ---------- (2) จาก (1) 3a = 12 a = 4 จาก (2), a3 – 3a2d + 3ad2 – d3 + a3 + a3 + 3a2d + 3ad2 + d3 = 408 3a3 + 6ad2 = 408 3 2 3(4) + 24d = 408 24d2 = 408 – 192 216 d2 = 24 = 9 d = 3 หรือ –3 ถา d = 3 แลว จะไดลําดับนี้คือ 1, 4, 7, 10, 13, ... ถา d = –3 แลว จะไดลําดับนี้คือ 7, 4, 1, –2, –5, ... −6 6. (1) r = = 2 −3 เนื่องจาก an = a1rn–1 ∴ an = (–3)2n–1 พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = (–3)2n–1
  • 23. 23 −5 1 (2) r = = − 10 2 เนื่องจาก an = a1rn–1 n −1 ⎛ 1⎞ ∴ an = 10 ⎜ − ⎟ ⎝ 2⎠ n −1 ⎛ 1⎞ พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = 10 ⎜ − ⎟ ⎝ 2⎠ 5 (3) r = 4 1 = 5 4 เนื่องจาก an = a1rn–1 ⎛ 1 ⎞ n −1 ∴ an = ⎜ ⎟5 ⎝4⎠ ⎛ 1 ⎞ n −1 พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = ⎜ ⎟5 ⎝4⎠ 5 (4) r = 3 5 = 2 6 เนื่องจาก an = a1rn–1 ⎛ 5 ⎞ n −1 ∴ an = ⎜ ⎟ (2) ⎝6⎠ ⎛ 5 ⎞ n −1 พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = ⎜ ⎟ (2) ⎝6⎠ 1 3 (5) r = 12 2 = − − 8 9 เนื่องจาก an = a1rn–1 n −1 ⎛ 2 ⎞⎛ 3 ⎞ ∴ an = ⎜ − ⎟⎜ − ⎟ ⎝ 9 ⎠⎝ 8 ⎠ n −1 ⎛ 2 ⎞⎛ 3 ⎞ พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = ⎜ − ⎟⎜ − ⎟ ⎝ 9 ⎠⎝ 8 ⎠ a 2 b2 a (6) r = = ab3 b เนื่องจาก an = a1rn–1 n −1 ⎛a⎞ ∴ an = 3 (ab ) ⎜ ⎟ ⎝b⎠
  • 24. 24 an = b4− n an พจนที่ n ของลําดับนี้คือ an = b4− n 7. (1) ให a1 = –15 และ a5 = –1215 จะได a5 = a 1r4 = –1215 –15r4 = –1215 r4 = 81 r = –3 หรือ r = 3 ดังนั้น สามพจนที่อยูระหวาง –15 กับ –1215 คือ 45, –135, 405 หรือ –45, –135, –405 4 27 (2) ให a1 = และ a5 = 3 64 27 จะได a5 = a 1r4 = 64 4 4 27 r = 3 64 4 81 r = 256 3 3 r = หรือ r = − 4 4 4 27 3 9 3 ดังนั้น 3 พจนที่อยูระหวาง กับ คือ 1, , หรือ –1, , −9 3 64 4 16 4 16 8. ให a เปนจํานวนทีนําไปบวก ่ จะได 3 + a, 20 + a, 105 + a เปนลําดับเรขาคณิต 20 + a 105 + a ดังนั้น = 3+ a 20 + a 400 + 40a + a2 = 315 + 108a + a2 68a = 85 85 5 a = = 68 4 5 จํานวนที่นําไปบวกคือ 4
  • 25. 25 เฉลยแบบฝกหัด 1.1 ข 1. (1) ลูออก n 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 an 1 0 –1 0 1 0 –1 0 1 0 an 1.5 1 0.5 0 n 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 -0.5 -1 -1.5 (2) ลูเขา n 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 an 1 0 –0.333 0 0.2 0 –0.142 0 –0.111 0 an 1.2 1 0.8 0.6 0.4 0.2 0 n -0.2 0 5 10 15 20 25 30 -0.4
  • 26. 26 (3) ลูเขา n 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 an 2.5 1.666 1.25 1 0.833 0.714 0.625 0.555 0.5 0.454 an 2.5 2 1.5 1 0.5 0 n 0 10 20 30 (4) ลูออก n 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 an 2 2 2.666 4 6.4 10.666 18.285 32 56.888 102.4 an 60 50 40 30 20 10 0 n 0 2 4 6 8
  • 27. 27 (5) ลูออก n 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 an 0 4 0 8 0 12 0 16 0 20 an 40 35 30 25 20 15 10 5 0 n 0 5 10 15 20 (6) ลูเขา n 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 an 3.5 3.75 3.875 3.937 3.968 3.984 3.992 3.996 3.998 3.999 an 4.1 4 3.9 3.8 3.7 3.6 3.5 3.4 n 0 2 4 6 8
  • 28. 28 (7) ลูเขา n 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 an 4 2 1 0.5 0.25 0.125 0.0625 0.03125 0.015625 0.0078125 an 9 8 7 6 5 4 3 2 1 0 n 0 2 4 6 8 (8) ลูเขา n 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 an 0.666 0.816 0.873 0.903 0.922 0.934 0.943 0.950 0.955 0.960 an 1.2 1 0.8 0.6 0.4 0.2 0 n 0 5 10 15 20
  • 29. 29 (9) ลูออก n 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 an –1.333 1.777 –2.370 3.160 –4.213 5.618 –7.491 9.988 –13.318 17.757 an 20 15 10 5 0 n 0 2 4 6 8 10 12 -5 -10 -15 (10) ลูเขา .n 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 an 0.25 0.333 0.3 0.222 0.147 0.090 0.053 0.031 0.017 0.009 an 0.35 0.3 0.25 0.2 0.15 0.1 0.05 0 n 0 2 4 6 8 10 12
  • 30. 30 2. ไมเห็นดวย เพราะเปนการสรุปที่ไมถูกตอง ถา x n และ yn เปนลําดับ การที่จะกลาววา ⎛x ⎞ lim x n lim ⎜ n ⎟ n →∞ y = n →∞ ไดนน ขอตกลงเบืองตนเกียวกับ ั้ ้ ่ lim x n และ lim y n ตองเปน ⎝ n⎠ lim y n n →∞ n →∞ n →∞ จริงกอน ขอกําหนดเบื้องตนนั้นคือ lim x n n →∞ และ lim y n n →∞ ตองหาคาได ในกรณีน้ี ตองจัดรูป an และ bn กอนการใชทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิต ดังนี้ 1 1 n 4 (2 − ) 2− 2n 4 − n 2 n2 n2 จาก = = 3n 4 + 13 n 4 (3 + 13 ) 3+ 13 n4 n4 1 และเนื่องจาก lim(2 − ) = 2 และ lim(3 + 13 ) = 3 n →∞ n2 n →∞n4 1 2− ดังนั้น lim 2n 4 − n 2 = lim n2 n →∞ 3n 4 + 13 n →∞ 13 3+ n4 1 lim(2 − ) = n →∞ n2 13 lim(3 + 4 ) n →∞ n 2 = 3 8 8 1 3. (1) lim = lim n →∞ 3n 3 n →∞ n 8 = (0) 3 = 0 8 ดังนั้น ลําดับ an = เปนลําดับลูเขา 3n n 8n ⎛8⎞ (2) จาก = ⎜ ⎟ 7n ⎝7⎠ n 8n ⎛8⎞ จะได lim n →∞ 7 n = lim ⎜ ⎟ n →∞ 7 ⎝ ⎠ n ⎛8⎞ 8 lim ⎜ ⎟ หาคาไมได เพราะ >1 n →∞ 7 ⎝ ⎠ 7 8n ดังนั้น ลําดับ an = เปนลําดับลูออก 7n (3) (−1) n = 1 เมื่อ n เปนจํานวนคู และ (−1) = –1 เมื่อ n เปนจํานวนคี่ n ดังนั้น ลําดับ an = (–1)n ไมมีลิมิต และเปนลําดับลูออก
