More Related Content
ทรัพยากรสารสนเทศในห้องสมุด Presentation เทคนิคการผลิตเอกสาร Presentationการผลิตเอกสาร ใบงานโครงงาน 9 10 11 14 15 16 What's hot (16)
บทที่ 1 บทนำ (การจัดเก็บและค้นคืนสารสนเทศ) Libcampubon2 collection development for local information ความสัมพันธ์ระหว่างหลักสูตรสาขาวิชาสารสนเทศศึกษากระบวนการการทำงานในห้องสมุด ห... บทที่ 2 ทฤษฎีพื้นฐานของการจัดเก็บและค้นคืนสารสนทศ บทที่ 1 บทนำ (การจัดเก็บและค้นคืนสารสนเทศ) บทที่ 1 บทนำ (การจัดเก็บและค้นคืนสารสนเทศ) อ.วนิดา บทที่-5-ตำราสารสนเทศท้องถิ่น-14-july-57 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 Experiences from Digital Archive Development แผนการจัดการเรียนรู้ระบบนิเวศ Similar to Ca7 ld8 บทที่ 1อาจารย์ (20)
ASI403 course syllabus 2009-08-24 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 หน่วยที่ 2 การรู้สารสนเทศกับการศึกษาระดับอุดมศึกษา แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 กระบวนการวิเคราะห์และกำหนดความต้องการสารสนเทศ บท 1 แนวคิดเกี่ยวกับสารสนเทศ การวิเคราะห์ตัวชี้วัด Science ม.3 การวิเคราะห์ตัวชี้วัด Science ม3 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 Ca7 ld8 บทที่ 1อาจารย์
- 1. วิชา สารสนเทศและการ รหัสวิชา
ศึกษาค้นคว้า แผนการสอน 01-004-101
หน่วยที่ 1 สารสนเทศ บทเรียนที่
1.1-1.3
เวลาสอน
180 นาที
จุ ด ประสงค์ ก ารสอน
1.1 เข้าใจความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสารสนเทศ
1.1.1 อธิบายความหมายของสารสนเทศ
1.1.2 อธิบายคุณค่าของสารสนเทศ
1.1.3 อธิบายความสำาคัญของสารสนเทศ
1.2 แหล่งสารสนเทศ
1.2.1 ห้องสมุด
1.2.2 แหล่งสารสนเทศอื่นๆ
1.3 บริการสารสนเทศในห้องสมุด
1.3.1 การบริการภายในห้องสมุด (Internal Service)
1.3.2 การบริการภายนอกห้องสมุด (External Service)
เนื ้ อ หา
ความรู ้ ท ั ่ ว ไปเกี ่ ย วกั บ สารสนเทศ
โดยธรรมชาติสิ่งมีชีวิตจะมีความสามารถในการดำารงชีวิต
เพื่อจะดำารงเผ่าพันธุ์ไว้ให้ได้ตลอดไป แต่สิ่งมีชีวิตบางประเภทใน
อดีตได้สูญเผ่าพันธุ์ไป เพราะปรับตัวให้เหมาะสมกับสภาพการ
เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ความสามารถในการดำารงชีวิตของพืชและ
สัตว์โดยกายภาพและชีวภาพที่เด่นเฉพาะแต่ละประเภทก็แตกต่าง
กันไป เป็นต้นว่า สัตว์บางประเภทมีเขา บางประเภทมีเขี้ยว บาง
ประเภทมีพิษ เป็นต้น แต่มนุษย์เป็นสัตว์ที่โดดเด่นกว่าสัตว์ทั้ง
หลายเพราะมีมันสมองที่เป็นเลิศ สามารถจดจำา เข้าใจ ตีความนำา
ไปใช้วิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่า จึงสามารถสร้างความ
รู้หรือสารนิเทศสะสมกันไว้ในยุคต่าง ๆ จนเป็นมรดกของ
มนุษยชาติในปัจจุบันและจะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติใน
อนาคตตลอดไป
ความรู้ของมนุษย์ตั้งแต่ดั้งเดิมเป็นเรื่องของความเชื่อที่
ได้ม าจากคำา บอกเล่ าสื บต่ อ กั น มาจากประเพณี แ ละประสบการณ์
- 2. ส่ ว นใหญ่ จ ะเกี่ ย วข้ อ งกั บ ไสยศาสตร์ ศาสนา และสิ่ ง ลึ ก ลั บ
มหั ศ จรรย์ เ กี่ ย วกั บ ประสบการณ์ ท างธรรมชาติ จนกระทั่ ง ได้ มี
ความพยายามบั นทึกเรื่องราวต่าง ๆ โดยใช้วัสดุหลากหลายและ
พั ฒนาไปตามความเจริ ญ ของวิ ท ยาศาสตร์ แ ละเทคโนโลยี จึ งมี
สารนิเทศจำานวนมาก จนกล่าวว่ายุคนี้เป็นยุคข้อมูลข่าวสาร และ
เนื่องมาจากข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายได้รวดเร็วด้วยระบบสื่อสาร
และคมนาคมที่มีประสิทธิภาพสูงจึงทำา ให้โลกเล็กลง มนุษย์จึงได้
รับหลายสิ่งหลายอย่างแทบจะทันทีที่เรียกกันว่า โลกาภิวัฒน์ ถ้า
มนุษย์ไม่รู้จักเลือกรัยสารนิเทศจะสำาลักสารนิเทศ หรือทำาให้สมอง
เสื่อม ถ้ามนุษย์ไม่รู้จักกลั่นกรองสานิเทศซึ่งมีทั้งดีและไม่ดีจะเป็น
อันตรายต่อตนเองและสังคม จำาเป็นต้องใช้ปัญญามากขึ้นจึงจะนำา
สารนิเทศมาใช้ประโยชน์ ดังนั้นมนุษย์จะต้องพัฒนาปัญญาโดย
พัฒนาความสามารถในการแสวงหาสารนิเทศที่เหมาะสม พัฒนา
ความสามารถในการโยงสารนิเทศและความคิดแต่ละด้านเข้ามา
หากันให้เกิดภาพรวมที่ชัดเจน มนุษย์ก็จะมีความสามารถในการ
ดำารงชีวิตที่ดีได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายของการศึกษาวิชาสารนิเทศเพื่อ
การศึกษาค้นคว้า ผู้เรียนจะต้องศึกษารายละเอียดของเนื้อหาวิชา
ให้ เ ข้ า ใจโดยถ่ อ งแท้ เ พื่ อ นำา ไปใช้ ป ระโยชน์ ใ นการศึ ก ษาแบบ
ตลอดชีวิตต่อไป
1. ความหมายของสารสนเทศ
สารนิเทศและสารสนเทศ คำาสองคำานี้มีความหมายคล้ายกัน
และทั้งสองคำามาจากคำาว่า อินฟอร์เมชัน (Information) เหมือน
กัน แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าในกลุ่มของคนที่ใช้คำาว่า “สารนิเทศ”
ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่อยู่ในแวดวง หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานห้อง
สมุด เช่น บรรณารักษ์ และในกลุ่มผู้ที่ทำาการสอนวิชา
บรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ จะเห็นได้ว่า รายวิชาที่
เปิดสอนหลักสูตรบรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์มักจะใช้
คำาว่า สารนิเทศทั้งสิ้น เช่น สารนิเทศศาสตร์เบื้องต้น การพัฒนา
ทรัพยากรสารนิเทศแหล่งสารนิเทศทางมนุษยศาสตร์ แหล่ง
สารนิเทศทางสังคมศาสตร์ เป็นต้น ส่วนคำาว่า “สารสนเทศ” มัก
จะเป็นกลุ่ม นักคอมพิวเตอร์ วิศวกร ซึ่งจะเห็นได้ว่ารายวิชาทาง
คอมพิวเตอร์ ที่เกี่ยวข้องกับสารนิเทศ หรือสารสนเทศจะใช้คำาว่า
สารสนเทศ เช่น ระบบสารสนเทศ สารสนเทศเพื่อการจัดการ
สารสนเทศเพื่อการบริหาร เป็นต้น
- 3. บางแห่ ง ได้ มี ผู้ ให้ ค วามหมายไว้ ต่ า งกั น ดั ง ที่ เอื้ อ มพร ทั ศ น
ปร ะสิ ท ธิ ผ ล (2542 : 11) ได้ ร ว บร ว ม ม าจ าก งาน เขี ย น ท า ง
บรรณารักษศาสตร์ของบุคคลและหน่วยงานต่าง ๆ ดังนี้ สารนิเทศ
หมายถึ ง ข่ า วสาร, ข่ า วสารเนื่ อ งราว, ข้ อ ความรู้ , ข้ อ สนเทศ,
อาเทศ, ข่าวสารความรู้, ความรู้ และในความหมายทางด้านวิชา
คอมพิวเตอร์นั้น ปีเตอร์ นอร์ตัน( 2545 : 278) ได้ให้ความหมาย
สารนิเทศ หรือ สารสนเทศ ว่าหมายถึง ข้อมูลที่นำา มาประมวลผล
ด้ ว ยเครื่ อ งคอมพิ ว เตอร์ และเสนอผลออกมาในรู ป ที่ ผู้ ใ ช้ รู้ ค วาม
หมาย
สำา หรับสารานุกรมด้านคอมพิวเตอร์ นักวิทยาศาสตร์สาขา
นิเทศศาสตร์ ยอมรับคำา นิยามของสารสนเทศ (Information) ว่า
หมายถึ ง ข้ อ มู ล ที่ ใ ช้ ใ นการตั ด สิ น ใจ (Information is data
which is used in decision-making) แ ล ะ โด ย ค ว า ม ห ม า ย นี้
สารนิเทศจะต้องเกี่ยวข้องกับหลายสิ่ง เช่น สภาวการณ์ในขณะนั้น
(Situation) เวลา ( Time) ภู มิ ห ลั ง ของผู้ ตั ด สิ น ใจเอง (Decision
maker’s background) นั่ น คื อ สารนิ เ ทศต้ อ งประกอบไปด้ ว ย
ข้ อ มู ล ต่ า ง ๆ ที่ ป ระกอบกั น จนมี ค วามหมายสมบู ร ณ์ ใ นตั ว และ
สามารถนำาไปใช้ประโยชน์ได้ทันที ยกตัวอย่าง “นาย ก มีส่วนสูง
231 ซ.ม.” ถ้าข้อความมีเพียงเท่านี้ถือว่าเป็นเพียง ข้อมูล (Data)
เท่านั้น แต่ถ้าเป็นข้อความ “นาย ก. มีส่วนสูง 231 ซ.ม. และเป็น
คนที่ สู ง ที่ สุ ด ในประเทศไทย ” อย่ า งนี้ จึ ง จะเป็ น สารนิ เ ทศ และ
ข้ อ ความรู้ นี้ อ าจจะเปลี่ ย นแปลงได้ ใ นอนาคต ถ้ า มี ผู้ ที่ สู ง กว่ า นี้
ปรากฏตัวขึ้นมา
สรุ ป ได้ ว่ าสารนิ เทศ หมายถึ ง ข้อ มู ล ข่ าวสาร ข้ อ เท็ จ จริ ง
ต่ า ง ๆ ความรู้ ที่ บั น ทึ ก ในรู ป แบบต่ า ง ๆ นำา มาผ่ า นกระบวนการ
วิเคราะห์และประมวลผลตามหลักวิชาการ และถูกจัดให้อยู่ในรูป
ที่ มี ค วามหมายและสามารถนำา ไปใช้ ป ระโยชน์ ไ ด้ ทั น ที ดั ง
ข้อมูล ข่าว วิเคราะห์และ สารนิเ
ข้อเท็จจริง ประมวลผล ทศ
ความรู้ ตามหลักวิชาการ
ผลที่ได้รับจาก นำาสารนิเทศมา ผู้ใช้
การใช้ ใช้งาน สารนิเทศ
สารนิเทศ
แผนภาพ
- 4. ที่มา : ประภาส พาวินันท์, 253 ٢ : ٩.
