SlideShare a Scribd company logo
DUTY
FREE
เมนูคอรรัปชัน
และการแสวงหาผลประโยชน
Corruption Menu (e-book) | เมนูคอร์รัปชันและการแสวงหาผลประโยชน์
เมนูคอร์รัปชัน
และการแสวงหาผลประโยชน์
เลขมาตรฐานประจำ�หนังสือ : ISBN 978-616-329-034-2
เรียบเรียงจากโครงการ
‘คู่มือประชาชนรู้ทันคอร์รัปชันและการแสวงหาผลประโยชน์’
โดย
สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ปกป้อง จันวิทย์
อิสร์กุล อุณหเกตุ ศุภณัฏฐ์ ศศิวุฒิวัฒน์
กิตติพงศ์ สนธิสัมพันธ์ และสาโรช ศรีใส
มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
สนับสนุนการวิจัยโดย
สำ�นักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
อินโฟกราฟิก
เทวฤทธิ์ นาวารัตน์ บริษัท ไบรท์ไซด์ จำ�กัด
ที่ปรึกษาด้านอินโฟกราฟิก
ประชา สุวีรานนท์ ธนาพล อิ๋วสกุล
บรรณาธิการสำ�นักพิมพ์
อธิคม คุณาวุฒิ
บรรณาธิการเล่ม
อาทิตย์ เคนมี
บรรณาธิการศิลปกรรม
ณขวัญ ศรีอรุโณทัย
พิสูจน์อักษร
คีรีบูน วงษ์ชื่น
จัดพิมพ์และเผยแพร่โดย
มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
สำ�นักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)
มูลนิธิองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย
ศูนย์สาธารณประโยชน์และประชาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย
สำ�นักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า ThaiPublica.org
ดำ�เนินการผลิต
เปนไท พับลิชชิ่ง
โทรศัพท์	0 2736 9918
โทรสาร	 0 2736 8891
waymagazine.org
waymagazine@yahoo.com
พิมพ์ครั้งแรก
มีนาคม 2557
พิมพ์ที่
บริษัท โรงพิมพ์อักษรสัมพันธ์ (1987) จำ�กัด
จัดจำ�หน่าย
บริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำ�กัด
โทรศัพท์	0 2423 9999
โทรสาร 	 0 2449 9222, 0 2449 9505-6
ราคา 195 บาท
คำ�นำ�
สมัยหนึ่งเราคงเคยได้ยินคำ�พูดทำ�นอง
ว่า ‘รวยแล้วไม่โกง’ หรือกระทั่ง ‘โกงได้
แต่ขอให้ชาวบ้านได้ประโยชน์’ จนกลาย
เป็นวลีอมตะที่คนจำ�นวนหนึ่งรู้สึกรับได้
ให้อภัยได้ ตามอุปนิสัยแบบไทยๆ ที่มัก
อะลุ้มอล่วย ถ้อยทีถ้อยอาศัย ลืมง่าย
หยวนๆ กันไป
จนถึง พ.ศ. นี้ คงเป็นที่ประจักษ์แล้ว
ว่า คำ�พูดที่ว่านั้นนอกจากจะทำ�ให้เกิด
ความเชื่อแบบผิดๆแล้วยังเป็นการบ่มเพาะ
เนื้อร้ายลงในจิตสำ�นึกของผู้คนให้ยอม
จำ�นนต่อสิ่งชั่วร้าย เพราะเอาเข้าจริง
แล้ว ผู้ที่มีพฤติกรรมทุจริตทั้งหลายก็
ล้วนแต่ยิ่งโกงก็ยิ่งรวย โกงไม่รู้จักอิ่ม กิน
ไม่รู้จักพอ นานวันเข้าจึงกลายเป็นเรื่อง
ที่ทุกคนเคยชินและชินชา โดยไม่ทันได้
ตระหนักว่าความเลวร้ายจากการโกงบ้าน
กินเมืองนั้นจะส่งผลกระทบต่อประชาชน
อย่างไร และรุนแรงเพียงใด
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การพัฒนาของ
ประเทศไทยที่ล่าช้าและย่ำ�เท้าอยู่กับที่
ส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากปัญหา ‘ทุจริต
คอร์รัปชัน’ ที่เป็นเสมือนมะเร็งร้ายคอย
กัดกินบ้านเมืองมาเป็นเวลานาน ฉุดรั้ง
ให้ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มประเทศ
ด้อยพัฒนามาหลายทศวรรษ
การจัดทำ� ‘ดัชนีภาพลักษณ์การ
คอร์รัปชัน’ หรือ Corruption Percep-
tion Index โดยองค์กรเพื่อความโปร่งใส
นานาชาติ (Transparency International:
TI) เมื่อปี 2556 ชี้ว่า ประเทศไทยได้
คะแนนความโปร่งใสเพียง 35 จาก
คะแนนเต็ม 100 คะแนน และติดอันดับ
ที่ 102 จาก 177 ประเทศที่ทำ�การสำ�รวจ
ตัวเลขนี้เป็นเหมือนกระจกสะท้อน
ให้คนไทยทั้งหลายต้องหันมาชะโงกดูเงา
ตนเอง
ถึงที่สุดแล้ว ผู้ซึ่งเป็นบ่อนทำ�ลาย
ความมั่นคงของชาติ หาใช่ศัตรูจาก
ภายนอกที่จ้องแสวงผลประโยชน์จาก
ประเทศไทยเท่านั้น หากเกิดจากคนใน
ชาติด้วยกันเองที่มีพฤติกรรมเยี่ยงเกลือ
เป็นหนอน คอยชอนไชสูบเลือดสูบเนื้อ
ของเพื่อนร่วมชาติมาโดยตลอด คน
ประเภทนี้เองคือคนทรยศแผ่นดินตัวจริง
โดยทั่วไปแล้ว ภาพของการทุจริต
คอร์รัปชันมักปรากฏอยู่ในแทบทุก
พรรคการเมือง ไม่ว่าพรรคเล็กพรรคใหญ่
พรรคร่วมรัฐบาลหรือพรรคฝ่ายค้าน
หากได้ขึ้นมาเสวยอำ�นาจเมื่อใดก็มักเผย
พฤติกรรมด้านมืดออกมาให้เห็นเสมอ
ทว่ากระบวนการแสวงหาผล-
ประโยชน์ไม่เพียงฝังรากอยู่ในพฤติกรรม
ของนักการเมืองระดับชาติเท่านั้น แต่ยัง
ลุกลามแพร่ระบาดไปทั่วทุกหย่อมย่าน
ทุกสาขาอาชีพ ไล่มาตั้งแต่ระดับชาติ
ระดับองค์กร ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน
ไปจนถึงระดับปัจเจกบุคคล หรือ
กระทั่งโกงกันเป็นขบวนการตั้งแต่ต้นน้ำ�
ยันปลายน้ำ� อีกทั้งกรรมวิธีการโกงนับวัน
ก็ยิ่งมีความสลับซับซ้อน ซิกแซกแยบยล
เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมสารพัด ความ
รุนแรงของปัญหาจึงแผ่ขยายวงกว้างและ
ฝังลึกลงไปเรื่อยๆ
ขณะเดียวกัน กลไกการตรวจสอบ
ยังมีความบกพร่องพิกลพิการ ทั้งในแง่
ความล่าช้าและบทลงโทษที่ไม่สาสม หรือ
กระทั่งไม่สามารถจับผู้กระทำ�ความผิด
มาลงทัณฑ์ได้ ที่ผ่านมาแม้ว่าจะมีความ
พยายามในการลดระดับความรุนแรง
ของปัญหา มีการตั้งองค์กรอิสระเพื่อ
การตรวจสอบขึ้นมามากมาย แต่ก็ยังไม่
ปรากฏเป็นรูปธรรมว่าจะมีมาตรการใด
ที่มีประสิทธิผลในการแก้ไขปัญหาได้จริง
นั่นยิ่งทำ�ให้ผู้กระทำ�ผิดย่ามใจ ไม่
ยำ�เกรงต่อกฎหมาย ไม่ละอายต่อการ
กระทำ�ผิด
แม้ว่าคนไทยโดยทั่วไปจะรับรู้ว่า
บ้านเมืองเรายังมีปัญหาการคอร์รัปชัน
เป็นสนิมเกาะกินประเทศอยู่ แต่
กระบวนการตรวจสอบและสกัดกั้นใน
ปัจจุบันก็ยังขึ้นอยู่กับกลไกการปราบ
ปรามของภาครัฐ โดยเฉพาะสำ�นักงาน
คณะกรรมการป้องกันและปราบปราม
การทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำ�นักงาน
คณะกรรมการป้องกันและปราบปราม
การทุจริตในภาครัฐ (ปปท.) เป็นหลัก
ขณะที่ประชาชนไม่มีีส่วนร่วมมากนัก
ทำ�ให้การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันไม่ได้รับ
การสะสางคลี่คลายโดยเร็ว
การเพิ่มบทบาทการมีส่วนร่วมของ
ประชาชนในการป้องกันและปราบปราม
การคอร์รัปชันจึงเป็นอีกหนึ่งภาคีสำ�คัญ
ที่จะช่วยให้การแก้ไขปัญหามีความเข้มข้น
และจริงจังยิ่งขึ้น
ณ วันนี้ ภาคพลเมืองจำ�เป็นต้องลุก
ขึ้นมาติดอาวุธในจิตสำ�นึก ช่วยกันติดตาม
สอดส่องพฤติการณ์ที่ไม่ชอบมาพากล
หรือส่อไปในทางทุจริตของบุคคลและ
องค์กร ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน อย่ายอม
ตกเป็นเหยื่อผู้ถูกกระทำ�แต่เพียงฝ่ายเดียว
อย่างไรก็ดี ด้วยความซับซ้อน
ซ่อนเงื่อนของกระบวนการทุจริต
คอร์รัปชันในปัจจุบัน อาจเป็นเรื่อง
ยากเกินกว่าที่ประชาชนทั่วไป รวมถึงผู้
เกี่ยวข้องจะสามารถทำ�ความเข้าใจและ
รู้เท่าทันได้ทั้งหมด จึงจำ�เป็นต้องมีการ
สำ�รวจ จำ�แนก วิเคราะห์ และเปิดโปงให้
เห็นกรรมวิธีการโกงและการแสวงหาผล
ประโยชน์รูปแบบต่างๆ เพื่อให้ทุกคนได้
รับรู้และเข้าใจร่วมกัน
หนังสือ ‘เมนูคอร์รัปชัน และการ
แสวงหาผลประโยชน์’ เล่มนี้ เป็นอีกหนึ่ง
ความพยายามที่จะตีแผ่ให้เห็นถึงร่องรอย
ความเสียหายที่เกิดจากการทุจริต
คอร์รัปชันและการแสวงหาผลประโยชน์
โดยรวบรวมกรณีศึกษาของคดีทุจริตสุด
อื้อฉาวระดับชาติ 35 กรณี เพื่อขยาย
ภาพให้เห็นถึงสารพัดรูปแบบและวิธีการ
ของการคอร์รัปชันและการแสวงหา
ผลประโยชน์ ที่ผ่านมาในอดีต รวมถึง
ผลกระทบต่อประชาชนทั้งทางตรงและ
ทางอ้อม
การนำ�เสนอกรณีศึกษาการ
คอร์รัปชันและการแสวงหาผลประโยชน์
จำ�นวน 35 กรณีศึกษา มาจากการ
รวบรวมการนำ�เสนอข่าวโดยสื่อมวลชน
และกระบวนการสืบสวนสอบสวนของ
เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐ จาก
การตรวจสอบข้อเท็จจริงต่างๆ นั้น มี
พฤติการณ์ให้เข้าใจว่า การปฏิบัติหน้าที่
ของผู้ที่เกี่ยวข้องมีความไม่โปร่งใส หรือ
ส่อไปในทางทุจริต ทำ�ให้บุคคลในสังคม
รวมทั้งกองบรรณาธิการเชื่อว่าเป็น
ความจริง การนำ�เสนอกรณีศึกษาทั้ง 35
กรณีศึกษาดังกล่าวของกองบรรณาธิการ
จึงเป็นไปโดยเจตนาสุจริต เป็นธรรม มิได้
ต้องการจงใจใส่ร้ายผู้ใด เนื้อหาในหนังสือ
ทั้งหมดเป็นไปเพื่อสร้างความรู้เท่าทันการ
คอร์รัปชันและการแสวงหาผลประโยชน์
รูปแบบต่างๆ แก่ประชาชน
การทำ�สงครามต่อต้านคอร์รัปชัน
ต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้เพื่อสร้างบรรทัดฐาน
อันดีให้กับประเทศไทยต่อไป
สารบัญ
ออร์เดิร์ฟ : เรียกน้ำ�ย่อย
01 สมาร์ทการ์ด บัตรไม่ฉลาด	 9
02 ผู้ใหญ่รวมหัว ฮั้วนมโรงเรียน	 16
03 ใบอนุญาต ‘ซานติก้า’ คร่า 66 ศพ	 20
04 อมเงินช่วยเหลือเหยื่อน้ำ�ท่วม	 24
05 คนกรมศุลฯปั้น ‘สายสืบปลอม’ เบิกรางวัลนำ�จับ	 30
06 มายาโกงเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ	 34
07 สปส. เล่นแร่แปรธาตุ โยกเงินประกันสังคมเช่าคอมพ์	 38
จานหลัก : อิ่มเต็มคำ�
08 ‘จำ�นำ�ข้าว’ ฉาวทุกเม็ด	 45
09 หลอกชาวบ้าน อ้างพอเพียง	 52
10 กั๊กโควตา ‘กากถั่วเหลือง’	 60
11 ผลประโยชน์ทับซ้อนของบอร์ด ปตท.	 64
12 โรงไฟฟ้าบางคล้ากับ EIA ที่หายไป	 68
13 แอร์พอร์ตลิงค์เจ๊ง รฟท. จุก	 74
14 ‘คิง เพาเวอร์’ ใหญ่คับสุวรรณภูมิ	 80
15 รื้อสัมปทานลานจอดรถสุวรรณภูมิ	 86
16 บ้านเอื้ออาทร เอื้อพวกพ้องผู้รับเหมา	 92
17 เรื่องน้ำ�เน่า โครงการบำ�บัดน้ำ�เสียคลองด่าน	 98
18 เมื่อกระทรวงหมอเลือกข้างพ่อค้ายา	 104
19 ส.ป.ก. 4-01 แจกที่ดินเศรษฐี	 110
20 ประมูลกล้ายางบนความทุกข์เกษตรกร	 118
21 ‘โฮปเวลล์’ กับค่าโง่เสาตอม่อ 9,000 ล้าน	 126
เปิบพิสดาร : สากกะเบือยันเรือขุด
22 ‘เรือขุดหัวสว่าน’ ซื้อของ แต่ไม่ได้ของ	 133
23 GT 200 ไม้ล้างป่าช้าราคาแพง	 138
24 เงินบริจาคสึนามิล่องหน	 144
25 ค่าโง่พันล้าน ที่ราชพัสดุหมอชิต	 150
26 ฮุบที่ธรณีสงฆ์ เนรมิตสนามกอล์ฟอัลไพน์	 156
27 นำ�เข้ารถหรู เลี่ยงภาษีหมื่นล้าน	 162
28 สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ เซ็นปุ๊บ อนุมัติปั๊บ	 168
ของหวาน : ทานง่าย อร่อยทุกมื้อ
29 แป๊ะเจี๊ยะหลักแสน แย่งเก้าอี้นักเรียน	 175
30 เปลี่ยนอุทยานให้เป็นรีสอร์ต	 180
31 ผู้พิทักษ์เศรษฐกิจนอกกฎหมาย	 186
32 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กินรวบครบวงจร	 194
33 ทำ�ผิดจ่ายถูก-ทำ�ถูกจ่ายแพง วิบากกรรมแรงงานต่างด้าว	 202
33 ‘องค์การค้าคุรุสภา’ งาบจัดซื้ออุปกรณ์การเรียน	 208
35 เรื่องลับๆ ของท่านผู้พิพากษา	 214
เช็คบิล
หน้าที่พลเมืองดี: ติดตาม-ตรวจสอบ-ร้องเรียน-แจ้งเบาะแส	 221
ตามไปดูเส้นทางการทุจริตหลากหลายรูปแบบ ซึ่งเกิดจากคนเพียงไม่กี่กลุ่ม แต่ส่ง
ผลกระทบลุกลามร้ายแรง หลายโครงการมีเจตนาดีแต่ประสงค์ร้าย และอีกหลายโครงการ
พบการทุจริตแบบผิดเต็มประตู
ออร์เดิร์ฟ : เรียกน้ำ�ย่อย
01
สมาร์ทการ์ด
บัตรไม่ฉลาด
ปูมหลัง
บัตรประจำ�ตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ หรือบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด (Smart Card)
เป็นหนึ่งในโครงการขยายการจัดทำ�ระบบให้บริการประชาชนทางด้านการทะเบียนและบัตรแบบ
ใหม่ โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นช่วงต้นปี 2545 ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยมุ่งหวังให้
ประชาชนสามารถใช้บัตรประจำ�ตัวเพียงใบเดียวในการแสดงตนและติดต่อราชการได้ทุกประเภทต่อ
มาในเดือนมิถุนายน 2546 คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบให้ดำ�เนินโครงการจัดทำ�บัตรประชาชน
สมาร์ทการ์ด โดยให้เริ่มต้นจากบัตรประจำ�ตัวประชาชนของกระทรวงมหาดไทยเป็นบัตรหลัก ส่วน
ข้อมูลของส่วนราชการหรือหน่วยงานอื่นๆสามารถนำ�มาเชื่อมโยงและเพิ่มเติมได้เมื่อมีความพร้อม1
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพในการดำ�เนินโครงการมิใช่กระทรวงมหาดไทย แต่เป็นกระทรวง
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อให้เป็นไปตามแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการ
สื่อสารของประเทศไทย พ.ศ. 2545-2549
เดือนมกราคม 2547 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้เริ่มดำ�เนินโครงการนำ�ร่องบัตรประชาชน
สมาร์ทการ์ดจำ�นวน 10,000 ใบ และดำ�เนินการให้ครบประมาณ 10 ล้านใบ ภายในปี 25472
ต่อมาในเดือนมีนาคม 2547 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ
และการสื่อสารเสนอแผนการผลิตบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดจำ�นวน 64 ล้านใบ ในระยะเวลา 3
1  	 มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 3 มิถุนายน 2546 เรื่อง การจัดทําบัตรประจําตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card)
2  	 มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 13 มกราคม 2547 เรื่อง การใช้ประโยชน์บัตรประจําตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์
9
เมนูคอร์รัปชัน
ปี งบประมาณทั้งสิ้น 7,910
ล้านบาท โดยกระทรวง
เทคโนโลยีสารสนเทศและการ
สื่อสารจะเป็นผู้ดำ�เนินการ
จัดซื้อบัตรเปล่า และส่งมอบ
ให้สำ�นักบริหารการทะเบียน
กรมการปกครอง กระทรวง
มหาดไทย ดำ�เนินการบรรจุ
ข้อมูลและออกบัตรให้แก่
ประชาชน3
3  	 มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 23 มีนาคม
2547 เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณสนับสนุน
โครงการจัดทําบัตรประจําตัวประชาชน
อเนกประสงค์ (Smart Card)
เส้นทางผลประโยชน์
รัฐบาลดำ�เนินโครงการบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดโดยยังไม่มีการเตรียมความพร้อม
เรื่องระบบข้อมูล ทำ�ให้บัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดไม่สามารถใช้งานได้อย่างที่ควรจะเป็น
นอกจากนี้ การประมูลราคาจ้างผลิตบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดโดยไม่มีการแข่งขัน ทำ�ให้
ราคาประมูลสูงและเกิดความไม่โปร่งใส ส่งผลให้การดำ�เนินการจัดจ้างผลิตบัตรประชาชน
สมาร์ทการ์ดเป็นไปอย่างล่าช้า
แผนการผลิตบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการ
สื่อสาร แบ่งการผลิตเป็น 3 รุ่น โดยรุ่นที่ 1 จะเป็นการผลิตบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดจำ�นวน
12 ล้านใบ ภายในปี 2547 ขณะที่รุ่นที่ 2 และรุ่นที่ 3 จะเป็นการผลิตรุ่นละ 26 ล้านใบ
ภายในปี 2548 และ 2549 ตามลำ�ดับ4
ประมูลอลเวง
สมาร์ทการ์ด รุ่นที่ 1
เดือนมีนาคม 2547 กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทำ�การประมูลราคา
จ้างเหมาผลิตบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด รุ่นที่ 1 จำ�นวน 12 ล้านใบ โดยกำ�หนดราคาเริ่มต้น
ที่ 1,440 ล้านบาท หรือเฉลี่ยใบละ 120 บาท การประมูลครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมการประมูลเพียง
2 ราย จากที่ซื้อซองเอกสารการประมูลทั้งสิ้น 42 ราย ซึ่งบริษัทที่ไม่เข้าร่วมการประมูลให้
เหตุผลว่า เงื่อนไขการประมูลทำ�ให้ไม่คุ้มค่าการลงทุน เนื่องจากเงื่อนไขทางเทคนิคสูง ระยะ
เวลาการส่งมอบกระชั้นชิด และค่าปรับสูง
ผลการประมูลครั้งแรกปรากฏว่า กลุ่มกิจการร่วมค้าจันวาณิชย์เป็นผู้ชนะ โดยเสนอราคา
1,370 ล้านบาท หรือเฉลี่ยใบละ 114 บาท ก่อนจะมีการเจรจาให้ลดราคาเหลือ 108.9
บาทต่อใบ แต่ก็ยังสูงกว่าที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จัดซื้อในโครงการนำ�ร่อง
10,000 ใบที่ราคาใบละ 82 บาท
ผลการประมูลดังกล่าวทำ�ให้นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ตัดสินใจยกเลิกผลการประมูล ต่อมาในเดือนมิถุนายน
2547กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจึงจัดการประมูลใหม่โดยใช้ราคาเริ่มต้น
ที่ใบละ 108.9 บาท ซึ่งกลุ่มกิจการร่วมค้า CST เป็นผู้ชนะการประมูล โดยเสนอราคา 888
ล้านบาท หรือเฉลี่ยใบละ 74 บาท
4  	 มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 23 มีนาคม 2547 เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณสนับสนุนโครงการจัดทําบัตรประจําตัวประชาชน
อเนกประสงค์ (Smart Card)
10
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์
สมาร์ทการ์ด รุ่นที่ 2
การประมูลผลิตบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด รุ่นที่ 2 จำ�นวน
26 ล้านใบ ได้แบ่งการประมูลออกเป็น 2 รอบ รอบละ 13 ล้าน
ใบ อย่างไรก็ตาม ความไม่โปร่งใสของการประมูลทำ�ให้การ
ประมูลรอบแรกถูกยกเลิก และรวมการประมูลผลิตบัตรประชาชน
สมาร์ทการ์ดทั้ง 2 รอบไว้ในการประมูลรอบที่ 2
ความไม่โปร่งใสดังกล่าวของการประมูลราคาจ้างเหมา
ผลิตบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด รุ่นที่ 2 ครั้งที่ 1 จำ�นวน 13
ล้านใบ เริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม 2549 โดยกระทรวงเทคโนโลยี
สารสนเทศและการสื่อสารกำ�หนดราคาเริ่มต้นที่ 962 ล้านบาท
หรือเฉลี่ยใบละ 74 บาท การประมูลครั้งนี้ กลุ่มกิจการร่วมค้า
HSTเป็นผู้ชนะการประมูลโดยเสนอราคา486.85ล้านบาทหรือ
เฉลี่ยใบละ 37.45 บาท แต่หลังจากการประมูลมีการร้องเรียน
ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่าบัตรของกลุ่มกิจการร่วม
ค้า HST มีคุณสมบัติไม่ตรงตามเอกสารข้อกำ�หนดโครงการ ทำ�ให้
คณะกรรมการจัดซื้อมีความเห็นขัดแย้งกันว่าจะให้ความเห็นชอบ
ผลการประมูลหรือไม่
ต่อมา หลังรัฐประหารในเดือนกันยายน 2549 สำ�นักงาน
การตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตรวจสอบกรณีดังกล่าว และพบ
ว่าก่อนการประมูลคณะกรรมการประกวดราคามีมติเอกฉันท์
ว่า บัตรของกลุ่มกิจการร่วมค้า HST ไม่ผ่านการรับรองผลการ
ทดสอบคุณสมบัติเกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยตามที่ระบุใน
เอกสารประกวดราคาแต่ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและ
การสื่อสาร ในขณะนั้น กลับให้กลุ่มกิจการร่วมค้า HST มีสิทธิ์
เข้าร่วมประมูล ดังนั้น สตง. จึงทำ�หนังสือถึงกระทรวงเทคโนโลยี
สารสนเทศและการสื่อสารให้ทบทวนการดำ�เนินการ กระทั่งต้อง
ยกเลิกการประมูลในที่สุด
เดือนกรกฎาคม 2550 กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและ
การสื่อสารจึงเปิดประมูลรอบใหม่ รวมทั้งหมด 26 ล้านใบ โดย
กำ�หนดราคาเริ่มต้นที่ 1,612 ล้านบาท หรือเฉลี่ยใบละ 62 บาท
การประมูลครั้งนี้ กิจการร่วมค้า VSK เป็นผู้ชนะการประมูล โดย
เสนอราคา 921 ล้านบาท หรือเฉลี่ยใบละประมาณ 35.4 บาท
สมาร์ทการ์ด รุ่นที่ 3
กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกำ�หนด
ให้มีการประมูลราคาจ้างเหมาผลิตบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด
รุ่นที่ 3 จำ�นวน 26 ล้านใบ ในเดือนกันยายน 2551 ก่อน
จะมีการเลื่อนประมูลออกไปเป็นวันที่ 14 ตุลาคม 2551
และวันที่ 20 ตุลาคม 2551 เนื่องจากบริษัทเอกชนรายหนึ่ง
ร้องเรียนว่ากระบวนการคัดเลือกผู้ผ่านเกณฑ์ประมูลไม่โปร่งใส
ภายหลังคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างของกระทรวงเทคโนโลยี
สารสนเทศและการสื่อสารตรวจสอบพบว่า ผู้ผ่านเกณฑ์ 2 ราย
มีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนตามเอกสารการประกวดราคา กระทรวง
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจึงออกประกาศยกเลิก
การประมูล
ต่อมาในเดือนพฤษภาคม 2552 กระทรวงเทคโนโลยี
สารสนเทศและการสื่อสารประกาศการประมูลใหม่ โดยกำ�หนด
ราคาเริ่มต้นที่ 960 ล้านบาท หรือเฉลี่ยใบละประมาณ 37 บาท
การประมูลครั้งนี้ กิจการร่วมค้า VK ซึ่งประกอบด้วยบริษัทหลัก
เดียวกันกับกิจการร่วมค้า VSK ที่ชนะการประมูลในปี 2550
เป็นผู้ชนะการประมูล โดยเสนอราคา 902 ล้านบาท หรือเฉลี่ย
ใบละประมาณ 34.7 บาท
ความคืบหน้า
ปัจจุบันหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการดำ�เนินการจ้างเหมา
ผลิตบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดเปลี่ยนจากกระทรวงเทคโนโลยี
สารสนเทศและการสื่อสาร กลับไปเป็นกระทรวงมหาดไทย
ดังเช่นในช่วงที่ยังใช้บัตรแบบแถบแม่เหล็ก เนื่องจากปัญหา
การประสานงานระหว่าง 2 หน่วยงาน ซึ่งเกิดความขัดแย้ง
ในการตรวจรับงานบ่อยครั้ง ทำ�ให้เกิดการขาดแคลนบัตร และ
ประชาชนไม่ได้รับความสะดวกในการใช้บัตรเหลืองแทนบัตร
ประชาชนชั่วคราว
11
เมนูคอร์รัปชัน
ผลกระทบต่อประชาชน
•	 รัฐบาลดำ�เนินโครงการบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดโดยไม่มีการเตรียมความพร้อมเรื่องระบบข้อมูล จากเดิมที่มุ่งหวังจะใช้บัตร
ประชาชนสมาร์ทการ์ดเพื่อเก็บข้อมูลต่างๆทั้งข้อมูลระบบทะเบียนราษฎร์ข้อมูลระบบประกันสุขภาพข้อมูลระบบประกันสังคม
ฯลฯ แต่จากความไม่พร้อมดังกล่าว ทำ�ให้ข้อมูลอื่นๆ นอกจากข้อมูลระบบทะเบียนราษฎร์ไม่ได้ถูกบรรจุลงในบัตร ส่งผลให้บัตร
ประชาชนสมาร์ทการ์ดไม่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามที่ควรจะเป็น ซึ่งแทบไม่ต่างจากบัตรประชาชนแถบแม่เหล็ก
แบบเดิมที่มีราคาเพียงใบละประมาณ 15 บาท
•	 การกำ�หนดเงื่อนไขการประมูลไว้สูง โดยมิใช่เงื่อนไขด้านเทคนิค ทำ�ให้ผู้เข้าร่วมประมูลมีน้อยราย ขาดการแข่งขันอย่างทั่วถึง
เป็นเหตุให้ราคาประมูลสูงกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะในการประมูลราคาจ้างเหมาผลิตบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด รุ่นที่ 1
ที่ตั้งราคาประมูลเริ่มต้นไว้สูงถึง 120 บาท ในขณะที่เคยมีรายงานว่ากระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสามารถจัดทำ�บัตร
ดังกล่าวได้ในราคาใบละประมาณ 40 บาทเท่านั้น5
•	 ความไม่โปร่งใสในการประมูลทำ�ให้การดำ�เนินการจัดจ้างผลิตบัตรประชาชนล่าช้ากว่าที่กำ�หนดไว้ราว 2 ปีครึ่ง ในขณะที่มี
ความต้องการใช้บัตรประชาชนถึงปีละกว่า 10 ล้านใบ ทำ�ให้ประชาชนไม่ได้รับความสะดวก
•	 ปัญหาความล่าช้าในการจ้างผลิตบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด ทำ�ให้รัฐต้องสูญเสียงบประมาณในการจัดซื้อบัตรแถบแม่เหล็กเพื่อ
ใช้แทนบัตรสมาร์ทการ์ด โดยในช่วงเวลาที่ดำ�เนินโครงการบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดทั้ง 3 รุ่น (มีนาคม 2547 ถึงพฤษภาคม
2552) กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ต้องจัดซื้อบัตรแถบแม่เหล็กเพื่อใช้ทำ�บัตรประชาชนอย่างน้อย 21 ล้านใบ
คิดเป็นงบประมาณกว่า 320 ล้านบาท6
5  มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 23 กันยายน 2546 เรื่อง การจัดทำ�บัตรประจำ�ตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card)
6  ฐานข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ, สำ�นักงานการตรวจเงินแผ่นดิน <http://procurement-oag.in.th>
12
เอกสารอ้างอิง
•	 IRCP ชนะประมูลสมาร์ทการ์ด คาดทั้งปีรายได้โตตามเป้าหมาย, หนังสือพิมพ์ กระแสหุ้น, 18 สิงหาคม 2549.
•	 เกาหลีคว้าประมูลสมาร์ทการ์ด 921 ล้าน, หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ, 7 กรกฎาคม 2550.
•	 คณะกรรมการสมาร์ทการ์ดเฟส 2 เสียงแตก, หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ, 14 กันยายน 2549.