  • 31. 31 n n ⎛1⎞ ⎛1⎞ (4) lim 3 ⎜ ⎟ = 3lim ⎜ ⎟ n →∞ ⎝2⎠ n →∞ 2 ⎝ ⎠ = 3(0) = 0 n ⎛1⎞ ดังนั้น ลําดับ an = 3⎜ ⎟ เปนลําดับลูเขา ⎝2⎠ 1 (5) เนื่องจาก lim 4 = 4 และ lim =0 n →∞ n →∞ n ⎛ 1⎞ 1 จะได lim ⎜ 4 + ⎟ = lim 4 + lim n →∞ ⎝ n⎠ n →∞ n →∞ n = 4+0 = 4 1 ดังนั้น ลําดับ an = 4+ เปนลําดับลูเขา n 6n − 4 6n 4 2 (6) จาก = − = 1– 6n 6n 6n 3n ⎛ 2 ⎞ และเนื่องจาก lim1 = 1 และ lim ⎜ ⎟ = 0 n →∞ 3n n →∞ ⎝ ⎠ ⎛ 6n − 4 ⎞ ⎛ 2 ⎞ จะได lim ⎜ ⎟ = lim ⎜1 − ⎟ n →∞ ⎝ 6n ⎠ n →∞ ⎝ 3n ⎠ 2 = lim1 − lim n →∞ n →∞ 3n = 1–0 = 1 6n − 4 ดังนั้น ลําดับ an = เปนลําดับลูเขา 6n (7) เมื่อ n มีคาเพิ่มขึ้น คาของพจนที่ n ของลําดับนี้จะเพิ่มขึ้น และไมเขาใกลจํานวนใด จํานวนหนึ่ง 3n + 5 ดังนั้น ลําดับ an = เปนลําดับลูออก 6 n n 1 (8) จาก = = n +1 ⎛ 1⎞ 1+ 1 n ⎜1 + ⎟ ⎝ n⎠ n 1 และเนื่องจาก lim1 = 1 และ lim = 0 n →∞ n →∞ n ⎛ ⎞ ⎛ n ⎞ ⎜ 1 ⎟ จะได lim ⎜ ⎟ = lim ⎜ ⎟ ⎜1+ 1 ⎟ n →∞ n + 1 ⎝ ⎠ n →∞ ⎜ ⎟ ⎝ n⎠
  • 32. 32 lim1 = n →∞ 1 lim1 + lim n →∞ n →∞ n 1 = 1+ 0 = 1 n ดังนั้น ลําดับ an = เปนลําดับลูเขา n +1 4 (9) เนื่องจาก lim = 0 และ nlim 5n = 0 n →∞ n2 →∞ n 2 ⎛ 4 + 5n ⎞ 4 5n จะได lim ⎜ 2 ⎟ = lim 2 + lim 2 n →∞ ⎝ n ⎠ n →∞ n n →∞ n = 0+0 = 0 4 + 5n ดังนั้น ลําดับ an = เปนลําดับลูเขา n2 ⎛ 1⎞ 1 n⎜2 −⎟ 2− 2n − 1 ⎝ n⎠ (10) จาก = = n 1 3n + 1 ⎛ 1⎞ 3+ n ⎜3 + ⎟ ⎝ n⎠ n ⎛ 1⎞ ⎛ 1⎞ และเนื่องจาก lim ⎜ 2 − ⎟ = 2 n →∞ ⎝ และ lim 3 + ⎟ n →∞ ⎜ = 3 n⎠ ⎝ n⎠ ⎛ 1⎞ lim ⎜ 2 − ⎟ 2n − 1 n →∞ ⎝ n⎠ จะได lim = n →∞ 3n + 1 ⎛ 1⎞ lim ⎜ 3 + ⎟ n →∞ ⎝ n⎠ 2 = 3 2n − 1 ดังนั้น ลําดับ an = เปนลําดับลูเขา 3n + 1 3n 2 − 5n (11) an = เปนลําดับลูออก 7n − 1 7n 2 7n 2 7 (12) จาก = = 3 5n 2 − 3 ⎛ 3 ⎞ 5− n2 ⎜ 5 − 2 ⎟ ⎝ n ⎠ n2 ⎛ 3 ⎞ และเนื่องจาก lim 7 = 7 และ lim ⎜ 5 − 2 ⎟ = 5 n →∞ ⎝ n →∞ n ⎠ 7n 2 lim 7 จะได lim n →∞ 5n 2 − 3 = n →∞ ⎛ 3 ⎞ lim ⎜ 5 − 2 ⎟ n →∞ ⎝ n ⎠
  • 33. 33 7 = 5 7n 2 ดังนั้น ลําดับ an = เปนลําดับลูเขา 5n 2 − 3 4n 2 − 2n + 3 2 3 (13) จาก = 4− + n2 n n2 2 3 และเนื่องจาก lim 4 = 4, lim = 0 และ lim= 0 n →∞ n →∞ n n2 n →∞ ⎛ 4n 2 − 2n + 3 ⎞ ⎛ 2 3 ⎞ จะได lim ⎜ ⎟ = lim ⎜ 4 − + 2 ⎟ n →∞ ⎝ n2 ⎠ n →∞ ⎝ n n ⎠ 2 3 = lim 4 − lim + lim 2 n →∞ n →∞ n n →∞ n = 4–0+0 = 4 4n 2 − 2n + 3 ดังนั้น ลําดับ an = เปนลําดับลูเขา n2 ⎛ 1 ⎞ 1 n2 ⎜ 3 − 2 ⎟ 3− 2 3n − 1 2 ⎝ n ⎠ (14) จาก = = 10 n 10n − 5n 2 2 ⎛ 10 ⎞ −5 n ⎜ − 5⎟ ⎝n ⎠ n และเนื่องจาก nlim ⎛ 3 − 12 ⎞ = 3 และ nlim ⎛ 10 − 5 ⎞ ⎜ ⎟ →∞ ⎜ n ⎟ = –5 →∞ ⎝ n ⎠ ⎝ ⎠ ⎛ 1 ⎞ lim ⎜ 3 − 2 ⎟ ⎛ 3n 2 − 1 ⎞ n →∞ ⎝ n ⎠ จะได nlim ⎜ →∞ 10n − 5n 2 ⎟ = ⎝ ⎠ ⎛ 10 ⎞ lim ⎜ − 5 ⎟ n →∞ ⎝ n ⎠ 3 = − 5 ดังนั้น ลําดับ an = 3n − 1 2 เปนลําดับลูเขา 2 10n − 5n 1 (15) เนื่องจาก lim = 0 และ nlim 1 = 0 →∞ n + 1 n →∞ n ⎛1 1 ⎞ 1 1 จะได lim ⎜ − ⎟ = lim − lim n →∞ n + 1 n →∞ n ⎝ n +1⎠ n →∞ n = 0–0 = 0 1 1 ดังนั้น ลําดับ an = − เปนลําดับลูเขา n n +1
  • 34. 34 n +1 3n +1 3n +1 1⎛ 3⎞ (16) จาก = = ⎜ ⎟ 5n + 2 5 ⋅ 5n +1 5⎝ 5⎠ n +1 3n +1 1⎛ 3⎞ จะได lim n →∞ 5n + 2 = lim ⎜ ⎟ n →∞ 5 5 ⎝ ⎠ n +1 1 ⎛3⎞ = lim ⎜ ⎟ 5 n →∞ 5 ⎝ ⎠ 1 = (0) 5 = 0 n +1 3 ดังนั้น ลําดับ an = เปนลําดับลูเขา 5n + 2 n −1 2n −1 + 3 2n −1 3 1 ⎛2⎞ 1 (17) จาก = + n+2 = ⎜ ⎟ + n +1 3n + 2 27 ⋅ 3n −1 3 27 ⎝ 3 ⎠ 3 ⎛ 1 2 n −1 ⎞ 1 ⎛ 1 ⎞ และเนื่องจาก lim ⎜ ⎛ ⎞⎜ ⎟ ⎟ = และ lim ⎜ ⎟ = 0 n →∞ ⎜ 27 ⎝ 3 ⎠ ⎝ ⎟ ⎠ 27 n →∞ ⎜ 3n +1 ⎟ ⎝ ⎠ 2n −1 + 3 ⎛ 1 2 n −1 1 ⎞ จะได lim n →∞ 3n + 2 = lim ⎜ ⎛ ⎞ ⎜ 27 ⎜ 3 ⎟ + ⎟ n +1 ⎟ n →∞ ⎝ ⎝ ⎠ 3 ⎠ n −1 1 ⎛2⎞ 1 = lim ⎜ ⎟ + lim n +1 27 n →∞ 3 ⎝ ⎠ n →∞ 3 1 = (0) + 0 27 = 0 n −1 2 +3 ดังนั้น ลําดับ an = เปนลําดับลูเขา 3n + 2 ⎛ 1 ⎞ 1 n ⎜1 − ⎟ 1− n −1 ⎝ n⎠ n (18) จาก = = 1 n +1 ⎛ 1 ⎞ 1+ n ⎜1 + ⎟ ⎝ n⎠ n 1 1 และเนื่องจาก lim(1 − ) = 1 และ lim(1 + ) = 1 n →∞ n n →∞ n ⎛ 1 ⎞ lim ⎜ 1 − ⎟ n −1 n →∞ ⎝ n⎠ จะได lim = n →∞ n +1 ⎛ 1 ⎞ lim 1 + n →∞ ⎜ ⎟ ⎝ n⎠ = 1 n −1 ดังนั้น ลําดับ an = เปนลําดับลูเขา n +1
  • 35. 35 1 1 n 1− 1− n2 −1 n2 n2 (19) จาก = = 4n 4n 4 1 และเนื่องจาก lim 1 − = 1 และ lim 4 = 4 n →∞ n2 n →∞ 1 1− n2 −1 n2 จะได lim = lim n →∞ 4n n →∞ 4 1 ⎛ 1 ⎞ = lim ⎜1 − 2 ⎟ 4 n →∞ ⎝ n ⎠ 1 = 1 4 1 = 4 n2 −1 ดังนั้น ลําดับ an = เปนลําดับลูเขา 4n 1 1 n 4− 4− 4n − 1 2 n2 n2 (20) จาก = = 2n + 3 n 3 + 2 ⎛ 2 ⎞ 2 n⎜ 2 + 3 1+ 3 ⎟ 2 + 3 1+ 3 ⎝ n ⎠ n ⎛ 1 ⎞ ⎛ ⎞ และเนื่องจาก lim ⎜ 4 − 2 ⎟ ⎜ = 2 และ nlim ⎜ 2 + 3 1 + 23 ⎟ = 3 n →∞ ⎝ n ⎟⎠ →∞ ⎜ ⎝ n ⎟ ⎠ 1 4− 4n − 1 2 n2 จะได lim = lim n →∞ 2n + 3 n 3 + 2 n →∞ 2 2 + 3 1+ n3 ⎛ 1 ⎞ lim ⎜ 4 − 2 ⎟ n →∞ ⎝ n ⎠ = ⎛ 2 ⎞ lim ⎜ 2 + 3 1 + 3 ⎟ n →∞ ⎝ n ⎠ 2 = 3 4n − 1 2 ดังนั้น ลําดับ an = เปนลําดับลูเขา 2n + 3 n 3 + 2 ( −1)n (21) an = เปนลําดับลูเขา n 8n 2 + 5n + 2 (22) an = เปนลําดับลูออก 3 + 2n