ถ้ า พิ จ า ร ณ า ถึ ง พั ฒ น า ก า ร ข อ ง สื่ อ ส า ร นิ เ ท ศ ที่ จั ด เ ก็ บ
สารนิเทศ จะพบว่าในยุคแรกที่มนุษย์รู้จักการบันทึกความรู้ไว้นั้น
มนุษย์จะใช้ภาษาเขียนบันทึกบนวัสดุแท่งหรือแผ่นก่อน เช่น หิน
ดินเหนียว ใบไม้ จนต่อมาเมื่อมนุษย์คิดทำา กระดาษได้สำาเร็จ จึง
ใช้การจารหรือเขียนลงไว้เป็นหลักฐาน และต่อมาก็คิดระบบการ
พิ ม พ์ ไ ด้ จึ ง มี ก ารพิ ม พ์ ทำา เป็ น รู ป เล่ ม หนั ง สื อ ขึ้ น วั ส ดุ ส ารนิ เ ทศ
เหล่ านี้ สามารถรั บ รู้ ได้ ด้ว ยการดูห รือ อ่าน ได้แ ก่พ วกสิ่ งพิ ม พ์ ทั้ ง
หลาย นับแต่หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ รูปภาพ ต่อมาได้มี
การคิดวัสดุสารนิเทศที่สามารถเก็บสารนิเทศจำานวนมากได้ แต่ใช้
เนื้ อ ที่ น้ อ ยๆ วั ส ดุ พ วกนั้ น ได้ แ ก่ วั ส ดุ ย่ อ ส่ ว น (Microforms) เช่ น
ไมโครฟิ ล์ ม ฟิ ล์ ม สตริ ป สารนิ เ ทศที่ ป รากฏในวั ส ดุ พ วกนี้ ยั ง
สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เพียงแต่ว่ามีขนาดเล็กมาก ถ้าจะ
ดู ใ ห้ ชั ด เจนจริ ง ๆ ก็ ต้ อ งใช้ เ ครื่ อ งมื อ ขยายให้ ใ หญ่ ขึ้ น และใน
ปัจจุบันที่พัฒนาการของเครื่องคอมพิวเตอร์มีค วามก้ าวหน้ ามาก
มนุ ษย์ ได้ จั ด เก็ บ สารนิ เ ทศลงในคอมพิ ว เตอร์ เ พื่ อ แปลงสั ญ ญาณ
อิเล็กทรอนิกส์ให้เป็นภาพ หรือ ตัวอักษรหรือเสียงปรากฏบนหน้า
จอภาพ หรื อ ผ่ า นออกมาทางเครื่ อ งพิ ม พ์ ห รื อ ผ่ า นออกมาทาง
ลำาโพง จึงจะรับรู้ได้
2. คุ ณ ค่ า ของสารสนเทศ
แอดเธอรตัน กล่าวถึงคุ ณ ค่ า ของสารสนเทศ ไว้ (ลมุล รัต
ตากร, 2529 : 20) ดังนี้
1) เสริมสร้างความสามารถของแต่ละประเทศในอันที่จะ
ตักตวงประโยชน์จากความรู้
ต่าง ๆ และวิธีการต่าง ๆ ที่ประสบผลสำาเร็จมาแล้วจากที่อื่น
2) สร้างความมีเหตุผลและระเบียบแบบแผนเกี่ยวกับการวิจัย
และพัฒนาของแต่ละประเทศโดยอาศัยความรู้ที่มีอยู่แล้ว
3) มีฐานความรู้ที่กว้างขวางยิ่งขึ้นสำาหรับแก้ไขปัญหา
4) มีหนทางและวิธีการใหม่ในการแก้ปัญหาทางเทคนิค มี
ทางเลือกที่จะตัดทอนปัญหาในอนาคตให้น้อยลง
5) กิจกรรมทางเทคนิคในการผลิตและบริการได้รับการ
ปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
- 5. 6) นอกเหนือสิ่งอื่นใดทำาให้ตัดสินใจได้ดีขึ้นทุกหน่วยงาน
และทุกระดับความรับผิดชอบ
3. ความสำ า คั ญ ของสารสนเทศ
ยุ ค นี้ ซึ่ ง เรี ย กว่ า ยุ ค ข้ อ มู ล ข่ า วสาร (Information Age)
หรือเป็นยุคของเทคโนโลยีสารสนเทศ และในประเทศไทย เคย
กำา หนดให้ ปี 2538 เป็ น ปี ไอที เ ยี ย ร์ หรื อ ปี แ ห่ ง เทคโนโลยี
สารสนเทศของไทย ซึ่งจะเห็นว่าสารนเทศเข้ามามีบทบาทสำาคัญ
และจำาเป็นอย่างยิ่งต่อชีวิตมนุษย์จนกลายเป็นปัจจัยที่ห้า เพิ่มจาก
ปั จ จั ย สี่ ใ นการดำา รงชี วิ ต ของมนุ ษ ย์ ใ นปั จ จุ บั น ที่ จ ะขาดเสี ย มิ ไ ด้
เพราะว่าในแต่ละวันเราทุกคนจะต้องใช้สารนิเทศเพื่อประกอบการ
ตั ด สิ น ใจ เพื่ อ ประกอบการทำา งาน ประกอบการลงทุ น ต่ า ง ๆ
มากมาย การใช้สารนิเทศในแต่ละวันอาจจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่
กั บ ความต้ อ งการของแต่ ล ะบุ ค คล หรื อ ขึ้ น อยู่ กั บ ปั จ จั ย ต่ อ ไปนี้
อายุ เพศ วัย อาชีพ สิ่งแวดล้อมทางสังคม และในแต่ละกลุ่มจะมี
ความต้ อ งการใช้ ส ารนิ เ ทศไม่ เ หมื อ นกั น เช่ น กลุ่ ม ของนั ก ธุ ร กิ จ
นั ก ลงทุ น ก็ ต้ อ งการสารนิ เ ทศที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ การลงทุ น การเงิ น
การค้ า ต่ า ง ๆ นั ก ศึ ก ษา ก็ ต้ อ งการสารนิ เ ทศสาขาต่ า ง ๆ เพื่ อ
ประกอบการเรี ย น ได้ มี นั ก วิ ช าการกล่ า วถึ ง ความสำา คั ญ ของ
สารนิเทศดังนี้
นันทา วิทวุฒิศักดิ์ ได้กล่าวถึงความสำาคัญของสารนิเทศว่า
มีดังนี้ (นันทา วิทวุฒิศักดิ. 2540 : 3-4)
์
1. ทำาให้สามารถต่อสู้ได้ดีกับสิ่งแวดล้อมซึ่งไม่รู้จัก และอาจ
เป็นอันตรายต่อชีวิตบุคคลทำาการเสาะแสวงหาข้อมูลเพื่อ
นำามาประมวลเข้าเป็นความรู้สำาหรับต่อสู้กับสิ่งแวดล้อมได้
แล้ ว ยั ง นำา เอาทรั พ ยากรธรรมชาติ ที่ แ วดล้ อ มมาเป็ น
ประโยชน์ ต่ อ ตนเองได้ ทำา ให้ มี ปั จ จั ย ในการดำา รงชี วิ ต
อั น ได้ แ ก่ อาหาร เครื่ อ งดื่ ม เครื่ อ งนุ่ ง ห่ ม ที่ อ ยู่ อ าศั ย
และยารักษาโรค สามารถประกอบการงานอาชีพได้
2. ทำา ให้ ส ามารถต่ อ สู้ กั บ ความไม่ รู้ ข องตนเองในเรื่ อ งที่
จำา เ ป็ น ต้ อ ง รู้ ก า ร แ ส ว ง ห า ค ว า ม รู้ ค ว า ม เ ข้ า ใ จ ใ น
ปรากฏการณ์ธรรมชาติ เกิดความเข้าใจในความเติบโต
ของร่ างกาย ความเข้ า ใจเกี่ ย วกั บ พฤติ ก รรมของเพื่ อ น
มนุษย์ สามารถสร้างสัมพันธภาพกับบุคลอื่นที่อยู่ร่วมกัน
ได้ดี แลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็น และประสบการณ์
- 6. ระหว่างกันได้ เกิดความเจริญงอกงามทางปัญญา เกี่ยว
กับธรรมชาติ และมนุษยชาติ
3. ทำา ให้สามารถเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ตัดสินใจในการแก้
ปั ญหา และการกระทำา หรื อ ไม่ ก ระทำา สิ่ งต่ าง ๆ ได้ อ ย่ าง
รอบคอบ เพราะมีความรู้ ข้อมูล ข่าวสารในปัญหาที่จะ
ต้ อ งแก้ ไข หรือ ในเรื่ อ งที่ ต้ อ งการกระทำา หรื อ ไม่ ก ระทำา
สารนิเทศที่ถูกต้อง ครบถ้วนและทันเวลาเป็นพื้นฐานใน
การตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล
4. ทำา ให้ เ กิ ด ความเจริ ญ ทางจิ ต ใจ มี ค วามสงบเยื อ กเย็ น
รู้จักควบคุมอารมณ์ที่ไม่พึงปรารถนาเป็นอิสระจากสิ่งต่าง
ๆ รู้ จั กความเอื้ อ เฟื้ อ เผื่ อ แผ่ แ ละเมตตากรุ ณ า รู้ จั ก ความ
สวยงามในธรรมชาติ และศิ ล ปกรรม สิ่งเหล่ านี้ มี ค วาม
จำาเป็นแก่ชีวิตของคนเราอย่างมาก
5. ก่อให้เกิดการศึกษา ซึ่งจำาเป็นต่อการพัฒนาสังคม การที่
บุ ค คลหรื อ ประชาชนมี ค วามสามารถเข้ า ถึ ง สารนิ เ ทศที่
ปรากฏในรู ป ลายลั ก ษณ์ อั ก ษร จะช่ ว ยขจั ด ความไม่ รู้
หนังสือ ความยากจน โรคภัย ไข้เ จ็บ ก่ อให้เ กิด ความรู้
และการศึกษาถึงสิ่งที่ยังไม่รู้ ซึ่งมีผลต่อสังคม ทำาให้เป็น
สังคมที่เจริญก้าวหน้า
6. รักษาไว้และถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมความสามารถ
ในการเขียน หรือบันทึกความรู้ ไว้เป็ นลายลัก ษณ์อักษร
ทำา ให้ ค วามรู้ ทั้ ง หลายมี ป ระโยชน์ ม าก และไม่ สู ญ หาย
ความสามารถในการอ่าน หรือรู้จักแปลความหมาย เพื่อ
ให้เข้าถึงสารนิเทศ จะช่วยอนุรักษ์ พัฒนาและถ่ายทอด
ให้กับบุคลในรุ่นต่อไปได้
7. เสริ ม สร้ า งความรู้ ความสามารถทางด้ า นเทคโนโลยี