•	 จันวาณิชย์คว้าสมาร์ทการ์ด, หนังสือพิมพ์ สยามรัฐ, 23 มีนาคม 2547.
•	 ชง คปค. เชือดปลัดไอซีที สตง. แฉฮั้วสมาร์ทการ์ด, หนังสือพิมพ์ แนวหน้า, 25 กันยายน 2549.
•	 ซีเอสทีคว้าชัยให้ใบละ 74 บ. สมาร์ทการ์ด, หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ, 29 มิถุนายน 2547.
•	 ล้มประมูลสมาร์ทการ์ด ไอซีทีรื้อทีโออาร์ นับหนึ่งใหม่, หนังสือพิมพ์ แนวหน้า, 5 มกราคม 2552.
•	 วี-สมาร์ทคว้าสมาร์ทการ์ด 902 ล. ไอซีทีเล็งของบฯ เพิ่มศูนย์ไอซีทีชุมชนถึงพันแห่ง, หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ, 11 มิถุนายน
2552.
•	 สมาร์ทการ์ดมหาดไทยใบละ 82, หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ, 25 มีนาคม 2547.
•	 เอกชนจับตาประมูลสมาร์ทการ์ดล่ม, หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ, 15 มีนาคม 2547.
•	 ไอซีทีล้มประมูลบัตรสมาร์ทการ์ด อ้างราคาแพงเกิน, หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ, 31 มีนาคม 2547.
•	 ไออาร์ซีทีออกโรงแจงชนะประมูลสมาร์ทการ์ด, หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์, 6 กันยายน 2549.
•	 มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 3 มิถุนายน 2546 เรื่อง การจัดทําบัตรประจําตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card).
•	 มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 23 กันยายน 2546 เรื่อง การจัดทำ�บัตรประจำ�ตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card).
•	 มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 13 มกราคม 2547 เรื่อง การใช้ประโยชน์บัตรประจําตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card).
•	 มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 23 มีนาคม 2547 เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณสนับสนุนโครงการจัดทําบัตรประจําตัวประชาชนอเนกประสงค์
(Smart Card).
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 13
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน
04
เสŒนทาง
การจŒางผลิต
สมารทการด
3 รุ‹น
01
รุนที่ 1 จำนวน 12 ลานใบ
ผูชนะการประมูลเสนอราคา
888 ลานบาท
เฉลี่ยใบละ 74 บาท
03
รุนที่ 3 จำนวน 26 ลานใบ
ผูชนะการประมูลเสนอราคา
902 ลานบาท เฉลี่ยใบละ
34.70 บาท
ทั้ง 3 รุนใชงานไดแทบไมตาง
จากบัตรประชาชนแบบ
แถบแมเหล็กที่ราคาเพียง
ใบละ 15 บาท
02
รุนที่ 2 จำนวน 26 ลานใบ
ผูชนะการประมูลเสนอราคา
921 ลานบาท เฉลี่ยใบละ
35.40 บาท
ความเสียหาย
มีนาคม 2547 ถึงพฤษภาคม 2552
กรมการปกครองตองซื้อบัตร
แถบแมเหล็กเพื่อใชเปน
บัตรประชาชนชั�วคราวจำนวน
21 ลานใบ คิดเปนเงิน
320ลŒานบาท
เพื่อใชแทนสมารทการดที่ลาชา
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
บัตรประชาชนสมารทการด:
บัตรไม‹ฉลาด ไดŒชŒา
ราคาแพง
01
เมื่อเดือนมีนาคม 2547 คณะรัฐมนตร�มีมติเห็นชอบ
แผนการผลิตบัตรประชาชนสมารทการดจำนวน
64 ลŒานใบในระยะเวลา 3 ป‚ ดŒวยงบประมาณ
7,910 ลŒานบาท แต‹จนกระทั่งป˜จจ�บัน
บัตรประชาชนสมารทการดก็แทบไม‹ต‹าง
จากบัตรประชาชนแบบแถบแม‹เหล็ก เนื่องจากมัน
ไม‹มีขŒอมูลใดๆ มากไปกว‹าขŒอมูลทะเบียนราษฎร
ตามปกติ
ความไม‹โปร‹งใสในการจŒางผลิต ยังทำใหŒเกิด
ความล‹าชŒาราว 2 ป‚คร�่ง และเสียงบประมาณกว‹า
8,000 ลŒานบาท
การใชŒบัตรแทนพาสปอรต
การใชŒบัตรเปšนบัตรเง�นสด บัตรเครดิต และบัตรเดบิต
การยืนยันตัวบุคคลโดยใชŒบัตร PIN code และลายนิ�วมือ
การใชŒบัตรแทนบัตรเอทีเอ็ม
ขŒอมูลเจŒาของบัตร ชื่อ-สกุล
หมายเลขบัตรประชาชน ว/ด/ป เกิด
ที่อยู‹ ตามขŒอมูลระบบทะเบียนราษฎร
ขŒอมูลผูŒเสียภาษีกรมสรรพากร
ขŒอมูลระบบประกันสุขภาพ
การใชŒบัตรแทนใบขับข�่รถยนตและจักรยานยนต
ขŒอมูลสำนักงาน ก.พ.
ขŒอมูลระบบประกันสังคม
• การไมเตรียมความพรอม
เรื่องการเชื่อมโยงขอมูลระหวาง
หน�วยงานตางๆ ทำใหการใชงาน
บัตรประชาชนสมารทการด
แทบไมตางจากบัตรประชาชน
แบบแถบแมเหล็ก
ทั้งที่ราคาแพงกวามาก
• ความไมโปรงใสในการประมูล
ทำใหผลิตบัตรประชาชน
ไดชากวากำหนดราว 2 ปครึ�ง
ทำใหเกิดปญหาขาดแคลน
บัตรประชาชน รัฐตองสูญเสีย
งบประมาณกวา 320 ลานบาท
ในการจัดซื้อบัตรแถบแมเหล็ก
21 ลานใบ เพื่อใชแทนชั�วคราว
1514
02
ผู้ใหญ่รวมหัว
ฮั้วนมโรงเรียน
ปูมหลัง
ด้วยความหวังดีที่จะให้เด็กนักเรียนระดับอนุบาลได้ดื่มนมอย่างน้อย 120 วันต่อปี โครงการ
‘อาหารเสริม (นม) โรงเรียน’ จึงริเริ่มขึ้นเมื่อปี 2535 สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย ในระยะแรกมีการ
จัดสรรงบประมาณและกำ�หนดหลักเกณฑ์ โดยให้สำ�นักงานคณะกรรมการส่งเสริมและประสาน
งานเยาวชนแห่งชาติ สำ�นักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ
ต่อมาในปี 2537 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย
(อสค.) เป็นผู้รับผิดชอบ จากนั้นจึงถ่ายโอนงบประมาณให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็น
ผู้จัดซื้อและจัดส่งนมให้สถานศึกษาตั้งแต่ปี 2544
เส้นทางผลประโยชน์
ในการคัดเลือกผู้ดำ�เนินการในโครงการนมโรงเรียนใช้วิธีแข่งขันเสนอราคา ซึ่ง อปท. ให้สิทธิ์
จำ�หน่ายนมตามโซนพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเกณฑ์ในการกำ�หนดโซนเบื้องต้นคือ ความสะดวกและ
เหมาะสมในการขนส่ง (logistics) เพื่อขนส่งนมไปยังโรงเรียนต่างๆ อย่างทั่วถึง ตามกติกาการ
ประกวดราคา ผู้ประกอบการจะได้รับสิทธิ์จำ�หน่ายนมรายละ 1 โซน ซึ่งสามารถจำ�หน่ายได้เฉพาะ
เมนูคอร์รัปชัน16
ในโซนที่ตนได้รับสิทธิ์ แต่ปรากฏว่าบางพื้นที่มีผู้ประกอบการ 3 ราย ได้รับสิทธิ์จำ�หน่ายนม 1 โซน
ขณะที่มีผู้ประกอบการ 1 ราย ได้รับสิทธิ์จำ�หน่ายนม 2 โซน ซึ่งส่อถึงการจัดสรรสิทธิ์ที่ไม่เป็นธรรม
นอกจากการจัดสรรสิทธิ์ที่ไม่เป็นธรรม ยังปรากฏข้อเท็จจริงว่าเกิดการฮั้วกันในกระบวนการ
เสนอราคา โดยผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองสิทธิ์แต่ละโซน ซึ่งมีอย่างน้อยโซนละ 18 ราย
มีเพียง 1-2 รายเท่านั้นที่เสนอราคา และไม่มีรายใดเลยที่เสนอราคาต่ำ�กว่าราคากลาง
มิหนำ�ซ้ำ� ผู้ประกอบการที่ยื่นราคาทั้ง 2 รายก็มิได้ดำ�เนินการด้วยตนเอง แต่มอบอำ�นาจให้
บุคคลเดียวกันดำ�เนินการ บุคคลดังกล่าวถูกเรียกว่า ‘คนเดินนม’
สภาพการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในทุกภูมิภาค โดยการเสนอราคาแต่ละครั้ง หากผู้ประกอบการรายใด
เป็นผู้ชนะในพื้นที่หนึ่ง การเสนอราคาในอีกพื้นที่ ผู้ประกอบการที่เคยแพ้การเสนอราคาจะเป็น
ฝ่ายชนะบ้าง และทั้ง 2 ครั้งมีคนเดินนมคนเดียวกันเป็นผู้ดำ�เนินการ
	ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ประกอบการรายใดที่ได้ทำ�สัญญากับ อปท. ในพื้นที่ใด ผู้ประกอบการรายนั้น
จะเป็นผู้ประกอบการรายเดียวที่ทำ�สัญญากับ อปท. ในพื้นที่นั้นต่อไป
มีหลายพื้นที่ที่ อปท. ให้สิทธิ์จำ�หน่ายนมกับผู้ประกอบการที่ได้รับสิทธิ์นอกพื้นที่ และในหลาย
พื้นที่พบว่าผู้ประกอบการมอบอำ�นาจให้บุคคลอื่นทำ�สัญญา และบุคคลเดียวกันก็รับมอบอำ�นาจ
การทำ�สัญญาจากผู้ประกอบการอีกหลายรายในพื้นที่
หลังจากประกวดราคาและทำ�สัญญา จะมี ‘พ่อค้านม’ ทำ�หน้าที่หาซื้อนมจากผู้ประกอบการ
ซึ่งพ่อค้านมจะได้ค่าดำ�เนินการถุงละ 50-60 สตางค์
นอกจากนี้ คุณภาพของนมก็เป็นปัญหาสำ�คัญ แม้ว่ารัฐบาลจะกำ�หนดให้ผู้ประกอบการต้อง
ใช้นมโคสด แต่ในความเป็นจริงผู้ประกอบการบางรายใช้วิธีซื้อนมผงจากต่างประเทศมาคืนรูป
และบางพื้นที่พบการใช้หางนมผสมน้ำ� ทำ�ให้นมมีกลิ่นและไม่มีคุณภาพ ประกอบกับขบวนการ
ล็อคสเป็คบริษัทผลิตนม โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นมีหนังสือคำ�สั่ง ลงวันที่ 29 ตุลาคม
2551ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดให้อปท.ซื้อนมของผู้ประกอบการที่กำ�หนดให้เท่านั้น(มี68
รายทั่วประเทศ) แม้จะพบว่าบางพื้นที่มีผู้ประกอบการที่ผลิตนมคุณภาพดีกว่าและราคาใกล้เคียง
กันก็ตาม
ผลกระทบต่อประชาชน
•	 นมที่ อปท. ได้รับมีคุณภาพต่ำ� อาจส่งผลต่อสุขภาพของเด็กนักเรียน
•	 ผู้ประกอบการหลายรายไม่ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากถูกกีดกัน
จากผู้ประกอบการรายใหญ่และเจ้าหน้าที่
เอกสารอ้างอิง
•	 แฉทุจริตจัดซื้อนมโรงเรียน ล็อคสเป็ค
ฮั้วเป็นขบวนการ, หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ,
รวมเอกสารข่าวประกวด, สมาคมนักข่าว
นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, 2552.
•	 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, รายงาน
ความคืบหน้าการทบทวนระบบบริหาร
จัดการนมโรงเรียน ตามมติคณะรัฐมนตรี
9 เมษายน 2553, 7 กันยายน 2553.
•	 หนังสือเวียนกรมส่งเสริมการปกครอง
ท้องถิ่น ที่ มท.0893.4/ว1186 เรื่อง
หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติโครงการ
อาหารเสริม (นม) โรงเรียน
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 17
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
• นมที่ อปท. ไดรับมีคุณภาพต่ำ
ซึ�งอาจสงผลตอสุขภาพ
ของเด็กนักเรียน
• ผูประกอบการหลายราย
ไมไดรับความเปนธรรม
เน��องจากถูกกีดกันจาก
ผูประกอบการรายใหญ
และเจาหนาที่
นมโรงเร�ยนสนับสนุนโดยรัฐบาล
โครงการอาหารเสร�ม (นม) โรงเร�ยน:
ฮั้วประกวดราคา
คุณภาพต่ำ
02
องคกรปกครองส‹วนทŒองถิ�น (อปท.)
เปšนผูŒดำเนินการจัดซื้อและจัดส‹งนม
ใหŒกับสถานศึกษาตั้งแต‹ป‚ 2544 โดย อปท.
จะใหŒสิทธิ์ผูŒประกอบการจำหน‹ายนม
รายละ 1 โซนพ�้นที่ แต‹ปรากฏว‹ามีผูŒประกอบการ
บางรายไดŒรับสิทธิ์จำหน‹ายนมมากกว‹า 1 โซน
ขณะเดียวกัน การเสนอราคาในแต‹ละโซน
มีผูŒประกอบการเพ�ยง 1-2 รายเท‹านั้นที่เสนอราคา
โดยผูŒที่เสนอราคากลางจะชนะการประกวดราคา
ทุกครั้ง ส‹วนผูŒประกอบการที่เคยแพŒ
ก็จะเปšนฝ†ายชนะในการประกวดราคาครั้งถัดไป
โครงการนมโรงเร�ยนจ�งเปšนการฮั้วกันระหว‹าง
ผูŒประกอบการ โดยมีเด็กนักเร�ยนทั่วประเทศ
เปšนผูŒเสียประโยชน
02
ผูประกอบการนอยรายเขารวม
เสนอราคา และมีการฮั้วกัน
ทำให อปท. ไมเคยไดราคา
ที่ต่ำกวาราคากลาง
03
ผูประกอบการทุกราย
มอบหมายใหคนเดินนม
คนเดียวกันดำเนินการ
แทนทุกขั้นตอน
04
หลังทำสัญญา มีคนในพื้นที่
ทำหนาที่หาซื้อนม โดยได
คาดำเนินการจากผูผลิตถุงละ
50-60 สตางค
01
อปท. กำหนดโซนพื้นที่อยาง
ไมเปนธรรม ผูประกอบการ
บางรายมีสิทธิ์ขายนม 1 โซน
บางรายมีสิทธิ์ขายนม 2 โซน
บันได 4 ขั้น
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 1918
03
ใบอนุญาต
‘ซานติก้า’
คร่า 66 ศพ
ปูมหลัง
คืนส่งท้ายปีเก่า วันที่ 31 ธันวาคม 2551 เกิดเหตุเพลิงไหม้สถานบันเทิง ‘ซานติก้า’ (Santika)
ย่านถนนเอกมัย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 59 คน และมีผู้เสียชีวิตในภายหลังอีก 7 คน
รวม 66 คน นอกจากนี้ยังมีผู้บาดเจ็บอีกจำ�นวนมาก
สาเหตุหลักของการสูญเสียในครั้งนี้มาจากการปล่อยปละละเลยของเจ้าหน้าที่ในการควบคุม
ดูแลสถานบันเทิงที่เปิดโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่ได้ผ่านการตรวจสอบความปลอดภัย อีกทั้งมีการ
เปลี่ยนแปลงโครงสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำ�ให้มีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ
จากการสอบสวน สาเหตุของไฟไหม้ครั้งนี้เกิดจากการจุดพลุไฟฉลองปีใหม่ภายในสถาน
บันเทิง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้น หากเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย
เมนูคอร์รัปชัน20
เส้นทางผลประโยชน์
ซานติก้าตั้งอยู่นอกเขตโซนนิ่งของสถานบันเทิง เคยถูก
ดำ�เนินคดีข้อหาเปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตและ
จำ�หน่ายสุราในเวลาห้ามจำ�หน่ายทั้งหมด 47 ครั้ง ก่อนที่ พ.ต.อ.
‘ป.’ รองผู้บังคับการกองปราบปรามในขณะนั้น จะเข้ามาถือหุ้น
บริษัท ไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส (2003) จำ�กัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น
หลักของซานติก้า เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2549 หลังจากนั้น
ซานติก้าผับก็ไม่เคยถูกจับอีกเลย
จากการตรวจสอบพบว่า กรรมการคนหนึ่งของบริษัท
ไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส (2003) จำ�กัด แท้จริงแล้วเป็นเพียง
คนรับรถของซานติก้า ขณะที่เจ้าของตัวจริงกลับไม่มีชื่อเป็น
กรรมการ ทำ�ให้มีการตั้งข้อสังเกตว่าการกระทำ�ดังกล่าวน่าจะ
มีจุดประสงค์เพื่อมิให้เจ้าของตัวจริงต้องรับผิดชอบการประกอบ
ธุรกิจของซานติก้า
นอกจากนี้ยังพบการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอาคาร
พาณิชย์เพื่อการพักอาศัยเป็นสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต
และไม่มีการตรวจสอบโครงสร้างว่าเหมาะสมกับการดำ�เนินการ
เป็นสถานบริการหรือไม่ มิหนำ�ซ้ำ�ยังปรากฏหลักฐานการปลอม
ลายเซ็นของวิศวกรผู้ควบคุมงานก่อสร้าง ซึ่งชี้ว่าเจ้าหน้าที่
สำ�นักงานเขตวัฒนาน่าจะมีส่วนรู้เห็น ขณะเดียวกัน ซานติก้าก็
ไม่เคยถูกตรวจสอบว่ามีอุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัยครบถ้วนหรือไม่
ยิ่งไปกว่านั้น ตลอดระยะเวลาที่เปิดบริการประมาณ 5
ปี ซานติก้าไม่เคยเสียภาษีสรรพสามิต ทั้งที่ตามกฎหมายแล้ว
จะต้องเสียในอัตราร้อยละ 10 ของรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่าย
นอกจากภาษีสรรพสามิต ซานติก้ายังไม่เสียภาษีป้ายและภาษี
โรงเรือนให้กับสำ�นักงานเขตวัฒนา รวมถึงไม่เสียภาษีเงินได้ให้
กับกรมสรรพากรอีกด้วย
โศกนาฏกรรมครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการปล่อยปละ
ละเลยของเจ้าหน้าที่ในหลายหน่วยงาน และการมุ่งแสวงหา
ผลประโยชน์ของผู้ประกอบการ โดยไม่คำ�นึงถึงความปลอดภัย
ของผู้ใช้บริการ
สถานะของคดี
ในคดีที่มีผู้ฟ้อง 12 ราย ศาลปกครองกลางมีคำ�
พิพากษาให้กรุงเทพมหานครรับผิดชอบจ่ายค่าสินไหม
ทดแทนให้กับผู้เสียหายและญาติที่ได้รับผลกระทบจาก
เหตุเพลิงไหม้ ตามมาตรา 5 ของพระราชบัญญัติความ
รับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่พ.ศ.2539รวมเป็นเงินกว่า
3.5ล้านบาทและตำ�รวจได้ดำ�เนินคดีกับเจ้าของซานติก้าผับ
ในข้อหากระทำ�การโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่
ความตาย และให้ออกค่าใช้จ่ายในส่วนของการทำ�ศพและ
การพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลกว่า 2 ล้านบาท
ผลกระทบต่อ
ประชาชน
•	 มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ 66 คน บาดเจ็บ 222 คน
•	 การปล่อยปละละเลยของเจ้าหน้าที่ ทำ�ให้ซานติก้า
ดำ�เนินกิจการมานานกว่า 5 ปี โดยไม่ต้องเสียภาษี
และดัดแปลงอาคารเป็นสถานบริการโดยไม่ได้รับ
อนุญาต
เอกสารอ้างอิง
•	 ไฟไหม้ซานติก้าผับ สรรพสามิตวอดวาย, หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์, รวม
เอกสารข่าวประกวด, สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย,
2550.
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 21
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
• มีผูŒเสียชีว�ต
จากเหตุการณ
66คน
บาดเจ็บ
222คน
• การปลอยปละละเลยของ
เจาหนาที่ ทำใหซานติกา
ดำเนินกิจการไดนานกวา 5 ป
โดยทั้งหลบเลี่ยงภาษี
และดัดแปลงอาคารเปน
สถานบริการโดยไมไดรับ
อนุญาต
ไฟไหมŒซานติกŒา:
ทุจร�ตอนุญาต
เปดสถานบร�การ
ทำคนตาย
03
หากไม‹ถูกเพลิงไหมŒในคืนวันส‹งทŒายป‚ 2551
ซึ่งทำใหŒคนตาย 66 คน ซานติกŒา
ก็อาจจะยังเปšนหนึ่งในจ�ดหมายปลายทาง
ของนักท‹องราตร�ตราบจนทุกวันนี้
และเร�่องราวของความไม‹ชอบมาพากลต‹างๆ
มากมายก็จะยังอยู‹ในเงามืดต‹อไป
แมŒจากการสอบสวน สาเหตุของเพลิงไหมŒ
เกิดจากการจ�ดพลุไฟฉลองป‚ใหม‹ แต‹สาเหตุ
ที่เปšนตŒนตอจร�งๆ คือการเปลี่ยนแปลงโครงสรŒาง
อาคารพาณิชยเพ�่อการพักอาศัยเปšนสถานบร�การ
โดยไม‹ไดŒรับอนุญาต และไม‹มีการตรวจสอบ
โครงสรŒางว‹าเหมาะสมกับการเปšนสถานบร�การ
หร�อไม‹ นอกจากนี้ยังมีการปลอมลายเซ็น
ของว�ศวกรผูŒออกแบบและควบคุมงาน
ซึ่งยากที่เจŒาหนŒาที่ของรัฐจะไม‹มีส‹วนรูŒเห็น
สถานะ
ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา
ใหกรุงเทพมหานครรับผิดชอบ
จายคาสินไหมทดแทนใหกับ
ผูเสียหายและญาติที่ไดรับ
ผลกระทบจากเหตุเพลิงไหมกวา
3.5 ลานบาท และตำรวจ
ไดดำเนินคดีกับเจาของซานติกา
และใหออกคาใชจายในสวนของ
การทำศพและการพิสูจนเอกลักษณ
บุคคลกวา 2 ลานบาท
• ผูบริหารซานติกา
เคยถูกจับกุมในขอหา
เปดสถานบริการ
โดยไมไดรับอนุญาต
และจำหน�ายสุรา
ในเวลาหามจำหน�าย
ทั้งหมด 47 ครั้ง
• ซานติกาไมเสียภาษี
สถานบริการใหกับ
กรมสรรพสามิตตลอด
5 ปที่เปดบริการ
รูŒหร�อไม‹ว‹า…
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 2322
04
อมเงินช่วยเหลือ
เหยื่อน้ำ�ท่วม
ปูมหลัง
ปี 2554 ในสมัยรัฐบาลชุด ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จัดทำ�โครงการ ‘ยกระดับฝีมือแรงงานลูกจ้าง
ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เพื่อป้องกันและชะลอการเลิกจ้างแรงงาน’ และได้รับจัดสรร
งบประมาณ 61.5 ล้านบาท โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน มีหน้าที่ประชาสัมพันธ์
และดำ�เนินงาน
ในการดำ�เนินงาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงานจัดสรรงบประมาณผ่านสภาอุตสาหกรรมแห่ง
ประเทศไทย (ส.อ.ท.) ไปยังสถานประกอบการแห่งละ 81,600 บาทต่อรุ่น เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย
ในการฝึกอบรมพนักงาน 10 วัน วันละ 6 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม โครงการยกระดับฝีมือแรงงานฯ ส่อเค้าว่ามีการทุจริต โดยประธาน ส.อ.ท.
จังหวัดลพบุรี และรองเลขาธิการ ส.อ.ท. ถูกสงสัยว่ายักยอกเงินโครงการในจังหวัดลพบุรี ทำ�ให้
ผู้ประกอบการได้รับงบประมาณสนับสนุนต่อรุ่นน้อยกว่าเป้าหมายเป็นจำ�นวนมาก
เมนูคอร์รัปชัน24
เส้นทางผลประโยชน์
สำ�นักข่าวไทยพับลิก้ารายงานว่า กองบังคับการปราบปรามตรวจสอบเส้นทางการเบิกจ่าย
งบประมาณ พบว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงานอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมแรงงาน
จังหวัดลพบุรี 150 รุ่น ประมาณ 12.24 ล้านบาท ต่อมา ผู้อำ�นวยการกองพัฒนาศักยภาพแรงงาน
และผู้ประกอบกิจการ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโครงการยกระดับฝีมือแรงงานฯ ทำ�เรื่องขอโอนเงินจำ�นวน
ดังกล่าวเข้าบัญชีของตน
หลังจากนั้น ผู้อำ�นวยการกองพัฒนาศักยภาพแรงงานฯ สั่งจ่ายเช็คเป็นจำ�นวนทั้งหมด 4 ครั้ง
ครั้งที่ 1 เช็คสั่งจ่ายเงินสด 430,000 บาท โดยอดีตอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานนำ�เช็ค
ไปขึ้นเงิน
ครั้งที่ 2 และ 3 เช็คสั่งจ่าย ส.อ.ท. รวมกัน 11.54 ล้านบาท โดยรองเลขาธิการ ส.อ.ท. ซึ่งได้
รับมอบอำ�นาจเป็นผู้รับเงินจากประธาน ส.อ.ท. จังหวัดลพบุรี นำ�เช็คไปขึ้นเงิน
และครั้งที่ 4 เช็คสั่งจ่ายเงินสด 260,000 บาท โดยบุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวกับ ส.อ.ท. นำ�
เช็คไปขึ้นเงิน
จะเห็นได้ว่า ผู้อำ�นวยการกองพัฒนาศักยภาพแรงงานฯ สั่งจ่ายเช็ค 2 ครั้ง รวมมูลค่า
690,000 บาทให้กับบุคคลที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการฯ ในจังหวัดลพบุรี และไม่ได้รับ
มอบอำ�นาจให้รับเงินแทน ในขั้นตอนนี้งบประมาณของโครงการฯ ในจังหวัดลพบุรีจึงเหลือเพียง
11.54 ล้านบาท
หลังได้รับเงิน 11.54 ล้านบาทแล้ว รองเลขาธิการ ส.อ.ท. ได้มอบเงินให้ประธาน ส.อ.ท.
จังหวัดลพบุรี 7.62 ล้านบาท แต่ประธาน ส.อ.ท. จังหวัดลพบุรีกลับนำ�เงินเข้าโครงการฯ ในจังหวัด
ลพบุรี เพียง 5 ล้านบาท
นั่นหมายความว่า จังหวัดลพบุรีได้รับงบประมาณจริงเพียงร้อยละ 40 ของงบประมาณที่
ได้รับอนุมัติจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และผู้เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับเงินอุดหนุนต่อรุ่นเพียง
35,000-40,000 บาท จากที่กำ�หนดไว้ 81,000 บาท
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 25
ผลกระทบต่อประชาชน
•	 โครงการฝึกอบรมแรงงานในจังหวัดลพบุรีได้รับงบประมาณเพียงร้อยละ 40 ของงบประมาณ
ที่ควรได้รับ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพของการฝึกอบรมแรงงาน และอาจทำ�ให้แรงงานบางส่วน
ไม่ได้รับการฝึกอบรม
สถานะของคดี
•	 กรมแรงงานตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยผู้อำ�นวยการกองพัฒนาศักยภาพแรงงานและ
ผู้ประกอบกิจการ และข้าราชการที่เกี่ยวข้อง
•	 กองบังคับการปราบปรามสรุปว่า มีหลักฐานที่เชื่อได้ว่ามีการทุจริตในโครงการ โดย
ผู้ต้องสงสัยว่ากระทำ�การทุจริต ได้แก่ อดีตอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน รองเลขาธิการ
ส.อ.ท. และประธาน ส.อ.ท. จังหวัดลพบุรี
•	 กองบังคับการปราบปรามอยู่ระหว่างสรุปสำ�นวนคดีเพื่อส่งให้คณะกรรมการป้องกันและ
ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวข้องกับการทุจริต
•	 สำ�นักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) อยู่ระหว่างตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของโครงการฯ
เมนูคอร์รัปชัน26
เอกสารอ้างอิง
•	 แกะเส้นทางเงิน 12 ล้านบาท ปมฉาวความขัดแย้งสภาอุตฯ, ไทยพับลิก้า, 1 มีนาคม
2556.
•	 โครงการฝึกอบรมชะลอการเลิกจ้างวงเงิน 60 ล้านบาทฉาว เร่งอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือ
แรงงาน-ป.ป.ช.-ส.อ.ท. ตรวจสอบ, ไทยพับลิก้า, 23 พฤศจิกายน 2555.
•	 เจาะงบเยียวยาน้ำ�ท่วม 12 ล้านบาท กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (1): ผู้ขออนุมัติเงิน –
ผู้สอบข้อเท็จจริงคนเดียวกัน, ไทยพับลิก้า, 18 มีนาคม 2556.
•	 เจาะงบเยียวยาน้ำ�ท่วม 12 ล้านบาท กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (2): กองปราบ-สตง. ลุย
สอบเส้นทางเดินเงิน, ไทยพับลิก้า, 27 มีนาคม 2556.
•	 เจาะงบเยียวยาน้ำ�ท่วม 12 ล้านบาท กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (3): สอบวินัย ‘รำ�พึง
ธรรมเจริญ’ ตรวจใบเสร็จ 12 ล้าน, ไทยพับลิก้า, 2 เมษายน 2556.
•	 เจาะงบเยียวยาน้ำ�ท่วม 12 ล้านบาท กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (4): สภาอุตฯ แจ้งกอง
ปราบ ดำ�เนินคดีอดีตอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อมงบฯ น้ำ�ท่วม, ไทยพับลิก้า, 18
พฤษภาคม 2556.
•	 ส.อ.ท. สอบทุจริตค่าฝึกอบรมยกระดับฝีมือแรงงาน จ.ลพบุรี เงินหาย 6 ล้านบาท,
สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส, 22 กุมภาพันธ์ 2556.
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 27
หลังเหตุการณน้ำท‹วมป‚ 2554 รัฐบาลตั้งโครงการ
เพ�่อช‹วยเหลือแรงงานที่ไดŒรับผลกระทบ โดยใหŒ
กรมพัฒนาฝ‚มือแรงงานจัดสรรงบประมาณ
61.5 ลŒานบาท ผ‹านสภาอุตสาหกรรม
แห‹งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ไปยังสถานประกอบการ
เพ�่อเปšนค‹าใชŒจ‹ายในการฝƒกอบรมแรงงาน
04
บันได 4 ขั้น
01
กรมพัฒนาฝมือแรงงานอนุมัติ
งบประมาณการฝกอบรม
แรงงานในจังหวัดลพบุรี
12.24 ลานบาท
03
รองเลขาธิการ ส.อ.ท.