  • 36. 36 4. (1) ไมจริง เชน ลําดับ an = n และ ลําดับ bn = –n เปนลําดับลูออก แตลาดับ (an + bn) = n – n = 0 เปนลําดับลูเขา ํ (2) จริง การพิสูจนโดยขอขัดแยง (proof by contradiction) ทําไดดังนี้ สิ่งที่กําหนดใหคือ ลําดับ an เปนลําดับลูเขา และ ลําดับ bn เปนลําดับลูออก สมมติวา “(an + bn) เปนลําดับลูเขา” เนื่องจากลําดับ an และลําดับ (an + bn) เปนลําดับลูเขา จึงไดวา lim a และ  n →∞ n lim(a n + b n ) n →∞ หาคาได ให lim a n n →∞ = A และ lim(a n + b n ) n →∞ =B พิจารณา lim(a n + b n − a n ) n →∞ = lim b n n →∞ และ lim(a n + b n − a n ) n →∞ = lim(a n + b n ) – lim a n n →∞ n →∞ = B–A ดังนั้น lim b n n →∞ หาคาได ซึ่งทําให ลําดับ bn เปนลําดับลูเขา เกิดขอขัดแยงกับสิ่งทีกําหนดให ่ จึงสรุปวา ขอความที่สมมติวา “(an + bn) เปนลําดับลูเขา” เปนเท็จ นั่นคือ (an + bn) ตองเปนลําดับลูออก r n r n 5. (1) lim P(1 + ) = P lim(1 + ) n →∞ 12 n →∞ 12 n r ⎛ r ⎞ เนื่องจาก 1+ > 1 ดังนั้น lim ⎜1 + ⎟ หาคาไมได 12 n →∞ ⎝ 12 ⎠ n ⎛ r ⎞ ดังนั้น an = P ⎜1 + ⎟ ไมเปนลําดับลูเขา ⎝ 12 ⎠ n ⎛ r ⎞ (2) จาก an = P ⎜1 + ⎟ ⎝ 12 ⎠ 1.5 กําหนด r = = 0.015 100 ⎛ 0.015 ⎞ สิ้นเดือนที่ 1 จะได a1 = 9000 ⎜1 + ⎟ = 9011.25 ⎝ 12 ⎠ 2 ⎛ 0.015 ⎞ สิ้นเดือนที่ 2 จะได a2 = 9000 ⎜1 + ⎟ = 9022.51 ⎝ 12 ⎠ 3 ⎛ 0.015 ⎞ สิ้นเดือนที่ 3 จะได a3 = 9000 ⎜1 + ⎟ = 9033.79 ⎝ 12 ⎠ 4 ⎛ 0.015 ⎞ สิ้นเดือนที่ 4 จะได a4 = 9000 ⎜1 + ⎟ = 9045.08 ⎝ 12 ⎠ 5 ⎛ 0.015 ⎞ สิ้นเดือนที่ 5 จะได a5 = 9000 ⎜1 + ⎟ = 9056.39 ⎝ 12 ⎠ 6 ⎛ 0.015 ⎞ สิ้นเดือนที่ 6 จะได a6 = 9000 ⎜1 + ⎟ = 9067.71 ⎝ 12 ⎠
  • 37. 37 7 ⎛ 0.015 ⎞ สิ้นเดือนที่ 7 จะได a7 = 9000 ⎜1 + ⎟ = 9079.05 ⎝ 12 ⎠ 8 ⎛ 0.015 ⎞ สิ้นเดือนที่ 8 จะได a8 = 9000 ⎜1 + ⎟ = 9090.39 ⎝ 12 ⎠ 9 ⎛ 0.015 ⎞ สิ้นเดือนที่ 9 จะได a9 = 9000 ⎜1 + ⎟ = 9101.76 ⎝ 12 ⎠ 10 ⎛ 0.015 ⎞ สิ้นเดือนที่ 10 จะได a10 = 9000 ⎜ 1 + ⎟ = 9113.13 ⎝ 12 ⎠ ดังนั้น สิบพจนแรกของลําดับ คือ 9011.25, 9022.51, 9033.79, 9045.08, 9056.39, 9067.71, 9079.05, 9090.39, 9101.76, 9113.13 6. (1) ให an เปนงบรายจายปกติทถูกตัดลงเมื่อเวลาผานไป n ป ี่ A แทนงบรายจายปกติเปน 2.5 พันลานบาท 20 4 สิ้นปที่ 1 จะได a1 = A− (A) = A 100 5 2 4 20 ⎛ 4 ⎞ ⎛4⎞ สิ้นปที่ 2 จะได a2 = A− ⎜ A⎟ = ⎜ ⎟ A 5 100 ⎝ 5 ⎠ ⎝5⎠ 2 2 3 ⎛4⎞ 20 ⎛ 4 ⎞ ⎛4⎞ สิ้นปที่ 3 จะได a3 = ⎜ ⎟ A− ⎜ ⎟ A = ⎜ ⎟ A ⎝5⎠ 100 ⎝ 5 ⎠ ⎝5⎠ n ⎛4⎞ สิ้นปท่ี n จะได an = ⎜ ⎟ A ⎝5⎠ n ⎛4⎞ ดังนั้น เมื่อเวลาผานไป n ป งบรายจายเปน 2.5 ⎜ ⎟ พันลานบาท ⎝5⎠ 4 (2) งบรายจายเมื่อสิ้นปที่ 1 เปน (2.5) = 2 พันลานบาท 5 2 ⎛4⎞ งบรายจายเมื่อสิ้นปที่ 2 เปน ⎜ ⎟ (2.5) = 1.6 พันลานบาท ⎝5⎠ 3 ⎛4⎞ งบรายจายเมื่อสิ้นปที่ 3 เปน ⎜ ⎟ (2.5) = 1.28 พันลานบาท ⎝5⎠ 4 ⎛4⎞ งบรายจายเมื่อสิ้นปที่ 4 เปน ⎜ ⎟ (2.5) = 1.024 พันลานบาท ⎝5⎠ ดังนั้น งบรายจายในสี่ปแรก หลังถูกตัดงบเปน 2, 1.6, 1.28 และ 1.024 พันลานบาท ตามลําดับ n 4 ⎛4⎞ (3) เนื่องจาก < 1 จะได lim 2.5 ⎜ ⎟ n →∞ = 0 5 ⎝5⎠ ดังนั้น ลําดับของงบรายจายนี้เปนลําดับลูเขา
  • 38. 38 เฉลยแบบฝกหัด 1.2 ก 1. (1) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดังนี้ ี 1 S1 = 2 1 1 2 S2 = + = 2 6 3 1 1 1 13 S3 = + + = 2 6 18 18 n −1 1 1 1 1⎛1⎞ 3n − 1 Sn = + + + ... + ⎜ ⎟ = 2 6 18 2⎝ 3⎠ 4 ⋅ 3n −1 3n − 1 ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 1 , 2 , 13 , ..., , ... 2 3 18 4 ⋅ 3n −1 (2) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดังนี้ ี S1 = 3 S2 = 3+2 = 5 S3 = 3+2+4 = 19 3 3 n −1 ⎛ ⎛2⎞ n ⎞ Sn = 3 + 2 + 4 + ... + 3 ⎛ 2 ⎞ ⎜ ⎟ = 9 ⎜1 − ⎜ ⎟ ⎜ ⎝3⎠ ⎟ ⎟ 3 ⎝3⎠ ⎝ ⎠ 19 ⎛ ⎛ 2 ⎞n ⎞ ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 3, 5, , ..., 9 ⎜ 1 − ⎜ ⎟ ⎟ , ... ⎜ ⎝3⎠ ⎟ 3 ⎝ ⎠ (3) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดังนี้ ี 1 S1 = 2 1 5 S2 = + = 3 2 2 1 5 25 31 S3 = + + = 2 2 2 2 1 5 25 1 1 Sn = + + + ... + (5) n −1 = − (1 − 5n ) 2 2 2 2 8 ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 1 , 3, 31 , ..., − 1 (1 − 5n ) , .... 2 2 8