เศรษฐศาสตร์ ธุ ร กิ จ การพาณิ ช ย์ และความรู้ อื่ น ๆ ที่
เป็นพื้นฐานจำาเป็นต่อการพัฒนาสังคม
วาณี ฐาปนวงศ์ (2539 : 6-7) ได้กล่าวถึงความสำาคัญของ
สารนิเทศไว้ 5 ประการ ดังนี้
1. เพื่ อ การศึ ก ษา (Education) สารนิ เ ทศทุ ก ชนิ ด มี ค วาม
สำาคัญและจำาเป็นต่อการศึกษาเป็นข้อมูลพื้นฐาน และเป็น
ข้อมูลสำาหรับการศึกษาความรู้
2. เพื่อให้ความรู้ (Information) คนในสังคมมีความจำาเป็น
ที่จะต้องอาศัยข้อมูลหรือความรู้ หรือข่าวสารต่าง ๆ ที่เกิด
- 7. ขึ้ นในสั งคมแต่ ล ะวั น แต่ ล ะเหตุ ก ารณ์ มาประกอบการ
ตัดสินใจ และการดำารงชีวิต
3. เพื่อการค้นคว้าหรือการวิจัย (Research) ในการพัฒนา
ความรู้หรือการศึกษาวิจัย หรือการค้นคว้าในแต่ล ะครั้ง
จะต้องมีสานิเทศเป็นข้อมูลพื้นฐานสำา หรับการวิจัย และ
เป็นข้อมูลสนับสนุนการวิจัย
4. เพื่ อ ความจรรโลงใจ (Inspiration) สารนิ เ ทศมี ห ลาย
ประเภท และบางประเภทนอกจากจะให้ความรู้แก่ผู้อ่าน
หรื อ ผู้ ใ ช้ ส ารนิ เ ทศแล้ ว ยั ง ให้ ค วามจรรโลงใจ เช่ น
สารนิเทศที่เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรม ศาสนา เป็นต้น
5. เพื่ อ ความบั น เทิ ง (Recreation) สารนิ เ ทศมี ป ระโยชน์
มากมายนอกจากจะให้ความรู้ ความจรรโลงใจ แก่ผู้อ่าน
แล้วยังให้ความบันเทิงสนุกสนาน ซึ่งเป็นการผ่อนคลาย
ความตรึ ง เครี ย ดของผู้ ใช้ ส ารนิ เ ทศได้ เช่ น สารนิ เ ทศ
ประเภท นวนิ ย าย รายการเพลงจากวิ ท ยุ ภาพยนตร์
รายการโทรทัศน์ เป็นต้น
ประทีป จรัสรุ่งรวีวร (2541 : 3) ได้กล่าวความสำาคัญของ
สารสนเทศไว้ดังนี้
1. ด้านการเรียนการสอน การเลือกใช้สารนิ เทศที่มีคุณค่า
จ ะ ทำา ใ ห้ ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น ไ ด้ ป ร ะ สิ ท ธิ ภ า พ แ ล ะ
ประสิทธิผล
2. ด้ า นการศึ ก ษาค้ น คว้ า วิ จั ย การเลื อ กใช้ ส านิ เ ทศที่ มี
คุณค่าจะทำา ให้ผลงานการศึ ก ษาค้ น คว้ าวิจั ย น่าเชื่ อถื อ
และสามารถนำาไปใช้ประโยชน์ได้มาก
3. ด้านการตัดสินใจในการดำา เนิ นงานต่าง ๆ การตัดสิ นใจ
ในการบริหารงานทุกสาขาอาชีพในชีวิตประจำาวัน หาก
เลื อ กใช้ ส ารนิ เ ทศที่ มี คุ ณ ค่ า ย่ อ มทำา ให้ ก ารตั ด สิ น ใจนั้ น
เกดประโยชน์สูงสุด
4. ด้านความเข้ าใจอั น ดี ร ะหว่ างมนุ ษยชาติ แม้ ว่ าต่ างเชื้ อ
ชาติ ศาสนา ภาษาวัฒนธรมและถิ่นที่อยู่ ถ้าบุคคลหรือ
กลุ่ ม บุ ค คลเหล่ านั้ น ได้ รั ย สารนิ เ ทศที่ มี คุณ ค่ าที่ ช่ ว ยให้ มี
โลกทัศน์กว้างขวาง มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน ย่อมลด
ปัญหาของสังคมที่แตกแยกเพราะความแตกต่างดังกล่าว
ลงได้
5. ด้ านวิ ท ยาการและเทคโนโลยี ต่ า ง ๆ ผู้ ส นใจพั ฒ นาทาง
ด้านนี้ย่อมแสวงหาสารนิเทศที่มีคุณค่า พัฒนาวิทยาการ
- 8. และเทคโนโลยีต่าง ๆ ซึ่งจะเป็ นผลดีต่อมนุษยชาติที่จะมี
คุณภาพชีวิตดีขึ้น
6. ด้ า นเอกลั ก ษณ์ แ ละวิ วั ฒ นาการของชาติ สารนิ เ ทศที่ มี
คุ ณ ค่ า จะก่ อ ให้ เ กิ ด ความภาคภู มิ ใ จ ความรั ก ความ
สามัคคี ความมั่นคงในชาติ
7. ด้ า นสร้ า งค่ า นิ ย มและทั ศ นคติ ที่ ดี ถ้ า ประชาคมใดได้
พัฒนาปัญญาด้วยการรับสารนิเทศย่อมสามารถสร้างค่า
นิยมและทัศนคติที่ดีให้เกิดขึ้นในสังคมได้
8. ด้านประหยัดเวลาในการดำาเนินการและเสริมคุณค่าของ
ผลงาน สารนิ เ ทศที่ มี คุ ณ ค่ าย่ อ มช่ ว ยลดปั ญ หาการเสี ย
เวลาลองผิดลองถูก
9. ด้ านประหยั ด ค่ า ใช้ จ่ า ย ข่ ายงานสารนิ เ ทศของสถาบั น
บริการสารนิเทศช่ว ยให้ ผู้ใช้ส ามารถเข้ าถึ ง และสืบ ค้น
รวบรวมสารนิเทศได้กว้างขวางและลึก ทั้งยังประหยัดค่า
ใช้จ่ายอีกด้วย
แหล่ ง สารสนเทศ
แหล่ งสารสนเทศ (Information resources) จะหมายรวม
ทั้ งแหล่ งทรั พ ยากรสารนิ เ ทศที่ เ ป็ น ศู น ย์ ร วมข้ อ มู ล ทางสารนิ เ ทศ
แหล่ งเกิ ด ข้ อ มู ล ทางสารนิ เ ทศและแหล่ ง ผลิ ต สารนิ เ ทศ สถาบั น
บริการสารนิเทศจะเป็นผู้รวบรวมสะสมสารนิเทศต่าง ๆ เข้าไว้ด้วย
กั น และนำา มาจั ด เก็ บ ให้ บ ริ ก าร และเผยแพร่ ส ารนิ เ ทศอย่ า งมี
ประสิทธิภาพ แหล่งให้บริการสารนิเทศที่สำา คัญในอดีต คือ ห้อง
สมุ ด ประชาชน แต่ ในปั จ จุ บั น แหล่ ง ให้ บ ริ ก ารสารนิ เ ทศมี ห ลาย
ประเภท แตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งและการให้
บริการสารนิเทศ แหล่งสารสนเทศนั้นอาจแบ่งย่อยไปตามลักษณะ
ของตัวแหล่งได้ดังนี้
1. ห้องสมุด (Libraries)
ห้องสมุดเป็นสถาบันที่ให้บริ การสารนิเทศที่สำา คัญมาตั้งแต่
อดีต เป็นแหล่งสะสมสารนิเทศเพื่อให้ความรู้ เพื่อการศึกษา เพื่ อ
การค้นคว้าวิจัย เพื่อความจรรโลงใจ และเพื่อการพักผ่อนหย่อน
ใจ ห้ อ งสมุ ด เป็ น บ่ อ เกิ ด ของพั ฒ นาการข องสถาบั นบริ การ
สารนิเทศประเภทอื่น ๆ เราสามารถแบ่ งประเภทของห้อ งสมุด ได้
หลายประเภท ได้แก่
- 9. หอสมุดแห่งชาติ (National Libraries) คือหอสมุด
ประจำา ชาติ ข องประเทศหนึ่ ง ๆ มี ห น้ า ที่ ห ลั ก คื อ รวบรวมวั ส ดุ
สารนิเทศเอาไว้ โดยเฉพาะวัสดุสารนิเทศที่ผลิตขึ้นในประเทศนั้น
ๆ โดยมีกฎหมายรองรับ กำา หนดให้ผู้ผลิตสิ่งพิมพ์ และวัสดุชนิด
ต่ าง ๆ ต้อ งส่ งมอบสิ่ งพิ ม พ์ ห รื อ วั ส ดุ ส ารนิ เ ทศที่ ต นผลิ ต ขึ้ น ให้ แ ก่
หอสมุด แห่งชาติ เพื่ อ เป็ น หลั ก ฐานสมบั ติ ท างปั ญ ญาที่ ค นในชาติ
นั้น ๆ ได้ทำาขึ้น สร้างสรรค์ขึ้น นอกจากนี้หอสมุดแห่งชาติยังต้อง
ทำาหน้าที่จัดทำาบรรณานุกรมวัสดุสารนิเทศแห่งชาติอีกด้วย
หอสมุดแห่งชาติของไทย ประวัติความเป็นมาของหอมุดแห่ง
ชาติ ข องไทยเรานั้ น ขอสรุ ป โดยย่ อ จากข้ อ เขี ย นเรื่ อ ง ประวั ติ
หอสมุดแห่งชาติ (2548 : ออนไลน์) ดังนี้
หอสมุ ด แห่ ง ชาติ เ ดิ ม มี ชื่ อ ว่ า “ หอสมุ ด วชิ ร ญาณสำา หรั บ
พ ร ะ น ค ร ” ซึ่ ง พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯสสถาปนาขึ้น
เมื่ อ 12 ตุ ล าคม 2448 โดยนำา เอาหอพระสมุ ด 3 แห่ ง มารวมกั น
คื อ หอพระมณเฑี ย รธรรม หอพระสมุ ด วชิ ร ญาณ และหอ
พระพุทธ-ศาสนสังคหะ
ปัจจุบันหอสมุดแห่งชาติได้มีการขยายสาขาออกไปยังส่วน
ภูมิภาคและที่ต่าง ๆ หลายแห่ง นอกจากนี้หอสมุดแห่งชาติยังได้
พั ฒ นางานด้ า นวิ ช าการและบริ ก ารออกไปอย่ า งกว้ า งขวาง มี
การนำา เอาคอมพิ ว เตอร์ ม าใช้ กั บ งานห้ อ งสมุ ด ได้ เ ข้ า ร่ ว มเป็ น
สมาชิ ก ของศู น ย์ แ ลกเปลี่ ย นและยื ม สิ่ ง พิ ม พ์ ใ นเอเชี ย อาคเนย์
(NLDC-SEA Consortium)