จังหวัดลพบุรี มอบเงินให
ประธาน ส.อ.ท. จังหวัดลพบุรี
เพียง 7.62 ลานบาท
ประธาน ส.อ.ท. จังหวัดลพบุรี
นำเงินเขาโครงการเพียง
5 ลานบาท
โครงการช‹วยเหลือแรงงานผูŒเสียหายจากน้ำท‹วม:
ราชการ-เอกชน
ร‹วมใจยักยอกเง�น
04
สถานะ
• กองบังคับการกองปราบปราม
สรุปวามีหลักฐานที่เชื่อไดวา
มีการทุจริต และมีผูตองสงสัย
วาทุจริต 13 คน ซึ�งรวมถึงอดีต
อธิบดีกรมพัฒนาฝมือแรงงาน
รองเลขาธิการ ส.อ.ท. ลพบุรี
และประธาน ส.อ.ท. ลพบุรี
เง�นเขŒาโครงการ
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
• โครงการฝกอบรมแรงงาน
ในจังหวัดลพบุรีไดรับงบประมาณ
เพียง 40% ของงบประมาณ
ที่ควรไดรับ ซึ�งสงผลตอคุณภาพ
ของการฝกอบรมแรงงาน
และอาจทำใหแรงงานบางสวน
ไมไดรับการฝกอบรม
02
ผอ. กองพัฒนาศักยภาพ
แรงงานและผูประกอบกิจการ
สั�งจายเช็ค 11.54 ลานบาท
ใหรองเลขาธิการ ส.อ.ท.
จังหวัดลพบุรี และสั�งจายเช็ค
สวนที่เหลืออีก 6.9 แสนบาท
ใหอดีตอธิบดีกรมพัฒนาฝมือ
แรงงานและบุคคลภายนอก
อีก 1 คน ทั้งที่ทั้งสองคน
ไมเกี่ยวของกับการบริหาร
โครงการ5.0ลŒานบาท
2.6ลŒานบาท3.9ลŒานบาท
0.7
ลŒานบาท
งบประมาณค‹าใชŒจ‹ายการฝƒกอบรม
แรงงานจังหวัดลพบุร�
รองเลขาธิการ ส.อ.ท.
จังหวัดลพบุร�
อดีตอธิบดีกรม
พัฒนาฝ‚มือแรงงาน
และคนภายนอก 1 คน
ประธาน ส.อ.ท.
จังหวัดลพบุร�
โครงการฝกอบรมแรงงาน
ในจังหวัดลพบุรีไดรับอนุมัติ
งบประมาณ 12.24 ลานบาท
ซึ�งกรมพัฒนาฝมือแรงงานสั�งจาย
เช็คเขาบัญชีของ ผอ. กองพัฒนา
ศักยภาพแรงงานและผูประกอบ
กิจการ จากนั้น ผอ. จึงสั�งจาย
เช็คอีก 4 ครั้ง
ครั้งที่ 1 สั�งจายเงินสด 4.3
แสนบาท ซึ�งอดีตอธิบดี
กรมพัฒนาฝมือแรงงานนำเช็ค
ไปขึ้นเงิน
ครั้งที่ 2 และ 3 สั�งจายเขาบัญชี
ของ ส.อ.ท. จังหวัดลพบุรี จำนวน
11.54 ลานบาท ซึ�งรองเลขาธิการ
ส.อ.ท. จังหวัดลพบุรี นำเช็ค
ไปขึ้นเงิน
ครั้งที่ 4 สั�งจายเงินสด 2.6
แสนบาท ซึ�งบุคคลภายนอก
ที่ไมเกี่ยวกับ ส.อ.ท. นำเช็ค
ไปขึ้นเงิน
ตอมา ประธาน ส.อ.ท.
จังหวัดลพบุรี ชี้แจงวาไดรับเงิน
จากรองเลขาธิการ ส.อ.ท. เพียง
7.62 ลานบาท แตก็ปรากฏ
หลักฐานวาประธาน ส.อ.ท.
นำเงินเขาบัญชีของคณะทำงาน
โครงการเพียง 5 ลานบาท
ดังนั้น งบประมาณจาก
กรมพัฒนาฝมือแรงงาน
จึงหายไประหวางทางประมาณ
7.24 ลานบาท และมีเงิน
เขาโครงการในจังหวัดลพบุรี
เพียง 5 ลานบาท หรือเพียง
40% ของงบประมาณที่ไดรับ
ซึ�งทำใหโครงการมีเงินสำหรับ
จัดฝกอบรมแรงงานเพียง
35,000-40,000 บาทตอรุน
จากที่กำหนดไวรุนละ 81,600 บาท
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 2928
05
คนกรมศุลฯปั้น
‘สายสืบปลอม’
เบิกรางวัลนำ�จับ
ปูมหลัง
การจ่ายเงินสินบนและรางวัลนำ�จับในหน่วยงานราชการบางแห่ง มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มแรง
จูงใจให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างขวัญกำ�ลังใจแก่เจ้าพนักงานที่ต้องเสี่ยง
อันตราย และป้องกันการละเว้นการทำ�หน้าที่ รวมถึงการรับเงินสินบนจากผู้กระทำ�ความผิด ซึ่ง
พระราชบัญญัติศุลกากรได้กำ�หนดให้มีการจ่าย ‘เงินสินบน’ และ ‘รางวัลนำ�จับ’ กรณีที่มีการจับกุม
การลักลอบหนีศุลกากรหรือการสำ�แดงเท็จ โดยแบ่งเป็น 2 กรณี ดังนี้
1. กรณีไม่มีผู้แจ้งเบาะแส – เจ้าหน้าที่จะได้รับ ‘รางวัลนำ�จับ’ ร้อยละ 30 ของค่าปรับ
2. กรณีมีผู้แจ้งเบาะแส – เจ้าหน้าที่จะได้รับ ‘รางวัลนำ�จับ’ ร้อยละ 25 ของค่าปรับ และ
ผู้แจ้งเบาะแสจะได้รับ ‘เงินสินบน’ ร้อยละ 30 ของค่าปรับ ดังนั้น ผลประโยชน์ที่เจ้าหน้าที่และ
ผู้แจ้งเบาะแสจะได้รับจึงคิดเป็นร้อยละ 55 ของค่าปรับ
ระบบการจ่ายเงินสินบนในกรณีที่มีผู้แจ้งเบาะแสทำ�ให้ผลประโยชน์เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 เมื่อ
เทียบกับกรณีที่เจ้าหน้าที่จับกุมเอง กฎกติกาในการจ่ายเงินสินบนและรางวัลนำ�จับเช่นนี้จึงเปิด
ช่องและสร้างแรงจูงใจให้เจ้าหน้าที่กระทำ�การทุจริตมากขึ้นกว่าเดิม
เมนูคอร์รัปชัน30
เส้นทางผลประโยชน์
เจ้าหน้าที่ศุลกากรมีโอกาสที่จะสร้าง ‘สายสืบปลอม’ ขึ้นมาเพื่อรับผลประโยชน์เพิ่มอีก
ร้อยละ 25 ของค่าปรับ เนื่องจากหลักฐานในการแจ้งเบาะแสมีเพียง ‘ลายพิมพ์นิ้วมือ’ เท่านั้น ส่วน
รายชื่อผู้แจ้งเบาะแสจะถูกเก็บไว้เป็นความลับ
ตัวอย่างของการทุจริตโดยเจ้าหน้าที่ศุลกากรเช่นเจ้าหน้าที่ศุลกากรรายหนึ่งจับกุมชาวต่างชาติ
ลักลอบขนทองคำ�ผ่านด่านที่อำ�เภอหาดใหญ่จังหวัดสงขลาภายหลังการจับกุมเจ้าหน้าที่รายดังกล่าว
อ้างว่าได้รับแจ้งจาก ‘สาย’ ว่าจะมีการลักลอบนำ�ทองคำ�แท่งผ่านด่านศุลกากร จึงทำ�เอกสาร
ขอเบิกเงินสินบนให้แก่สายที่แจ้งข่าว
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรถโดยสารในอำ�เภอหาดใหญ่ต้องรอให้ผู้โดยสารขึ้นจนเต็มครบทุก
ที่นั่งจึงจะออกเดินทางดังนั้นข้อมูลในเอกสารเบิกเงินสินบนที่ระบุว่า‘สายรายงานว่าจะมีชาวต่างชาติ
ลักลอบขนทองคำ�’ โดยระบุเวลาและหมายเลขทะเบียนของรถโดยสารอย่างชัดเจนแน่นอน จึง
ไม่สมเหตุสมผล การตรวจพบดังกล่าวจึงน่าจะเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ ‘ตามปกติ’ ของเจ้าหน้าที่
เอง โดยไม่มีการแจ้งเบาะแสจากภายนอก ดังนั้น การอ้างว่ามีสายให้เบาะแสและสร้างหลักฐาน
ลายนิ้วมือปลอมจึงเกิดขึ้น เพราะเจ้าหน้าที่หวังจะได้รับเงินสินบนและรางวัลนำ�จับเพิ่ม
กรณีข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการทุจริตรับเงินสินบนและรางวัลนำ�จับ ซึ่งการที่ไม่
สามารถตรวจสอบการแจ้งเบาะแสได้ จึงทำ�ให้ไม่ทราบว่าการเบิกจ่ายเงินสินบนและรางวัลนำ�จับ
ที่ผ่านมามีการทุจริตจากการสร้างสายสืบปลอมมากน้อยแค่ไหน
ผลกระทบต่อประชาชน
•	 การสร้างสายสืบปลอมทำ�ให้รัฐได้รับส่วนแบ่งค่าปรับน้อยกว่าที่ควร จากที่
ควรได้ร้อยละ 70 ของค่าปรับ เหลือเพียงร้อยละ 45 ของค่าปรับ เพราะ
ร้อยละ 25 สูญไปในกระบวนการทุจริต
•	 ในบางกรณี เจ้าหน้าที่อาจกลั่นแกล้งให้นำ�เข้าสินค้าโดยไม่เสียภาษีหรือ
เสียภาษีไม่ครบถ้วน แล้วจึงดำ�เนินการเอาผิดย้อนหลัง ซึ่งสร้างปัญหาแก่
ผู้ประกอบการที่มิได้มีเจตนากระทำ�ความผิด ทำ�ให้ประเทศไทยเสียชื่อเสียง
ในด้านการค้าระหว่างประเทศ
เอกสารอ้างอิง
•	 กรมศุลกากร (2): 12 ปี พ่อค้าจ่ายค่า
ปรับ 3.5 หมื่นล้าน – คนกรมศุลฯ รับ
รางวัลกว่าหมื่นล้าน จาก thaipublica.
org, 7 กันยายน 2555
•	 กรมศุลกากร (5): ระบบการจ่ายเงิน
สินบน รางวัล หลุมดำ�การปฏิรูป และ
รัฐเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น หรือใครได้ จาก
thaipublica.org, 9 ตุลาคม 2555
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 31
1.เจŒาหนŒาท่ีจับเอง เจŒาหนŒาท่ีสรŒางสายสืบปลอม
เง�นสินบน
และรางวัลนำจับ
หน�วย: บาท
2.สายสืบแจŒงเจŒาหนŒาท่ี
45%
รัฐบาล
25%
เจŒาหนŒาท่ี
30%
สายสืบ
45%
รัฐบาล
55%
เจŒาหนŒาท่ี
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
บันได 3 ขั้น
เงินสินบนสำหรับสายสืบ
ยอดเบิกจายเงินสินบน
และรางวัลนำจับ
ของกรมศุลกากร
ในชวงป 2544-2553
70%
รัฐบาล
30%
เจŒาหนŒาท่ี
เง�นสินบนและรางวัลนำจับกรมศุลกากร:
สรŒาง ‘สายสืบปลอม’
เพ�่อรับเง�นเพ��ม
05
ในป˜จจ�บัน กฎหมายศุลกากรกำหนดใหŒมี
การจ‹ายเง�นสินบนและรางวัลนำจับกรณี
ที่มีการจับกุมการลักลอบหนีศุลกากรหร�อ
การสำแดงเท็จ 2 กรณี
• ถŒาไม‹มีผูŒแจŒงเบาะแส เจŒาหนŒาที่จะไดŒรับรางวัล
นำจับ 30% ของค‹าปรับ
• ถŒามีผูŒแจŒงเบาะแส เจŒาหนŒาที่จะไดŒรับรางวัลนำจับ
25% ของค‹าปรับ และผูŒแจŒงเบาะแสจะไดŒรับ
เง�นสินบน 30% ของค‹าปรับ
ในกรณีหลัง ผลที่เกิดข�้นกลับกลายเปšนการสรŒาง
แรงจ�งใจใหŒเจŒาหนŒาที่ทุจร�ต โดยการสรŒาง
‘สายสืบปลอม’ ซึ่งอาจทำใหŒเจŒาหนŒาที่ไดŒรับ
ผลประโยชนสูงสุดถึง 25%+30% = 55%
• การสรางสายสืบปลอมทำให
รัฐไดรับ 45% แทนที่จะเปน
70% ของคาปรับ
• ในบางกรณ� เจาหนาที่อาจ
กลั�นแกลงใหนำเขาสินคา
โดยไมเสียภาษีหรือเสียภาษี
ไมครบถวน แลวจึงดำเนินการ
เอาผิดยอนหลัง ซึ�งสรางปญหา
แกผูประกอบการที่มิได
มีเจตนากระทำความผิด
• เสียภาพลักษณและชื่อเสียง
ของประเทศในดานการคา
ระหวางประเทศ
01
เจาหนาที่ศุลกากรพบการ
กระทำความผิดระหวาง
การปฏิบัติหนาที่
02
สรางหลักฐานปลอม
โดยใชลายพิมพนิ้วมือปลอม
03
รับเงินสินบนและรางวัลนำจับ
55% ของคาปรับ
9,004,000,000
4,907,000,000
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 3332
06
มายาโกง
เทศกาลภาพยนตร์
นานาชาติกรุงเทพฯ
ปูมหลัง
‘เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ’ เป็นงานเทศกาลภาพยนตร์ที่จัดขึ้นเป็นประจำ�
ทุกปี โดยอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) อย่างไรก็ตาม
การคัดเลือก ‘ผู้จัดงาน’ เทศกาลภาพยนตร์ดังกล่าวใช้การจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ แทนที่จะเป็นการ
ประกวดราคา ซึ่งเปิดช่องให้มีการใช้ดุลพินิจในการตัดสินใจโดยผู้มีอำ�นาจ อันนำ�ไปสู่การแสวงหา
ผลประโยชน์จากงานเทศกาลดังกล่าวซึ่งมีมูลค่ามหาศาล
เส้นทางผลประโยชน์
คำ�ตัดสินของศาลแคลิฟอร์เนีย ระบุว่า เจอรัลด์ กรีน (Gerald Green) และ แพทริเซีย กรีน
(Patricia Green) ผู้บริหารบริษัทภาพยนตร์ชาวอเมริกัน ได้จ่ายสินบนให้แก่ จุฑามาศ ศิริวรรณ
อดีตผู้ว่าการ ททท. เพื่อให้จ้างบริษัทของตนเป็นผู้จัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ
ผ่านการจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ
อย่างไรก็ตาม การจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษตามกฎหมายไทยนั้น ผู้ว่าการ ททท. มีอำ�นาจ
อนุมัติการทำ�สัญญาโครงการในวงเงินไม่เกิน 25 ล้านบาทต่อสัญญา หากเกินกว่านั้นต้องใช้วิธี
เมนูคอร์รัปชัน34
ประกวดราคา สองสามีภรรยาครอบครัวกรีนจึงใช้วิธีตั้งบริษัทขึ้นหลายบริษัท และให้ ททท. แตกสัญญาจ้างเป็น
หลายฉบับ โดยมูลค่าของสัญญาแต่ละฉบับอยู่ภายใต้วงเงินงบประมาณที่ผู้ว่าการ ททท. สามารถอนุมัติได้โดย
ไม่ต้องผ่านการประกวดราคา
ในช่วงที่จุฑามาศดำ�รงตำ�แหน่งผู้ว่าการ ททท. ก่อนการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์แต่ละปี จะมีการเจรจา
กับ เจอรัลด์ กรีน เพื่อทำ�การตกลงจ้างให้เป็นผู้จัดงาน ซึ่งทางบริษัทครอบครัวกรีนต้องแบ่งเงินให้แก่จุฑามาศ
ราวร้อยละ 10-20 ของมูลค่าสัญญา
เมื่อตกลงกันเรียบร้อยททท.จะแตกสัญญาจ้างจัดงานเทศกาลภาพยนตร์เป็นหลายฉบับขณะที่ครอบครัวกรีน
ก็เริ่มตั้งบริษัทหลายๆ เจ้า เพื่อแยกทำ�สัญญากับ ททท. โดยพยายามปกปิดว่าบริษัทเหล่านี้ตั้งโดยคนกลุ่มเดียวกัน
ซึ่งก็คือครอบครัวกรีน ด้วยการใช้ที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ของสำ�นักงานคนละแห่ง
เมื่อได้รับเงินค่าจ้างจัดงานเรียบร้อย สองสามีภรรยาครอบครัวกรีนก็จะตกแต่งบัญชีค่าใช้จ่ายของบริษัทที่
รับงานให้สูงกว่าความเป็นจริง เพื่อนำ�เงินส่วนที่เพิ่มขึ้นมาจ่ายสินบนให้แก่จุฑามาศ ด้วยการออกแคชเชียร์เช็ค
หรือไม่ก็โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของลูกสาวจุฑามาศและเพื่อนของจุฑามาศ โดยระบุว่าเป็นค่านายหน้าการขาย
วิธีการดังกล่าวถูกใช้ตลอดการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ระหว่างปี 2546-2549
ภายใต้ความรับผิดชอบของจุฑามาศ
สถานะของคดี
สำ�หรับการดำ�เนินคดีกับผู้ให้สินบนในสหรัฐอเมริกา ศาล
แคลิฟอร์เนียมีคำ�พิพากษาเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2553 ว่านาย
และนางกรีนกระทำ�ความผิด จากการจ่ายสินบนให้เจ้าหน้าที่
ของรัฐในต่างประเทศ เพื่อให้ได้มาซึ่งสัญญาการจัดงานเทศกาล
ภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ จึงตัดสินโทษจำ�คุก 6 เดือน และ
กักบริเวณในบ้านอีก 6 เดือน รวมถึงให้จ่ายค่าปรับอีก 250,000
ดอลลาร์ (ประมาณ 7.5 ล้านบาท)
ขณะที่การดำ�เนินคดีกับจุฑามาศและลูกสาวซึ่งเป็นผู้รับ
สินบนในไทย คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
แห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดทางอาญา จากการรับ
ทรัพย์สินโดยมิชอบ และการเอื้อประโยชน์ให้มีการทำ�สัญญากับ
รัฐโดยไม่มีการแข่งขันด้านราคา โดย ป.ป.ช. ส่งเรื่องต่อให้อัยการ
ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2554 ปัจจุบัน (กุมภาพันธ์ 2557) คดียัง
คงค้างอยู่ในชั้นอัยการ
ผลกระทบต่อ
ประชาชน
•	 งานเทศกาลภาพยนตร์มีคุณภาพต่ำ� และใช้งบ
ประมาณมากกว่าที่ควรจะเป็น
•	 การคัดเลือกผู้จัดงานเทศกาลภาพยนตร์เป็นไปอย่าง
ไม่เป็นธรรม
เอกสารอ้างอิง
•	 United States v. Gerald Green, et al. Court Docket Number: 08-CR-059-
GW, Central District of California
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 35
เทศกาลภาพยนตรนานาชาติกรุงเทพฯ:
แตกสัญญา
เลี่ยงประกวดราคา
06
วันที่ 12 สิงหาคม 2553
ศาลแคลิฟอรเน�ยมีคำพิพากษาวา
นายและนางกรีนกระทำความผิด
จากการจายสินบนใหเจาหนาที่
ของรัฐในตางประเทศ
เพื่อใหไดมา ซึ�งสัญญา
โดยลงโทษจำคุก
6 เดือน และกักบริเวณในบาน
อีก 6 เดือน รวมถึงใหจายคาปรับ
อีก 250,000 ดอลลารสหรัฐ
(ประมาณ 7.5 ลานบาท)
สถานะป˜จจ�บัน
เง�นสินบน
นอนคุกนอนบŒาน
วันที่ 23 สิงหาคม 2554
คณะกรรมการ ป.ป.ช.
ลงมติชี้มูลความผิดทางอาญา
แกนางจุฑามาศและลูกสาว
แตจนถึงขณะน�้ เรื่องยังคงคาง
อยูในชั้นอัยการ โดยไมมี
การสั�งฟองแตอยางใด
สัญญา7
แตกสัญญา
สัญญา9
แตกสัญญา
สัญญา9
แตกสัญญา
สัญญา7
แตกสัญญา
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
บันได 4 ขั้น
ครอบครัวกรีนเจรจาจาย
สินบนใหผูวาการ ททท.
เพื่อใหไดรับสิทธิ์เปนผูจัดงาน
เทศกาลภาพยนตร
01
• การคัดเลือกผูจัดงานเทศกาล
ภาพยนตรเปนไปอยาง
ไมเปนธรรม
• งานเทศกาลภาพยนตร
มีคุณภาพต่ำ และใชงบประมาณ
มากกวาที่ควรจะเปน
มีเงินโอนเขาบัญชีธนาคารของ
ลูกสาวและเพื่อนของนางจุฑามาศ
ประมาณ
60ลŒานบาท
นายเจอรัลดและนางแพทร�เซีย กร�น ผูŒบร�หาร
บร�ษัทภาพยนตรชาวอเมร�กัน เจรจาจ‹ายสินบน
ใหŒนางจ�ฑามาศ ศิร�วรรณ ผูŒว‹าการการท‹องเที่ยว
แห‹งประเทศไทย (ททท.) ในขณะนั้น ประมาณ
10-20% ของมูลค‹าสัญญา เพ�่อแลกกับ
การไดŒเปšนผูŒจัดงานเทศกาลภาพยนตร
โดย ททท. แตกสัญญาออกเปšนหลายฉบับ
แต‹ละฉบับมีวงเง�น ไม‹เกิน 25 ลŒานบาท
ซึ่งเปšนยอดเง�นที่ผูŒว‹าการมีอำนาจอนุมัติไดŒเลย
โดยไม‹ตŒองผ‹านการประกวดราคา
ภายหลังมีการตรวจสอบพบว‹ามีหลักฐาน
การโอนเง�นเขŒาบัญชีธนาคารลูกสาว
และเพ�่อนของนางจ�ฑามาศทั้งหมด 41 ครั้ง
จำนวนเง�นประมาณ 60 ลŒานบาท
ครอบครัวกรีนตั้งบริษัทขึ้น
หลายบริษัทเพื่อทำสัญญาจาง
กับ ททท.
02
ททท. แตกสัญญาเปนหลาย
ฉบับ แตละฉบับมีวงเงิน
ไมเกิน 25 ลานบาท เพื่อ
หลีกเลี่ยงการประกวดราคา
03
ครอบครัวกรีนตกแตงบัญชี
ใหสูงกวาความเปนจริง เพื่อ
นำเงินสวนตางมาจายสินบน
04
164,000,000
2546
บาท 210,000,000
2547
บาท 202,000,000
2548
บาท 170,000,000
2549
บาท
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 3736
07
สปส. เล่นแร่แปรธาตุ
โยกเงินประกันสังคม
เช่าคอมพ์
ปูมหลัง
สำ�นักงานประกันสังคม (สปส.) เป็นหน่วยงานราชการใน
สังกัดกระทรวงแรงงาน จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติประกัน
สังคม พ.ศ. 2533 โดยมีภารกิจหลักคือการบริหารกองทุนประกัน
สังคม ซึ่งปัจจุบันมีผู้ที่ได้รับความคุ้มครองจากระบบประกันสังคม
กว่า 10.5 ล้านคน
มาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533
บัญญัติว่า คณะกรรมการประกันสังคมอาจจัดสรรเงินกองทุน
ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินสมทบในแต่ละปีเพื่อจ่ายค่าเบี้ยประชุม
เบี้ยเลี้ยง ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายในการบริหารของสํานักงาน
อย่างไรก็ตาม เพดานค่าใช้จ่ายของ สปส. ตามกฎหมายอยู่ใน
อัตราที่สูงมาก โดยร้อยละ 10 ของเงินสมทบในปี 2554 นั้น
มีมูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่างบประมาณของ
กระทรวงขนาดเล็ก เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความ
มั่นคงของมนุษย์
ในช่วงปี 2551-2554 สปส. ใช้เงินกองทุนในการบริหาร
สำ�นักงานตั้งแต่ 3,000-3,800 ล้านบาท โดยงบประมาณจำ�นวน
มหาศาลมาจากเงินสมทบของผู้ประกันตน ขณะที่การอนุมัติ
โครงการของ สปส. ใช้เพียงมติของที่ประชุมคณะกรรมการประกัน
สังคม เปิดช่องให้มีการใช้จ่ายเงินกองทุนอย่างไม่มีประสิทธิภาพ
และอาจไม่โปร่งใสในหลายกรณี โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้อง
กับระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งถูกตั้งคำ�ถามถึงความโปร่งใสมากที่สุด
ปี 2547-2553 สปส. มีการจัดซื้อจัดจ้างระบบคอมพิวเตอร์
กว่า 5,000 ล้านบาท รวมถึงโครงการจัดหาและดำ�เนินการระบบ
งานเทคโนโลยีสารสนเทศแรงงาน มูลค่า 2,890 ล้านบาท ใน
ปี 2550 ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นการนำ�เงินจากกองทุนประกันสังคม
ไปเช่าระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ในการดำ�เนินงานของกระทรวง
แรงงาน
เมนูคอร์รัปชัน38
เส้นทางผลประโยชน์
คณะกรรมการประกันสังคมมีมติเห็นชอบให้ใช้เงิน
จากกองทุนประกันสังคมเพื่อสนับสนุนโครงการเช่าระบบ
คอมพิวเตอร์ของกระทรวงแรงงาน โดยเลขาธิการ สปส. อ้าง
ต่อที่ประชุมคณะกรรมการประกันสังคมว่า ใช้เพื่อการเชื่อมต่อ
ข้อมูลเรื่องการว่างงานของผู้ประกันตน การดำ�เนินการดังกล่าว
เป็นการโยกย้ายเงินกองทุนไปใช้เป็นงบประมาณของกระทรวง
แรงงาน ซึ่งขัดต่อมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม
พ.ศ. 2533 ที่บัญญัติให้ใช้เงินกองทุนสำ�หรับการบริหารของ
สํานักงานประกันสังคมเท่านั้น
คณะอนุกรรมการยุทธศาสตร์และกลั่นกรองงบลงทุน
ประกันสังคมตั้งข้อสังเกตว่า การใช้เงินกองทุนประกันสังคม
ในการดำ�เนินโครงการไปก่อนแล้วค่อยให้หน่วยงานของบประมาณ
มาชดเชยภายหลังไม่น่าจะทำ�ได้ตามกฎหมายและให้นำ�ข้อสังเกตนี้
เสนอต่อคณะกรรมการประกันสังคม แต่ ไพโรจน์ สุขสัมฤทธิ์
เลขาธิการ สปส. ซึ่งเป็นกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ
ประกันสังคม มิได้นำ�เสนอข้อสังเกตดังกล่าวในที่ประชุม โดย
ชี้แจงเพียงว่าโครงการเช่าระบบคอมพิวเตอร์จะเป็นประโยชน์
ต่อผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ที่ประชุมคณะกรรมการ
ประกันสังคมจึงมีมติเห็นชอบสนับสนุนโครงการเมื่อวันที่ 7
มีนาคม 2549
ต่อมา วันที่ 18 เมษายน 2549 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ
การดำ�เนินโครงการดังกล่าว ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประกอบด้วย หนึ่ง-ค่า
เช่าระบบเทคโนโลยี ซอฟต์แวร์ระบบ และอุปกรณ์ประกอบ สอง-
ค่าพัฒนาและดูแลรักษาระบบงานสารสนเทศ และสาม-ค่าบริหาร
จัดการและการดูแลรักษาศูนย์คอมพิวเตอร์ รวมงบประมาณ
ทั้งสิ้น 2,890 ล้านบาท
การประมูลโครงการดังกล่าวเกิดขึ้นในเวลาต่อมา โดยมีผู้ยื่น
ซองประกวดราคาเพียง 2 ราย ผลปรากฏว่าบริษัทเอกชนที่ชนะ
การประมูลคือ ธุรกิจค้าร่วม เอส โอ เอ คอนเซอร์เทียม (ประกอบ
ด้วย บริษัท เอบีซี เทคโนโลยี และบริษัท โมทีฟ เทคโนโลยี) โดย
เสนอราคา 2,894 ล้านบาท ซึ่งต่ำ�กว่าราคาตั้งต้นประมาณ 3
ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในช่วงก่อนทำ�สัญญาระหว่าง สปส. กับบริษัท
เอกชนที่ชนะการประมูล มีเหตุการณ์ที่ส่อถึงความรีบเร่งในการ
ทำ�สัญญา ดังนี้
•	 วันที่ 26 กันยายน 2549 สำ�นักงานอัยการสูงสุดมีหนังสือ
ถึงเลขาธิการ สปส. เพื่อให้พิจารณาความเหมาะสมของ
ราคาที่ชนะการประกวด โดยเสนอว่าหากไม่สามารถแก้ไข
สัญญาได้ ให้ต่อรองราคาหรือผลประโยชน์ให้เปล่าเพิ่มเติม
•	 วันที่ 27 กันยายน 2549 สปส. เชิญบริษัทเอกชนที่ชนะ
การประมูลมาเจรจาต่อรอง โดยบริษัทดังกล่าวยืนยันราคา
เดิม แต่เสนอผลประโยชน์ให้เปล่าเป็นอุปกรณ์ 20 รายการ
•	 วันที่ 28 กันยายน 2549 สปส. ลงนามร่วมกับบริษัทเอกชน
แม้ว่ารักษาการปลัดกระทรวงแรงงานได้ส่งหนังสือแจ้งให้รอ
การพิจารณาจากสำ�นักงานอัยการสูงสุดอีกครั้ง
•	 วันที่ 29 กันยายน 2549 สปส. ทำ�หนังสือรายงานปลัด
กระทรวงแรงงาน เพื่อให้ทราบถึงการดำ�เนินการทำ�สัญญา
เช่า
จากความรีบเร่งดังกล่าว ทำ�ให้ปลัดกระทรวงแรงงานทำ�
หนังสือขอให้ สปส. ชะลอโครงการเพื่อพิจารณาทบทวนอีก
ครั้ง บริษัทเอกชนผู้ให้เช่าระบบจึงยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง โดย
เรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 556 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม วันที่ 28
กุมภาพันธ์ 2550 บริษัทขอถอนฟ้อง เนื่องจากมีการตกลงให้
บริษัทเข้าดำ�เนินการเช่นเดิม โดยจะปรับลดโครงการและวงเงิน
ให้เป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับ สปส. เท่านั้น
ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการดำ�เนินโครงการดังกล่าว ทำ�ให้
กระทรวงแรงงานทำ�หนังสือหารือกับสำ�นักงานคณะกรรมการ
กฤษฎีกาว่าเป็นการดำ�เนินการโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 39
ซึ่งสำ�นักงานคณะกรรมการ
กฤษฎีกา มีหนังสือลงวันที่
25 มิถุนายน 2550 แจ้งให้
ทราบว่า ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เนื่องจากโครงการดังกล่าว
มิได้เป็นโครงการเฉพาะของ
สปส. หากแต่เป็นการเชื่อม
ต่อระบบกับหน่วยงานอื่นๆ
ได้แก่ สำ�นักงานปลัดกระทรวง
แรงงาน กรมการจัดหางานกรม
พัฒนาฝีมือแรงงาน และกรม
สวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้
โครงการดำ�เนินต่อไปได้ สปส.