  • 39. 39 (4) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดังนี้ ี 1 S1 = 2 1 1 1 S2 = + (− ) = 2 4 4 1 ⎛ 1⎞ 1 3 S3 = +⎜− ⎟ + = 2 ⎝ 4⎠ 8 8 1⎛ ⎛ 1 ⎞ ⎞ n 1 ⎛ 1⎞ 1 (−1) n −1 Sn = + ⎜ − ⎟ + + ... + = ⎜1 − ⎜ − ⎟ ⎟ 2 ⎝ 4⎠ 8 2n 3⎜ ⎝ 2 ⎠ ⎝ ⎟ ⎠ 1⎛ ⎛ 1 ⎞ ⎞ n 1 1 3 ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ , , , ..., ⎜1 − ⎜ − ⎟ ⎟ , ... 2 4 8 3⎜ ⎝ 2 ⎠ ⎟ ⎝ ⎠ (5) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดังนี้ ี S1 = 2 S2 = 2 + (–1) = 1 S3 = 2 + (–1) + (–4) = –3 n Sn = 2 + (–1) + (–4) + ... + (5 – 3n) = (7 − 3n) 2 n ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 2, 1, –3, ..., (7 − 3n) , ... 2 (6) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดังนี้ ี 3 S1 = 4 3 9 21 S2 = + = 4 16 16 3 9 27 111 S3 = + + = 4 16 64 64 3 9 27 ⎛3⎞ n ⎛ ⎛ 3 ⎞n ⎞ Sn = + + + ... + ⎜ ⎟ = 3 ⎜1 − ⎜ ⎟ ⎟ ⎜ ⎝4⎠ ⎟ 4 16 64 ⎝4⎠ ⎝ ⎠ 3 21 111 ⎛ ⎛3⎞ ⎞ n ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ , , , ..., 3 ⎜ 1 − ⎜ ⎟ ⎟ , ... ⎜ ⎝4⎠ ⎟ 4 16 64 ⎝ ⎠ (7) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดังนี้ ี S1 = 0 S2 = 0+3 = 3
  • 40. 40 S3 = 0+3+8 = 11 n 2n 3 + 3n 2 − 5n Sn = 0 + 3 + + 8 + ... + (n2 – 1) = ∑ (i 2 − 1) = i =1 6 3 + 3n 2 − 5n ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 0, 3, 11, ..., 2n , ... 6 (8) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดังนี้ ี S1 = –1 S2 = –1 + 0 = –1 S3 = –1 + 0 + 9 = 8 n 3 3n 4 − 2n 3 − 9n 2 − 4n Sn = –1 + 0 + 9 + ... + ∑ (i − 2i ) = 2 i=1 12 –1, 8, ..., 3n − 2n − 9n − 4n , ... 4 3 2 ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ –1, 12 (9) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดังนี้ ี 1 S1 = − 10 1 1 9 S2 = − + = − 10 100 100 1 1 1 91 S3 = − + − = − 10 100 1000 1000 1⎛ ⎛ 1⎞ ⎞ n n 1 1 1 ⎛ −1 ⎞ Sn = − + − + ... + ⎜ ⎟ = − ⎜1 − ⎜ − ⎟ ⎟ 10 100 1000 ⎝ 10 ⎠ 11 ⎜ ⎝ 10 ⎠ ⎝ ⎟ ⎠ 1⎛ ⎛ 1⎞ ⎞ n 1 9 91 ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ − , − , − , ..., − ⎜1 − ⎜ − ⎟ ⎟ , ... 10 100 1000 11 ⎜ ⎝ 10 ⎠ ⎟ ⎝ ⎠ (10) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มดังนี้ ี S1 = 100 S2 = 100 + 10 = 110 S3 = 100 + 10 + 1 = 111 1000 ⎛ 1 ⎞ Sn = 100 + 10 + 1 + 0.1 + ... + 103 – n = ⎜1 − n ⎟ 9 ⎝ 10 ⎠ 1000 ⎛ 1 ⎞ ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 100, 110, 111, ..., ⎜1 − n ⎟ , ... 9 ⎝ 10 ⎠
  • 41. 41 (11) ผลบวกยอยของอนุกรมนี้มีดังนี้ S1 = 1 S2 = 1–2 = –1 S3 = 1–2+3 = 2 S4 = 1–2+3–4 = –2 S5 = 1–2+3–4+5 = 3 S6 = 1–2+3–4+5–6 = –3 ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 1, –1, 2, –2, 3, –3, ... n −1 1 1 1 1⎛1⎞ 1 2. (1) + + + ... + ⎜ ⎟ + ... เปนอนุกรมเรขาคณิตที่มี r = ซึ่ง | r | < 1 2 6 18 2⎝ 3⎠ 3 1 3 ดังนั้น อนุกรมนี้จึงเปนอนุกรมลูเขาที่มีผลบวกเปน 2 1 = 1− 4 3 (2) อนุกรมลูเขา มีผลบวกเปน 9 1 31 (3) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ , 3, , ..., − 1 (1 − 5n ) , ... ลําดับนี้ไมมีลิมิต 2 2 8 ดังนั้น อนุกรมที่กําหนดให ไมสามารถหาผลบวกได จึงเปนอนุกรมลูออก 1 (4) อนุกรมลูเขา มีผลบวกเปน 3 n (5) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 2, 1, –3, ..., (7 − 3n) , ... ลําดับนี้ไมมีลิมิต 2 ดังนั้น อนุกรมที่กําหนดให ไมสามารถหาผลบวกได จึงเปนอนุกรมลูออก (6) อนุกรมลูเขา มีผลบวกเปน 3 3 + 3n 2 − 5n (7) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 0, 3, 11, ..., 2n , ... ลําดับนี้ไมมีลิมิต 6 ดังนั้น อนุกรมทีกําหนดให ไมสามารถหาผลบวกได จึงเปนอนุกรมลูออก ่ 3n 4 − 2n 3 − 9n 2 − 4n (8) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ –1, –1, 8, ..., , ... ลําดับนี้ 12 ไมมีลิมิต ดังนั้น อนุกรมที่กําหนดให ไมสามารถหาผลบวกได จึงเปนอนุกรมลูออก 1 (9) อนุกรมลูเขา มีผลบวกเปน − 11 1000 (10) อนุกรมลูเขา มีผลบวกเปน 9 (11) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 1, –1, 2, –2, 3, –3, ... ลําดับนี้ไมมีลิมิต ดังนั้น อนุกรมทีกําหนดให ไมสามารถหาผลบวกได จึงเปนอนุกรมลูออก ่
  • 42. 42 4 + 1 8 + 1 16 + 1 ⎛ 4 8 16 ⎞ ⎛1 1 1 ⎞ 3. (1) จะได + + + ... = ⎜ + + + ... ⎟ + ⎜ + + + ... ⎟ 9 27 81 ⎝ 9 27 81 ⎠ ⎝ 9 27 81 ⎠ 4 1 = 9 + 9 2 1 1− 1− 3 3 ⎛ 4⎞ ⎛ 1 ⎞⎛ 3 ⎞ = ⎜ ⎟ (3) + ⎜ ⎟⎜ ⎟ ⎝9⎠ ⎝ 9 ⎠⎝ 2 ⎠ 4 1 = + 3 6 3 = 2 3 3 3 3 1 (2) อนุกรม 3+ + + + ... + n −1 + ... เปนอนุกรมเรขาคณิตที่มีอัตราสวนรวมเทากับ 2 4 8 2 2 3 3 3 3 3 จะได 3 + + + + ... + n −1 + ... = 1 2 4 8 2 1− 2 3 = 1 2 = 6 1 1 1 1 (3) เมื่อ x เปนจํานวนจริง จะได 2 + 2 2 + 2 3 + ... + 2 n + ... 2+x (2 + x ) (2 + x ) (2 + x ) 1 เปนอนุกรมเรขาคณิตที่มีอัตราสวนรวมเทากับ 2 2+x 1 1 เนื่องจาก x2 ≥ 0 ดังนัน 2 + x2 ้ ≥ 2 ซึ่งทําให 2 ≤ <1 2+x 2 1 1 1 1 1 2 ดังนัน ้ 2 + 2 2 + 2 3 + ... + 2 n + ... = 2+x 1 2+x (2 + x ) (2 + x ) (2 + x ) 1− 2 2+x 1 = 2 x +1 i 4. 0.9 = 0.9999... = 0.9 + 0.09 + 0.009 + 0.0009 + ... 9 9 9 9 = + 2 + 3 + 4 + ... 10 10 10 10 9 9 9 1 เนื่องจาก + 2 + 3 + ... เปนอนุกรมเรขาคณิต ที่มีอัตราสวนรวมเทากับ 10 10 10 10 9 9 9 9 ดังนั้น + + + ... = 10 1 10 102 103 1− 10 ⎛ 9 ⎞⎛ 10 ⎞ = ⎜ ⎟⎜ ⎟ ⎝ 10 ⎠⎝ 9 ⎠