ห อ ส มุ ด ม ห า วิ ท ย า ลั ย ห รื อ ห้ อ ง ส มุ ด ส ถ า บั น
อุ ด มศึ ก ษา (University Libraries or Academic Libraries) เป็ น
ห้องสมุดที่ตั้งขึ้นภายในมหาวิทยาลัยหรือวิทยาลัย เพื่อเป็นแหล่ง
ความรู้ให้นิสิต นักศึกษา ครูอาจารย์ให้เป็นแหล่งค้นคว้าประกอบ
การเรียนการสอน และการวิจัย ในการพิจารณาว่ามหาวิทยาลัย
ใดมี คุณ ภาพหรือ ไม่ เกณฑ์ ก ารพิ จ ารณาอย่ างหนึ่ ง ก็ คือ สภาพ
ของห้องสมุด ปริมาณวัสดุสารนิเทศที่มี บริการต่าง ๆ ที่มีให้แก่ผู้
ใช้
ห้องสมุดมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ ห้องสมุดมหา
วิ ท ยาลั ย ฮาร์ ว าร์ ด แห่ ง บอสตั น ห้ อ งสมุ ด นี้ ก่ อ ตั้ ง มาพร้ อ มกั บ
มหาวิทยาลัยเมื่อปี ค.ศ. 1683 มีการสะสมหนังสือ สิ่งพิมพ์ วัสดุ
เพื่ อ การค้ น คว้ า ต่ า ง ๆ ไว้ อ ย่ า งมกมาย ปั จ จุ บั น นี้ ห้ อ งสมุ ด นี้ มี
ทรัพยากรสารนิเทศที่เด่นในด้าน วรรณคดีอังกฤษ วรรณคดีต่าง
ประเทศ กฎหมาย เศรษฐศาสตร์ เรื่ อ งราวเกี่ ย วกั บ สหภาพ
- 10. สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต ซึ่งปัจจุบันได้แบ่งแยกเป็นอิสระ 15
ประเทศ เรื่ อ งราวเกี่ ย วกั บ ประเทศตะวั น ออก ห้ อ งสมุ ด นี้ มี
บรรณารักษ์และผู้เชี่ยวชาญสื่อด้านต่าง ๆ กว่า 100 คน
ห้องสมุดมหาวิทยาลัยอีกแห่งที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีก็คือ
ห้ อ ง ส มุ ด บ็ อ ด ลี เ อี ย น แ ห่ ง
อ็ อ กฟอร์ ด (Bodleian Library at Oxford) ในประเทศอั ง กฤษ
ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1602 ชื่อของห้องสมุดนั้นเอามาจากชื่อของ
เซอร์ โ ทมั ส บ็ อ ดเลอร์ (Sir Thomas Bodley) ซึ่ ง ท่ า นผู้ นี้ เ ป็ น
นักการเมืองและนักเลงหนังสือ คือทั้งชอบอ่านและสะสมหนั งสือ
ท่ า นเป็ น ผู้ ดำา เนิ น การให้ มี ข้ อ ตกลงบั ง คั บ สำา นั ก พิ ม พ์ ต่ า ง ๆ ใน
ประเทศอังกฤษขณะนั้น ต้องจัดส่งหนังสือที่พิมพ์ขึ้นใหม่ชื่อเรื่อง
ละ 1 ฉบับ ให้แก่ห้องสมุดดังกล่าว ปัจจุบันนี้ห้องสมุดดังกล่าวได้
เปลี่ยนรูปแบบการดำา เนินการเป็นรูปสหพันธ์ห้องสมุด โดยมีการ
รวบรวมเอาห้ อ งสมุ ด อื่ น ๆ เข้ า มาอยู่ ใ นเครื อ ข่ า ยด้ ว ย เช่ น
Radcliff Science Library ; The Law Library เป็นต้น
ห้ อ งสมุ ด ประชาชน (Public Libraries) ห้ อ งสมุ ด
ประชาชนมีหน้าที่ให้บริการสารนิเทศแก่ชุมชนโดยตรง บทบาทที่
สำา คั ญ คื อ การส่ ง เสริ ม การอ่ า นในหมู่ เ ด็ ก และวั ย รุ่ น จั ด บริ ก าร
ข้อมูลข่าวสารที่คนในชุมชนสนใจ
ในกลางศตวรรษที่ 19 ห้องสมุดประชาชนในประเทศแถบ
ตะวั น ตกได้ เ พิ่ ม บทบาทกว้ า งขวางขึ้ น อี ก คื อ มี ก ารจั ด หาวั ส ดุ
สารนิเทศที่เป็นแหล่งอ้างอิงสำา คัญ เพื่อให้บริการตอบคำา ถามแก่
บุคคลในชุมชนที่มาขอรับบริการ จัดบริการยืมให้กว้างขวางออก
ไปในหมู่ประชาชนทุกครัวเรือน มีการจัดตั้งห้องสมุดสาขา หรือ
จั ด ห้ อ งสมุ ด เคลื่ อ นที่ ไ ปบริ ก ารยั ง ชุ ม ชนที่ อ ยู่ ห่ า งไกล หรื อ ใน
ชนบท บางห้ อ งสมุ ด มี บ ริ ก ารพิ เ ศษให้ แ ก่ คนชร าในส ถาน
สงเคราะห์ ค นชรา หรื อ บุ ค คลทุ พ ลภาพในสถานฟื้ น ฟู ก ายภาพ
หรือบุคคลต้องขัง หรือผู้ป่วยในโรงพยาบาล
ในชุ ม ชนที่ เ ป็ น เมื อ งใหญ่ มี ค วามเจริ ญ มาก ๆ ห้ อ งสมุ ด
ประชาชนจะมีขนาดใหญ่ และมีการแบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ เช่น
แยกเป็ น ส่ ว นบริ ก ารตอบคำา ถาม ส่ ว นให้ บ ริ ก ารด้ า นการวิ จั ย
ตั ว อย่ า งห้ อ งสมุ ด ที่ มี ลั ก ษณะดั ง กล่ า ว เช่ น ห้ อ งสมุ ด ประชาชน
นิ ว ยอร์ ก ซึ่ ง มี ท รั พ ยากรสารนิ เ ทศด้ า นการวิ จั ย ในสาขาต่ า ง ๆ
มากเป็นพิเศษ อีกแห่งหนึ่งคือ ห้องสมุดประชาชนบอสตัน เป็น
ห้องสมุดประชาชนแห่งแรกในสหรัฐอเมริกา และยังเป็นแห่งแรก
ที่ได้รับเงินอุดหนุนที่มาจากภาษีอากรท้องถิ่นนั้นโดยตรง มีความ
- 11. เด่นในด้านทรัพยากรสารนิเทศด้านการวิจัยในปริมาณมากพอ ๆ
กับปริมาณหนังสือเพื่อการอ่านค้นคว้าโดยทั่วไป
สำาหรับห้องสมุดประชาชนในประเทศไทยนั้นในเขตกรุงเทพ
ฯ อยู่ในความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานคร ส่วนต่างจังหวัดอยู่
ในความรั บ ผิ ด ชอบของกรมการศึ ก ษานอกโรงเรี ย น ห้ อ งสมุ ด
ประชาชนของไทยเรานั้ นมี ป ระวั ติพั ฒ นาการ โดยสรุ ปจากงาน
วิ จั ย ข อ ง เ ฉ ลิ ม ชั ย เ ข ม ชั ย (2535 : บ ท คั ด ย่ อ ) ไ ด้ คื อ
พัฒนาการห้องสมุดประชาชนของไทยนั้นมีมาแต่สมัยกรุงสุโขทัย
โดยวัดวาอารามต่าง ๆ จะเป็นศูนย์กลางประชาคม เป็นศูนย์การ
สอนภาษาบาลี ภาษาไทย และวิ ช าความรู้ อื่ น ๆ สมั ย พระมหา
ธรรมราชาลิ ไ ท กษั ต ริ ย์ อ งค์ ที่ 5 ของราชวงศ์ พ ระร่ ว งได้ ท รง
ศึ ก ษาพระไตรปิ ฎ กจนแตกฉาน และได้ ท รงนิ พ นธ์ ห นั ง สื อ “
ไตรภูมิพระร่วง” ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาขึ้น ใน
สมัยกรุงสุโขทัยไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีห้องสมุดประชาชนหรือไม่
มี แต่ ศิล าจารึ กที่ จ ารึ กเรื่ อ งราวต่ าง ๆ ไว้ ซึ่ งค้ น พบภายหลั งว่ ามี
หลายหลัก
สมั ย กรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยา แหล่ ง ความรู้ ยั ง คงอยู่ ที่ วั ด และเขต
พระราชวัง มีการผลิตหนังสืออ่าน สอนภาษา หนังสือทางศาสนา
หนังสือทางวรรณคดี และหนังสือกฎหมาย
มาถึ งสมั ย กรุ งธนบุ รี สมเด็ จ พระเจ้ าตากสิ น มหาราช ก็ ยั ง
ทรงเล็กเห็นถึงความสำาคัญของหนังสือ แม้กรุงศรีอยุธยาที่ถูกพม่า
เผาไปจะสู ญ เสี ย หนั ง สื อ ไปจำา นวนมากก็ ต าม พระองค์ ยั ง ทรง
โปรดให้มีการแสวงหาหนังสือมาตั้งห้องสมุดใหม่ ทั้งหนังสือทาง
พระศาสนา คือ พระไตรปิฎก หนังสือวรรณคดี หนังสือกฎหมาย
แ ล ะ ยั ง ไ ด้ มี ก า ร ป ร ะ พั น ธ์ ว ร ร ณ ค ดี ขึ้ น ใ ห ม่ 2-3 เ รื่ อ ง เ ช่ น
รามเกียรติ์ ลิลิตเพชรมงกุฎ โคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุรี
ของนายสวนมหาดเล็ก เป็นต้น
ในสมั ย กรุ ง รั ต นโกสิ น ทร์ ช่ ว งแรก มี ก ารสร้ า ง “ หอพระ
มณเฑียรธรรม” ในวัดพระศรีรัตน-ศาสดารามพระบรมมหาราชวัง
เก็บพระไตรปิฎก ศิลาจารึก พระราชสาสน์ที่มีไปยังต่างประเทศ
จนสมัยพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์
วัดพระเชตุพลวิมลมังคลาราม โปรดเกล้าฯ ให้มีการรวบรวมสรรพ
ตำา ราต่าง ๆ ที่เรียนเป็นวิชาชีพได้เอามาตรวจแก้ไขและแต่งใหม่
เพิ่มเติมให้สมบูรณ์ แล้วจารึกบนแผ่นศิลา ประดับไว้รอบระเบียง