จึงแก้ไขสัญญาเพิ่มเติม ลงวันที่
18 สิงหาคม 2551 โดยปรับแก้
ขอบเขตเนื้องาน และการแบ่ง
งวดงานและค่าเช่า ทำ�ให้มูลค่า
ของโครงการลดลงเหลือ2,350
ล้านบาท
สถานะของคดี
วันที่ 16 มิถุนายน 2552 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลว่า การกระทำ�ของ ไพโรจน์ สุขสัมฤทธิ์ เลขาธิการ สปส. เป็นความผิด
มีมูลความผิดทั้งทางวินัยและอาญา โดยเจตนาปกปิดข้อมูลสำ�คัญ และหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติ
ตามระเบียบราชการ เพื่อนำ�เงินกองทุนประกันสังคมไปใช้จ่ายในโครงการดังกล่าว ซึ่งขัดต่อ
มาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ที่บัญญัติให้ใช้เงินกองทุนสำ�หรับ
การบริหารของสํานักงานประกันสังคมเท่านั้น
กระทรวงแรงงานมีคำ�สั่งปลดไพโรจน์ออกจากราชการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551
จึงไม่มีการดำ�เนินการทางวินัยเพิ่มเติม ขณะที่การดำ�เนินคดีทางอาญายังอยู่ในขั้นตอนการ
ไต่สวนเพิ่มเติมของพนักงานอัยการ
ปัจจุบันไพโรจน์เป็นผู้ถูกกล่าวหาเพียงรายเดียวที่ถูกตัดสินลงโทษ แม้จะมีข้อสงสัย
ว่าการทุจริตในโครงการดังกล่าวน่าจะเกิดจากการสั่งการโดยฝ่ายการเมือง แต่คณะ
กรรมการ ป.ป.ช. ชี้แจงว่าไม่สามารถสืบสาวไปถึงนักการเมืองที่อยู่เบื้องหลังได้ เช่นเดียว
กับคณะกรรมการประกันสังคมที่อาจมีส่วนรู้เห็น ก็มิได้ถูกลงโทษจากการมีมติเห็นชอบให้
สนับสนุนโครงการดังกล่าว
ผลกระทบต่อประชาชน
•	 การนำ�เงินกองทุนประกันสังคมไปใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์ ทำ�ให้ผู้ที่ได้รับความ
คุ้มครองจากระบบประกันสังคมกว่า 10.5 ล้านคน เสียประโยชน์
•	 โครงการดังกล่าวเป็นเพียงการเช่าระบบคอมพิวเตอร์ ทำ�ให้ในเดือนตุลาคม 2555
สปส. ต้องจัดสรรงบประมาณอีกราว 1,200 ล้านบาท เพื่อซื้อระบบใหม่
เมนูคอร์รัปชัน40
เอกสารอ้างอิง
•	 บิ๊ก สปส. ปิดปากปมล็อบบี้ รมต. ต่อสัญญาคอมฯ 3 เดือน-ทุ่ม 1.2 พันล.ซื้อใหม่, สำ�นักข่าวอิศรา, 14 มกราคม 2556.
•	 วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์, วิพากษ์ประกันสังคม กรรมการที่ขาดความรับผิดชอบ, ประชาไท, 23 มกราคม 2556.
•	 วิไลวรรณ แซ่เตีย และ บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์ (2552), ความไม่โปร่งใสของโครงการจัดหาและดำ�เนินการระบบงาน
เทคโนโลยีสารสนเทศแรงงานกระทรวงแรงงาน, เอกสารคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย.
•	 สำ�นักงานกองทุนประกันสังคม (2551-54), รายงานประจำ�ปีสำ�นักงานกองทุนประกันสังคม.
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 41
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
• การนำเงินกองทุนประกันสังคม
ไปใชอยางผิดวัตถุประสงค
ทำใหผูที่ไดรับความคุมครอง
จากระบบประกันสังคมกวา
10.5 ลานคนเสียประโยชน
• โครงการดังกลาวเปนเพียง
การเชาระบบ ทำใหในเดือน
ตุลาคม 2555 สำนักงาน
ประกันสังคมตองจัดสรร
งบประมาณอีกราว
1.2 พันลานบาท
เพื่อซื้อระบบใหม
บันได 5 ขั้น
01
เลขาธิการสำนักงานประกัน
สังคมปดบังขอสังเกตของ
คณะอนุกรรมการกลั�นกรอง
งบลงทุน เรื่องการใชเงิน
กองทุนในโครงการเชา
ระบบคอมพิวเตอรของ
กระทรวงแรงงาน
02
คณะกรรมการประกันสังคม
มีมติใหใชเงินกองทุน
ประกันสังคมเพื่อสนับสนุน
โครงการดังกลาว
03
04
เลขาธิการสำนักงานประกัน
สังคมรีบเรงทำสัญญา
กับบริษัทเอกชน โดยไมผาน
การพิจารณาจากกระทรวง
แรงงานและสำนักงาน
อัยการสูงสุด
สำนักงานประกันสังคมปรับล
ด วงเงินของโครงการ เพื่อให
เปนไปตามความเห็นของ
คณะกรรมการกฤษฎีกา
05
คูสัญญาฝายเอกชนไดประโยช
น เน��องจากไมมีการจัดประมูล
โครงการใหม ทั้งที่โครงการ
เริ�มตนอยางไมถูกตอง
การเช‹าระบบคอมพ�วเตอร:
โยกเง�นกองทุนประกันสังคม
ไปใชŒอย‹างผิดกฎหมาย
07
กฎหมายประกันสังคมอนุญาตใหŒคณะกรรมการ
ประกันสังคมจัดสรรเง�นกองทุนไม‹เกิน 10%
ของเง�นสมทบในแต‹ละป‚ เพ�่อจ‹ายค‹าเบี้ยประชุม
ค‹าเบี้ยเลี้ยง ค‹าที่พัก และค‹าใชŒจ‹ายในการบร�หาร
ของสำนักงาน ซึ่งในป‚ 2554 คณะกรรมการ
ประกันสังคมใชŒเง�นดังกล‹าวประมาณ 3.14%
คิดเปšนมูลค‹า 3,896 ลŒานบาท
ดŒวยเง�นจำนวนมหาศาล และการอนุมัติที่ใชŒเพ�ยง
มติของที่ประชุมคณะกรรมการประกันสังคม
โอกาสที่เง�นดังกล‹าวจะถูกใชŒอย‹างไม‹โปร‹งใส
จ�งมีความเปšนไปไดŒสูง การนำเง�นจากกองทุน
ประกันสังคมจำนวน 2,890 ลŒานบาทไปเช‹า
ระบบคอมพ�วเตอรเพ�่อใชŒในการดำเนินงาน
ของกระทรวงแรงงานในป‚ 2550 เปšนตัวอย‹างหนึ่ง
ที่ชัดเจนของการใชŒเง�นอย‹างไม‹โปร‹งใส
และน‹าจะขัดกฎหมาย
งบกระทรวง
เง�นสมทบ
124,230
12,423
10%
3,896
ของเง�นสมทบ
ใชŒจร�ง
ลŒานบาท
ลŒานบาท
ลŒานบาท
สถานะ
• ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด
นายไพโรจน สุขสัมฤทธิ์
เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม
ในขณะนั้น ในความผิดทางอาญา
และความผิดทางวินัยรายแรง
โดยเจตนาปกปดขอมูลสำคัญ
และหลีกเลี่ยงไมปฏิบัติตาม
ระเบียบราชการ เพื่อนำเงิน
กองทุนประกันสังคมไปใชจาย
• นายไพโรจนเปนผูกระทำการ
ทุจริตเพียงรายเดียวที่ถูกลงโทษ
แมจะมีขอสงสัยวาการทุจริต
น�าจะเกิดจากการสั�งการโดยฝาย
การเมือง แต ป.ป.ช. ชี้แจงวา
ไมสามารถสืบสาวไปถึง
นักการเมืองที่อยูเบื้องหลังได
26,000ลŒานบาท
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 4342
จานหลัก : อิ่มเต็มคำ�
การทุจริตเชิงนโยบาย โดยเฉพาะโครงการยักษ์ระดับ ‘เมกะโปรเจ็คท์’ สร้างความเสียหาย
อย่างร้ายกาจ เป็นความอัปยศที่ลูกหลานต้องจดจำ�
08
‘จำ�นำ�ข้าว’
ฉาวทุกเม็ด
ปูมหลัง
รัฐบาลชุดยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำ�เนินโครงการ ‘รับจำ�นำ�ข้าว
เปลือก’ โดยมีเป้าหมายหลักคือการยกระดับรายได้ของชาวนา
กระทรวงพาณิชย์อ้างว่าชาวนาที่เข้าร่วมโครงการรับจำ�นำ�ข้าวจะมี
รายได้เพิ่มขึ้นจากส่วนต่างระหว่างราคาจำ�นำ�และราคาตลาดและ
ชาวนานอกโครงการจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากราคาข้าวในตลาดที่สูง
ขึ้น อันเนื่องมาจากปริมาณข้าวในตลาดลดลง
ในฤดูการผลิต 2554/2555 (ข้าวนาปี) และฤดูการผลิต
2555 (ข้าวนาปรัง) โครงการนี้กำ�หนดราคารับจำ�นำ�ข้าวเปลือก
เจ้าและข้าวเปลือกหอมมะลิความชื้น 15 เปอร์เซ็นต์ ที่ตันละ
15,000 บาท และ20,000บาทตามลำ�ดับซึ่งสูงกว่าราคาตลาด
โดยเฉลี่ยในช่วงต้นปี 2554 ที่ประมาณตันละ 8,000-9,000
บาท และ 12,000-13,000 บาท ตามลำ�ดับ
โครงการดังกล่าวรับจำ�นำ�ข้าวเปลือกจำ�นวน 21.65 ล้าน
ตัน ใช้งบประมาณมากกว่า 3 แสนล้านบาท ส่วนด้านรายรับ
กระทรวงพาณิชย์แจ้งว่าในช่วงเดือนมกราคมถึงตุลาคม 2555
สามารถระบายข้าวได้ประมาณ 7.7 ล้านตัน และได้รับเงินจาก
การระบายข้าวประมาณ 42,000 ล้านบาท
จากข้อมูลของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.)
ในสองฤดูการผลิตข้างต้น พบว่า โครงการรับจำ�นำ�ข้าวขาดทุน
ไปประมาณ 136,000 ล้านบาท และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนา
ประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ชี้ว่าผลประโยชน์ส่วนใหญ่ตกอยู่กับ
ชาวนารวยมากกว่าชาวนายากจน ยิ่งไปกว่านั้น การทุจริตและ
การหาผลประโยชน์จากโครงการยังทำ�ให้งบประมาณรั่วไหลมาก
ขึ้น โดยผลประโยชน์ตกอยู่กับโรงสี ข้าราชการ บริษัทตรวจสอบ
คุณภาพข้าว (เซอร์เวเยอร์) และบริษัทผู้ส่งออกข้าวที่มีเส้นสาย
ทางการเมือง
45
เส้นทางผลประโยชน์
โครงการรับจำ�นำ�ข้าวมี 2 ขั้นตอนหลัก คือ ขั้นตอนการ
รับจำ�นำ�และเก็บเข้าคลังสินค้า และขั้นตอนการระบายข้าว โดย
ผู้บัญชาการสำ�นักคดีความมั่นคงกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)
ซึ่งรับผิดชอบตรวจสอบการทุจริตในโครงการรับจำ�นำ�ข้าว ระบุว่า
ทั้งสองขั้นตอนมีการทุจริตโดยชาวนา โรงสี ข้าราชการ เจ้าของ
คลังสินค้า และอาจรวมไปถึงบริษัทตรวจสอบคุณภาพข้าวและ
ผู้บริหารโครงการที่ดูแลเรื่องการระบายข้าว
1. ขั้นตอนรับจำ�นำ�ข้าวและเก็บเข้า
คลังสินค้า
แจ้งข้อมูลเกินจริงและสวมสิทธิ์จำ�นำ�
ตามกฎระเบียบของโครงการฯ ชาวนาที่มีสิทธิ์จำ�นำ�ข้าวต้อง
ขอขึ้นทะเบียนผู้เพาะปลูกข้าว พร้อมทั้งแจ้งข้อมูลพื้นที่เพาะปลูก
ข้าว ข้อมูลนี้จะถูกนำ�มาคำ�นวณหาปริมาณ (หรือน้ำ�หนัก) ข้าว
สูงสุดที่ชาวนามีสิทธิ์จำ�นำ� แต่ชาวนาบางรายแจ้งพื้นที่เพาะปลูก
ข้าวเกินความเป็นจริง เพื่อซื้อข้าวจากชาวนานอกโครงการหรือ
จากต่างประเทศมาสวมสิทธิ์จำ�นำ� หรือชาวนาบางรายอาจขาย
สิทธิ์จำ�นำ�ให้กับโรงสี
โกงความชื้นและน้ำ�หนักข้าว
แม้โครงการจะกำ�หนดราคารับจำ�นำ�ข้าวที่ตันละ 15,000
บาท แต่ข้าวที่มีความชื้นเกิน 15 เปอร์เซ็นต์ จะถูกหักลดน้ำ�หนัก
และราคารับจำ�นำ� โรงสีบางแห่งจึงหาประโยชน์จากกฎระเบียบ
ดังกล่าวโดยเพิ่มความชื้นและลดน้ำ�หนักของข้าวด้วยวิธีการ
ต่างๆ อาทิ ใช้ตาชั่งและเครื่องวัดความชื้นที่ไม่ได้มาตรฐานหรือ
ควบคุมตัวเลขได้ เมื่อข้าวมีน้ำ�หนักน้อยลง ชาวนาจะเหลือสิทธิ์
จำ�นำ� ทำ�ให้โรงสีมีโอกาสนำ�ข้าวมาสวมสิทธิ์ หรือเมื่อข้าวมีราคา
รับจำ�นำ�ลดลงมาก โรงสีอาจต่อรองขอซื้อข้าวจากชาวนาเอง แล้ว
นำ�ข้าวกลับมาสวมสิทธิ์จำ�นำ�ในราคาที่สูงขึ้น
ปลอมใบชั่งและใบประทวน
หลังจากชั่งน้ำ�หนักและวัดความชื้น โรงสีจะออกใบชั่ง
ให้ชาวนานำ�ไปขึ้นใบประทวนกับเจ้าหน้าที่องค์การคลังสินค้า
(อคส.) จากนั้นชาวนาจึงนำ�ใบประทวนไปทำ�สัญญาเงินกู้กับ
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แต่โรงสี
บางแห่งและเจ้าหน้าที่ อคส. บางคนปลอมใบชั่งและใบประทวน
โดยบันทึกน้ำ�หนักข้าวและมูลค่าการจำ�นำ�สูงกว่าที่วัดและชั่ง
ได้ เพื่อให้ชาวนานำ�ไปเบิกเงิน และนำ�เงินกลับมาแบ่งกับโรงสี
เวียนเทียนข้าวและล้อมกองข้าว
เมื่อรับจำ�นำ�ข้าว โรงสีจะสีแปรสภาพข้าวเปลือกเป็น
ข้าวสาร และส่งมอบข้าวเข้าคลังสินค้ากลาง โดยมีเจ้าหน้าที่
อคส. หรือเจ้าหน้าที่องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) และ
บริษัทตรวจสอบคุณภาพข้าว ตรวจสอบคุณภาพข้าวก่อนนำ�
เข้าคลังสินค้า
อย่างไรก็ตาม ในบางพื้นที่ โรงสีและเจ้าของคลังสินค้า
อาจยักยอกข้าวไปขายในตลาด และนำ�ข้าวคุณภาพต่ำ�กว่าเข้า
มาแทน หรือที่เรียกกันว่า ‘เวียนเทียนข้าว’ โดยบริษัทตรวจสอบ
คุณภาพข้าวและเจ้าหน้าที่อาจร่วมมือกับโรงสีหรือเกิดความ
บกพร่องในการตรวจสอบ ดังที่มีรายงานข่าวว่ามีการฟ้องโรงสี
ในจังหวัดนครราชสีมาที่ยักยอกข้าวไปไว้ที่คลังสินค้าอื่น หรือมี
การตรวจสอบพบว่าโรงสีในจังหวัดพิจิตรยักยอกข้าว 12,000
ตัน นอกจากนั้น เมื่อมีการตรวจสอบคุณภาพข้าว โรงสีและ
เจ้าของคลังสินค้าก็จะนำ�ข้าวคุณภาพดีมาล้อมข้าวคุณภาพต่ำ�
หรือที่เรียกกันว่า ‘ล้อมกอง’
 
เมนูคอร์รัปชัน46
2. ขั้นตอนการระบายข้าว
จีทูจีปลอม: เอื้อประโยชน์บริษัทส่งออก
หนังสือ รู้ลึก รู้จริง จำ�นำ�ข้าว ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์
ชินวัตร ระบุว่า ช่วงเดือนมกราคมถึงตุลาคม 2555 โครงการ
รับจำ�นำ�ข้าวได้ระบายข้าวออกโดยการเปิดประมูลทั่วไปให้
กับผู้ประกอบการในประเทศ เพื่อส่งออกหรือจำ�หน่ายใน
ประเทศ 320,000 ตัน ขายให้องค์กรหรือหน่วยงานทั้งใน
ประเทศและต่างประเทศเพื่อประโยชน์สาธารณะ 86,000 ตัน
และเจรจาขายแบบรัฐต่อรัฐกับประเทศอินโดนีเซีย จีน และ
โกตดิวัวร์ อีกประมาณ 7.3 ล้านตัน โดยมีการส่งมอบแล้ว
ประมาณ 1.46 ล้านตัน
อย่างไรก็ตาม ในปี 2555 ข้อมูลการส่งออกของกรม
ศุลกากรกลับระบุว่า การขายข้าวในรูปแบบรัฐต่อรัฐหรือรัฐต่อ
เอกชน มีประเทศจีนเป็นคู่ค้าเพียงประเทศเดียว โดยมีปริมาณ
การส่งออก 212.49 ตัน และมีมูลค่าเพียง 7.43 ล้านบาท
ตามรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ คณะ
ทำ�งานตรวจสอบข้อเท็จจริง กระทรวงพาณิชย์ อธิบายว่า ข้อมูล
ของกระทรวงพาณิชย์และกรมศุลกากรไม่สอดคล้องกัน เนื่องจาก
กระทรวงพาณิชย์ใช้วิธีการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือที่เรียกว่า
‘การขายข้าวและการชำ�ระเงิน ณ หน้าคลัง’ (X-Warehouse)
กล่าวคือ เมื่อกระทรวงพาณิชย์ตกลงขายข้าวให้กับรัฐบาล
ต่างประเทศ รัฐบาลผู้ซื้อจะจ้างบริษัทผู้ส่งออกปรับปรุงคุณภาพ
และส่งมอบข้าว ดังนั้น ปริมาณและมูลค่าการส่งออกจึงไม่
ถูกนับในการส่งออกข้าวแบบรัฐต่อรัฐ แต่นับเป็นการส่งออกข้าว
ของบริษัทผู้ส่งออกที่รับปรับปรุงคุณภาพข้าว
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์ไม่ยอมเปิดเผย
ข้อมูลสัญญาซื้อขายข้าวระหว่างรัฐต่อรัฐทำ�ให้เกิดข้อสงสัยว่าอาจ
มีการเอื้อประโยชน์แก่บางบริษัท ประชาชาติธุรกิจ ตั้งข้อสังเกต
ว่า กระทรวงพาณิชย์อาจมิได้ทำ�สัญญาซื้อขายรัฐต่อรัฐแบบการ
ขาย ณ หน้าคลัง แต่มีการจัดหาบริษัทผู้ส่งออกมารับซื้อข้าวและ
ส่งออกแทนรัฐบาล โดยข้าวที่บริษัทมารับซื้อน่าจะมีราคาถูกกว่า
การเปิดประมูลทั่วไปให้กับบริษัทผู้ส่งออกข้าว เพราะกระทรวง
พาณิชย์อ้างว่าเป็นการขายแบบรัฐต่อรัฐ
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังอนุญาตให้ชำ�ระค่าข้าว
ด้วยเช็คเงินสดแทนการเปิดแอลซี (Letter Of Credit: L/C) จาก
ต่างประเทศ ซึ่งการกระทำ�ดังกล่าวสนับสนุนข้อสันนิษฐานข้าง
ต้น ดังที่ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายถึงกรณีที่บริษัท
GSSG Import & Export จากประเทศจีน มาซื้อข้าวกับกรมการ
ค้าต่างประเทศ แต่แท้จริงแล้วบริษัท สยามอินดิก้า ซึ่งเป็นผู้ส่ง
ออกไทยกลับเป็นผู้ซื้อข้าว โดย รัฐนิธ โสจิระกุล ที่อ้างว่าเป็น
ผู้มีอำ�นาจของบริษัท GSSG ในประเทศไทย ได้มอบอำ�นาจให้
นิมล รักดี เป็นผู้มีอำ�นาจในการลงนามซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ
แต่การจ่ายเงินกลับชำ�ระด้วยเช็คเงินสดของธนาคารไทย และ
ลงนามโดย สมคิด เรือนสุภา ตัวแทนของบริษัท สยามอินดิก้า
จากการตรวจสอบของส.ส.พรรคประชาธิปัตย์พบหลักฐาน
ที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแทนบริษัท GSSG
ตัวแทนบริษัท สยามอินดิก้า และ ส.ส. พรรคเพื่อไทย โดย
รัฐนิธเป็นผู้ช่วยของ ระพีพรรณ พงษ์เรืองรอง ส.ส. บัญชีรายชื่อ
พรรคเพื่อไทย ส่วนนิมลเคยทำ�งานในบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ
เทรดดิ้ง จำ�กัด ของ อภิชาติ จันทร์สกุลพร ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท
สยามอินดิก้า ทั้งนี้ บริษัท เพรซิเดนท์ฯ เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับ
การทุจริตรับจำ�นำ�ข้าวในช่วงปี 2546-2547
ประชาชาติธุรกิจ ตั้งข้อสังเกตว่า การเปลี่ยนแปลงอันดับ
บริษัทผู้ส่งออกข้าวไทยอาจมีสาเหตุมาจากการเอื้อประโยชน์
ข้างต้น โดยในช่วงเดือนมกราคมถึงสิงหาคม 2555 บริษัทที่
ส่งออกข้าวได้มากที่สุดคือบริษัท สยามอินดิก้า จำ�กัด จากเดิมที่
ไม่อยู่ใน 5 อันดับแรกในปี 2553 อีกทั้งบริษัทอันดับ 1 ในการ
ส่งออกข้าวไปประเทศจีน คือบริษัท อาร์ แอนด์ ที ไรซ์ จำ�กัด
ซึ่งมิได้เป็นสมาชิกของสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และไม่ค่อยเป็น
ที่รู้จักในวงการค้าข้าว
กระทรวงพาณิชย์ยังอ้างว่า รัฐบาลไทยในฐานะผู้ขาย ไม่มี
หน้าที่ตรวจสอบใดๆ หลังการขาย ซึ่งแสดงถึงความไม่รัดกุม
ในการตรวจสอบว่าบริษัทผู้ส่งออกได้ส่งข้าวไปยังประเทศคู่ค้า
จริงหรือไม่ และเปิดโอกาสให้บริษัทนำ�ข้าวกลับมาขาย
ในประเทศ ดังที่ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหาว่าบริษัท
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 47
สยามอินดิก้า นำ�ข้าวกลับมาขายในประเทศ อีกทั้งบริษัท
ผู้ส่งออกข้าวรายหนึ่งให้สัมภาษณ์กับ ประชาชาติธุรกิจ
ว่า กระทรวงพาณิชย์ไม่ได้กำ�หนดระยะเวลาที่บริษัทผู้รับ
ปรับปรุงข้าวต้องส่งข้าวออก ไม่ได้ตั้งอัตราค่าปรับหาก
บริษัทไม่ได้ส่งออกตามระยะเวลา และไม่ได้ตรวจสอบ
เอกสารการส่งออกของบริษัทเพื่อยืนยันการส่งออกเลย
การนำ�ข้าวกลับมาขายในประเทศจึงน่าจะเกิดขึ้นจริง
บทวิเคราะห์ของ นิพนธ์ พัวพงศกร และ อัมมาร สยามวาลา
นักวิชาการแห่งทีดีอาร์ไอ ชี้ว่าโครงการรับจำ�นำ�ข้าวน่าจะ
ทำ�ให้ปริมาณข้าวสารในตลาดลดลง ซึ่งทำ�ให้ราคาข้าวสาร
สูงขึ้น เพราะข้าวเปลือกส่วนใหญ่ถูกนำ�ไปจำ�นำ� และ
โครงการรับจำ�นำ�ข้าวไม่ได้ระบายข้าวจำ�นวนมากภายใน
ประเทศ แต่ข้อเท็จจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะปรากฏว่า
ราคาข้าวสารกลับค่อนข้างคงที่ระหว่างช่วงก่อนและหลัง
โครงการ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าน่าจะมีการระบายข้าวกลับ
เข้าประเทศ
นอกจากนี้ มีรายงานว่าในช่วงเดือนมกราคมถึงตุลาคม
2555 ประเทศไทยส่งออกข้าวนึ่งถึง 1.78 ล้านตัน ซึ่ง
ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะข้าวเปลือกส่วนใหญ่ถูกนำ�ไปจำ�นำ�
และโครงการรับจำ�นำ�ข้าวก็มิได้กำ�หนดให้โรงสีทำ�ข้าวนึ่ง
การส่งออกข้าวนึ่งจึงเป็นอีกร่องรอยหนึ่งที่ชี้ว่า น่าจะ
มีการนำ�ข้าวกลับมาขายให้โรงสี และถูกนำ�ไปผลิตเป็น
ข้าวนึ่งส่งออกดังที่เป็นข่าว 
ผลกระทบต่อ
ประชาชน
•	 การโกงความชื้นและน้ำ�หนักของข้าวทำ�ให้ราคารับจำ�นำ�
ต่ำ�ลง ส่งผลให้ชาวนาในโครงการเสียผลประโยชน์
•	 การลักลอบนำ�ข้าวในคลังสินค้าออกมาขาย ทำ�ให้ราคา
รับซื้อข้าวในประเทศสูงขึ้นน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ส่งผลให้
ชาวนานอกโครงการเสียประโยชน์
•	 โครงการมีต้นทุนสูงขึ้นและสร้างภาระการคลังมากขึ้น โดย
ผลประโยชน์ตกอยู่กับบุคคลอื่นมากกว่าชาวนา เนื่องจาก
มีการสวมสิทธิ์จำ�นำ� การปลอมใบชั่งและใบประทวน การ
ลักลอบนำ�ข้าวออกจากคลังสินค้าไปขาย และการระบาย
ขายข้าวออกในราคาถูกเกินควร
•	 ในปี 2555 กระทรวงพาณิชย์ คณะอนุกรรมการระดับ
จังหวัด และสำ�นักงานตำ�รวจแห่งชาติ ตรวจสอบพบการ
ทุจริตในโครงการรับจำ�นำ�ข้าว 115 คดี มูลค่าความเสียหาย
541 ล้านบาท และในช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2556
พบการทุจริตอีก59คดีมูลค่าความเสียหาย79.8ล้านบาท
เมนูคอร์รัปชัน48
สถานะของคดี
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.) ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน บุญทรง เตริยาภิรมย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในขณะนั้น ในข้อหาทุจริตใน
โครงการรับจำ�นำ�ข้าว โดยเฉพาะการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ
ตั้งแต่เริ่มโครงการถึงเดือนมิถุนายน 2556 พบการทุจริต
ทั้งหมด 174 คดี ดังที่กล่าวข้างต้น โดยสำ�นักงานตำ�รวจแห่งชาติ
รายงานว่า ผู้ต้องหาเป็นทั้งชาวนา ผู้ประกอบการโรงสี และ
ข้าราชการ ซึ่งสำ�นักงานตำ�รวจแห่งชาติได้ส่งบางคดีให้กับคณะ
กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)
และคณะกรรมการ ป.ป.ช.
เอกสารอ้างอิง
•	 1 ทศวรรษ ขายข้าวจีทูจี: (2) เปิดข้อมูลกรมศุลฯ 4 ปี รัฐส่งออกข้าวแค่ 4 หมื่นตัน ปี 2555 ขายจีน 212 ตัน, เว็บไซต์ Thaipublica,
16 เมษายน 2556.
•	 เก็บตกอภิปราย ‘จำ�นำ�ข้าว’ ขุมทรัพย์ G to G ‘เสี่ยเปี๋ยง’ ซุกเงินในกองทุน KTAM – ฮ่องกง, เว็บไซต์ Thaipublica, 2 ธันวาคม 2555.
•	 ไขปริศนาขายข้าว G to G ข้าวไปที่ไหน-ปริมาณเท่าใด และใครส่งออก, ประชาชาติธุรกิจออนไลน์, 25 ตุลาคม 2555.
•	 ไขปริศนา ‘สวมสิทธิ์’ ขายข้าวจีทูจี จี้ ‘บุญทรง’ เปิดรายชื่อ บ. ผู้ส่งออก, ประชาชาติธุรกิจออนไลน์, 20 ตุลาคม 2555.
•	 คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.), รู้ลึก รู้จริง จำ�นำ�ข้าว, กรุงเทพฯ: กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์, 2555.
•	 จำ�นำ�ข้าวปีแรกเจ๊ง 1.3 แสนล้าน แล้วปีที่ 2?, ไทยรัฐออนไลน์, 2 กรกฎาคม 2556.
•	 ฉาวโฉ่! ตร.แจ้งจับ ‘โรงสี’ โคราชโกงจำ�นำ�ข้าวหมื่นตัน สูญ 200 ล้าน, ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 16 ตุลาคม 2555.
•	 นิพนธ์ พัวพงศกร และอัมมาร สยามวาลา, คนไทยเอาข้าวที่ไหนมากิน, เว็บไซต์ ประชาไท, 12 ธันวาคม 2555.
•	 นิพนธ์ พัวพงศกร และอัมมาร สยามวาลา, เปลี่ยนประเทศไทยด้วยการรับจำ�นำ�ข้าว: ข้อเท็จจริงสำ�หรับ อ.นิธิ และประชาชน,
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, 2555.
•	 ตร.บุรีรัมย์หอบคดีโกงจำ�นำ�ข้าว 44 ล้าน พร้อม 31 ผู้ต้องหาส่งฟ้องอัยการ, ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 12 พฤศจิกายน 2555.
•	 เต้นโชว์ยอดทุจริตจำ�นำ�ข้าวลด พร้อมดีเดย์ตรวจสต๊อก 29 มิ.ย.นี้, เว็บไซต์ เดลินิวส์, 24 มิถุนายน 2556.
•	 บุญทรงแจงจีทูจีไม่ชัด จี้เปิด ‘ไอ้โม่ง’ ส่งออกข้าว, ประชาชาติธุรกิจออนไลน์, 15 ตุลาคม 2555.
•	 ป.ป.ช. มีมติตั้งอนุฯ ไต่สวน ‘บุญทรง’ ปมรับจำ�นำ�ข้าว พ่วงกรณีถอดถอน ‘ปู-สุกำ�พล’ แต่งตั้ง ‘นายพล’, มติชนออนไลน์,
4 ธันวาคม 2555.
•	 เปิด 25 คดี โกงจำ�นำ�ข้าว 1 ปี รัฐบาลยิ่งลักษณ์, เว็บไซต์ Thaipublica, 11 ตุลาคม 2555.