  • 43. 43 = 1 i จะได 0.9 = 1 i i 5. (1) 0.21 = 0.212121... = 0.21 + 0.0021 + 0.000021 + ... 21 21 21 = + + + ... 102 104 106 21 = 102 1 1− 2 10 ⎛ 21 ⎞ ⎛ 10 ⎞ 2 = ⎜ 2 ⎟⎜ ⎟ ⎝ 10 ⎠ ⎝ 99 ⎠ 21 7 = = 99 33 i i (2) 0.610 4 = 0.6104104... = 0.6 + 0.0104 + 0.0000104 + 0.0000000104 + ... 6 104 104 104 = + + + + ... 10 104 107 1010 104 6 4 = + 10 10 1 − 1 103 6 104 = + 10 9990 5994 + 104 = 9990 6098 = 9990 i i (3) 7.256 = 7.25656... = 7 + 0.2 + 0.056 + 0.00056 + 0.0000056 + ... 2 56 56 56 = 7+ + + + + ... 10 103 105 107 56 2 3 = 7 + + 10 10 1 − 1 102 2 56 = 7+ + 10 990 198 + 56 = 7+ 990
  • 44. 44 254 = 7 990 127 = 7 495 i i (4) 4.387 = 4.38787... = 4 + 0.3 + 0.087 + 0.00087 + 0.0000087 + ... 3 87 87 87 = 4+ + + + + ... 10 103 105 107 87 3 3 = 4 + + 10 10 1 − 1 102 3 87 = 4+ + 10 990 297 + 87 = 4+ 990 384 = 4 990 192 = 4 495 i i (5) 0.073 = 0.07373... = 0.073 + 0.00073 + 0.0000073 + ... 73 73 73 = + + + ... 103 105 107 73 = 103 1 1− 2 10 73 = 990 i (6) 2.9 = 2.999 ... = 2 + 0.9 + 0.09 + 0.009 + ... 9 9 9 = 2+ + 2 + 3 + ... 10 10 10 9 = 2 + 10 1 1− 10 9 = 2+ 9 = 3
  • 45. 45 2 6. เพราะวา 1 + x + x2 + x3 + ... + xn–1 + ... = 3 และเนื่องจาก a1 = 1 , r = x 2 1 จะไดวา = 3 1− x 2 – 2x = 3 1 ∴ x = − 2 3 a1 3 7. จาก a1 + a1r + a1r2 + a1r3 + ... = จะได = ---------- (1) 2 1− r 2 3 a1 3 และ a1 – a1r + a1r2 – a1r3 + ... = จะได = ---------- (2) 4 1+ r 4 จาก (1), 2a1 + 3r = 3 ---------- (3) จาก (2), 4a1 – 3r = 3 ---------- (4) (3) + (4), 6a1 = 6 ∴ a1 = 1 3− 2 1 จาก (3) จะได r = = 3 3 8. (1) รูปสี่เหลี่ยมจัตรัสรูปแรกมีดานยาว 5 หนวย ุ 2 2 ⎛5⎞ ⎛5⎞ 25 ดานของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรสรูปที่สองยาว ั ⎜ ⎟ +⎜ ⎟ = ⎝2⎠ ⎝2⎠ 2 5 2 = หนวย 2 ดังนั้น รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสรูปที่สองมีเสนรอบรูปยาว 10 2 หนวย 2 2 ⎛5 2 ⎞ ⎛5 2 ⎞ 5 (2) ดานของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรสรูปที่สามยาว ั ⎜ 4 ⎟ +⎜ 4 ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ = หนวย ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ 2 รูปสี่เหลี่ยมจัตรัสรูปที่สามมีเสนรอบรูปยาว 10 หนวย ุ 2 2 ⎛5⎞ ⎛5⎞ 5 2 ดานของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสรูปที่สี่ยาว ⎜ ⎟ +⎜ ⎟ = หนวย ⎝4⎠ ⎝4⎠ 4 รูปสี่เหลี่ยมจัตรัสรูปที่สี่มีเสนรอบรูปยาว 5 2 หนวย ุ จะได ผลบวกของเสนรอบรูปของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเปน 20 + 10 2 + 10 + 5 2 + ... 20 = 2 1− 2 = 20(2 + 2) 9. ความยาวของเสนรอบรูปของรูปสามเหลี่ยมรูปแรก เทากับ 30 นิ้ว ความยาวของเสนรอบรูปของรูปสามเหลี่ยมรูปที่สอง เทากับ 15 นิ้ว 15 ความยาวของเสนรอบรูปของรูปสามเหลี่ยมรูปที่สาม เทากับ นิ้ว 2
  • 46. 46 ผลบวกของความยาวเสนรอบรูปของรูปสามเหลี่ยมทั้งหมดคือ 30 + 15 + 15 + ... 2 30 = 1 1− 2 = 60 ∴ ผลบวกความยาวเสนรอบรูปของรูปสามเหลี่ยมทั้งหมดมีคา 60 นิ้ว 10. การแกวงครั้งแรกจากจุดไกลสุดดานหนึ่งไปอีกดานหนึงไดระยะทาง 75 เมตร ่ การแกวงครั้งที่สองไดระยะทาง 75 ⎛ 3 ⎞ เมตร ⎜ ⎟ ⎝5⎠ 2 ⎛3⎞ ⎛3⎞ การแกวงครั้งที่สามไดระยะทาง ⎜ ⎟ 75 ⎜ ⎟ = 75 ⎛ 3 ⎞ เมตร ⎜ ⎟ ⎝5⎠ ⎝5⎠ ⎝5⎠ 2 3 ⎛3⎞ ⎛3⎞ การแกวงครั้งที่สี่ไดระยะทาง ⎜ ⎟ 75 ⎜ ⎟ = 75 ⎛ 3 ⎞ เมตร ⎜ ⎟ ⎝5⎠ ⎝5⎠ ⎝5⎠ ระยะทางที่ไดจากการแกวงครั้งใหมเปนเชนนี้ไปเรื่อย ๆ ดังนั้น เรือไวกิ้งจะแกวงไปมาตั้งแตเริ่มตนจากจุดสูงสุดเปนระยะทางเทากับ 2 3 ⎛ 2 3 ⎞ 75 + 75 ⎛ 3 ⎞ + 75 ⎛ 3 ⎞ + 75 ⎛ 3 ⎞ + ... = 75 ⎜1 + 3 + ⎛ 3 ⎞ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎜ ⎟ ⎛3⎞ + ⎜ ⎟ + ... ⎟ ⎝5⎠ ⎝5⎠ ⎝5⎠ ⎜ 5 ⎝5⎠ ⎝5⎠ ⎟ ⎝ ⎠ ⎛ ⎞ ⎜ 1 ⎟ = 75 ⎜ 3 ⎟ ⎜ 1− ⎟ ⎜ ⎟ ⎝ 5⎠ = 75 ⎛ 5 ⎞ ⎜ ⎟ ⎝2⎠ = 187.5 เมตร 11. (1) ให an เปนระยะทางที่สารพิษแพรกระจายตอจากตําแหนงเดิมเมื่อเวลาผานไป n ป กําหนด a1 = 1500 , a2 = 900 , a3 = 540 สังเกตวา 900 = 540 = 3 1500 900 5 3 สมมติให an เปนลําดับเรขาคณิตที่มีพจนแรกเปน 1500 และมีอัตราสวนรวมเปน 5 ให S10 เปนผลบวกของระยะทางที่สารพิษแพรกระจายไปไดเมื่อสิ้นปที่สิบ 9 จะได S10 = 1500 + 900 + 540 + ... + 1500 ⎛ 3 ⎞ ⎜ ⎟ ⎝5⎠ ⎛ ⎛3⎞ ⎞ 10 1500 ⎜1 − ⎜ ⎟ ⎟ ⎜ ⎝5⎠ ⎟ = ⎝ ⎠ 3 1− 5
  • 47. 47 5 ⎛ ⎛ 3 ⎞10 ⎞ = (1500 ) ⎜1 − ⎜ ⎟ ⎟ ⎜ ⎝5⎠ ⎟ 2 ⎝ ⎠ ⎛ ⎛ ⎞ ⎞ 10 = 3750 ⎜1 − ⎜ 3 ⎟ ⎜ ⎟ ⎝ ⎝5⎠ ⎟ ⎠ = 3727.325 เมื่อสิ้นปที่สิบ สารพิษจะแพรกระจายไปได 3727.325 เมตร 1500 (2) เพราะวา ผลบวกอนันตของอนุกรมนี้เทากับ 3 = 3750 1− 5 ดังนั้น สารพิษจะแพรกระจายไปไดไกลทีสุด 3,750 เมตร ซึ่งไปไมถึงโรงเรียน ่ 2 n −1 2 ⎛2⎞ ⎛2⎞ 12. ให Sn แทนผลบวกยอย n พจนแรกของอนุกรม 1 + + ⎜ ⎟ + ... + ⎜ ⎟ + ... 3 ⎝3⎠ ⎝3⎠ ⎛ ⎛ 2 ⎞n ⎞ 1⎜1 − ⎜ ⎟ ⎟ Sn = ( a1 1 − r n ) = ⎜ ⎝3⎠ ⎟ ⎝ ⎠ = ⎛ ⎛ 2 ⎞n ⎞ 3 ⎜1 − ⎜ ⎟ ⎟ 1− r 2 ⎜ ⎝3⎠ ⎟ 1− ⎝ ⎠ 3 5 S1 = 1 S2 = = 1.6666 3 19 65 S3 = = 2.1111 S4 = = 2.4074 9 27 211 665 S5 = = 2.6049 S6 = = 2.7366 81 243 2059 6305 S7 = = 2.8244 S8 = = 2.8829 729 2187 19171 58025 S9 = = 2.9219 S10 = = 2.9479 6561 19683 175099 S11 = = 2.9653 59049 เมื่อ Sn มีคานอยกวา 3 อยูไมเกิน 1 จะได 2 ≤ Sn < 3 เมื่อ Sn มีคานอยกวา 3 อยูไมเกิน 0.2 จะได 2.8 ≤ Sn < 3 เมื่อ Sn มีคานอยกวา 3 อยูไมเกิน 0.05 จะได 2.95 ≤ Sn < 3 จะได n ที่นอยที่สุด ตามเงือนไขขางตนเปน n = 3, n = 7 และ n = 11 ตามลําดับ  ่ 1 1 1 13. ให Sn แทนผลบวกยอย n พจนแรกของอนุกรม 1 + + + ... + + ... 2 3 n โดยใชเครื่องคํานวณ จะได S1 = 1 3 S2 = = 1.500 2