วัดพระเชตุพลวิมลมังคลาราม ในวงวิชาการบรรณารักษศาสตร์
จึงยอมรับกันว่า วัดดังกล่าวเป็นห้องสมุดประชาชนแห่งแรกของ
- 12. ไทย เพราะเป็นแหล่งที่บุคคลจะค้นหาความรู้ได้ด้วยตนเอง และมิ
ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ
ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้มีเจ้านายชั้นผู้ใหญ่จัดตั้งห้องสมุดขึ้น
ที่ วั ง สราญรมย์ เพื่ อ รวบรวมหนั ง สื อ ไทยไว้ ด้ ว ยกั น และสมั ย
รัชกาลที่ 4 ทรงพระราชทานนามให้ว่า “หอพระสมุดวชิรญาณ”
ล่วงมาถึงสมัย รัชกาลที่ 5 พ.ศ. 2447 ได้ทรงจัดตั้งหอพระสมุด
สำา หรั บ พระนครขึ้ น โดยยุ บ รวมหอพระสมุ ด วชิ ร ญาณ หอพระ
มณเฑียรธรรม หอพุทธศาสนสังคหะมาไว้ด้วยกัน พระราชทาน
นามให้ใหม่ว่า “หอพระสมุดวชิรญาณสำาหรับพระนคร”
ปี พ.ศ. 2459 เริ่มมีการดำาเนินการห้องสมุดประชาชนอย่าง
เป็นระบบ คือ มีการจัดระเบียบกรมราชบัณฑิต กระทรงธรรมการ
ใหม่ ให้มีแผนกห้องสมุดเป็นแผนกหนึ่งในกรม แผนกนี้ได้ดำาเนิน
การจั ด ตั้ ง ห้ อ งส มุ ด ปร ะชาช นขึ้ น โด ย ท ด ล อ งครั้ งแ ร ก ใน
กรุงเทพมหานคร 3 แห่ง คือที่ วัดสุทัศนเทพวราราม วัดสามจีน
และวัดประยุรวงศาวาส ต่อมาได้ให้มณฑลหัวเมืองจัดตั้งขึ้นบ้าง
ซึ่งปรากฏหลักฐาน มีเปิดที่ สงขลา ชัยภูมิ จันทบุรี บุรีรัมย์
ยุคต่อมาเป็นยุคของการเปลี่ยนแลงการปกครอง รัฐบาลมุ่ง
เรื่องการรู้หนังสือ จึงเร่งรัดจัดการศึกษาผู้ใหญ่ มีการตั้งกองการ
ศึ ก ษาผู้ ใ หญ่ ขึ้ น เมื่ อ ปี พ.ศ. 2483 และกองนี้ มี ง านห้ อ งสมุ ด
ประชาชนอยู่ ด้ ว ย ขณะนั้ น ได้ ดำา ริ จ ะตั้ ง ห้ อ งสมุ ด ประชาชนใน
จังหวัดต่าง ๆ ให้ได้ทั่วประเทศ แต่เกิดสงครามโลกทำาให้แผนการ
ชะงักไป จนกระทั่งปี พ.ศ. 2492 กระทรงศึกษาธิการได้ประกาศ
ระเบีย บเรื่ อ งห้ อ งสมุ ด ประชาชนออกมาก และมี ก ารตั้ งห้ อ งสมุ ด
ประชาชนเพิ่มในจังหวัดต่าง ๆ รวม 17 แห่ง
ปี พ .ศ. 2495 ได้ มี ก ารโอนกองการศึ ก ษาผู้ ใ หญ่ ไ ปอยู่ ก รม
สามัญศึกษา และคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้กระทรวงศึกษาธิการและ
กระทรวงมหาดไทย ร่ ว มกั น ตั้ ง ห้ อ งสมุ ด ประชาชนอำา เภอขึ้ น
อำา เภอละแห่ง โดยการเช่ าที่หรือยืมสถานที่จากเอกชนก็ ได้ ถึงปี
พ.ศ. 2496 มีห้องสมุ ดประชาชนทั่ ว ประเทศ 86 แห่ง มีห้ อ งสมุ ด
เคลื่ อนที่ 6 หน่ วย (รถยนต์ 5 หน่ว ย และเรื อ 1 หน่ว ย) หลังจาก
นั้ นมางานห้อ งสมุด ประชาชนก็ เ จริ ญ ขึ้ น สถาบั น การศึ ก ษาระดั บ
อุ ด มศึ ก ษาได้ มี ก ารเปิ ด สอนวิ ช าบรรณารั ก ษศาสตร์ สมาคมห้ อ ง
สมุ ด แห่ ง ประเทศไทยฯ ได้ มี ก ารจั ด อบรมวิ ช าห้ อ งสมุ ด ให้ แ ก่
บรรณารักษ์ในห้องสมุดประชาชน ทำาให้ได้วิชาความรู้ไปจัดห้อง
สมุดให้ถูกต้องตามหลักวิชาจริง ๆ
- 13. ปี พ.ศ. 2508 มีการจัดทำา มาตรฐานห้องสมุดประชาชนขึ้น
โดคณะกรรมการส่ ง เสริ ม และประสานงานห้ อ งสมุ ด ของกรม
สามัญศึกษา และกรมสามัญศึกษาได้ประกาศใช้ในเวลาต่อมา
ปี พ.ศ. 2522 มี พ ระราชบั ญ ญั ติ จั ด ตั้ ง กรมการศึ ก ษานอก
โรงเรีย นขึ้น กรมนี้ได้รวมเอางานการศึกษาผู้ใหญ่และงานห้อ ง
สมุดประชาชนไว้
ปี พ.ศ. 2535 กรมการศึ ก ษานอกโรงเรี ย นได้ กำา หนด
นโยบาย เกี่ยวกับบทบาทของห้องสมุดประชาชนแนวใหม่ขึ้น ซึ่ง
แนวนโยบายนั้ นมี 4 ข้อคือ 1) ห้องสมุ ดประชาชนเป็ น ศูน ย์ ก าร
เรี ย นรู้ ข องชุ ม ชน 2) ห้อ งสมุ ด ประชาชนเป็ น ศู น ย์ ป ระชาคมใน
ชุมชน 3) ห้องสมุดประชาชนเป็นศูนย์ข้อมูลข่าวสารของชุมชน
4) ห้องสมุดประชาชนเป็นเครือข่ายการเรียนรู้
ในปี พ.ศ.2534 เป็นปีที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยาม
บรมราชกุ ม ารี เจริ ญ พระชนมายุ 3 รอบ กรมการศึ ก ษานอก
โรงเรี ย นจึ งได้ดำา ริ จัด ตั้งห้อ งสมุด ประชาชนเฉลิม ราชกุ ม ารี ขึ้น
ตามอำา เภอต่ า ง ๆ โดยระดมทุ น จากภาคเอกชน แต่ แ รกตั้ ง เป้ า
หมายไว้ จำา นวน 37 แห่ ง แต่ ต่ อ มาได้ มี ผู้ ป ระสงค์ บ ริ จ าคเงิ น
ก่ อ สร้ างในที่ ต่ าง ๆ ขึ้ น อี ก มากมายหลายแห่ ง จนสุ ด ท้ ายมี ก าร
แสดงความจำานงของสร้างมากกว่า 50 แห่ง
ห้ อ งสมุ ด เฉพาะ (Special Libraries) ห้ อ งสมุ ด
เฉพาะเป็นห้องสมุดที่ตั้งขึ้นเพื่อสนองความต้องการเฉพาะด้านของ
บุคคลในวิชาชีพชั้นสูงหรือนักธุรกิจ ห้องสมุดประเภทนี้มักจะมีอยู่
ในหน่ ว ยราชการระดั บ สู ง ต่ า ง ๆ ในโรงงานอุ ต สาหกรรม ใน
สมาคมทางวิชาชีพ ในบริษัทใหญ่ ๆ ห้องสมุดในคณะวิ ชาต่าง ๆ
ของมหาวิทยาลัยทรัพยากรสารนิเทศในห้องสมุดประเภทนี้จะให้
ข้อมูลเฉพาะด้าน เฉพาะสาขาอย่างละเอียด
ห้องสมุดเฉพาะบางแห่งจัดตั้งขึ้นมาโดยมุ่งให้เป็นห้องสมุด
เ ฉ พ า ะ จ ริ ง ๆ เ ช่ น National Library of Medicine แ ล ะ The
Library of the Department of Agriculture ในสหรั ฐ อเมริ ก า
แต่ บ างแห่ ง ก็ จั ด ตั้ ง ขึ้ น มาในลั ก ษณะเป็ น หน่ ว ยงานย่ อ ยของ
หอสมุ ด แห่ งชาติ หรือ ห้อ งสมุ ด ของสาบั น การศึ ก ษาก่ อ น แล้ ว
ค่อย ๆ สะสมทรัพยากรสารนิเทศเฉพาะด้านไว้จนมีมากกลายเป็น
ห้อ งสมุ ด เฉพาะไปในที่ สุ ด เช่ น National Reference Library of
Science and Invention ในพิ พิ ธ ภั ณ ฑสถานของอั ง กฤษ หรื อ
ห้องสมุดดนตรี (Music Library) ในห้องสมุดมหาวิทยาลัยบางแห่ง
- 14. ห้องสมุดเฉพาะในประเทศไทยมีอยู่หลายที่ อาทิเช่น ห้อง
สมุ ด ในคณะวิ ช าต่ า ง ๆ ในมหาวิ ท ยาลั ย ทุ ก แห่ ง ห้ อ งสมุ ด ศู น ย์
ภาษาเอยูเอ ห้องสมุดกรมป่าไม้ ห้องสมุดศูนย์ข้อมูลเทคโนโลยี
บริ ษัท ปู นซี เมนต์ ไทย ห้อ งสมุ ด การปิ โตรเลี ย มแห่ งประเทศไทย
ห้ อ งสมุ ด การเคหะแห่ ง ชาติ ห้ อ งสมุ ด สำา นั ก งานคณะกรรมการ
พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น
ห้องสมุดโรงเรียน (School Libraries) ในประเทศ
ที่เจริญแล้วและมีกฎหมายเกี่ยวกับห้องสมุดบังคับใช้นั้น ห้องสมุด
ประชาชนมักจะให้บริการครอบคลุมไปถึงโรงเรียนด้วย บางแห่ง
จะแบ่งงานออกมาเป็นส่วนของห้องสมุดโรงเรียนโดยเฉพาะ โดย
ห้ อ งสมุ ด ประชาชนจะทำา หน้ า ที่ จั ด หาหนั ง สื อ วั ส ดุ อุ ป กรณ์ ทุ ก
อย่างให้และทำา งานเทคนิคเกี่ยวกับหนั งสือ วัสดุสารนิเทศต่าง ๆ
ให้หมด เช่น การแบ่งหมวดหมู่ การทำา บัตรรายการ การติดซอง
บัตร การเขียนเลขหนังสือที่สันหนังสือ จนหนังสือสำาเร็จพร้อมที่
จะให้ผู้ใช้ยืมได้ แล้วนำาส่งที่ห้องสมุดโรงเรียน ตัวอย่างดังกล่าวมี
แล้ ว ในประเทศ เดนมาร์ ก เยอรมนี สวี เ ดน อั ง กฤษ เป็ น ต้ น