•	 เปิดเครือข่าย ‘เวียนเทียน’ ข้าว งาบส่วนต่าง, กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, 3 ธันวาคม 2555.
•	 ผงะ! โกงจำ�นำ�ข้าวพุ่งแตะ 100 คดี, หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ, 30 ธันวาคม 2555 - 2 มกราคม 2556.
•	 พงศ์อินทร์ อินทรขาว มือปราบดีเอสไอ เปิดกระบวนการทุจริตจำ�นำ�ข้าว โกงได้ทุกขั้นตอน ระบุสาวไม่ถึงต้นตอ, เว็บไซต์ Thaipublica,
18 เมษายน 2555.
•	 สัมภาษณ์: วัชรี วิมุกตายน เปิดผลสอบสวน G to G ขายข้าวให้จีน?, ประชาชาติธุรกิจออนไลน์, 27 มีนาคม 2556.
•	 หมายจับ 4 รายโกงข้าวพิจิตร ชาวนาอัด ‘ปู’ กบฏลดราคาจำ�นำ�, ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 26 มิถุนายน 2556.
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 49
โครงการรับจำนำขŒาวมีสองขั้นตอนหลัก
คือขั้นตอนการรับจำนำและการเก็บขŒาว
เขŒาคลังสินคŒา และขั้นตอนการระบายขŒาว
ซึ่งผลการสอบสวนโดยกรมสอบสวนคดีพ�เศษ
ระบุว‹าทั้งสองขั้นตอนมีการทุจร�ตโดยชาวนา
โรงสี ขŒาราชการ เจŒาของคลังสินคŒา และอาจรวมถึง
บร�ษัทตรวจสอบคุณภาพขŒาวและผูŒบร�หารโครงการ
หร�อกล‹าวไดŒว‹ามีการโกงในทุกขั้นตอน
นอกจากนี้ คณะกรรมการนโยบายขŒาวแห‹งชาติ (กขช.)
ระบุว‹า ฤดูการผลิต 2554/2555 (ขŒาวนาป‚)
และฤดูการผลิต 2555 (ขŒาวนาปรัง)
ที่ผ‹านมา โครงการฯ ขาดทุนไปแลŒวประมาณ
1.3 แสนลŒานบาท
มูลค‹า
ความเสียหาย
ความเสียหายจากการทุจริต
ในโครงการรับจำนำขาว
เฉพาะ 115 คดีที่ตรวจสอบพบ
ในป‚ 2555 มีมูลค‹าประมาณ
541ลŒานบาท
ความเสียหายจากการทุจริต
ในโครงการรับจำนำขาว
เฉพาะ 59 คดีที่ตรวจสอบพบ
ในช‹วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายน
2556 มีมูลค‹าประมาณ
79.8 ลŒานบาท
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
• โครงการฯ มีตนทุนสูงขึ้นและ
สรางภาระการคลังมากขึ้น
โดยผลประโยชนตกอยูกับบุคคล
อื่นมากกวาชาวนา เน��องจาก
มีการสวมสิทธิ์จำนำ การปลอม
ใบชั�งและใบประทวน การลักลอบ
นำขาวออกจากคลังสินคาไปขาย
และการระบายขายขาวออก
ในราคาถูกเกินควร
ฤดูการผลิต 2554/2555
รัฐบาลรับจำนำขŒาวเปลือกเจŒา
ตันละ 15,000 บาท
ซึ่งสูงกว‹าราคาตลาด
ช‹วงตŒนป‚ 2554
(ตันละ 8,000-9,000 บาท)
โครงการรับจำนำขŒาว:
โกงไดŒทุกขั้นตอน
08
03
โรงสีและเจาหนาที่
องคการคลังสินคา (อคส.)
บางรายปลอมใบชั�งและ
ใบประทวน โดยบันทึก
ปริมาณขาวและมูลคา
การจำนำสูงกวาที่วัดและชั�งได
01
ชาวนาบางรายแจงขอมูล
พื้นที่เพาะปลูกเกินจริง
เพื่อซื้อขาวมาสวมสิทธิ์จำนำ
บันได 5 ขั้น
04
โรงสี บริษัทตรวจสอบ
คุณภาพขาว และเจาหนาที่
อคส. บางราย รวมมือกัน
ลักลอบนำขาวในคลังออกขาย
และซื้อขาวคุณภาพต่ำจากใน
และตางประเทศมาทดแทน
05
ขายขาวของรัฐใหนายหนา
ในราคาถูก โดยนายหนา
เอาขาวไปขายตอทำกำไร
มหาศาลงบประมาณ
300,000 ลŒานบาท
ขายขŒาวไดŒ
200,000 ลŒานบาท
ขาดทุน
130,000 ลŒานบาท
02
โรงสีรวมโครงการบางแหงโกง
ความชื้นและน้ำหนักของขาว
เพื่อใหชาวนาเหลือสิทธิ์จำนำ
และโรงสีนำขาวของตนมาสวม
สิทธิ์
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 5150
09
หลอกชาวบ้าน
อ้างพอเพียง
ปูมหลัง
โครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน (ศพช.) หรือที่เรียกว่า ‘โครงการชุมชน
พอเพียง’ เป็นโครงการตามนโยบายของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่
20 มกราคม 2552 จัดตั้งโครงการและแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการเศรษฐกิจพอเพียง
เพื่อยกระดับชุมชน (คพช.) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการบริหารโครงการ พร้อมทั้ง
จัดตั้งสำ�นักงานเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน (สพช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดสำ�นักงาน
ปลัดสำ�นักนายกรัฐมนตรี เพื่อทำ�หน้าที่ธุรการ โดยมีน้องชายของรองนายกรัฐมนตรีคนดังกล่าว
ดำ�รงตำ�แหน่งรองผู้อำ�นวยการ สพช.
เป้าหมายของโครงการนี้คือ ต้องการให้ชุมชนทั่วประเทศเข้าถึงทรัพยากรทางการเงิน โดย
คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการเลือกและบริหารจัดการโครงการพัฒนาศักยภาพของชุมชน ตาม
ระเบียบของโครงการชุมชนพอเพียง ชุมชนต้องเลือกโครงการที่สอดคล้องกับ 4 เป้าหมาย ได้แก่
การพัฒนาอาชีพสำ�หรับผู้ด้อยโอกาส การลดต้นทุนและปัจจัยการผลิตด้านต่างๆ การอนุรักษ์
ทรัพยากรธรรมชาติ และการอนุรักษ์พลังงาน นอกจากนี้ คู่มือการบริหารจัดการโครงการเศรษฐกิจ
พอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน (ฉบับเต็ม) ยังระบุตัวอย่างของโครงการที่จะไม่ให้การสนับสนุนไว้ด้วย
เช่น การจัดซื้อเครื่องกรองน้ำ�
โครงการชุมชนพอเพียงได้รับงบประมาณ 2 หมื่นล้านบาท โดยจัดสรรให้กับชุมชน 84,563
เมนูคอร์รัปชัน52
แห่ง อย่างไรก็ตาม หลังจากการอนุมัติจัดสรรงบประมาณ 5,369
ล้านบาท โครงการก็เกิดปัญหาการทุจริตอย่างกว้างขวางทั้งใน
ระดับชุมชนและส่วนกลาง เกี่ยวพันทั้งข้าราชการ นักการเมือง
และนักธุรกิจ
เส้นทางผลประโยชน์
ตามขั้นตอนของโครงการชุมชนพอเพียง สมาชิกในชุมชน
ต้องประชุมกันเพื่อเลือกโครงการที่ต้องการ และส่งรายงานการ
ประชุมให้นายอำ�เภอ/ผู้อำ�นวยการเขต/นายกเทศมนตรี ตรวจ
สอบและลงนามในเอกสารการประชุม หลังจากนั้น สพช. จะ
พิจารณาและอนุมัติโครงการ แต่ในทางปฏิบัติ ขั้นตอนการเลือก
และการอนุมัติถูกบิดเบือนโดยนักการเมืองและข้าราชการบาง
กลุ่ม เพื่อเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มธุรกิจอย่างน้อย 2 กลุ่ม ได้แก่
บริษัทขายสินค้าประหยัดพลังงานและสินค้าพลังงานทดแทน
และบริษัทขายปุ๋ยสำ�เร็จรูป อีกทั้งผู้บริหารระดับสูงของ สพช.
ถูกตรวจสอบพบว่า มีความสัมพันธ์กับกลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์
จากการทุจริตในโครงการ
1. การเลือกโครงการ
จากรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ มติชน และผลการ
ตรวจสอบของสำ�นักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และคณะ
อนุกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณโครงการเศรษฐกิจ
พอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน วุฒิสภา พบว่า มีกลุ่มคนที่อ้างตัว
เป็นเจ้าหน้าที่ของ สพช. ข้าราชการท้องถิ่น นักการเมืองท้องถิ่น
และตัวแทนบริษัทเอกชน เข้าไปแทรกแซงกระบวนการตัดสินใจ
ของชุมชนทั้งในกรุงเทพฯ และภูมิภาค โดยชักจูงให้ชุมชนเลือก
โครงการที่มีผลประโยชน์แอบแฝงแทนโครงการที่ตรงกับความ
ต้องการของชุมชน เช่น
•	 นำ�เอกสารแบบฟอร์มของโครงการและตัวอย่างการกรอก
พร้อมแนบแผ่นพับโฆษณาสินค้าประหยัดพลังงานและ
สินค้าพลังงานทดแทนเข้าไปในที่ประชุมของชุมชน เพื่อ
ชักชวนให้ชุมชนเลือกโครงการจัดซื้อสินค้าดังกล่าว มติชน
รายงานว่า ส.ข. พรรคประชาธิปัตย์ร่วมกับกลุ่มบุคคลที่
อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ของ สพช. ข้าราชการท้องถิ่น และ
ตัวแทนบริษัทเอกชน ร่วมกันกระทำ�การดังกล่าวกับชุมชน
ต่างๆ ในเขตบางกะปิและเขตบึงกุ่ม
•	 หลอกลวงให้ชุมชนเลือกโครงการจัดซื้อสินค้าประหยัด
พลังงานและสินค้าพลังงานทดแทน โดยบอกว่าหากชุมชน
เลือกโครงการอื่นจะไม่ได้รับการอนุมัติ
•	 หลอกลวงชุมชนว่าได้รับงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อจัดซื้อ
สินค้าข้างต้น แต่เมื่อชุมชนเสนอโครงการเพิ่มเติม กลับ
กลายเป็นการเสนอขอเปลี่ยนแปลงโครงการที่ชุมชนเสนอ
ไปแล้ว
•	 หลอกลวงให้ชุมชนเปลี่ยนโครงการเป็นการซื้อปุ๋ยสำ�เร็จรูป
โดยอ้างว่าโครงการเดิมจะไม่ได้รับการอนุมัติ หรือหลอกลวง
ให้ชุมชนเลือกโครงการผลิตปุ๋ยหรือโครงการจัดซื้อเครื่องมือ
เกษตร แต่เมื่อได้รับการจัดสรรงบประมาณแล้ว กลับให้
ชุมชนนำ�ไปซื้อปุ๋ยสำ�เร็จรูปแทน ทั้งนี้ สำ�นักงานการตรวจ
เงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบพบว่าชุมชนกว่า 100 แห่ง
ใน 11 จังหวัดภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ
ภาคเหนือ มีการยื่นขอโครงการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ โดย
แบบฟอร์มที่ยื่นขอโครงการมีลักษณะของกระดาษ ตัวอักษร
และลายมือเหมือนกัน
นอกจากนี้ สตง. ยังตรวจสอบพบว่า ชุมชนส่วนใหญ่เลือก
โครงการจัดซื้อสินค้าที่คล้ายกันและจำ�กัดอยู่ไม่กี่ประเภท เช่น
จากการสุ่มตรวจชุมชน 180 แห่งในกรุงเทพฯ มีถึง 147 แห่ง
ที่เลือกโครงการซื้อตู้น้ำ�ดื่มหยอดเหรียญหรือเครื่องกรองน้ำ�
พลังงานแสงอาทิตย์ ยิ่งไปกว่านั้น คณะอนุกรรมาธิการฯ วุฒิสภา
ตรวจสอบพบว่าสินค้าที่ขายให้กับชุมชนมีราคาแพงกว่าสินค้า
ในตลาดถึง 8-10 เท่า เช่น ตู้กรองน้ำ�ดื่มพลังงานแสงอาทิตย์มี
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 53
ราคา 300,000 บาท ทั้งที่ราคาตลาดอยู่ที่ประมาณ 25,000-
35,000 บาท
คณะอนุกรรมาธิการฯ วุฒิสภา ตั้งข้อสังเกตว่า สพช.
อาจพยายามปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับตัวอย่างโครงการที่ไม่ให้การ
สนับสนุนและส่งเสริมในคู่มือฉบับเต็ม โดยคู่มือการบริหารจัดการ
โครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน ‘ฉบับย่อ’ ที่แจก
ให้กับชุมชนและข้าราชการท้องถิ่นนั้นไม่มีรายละเอียดดังกล่าว
ชุมชนจึงถูกชักชวนให้เสนอโครงการซื้อสินค้าที่ไม่ตรงตามหลัก
เกณฑ์ และระเบียบของโครงการฯ ที่กำ�หนดให้การจัดซื้อจัดจ้าง
ของชุมชนไม่จำ�เป็นต้องดำ�เนินการตามระเบียบของราชการ ก็เอื้อ
ให้ชุมชนซื้อสินค้าที่มีราคาสูงผิดปกติ
นอกจากความผิดปกติดังกล่าว คณะอนุกรรมาธิการฯ
วุฒิสภา ยังตรวจสอบพบว่า กระบวนการเลือกโครงการมิได้
ดำ�เนินไปตามหลักเกณฑ์เช่นมีผู้แทนของครัวเรือนเข้าร่วมประชุม
ไม่ถึงร้อยละ 70 ของครัวเรือนในชุมชน แต่มาลงชื่อภายหลัง
โดยนายอำ�เภอ ผู้อำ�นวยการเขต หรือนายกเทศมนตรีลงนาม
รับรองความถูกต้องของการประชุม โดยอ้างว่าเจ้าหน้าที่ของ
สพช. อนุญาต หรือถูกกดดันจากนักการเมืองทั้งในระดับท้องถิ่น
และระดับชาติ เพื่อให้โครงการได้รับการอนุมัติโดยเร็ว
กลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากการทุจริตข้างต้นคือกลุ่มบริษัท
ผู้จำ�หน่ายสินค้าประเภทประหยัดพลังงานและพลังงานทดแทน
เช่น บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ โปร เทคโนโลยี จำ�กัด ผู้จำ�หน่ายตู้น้ำ�ดื่ม
หยอดเหรียญพลังงานแสงอาทิตย์ และบริษัท คาร์เทล เทคโนโลยี
จำ�กัดผู้จำ�หน่ายเครื่องผลิตปุ๋ยหมักและก๊าซชีวภาพซึ่งเป็นหุ้นส่วน
ทางธุรกิจกับบริษัท บีเอ็นบี อินเตอร์ กรุ๊ป จำ�กัด (มหาชน) ที่เป็น
ผู้ผลิตสินค้าประเภทดังกล่าว
ที่สำ�คัญคือ ผู้อำ�นวยการ สพช. เคยมีความเชื่อมโยงกับ
บริษัท บีเอ็นบีฯ มาก่อน โดยในปี 2549 ผู้อำ�นวยการ สพช.
ดำ�รงตำ�แหน่งประธานบริษัทอินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริงจำ�กัด
(มหาชน) หรือ ไออีซี ซึ่งซื้อหุ้นของบริษัท บีเอ็นบีฯ ถึงร้อยละ
23.8 ต่อมาผู้อำ�นวยการ สพช. ลาออกจากไออีซี และขายหุ้น
ของบริษัท บีเอ็นบีฯ ในปี 2550
ยิ่งไปกว่านั้น น้องสาวของผู้อำ�นวยการ สพช. ยังมีความ
สัมพันธ์ทางอ้อมกับบริษัท บีเอ็นบีฯ โดย เป็นผู้มีอำ�นาจทำ�
ธุรกรรมแทนบริษัท พรีเมียร์ คลับ (2005) จำ�กัด ซึ่งถือหุ้นของ
บริษัท แบ็งคอค อินเตอร์เนชั่นแนล เกอร์เม็ต จำ�กัด ในสัดส่วนที่
มากที่สุด คือร้อยละ 41.5 และในช่วงเริ่มโครงการชุมชนพอเพียง
บริษัท แบ็งคอคฯ ก็ถือหุ้นของบริษัท บีเอ็นบีฯ จำ�นวน 2.4 ล้าน
หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 1.7 ของหุ้นทั้งหมด 140 ล้านหุ้น
นอกจากนี้ ในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน 2552 บริษัท
คาร์เทล เทคโนโลยี จำ�กัด ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่จำ�หน่ายสินค้า
ของบริษัท บีเอ็นบีฯ ได้บริจาคเงินให้กับพรรคประชาธิปัตย์
500,000 บาท ในช่วงก่อนเริ่มโครงการ
สำ�หรับกรณีการเอื้อประโยชน์แก่บริษัทขายปุ๋ย จากการ
ตรวจสอบของหน่วยงานต่างๆ ยังไม่พบหลักฐานเกี่ยวกับกลุ่ม
บริษัทที่ได้รับผลประโยชน์ และความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหาร
โครงการและกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลประโยชน์ แม้ ส.ส. พรรค
ประชาธิปัตย์กล่าวหาว่าปุ๋ยส่วนใหญ่เป็นปุ๋ยจาก หจก. ฟุกเทียน
สุราษฎร์การเกษตร ซึ่งมีญาติของอดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า
พรรคไทยรักไทยเป็นกรรมการ แต่ หจก. ฟุกเทียนฯ ชี้แจงว่า หจก.
เน้นส่งออกสินค้า ส่วนการขายปุ๋ยในประเทศเป็นการดำ�เนินงาน
ของตัวแทน และ หจก. ฟุกเทียนฯ ก็ไม่มีความสัมพันธ์กับบุคคล
ผู้มีอำ�นาจในโครงการ อีกทั้งปุ๋ยที่ขายให้กับชุมชนก็มาจากหลาย
บริษัท
2. การพิจารณาและการอนุมัติ
โครงการ
ความผิดปกติในขั้นตอนนี้มี 3 ประการ กล่าวคือ
ประการแรก คณะอนุกรรมการอำ�นวยการโครงการซึ่ง
มีอำ�นาจในการพิจารณาและอนุมัติการจัดสรรงบประมาณ
อนุมัติโครงการที่ไม่ตรงตามหลักเกณฑ์ของโครงการ เช่น
การซื้อเครื่องกรองน้ำ�หรือการซื้อปุ๋ย ทั้งนี้ ตามรายงานข่าว
ของ มติชน ประธานกรรมการบริหารโครงการ มีตำ�แหน่ง
เป็นประธานคณะอนุกรรมการอำ�นวยการโครงการด้วย
ส่วนน้องชายของประธานฯ ไม่เพียงดำ�รงตำ�แหน่งรอง
ผู้อำ�นวยการ สพช. แต่ยังดำ�รงตำ�แหน่งหัวหน้ากลุ่มงาน
เมนูคอร์รัปชัน54
ผลกระทบต่อประชาชน
•	 ชุมชนเสียโอกาสในการพัฒนาไม่ได้ซื้อสินค้าตามที่ต้องการและสินค้าที่ซื้อก็ไม่มีประสิทธิภาพ
เช่น แผงโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งกับตู้กรองน้ำ�มีขนาดเล็กเกินไป ไม่สามารถจ่ายไฟได้เพียงพอต่อ
การทำ�งานของเครื่องกรองน้ำ� การใช้งานจึงยังต้องพึ่งพากระแสไฟฟ้าเหมือนตู้กรองน้ำ�ปกติ
หรือโคมไฟส่องสว่างพลังงานแสงอาทิตย์ก็ให้แสงสว่างได้ไม่เพียงพอ
•	 งบประมาณของรัฐบางส่วนสูญเปล่า เนื่องจากสินค้าที่ซื้อไม่ตรงกับความต้องการของชุมชน
และไม่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งมีราคาสูงเกินจริง
ซึ่งมีอำ�นาจกลั่นกรองโครงการก่อนส่งให้กับคณะอนุกรรมการ
อำ�นวยการโครงการ
ประการที่สอง ชุมชนเสนอโครงการแบบหนึ่ง แต่กลับได้
รับอนุมัติโครงการที่เกี่ยวกับการจัดซื้อสินค้าประเภทประหยัด
พลังงาน ประเภทพลังงานทดแทน หรือการจัดซื้อปุ๋ย จากรายงาน
ข่าวของ มติชน คณะทำ�งานตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องร้องเรียน
โครงการชุมชนพอเพียง ตรวจสอบพบว่า โครงการร้านค้าชุมชนที่
ชุมชนต่างๆ เสนอมาซึ่งมีวงเงินรวมกัน 130 ล้านบาท ถูกเปลี่ยน
เป็นโครงการซื้อปุ๋ยร้อยละ 50 หรือประมาณ 65 ล้านบาท และ
โครงการซื้ออุปกรณ์การเกษตรวงเงิน 2,100 ล้านบาท ถูกเปลี่ยน
เป็นโครงการซื้อปุ๋ยถึงร้อยละ 70
ประการที่สาม คณะอนุกรรมาธิการฯ วุฒิสภา พบหลักฐาน
ที่ทำ�ให้สงสัยว่าเจ้าหน้าที่ของสพช.ผู้มีหน้าที่กลั่นกรองและเสนอ
โครงการให้คณะอนุกรรมการอำ�นวยการโครงการพิจารณาอนุมัติ
สมรู้ร่วมคิดกับกลุ่มคนที่หลอกลวงชุมชนเพื่อหาผลประโยชน์จาก
โครงการ เช่น ชุมชน 8 แห่งในเขตเทศบาลตำ�บลนายม จังหวัด
อำ�นาจเจริญ เสนอโครงการมายัง สพช. แต่ยังไม่ได้รับการ
พิจารณา ต่อมาถูกชักชวนให้เสนอโครงการซื้อสินค้าเพิ่มเติม
ทำ�ให้ได้รับอนุมัติแทนโครงการเดิม
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 55
เมนูคอร์รัปชัน
สถานะของคดี
•	 รองนายกรัฐมนตรี ผู้อำ�นวยการ สพช. และน้องชายของรองนายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำ�แหน่งผู้บริหารโครงการ
•	 พรรคประชาธิปัตย์มีมติให้สมาชิกพรรค 4 คน (2 คน เป็น ส.ข. เขตบางกะปิและเขตบางพลัด) หมดสภาพความเป็นสมาชิก
ของพรรค เนื่องจากมีความประพฤติไม่เหมาะสม ในกรณีถูกกล่าวหาว่าร่วมกับตัวแทนของบริษัทเอกชนชักจูงชุมชนให้เลือก
โครงการจัดซื้อสินค้าที่เป็นประโยชน์ต่อบริษัทเอกชน
•	 สพช. ยกเลิกการจ้างงานเจ้าหน้าที่ 5 คน ซึ่งถูกตรวจสอบพบว่าส่อเค้ากระทำ�การทุจริต และแจ้งความกับกองบังคับการ
ปราบปรามเพื่อให้สืบสวนเจ้าหน้าที่3ใน5คนที่มีพฤติการณ์ส่อไปในทางใช้อำ�นาจโดยมิชอบจากนั้นกองบังคับการปราบปราม
จึงส่งสำ�นวนคดีให้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อย่างไรก็ตาม ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 คน
มีเพียงคนเดียวที่เป็นข้าราชการ ซึ่ง ป.ป.ช. มีอำ�นาจไต่สวน ส่วนอีก 2 คน มีสถานะเป็นลูกจ้างชั่วคราว ซึ่ง ป.ป.ช. ไม่มีอำ�นาจ
ไต่สวน
•	 สำ�นักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) สรุปผลการตรวจสอบว่าประชาชนไม่ได้ประชุมเพื่อเลือกโครงการตามระเบียบ แต่มี
การแทรกแซงจากบุคคลภายนอกที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ของ สพช.
•	 คณะอนุกรรมาธิการฯ วุฒิสภา สรุปผลการตรวจสอบว่า ผู้บริหารโครงการและ สพช. รวมทั้งข้าราชการท้องถิ่น มีพฤติการณ์
อันเชื่อได้ว่ากระทำ�การทุจริตเพื่อให้เกิดการจัดซื้อสินค้าที่ไม่เป็นไปตามความต้องการของชุมชนและไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์
56
เอกสารอ้างอิง
•	 คู่มือการบริหารจัดการโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน (ฉบับเต็ม),
สำ�นักงานเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน สำ�นักงานปลัดสำ�นักนายกรัฐมนตรี,
2552.
•	 คู่มือการบริหารจัดการโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน (ฉบับย่อ),
สำ�นักงานเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน สำ�นักงานปลัดสำ�นักนายกรัฐมนตรี,
2552.
•	 ป.ป.ช. ตั้ง 2 อนุฯ สอบชุมชนพอเพียง ขอสำ�นวน ‘บรรลุ’ ขยายผลทุจริต สธ.,
หนังสือพิมพ์ มติชน, 7 มกราคม 2553.
•	 เปิดโปงทุจริต ‘ชุมชนพอเพียง’ ยับยั้งแผนรุมทึ้ง ‘ไทยเข้มแข็ง’, หนังสือพิมพ์ มติชน,
รวมเอกสารข่าวประกวด, สมาคมนักข่าว นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย. 2552.
•	 ผลสอบ กมธ. วุฒิฯ ตีแผ่กลโกง ‘ชุมชนพอเพียง’ หมกเม็ด-มั่ว-ปกป้องคนผิด,
หนังสือพิมพ์ มติชน, 8 กุมภาพันธ์ 2553.
•	 สอบเส้นทางทุจริต ‘ชุมชนพอเพียง’ จากปากคำ�ประธานชุมชน ‘เทพเทวี’, กรุงเทพ
ธุรกิจ, 9 สิงหาคม 2552.
•	 สำ�นักงานการตรวจเงินแผ่นดิน, รายงานการตรวจสอบการดำ�เนินงานโครงการเศรษฐกิจ
พอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน (ศพช.).
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 57
บันได 4 ขั้น
01
กลุมคนที่อางวาเปนเจาหนาที่
ของ สพช. นักการเมือง
และขาราชการหลอกลวงชุมชน
ใหเลือกโครงการที่เอื้อประโยชน
แกบริษัทเอกชน
02
03
สถานะ
1. รองนายกรัฐมนตรี ผูอำนวยการ
สพช. และนองชายของ
รองนายกรัฐมนตรี ลาออก
จากตำแหน�งผูบริหารโครงการ
2. พรรคประชาธิปตยใหสมาชิก
พรรค 4 คน(2 คนเปน ส.ข.
เขตบางกะปและเขตบางพลัด)
หมดสภาพความเปนสมาชิก
ของพรรค เน��องจากมีความ
ประพฤติไมเหมาะสม
3. สพช. ยกเลิกการจางงาน
เจาหนาที่ 5 คนซึ�งถูกตรวจสอบ
พบวาสอเคากระทำการทุจริต
4. สำนักงานการตรวจเงินแผนดิน
สรุปผลการตรวจสอบวา
ประชาชนไมไดประชุม
เพื่อเลือกโครงการตามระเบียบ
ของโครงการฯ แตมีการ
แทรกแซงจากบุคคลภายนอก
5. คณะอนุกรรมาธิการติดตาม
การบริหารงบประมาณโครงการ
เศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับ
ชุมชน วุฒิสภา สรุปผลการ
ตรวจสอบวาผูบริหารโครงการ
และ สพช. รวมทั้งขาราชการ
ทองถิ�น มีพฤติการณอันเชื่อไดวา
กระทำการทุจริต
ความเสียหาย
• ชุมชนเสียโอกาสในการพัฒนา
เพราะไมไดซื้อสินคาตามที่
ตองการ และสินคาที่ซื้อก็ไมมี
ประสิทธิภาพ
• งบประมาณของรัฐบางสวน
สูญเปลา เน��องจากสินคาที่ซื้อ
ไมตรงกับความตองการของ
ชุมชนและไมมีประสิทธิภาพ
อีกทั้งมีราคาสูงเกินจริง
บร�ษัท พร�เมียร คลับ (2005)
ถือหุŒน 41.5% ของบร�ษัทแบ็งคอคฯ
บร�ษัท แบ็งคอค อินเตอรเนชั่นแนล เกอรเม็ต
ถือหุŒน 1.7% ของบร�ษัทบีเอ็นบีฯ
บร�ษัท บีเอ็นบี อินเตอร กรุป
ไดŒรับผลประโยชน
จากโครงการที่เปšนป˜ญหา
บร�ษัท คารเทล เทคโนโลยี
เปšนหุŒนส‹วนกับบร�ษัทบีเอ็นบีฯ
และบร�จาคเง�น 500,000 บาท
ใหŒพรรคประชาธิป˜ตย
นŒองสาวของผูŒอำนวยการ
สำนักงานเศรษฐกิจพอเพ�ยงเพ�่อยกระดับชุมชน (สพช.)
ในขณะนั้น เปšนผูŒมีอำนาจทำธุรกรรมแทนบร�ษัทพร�เมียรฯ
รองนายกรัฐมนตร�
ประธานกรรมการบร�หารโครงการ
สมาชิกพรรคประชาธิป˜ตย
วงจรโครงการ
ชุมชนพอเพ�ยง
300,000บาท
30,000บาท
ราคาตลาด
ราคาโครงการชุมชนพอเพ�ยงราคาเคร�่องกรองน้ำ
โครงการชุมชนพอเพ�ยง:
หลอกลวงชาวบŒาน
อนุมัติโครงการไม‹ชอบ
09
เป‡าหมายของโครงการเศรษฐกิจพอเพ�ยงเพ�่อ
ยกระดับชุมชน คือการใหŒชุมชนทั่วประเทศ
มีส‹วนร‹วมในการเลือกและบร�หารจัดการโครงการ
โดยรัฐจะสนับสนุนทางการเง�น แต‹กลับปรากฏว‹า
บางชุมชนถูกหลอกใหŒเลือกโครงการที่เอื้อประโยชน
แก‹บางบร�ษัท หร�อบางชุมชนไดŒรับอนุมัติ
โครงการที่ไม‹ไดŒเลือก จากการสมคบกัน
ของกลุ‹มคนที่อŒางว‹าเปšนขŒาราชการ นักการเมือง
และนักธุรกิจ
นายอำเภอ/ผูอำนวยการเขต/
นายกเทศมนตรี ลงนามรับรอง
ความถูกตองของกระบวนการ
การประชุม ทั้งที่มีบุคคล
ภายนอกมาแทรกแซง
การประชุม และมีจำนวน
ครัวเรือนไมครบตามหลักเกณฑ
ของโครงการ
04
คณะอนุกรรมการอำนวยการ
โครงการ อนุมติโครงการ
ที่ไมตรงกับหลักเกณฑของ
โครงการ/ปรับเปลี่ยนโครงการ
ที่ชุมชนตองการ เปนโครงการ
ที่เอื้อประโยชนแกบริษัทเอกชน
คณะทำงานกลั�นกรองไมสง
คำขออนุมัติโครงการของชุมชน
เปดโอกาสใหกลุมคนที่อางวา
เปนเจาหนาที่ของ สพช.