  • 48. 48 11 S3 = = 1.833 6 25 S4 = = 2.083 12 137 S5 = = 2.283 60 49 S6 = = 2.450 20 363 S7 = = 2.592 140 761 S8 = = 2.717 280 7129 S9 = = 2.828 2520 7381 S10 = = 2.928 2520 83711 S11 = = 3.019 27720 86021 S12 = = 3.103 27720 1145993 S13 = = 3.180 360360 1171733 S14 = = 3.251 360360 1195757 S15 = = 3.318 360360 2436559 S16 = = 3.380 720720 42142223 S17 = = 3.439 12252240 14274301 S18 = = 3.495 4084080 275295799 S19 = = 3.547 77597520
  • 49. 49 55835135 S20 = = 3.597 15519504 18858053 S21 = = 3.645 5173168 19093197 S22 = = 3.690 5173168 444316699 S23 = = 3.734 118982864 1347822955 S24 = = 3.775 356948592 34052522467 S25 = = 3.815 8923714800 34395742267 S26 = = 3.854 8923714800 312536252003 S27 = = 3.891 80313433200 315404588903 S28 = = 3.927 80313433200 9227046511387 S29 = = 3.961 2329089562800 9304682830147 S30 = = 3.994 2329089562800 290774257297357 S31 = = 4.027 72201776446800 ดังนั้น n ที่นอยทีสุด เมื่อ Sn มากกวา 2 คือ 4  ่ n ที่นอยทีสุด เมื่อ Sn มากกวา 3 คือ 11 ่ n ที่นอยทีสุด เมื่อ Sn มากกวา 4 คือ 31 ่ 14. (1) ไมถูกตอง เพราะ 1 + 2 + 4 + 8 + 16 + 32 + ... เปนอนุกรมอนันตที่เปนอนุกรม เรขาคณิต อนุกรมนี้มอัตราสวนรวมเปน 2 ซึ่ง | 2 | > 1 จึงไมสามารถหาผลบวกได ี (2) ไมถูกตอง เพราะ 1 – 2 + 4 – 8 + 16 – 32 + ... เปนอนุกรมอนันตที่เปนอนุกรม เรขาคณิต อนุกรมนี้มอัตราสวนรวมเปน –2 ซึ่ง | –2 | > 1 จึงไมสามารถหาผลบวกได ี
  • 50. 50 a1 (1 − r n ) 15. Sn = 1− r ⎛ ⎛ 3 ⎞n ⎞ 160 ⎜ 1 − ⎜ ⎟ ⎟ ⎜ ⎝2⎠ ⎟ 2110 = ⎝ ⎠ 3 1− 2 n = 5 16. ใหพจนแรกของอนุกรมเรขาคณิตเปน a และมีอัตราสวนรวมเปน r จะได a + ar = –3 3 และ ar4 + ar5 = − 16 1 แกระบบสมการขางตน จะได r = หรือ – 1 2 2 1 ถา r = แลวจะได a = –2 2 1 ถา r = – แลวจะได a = –6 2 255 ผลบวก 8 พจนแรกของอนุกรมนี้เทากับ − ทั้งสองกรณี 64 18. เดิมมีแบคทีเรีย 1000 ตัว 120 เมื่อเวลาผานไป 1 ชั่วโมง จะมีแบคทีเรีย (1000) = 1200 ตัว 100 2 ⎛ 120 ⎞ เมื่อเวลาผานไป 2 ชั่วโมง จะมีแบคทีเรีย ⎜ ⎟ (1000) = 1440 ตัว ⎝ 100 ⎠ 3 ⎛ 120 ⎞ เมื่อเวลาผานไป 3 ชั่วโมง จะมีแบคทีเรีย ⎜ ⎟ (1000) = 1728 ตัว ⎝ 100 ⎠ t ⎛ 120 ⎞ ดังนั้น เมื่อเวลาผานไป t ชั่วโมง จะมีแบคทีเรีย ⎜ ⎟ (1000) ⎝ 100 ⎠ 10 ⎛ 120 ⎞ เมื่อ t = 10 จะได a10 = ⎜ ⎟ (1000) ≈ 6191 ตัว ⎝ 100 ⎠
  • 51. 51 เฉลยแบบฝกหัด 1.2 ข 4 1. (1) ∑ 2i = 2+4+6+8 i =1 52 (2) ∑ ( i + 2 ) = (1 + 2) + (2 + 2) + (3 + 2) + ... + (50 + 2) + (51 + 2) + (52 + 2) i =1 4 (3) ∑ (10 − 2k ) = (10 – 2) + (10 – 4 ) + (10 – 6) +(10 – 8) k =1 20 (4) ∑ ( i 2 + 4) = (12 + 4) + (22 + 4) + (32 + 4) + ... + (182 + 4) + (192 + 4) + (202 + 4) i =1 5 2. (1) ∑ 3j = 3(1) + 3(2) + 3(3) + 3(4) + 3(5) j=1 = 3 + 6 + 9 + 12 + 15 = 45 50 (2) ∑ 8 = 8 + 8 + 8 + ... + 8 k =1 50 จํานวน = 8 x 50 = 400 4 (3) ∑ i ( i − 3) = 2 12(1 – 3) + 22(2 – 3) + 32(3 – 3) + 42(4 – 3) i =1 = –2 – 4 + 0 + 16 = 10 k+4 6 2+ 4 3+ 4 4+ 4 5+ 4 6+ 4 (4) ∑ = + + + + k =2 k −1 2 −1 3 −1 4 −1 5 −1 6 −1 7 8 9 = 6+ + + +2 2 3 4 197 = 12 5 (5) ∑(k k =1 2 + 3) = (12 + 3) + (22 + 3) + (32 + 3) + (42 + 3) + (52 + 3) = 4 + 7 + 12 + 19 + 28 = 70 10 10 (6) ∑ (i − 2) = ∑ (i − 6i 2 + 12i − 8 ) 3 3 i =1 i =1 10 10 10 10 = ∑i 3 − 6∑ i 2 + 12∑ i − ∑ 8 i =1 i =1 i =1 i =1 2 ⎛ 10 (10 + 1) ⎞ ⎛ 10 ⎞ ⎛ (10 )(10 + 1) ⎞ = ⎜ ⎟ − 6 ⎜ (10 + 1)( 20 + 1) ⎟ + 12 ⎜ ⎟ − 80 ⎝ 2 ⎠ ⎝6 ⎠ ⎝ 2 ⎠ = 3025 – 2310 + 660 – 80 = 1295
  • 52. 52 15 15 15 (7) ∑ ( i + 5) = ∑i + ∑5 i =1 i =1 i =1 15(16) = + 5(15) 2 = 195 20 20 9 (8) ∑ ( 2i + 1) = ∑ ( 2i + 1) – ∑ ( 2i + 1) i =10 i =1 i =1 20 20 9 9 = 2∑ i + ∑1 – 2 ∑ i – ∑1 i =1 i =1 i =1 i =1 2(20)(21) 2(9)(10) = + 20 – –9 2 2 = 420 + 20 – 90 – 9 = 341 15 15 (9) ∑ ( k + 5) (k − 5) k =1 = ∑(k k =1 2 − 25 ) 15 15 = ∑ k – ∑ 25 2 k =1 k =1 15(16)(31) = – 15(25) 6 = 1240 – 375 = 865 ∞ 3. (1) 1⋅3 + 2⋅4 + 3⋅5 + ... + n(n + 2) + ... = ∑ n ( n + 2) n =1 n 1 1 1 1 1 (2) + + + ... + = ∑i 4 5 6 n i=4 ∞ (3) arp + arp + 1 + arp + 2 + ... + arp + q + ... = ∑ ar p+i i =0 n (4) 2 + 4 + 6 + ... + 2n = ∑ 2i i =1 ∞ 1 1 1 1 1 (5) + + + ... + + ... = ∑3 3 6 12 3 ( 2n −1 ) n =1 ( 2n −1 ) ∞ 1 1 1 1 1 (6) + + + ... + + ... = ∑ 2+ 1 3+ 2 4+ 3 n + n −1 n =2 n + n −1 n n 4. (1) ∑ 6i = 6∑ i i =1 i =1 ⎛ n ( n + 1) ⎞ = 6⎜ ⎟ ⎝ 2 ⎠ = 3n(n + 1)