สำาหรับในสหรัฐอเมริกา บริการดังกล่าวมักจะทำาให้ในรูปของการ
ค้า คือมีบริษัทเอกชนหรือหน่วยงานของรัฐจัดทำางานเทคนิคต่าง
ๆ ที่กล่าวมาแล้วให้โดยคิดค่าบริการตามสมควร ส่วนในสหพันธ์
สาธารณรั ฐ สั งคมนิ ย มโซเวี ย ต บริ ก ารดั ง กล่ า วจะจั ด ทำา ให้ โ ดย
สภาสหภาพผู้ผลิตหนังสือ (Al-Union Book Chamber) มีการเตรี
ยมข้ อ มู ล ทางบรรณานุ ก รมของวั ส ดุ สิ่ ง พิ ม พ์ ต่ า ง ๆ แล้ ว จั ด ส่ ง ไป
พร้อมหนังสือให้โรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศ
การจัด การศึ กษาในระดั บประถมศึก ษาและมัธ ยมศึก ษานั้ น
ได้ ย อมรั บ กั น แล้ ว ว่ า ห้ อ งสมุ ด เป็ น ส่ ว นสำา คั ญ ส่ ว นหนึ่ งข อง
กระบวนการให้การศึกษาทั้งมวล บางแห่งจัดห้องสมุดเป็นศูนย์สื่อ
การเรียนการสอนอย่างกว้างขวาง รวบรวมวัสดุสารนิเทศทุกชนด
ไว้ นั บ แต่ ห นั งสื อ วารสาร นิ ต ยสาร จุ ล สาร สื่ อ โสตทั ศ น์ ทุ ก
ชนิด และปัจจุบันมีทั้งฐานข้อมูลซีดีรวม ฐานข้อมูลที่สืบค้นจาก
ภายนอกห้องสมุดโรงเรี ย น บางแห่งจึ งเรี ยนชื่ อห้ องสมุ ดใหม่ ว่า
Instructional material center บ้ า ง Learning resources
center บ้างหรือ Media center บ้าง และผู้ที่ทำางานในห้องสมุดที่
เคยเรี ย กว่ า บรรณารั ก ษ์ ก็ เ ปลี่ ย นมาเรี ย กเป็ น ผู้ เ ชี่ ย วชาญสื่ อ
(Media specialists)
บรรณารักษ์หรือผู้เชี่ยวชาญสื่อในห้องสมุดโรงเรียนนั้นจะ
ต้องทำางานอย่างใกล้ชิดกับคณะครูในโรงเรียนเพื่อร่วมกันช่วยให้
นั ก เ รี ย น ไ ด้ รู้ จั ก ใ ช้ ป ร ะ โ ย ช น์ จ า ก ห้ อ ง ส มุ ด ไ ด้ เ ต็ ม ที่ ช่ ว ย
- 15. พัฒนาการอ่าน นิสัยรักการอ่านและการศึกษาค้นคว้าให้งอกงาม
ถึงขีดสุดของแต่ละคน บรรณารักษ์ในห้องสมุดโงเรียนนอกจากจะ
ต้องมีความรู้ทางด้านบรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์แล้ว
ยั ง ต้ อ งมี ค วามรู้ ใ นเรื่ อ งหลั ก สู ต รวิ ช าการเรี ย นที่ มี ก ารสอนใน
โรงเรี ย นตลอดจนวิ ช าอื่ น ๆ ที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ การศึ ก ษา เช่ น
จิตวิทยา การแนะแนว การวัดผล อีกด้วย
หลักจากมีการกำาหนดมาตรฐานขึ้นแล้ว ได้มีผู้วิจัยถึงสภาพ
ห้องสมุดในระดับต่าง ๆ เพื่อเปรียบเทียบกับมาตรฐานที่กำาหนดขึ้น
นั้น แม้ว่าจะเป็นการศึกษาหลังจากการประกาศใช้มาตรฐานนั้น
เพี ย งปี เดี ย วก็ ต าม แต่ ก็ช่ว ยให้ เ ห็ น สภาพของห้ อ งสมุ ด ว่ า ห้ อ ง
สมุดในหน่วยงานใดยังบกพร่องในส่วนใดบ้าง หากบกพร่องใน
ส่วนสำา คัญจะได้เร่งพัฒนาส่วนนั้น ๆ ให้ได้มาตรฐานต่อไป งาน
วิจัยมีดังนี้
ประทีป จรัสรุ่งรวีวร (2535 : 32) ได้ศึกษาเรื่องสภาพห้อง
สมุ ด และปั ญ หาการดำา เนิ น งานห้ อ งสมุ ด โรงเรี ย นมั ธ ยมศึ ก ษา
สั ง กั ด กรมสามั ญ ศึ ก ษา ปี ก ารศึ ก ษา 2534 พบว่ า ห้ อ งสมุ ด
โรงเรียนมัธยมศึกษาส่วนใหญ่ได้มาตรฐานตามที่สมาคมห้องสมุด
แห่ ง ประเทศไทยฯ กำา หนดในด้ า นจำา นวนหนั ง สื อ วารสาร
นิตยสาร หนังสือพิมพ์ พื้นที่ห้องสมุด โต๊ะเก้าอี้สำาหรับผู้ใช้ แต่ที่
ยังไม่ได้มาตรฐาน คือ จำานวนบรรณารักษ์และเจ้าหน้าที่ห้องสมุด
ครุภัณฑ์ สื่อโสตทัศน์บางชนิด เช่น เครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องเล่น
วีดีทัศน์ เป็นต้น
ห้องสมุดส่วนตัว (Private Libraries) คือ ห้องสมุด
ที่เป็นส่วนตัวเฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หนังสือที่มีในห้องสมุดจะ
มี เ นื้ อ หาไปตามความสนใจของบุ ค คลผู้ เ ป็ น เจ้ า ของ ห้ อ งสมุ ด
ประเภทนี้แรกเริ่มนั้นเป็นการสะสมหนังสือของผู้เป็นเจ้าของ ไม่มี
การอนุญาตให้ยืม ยกเว้นบางคนที่คุ้นเคยหรือรู้จัก ระบบการจัด
หมวดหมู่ ห นั ง สื อ ก็ เ ป็ น เฉพาะของบุ ค คลนั้ น หรื อ ตามความ
สะดวกของเจ้าของ
เมื่อผู้เป็นเจ้าของสะสมหนังสือนานเข้า ห้องสมุดส่วนตัวของ
บางท่ า นจึ งกลายเป็ นห้ อ งสมุ ด ที่ มี ห นั ง สื อ เอกสารหายาก ใครที่
สนใจศึกษาค้นคว้าวิจัยในเรื่องที่ต้องใช้หนังสือแนวที่มีผู้สะสมไว้
เมื่อไปหาจากที่อื่นไม่ ได้ ก็จะมาขอใช้ต ามห้อ งสมุด ส่ว นตั วนี้ มี
ทายาทของเจ้าของห้องสมุดเหล่านี้หลายรายได้อุทิศห้องสมุดนั้น
เป็นแหล่งค้นคว้าวิจัยได้ บางทีจึงเรียกห้องสมุดประเภทนี้ว่า “ห้อง
ส มุ ด วิ จั ย (Research libraries)” ก็ มี เ ช่ น The Folger
Shakespeare Library ในกรุ ง วอชิ ง ตั น ดี .ซี . เจ้ า ของเดิ ม คื อ
- 16. Henry K.Floger เขาได้รวบรวมงานเขียนของวิลเลียม เช็คสเปียร์
หวี ชาวอั งกฤษไว้ ชื่ อ เรื่ อ งละไม่ ตำ่า กว่ า 70 ฉบั บ นั บ แต่ งานชิ้ น
แรกของเช็กส์เปีย ร์ และฉบั บพิ มพ์ ค รั้ งแรก ๆ เขาสะสมมาเรื่ อ ย ๆ
จนกระทั่งปี ค.ศ.1932 เขาก็เปิดห้องสมุดของเขาให้ผู้สนใจเข้า
ศึกษาค้นคว้าได้โดยห้องสมุดของเขาเด่นในด้านวรรณคดีอังกฤษ
สมัยอลิซาเบ็ธ และประวัติศาสตร์ของอังกฤษ
สำาหรับในประเทศไทยนั้นบุคคลที่เป็นนักวิชาการเด่น ๆ มักจะ
มีห้องสมุดส่วนตัวของตัวเอง แต่ยังไม่มีผู้ใดเปิดให้บุคคลอื่นเข้าใช้
ค้นคว้าอย่างอิสระได้ เช่น ห้องสมุดที่บ้าน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
ห้องสมุดของคุณ วิล าส มณี วัต ห้อ งสมุดของคุ ณสุ ชาติ สวัส ดิศรี
บางท่านเมื่อเสียชีวิตไปแล้ว ทายาทก็มอบหนังสือให้กับห้องสมุด
ของสถาบันอุด มศึ กษาบางแห่ ง และทางห้ อ งสมุ ด สถาบั น นั้ น ก็ จั ด
ห้ อ ง พิ เ ศ ษ เ ก็ บ ห นั ง สื อ เ ห ล่ า นั้ น ไ ว้ แ ล้ ว แ ต่ ชื่ อ ห้ อ ง ใ ห้ เ ป็ น
เกี ย รติ ป ระวั ติ เช่ น ห้ อ งขจร สุ ข -พานิ ช ในสำา นั ก หอสมุ ด กลาง
มศว. ประสานมิตร มีเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่ดี ๆ อยู่มาก
ห้ อ งสมุ ด เสี ย ค่ า บำา รุ ง (Subscription Libraries)
ห้องสมุดประเภทนี้มีลักษณะกึ่งเป็นห้องสมุดประชาชนกึ่งเป็นห้อง
สมุดส่วนตัว นิยมตั้งกันแพร่หลายในศตวรรษที่ 17 ถึง ศตวรรษที่
19 ส่ ว นใหญ่ ก่ อ ตั้ ง ขึ้ น มาโดยสมาคมนั ก วิ ช าการในอาชี พ ใด
อาชี พ หนึ่ ง แล้ ว เปิ ด โอกาสให้ บุ ค คลภายนอกเสี ย ค่ า บำา รุ ง เป็ น
สมาชิ ก เพื่ อ เข้ า ไปค้ น คว้ า ได้ ปั จ จุ บั น ห้ อ งสมุ ด ประเภทนี้ ไ ด้ ยุ ติ
กิ จ การไปหรื อ ไม่ ก็ ย กให้ แ ก่ ส าธารณะ เพื่ อ ทำา เป็ น ห้ อ งสมุ ด
ประชาชนไปก็มี อย่างไรก็ดี ยังมีบางแห่งที่เปิดดำาเนินการจนถึง
ทุ ก วั น นี้ ที่ มี ชื่ อ เสี ย งม าก ได้ แก่ The Library Company of
Philadelphia ซึ่ ง ก่ อ ตั้ ง โดย เบนจามิ น แฟรงก์ ก ลิ น เมื่ อ ปี ค.ศ.