นักการเมือง และขาราชการ
หลอกลวงชุมชนใหเปลี่ยน
โครงการ
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 5958
10
กั๊กโควตา
‘กากถั่วเหลือง’
ปูมหลัง
‘กากถั่วเหลือง’ เป็นหนึ่งในวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สำ�คัญ
การผลิตกากถั่วเหลืองในประเทศไทย ทั้งจากเมล็ดถั่วเหลือง
ในประเทศและการนำ�เข้า มีปริมาณเพียงร้อยละ 30 ของความ
ต้องการ ไทยจึงต้องนำ�เข้ากากถั่วเหลืองมากกว่า 2 ล้านตัน
ต่อปี ซึ่งมากเป็นอันดับ 4 ของโลก โดยในช่วงปี 2551-2554
แหล่งนำ�เข้าที่สำ�คัญของไทย ได้แก่ บราซิล ประมาณร้อยละ 50
อาร์เจนตินา ร้อยละ 34 อินเดีย ร้อยละ 9 และสหรัฐอเมริกา
ร้อยละ 7
ภายใต้ความตกลงขององค์การการค้าโลก (World Trade
Organization: WTO) ไทยจะต้องเปิดเสรีตลาดกากถั่วเหลือง
โดยกำ�หนดอัตราภาษีนำ�เข้าไว้ที่ระดับไม่เกินร้อยละ 20 สำ�หรับ
การนำ�เข้ากากถั่วเหลืองในโควตา 230,000 ตัน ขณะที่การนำ�
เข้าส่วนที่เกินจากโควตาจะต้องเสียภาษีมากกว่า โดยกำ�หนด
อัตราภาษีนำ�เข้าไว้ไม่เกินร้อยละ 133 ทั้งนี้ ในปี 2556 อัตรา
ภาษีที่เรียกเก็บจริง (applied rate) สำ�หรับการนำ�เข้ากากถั่ว
เหลืองอยู่ที่ร้อยละ 2 ขณะที่การนำ�เข้าที่เกินจากโควตาอยู่ที่
ร้อยละ 6 และต้องเสียค่าธรรมเนียมพิเศษตันละ 2,519 บาท
เส้นทางผลประโยชน์
การกำ�หนดโควตาการนำ�เข้ากากถั่วเหลืองทำ�ให้มีการเสีย
ภาษีแตกต่างกันระหว่างการนำ�เข้ากากถั่วเหลืองในโควตากับ
นอกโควตา ซึ่งผู้ประกอบการย่อมต้องการสิทธิ์ในการนำ�เข้า
กากถั่วเหลืองในโควตา
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ผู้ประกอบการจะสามารถขอหนังสือ
รับรองสิทธิ์การใช้โควตา หน่วยงานภาครัฐจะต้องออกระเบียบ
เกี่ยวกับการนำ�เข้าให้ชัดเจนเสียก่อน ทั้งนี้ เนื่องจากกฎหมาย
กำ�หนดให้ออกระเบียบดังกล่าวปีต่อปี จึงทำ�ให้ผู้มีอำ�นาจ
สามารถชะลอการออกระเบียบ เพื่อสร้างช่องทางในการเรียก
รับผลประโยชน์จากผู้นำ�เข้ากากถั่วเหลือง
ขั้นตอนการกำ�หนดมาตรการนำ�เข้ากากถั่วเหลืองมีดังนี้
1. คณะกรรมการนโยบายอาหาร ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน จะกำ�หนดมาตรการการนำ�เข้า
สินค้าอาหารปีต่อปี และนำ�เสนอมาตรการต่อคณะรัฐมนตรี
เพื่อให้ความเห็นชอบ
2. กระทรวงการคลังออกประกาศลด/ยกเว้นอากรสำ�หรับ
การนำ�เข้าในโควตา
เมนูคอร์รัปชัน60
3. กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ออก
ระเบียบการออกหนังสือรับรองสิทธิ์ โดยให้มีผลบังคับใช้
ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมของปีถัดไป
จากขั้นตอนดังกล่าว จะเห็นได้ว่ากระทรวงพาณิชย์
มีอำ�นาจทั้งต้นทางและปลายทางในการออกระเบียบที่
เกี่ยวข้องกับการนำ�เข้ากากถั่วเหลือง กล่าวคือ รัฐมนตรี
ว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานคณะกรรมการ
นโยบายอาหาร ซึ่งกำ�หนดมาตรการการนำ�เข้า และเป็น
ผู้ลงนามในระเบียบการออกหนังสือรับรองสิทธิ์
ตัวอย่างของปัญหาที่เกิดขึ้นเช่นในเดือนพฤศจิกายน
2552 ผู้ประกอบการจากสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย
เปิดเผยว่า สมาคมฯ ได้ยื่นหนังสือต่อกระทรวงพาณิชย์
เพื่อให้คณะกรรมการนโยบายอาหารเร่งกำ�หนดมาตรการ
การนำ�เข้ากากถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และปลาป่น
ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำ�คัญของอาหารสัตว์ ให้ชัดเจนถึง 3 ครั้ง
แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เพิกเฉย จนกระทั่ง
ต้องนำ�เรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและ
เอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ที่มีนายก-
รัฐมนตรีเป็นประธาน เรื่องดังกล่าวจึงมีความคืบหน้า
ผู้นำ�เข้ากากถั่วเหลืองชี้แจงว่า ปกติแล้วจะมีการนำ�
เข้ากากถั่วเหลืองเดือนละประมาณ 200,000 ตัน หาก
ยังไม่มีประกาศออกมา สินค้าทั้งหมดจะต้องจัดเก็บไว้
บนเรือ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายโดยรวมวันละประมาณ 3 ล้านบาท
นอกจากนี้ หากระเบียบออกมาล่าช้า ผู้ประกอบการก็จะ
ต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น แม้จะสามารถขอคืนภาษีได้
ภายหลัง แต่ก็ต้องใช้เวลา 6-10 เดือน ซึ่งเป็นการเพิ่ม
ต้นทุนอย่างมาก โดยผู้ประกอบการชี้แจงว่า ความล่าช้า
ในการออกระเบียบดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากมีผู้ต้องการ
เรียกรับผลประโยชน์
ผลกระทบต่อ
ประชาชน
•	 การกำ�หนดโควตาการนำ�เข้ากากถั่วเหลืองทั้งที่ประเทศไทย
ผลิตได้ไม่เพียงพอกับความต้องการ ทำ�ให้ประชาชนและ
ผู้ประกอบการต้องซื้อกากถั่วเหลืองในราคาแพงกว่าที่ควร
จะเป็น และสร้างช่องทางในการเรียกรับผลประโยชน์จาก
ผู้นำ�เข้ากากถั่วเหลือง
•	 ผู้เลี้ยงสัตว์ได้รับความเดือดร้อนจากความล่าช้า และมีภาระ
ต้นทุนด้านค่าขนส่งทางเรือที่เตรียมนำ�เข้ากากถั่วเหลือง
เอกสารอ้างอิง
•	 ทวงสัญญานำ�เข้ากากถั่วเหลือง 8 สมาคมปศุสัตว์โวย ก.พาณิชย์อนุมัติช้า
เสียหายยับ, หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ, 3 ธันวาคม 2552.
•	 นายกฯ จี้ออกนโยบายกากถั่วเหลือง, หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ, 19
พฤศจิกายน 2552.
•	 เอกชนจี้ ‘พรทิวา’ คลอดนโยบายกากถั่ว, ผู้จัดการออนไลน์, 1 ธันวาคม 2552.
•	 สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย (2554), นโยบายและมาตรการการนำ�เข้ากากถั่ว
เหลือง ปี 2554, วารสารธุรกิจอาหารสัตว์, เล่มที่ 139, กรกฎาคม-สิงหาคม
2554.
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 61
2549 2550 2551
0.0
0.5
1.0
1.5
2.0
2.5
3.0
3.5
หน�วย: ลานตัน
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
การนำเขŒากากถั่วเหลือง:
โควตาสรŒางช‹องทุจร�ต
10
ประเทศไทยผลิตกากถั่วเหลืองไดŒเพ�ยง 30%
ของความตŒองการ ดังนั้นจ�งตŒองนำเขŒามากกว‹า
ป‚ละ 2 ลŒานตัน ซึ่งมากเปšนอันดับ 4 ของโลก
แต‹การกำหนดอัตราภาษีที่แตกต‹างกันมาก
ระหว‹างการนำเขŒากากถั่วเหลืองในและนอกโควตา
และการที่กระทรวงพาณิชยมีอำนาจ
ในการออกระเบียบในการนำเขŒากากถั่วเหลือง
ทำใหŒเกิดช‹องทางในการเร�ยกรับผลประโยชน
จากผูŒนำเขŒา
บันได 3 ขั้น
01 02 03
อัตราภาษีที่แตกตางกันมาก
ระหวางการนำเขากากถั�วเหลือง
ในและนอกโควตา ทำให
ผูประกอบการตองแยงโควตา
การนำเขา
กระทรวงพาณิชยมีอำนาจ
ออกระเบียบในการนำเขา
กากถั�วเหลือง รวมถึงระเบียบ
การออกหนังสือรับรองสิทธิ์
การใชโควตา
ผูมีอำนาจชะลอการออก
ระเบียบดังกลาว เพื่อสราง
ชองทางในการเรียกรับ
ผลประโยชนจากผูนำเขา
กากถั�วเหลือง • การกำหนดโควตาการนำเขา
กากถั�วเหลือง ทั้งที่ประเทศไทย
ผลิตไดไมเพียงพอกับ
ความตองการ ทำใหประชาชน
และผูประกอบการตองซื้อ
กากถั�วเหลืองในราคาแพงกวา
ที่ควรจะเปน และสรางชองทาง
ในการเรียกรับผลประโยชน
จากผูนำเขากากถั�วเหลือง
• สมาคมผูผลิตอาหารสัตวไทย
ประมาณการวาผูนำเขา
ตองแบกภาระคาขนสงทางเรือ
ที่เตรียมนำเขากากถั�วเหลือง
ปริมาณ 2 แสนตัน (ระหวาง
รอรัฐมนตรีลงนามในระเบียบการ
ออกหนังสือรับรองสิทธิ์การใช
โควตา) ประมาณวันละ 3,000
ดอลลาร และผูเลี้ยงสัตว
ไดรับความเดือดรอนจาก
ความลาชา เพราะไมทราบตนทุน
กากถั�วเหลืองที่แน�ชัด
นำเขŒานอกโควตา
เสียภาษีมากกว‹าในโควตาตันละ
3,000บาท
โควตาการนำเขŒากากถั่วเหลืองมีเพ�ยง
230,000ตัน
หร�อ 1 ใน 10 ของปร�มาณ
ที่นำเขŒาทั้งหมด
เปดช‹องใหŒแสวงหาผลประโยชน
ไดŒมากที่สุด
690ลŒานบาท
ผลผลิตและความตŒองการ
ใชŒกากถั่วเหลือง 2549-2551
ความตองการใชกากถั�วเหลือง
ผลผลิตกากถั�วเหลืองในประเทศ
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 6362
11
ผลประโยชน์ทับซ้อน
ของบอร์ด ปตท.
ปูมหลัง
บริษัท ปตท. จำ�กัด (มหาชน) ก่อตั้งในรูปแบบรัฐวิสาหกิจ
ในชื่อ ‘การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย’ เมื่อปี 2521 และ
เข้าสู่กระบวนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ โดยแปลงสภาพเป็น
บริษัทและกระจายหุ้นบางส่วนให้เอกชน ผ่านการซื้อขายใน
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2544 โดยมีกระทรวง
การคลังเป็น ‘ผู้ถือหุ้นรายใหญ่’ ปัจจุบัน ปตท. จึงมีสถานะเป็น
บริษัทครึ่งรัฐครึ่งเอกชน
การมี 2 สถานะ ทำ�ให้ ปตท. เป็นบริษัท ‘ลูกครึ่ง’ ที่
สามารถเลือกจะเป็นอะไรก็ได้ ตามแต่ผลประโยชน์ เช่น
ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้า
เพราะเป็นรัฐวิสาหกิจ ขณะที่การดำ�เนินธุรกิจก็คล่องตัวกว่า
รัฐวิสาหกิจอื่นๆ เพราะใช้ระบบบริหารงานแบบเอกชน
ทั้งนี้ ปัญหาสำ�คัญของการเป็นบริษัทลูกครึ่ง คือ ผล
ประโยชน์ทับซ้อนของข้าราชการที่ดำ�รงตำ�แหน่งกรรมการ หรือ
‘บอร์ด’ ของบริษัท
เส้นทางผลประโยชน์
การดำ�รงตำ�แหน่งกรรมการ ปตท. ของข้าราชการเป็น
ปัญหาสำ�คัญของการเป็นบริษัทลูกครึ่ง เพราะในด้านหนึ่ง
ข้าราชการควรทำ�หน้าที่รักษาผลประโยชน์ของรัฐและประชาชน
แต่ในอีกด้านหนึ่ง กรรมการ ปตท. ย่อมจะต้องดำ�เนินการเพื่อ
สร้างกำ�ไรสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้นการสวมหมวก2ใบของกรรมการ
ปตท. จึงเป็นที่มาของปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนได้ไม่ยาก
รายงานประจำ�ปี พ.ศ. 2555 ระบุว่า ปตท. มีคณะ
กรรมการ 16 คน (รวมอดีตประธานกรรมการ 1 คน ซึ่งลาออก
จากตำ�แหน่งในปีดังกล่าว) ในจำ�นวนนี้มี 6 คนที่เป็นผู้บริหาร
ระดับสูงของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกำ�หนด
นโยบายที่ส่งผลต่อการประกอบธุรกิจของ ปตท.
นับตั้งแต่ ปตท. แปรรูปเป็นบริษัทมหาชน ประธาน
กรรมการส่วนใหญ่คือ ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพลังงาน
ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่‘กำ�หนดนโยบาย’ และกำ�กับดูแลการ
ดำ�เนินงานของ ปตท. นอกจากนี้ บริษัทในเครือ ปตท. ทุกบริษัท
ก็ล้วนมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพลังงานเป็นกรรมการ
เมนูคอร์รัปชัน64
เช่น บริษัท ปตท. สำ�รวจและผลิตปิโตรเลียม จำ�กัด (มหาชน)
บริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำ�กัด (มหาชน) และ
บริษัท ปตท. เคมิคอล จำ�กัด (มหาชน)
ขณะเดียวกัน กรรมการคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้บริหาร
ระดับสูงของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจ
ของ ปตท. หรือจากหน่วยงานกลาง เช่น กระทรวงพลังงาน
กระทรวงการต่างประเทศ สำ�นักงานอัยการสูงสุด กรมศุลกากร
สำ�นักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำ�นักงานนโยบายและแผนพลังงาน
นอกจากนี้ ประธานกรรมการเฉพาะเรื่องทั้ง 4 คณะของ
ปตท. อันประกอบด้วย คณะกรรมการกำ�กับดูแลกิจการที่ดี คณะ
กรรมการตรวจสอบ คณะกรรมการสรรหา คณะกรรมการกำ�หนด
ค่าตอบแทน ก็ล้วนมาจากผู้บริหารที่มีตำ�แหน่งระดับสูงของ
หน่วยงานภาครัฐทั้งนั้น
ผลประโยชน์ทับซ้อนของบอร์ด ปตท. อาจเห็นได้จาก
ค่าตอบแทนจากการเข้าประชุมและโบนัสที่ได้รับจากการเป็น
กรรมการ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วมีมูลค่ามากกว่า 200,000 บาท
ต่อคนต่อเดือน ทั้งนี้ยังไม่รวมเงินปันผลในกรณีที่ถือหุ้น ปตท.
และค่าตอบแทนที่ได้รับจากการเป็นกรรมการบริษัทในเครือ
ตัวอย่างเช่น ในปี 2555 ปลัดกระทรวงท่านหนึ่งได้รับ
ค่าตอบแทนในฐานะประธานกรรมการ ปตท. และบริษัทในเครือ
อีก2บริษัทประมาณ10,025,000บาทขณะที่ได้รับค่าตอบแทน
ในฐานะปลัดกระทรวงประมาณ 1,321,000 บาท จึงนำ�มาสู่
คำ�ถามสำ�คัญว่า ปลัดกระทรวงท่านนี้จะให้ความสำ�คัญกับ
งานใดหรือต้องการสวมหมวกใบไหนมากกว่ากัน ระหว่างการ
รักษาผลประโยชน์ของสาธารณะกับผลประโยชน์ของ ปตท.
ผลประโยชน์ทับซ้อนของบอร์ด ปตท. ยังอาจนำ�ไปสู่การ
แข่งขันที่ไม่เป็นธรรมในธุรกิจพลังงาน ตัวอย่างเช่น การให้
สัมปทานการสำ�รวจและขุดเจาะปิโตรเลียมรอบที่ 19 ในปี
2548 ซึ่งกระทรวงพลังงานคัดเลือกผู้รับสัมปทานโดยพิจารณา
จากคะแนนทางด้านเทคนิค 70 คะแนน และคะแนนด้านการให้
ผลประโยชน์ตอบแทนต่อสังคม 30 คะแนน
คะแนนด้านการให้ผลประโยชน์ตอบแทนต่อสังคมที่ ปตท.
ได้รับนั้นส่วนหนึ่งมาจากการให้ทุนการศึกษาที่ ปตท. ดำ�เนิน
การเป็นประจำ�อยู่แล้ว อีกทั้งหลายทุนก็เป็นการให้แก่พนักงาน
ของบริษัท ขณะที่คะแนนอีกส่วนหนึ่งมาจากการจัดโครงการ
ปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ ซึ่ง ปตท. ดำ�เนินการในนามของ
‘กระทรวงพลังงาน’
การกำ�หนดเกณฑ์การพิจารณาดังกล่าวเป็นการให้แต้มต่อ
แก่ ปตท. เหนือผู้ประกอบการรายอื่น เนื่องจากบริษัทเหล่านั้น
ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ เพราะมิได้เป็นส่วนหนึ่งของ
กระทรวงพลังงาน เช่นนี้แล้ว ไม่ว่าบริษัทอื่นๆ จะจัดทำ�ข้อเสนอ
ทางเทคนิคที่มีประสิทธิภาพเท่าเทียมหรือสูงกว่าปตท.มากแค่ไหน
ก็ย่อมไม่สามารถแข่งขันกับ ปตท. ได้อย่างเป็นธรรม
ควรกล่าวด้วยว่า เงินสนับสนุนทุนการศึกษาและค่าใช้จ่าย
ในโครงการปลูกป่าของ ปตท. อยู่ในหลักร้อยล้านบาทเท่านั้น ซึ่ง
เทียบไม่ได้เลยกับกำ�ไรหลักแสนล้านบาทในแต่ละปี
เอกสารอ้างอิง
•	 รายชื่อคณะกรรมการบริษัทและข้อมูลอื่นๆ ณ วันที่ 15 ธันวาคม
2555, http://www.pttplc.com/
•	 รายงานประจำ�ปี 2555 บริษัท ปตท. จำ�กัด (มหาชน)
•	 รายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)
ครั้งที่ 142 และ รายงานการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบาย
พลังงาน (กบง.) ในคราวเดียวกัน
ผลกระทบต่อ
ประชาชน
•	 การที่ผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐเป็น
กรรมการ ปตท. อาจสามารถเอื้อประโยชน์แก่
ปตท. ทำ�ให้ ปตท. ได้เปรียบผู้ประกอบการ
รายอื่นเป็นอย่างมาก
•	 ความได้เปรียบของ ปตท. อาจทำ�ให้ประชาชน
ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านพลังงานมากขึ้น จากการ
แข่งขันที่ไม่เสมอภาค
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 65
ปตท. เปšนรัฐว�สาหกิจที่ถูกแปลงสภาพเปšนบร�ษัท
และกระจายหุŒนบางส‹วนใหŒเอกชนผ‹าน
ตลาดหลักทรัพยในป‚ 2544 โดยยังมีกระทรวง
การคลังเปšนผูŒถือหุŒนรายใหญ‹
ป˜จจ�บัน ปตท. จ�งมีสถานะเปšนบร�ษัทคร�่งรัฐ
คร�่งเอกชน โดยมีผูŒบร�หารระดับสูงของภาครัฐ
เปšนกรรมการจำนวนมาก ซึ่งอาจก‹อใหŒเกิดป˜ญหา
ผลประโยชนทับซŒอน
บอรด ปตท.:
ผลประโยชนทับซŒอน
11
69%
29%9%
บร�ษัท
PTT
บร�ษัท
TOMS
บร�ษัท
Chevron
68% 67%
7%
สัดส‹วนคะแนนเต็ม 100%
ดานเทคนิค
70%
ดานผลประโยชน
ตอบแทนสังคม
30%
•การที่ผูบริหารระดับสูงของ
ภาครัฐเปนกรรมการ ปตท.
อาจเปนการเอื้อประโยชนแก
ปตท. ทำให ปตท. ไดเปรียบ
ผูประกอบการรายอื่น
•ความไดเปรียบของ ปตท.
อาจทำใหประชาชนตองเสีย
คาใชจายดานพลังงานมากขึ้น
จากการแขงขันที่ไมเสมอภาค
บันได 4 ขั้น
01 02 03 04
ผูบริหารระดับสูงของภาครัฐ
เปนกรรมการ ปตท.
ผูบริหารระดับสูงของภาครัฐ
ใชอำนาจหนาที่กำหนดนโยบาย
ที่อาจเอื้อตอการดำเนินงาน
ของ ปตท.
ปตท. ไดเปรียบผูประกอบการ
รายอื่น
ผูบริหารระดับสูงของภาครัฐ
ไดรับเงินโบนัสและคาตอบแทน
อื่นๆ ในฐานะกรรมการ ปตท.
และบริษัทลูก และอาจไดรับเงิน
ปนผลในกรณ�ที่เปนผูถือหุน
* ตัวเลขคาดการณ
รายไดŒประจำป‚ 2555 ของประธานกรรมการ ปตท.
- ในฐานะปลัดกระทรวงพลังงาน 1,321,000 บาท
- ในฐานะประธานกรรมการ ปตท. และบริษัทในเครือ
อีก 2 บริษัท 10,025,000 บาท
ปลัดกระทรวง ประธานกรรมการ ปตท.
ผลตอบแทน
(หน�วย) บาท/ป
12,000,000
0
2,000,000
4,000,000
6,000,000
8,000,000
10,000,000
1,321,000
10,025,000
ป 2548 กระทรวงพลังงานคัดเลือกผูรับสัมปทานการสำรวจ
และขุดเจาะปโตรเลียมรอบที่ 19 โดยพิจารณาจากคะแนน
ดานเทคนิค 70 คะแนน และคะแนนดานการใหผลประโยชน
ตอบแทนตอสังคม 30 คะแนน
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 6766
12
โรงไฟฟ้าบางคล้า
กับ EIA ที่หายไป
ปูมหลัง
รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้เอกชนมีบทบาทในการผลิตไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2532 เพื่อเพิ่มการ
แข่งขันในกิจการพลังงาน และผู้บริโภคมีพลังงานใช้อย่างเพียงพอในราคาที่เหมาะสม รวมถึง
เป็นการลดภาระการลงทุนและภาระหนี้สินของรัฐ ต่อมาในปี 2535 คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็น
ชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)1
ให้มีการลงทุนผลิตไฟฟ้า
โดยเอกชน ในรูปของผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (Independent Power Producer: IPP)
การลงทุนผลิตไฟฟ้าในรูปของผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระนั้นมีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
(กฟผ.) เป็นผู้ทำ�สัญญาการรับซื้อไฟฟ้า (Power Purchase Agreement: PPA) จากเอกชน โดย
กฟผ. จะออกประกาศรับซื้อไฟฟ้า (Request for Proposal: RFP) เพื่อให้ผู้ผลิตเอกชนยื่นข้อเสนอ
ในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งในข้อเสนอนั้นจะประกอบด้วยชนิดพลังงานที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าและสถานที่
ตั้งโรงไฟฟ้า นอกจากนี้ การรับซื้อไฟฟ้าจะมีการกำ�หนดเงื่อนไขให้เอกชนต้องจัดทำ�รายงานการ
วิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment: EIA) เพื่อขอความ
เห็นชอบจากสำ�นักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กระทรวง
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก่อนเริ่มต้นการซื้อ-ขายไฟฟ้าตามสัญญา
1  คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พ.ศ. 2535 โดยมี
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ  คณะกรรมการฯ มีอำ�นาจหน้าที่หลักในการเสนอนโยบายและแผนการบริหารและพัฒนาพลังงาน
ของประเทศต่อคณะรัฐมนตรี รวมถึงกำ�หนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการกำ�หนดราคาพลังงานให้สอดคล้องกับนโยบายและแผนการ
บริหารและพัฒนาพลังงานของประเทศ
เมนูคอร์รัปชัน68
เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2550 กพช. มีมติเห็นชอบแนวทาง
การออกประกาศเชิญชวนเพื่อรับซื้อไฟฟ้าช่วงปี 2555-2557
ต่อมา สำ�นักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวง
พลังงาน จึงออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนเมื่อวันที่ 27
มิถุนายน 2550 ภายหลังการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอ
จากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน คณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือก
ข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้า2
มีมติคัดเลือกผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนจำ�นวน
4รายรวมถึงบริษัทสยามเอ็นเนอร์จีจำ�กัด3
ซึ่งวางแผนจะก่อสร้าง
โรงไฟฟ้าที่อำ�เภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา
เส้นทางผลประโยชน์
การทำ�สัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับบริษัท สยามเอ็นเนอร์จี จำ�กัด
มีความไม่โปร่งใสในหลายขั้นตอน ได้แก่ หนึ่ง-ทำ�สัญญาทั้งที่ยัง
ไม่มีการเสนอรายงาน EIA ตามข้อกำ�หนดในการคัดเลือกเอกชน
เมื่อเริ่มแรก สอง-มีการแก้ไขสัญญาซึ่งเสมือนเป็นการขยายระยะ
เวลาการจัดทำ� EIA และสาม-มีการย้ายสถานที่ตั้งโรงไฟฟ้า และ
ขอปรับขึ้นค่าไฟฟ้าเนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ความไม่โปร่งใส
เหล่านี้ก่อให้เกิดความกังวลว่าอาจมีการเอื้อประโยชน์แก่เอกชน
เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2550 กพช. มีมติรับทราบผลการ
คัดเลือกโครงการของคณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือก
ข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้า ซึ่งกำ�หนดให้เอกชนเจ้าของโครงการ
ต้องยื่นรายงาน EIA ต่อ สผ. ก่อนหน้านี้แล้ว คือภายในวันที่
18 พฤศจิกายน 2550 และจะต้องได้รับการอนุมัติจากคณะ
กรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ภายในวันที่ 30 กันยายน 2551 จึง
จะสามารถทำ�สัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. ได้ อย่างไรก็ตาม ณ
เวลาที่ กพช. มีมติรับทราบผลการคัดเลือกดังกล่าว บริษัท สยาม
เอ็นเนอร์จี จำ�กัด ยังมิได้เสนอรายงาน EIA ให้ สผ. พิจารณาตาม
ที่กำ�หนดแต่อย่างใด
2  คณะอนุกรรมการ ประกอบด้วย ผู้อำ�นวยการสำ�นักงานนโยบายและแผนพลังงาน
เป็นประธาน ผู้แทนจากสำ�นักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำ�นักงานบริหารหนี้สาธารณะ เป็นอนุกรรมการ
3  ปัจจุบันใช้ชื่อว่า บริษัท กัลฟ์ เจพี ยูที จำ�กัด
ต้นปี 2551 เกิดการชุมนุมคัดค้านจากชุมชนในพื้นที่
ทำ�ให้บริษัท สยาม เอ็นเนอร์จี จำ�กัด ไม่สามารถเข้าไปสำ�รวจ
พื้นที่เพื่อจัดทำ�รายงาน EIA ได้ แต่กลับมีการลงนามในสัญญา
ซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับบริษัท เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม
2551 ต่อมากลุ่มผู้คัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าบางคล้าได้
ชุมนุมปิดถนนเมื่อวันที่ 8-13 มิถุนายน 2552 จนนำ�ไปสู่การจัด
ทำ�บันทึกข้อตกลงระหว่างตัวแทนกลุ่มผู้คัดค้านกับส่วนราชการ
ซึ่งประกอบด้วยสำ�นักนายกรัฐมนตรี กระทรวงพลังงาน และ
จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2552 โดยมีข้อตกลง
ให้จังหวัดทำ�หนังสือถึงภาครัฐเพื่อให้บริษัทพิจารณาหาสถานที่
ก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่นอกพื้นที่อำ�เภอบางคล้า
หลังเหตุการณ์ดังกล่าว กฟผ. กับบริษัทจึงลงนามใน
สัญญาฉบับแก้ไขเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2552 โดยเลื่อน
กำ�หนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบหน่วยที่ 1 และหน่วยที่ 2 ออกไป
เป็นเดือนมีนาคม2556และกันยายน2556ตามลำ�ดับรวมทั้ง
เลื่อนกำ�หนดวันที่จะต้องได้รับอนุมัติEIAเป็นวันที่31 ธันวาคม
2553
26 พฤศจิกายน 2552 กพช. มีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการ
เพื่อพิจารณาหาแนวทางดำ�เนินการต่อ โดยคณะอนุกรรมการ
ได้ทำ�หนังสือหารือไปยังอัยการสูงสุด จากนั้นสำ�นักงานอัยการ
สูงสุดให้ความเห็นว่า การคัดค้านจากผู้ชุมนุมจนทำ�ให้บริษัท
ไม่สามารถเข้าสำ�รวจพื้นที่ได้นั้น หากรัฐไม่สามารถสนับสนุน
และอำ�นวยความสะดวกแก่คู่สัญญาในการดำ�เนินการจัดทำ�
EIA ได้โดยปกติ อาจถือได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย (Force Majeure)
ความเห็นดังกล่าวทำ�ให้กพช.มีมติเมื่อวันที่28มิถุนายน2553
เห็นชอบการย้ายสถานที่ตั้งโรงไฟฟ้าของบริษัทสยามเอ็นเนอร์จี
จำ�กัด จากอำ�เภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา ไปอยู่ที่สวน
อุตสาหกรรมโรจนะ อำ�เภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
และเลื่อนกำ�หนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบอีกครั้ง โดยกำ�หนดการ
จ่ายไฟฟ้าหน่วยที่ 1 และหน่วยที่ 2 เป็นเดือนมิถุนายน 2558
และธันวาคม 2558 ตามลำ�ดับ
นอกจากนี้ กพช. ยังเห็นชอบการขอปรับขึ้นค่าไฟฟ้าที่
เสนอขายให้กับ กฟผ. เพิ่มอีกประมาณ 9.8 สตางค์ต่อหน่วย
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 69
เนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการเลื่อนกำ�หนดจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่
ระบบ และต้นทุนจากการย้ายพื้นที่ก่อสร้างใหม่ โดยอ้างว่าการ
ขอปรับขึ้นค่าไฟฟ้าดังกล่าวไม่ใช่การชดเชยค่าเสียหายจากการ
ดำ�เนินการในที่ตั้งเดิม และไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์แก่คู่สัญญา
เนื่องจากผลตอบแทนของโครงการที่ตั้งใหม่ไม่สูงกว่าที่ตั้งเดิม
และค่าไฟฟ้ารวมไม่สูงกว่าโรงไฟฟ้าประเภทเดียวกันของผู้ประมูล
ในลำ�ดับถัดไปในการประมูลรอบเดียวกัน
ผลกระทบต่อประชาชน
•	 ความไม่โปร่งใสในการทำ�สัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับบริษัท สยามเอ็นเนอร์จี จำ�กัด ส่งผลให้การ
จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบล่าช้ากว่ากำ�หนดถึง 3 ปี 3 เดือน ในขณะที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงขึ้น
เรื่อยๆ
•	 การขอปรับขึ้นค่าไฟฟ้าที่เสนอขายให้กับ กฟผ. เพิ่มอีกประมาณ 9.8 สตางค์ต่อหน่วย เป็น
ภาระที่ประชาชนไม่ควรต้องแบกรับ เนื่องจากบริษัท สยามเอ็นเนอร์จี เป็นผู้เลือกพื้นที่
ก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่อำ�เภอบางคล้าเอง
•	 ในอนาคต กรณีนี้อาจเป็นกรณีตัวอย่างที่ทำ�ให้บริษัทเอกชนที่ยื่นข้อเสนอไม่ทำ�การศึกษา
พื้นที่สร้างโรงไฟฟ้าอย่างละเอียดรอบคอบก่อนยื่นประมูล เนื่องจากหากเกิดปัญหาสุดวิสัย
ก็สามารถขอย้ายพื้นที่สร้างโรงไฟฟ้าได้ โดยบริษัทยังได้ผลตอบแทนเท่าเดิม และประชาชน
ต้องเป็นผู้แบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
เมนูคอร์รัปชัน70
เอกสารอ้างอิง
•	 มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 9/2550 (ครั้งที่ 118)
•	 มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2552 (ครั้งที่ 128)
•	 มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2553 (ครั้งที่ 131)
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 71
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน
จากนั้น คณะกรรมการนโยบาย
พลังงานแหงชาติ (กพช.)