  • 53. 53 k k k (2) ∑ ( 2i + 1) = 2∑ i + ∑ 1 i =1 i =1 i =1 ⎛ k ( k + 1) ⎞ = 2⎜ ⎟+k ⎝ 2 ⎠ = k2 + k + k = k2 + 2k m m (3) ∑3⋅ 4 i = 3∑ 4i i =1 i =1 = 3(4 + 42 + 43 + ... + 4m) ⎛ ( 4 ) (1 − 4m ) ⎞ = 3⎜ ⎜ 1− 4 ⎟ ⎟ ⎝ ⎠ = 4m + 1 – 4 n n n (4) ∑ (i i =1 2 − i) = ∑ i 2 −∑ i i =1 i =1 n(n + 1)(2n + 1) = – n(n + 1) 6 2 n(n + 1) ⎛ 2n + 1 ⎞ = ⎜ 3 − 1⎟ 2 ⎝ ⎠ n(n + 1) ⎛ 2n + 1 − 3 ⎞ = ⎜ ⎟ 2 ⎝ 3 ⎠ n(n + 1)(2n − 2) = 6 n(n + 1)(n − 1) = 3 n −n 3 = 3 10 5. (1) 1 ⋅ 2 + 2 ⋅ 3 + 3 ⋅ 4 + 4 ⋅ 5 + ... + n(n + 1) + ... = ∑ n ( n + 1) n =1 10 10 = ∑n + ∑n 2 n =1 n =1 10(11)(12) 10 (11) = + 6 2 = 385 + 55 = 440 (2) 1 ⋅ 4 ⋅ 7 + 2 ⋅ 5 ⋅ 8 + 3 ⋅ 6 ⋅ 9 + ... + n(n + 3)(n + 6) + ... 10 = ∑ n ( n + 3)( n + 6 ) n =1 10 10 10 = ∑ n 3 + 9∑ n 2 + 18∑ n n =1 n =1 n =1
  • 54. 54 ⎛ 10 (11) ⎞ 9 (10 )(11)( 21) 18 (10 )(11) 2 = ⎜ ⎟ + + ⎝ 2 ⎠ 6 2 = 3025 + 3465 + 990 = 7480 (3) 2 1(2 + 3) + 4(4 + 3) + 9(6 + 3) + 16(8 + 3) + ... + n (2n + 3) + ... 10 = ∑ n ( 2n + 3) 2 n =1 10 10 = 2∑ n 3 + 3∑ n 2 i =1 n =1 ⎛ 10 (11) ⎞ 3 (10 )(11)( 21) 2 = 2⎜ ⎟ + ⎝ 2 ⎠ 6 = 6050 + 1155 = 7205 (4) 12 + 32 + 52 + 7 2 + ... + (2n − 1) 2 + ... 10 = ∑ ( 2n − 1) 2 n =1 10 = ∑ (4n 2 − 4n + 1) n =1 10 10 10 = 4∑ n 2 − 4 ∑ n + ∑1 n =1 n =1 n =1 ⎛ 10(11)(21) ⎞ ⎛ (10 )(11) ⎞ = 4⎜ ⎟ − 4⎜ ⎟ + 10 ⎝ 6 ⎠ ⎝ 2 ⎠ = 1540 – 220 + 10 = 1330 ⎛ 1⎞ ⎛ 1 ⎞ ⎛ 1 ⎞ ⎛ 1⎞ = ∑ n ⎛1 + 1 ⎞ 10 (5) 1⎜ 1 + ⎟ + 2 ⎜ 1 + ⎟ + 3 ⎜ 1 + ⎟ + ... + n ⎜ 1 + ⎟ + ... ⎜ ⎟ ⎝ 1⎠ ⎝ 2 ⎠ ⎝ 3 ⎠ ⎝ n⎠ ⎝ n⎠ n =1 10 = ∑ ( n + 1) n =1 10 10 = ∑ n + ∑1 n =1 n =1 10 (11) = + 10 2 = 65 6. (1) 1 ⋅ 2 ⋅ 3 + 2 ⋅ 3 ⋅ 4 + 3 ⋅ 4 ⋅ 5 + ... + n(n + 1)(n + 2) + ... + 10 ⋅ 11 ⋅ 12 10 = ∑ n ( n + 1)( n + 2 ) n =1
  • 55. 55 10 10 10 = ∑ n 3 + 3∑ n 2 + 2∑ n n =1 n =1 n =1 ⎛ 10 (11) ⎞ 3 (10 )(11)( 21) 2 (10 )(11) 2 = ⎜ ⎟ + + ⎝ 2 ⎠ 6 2 = 3025 + 1155 + 110 = 4290 (2) 1 ⋅ 2 + 2 ⋅ 3 + 3 ⋅ 4 + ... + n(n + 1) + ... + 99 ⋅ 100 99 = ∑ n ( n + 1) n =1 99 99 = ∑ n2 + ∑ n n =1 n =1 99 (100 )(199 ) 99 (100 ) = + 6 2 = 328350 + 4950 = 333300 (3) จํานวนเต็มระหวาง 1 ถึง 100 ทีหารดวย 4 แลวเหลือเศษ 3 คือ 7, 11, 15, ... , 99 ่ 24 อนุกรม 7 + 11 + 15 + ... + (4n + 3) + ... + 99 เขียนแทนดวย ∑ ( 4n + 3) n =1 24 24 24 จะได ∑ ( 4n + 3) = 4∑ n + ∑ 3 n =1 n =1 n =1 4 ( 24 )( 25 ) = + ( 24 )( 3) 2 = 1200 + 72 = 1272 ผลบวกของจํานวนเต็มทังหมดระหวาง 1 ถึง 100 ทีหารดวย 4 แลวเหลือเศษ 3 เปน 1272 ้ ่ n 1 n ⎛1 1 ⎞ 7. (1) ∑ i ( i + 1) = ∑⎜ i − i +1⎟ i =1 ⎝ i =1 ⎠ ⎛ 1⎞ ⎛1 1⎞ ⎛1 1⎞ ⎛1 1 ⎞ Sn = ⎜ 1 − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ... + ⎜ − ⎟ ⎝ 2⎠ ⎝ 2 3⎠ ⎝3 4⎠ ⎝ n n +1⎠ 1 n = 1− = n +1 n +1 20 S20 = 21 n 1 1 n ⎛ 1 1 ⎞ (2) ∑ ( 2i − 1)( 2i + 1) = ∑ ⎜ 2i − 1 − 2i + 1 ⎟ i =1 2 i =1 ⎝ ⎠ 1 ⎡⎛ 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞⎤ Sn = ⎢⎜1 − 3 ⎟ + ⎜ 3 − 5 ⎟ + ⎜ 5 − 7 ⎟ + ... + ⎜ 2n − 1 − 2n + 1 ⎟ ⎥ 2 ⎣⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎦
  • 56. 56 1⎛ 1 ⎞ n = ⎜1 − ⎟ = 2 ⎝ 2n + 1 ⎠ 2n + 1 20 S20 = 41 n 1 (3) ให Sn = ∑ i ( i + 1)( i + 2 ) i =1 1 1⎛ 1 1 ⎞ จะได a1 = = ⎜ − ⎟ 1⋅ 2 ⋅ 3 2 ⎝ 1⋅ 2 2 ⋅ 3 ⎠ 1 1⎛ 1 1 ⎞ a2 = = ⎜ − ⎟ 2⋅3⋅ 4 2 ⎝ 2 ⋅3 3⋅ 4 ⎠ 1 1⎛ 1 1 ⎞ a3 = = ⎜ − ⎟ 3⋅ 4 ⋅5 2 ⎝ 3⋅ 4 4⋅5 ⎠ 1 1⎛ 1 1 ⎞ an = = ⎜ − ⎟ n ( n + 1)( n + 2 ) 2 ⎜ n ( n + 1) ( n + 1)( n + 2 ) ⎟ ⎝ ⎠ Sn = a1 + a2 + a3 + ... + an 1 ⎡⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞⎤ = ⎢⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ... + ⎜ ⎜ − ⎟⎥ ⎟ 2 ⎢⎝ 2 6 ⎠ ⎝ 6 12 ⎠ ⎣ ⎝ n ( n + 1) ( n + 1)( n + 2 ) ⎠ ⎥ ⎦ 1⎛1 1 ⎞ = ⎜ − ⎜ 2 ( n + 1)( n + 2 ) ⎟ ⎟ 2⎝ ⎠ 1⎛1 1 ⎞ 115 S20 = ⎜ − ⎟ = 2 ⎝ 2 21 ⋅ 22 ⎠ 462 n 1 1 n ⎛1 1 ⎞ (4) ∑ i (i + 2) = ∑⎜ i − i + 2 ⎟ i =1 2 i =1 ⎝ ⎠ 1 ⎡⎛ 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛1 1 ⎞⎤ Sn = ⎢⎜1 − 3 ⎟ + ⎜ 2 − 4 ⎟ + ⎜ 3 − 5 ⎟ + ... + ⎜ n − n + 2 ⎟ ⎥ 2 ⎣⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎦ 1⎡ 1 1 1 ⎤ = ⎢1 + 2 − n + 1 − n + 2 ⎥ 2⎣ ⎦ 1⎛3 2n + 3 ⎞ = ⎜ − ⎟ 2 ⎜ 2 ( n + 1)( n + 2 ) ⎟ ⎝ ⎠ 1⎛3 43 ⎞ 325 S20 = ⎜ − ⎟ = 2 ⎝ 2 21 ⋅ 22 ⎠ 462 8. (1) ให Sn แทนผลบวกของอนุกรมนี้ Sn = 1 + 2⋅2 + 3⋅22 + 4⋅23 + ... + n⋅2n–1 ---------- (1) (1) × 1 , 2Sn = 1⋅2 + 2⋅22 + 3⋅23 + ... + (n – 1)⋅2n–1 + n⋅2n ---------- (2) 5 (1) – (2), –Sn = 1 + (2 – 1)2 + (3 – 2)22 + (4 – 3)23 + … + (n – n + 1)2n-1 – n⋅2n