1807
หอจดหมายเหตุ (Archives) จดหมายเหตุ ห มาย
ถึ ง เอกสารต้ น ฉบั บ รายงาน สื่ อ โสตทั ศ น์ ที่ บั น ทึ ก กิ จ กรรมหรื อ
ธุ ร กิ จ ของทางราชการหรื อ เอกชน และมี ก ารเก็ บ รั ก ษาไว้ ใ นรู ป
ลักษณะเดิมเพื่อประโยชน์ในการศึกษาด้านประวัติศาสตร์
ในสมัยก่อนการเก็บจดหมายเหตุ จะเก็บรวบรวมไว้กับวัสดุ
ห้ อ งสมุ ด อื่ น ๆ แม้ ก ระทั่ ง มาถึ ง กลางศตวรรษที่ 15 ซึ่ ง ได้ มี ก าร
คิ ด ค้ น วิ ธี ก ารพิ ม พ์ ขึ้ น มาได้ แ ล้ ว ก็ ต าม สิ่ ง พิ ม พ์ ที่ มี ลั ก ษณะเป็ น
จดหมายเหตุ กับ ต้นฉบับตัวเขียนที่เป็นจดหมายเหตุ ก็ยังคงเก็บไว้
ด้ ว ยกั น จนมาถึ งสมั ย ปฏิ วั ติ อุ ต สาหกรรม (French Revolution)
จึงได้เริ่มหาวิธีบริหารจดหมายเหตุให้เป็นระบบ มีการคิดวิธีการ
บำารุงรักษาจดหมายเหตุเก่า ๆ ให้คงสภาพเดิมไว้ให้นานต่อไป ใน
- 17. ประเทศที่เจริญแล้ว จดหมายเหตุที่เป็นของทางราชการ รัฐบาล
จะตั้ ง ห น่ ว ย ง า นขึ้ นม า ดู แ ล รั บผิ ด ช อ บ แล้ ว เ ปิ ด บริ ก าร ใ ห้
ประชาชนเข้ า ไปศึ ก ษาค้ น คว้ า ได้ แต่ ล ะประเทศจึ ง มั ก จะมี ห อ
จดหมายเหตุ ป ระจำา ชาติ ข องตน เช่ น The Archives Nationals
ในประเทศฝรั่งเศส U.S. National Archives ในสหรัฐอเมริกา
ศาสตร์ เกี่ ยวกับ การบริห ารจดหมายเหตุนั้น จะศึ ก ษาเกี่ ย ว
กับการจัดการทั่วไป การประเมิ นคุณค่าการลงทะเบี ยน การจัด
เก็ บ จดหมายเหตุ การออกแบบสร้ า งอาคารและชั้ น สำา หรั บ
จดหมายเหตุ การบำา รุ ง รั ก ษาและการฟื้ น สภาพชำา รุ ด ของ
จ ด ห ม า ย เ ห ตุ ก า ร ใ ห้ บ ริ ก า ร ก า ร จั ด แ ส ด ง นิ ท ร ร ศ ก า ร
จดหมายเหตุ ปั จ จุ บั น ศาสตร์ นี้ ได้ มี ก ารเปิ ด สอนกั น ในโรงเรี ย น
บรรณารักษศาสตร์ตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในต่างประเทศ
สำา หรับประเทศไทยนั้นก็มีหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ซึ่งอยู่
ในความดูแลของกองหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร ตั้ง
อยู่ ในบริ เวณหอสมุ ด แห่ งชาติ ท่ า วาสุ ก รี กองนี้ มี ห น้ า ที่ ดำา เนิ น
งาน บันทึกเหตุการณ์ประจำาวัน แปลและเรียบเรียง เก็บเอกสาร
สำาคัญของชาติทั้งในอดีตและปัจจุบัน
2. แหล่ ง สารสนเทศอื ่ น ๆ
2.1 ศู น ย์ ส ารนิ เ ทศหรื อ ศู น ย์ บ ริ ก ารเอกสาร
ศู น ย์ ส า ร นิ เ ท ศ ห รื อ ศู น ย์ บ ริ ก า ร เ อ ก ส า ร (Information
centers or Documentation center) หมายถึ ง หน่ ว ยงานที่ ทำา
หน้าที่จัดหา จัดเก็บ และเผยแพร่ ในวงจำา กัด โดยเน้นที่เนื้อหา
สาระมากกว่าตัวเอกสาร และมุ่งเน้นการให้บริการถึงตัวผู้ใช้ตาม
ความต้องการ บุคลากรของศูนย์ประกอบด้ว ยนั ก เอกสารสรเทศ
นักบรรณานุกรม นักวิจัย บรรณารักษ์ ศูนย์อาจจะรวมหน้าที่ของ
ห้องสมุ ด และขยายบทบาทหรื อกิ จกรรมรวมถึ งหน้ าที่ ใกล้ เ คี ย ง
เช่น การเขียนรายงานทางวิชาการ สาระสังเขป บริการคัดเลือก
และเผยแพร่สารนิเทศ และบริก ารค้น คว้าจากเอกสารให้แก่ผู้ใช้
บริการ เป็นต้น ศูนย์บริการเอกสารจะเน้นวิธีการดำาเนินงานเกี่ยว
กับเอกสาร ในขณะที่ศูนย์สารนิเทศจะเน้นถึงการให้บริการแก่ผู้
ใช้
2.2 ศู น ย์ ข ้ อ มู ล
- 18. ศูนย์ข้อมูล (Data center) เป็นแหล่งบริการสารนิเทศที่อยู่
ในสถาบั น การศึ ก ษา ในห้ อ งปฏิ บั ติ ก าร หรื อ ในศู น ย์ วิ จั ย ต่ า ง
มีหน้าที่ในการผลิตหรือรวบรวมข้อมูล ตัวเลขสถิติต่าง ๆ เพื่อเผย
แพร่แก่ผู้ต้องการอย่างมีระบบ ข้อมูลที่จัดเก็บส่วนใหญ่เป็นข้อมูล
ดิบหรือเป็นข้อมูลที่มีความสำาคัญ ที่ใช้อยู่ในการดำาเนินงานซึ่งมัก
เกี่ยวข้องกับภารกิจของหน่ว ยงาน และถ้ามีข อบเขตกว้างขวาง
ขึ้ น เรี ย กว่ า คลั ง ข้ อ มู ล ศู น ย์ ข้ อ มู ล ในประเทศไทยที่ น่ า สนใจ
ได้แก่ ศูนย์ขอมูลพลังงานแห่งประเทศไทยของสำานักงานพลังงาน
้
แห่ ง ประเทศไทย กองข้ อ มู ล การค้ า ของกรมพาณิ ช ย์ สั ม พั น ธ์
เป็นต้น
2.3 หน่ ว ยงานสถิ ต ิ
หน่ ว ยงานสถิ ติ (Statistical Officer) หน่ ว ยทะเบี ย นสถิ ติ
เป็นแหล่งรับจดทะเบียน รวบรวมหลักฐานการจดทะเบียน ข้อมูล
และสถิติที่เกี่ยวข้อง อาจดำาเนินงานโดยมีขอบเขตเฉพาะและงาน
ทะเบีย นเฉพาะเรื่อ งตามขอบเขตของภารกิ จ หน่ วยงานสถิ ติ ใน
ประเทศไทยที่น่าสนใจ ได้แก่ ศูนย์สถิติการพาณิชย์ของกระทรวง
พาณิชย์ สำานักงานสถิติแห่งชาติ ศูนย์คอมพิวเตอร์กระทรวงการ
ค ลั ง สำา นั ก ง า น ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร วิ จั ย แ ห่ ง ช า ติ ส ถ า บั น
ประชากรศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น
2.4 ศู น ย์ ว ิ เ คราะห์ ส ารนิ เ ทศ
ศู น ย์ วิ เ คราะห์ ส ารนิ เ ทศ (Information analysis centers)
คื อ หน่ ว ยงานที่ ทำา หน้ า ที่ ค้ น คื น เลื อ กสรร ประเมิ น ค่ า และ
สั งเคราะห์ ส ารนิ เ ทศเฉพาะวิ ช า เพื่ อ ให้ คำา ตอบซึ่ ง เป็ น แนวทาง
เลือกเพื่อแก้ไขปัญหาของผู้ใช้ สารนิเทศที่นำาเสนอเป็นสารนิเทศ
เฉพาะวิชา ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ตีพิมพ์เผยแพร่แต่ดำาเนินการในรูป
แบบที่ ส ะดวก ประหยั ด เวลาผู้ ใ ช้ ศู น ย์ วิ เ คราะห์ ส ารสนเทศมี
ประโยชน์ ต่ อ นั ก วิ ช าการ นั ก วิ จั ย คื อ ช่ ว ยให้ ส ามารถติ ด ตาม
กิจกรรม ความรู้และสารนิเทศใหม่ ๆ ในสาขาวิชาที่ตนเชี่ยวชาญ
หรือต้องการ ศูนย์วิเคราะห์สารนิเทศส่วนใหญ่จะตั้งอยู่หรือเป็น
ส่วนหนึ่งของศูนย์วิจัย
2.5 ศู น ย์ แ จกจ่ า ยสารนิ เ ทศ
ศู น ย์ แ จกจ่ า ยสารนิ เ ทศ (Clearing houses) เป็ น สถาบั น
รวบรวมสารนิเทศที่มีแหล่งผลิตกระจัดกระจาย เพื่อแจกจ่ายแก่ผู้
- 19. ใช้ ช่วยอำา นวยความสะดวกในการเข้าถึงสารนิเทศ โดยเฉพาะ
สารนิเทศที่ไม่ได้ตีพิมพ์เผยแพร่จากแหล่งเดียวกัน ศูนย์แจกจ่าย
สารนิเทศอาจดำาเนินงานเป็นอิสระ หรือเป็นหน่วยงานเฉพาะของ
หน่วยงานสารนิเทศ ผู้ผลิตเอกสารจะส่งข่าวสารให้ศูนย์แจกจ่าย
สารนิเทศได้ทราบว่ามีการผลิตเอกสารอะไรบ้าง เมื่อศูนย์แจกจ่าย
สารนิเทศได้รับข่าวสารแล้วแจ้งสารนิเทศต่อไปในรูปของการจัด
ทำา บรรณานุ ก รม ดรรชนี ตลอดจนวิ ธี ก ารอื่ น ๆ หน่ ว ยงานที่
หน้ า ที่ เ ป็ น ศู น ย์ แ จกจ่ า ยสารนิ เ ทศที่ สำา คั ญ ในประเทศไทยคื อ
หอสมุดแห่งชาติ และห้องสมุดยูเนสโก เป็นต้น
2.6 ศู น ย์ แ หล่ ง สารนิ เ ทศ
ศู น ย์ แ หล่ ง สารนิ เ ทศ (Referral centers) เป็ น สถาบั น ที่ ทำา
หน้าที่ในการให้บริการตอบคำาถามของผู้ใช้ โดยการชี้แนะผู้ใช้ไป
ยังแหล่งสารนิเทศต่าง ๆ เช่น สิ่งพิมพ์สถาบันบริการสารนิเทศต่าง
ๆ ซึ่งจัดทำาขึ้นและปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอ จะไม่จัดหา จัดเก็บ
และให้บริการสารนิเทศที่เป็นคำา ตอบแก่ผู้ใช้ โดยตรงดังเช่ นห้อง
สมุดหรือสถาบันบริ การสารนิเทศอื่ น ๆ ศูนย์ แนะแหล่งสานิ เ ทศที่
สำาคัญในประเทศไทย ได้แก่ สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์ เป็นต้น
2.7 สถาบั น บริ ก ารสารสนเทศเชิ ง พาณิ ช ย์
ส ถ า บั น บ ริ ก า ร ส า ร ส น เ ท ศ เ ชิ ง พ า ณิ ช ย์ (Commercial
information service centers) เ ป็ น ส ถ า บั น ที่ จั ด ใ ห้ บ ริ ก า ร
สารนิเทศโดยคิดค่าบริการ เนื่องจากผู้ใช้บริการต้องการความถูก
ต้ อ ง สะดวก รวดเร็ ว และทั น สมั ย จึ งต้ อ งเสี ย ค่ า ใช้ จ่ า ย สถาบั น
บริ ก ารสารนิ เ ทศเชิ ง พาณิ ช ย์ มี ก ารดำา เนิ น งานในลั ก ษณะที่ เ ป็ น
ธุ ร กิ จ และจั ด ให้ บ ริ ก ารสารนิ เ ทศตามความต้ อ งการของผู้ ใ ช้ ใ น
ลักษณะดังนี้
บริษัทค้าสารนิเทศ ดำาเนินธุรกิจด้านการจัดดำาเนิน
การ วิเคราะห์ สื่อสาร และจัดส่งสารนิเทศที่ได้รับจากการตรวจ
สอบ วิจัยหรือศึกษาแล้วไปยังลูกค้า
นายหน้าค้าสารนิเทศ หมายถึง บุคคลหรือองค์กร
ซึ่งทำา ธุรกิจบริการรวบรวม จัดเก็บประมวลผล ประเมินค่ า และ
เผลแพร่สารนิเทศตามความต้องการของลูกค้า โดยมีบริการอย่าง