มีมติเห็นชอบการยายที่ตั้งโรงไฟฟา
ไปอยูที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะ
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
และยังเห็นชอบการขอปรับขึ้น
คาไฟฟาที่ขายใหกับ กฟผ.
แมในประกาศรับซื้อไฟฟาของ
กฟผ. ระบุวาผูผลิตไฟฟาตองทำ
EIA กอนเริ�มตนทำสัญญา
ซื้อขายไฟฟา แต กฟผ.
กลับทำสัญญา ทั้งๆ ที่บริษัทฯ
ยังไมไดทำ EIA
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
• ความไมโปรงใสในการทำ
สัญญาซื้อขายไฟฟากับบริษัท
สยามเอ็นเนอรจี ทำใหการจาย
ไฟฟาเขาสูระบบลาชากวา
กำหนดถึง 3 ป 3 เดือน
• การขอปรับขึ้นคาไฟฟาเพิ�มอีก
ประมาณ 9.8 สตางคตอหน�วย
กลายเปนภาระที่ประชาชนตอง
แบกรับ ทั้งที่เปนปญหาของ
บริษัทและ กฟผ.
• ในอนาคต กรณ�น�้อาจเปนกรณ�
ตัวอยางที่ทำใหบริษัทเอกชน
ไมทำการศึกษา EIA
สรางโรงไฟฟากอนยื่นประมูล
เน��องจากหากเกิดปญหาสุดวิสัย
ก็สามารถขอยายพื้นที่สราง
โรงไฟฟาได โดยบริษัทยังได
ผลตอบแทนเทาเดิม
และประชาชนเปนผูแบกรับ
ตนทุนที่เพิ�มขึ้น
บันได 4 ขั้น
โรงไฟฟ‡าบางคลŒา:
ไรŒ EIA ยŒายที่สรŒาง
ประชาชนจ‹ายค‹าไฟเพ��ม
12
บร�ษัท สยามเอ็นเนอรจ� จำกัด เปšนหนึ่งในผูŒผลิต
ไฟฟ‡าเอกชนที่ไดŒรับคัดเลือกใหŒผลิตไฟฟ‡าขาย
ใหŒกับการไฟฟ‡าฝ†ายผลิตแห‹งประเทศไทย (กฟผ.)
โดยบร�ษัทฯ วางแผนก‹อสรŒางโรงไฟฟ‡าที่
อำเภอบางคลŒา จังหวัดฉะเชิงเทรา
แต‹การทำสัญญาซื้อขายไฟฟ‡าระหว‹าง กฟผ.
กับบร�ษัทฯ ทำใหŒเกิดป˜ญหาตามมามากมาย
โดย กฟผ. ทำสัญญาทั้งๆ ที่บร�ษัทฯ ยังไม‹ไดŒทำ
EIA และเมื่อบร�ษัทฯ เขŒาไปสำรวจพ�้นที่เพ�่อทำ EIA
ไม‹ไดŒ เพราะถูกต‹อตŒานจากกลุ‹มผูŒคัดคŒาน
การก‹อสรŒางโรงไฟฟ‡า ก็มีการแกŒไขสัญญา
โดยเลื่อนกำหนดจ‹ายไฟฟ‡าและกำหนดวัน
ที่ตŒองไดŒรับอนุมัติ EIA
02
การชุมนุมคัดคานของ
ประชาชนในพื้นที่ทำใหมี
การแกไขสัญญา ซึ�งมีผล
เปนการขยายระยะเวลา
การทำ EIA ใหแกบริษัท
สยามเอ็นเนอรจี
03
กพช. เห็นชอบใหมีการยาย
สถานที่ตั้งโรงไฟฟา
04
บริษัทสยามเอ็นเนอรจี
ผลักภาระตนทุนที่เพิ�มขึ้น
ใหแกประชาชน โดยขอปรับ
เพิ�มคาไฟฟาที่จะขายใหแก
กฟผ.
01
กฟผ. ทำสัญญาซื้อขายไฟฟา
กับบริษัทสยามเอ็นเนอรจี
ทั้งที่ยังไมมีการเสนอรายงาน
EIA
รัฐบาลจ‹ายเพ��มข�้น
9.8ลŒานบาท/ป‚
7372
13
แอร์พอร์ตลิงค์ เจ๊ง
รฟท. จุก
ปูมหลัง
โครงการระบบขนส่งมวลชนทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และสถานีรับ-ส่ง
ผู้โดยสารอากาศยานกรุงเทพมหานคร หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อ ‘แอร์พอร์ตลิงค์’ (Airport
Link) เป็นส่วนหนึ่งของโครงการระบบขนส่งมวลชนทางราง โดยเปิดให้บริการในเส้นทางพญาไท-
มักกะสัน-สนามบินสุวรรณภูมิ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการก่อสร้างโครงการดังกล่าวเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2547 โดย
เห็นชอบให้ว่าจ้างเอกชนเป็นผู้รับผิดชอบการก่อสร้างโครงการ และให้การรถไฟแห่งประเทศไทย
(รฟท.) เป็นผู้จ่ายค่าก่อสร้างและค่าใช้จ่ายทางการเงินคืนแก่เอกชนภายหลังการก่อสร้างแล้วเสร็จ1
เส้นทางผลประโยชน์
การประมาณการจำ�นวนผู้โดยสารโครงการแอร์พอร์ตลิงค์ที่สูงเกินกว่าความเป็นจริง โดย
ประมาณการผู้โดยสารในปี 2550 ซึ่งเป็นปีแรกที่เปิดให้บริการไว้ที่ 87,000 คนต่อวัน และคาดว่า
1  มติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขออนุมัติดำ�เนินการก่อสร้างโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีรับส่ง
ผู้โดยสารอากาศยานในเมือง, 1 มิถุนายน 2547.	
เมนูคอร์รัปชัน74
จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 218,000 คนต่อวันในปี 2560 แต่จาก
สถิติพบว่า ในปี 2553 หลังเปิดให้บริการจริงกลับมีผู้โดยสาร
เพียงประมาณ 40,000 คนต่อวันเท่านั้น
การประมาณการที่สูงเกินกว่าความเป็นจริงทำ�ให้ผู้ว่าการ
รฟท. ในขณะนั้น เสนอต่อกระทรวงคมนาคมให้ รฟท. ลงทุนเอง
ด้วยการจ้างเหมาเอกชนดำ�เนินการก่อสร้าง โดย รฟท. จะชำ�ระ
ค่าการก่อสร้างคืนแก่เอกชนเมื่อโครงการแล้วเสร็จ ซึ่งแตกต่าง
จากมติของคณะกรรมการ รฟท. ที่ให้ดำ�เนินโครงการโดยใช้
งบประมาณแผ่นดินในการก่อสร้าง นอกจากนี้ ผู้ว่าการ รฟท. ยัง
แก้ไขสัญญาจ้างโดยร่นระยะเวลาการชำ�ระเงินคืนให้เร็วขึ้น ซึ่ง
เป็นการเอื้อประโยชน์แก่เอกชน และตั้งวงเงินค่าธรรมเนียมการ
กู้เงินไว้สูงเกินกว่าที่เป็นจริง ส่งผลให้ รฟท. เสียประโยชน์
ความผิดปกติของการดำ�เนินโครงการดังกล่าวเริ่มตั้งแต่
เดือนกุมภาพันธ์ 2547 เมื่อ รฟท. ตกลงว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา
เพื่อสำ�รวจและออกแบบรายละเอียดโครงการ (detail design)
รวมถึงรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสม ระหว่างรัฐเป็นผู้ลงทุนเอง
หรือให้สัมปทานเอกชนเข้ามาลงทุนทั้งหมด หรือแบ่งสัดส่วนการ
ลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชน ทั้งนี้ ตามสัญญาแล้ว บริษัท เอเชี่ยน
เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ จำ�กัด ในฐานะที่ปรึกษา จะใช้เวลา
การศึกษา 8 เดือน
อย่างไรก็ตาม อีกเพียงไม่ถึง 4 เดือนต่อมา คณะรัฐมนตรี
กลับมีมติอนุมัติการก่อสร้างโครงการดังกล่าวเมื่อวันที่ 1
มิถุนายน 2547 โดยให้ว่าจ้างเอกชนเป็นผู้รับผิดชอบการก่อสร้าง
โครงการ และให้ รฟท. จ่ายค่าก่อสร้างและค่าใช้จ่ายทางการเงิน
คืนแก่เอกชนภายหลังการก่อสร้างแล้วเสร็จ มติคณะรัฐมนตรี
ดังกล่าวระบุว่า การว่าจ้างให้ก่อสร้างในลักษณะนี้ไม่เข้าข่ายที่จะ
ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงาน
หรือดำ�เนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 และเนื่องจากเอกชน
ที่จะเข้ามาดำ�เนินการมิได้เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการออกแบบ
โครงการดังกล่าวจึงไม่เข้าข่ายการจ้างเหมาประมูลแบบเหมารวม2
เดือนธันวาคม 2547 รฟท. ในฐานะหน่วยงานผู้รับผิดชอบ
2  มติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขออนุมัติดำ�เนินการก่อสร้างโครงการระบบขนส่งทางรถไฟ
เชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง, 1 มิถุนายน
2547.
ได้เปิดการประกวดราคาโครงการ โดยได้ผู้ชนะการประกวดราคา
คือกลุ่มกิจการร่วมค้า บี. กริมม์ อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเสนอราคา
25,907 ล้านบาท ต่ำ�กว่าราคากลางเพียง 10 ล้านบาท และ
บริษัทหนึ่งในกลุ่มกิจการร่วมค้าดังกล่าวคือบริษัท ซิโน-ไทย เอ็น
จีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำ�กัด (มหาชน) ซึ่งมีความสัมพันธ์
กับนักการเมืองในรัฐบาลขณะนั้น
ความผิดปกติของการดำ�เนินโครงการดังกล่าวในช่วงต่อมา
เกิดขึ้นประมาณเดือนมิถุนายน 2548 เมื่อมีการดำ�เนินการ
ก่อสร้างโครงการแอร์พอร์ตลิงค์แล้ว โดยเริ่มมีรายงานข่าวถึง
ความผิดปกติของวงเงินค่าใช้จ่ายของโครงการ เช่น ค่าธรรมเนียม
การกู้เงินที่ตั้งไว้ 1,666 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม จิตต์สันติ
ธนะโสภณ ผู้ว่าการ รฟท. ในขณะนั้น ชี้แจงว่า การตั้งวงเงิน
ค่าธรรมเนียมการเงินดังกล่าวมีไว้สำ�หรับชดเชยส่วนต่างของอัตรา
แลกเปลี่ยนที่มีความผันผวนสูง ขณะที่ ปริญญา จินดาประเสริฐ
ประธานกรรมการ รฟท. ในขณะนั้น ให้ข้อมูลว่า เคยมีการสั่งการ
ให้ผู้ว่าการ รฟท. และกรรมการอีกคนหนึ่งตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว
แต่ไม่เคยมีคำ�สั่งแต่งตั้งกรรมการสอบสวนแต่อย่างใด
ในเดือนเมษายน 2549 สำ�นักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
(สตง.) ทำ�หนังสือถึง จิตต์สันติ ธนะโสภณ ผู้ว่าการ รฟท. เพื่อ
ขอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความผิดปกติของสัญญาก่อสร้างโครงการ
แอร์พอร์ตลิงค์หลายประการ รวมถึงการที่ รฟท. ออกหนังสือ
รับรองการชำ�ระคืนค่าธรรมเนียมการกู้เงิน 1,666 ล้านบาท
ให้แก่ผู้รับเหมาก่อนโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ ทั้งที่คณะรัฐมนตรี
มิได้มีมติกำ�หนดให้ รฟท. ต้องจ่ายเงินดังกล่าว
ภายหลังการรัฐประหารในเดือนกันยายน 2549 คณะ
กรรมการตรวจสอบการกระทำ�ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ
(คตส.) ได้เข้ามาสอบสวนการทุจริตในโครงการดังกล่าว และ
ส่งเรื่องต่อให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
แห่งชาติ (ป.ป.ช.) จากการสอบสวนพบว่า โครงการแอร์พอร์ต
ลิงค์ไม่มีการตรวจสอบวงเงินค่าธรรมเนียมตั้งแต่แรก ทำ�ให้ผู้
รับเหมาเบิกจ่ายค่าธรรมเนียมการกู้เงินทั้งหมดตามที่ตั้งวงเงิน
ไว้รวม 1,666 ล้านบาท ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วค่าธรรมเนียม
ดังกล่าวมีเพียง 471 ล้านบาทเท่านั้น
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 75
สถานะของคดี
เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2553 คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด จิตต์สันติ ธนะโสภณ อดีตผู้ว่าการ รฟท. และพวก
กว่า 10 คน รวมถึง ยุทธนา ทัพเจริญ ขณะดำ�รงตำ�แหน่งรองผู้ว่าการ รฟท. และเป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาประกวดราคา
และ สุรางค์ ศรีมีทรัพย์ หัวหน้ากองกฎหมายในขณะนั้น ว่ามีความผิดวินัยร้ายแรง และความผิดอาญา ฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่หรือ
ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ปัจจุบันคดีดังกล่าวอยู่ในชั้นอัยการ
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ยกคำ�ร้อง สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เนื่องจาก
หลักฐานไม่เพียงพอ
ผลกระทบต่อประชาชน
•	 การรวบรัดเห็นชอบให้ว่าจ้างเอกชนในการก่อสร้าง และให้รัฐจ่ายเงินคืนภายหลัง แทนที่จะศึกษารูปแบบการลงทุนแบบต่างๆ
อย่างรอบคอบ ทำ�ให้โครงการแอร์พอร์ตลิงค์ไม่ประสบความสำ�เร็จเท่าที่ควร ทั้งที่รัฐต้องลงทุนรวมกว่า 28,000 ล้าน (ทั้งค่า
ก่อสร้าง ดอกเบี้ย และอื่นๆ)
•	 การคาดการณ์จำ�นวนผู้โดยสารที่สูงเกินกว่าความเป็นจริง ทำ�ให้การลงทุนผิดพลาด บริษัท รถไฟฟ้า รฟท. จำ�กัด ซึ่งเป็นบริษัท
ลูกของ รฟท. จึงประสบปัญหาสภาพคล่องมาโดยตลอด
•	 การแก้ไขสัญญาในเอกสารประกวดราคา ทำ�ให้ผู้รับเหมาเอกชนเบิกจ่ายเงินค่าธรรมเนียมการกู้เงินจาก รฟท. 1,666 ล้านบาท
ทั้งที่ค่าธรรมเนียมดังกล่าวมีเพียง 471 ล้านบาทเท่านั้น รฟท. จึงต้องสูญเสียเงินกว่า 1,200 ล้านบาท
•	 การออกแบบและบริหารจัดการที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำ�ให้ผู้ใช้บริการไม่ได้รับความสะดวก เช่น รถไฟฟ้าชำ�รุดบ่อยครั้ง ไม่มีทาง
ลงบันไดเลื่อน ลิฟท์มีขนาดเล็ก พื้นชานชาลาและรถไฟฟ้าอยู่ห่างกันมาก และสถานีที่ใหญ่ที่สุด (มักกะสัน) ไม่เชื่อมต่อกับ
ระบบขนส่งสาธารณะอื่น
เมนูคอร์รัปชัน76
เอกสารอ้างอิง
•	 กลุ่มเออีซีคว้าที่ปรึกษารถไฟ ต่อรางเชื่อมสนามบินสุวรรณภูมิ, หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์, 9 กุมภาพันธ์ 2547.
•	 บอร์ด ร.ฟ.ท. ไฟเขียว ‘กลุ่ม บี.กริมม์’ คว้างานสร้างรถไฟเชื่อมสุวรรณภูมิ, หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ, 20 ธันวาคม 2547.
•	 เปิดสำ�นวนทุจริต ‘แอร์พอร์ตลิงค์’ ไขปม ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ รอด อดีตผู้ว่า รฟท. ตายเดี่ยว, หนังสือพิมพ์ มติชน, 6 พฤษภาคม
2553.
•	 ผู้รับเหมาขอเลื่อนแอร์พอร์ตลิงค์ 1 ปี, หนังสือพิมพ์ ทรานสปอร์ต เจอร์นัล, 24 เมษายน 2549.
•	 ผู้ว่าการ ร.ฟ.ท. ยัน ‘แอร์พอร์ตลิงค์’ ไม่มีทุจริต, หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ, 29 มิถุนายน 2548.
•	 สุริยะดีเดย์ ก.ค. ประมูลรถไฟฟ้าสายหนองงูเห่า ตั้งงบ 2.6 หมื่น ล., หนังสือพิมพ์ แนวหน้า, 25 มิถุนายน 2547.
•	 แอร์พอร์ต เรล ลิงค์ เผย ยอดผู้โดยสารแตะ 4 หมื่นคนแล้ว, เว็บไซต์แอร์พอร์ต เรล ลิงค์, 8 ตุลาคม 2553.
•	 ชัยพันธุ์ ประภาสะวัต ‘แอร์พอร์ต เรล ลิงค์’, หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ, 5 กุมภาพันธ์ 2555.
•	 มติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขออนุมัติดำ�เนินการก่อสร้างโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีรับส่งผู้
โดยสารอากาศยานในเมือง, 1 มิถุนายน 2547.
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 77
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
• การรถไฟฯ ประสบปญหาขาดทุน
เพิ�มมากขึ้น เน��องจากประมาณการ
ผูโดยสารสูงเกินจริง ทำให
การลงทุนผิดพลาด
• การแกไขสัญญาจางกอสราง
ทำใหการรถไฟฯ ตองชำระเงินคืน
เอกชนกอนโครงการแลวเสร็จ
และเสียคาธรรมเน�ยมการเงิน
สูงกวาที่ควรจะเปน
• การออกแบบและบริหาร
จัดการที่ไมไดมาตรฐาน
ทำใหผูใชบริการไมไดรับ
ความสะดวก เชน รถไฟฟาชำรุด
บอยครั้ง ไมมีทางลงบันไดเลื่อน
ลิฟตมีขนาดเล็ก พื้นชานชาลา
และรถไฟฟาอยูหางกันมาก
และสถาน�ที่ใหญที่สุด (มักกะสัน)
ไมเชื่อมตอกับระบบขนสง
สาธารณะอื่น
บันได 4 ขั้น
01 02 03 04
การประมาณการผูโดยสาร
ที่สูงเกินจริง ทำใหการรถไฟฯ
ลงทุนเอง โดยจางเหมา
เอกชนเปนผูดำเนินกอสราง
โครงการ โดยการรถไฟฯ
จะชำระคืนคากอสรางและ
คาใชจายทางการเงิน
พรอมดอกเบี้ย
หลังการกอสรางแลวเสร็จ
หลังการประกวดราคา
ผูวาการรถไฟฯ แกไขสัญญา
โดยลดระยะเวลาชำระเงินคืน
เอกชน จากเดิมที่จะชำระ
เงินคืนเมื่อการกอสราง
แลวเสร็จ เปนชำระเงินคืน
เมื่อครบ 990 วัน เอกชน
คูสัญญาจึงไดประโยชนจาก
ตนทุนทางการเงินที่ลดลง
การรถไฟฯ ตั้งวงเงินเพื่อ
ชำระคาธรรมเน�ยมการทำ
ธุรกรรมทางการเงิน 1,666
ลานบาท ซึ�งสูงถึง 7%
ของมูลคาโครงการ ขณะที่
โครงการอื่นมีคาใชจายสวนน�้
เพียง 2-3% ของมูลคาโครงการ
นอกจากน�้ กลุมธนาคารที่ใหกู
คิดคาธรรมเน�ยมจริงเพียง
ประมาณ 471 ลานบาท
การรถไฟฯ จึงเสียเงินกวา
1,200 ลานบาท
โครงการแอรพอรตลิงค
ไมประสบความสำเร็จ ทั้งที่
ลงทุนไปกวา 2.8 หมื่นลานบาท
ทำใหการรถไฟฯ และบริษัทลูก
ขาดทุน และประสบปญหา
สภาพคลอง
แอรพอรตลิงค:
ประมาณการผูŒโดยสาร
เกินจร�ง การรถไฟก็เจง
ประชาชนก็เดือดรŒอน
13
การประมาณการจำนวนผูŒโดยสารโครงการ
แอรพอรตลิงคที่สูงเกินกว‹าความเปšนจร�ง
ทำใหŒผูŒว‹าการรถไฟแห‹งประเทศไทยในขณะนั้น
เสนอต‹อกระทรวงคมนาคมใหŒการรถไฟฯ
ลงทุนเอง โดยจŒางเหมาเอกชนดำเนินการก‹อสรŒาง
และการรถไฟฯ จะชำระคืนค‹าก‹อสรŒางแก‹
เอกชนเมื่อโครงการแลŒวเสร็จ ซึ่งแตกต‹างจาก
มติของคณะกรรมการรถไฟฯ ที่ใหŒดำเนินโครงการ
โดยใชŒงบประมาณแผ‹นดินในการก‹อสรŒาง
ผูŒว‹าการรถไฟฯ ยังแกŒไขสัญญาจŒางก‹อสรŒาง
โดยเปลี่ยนระยะเวลาการชำระเง�นคืนใหŒเร็วข�้น
ซึ่งเปšนการเอื้อประโยชนแก‹เอกชน และตั้งวงเง�น
ค‹าธรรมเนียมการกูŒเง�นไวŒสูงเกินกว‹าที่เปšนจร�ง
ทำใหŒการรถไฟฯ เสียประโยชน
สถานะ
• ป.ป.ช. มีมติวานายจิตตสันติ
ธนะโสภณ อดีตผูวาการรถไฟฯ
และนายไกรวิชญหรือสุรางค
ศรีมีทรัพย ซึ�งขณะนั้นมีหนาที่
สืบสวนในกรณ�ที่เกิดความเสียหาย
ตอการรถไฟฯ มีความผิด
ทางอาญาและทางวินัย
อยางรายแรง ปจจุบัน
คดีอยูในชั้นอัยการ
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 7978
14
‘คิง เพาเวอร์’
ใหญ่คับสุวรรณภูมิ
ปูมหลัง
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำ�กัด (มหาชน) หรือ ทอท. เป็นรัฐวิสาหกิจที่ประกอบธุรกิจ
ท่าอากาศยานของประเทศไทย โดยมีท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบ 6 แห่ง
ในช่วงที่จะมีการเปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ทอท. ได้คัดเลือกบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ ฟรี
จำ�กัด เป็นผู้ประกอบกิจการจำ�หน่ายสินค้าปลอดอากร (duty free) ในสนามบินสุวรรณภูมิ และ
สนามบินในภูมิภาคอีก 3 แห่ง เป็นเวลา 10 ปี 3 เดือน ระหว่างเดือนกันยายน 2548 ถึงเดือน
ธันวาคม 2558 สัญญาดังกล่าวลงนามเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2547 ในช่วงที่ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
เส้นทางผลประโยชน์
การทำ�สัญญาระหว่าง ทอท. กับ คิง เพาเวอร์ มีความผิดปกติหลายประการ โดยเริ่มตั้งแต่การ
คำ�นวณมูลค่าการลงทุนของโครงการให้ต่ำ�กว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งน่าจะเป็นความพยายามหลีกเลี่ยง
เมนูคอร์รัปชัน80
การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงาน
หรือดำ�เนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 หรือ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ
ซึ่งกำ�หนดไว้ว่าหากเอกชนจะเข้าร่วมงานหรือกิจการโครงการของ
รัฐที่มีมูลค่าการลงทุนตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป จะต้องผ่าน
ขั้นตอนตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ
ปัจจัยสำ�คัญที่จะกำ�หนดมูลค่าโครงการดังกล่าวคือ มูลค่า
ของสินค้าคงคลัง แต่ความผิดปกติที่เกิดขึ้นก็คือทอท.พยายามไม่
นำ�สินค้าคงคลังมาเป็นส่วนหนึ่งในการคำ�นวณมูลค่าโครงการโดย
ขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความการรวมมูลค่าสินค้าคงคลัง
ถึง 3 ครั้ง ในปี 25461
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการกฤษฎีกา
ได้มีหนังสือยืนยันถึง ทอท. ว่า มูลค่าการซื้อสินค้าคงคลังจะต้อง
ถูกรวมไว้ในการคิดมูลค่าโครงการ
เมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นดังกล่าวแล้ว
สถาบันทรัพย์สินทางปัญญาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใน
ฐานะที่ปรึกษา ทอท. ได้เสนอรายงานการศึกษาความเป็นไปได้
ของโครงการต่อ ทอท. โดยคำ�นวณมูลค่าสินค้าคงคลังจากฐาน
ของยอดขายเพียงเดือนเดียว แทนที่จะคิดจากฐานของยอดขาย
3.5-4 เดือน ตามสถิติการจำ�หน่ายสินค้าแต่ละรอบ ทำ�ให้คำ�นวณ
มูลค่าสินค้าคงคลังออกมาได้เพียง 283.64 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบภายหลังพบว่า สัญญา
ประกันทัณฑ์บนคลังเก็บของที่คิง เพาเวอร์ ทำ�กับ ทอท. มีมูลค่า
กรมธรรม์ประกันภัยถึง 997.85 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่า
มูลค่าสินค้าคงคลังจริงย่อมสูงกว่ามูลค่าที่คำ�นวณโดยสถาบัน
ทรัพย์สินทางปัญญาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นอกจากนี้ การคิดมูลค่าโครงการยังบิดเบือนข้อเท็จจริง
เกี่ยวกับการใช้พื้นที่และระยะเวลาของสัญญา โดยสถาบัน
ทรัพย์สินทางปัญญาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกำ�หนด
สมมุติฐานการใช้พื้นที่ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไว้เพียง 5,000
ตารางเมตร ซึ่งต่ำ�กว่าความเป็นจริงกว่าเท่าตัว อีกทั้งยังไม่นำ�
พื้นที่ที่เกี่ยวข้องในท่าอากาศยานในภูมิภาคทั้ง 3 แห่ง มารวมไว้
ในการกำ�หนดมูลค่าการลงทุน ทั้งที่อยู่ในสัญญาเดียวกัน ขณะ
เดียวกัน ประเด็นเกี่ยวกับระยะเวลาของสัญญา สถาบันทรัพย์สิน
1  หนังสือลงวันที่ 10 มกราคม 2546 วันที่ 24 กรกฎาคม 2546 และวันที่ 13
พฤศจิกายน 2546	
ทางปัญญาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังคำ�นวณจากฐาน
ระยะเวลาของสัญญาเพียง 5 ปี แต่สัญญาที่ทำ�ขึ้นภายหลัง
กลับมีอายุถึง 10 ปี
จากการบิดเบือนการคำ�นวณมูลค่าโครงการ ทั้งมูลค่า
สินค้าคงคลัง การใช้พื้นที่ประกอบกิจการ และระยะเวลาของ
สัญญา ทำ�ให้มูลค่าโครงการที่สถาบันทรัพย์สินทางปัญญา
แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยประเมินไว้ที่ประมาณ 813.84
ล้านบาท น่าจะต่ำ�กว่าความเป็นจริงมาก เมื่อเปรียบเทียบกับ
รายงานตรวจสอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)2
และ
ทอท. (ในภายหลัง)3
ซึ่งประเมินมูลค่าโครงการดังกล่าวไว้ที่
2,644.7 และ 2,432.2 ล้านบาทตามลำ�ดับ และเมื่อมีการ
คำ�นวณมูลค่าโครงการต่ำ�กว่า 1,000 ล้านบาท จึงไม่ต้องอยู่
ภายใต้กรอบของ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ
การหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ทำ�ให้การ
ให้สัมปทานดังกล่าวไม่ต้องมีการประมูลแข่งขัน และเป็นไป
อย่างรวบรัดเพียง 2 เดือน นับตั้งแต่มีการแต่งตั้งคณะทำ�งาน
ของ ทอท. ทั้งนี้ ทอท. ได้คัดเลือกให้คิง เพาเวอร์ เป็นผู้ได้รับ
สิทธิ์ในการจำ�หน่ายสินค้าปลอดอากรโดยยึดตามความเห็นของ
ที่ปรึกษาที่ให้เหตุผลว่าควรมีผู้ประกอบการรายเดียว เนื่องจาก
หากมีผู้ประกอบการหลายรายจะทำ�ให้เกิดการแข่งขันด้านราคา
และอาจกระทบต่อคุณภาพของสินค้าและภาพลักษณ์ของ ทอท.
และสมควรให้ผู้ประกอบการเป็นคนไทย เนื่องจากผลประโยชน์
ทางเศรษฐกิจจะตกอยู่กับคนไทย
ภายใต้สัญญาดังกล่าว คิง เพาเวอร์ ต้องแบ่งผลประโยชน์
ให้แก่ทอท.ร้อยละ15ของรายได้ในปีที่1-5และเพิ่มเป็นร้อยละ
16-20 ในปีที่ 6-10 โดยมีอัตราการเพิ่มร้อยละ 1 ต่อปี ทั้งนี้
ค่าสัมปทานจะต้องไม่น้อยกว่ามูลค่าขั้นต่ำ�ที่กำ�หนดไว้ในสัญญา
2  รายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและติดตามการแก้ไขปัญหาสนามบิน
สุวรรณภูมิ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งมี พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน เป็นประธาน
กรรมการ	
3  รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง เรื่อง การได้มาซึ่งสัญญาบริษัท คิง เพาเวอร์
ดิวตี้ ฟรี จำ�กัด ในการประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
และท่าอากาศยานภูมิภาค โดยคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในการดำ�เนินงานของ
โครงการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งมี พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ เป็นประธาน โดย
การแต่งตั้งของคณะกรรมการ ทอท. ชุดใหม่
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 81
อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งค่าตอบแทนผลประโยชน์ที่คิง เพาเวอร์ จ่ายให้แก่ ทอท. น่าจะน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อพิจารณาจาก
ผลกำ�ไรของคิง เพาเวอร์ ซึ่งสูงกว่านั้นประมาณ 2 เท่า
รายรับและกำ�ไรของคิง เพาเวอร์ และค่าตอบแทนผลประโยชน์ที่ให้แก่ ทอท.