  • 57. 57 = 1 + 2 + 22 + 23 + ... + 2n–1 – n⋅2n 1(1 − 2n ) –Sn = − n ⋅ 2n 1− 2 –Sn = –1(1 – 2n) – n⋅2n Sn = (1 – 2n) + n⋅2n จะได S10 = (1 – 210) + 10⋅210 = –1023 + 10240 = 9217 (2) ให Sn แทนผลบวกของอนุกรมนี้ 1 1 1 1 Sn = 1 ⋅ + 2 ⋅ 2 + 3 ⋅ 3 + ... + n ⋅ n ---------- (1) 5 5 5 5 1 1 1 1 1 (1) × (2), Sn = 1 ⋅ 2 + 2 ⋅ 3 + ... + (n − 1) ⋅ n + n ⋅ n +1 ---------- (2) 5 5 5 5 5 4 1 1 1 1 1 (1) – (2), Sn = + (2 − 1) ⋅ 2 + (3 − 2) ⋅ 3 + ... + (n − (n − 1)) ⋅ n − n ⋅ n +1 5 5 5 5 5 5 1 1 1 1 1 = + + + ... + n − n ⋅ n +1 5 52 53 5 5 1⎛ ⎛1⎞ ⎞ n ⎜1 − ⎜ ⎟ ⎟ 4 5⎜ ⎝ 5⎠ ⎟ ⎝ ⎠ −n⋅ 1 Sn = 5 1− 1 5n +1 5 4 1 1 1 Sn = (1 − n ) − n ⋅ n +1 5 4 5 5 5 1 1 Sn = (1 − n ) − n ⋅ 16 5 4 ⋅ 5n 5 1 1 จะได S10 = (1 − 10 ) − 16 5 2 ⋅ 59 2n + 1 1 1 9. (1) = − n ( n + 1) ( n + 1) 2 2 2 2 n 3 5 7 2n + 1 ให Sn = + + + ... + 2 1 ⋅ 4 4 ⋅ 9 9 ⋅ 16 n ( n + 1) 2 ⎛1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ = ⎜ − ⎟ + ⎜ − ⎟ + ... + ⎜ 2 − ⎜n ⎟ ( n + 1) ⎟ 2 ⎝1 4 ⎠ ⎝ 4 9 ⎠ ⎝ ⎠ 1 = 1− ( n + 1) 2 n 2 + 2n = ( n + 1) 2 n 2 + 2n ผลบวก n พจนแรก เปน ( n + 1) 2
  • 58. 58 2 −1 3− 2 2− 3 n +1 − n (2) ให Sn = + + + ... + 1⋅ 2 2⋅ 3 3⋅2 n n +1 ⎛ 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1⎞ ⎛ 1 1 ⎞ = ⎜1 − ⎟+⎜ − ⎟+⎜ − ⎟ + ... + ⎜ − ⎟ ⎝ 2⎠ ⎝ 2 3⎠ ⎝ 3 2⎠ ⎝ n n +1 ⎠ 1 = 1− n +1 1 ผลบวก n พจนแรก เปน 1− n +1 ∞ ∞ n −1 −(n −1) ⎛1⎞ 10. (1) เนื่องจาก ∑ e = ∑⎜e⎟ n =1 n =1 ⎝ ⎠ 1 1 1 Sn = 1+ + 2 + ... + n −1 e e e ⎛ 1 ⎞ 1⎜1 − n ⎟ = ⎝e ⎠ 1 1− e 1 1− n e lim Sn = lim e 1 = n →∞ n →∞ e −1 1− e e ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูเขา และมีผลบวกเทากับ e −1 (2) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ 1, –1, 3, –5, 11, ... อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูออก 9 9 9 9 (3) Sn = + + + ... + 100 1002 1003 100n 9 ⎛ 1 ⎞ ⎜1 − n⎟ = 100 ⎝ 100 ⎠ = 1 ⎛1 − 1 n ⎞ 1 ⎜ ⎟ 11 ⎝ 100 ⎠ 1− 100 1⎛ 1 ⎞ 1 lim Sn = lim ⎜ 1 − n ⎟ = 11 n →∞ n →∞ 11 ⎝ 100 ⎠ 1 ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูเขา และมีผลบวกเทากับ 11 5 10 15 20 25 5n (4) ลําดับผลบวกยอยของอนุกรมนี้คือ , , , , , ..., , ... 2 3 4 5 6 n +1 5n เนื่องจาก lim = 5 n →∞ n +1 ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูเขา และมีผลบวกเทากับ 5
  • 59. 59 ∞ 2n + 1 ∞ ⎛ 1 1 ⎞ (5) ∑ = ∑ ⎜ − ⎟ n =1 n 2 (n + 1) 2 n =1⎜ n 2 (n + 1) 2 ⎟ ⎝ ⎠ ⎛ 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ Sn = ⎜ 1− ⎟ +⎜ − ⎟ + ⎜ 2 − 2 ⎟ + ... + ⎜ 2 − ⎜ ⎟ ⎝ 22 ⎠ ⎝ 22 32 ⎠ ⎝ 3 4 ⎠ ⎝n (n + 1) 2 ⎟ ⎠ 1 = 1− (n + 1) 2 ⎛ 1 ⎞ lim Sn n →∞ = lim ⎜1 − n →∞ ⎜ 2⎟ ⎟ = 1 ⎝ (n + 1) ⎠ ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูเขา และมีผลบวกเทากับ 1 ⎛ 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ (6) Sn = ⎜1 − ⎟+⎜ − ⎟+⎜ − ⎟ + ... + ⎜ − ⎟ ⎝ 2⎠ ⎝ 2 3⎠ ⎝ 3 4⎠ ⎝ n n +1 ⎠ 1 = 1− n +1 ⎛ 1 ⎞ lim Sn = lim ⎜1 − ⎟ = 1 n →∞ n →∞ ⎝ n +1 ⎠ ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูเขา และมีผลบวกเทากับ 1 16 4 (7) อนุกรมที่กําหนดใหเปนอนุกรมเรขาคณิตที่มี a1 = และ r = 5 5 เนื่องจาก | r | < 1 อนุกรมนี้จึงเปนอนุกรมลูเขา 16 a1 และมีผลบวกเทากับ = 5 = 16 1− r 1− 4 5 ∞ 1 1 ∞ 2 (8) ∑ 2 −1 = ∑ n =1 4n 2 n =1 (2n + 1)(2n − 1) ∞ = 1 ∑⎛ 1 − 1 ⎞ ⎜ ⎟ 2 n =1⎝ 2n − 1 2n + 1 ⎠ 1 ⎛⎛ 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞ ⎛ 1 1 ⎞⎞ Sn = ⎜ ⎜1 − 3 ⎟ + ⎜ 3 − 5 ⎟ + ⎜ 5 − 7 ⎟ + ... + ⎜ 2n − 1 − 2n + 1 ⎟ ⎟ 2 ⎝⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠ ⎝ ⎠⎠ 1⎛ 1 ⎞ = ⎜1 − ⎟ 2 ⎝ 2n + 1 ⎠ lim Sn = lim 1 ⎛1 − 1 ⎞ = 1 ⎜ ⎟ n →∞ n →∞ 2 ⎝ 2n + 1 ⎠ 2 1 ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมลูเขา และมีผลบวกเทากับ 2
  • 60. 60 11. ใหอนุกรมนี้คอ a1 + a2 + a3 + ... + an + ... โดยที่ an = 2n – 5 ื 15 15 จะได ผลบวกของ 15 พจนแรกของอนุกรมนี้ คือ ∑ a n = ∑ (2n − 5) n =1 n =1 15 15 = 2 ∑ n– ∑ 5 n =1 n =1 ⎛ 15(16) ⎞ = 2⎜ ⎟ –15(5) ⎝ 2 ⎠ = 240 – 75 = 165 12. (1) ลําดับของจํานวนเต็มระหวาง 9 กับ 199 ที่ 8 หารลงตัวคือ 16, 24, 32, ..., 192 เพราะวา an = a1 + (n – 1)8 จะได 192 = 16 + (n – 1)8 ⎛ 192 − 16 ⎞ n = ⎜ ⎟ +1 ⎝ 8 ⎠ n = 23 n จาก Sn = (a1 + a n ) 2 23 จะได S23 = (16 + 192) 2 = 2392 ดังนัน ผลบวกของจํานวนเต็มที่อยูระหวาง 9 กับ 199 ที่ 8 หารลงตัวเทากับ 2392 ้ (2) ลําดับของจํานวนเต็มระหวาง 9 กับ 199 คือ 10, 11, 12, ..., 198 ซึ่งมี 189 จํานวน 189 จะได S189 = (10 + 198) 2 = 19656 ผลบวกของจํานวนเต็มทีอยูระหวาง 9 กับ 199 เปน 19656 ่ จะไดผลบวกของจํานวนเต็มที่อยูระหวาง 9 กับ 199 ที่ 8 หารไมลงตัวเปน 19656 – 2392 = 17264 13. (1) e (2) π (3) ln 2