กว้ า งขวางหลายรู ป แบบ เช่ น การจั ด ส่ ง เอกสาร การค้ น
สารนิเทศ บริการเขียนโครงร่างการวิจัย ทำาวิจัย เขียนรายงาน
- 20. เขียนสุนทรพจน์ วิเคราะห์ตลาด งานบรรณาธิการ การแปล การ
จัดทำาโฆษณา เป็นต้น
ฐานข้อมู ล คื อ แหล่ งสะสมข้อ มู ล ในรู แ บบที่ อ่ าน
ได้โดยเครื่องคอมพิวเตอร์ แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ฐานข้อมูล
อ้างอิง และฐานข้อมูลต้นแหล่ง องค์กรที่ผลิตฐานข้อ มูล ได้ แก่
องค์ กรทางการค้ า องค์ก รของรั ฐ และองค์ ก ารระหว่ า งประเทศ
ซึ่ ง อาจเป็ น ผู้ จำา หน่ า ยฐานข้ อ มู ล เองหรื อ มอบลิ ข สิ ท ธิ์ ใ ห้ บ ริ ษั ท
ตัวแทนเป็นผู้จำาหน่าย
٦.٩ บุ ค คล
บุคคลก็ถือเป็นแหล่งสารนิเทศที่สำา คัญอีกแหล่งหนึ่ง ได้แก่
ผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาการต่าง ๆ ถ้าเป็นนักวิชาการหรือนักวิจัย
จะมี ห น่ ว ยงานบางแห่ ง ได้ ร วบรวมชื่ อ บุ ค คลเหล่ า นั้ น ไว้ ใ ห้ เ ป็ น
แหล่งค้นได้ เช่น ทำา เนีย บนั ก วิจั ย ของศูน ย์ข้อ สนเทศการวิจั ย
สภาวิ จั ย แห่ ง ชาติ หรื อ หนั ง สื อ รวบรวมประวั ติ ศิ ล ปิ น แห่ ง ชาติ
หรื อ บุ ค คลดี เ ด่ น ทางวั ฒ นธรรม ของ สำา นั ก งานคณะกรรมการ
วัฒนธรรมแห่งชาติ หรือ ประวัติคนไทยตัวอย่าง ของ มูลนิธิธาร
นำ้าใจ เป็นต้น แหล่งสารนิเทศบุคคลจะเป็นแหล่งที่ให้ความรู้เชิง
ทฤษฎีและปฏิบัติอย่างดียิ่ง
6.10 วั ด
จั ด เป็ น แหล่ ง วิ ท ยาการที่ ท รงคุ ณ ค่ า ที่ จ ะศึ ก ษาหาความรู้
ด้ านสถาปั ต ยกรรม จิ ต รกรรม พุ ทธประวั ติ อารยธรรมท้ อ งถิ่ น
จารึ ก ใบลาน หนั ง สื อ หายาก บางแห่ ง อาจให้ ข้ อ มู ล ด้ า น
ประวัติศาสตร์ อักษรศาสตร์ และสังคมศาสตร์อีกด้วย
6.11 หอศิ ล ป์ แ ละพิ พ ิ ธ ภั ณ ฑสถานแห่ ง ชาติ
6.12 เมื อ งโบราณ
6.13 สวนสั ต ว์
6.14 แ ห ล ่ ง ศ ึ ก ษ า พ ฤ ก ษ ศ า ส ต ร ์ แ ล ะ ธ ร ร ม ช า ต ิ
อุ ท ยานแห่ ง ชาติ วนอุ ท ยาน สวนพฤกษชาติ
- 21. 6.15 สถานี ว ิ ท ยุ โ ทรทั ศ น์
6.16 แหล่ ง ข่ า วสารของทางราชการ เช่น กองข่าว
งานประชาสัมพันธ์ สำานักนายกรัฐมนตรี มีกองงานโฆษก เป็น
แหล่งเผยแพร่ข่าวสารของรัฐบาล
6.17 แหล่ ง ข่ า วสารขององค์ ก ารระหว่ า งประเทศ
เช่น สำานักแถลงข่าวสหประชาชาติ
6.18 แหล่ ง ข่ า วสารของสถานเอกอั ค รราชฑู ต
ประเทศต่ า ง ๆ เช่น สำานักข่าวสารญี่ปุ่น สำานักข่าวสารอเมริกัน
เป็นต้น
บริ ก ารสารสนเทศในห้ อ งสมุ ด
แหล่งสารนิเทศประเภทห้องสมุด เมื่อจัดหารวบรวม
ทรัพยากรสารนิเทศต่าง ๆ ยังต้องมีระบบการจัดการเพื่อให้ผู้ใช้
เข้าถึงหรือได้รับทรัพยากรสารนิเทศตามที่ต้องการได้อย่าง
รวดเร็วที่สุด และบริการสารนิเทศของห้องสมุดอาจจำาแนก
ลักษณะออกเป็น 2 ประเภทคือ การบริการภายในห้องสมุด
(Internal Service) และ การบริการภายนอกห้องสมุด (External
Service)
การบริการภายในห้องสมุด (Internal Service) ได้แก่
1. บริการยืม - คืน (Circulation Services) คือ บริการให้
ยื ม - คื นวั สดุ สารนิ เทศประเภทต่ าง ๆ ตามระเบีย บของห้อ งสมุ ด
เพื่ อ ให้ ค วามสะดวกแก่ ผู้ ใ ช้ นำา สารนิ เ ทศนั้ น ออกไปค้ น คว้ า นอก
ห้องสมุดได้ภายในระยะเวลาที่กำาหนด ในกรณีที่ไม่นำามาคืนตาม
กำาหนด ผูยืมจะต้องเสียค่าปรับให้กับห้องสมุดด้วย
้
2. บริการตอบคำาถามและช่วยการค้นคว้า (Reference and
Information Services) ห้ อ งสมุ ด จั ด หาบรรณารั ก ษ์ ที่ มี ค วามรู้
ความชำา นาญ ไว้ บ ริ ก ารตอบคำา ถาม ทั้ ง คำา ถามทั่ ว ๆ ไป และ
คำา ถามทางวิ ช าการ ซึ่ ง ต้ อ งค้ น หาคำา ตอบจากหนั ง สื อ อ้ า งอิ ง
ประเภทต่ า ง ๆ ปั จ จุ บั น บริ ก ารตอบคำา ถามทางโทรศั พ ท์ แ ละทาง
ไปรษณีย์ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น บางหน่วยงานจัดบริการใน
ระบบ On-Line ตลอด 24 ชั่วโมง
- 22. 3. บริ ก ารส อนหรื อ แนะนำา การ ใช้ ห้ อ งส มุ ด (Library
Instructional Services) สามารถจั ด ได้ ห ลายรู ป แบบเช่ น จั ด
ส อ น เ ป็ น ร า ย วิ ช า ห นึ่ ง ใ น ห ลั ก สู ต ร ข อ ง ส ถ า บั น ก า ร ศึ ก ษ า
ปฐมนิเทศให้ผู้ใช้ทราบบริก ารของห้องสมุด โดยการนำา ชมหรือ
ฉายภาพยนต์ จั ด ทำา คู่ มื อ การใช้ ห้ อ งสมุ ด เพื่ อ ให้ ข้ อ มู ล ประวั ติ
ของห้องสมุด วิธีใช้ทรัพยากรสารนิเทศ บริการ ระเบียบและข้อ
ควรปฏิบัติในการใช้ห้องสมุด
4. บริ ก ารถ่ า ยเอกสาร (Photocopy Services) เพื่ อ ให้
ความสะดวดและประหยัดเวลาในการคัดลอกแก่ผู้ใช้ โดยผู้ใช้เสีย
ค่าใช้จ่าย
5. บริการจัดทำาดรรชนีวารสารและสาระสังเขป (Indexing
and Abstracting Services) เพื่อช่วยผู้ใช้ในการค้นหาบทความ
วารสาร อาจอยู่ ใ นรู ป ของบั ต รรายการหรื อ จั ด พิ ม พ์ เ ป็ น รู ป เล่ ม
บอกรายละเอียดทางบรรณานุกรม ผู้ใช้จะทราบว่าบทความนั้นอยู่
ในวารสารหรือหนังสือพิมพ์ฉบับใด วัน เดือน ปี และหน้าอะไร
สำาหรับสาระสังเขป จะย่อเรื่องของบทความนั้นให้ด้วย
6. บ ริ ก า ร ร ว บ ร ว ม บ ร ร ณ า นุ ก ร ม (Bibliographical
Services) คื อ บริ ก ารจั ด ทำา รายชื่ อ หนั ง สื อ เอกสาร วารสาร
เพื่อใช้ประกอบการค้นคว้าวิจัยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
7. บ ริ ก า ร ข่ า ว ส า ร ทั น ส มั ย (Current Awareness
Services) คื อ บ ริ ก า ร ช่ ว ย เ ส ริ ม ใ ห้ ผู้ ใ ช้ ติ ด ต า ม ข่ า ว ส า ร
วิทยาการความก้าวหน้าใหม่ ๆ ในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องอาจทำาได้
ดังนี้
7.1 ถ่ ายสำา เนาหน้ าสารบาญ วารสารฉบั บ ล่ าสุ ด ที่ ห้ อ ง
สมุดได้รับออกเผยแพร่
7.2 แจ้ งรายชื่ อ สิ่ งพิ ม พ์ ใหม่ ที่ ห้ อ งสมุ ด ได้ รั บ ประจำา วั น
ให้ผู้ใช้ทราบ
7.3 หมุนเวียนวารสารฉบับล่าสุดให้ผู้ใช้ตามต้องการ
7.4 จัดทำารายชื่อวัสดุใหม่
8. บริ ก ารเลื อ กสรรสารนิ เ ทศเพื่ อ เผยแพร่ เ ฉพาะบุ ค คล
(Selective Dissemination of Information - S.D.I) เป็ นการ
คัดเลือกสารนิเทศเฉพาะเรื่องให้แก่ผู้ใช้ที่แสดงความต้องการและ
แจ้งเจ้าหน้าที่ไว้
9. บริ ก ารหนั ง สื อ จอง (Reserved Book Services) เป็ น
บริ ก ารที่ ห้ อ งสมุ ด จั ด แยกหนั ง สื อ ต่ า ง ๆ ที่ อ าจารย์ กำา หนดให้
นั ก ศึ ก ษาอ่ า นประกอบ โดยมี ร ะยะเวลาการยื ม ต่ า งจากการยื ม
หนังสือทั่ว ๆ ไป
- 23. 10. บ ริ ก า ร ยื ม ร ะ ห ว่ า ง ห้ อ ง ส มุ ด (Interlibrary Loan
Services) เป็นบริการที่ห้องสมุดจัดยืมหนังสือ หรือวัสดุการอ่าน
ที่ห้องสมุดไม่มีมาจากห้องสมุดอื่นตามที่ผู้ใช้ต้ องการ เป็น ความ
ร่วมมือระหว่างห้องสมุด
11. บริ ก ารสื บ ค้ น ฐานข้ อ มู ล คอมพิ ว เตอร์ (Database
Computer Services) ห้องสมุดได้จัดให้มีฐานข้อมูลในเรื่องต่าง
ๆ ไว้บริการแก่ผู้ใช้ เช่น ฐานข้อมูลทรัพยากรสารนิเทศของห้อง
ส มุ ด ฐ า น ข้ อ มู ล CD-ROM (Compact Disc-Read only
Memory) และฐานข้ อ มู ล ระบบ On-Line ผู้ ใ ช้ ฐ านข้ อ มู ล ระบบ
On-Line ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารด้วย
12. บริการพิเศษอื่น ๆ เช่น บริการการแปล บริการจัดส่ง
เอกสาร บริ ก ารห้ อ งประชุ ม บริ ก ารแนะนำา การอ่ า น เพื่ อ ให้ ผู้
ใช้ได้รับความสะดวกยิ่งขึ้น
13. บริการโสตทัศนวัสดุ เป็นบริการที่ได้รับความนิยมจาก
ผู้ใช้มาก เนื่องจากผู้ใช้ได้รับทั้งความเพลิดเพลินและความรู้ ห้อง
สมุ ด จั ด เทป วิ ดี ทั ศ น์ สไลด์ แผ่ น ซี ดี -รอม พร้ อ มทั้ ง อุ ป กรณ์ ไ ว้
บริการ
การบริการภายนอกห้องสมุด (External Service)
1. บริการความรู้ แ ก่ ชุม ชน (Community Services) เป็น
บริ ก ารที่ ห้ อ งสมุ ด จั ด ให้ แ ก่ บุ ค คลทั่ ว ไป เช่ น จั ด ปาฐกถา การ
อภิปราย การสาธิตความรู้เรื่องต่าง ๆ ฉายภาพยนต์ ฉายสไลด์ให้
ประชาชนได้รับข้อมูล ความรู้ต่าง ๆ ตลอดจนจัดกิจกรรมเพื่อส่ง
เสริมการอ่าน
2. บริการห้องสมุดเคลื่อนที่