2548 2549 2550 2551
รายรับของคิง เพาเวอร์ 9,825.22 11,220.44 13,106.21 13,429.41
ค่าตอบแทนผลประโยชน์ที่ให้แก่ ทอท. 1,473.78 1,683.07 1,965.93 2,014.41
กำ�ไร 2,912.47 3,660.53 4,434.69 4,470.05
สัดส่วนกำ�ไรต่อค่าตอบแทนผลประโยชน์ 1.97 เท่า 2.17 เท่า 2.26 เท่า 2.22 เท่า
(หน่วย: ล้านบาท)
ที่มา: บริษัท บิซิเนส ออนไลน์ จำ�กัด (มหาชน)
ผลกระทบต่อประชาชน
•	 การบิดเบือนการคำ�นวณมูลค่าโครงการสัมปทานต่ำ�กว่า 1,000 ล้านบาท ทำ�ให้ไม่ต้องปฏิบัติ
ตามกรอบของ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ส่งผลให้ไม่มีการประมูลแข่งขัน
•	 การให้สัมปทานร้านค้าปลอดภาษีในสนามบินสุวรรณภูมิแก่ คิง เพาเวอร์ โดยวิธีการคัดเลือก
ทำ�ให้ผลประโยชน์ที่ ทอท. ได้รับน้อยกว่าที่ควรจะเป็น และทำ�ให้คิง เพาเวอร์ ได้ผลกำ�ไร
คืนทุนอย่างรวดเร็ว
•	 ความไม่รัดกุมของสัญญา โดยกำ�หนดพื้นที่ขั้นต่ำ�ในการประกอบกิจการแทนที่จะเป็นขั้นสูง
ทำ�ให้คิง เพาเวอร์ ได้พื้นที่ประกอบกิจการถึง 11,820 ตารางเมตร หรือมากกว่าพื้นที่ที่ใช้
ในการคำ�นวณมูลค่าโครงการกว่าเท่าตัว ซึ่งอาจส่งผลต่อความปลอดภัยและความสะดวก
ของผู้โดยสาร
เมนูคอร์รัปชัน82
เอกสารอ้างอิง
•	 คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในการดำ�เนินงานของโครงการท่าอากาศยาน
สุวรรณภูมิ, รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง เรื่อง การได้มาซึ่งสัญญาบริษัท คิง
เพาเวอร์ ดิวตี้ ฟรี จำ�กัด ในการประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยาน
สุวรรณภูมิและท่าอากาศยานภูมิภาค, 2550.
•	 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ, รายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและติดตามการแก้ไข
ปัญหาสนามบินสุวรรณภูมิ, 2550.
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 83
บันได 2 ขั้น
01
ที่ปรึกษาที่ ทอท. วาจาง
บิดเบือนการคำนวณมูลคา
ของสินคาคงคลัง การใชพื้นที่
และระยะเวลาของสัญญา
ทำใหประเมินมูลคาโครงการ
ต่ำกวา 1,000 ลานบาท
เพื่อไมตองปฏิบัติตามขั้นตอน
ของกฎหมายรวมทุน
02
ทอท. คัดเลือกคิง เพาเวอร
เขาประกอบการโดยไมตอง
แขงขัน
สัมปทานรŒานคŒาปลอดภาษีสนามบินสุวรรณภูมิ:
คำนวณมูลค‹าโครงการต่ำ
เลี่ยงประมูล
14
การทำสัญญาระหว‹างบร�ษัท ท‹าอากาศยานไทย
จำกัด (มหาชน) หร�อ ทอท. กับคิง เพาเวอร
มีการบิดเบือนการคำนวณมูลค‹าโครงการ
เร��มตั้งแต‹การคำนวณมูลค‹าสินคŒาคงคลัง
การใชŒพ�้นที่ และระยะเวลาของสัญญา
ทำใหŒมูลค‹าของโครงการต่ำกว‹าความเปšนจร�ง
เพ�่อหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามกฎหมายร‹วมทุน
การหลีกเลี่ยงกฎหมายดังกล‹าวทำใหŒคิง เพาเวอร
ไดŒรับสัมปทานโดยไม‹ตŒองแข‹งขัน โดยกระบวนการ
คัดเลือกผูŒรับสัมปทานเปšนไปอย‹างรวบรัด
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
• การใหสัมปทานรานคา
ปลอดภาษีในสนามบินสุวรรณภูมิ
แกคิง เพาเวอรโดยวิธีการคัดเลือก
ทำใหผลประโยชนที่ ทอท.
ไดรับนอยกวาที่ควรจะเปน
และการที่คิง เพาเวอรไดผลกำไร
คืนทุนภายในปเดียว แสดงให
เห็นวาการคำนวณมูลคาการลงทุน
น�าจะต่ำกวาความเปนจริง
• ความไมรัดกุมของสัญญา
โดยกำหนดพื้นที่ขั้นต่ำในการ
ประกอบกิจการแทนที่จะเปน
ขั้นสูง ทำใหคิง เพาเวอรใชพื้นที่
ประกอบกิจการถึง 11,820
ตารางเมตร หรือมากกวาพื้นที่
ที่ใชในการคำนวณมูลคาโครงการ
กวาเทาตัว ซึ�งอาจสงผลตอ
ความปลอดภัยและความสะดวก
ของผูโดยสารลด-แลก-แจก-แถม
คำนวณมูลค‹าส�นคŒา
คงคลังจากยอดขาย
เพ�ยง 1 เดือน แทนที่จะเปšน
3.5-4 เดือน คำนวณมูลค‹าโครงการ
โดยใชŒพ�้นที่ในสนามบิน
เพ�ยง 5,000 ตารางเมตร
ซึ่งต่ำกว‹าความเปšนจร�ง
กว‹าเท‹าตัว
คำนวณระยะเวลา
ของสัญญาเพ�ยง 5 ป‚
แต‹สัญญาที่ทำข�้นภายหลัง
มีระยะเวลา 10 ป‚
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 8584
15
รื้อสัมปทาน
ลานจอดรถ
สุวรรณภูมิ
ปูมหลัง
ถือเป็นเมกะโปรเจ็คท์ที่ใช้เวลาดำ�เนินการจนแล้วเสร็จกว่า 50 ปี ด้วยเงินลงทุนกว่า 1 แสน
ล้านบาท สนามบินสุวรรณภูมิเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2549 โดยมี
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำ�กัด (มหาชน) หรือ ทอท. เป็นผู้ดูแลและดำ�เนินการ
ด้วยระยะเวลาดำ�เนินการอันยาวนานและมีเงินมหาศาลเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำ�ให้เกิดช่องทางใน
การรั่วไหลของผลประโยชน์ และหนึ่งในนั้นคือโครงการ ‘ลานจอดรถสุวรรณภูมิ’
เส้นทางผลประโยชน์
พื้นที่ลานจอดรถสนามบินสุวรรณภูมิทั้ง 2 ส่วนที่มีปัญหา ได้แก่
1. พื้นที่บริเวณลานจอดรถระยะยาว (long term parking) ขนาด 62,380 ตารางเมตร บริษัท
แป้งร่ำ� รีเทล จำ�กัด ได้รับสัมปทาน 15 ปี ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2553 ถึง 30 พฤศจิกายน
2568 โดยรับผิดชอบโครงการสุวรรณภูมิสแควร์ มูลค่า 450 ล้านบาท พ่วงกับสัมปทานรับจ้าง
บริหารลานจอดรถ
2.พื้นที่หน้าอาคารผู้โดยสารAและBขนาด160,000ตารางเมตรบริษัทปาร์คกิ้งแมเนจเมนท์
เมนูคอร์รัปชัน86
จำ�กัด ได้รับสัมปทาน 5 ปี ระหว่างวันที่ 30 เมษายน 2553 ถึง
31 มีนาคม 2558
กรณีของพื้นที่ที่ 1 ฝ่ายบริหาร ทอท. รวบรัดพิจารณาและ
อนุมัติสัมปทานให้กับบริษัท แป้งร่ำ� รีเทล จำ�กัด โดยใช้เวลา 10
วัน ทั้งที่เป็นสัญญาระยะยาว และพ่วงกับโครงการสุวรรณภูมิ
สแควร์ มูลค่า 450 ล้านบาท แต่บริษัทกลับเสนอผลตอบแทน
ให้ ทอท. เพียงปีละ 2 ล้านบาทเศษ ซึ่งกรณีนี้ตามระเบียบของ
รัฐวิสาหกิจ การให้สัมปทานตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป จะต้องได้รับความ
เห็นชอบจากบอร์ด ทอท. แต่ฝ่ายบริหาร ทอท. ทำ�การอนุมัติโดย
ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากบอร์ด ทอท.
นอกจากนี้ ข้อมูลการจดทะเบียนของบริษัท แป้งร่ำ� รีเทล
จำ�กัด ก็ทำ�ให้เกิดข้อกังขา โดยก่อนเสนอชื่อเข้าร่วมประมูล บริษัท
มีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท และระบุว่ามีรายได้และกำ�ไรปีละ
หลักพันบาทเท่านั้น โดยในปี 2551 มีรายได้ 9,826 บาท กำ�ไร
สุทธิ 1,200 บาท จึงชวนให้คิดว่าบริษัทที่มีรายได้และกำ�ไรเพียง
เท่านี้ชนะการประมูลโครงการสุวรรณภูมิสแควร์ที่มีมูลค่า 450
ล้านบาทได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทยังได้สิทธิ์ในการบริหาร
ลานจอดรถนานถึง 15 ปี
ขณะที่พื้นที่ที่ 2 แต่เดิม ทอท. เป็นผู้เก็บเงินค่าบริการลาน
จอดรถตั้งแต่เปิดสนามบิน โดยมีรายได้เป็นเงินสดจาก 2 ส่วน
ได้แก่
1. ค่าบริการรายวัน เก็บได้วันละ 800,000-1 ล้านบาท
เฉลี่ยเดือนละ 28-30 ล้านบาท
2. ค่าสมาชิกจากพนักงานสายการบินและสำ�นักงานต่างๆ
ในสนามบินสุวรรณภูมิ เดือนละประมาณ 4-5 ล้านบาท
รายได้จากทั้งสองส่วน จึงมีมูลค่าไม่ต่ำ�กว่าปีละ 360-380
ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ปลายปี 2552 คณะกรรมการพิจารณา
รายได้ของ ทอท. เสนอให้เปลี่ยนระบบเป็นการให้สัมปทานโดย
การเปิดประมูล ซึ่งบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำ�กัด ได้รับ
สัมปทานบริหารจัดการเก็บรายได้จากพื้นที่เป็นเวลา 5 ปี เสนอ
ผลตอบแทนให้ ทอท. เพียงเดือนละ 16.5 ล้านบาท
เมื่อสื่อมวลชนตรวจสอบเอกสารและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ
การประมูล รวมถึงพนักงานระดับปฏิบัติการและหัวหน้าคุมงาน
พบว่า การประมูลครั้งนี้ผู้เข้าร่วมการประมูลมาจากกลุ่มนักการ
เมือง เจ้าหน้าที่ และนายทุน ซึ่งร่วมถือหุ้นและแบ่งผลประโยชน์
แต่เมื่อเริ่มบริหารจัดการลานจอดรถ กรรมการของบริษัท
ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำ�กัด ก็ขัดแย้งกันอย่างรุนแรง
จากความขัดแย้งภายในทำ�ให้บริษัทปาร์คกิ้งแมเนจเมนท์
ไม่ส่งรายได้ให้กับ ทอท. ตามที่ระบุในสัญญา ซึ่งบริษัทจะต้อง
แจ้งรายได้และจัดส่งในสัดส่วนที่ตกลงไว้กับทอท.วันต่อวันโดย
ขณะเกิดเหตุ บริษัทไม่ได้ส่งรายได้ให้กับ ทอท. 4 เดือนติดต่อกัน
ผลกระทบต่อ
ประชาชน
•	 ผู้ใช้บริการสนามบินสุวรรณภูมิไม่ได้รับความ
สะดวกในการจอดรถ
•	 การให้สัมปทานบริษัทเอกชน ทำ�ให้ ทอท. มี
รายได้จากค่าที่จอดรถน้อยกว่าบริหารจัดการเอง
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 87
สถานะของคดี
พื้นที่จอดรถที่ 1:
ปิยะพันธ์ จัมปาสุต ประธานกรรมการ ทอท. เรียกประชุมบอร์ดเร่งด่วนวาระพิเศษ เมื่อวันที่
6 กันยายน 2553 ก่อนจะลงมติยกเลิกสัมปทานโครงการสุวรรณภูมิสแควร์ที่ ทอท. ให้สิทธิ์บริษัท
แป้งร่ำ� รีเทล จำ�กัด เป็นผู้ดำ�เนินการ
วันเดียวกัน ที่ประชุมบอร์ด ทอท. มีมติปลด เสรีรัตน์ ประสุตานนท์ จากตำ�แหน่งประธานคณะ
กรรมการพิจารณารายได้ ทอท. ให้เป็นแค่กรรมการในฐานะกรรมการผู้อำ�นวยการใหญ่ ทอท. ขณะที่
ย้าย นิรันดร์ ธีรนาทสิน จากผู้อำ�นวยการสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ เป็นผู้อำ�นวยการสนามบิน
นานาชาติดอนเมือง และย้าย ดวงใจ คอนดี จากรองผู้อำ�นวยการสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ
เป็นผู้เชี่ยวชาญ
พื้นที่จอดรถที่ 2:
จากการร้องเรียนของกรรมการบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำ�กัด ทำ�ให้ โสภณ ซารัมย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น มีคำ�สั่งแต่งตั้ง สุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวง
คมนาคมในขณะนั้น เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง
จากนั้น ปิยะพันธ์ จัมปาสุต ประธานบอร์ด ทอท. เรียกประชุมบอร์ดวาระพิเศษอีกครั้ง ซึ่งที่
ประชุมมีมติเอกฉันท์ให้ยกเลิกสัมปทานลานจอดรถหน้าอาคารผู้โดยสาร A และ B ของสนามบิน
สุวรรณภูมิกับบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำ�กัด ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2553 และให้ ทอท.
จัดเก็บรายได้จากลานจอดรถบริเวณดังกล่าวตามเดิม
หลังบอร์ด ทอท. มีมติยกเลิกสัมปทานพื้นที่จอดรถที่ 2 ส่งผลให้ช่วงเดือนตุลาคม 2553
ถึงมกราคม 2554 ทอท. สามารถเก็บเงินจากผู้ใช้ลานจอดรถแห่งนี้ได้เฉลี่ยวันละ 800,000-1.2
ล้านบาท หรือเฉลี่ยเดือนละ 28-30 ล้านบาท
เมนูคอร์รัปชัน88
เอกสารอ้างอิง
•	 เปิดโปงสัมปทานฉาว ลานจอดรถสุวรรณภูมิ รื้อขบวนการเขมือบ บมจ.ท่าอากาศยาน
ไทย, หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ, รวมเอกสารข่าวประกวด, สมาคมนักข่าว
นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, 2553.
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 89
ลานจอดรถในสนามบินสุวรรณภูมิเปšนพ�้นที่หนึ่ง
ที่สามารถสรŒางรายไดŒใหŒกับบร�ษัท ท‹าอากาศยานไทย
จำกัด (มหาชน) หร�อ ทอท. แต‹ผูŒบร�หารของ ทอท.
กลับใหŒสัมปทานกับบร�ษัทเอกชนในการจัดเก็บรายไดŒ
จากพ�้นที่ ซึ่งทำใหŒ ทอท. มีรายไดŒนŒอยกว‹า
การจัดเก็บดŒวยตัวเอง
นอกจากนี้ การอนุมัติสัมปทานยังเปšนไป
อย‹างรวบรัด และไม‹ไดŒรับความเห็นชอบ
จากบอรด ทอท. และเมื่อเกิดความขัดแยŒง
ระหว‹างกรรมการบร�ษัท บร�ษัทก็ไม‹ส‹งรายไดŒ
ใหŒกับ ทอท. เปšนเวลา 4 เดือน
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
• ผูใชบริการสนามบินสุวรรณภูมิ
ไมไดรับความสะดวกในการ
จอดรถจากปญหาที่เกิดขึ้น
• การใหสัมปทานกับบริษัทเอกชน
ทำให ทอท. มีรายไดจาก
ลานจอดรถนอยกวาการบริหาร
จัดการเอง
บันได 2 ขั้น
01
ผูบริหารของ ทอท.
รวบรัดพิจารณาและอนุมัติ
ใหสัมปทานพื้นที่จอดรถที่ 1
แกบริษัท แปงร่ำ รีเทล จำกัด
โดยใชเวลาพิจารณาเพียง10 วัน
และไมไดรับความเห็นชอบจาก
บอรด ทอท. ตลอดจนไมมี
การตรวจสอบวาบริษัทมีทุน
จดทะเบียนเพียง 1 ลานบาท
แตตองรับผิดชอบโครงการ
มูลคา 450 ลานบาท
02
ใหสัมปทานพื้นที่จอดรถที่ 2
แกบริษัท ปารคกิ้ง แมเนจเมนท
จำกัด ซึ�งเสนอคาตอบแทนเพียง
เดือนละ 16.5 ลานบาท ทั้งที่
ทอท. เคยเก็บไดเดือนละ
28-30 ลานบาท
สถานะลานจอดรถสุวรรณภูมิ:
ใหŒสัมปทานไม‹โปร‹งใส
ยกรายไดŒใหŒเอกชน
15
พ�้นที่จอดรถที่
2
พ�้นที่จอดรถที่
1
• วันที่ 4 ตุลาคม 2553
นายปยะพันธ จัมปาสุต
ประธานบอรด ทอท.
เรียกประชุมบอรดวาระพิเศษ
และมีมติยกเลิกสัมปทาน
กับบริษัท ปารคกิ้ง แมเนจเมนท
จำกัด โดยให ทอท.
จัดเก็บรายไดจาก
ลานจอดรถตามเดิม
• วันที่ 6 กันยายน 2553
นายปยะพันธ จัมปาสุต
ประธานบอรด ทอท.
เรียกประชุมบอรดวาระพิเศษ
และมีมติยกเลิกสัมปทาน
กับบริษัท แปงร่ำ รีเทล จำกัด
• ในวันเดียวกัน ที่ประชุมบอรด
ทอท. มีมติปลดนายเสรีรัตน
ประสุตานนท จากตำแหน�ง
ประธานคณะกรรมการพิจารณา
รายได ทอท. ยายนายนิรันดร
ธีรนาทสิน ออกจากผูอำนวยการ
สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ
และยายนางดวงใจ คอนดี
ออกจากรองผูอำนวยการ
30ลŒานบาท
ทอท.
เก็บไดŒเดือนละ
15ลŒานบาท
เอกชน
เก็บไดŒเดือนละ
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 9190
16
บ้านเอื้ออาทร
เอื้อพวกพ้องผู้รับเหมา
ปูมหลัง
โครงการ ‘บ้านเอื้ออาทร’เป็นหนึ่งในโครงการของรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณชินวัตรโดยมีการเคหะ
แห่งชาติ (กคช.) ในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นผู้รับผิดชอบ
ดำ�เนินการ เป้าหมายของโครงการนี้คือ การจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยจำ�นวน
600,172 หน่วย วงเงินประมาณ 2.7 แสนล้านบาท ในช่วงเวลา 5 ปี (2546-2550)
เส้นทางผลประโยชน์
การตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลในโครงการบ้าน
เอื้ออาทรเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม 2549 หลังจากมีเรื่อง
ร้องเรียนผ่านสื่อสิ่งพิมพ์และโทรทัศน์โดยข้อมูลแรกที่สื่อมวลชน
ค้นพบคือ มีผู้รับเหมารายหนึ่ง ได้แก่ บริษัท กลอรี่คอนสตรั๊คชั่น
จำ�กัด ทำ�สัญญารับเหมากับ กคช. จำ�นวน 20,000 หน่วย ซึ่ง
บริษัทผู้รับเหมารายนี้มีคนในตระกูลรักตพงศ์ไพศาลและตระกูล
ชินวัตร เป็นผู้ถือหุ้น (พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงคมนาคมในขณะนั้น เคยเป็นประธานกรรมการและ
ผู้ถือหุ้น จากนั้นได้โอนหุ้นให้น้องสาวก่อนการเลือกตั้งปี 2544
ขณะที่ ทรงพล ชินวัตร เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้น)
จากข้อมูลดังกล่าว ทำ�ให้สื่อมวลชนตรวจสอบข้อมูล
โครงการบ้านเอื้ออาทรทั้งหมด เพื่อวิเคราะห์ว่าอาจมีปัญหา
เมนูคอร์รัปชัน92
ผลประโยชน์ทับซ้อน (conflict of interests) ในลักษณะเดียวกัน
หรือไม่
ผลจากการตรวจสอบทำ�ให้พบว่า กคช. ได้ทำ�สัญญากับ
ผู้รับเหมาที่เป็นเครือญาติหรือผู้ใกล้ชิดของนักการเมืองพรรค
ไทยรักไทยอีกหลายโครงการ เช่น
ต้นปี 2549 กคช. ทำ�สัญญาร่วมดำ�เนินโครงการบ้าน
เอื้ออาทรตำ�บลศิลาอำ�เภอเมืองจังหวัดขอนแก่นวงเงิน4,700ล้าน
บาทกับห้างหุ้นส่วนจำ�กัดตรีพรวิศวกรรมซึ่งมีดวงแขอรรณนพพร
(ภรรยาของ พงศกร อรรณนพพร อดีต ส.ส. ขอนแก่น พรรค
ไทยรักไทย และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน) เป็นเจ้าของ
ต้นปี 2549 กคช. ทำ�สัญญาร่วมดำ�เนินโครงการบ้าน
เอื้ออาทรอำ�เภอชนบท จังหวัดขอนแก่น วงเงิน 105 ล้านบาท
กับห้างหุ้นส่วนจำ�กัด ขอนแก่นธีรพงศ์ ซึ่งมี ธีรพงศ์ สุพรรณ
ฝ่าย (ญาติของ เรืองเดช สุพรรณฝ่าย อดีต ส.ส. ขอนแก่น พรรค
ไทยรักไทย) เป็นเจ้าของ
ต้นปี 2549 กคช. ทำ�สัญญาร่วมดำ�เนินโครงการบ้าน
เอื้ออาทรหนองคาย 2 (ถนนมิตรภาพ) วงเงิน 351 ล้านบาท
กับบริษัท นวพันธ์ ดีเวลล็อปเม้นท์ จำ�กัด ซึ่งมี ดวงใจ สุนทรชัย
(ภรรยาของว่าที่ร้อยตรี พงศ์พันธ์ สุนทรชัย อดีต ส.ส. หนองคาย
พรรคไทยรักไทย) เป็นกรรมการ
ปลายปี 2549 กคช. ทำ�สัญญาร่วมดำ�เนินโครงการบ้าน
เอื้ออาทรปราจีนบุรี(นาดี)วงเงิน145ล้านบาทกับบริษัทจินนาภา
จำ�กัด ซึ่งมี ภัสสรา อันตทรัพย์ (ทำ�ธุรกิจร่วมกับ ภาพร ภุมมะ
กาญจนะ ญาติของ ชยุต ภุมมะกาญจนะ อดีต ส.ส. ปราจีนบุรี
พรรคไทยรักไทย) เป็นผู้ถือหุ้น
นอกจากนี้ สื่อมวลชนยังพบปัญหาการก่อสร้างไม่คืบหน้า
ทั้งที่ผู้รับเหมาทำ�สัญญาก่อสร้างและเบิกเงินล่วงหน้าจาก กคช.
ไปแล้ว เช่น โครงการบ้านเอื้ออาทรบ่อวิน จังหวัดชลบุรี และ
โครงการบ้านเอื้ออาทรโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ
ปัญหาการคาดการณ์ยอดจองที่สูงกว่าความต้องการจริง เพื่อ
ต้องการเงินอุดหนุนจากรัฐ
อีกปัญหาหนึ่งก็คือ การซื้อที่ดินเพื่อดำ�เนินโครงการในราคา
สูงเกินจริง เช่น ปี 2548 กคช. ซื้อที่ดินจากบริษัท กลอรี่คอน-
สตรั๊คชั่น จำ�กัด เพื่อดำ�เนินโครงการบ้านเอื้ออาทรดงพระราม
จังหวัดปราจีนบุรี จำ�นวน 73 ไร่ ในราคาไร่ละ 850,000 บาท
ทั้งที่ราคาประเมินของกรมที่ดินมีราคาเพียงไร่ละ 61,000 บาท
เดือนกรกฎาคม 2549 กคช. ซื้อที่ดินจากบริษัท ไชน่า
สเตท คอนสตรัคชั่น เอนยิเนียริง (ประเทศไทย) จำ�กัด เพื่อดำ�เนิน
โครงการบ้านเอื้ออาทรรังสิต คลอง 2 จำ�นวน 42 ไร่ ในราคา
97.75 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าราคาประเมินถึง 42.75 ล้านบาท
กรณีโครงการบ้านเอื้ออาทรรังสิต คลอง 9 กคช. ซื้อที่ดิน
จากบริษัท พีเจดีซี จำ�กัด จำ�นวน 100 ไร่ ราคาไร่ละ 1 ล้านบาท
ทั้งที่นายหน้าซื้อมาจากเจ้าของที่ดินเพียงไร่ละ 550,000 บาท
นอกจากนี้ยังพบว่า ในปี 2547 มีที่ดิน 1 แปลงในตำ�บล
แสนภูดาษ อำ�เภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ กคช. ทำ�สัญญา
ซื้อขายกับผู้บริหารของ กคช. เอง ในวงเงิน 82 ล้านบาท
ข้อมูลสำ�คัญอีกชิ้นหนึ่งคือ ข้อมูลจากนายหน้าซื้อขายที่ดิน
และผู้รับเหมา ซึ่งให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ
ว่ามีการจ่ายเงิน ‘ค่าหัวคิว’ ในโครงการบ้านเอื้ออาทร โดยเริ่มจาก
นายหน้าไปติดต่อเจ้าของที่ดิน เมื่อตกลงราคากับเจ้าของที่ดินได้
ก็นำ�ไปเสนอให้ กคช. พิจารณาอนุมัติและติดต่อหาผู้รับเหมา ซึ่ง
ผู้รับเหมาจะต้องจ่ายค่าหัวคิวเป็นเงินสด 8,000-12,000 บาท
ต่อที่พัก 1 หน่วย ให้กับนักการเมืองและข้าราชการ
การทุจริตในโครงการบ้านเอื้ออาทรถูกตรวจสอบอย่าง
จริงจังในช่วงหลังรัฐประหารปี 2549 โดยในวันที่ 19 มีนาคม
2550 คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำ�ที่ก่อให้เกิดความ
เสียหายแก่รัฐ (คตส.) มีมติให้ตั้งอนุกรรมการไต่สวนดำ�เนินคดี
กับ วัฒนา เมืองสุข ซึ่งดำ�รงตำ�แหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ช่วงเดือนสิงหาคม
2548 ถึงเดือนกันยายน 2549 ในข้อหาร่วมกันทุจริตและเรียก
รับสินบน ซึ่ง คตส. ระบุว่า รูปแบบการดำ�เนินโครงการเอื้อให้
เกิดการทุจริตอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะการจ่ายเงินล่วงหน้า
ไม่เกินร้อยละ 15 ของมูลค่าของงานที่ได้รับ ทำ�ให้ให้เอกชน
มีเงินสำ�หรับจ่ายค่าหัวคิว
ต่อมา วันที่ 8 พฤษภาคม 2550 คตส. มีมติชี้มูลความ
ผิด ชวนพิศ ฉายเหมือนวงศ์ อดีตผู้ว่าการ กคช. ผู้บริหาร และ
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 93
เจ้าหน้าที่ของกคช.10คนฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือ
ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และในวันที่ 7 มกราคม 2551
คตส.ได้แจ้งข้อหาวัฒนาและพวกรวม7คนในข้อหาเรียกรับสินบน
จากผู้รับเหมา 8 ราย จำ�นวน 1,200 ล้านบาท นอกจากนี้
ยังตั้งข้อหาชวนพิศเพิ่มอีก 1 คดี ในข้อหาทุจริตต่อหน้าที่
สถานะของคดี
หลังจากคตส.หมดวาระคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม
การทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้รับเรื่องการทุจริตในโครงการบ้าน
เอื้ออาทรมาดำ�เนินการต่อ และในเดือนมิถุนายน 2552 คณะ
ทำ�งานอัยการได้พิจารณาสำ�นวนคดีที่ ป.ป.ช. มีความเห็นสั่งฟ้อง
วัฒนา เมืองสุข และพวกรวม 7 คน ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ
หน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกรณีเรียกรับเงินจาก
ผู้ประกอบการ และส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณายื่นฟ้องต่อ
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมือง ขณะ
นี้สำ�นวนคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการสูงสุด
	สำ�หรับ ชวนพิศ ฉายเหมือนวงศ์ ถูกกล่าวหาว่ากระทำ�
ความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำ�ความผิดต่อตำ�แหน่ง
หน้าที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างเอกชนในโครงการบ้านเอื้ออาทร
(โครงการอรัญประเทศ โครงการเมืองใหม่บางพลี และโครงการ
ร่มเกล้า 2) รวม 2 คดี ขณะนี้คดีอยู่ในระหว่างการไต่สวนข้อเท็จ
จริงโดย ป.ป.ช.
ผลกระทบต่อ
ประชาชน
•	 ประชาชนจำ�นวนหนึ่งได้ที่พักอาศัยช้ากว่ากำ�หนด
ขณะที่อีกจำ�นวนหนึ่งไม่ได้ที่พักอาศัย เนื่องจากบาง
โครงการหยุดดำ�เนินการ
•	 การก่อสร้างในบางโครงการไม่ได้มาตรฐาน ทำ�ให้
ผู้พักอาศัยได้รับความเดือดร้อน หรือต้องเสีย
ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม
•	 ณเดือนตุลาคม2550กคช.มีหนี้เงินกู้รวม 76,112
ล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้เงินกู้ของโครงการบ้านเอื้ออาทร
61,050 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 80 ของหนี้
เงินกู้ทั้งหมด
เมนูคอร์รัปชัน94
เอกสารอ้างอิง
•	 ขอนแก่น-หนองคาย เมีย ส.ส. ไทยรักไทย กวาด 5.2 พัน ล., หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ. 18 กันยายน 2549.
•	 ปิดตำ�นาน ‘บ้านเอื้ออาทร’ บาดแผลประชานิยม-ทุจริต 3 หมื่นล้าน, หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ. 24 ธันวาคม 2550.
•	 พิลึก บิ๊กการเคหะฯ ขายที่ให้ กคช. 82 ล. สร้างบ้านเอื้ออาทร, หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ. 4 กันยายน 2549.
•	 รังสิต คลอง 2 ที่ดินจากแบงก์ 55 ล้าน ปั่นราคา 2 รอบ ขายการเคหะฯ 97 ล้าน, หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ. 19 ตุลาคม 2549.
•	 รังสิต คลอง 9 ไร่ละ 5.5 แสน การเคหะฯ ซื้อฉลุยไร่ละ 1 ล้าน, หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ. 23 ตุลาคม 2549.
•	 วิกฤตความคิดประชานิยม สัญญาโควต้า ‘โกงกินล่วงหน้า’, หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ. 24 ธันวาคม 2550.
•	 สตง. ชงสอบบ้านเอื้ออาทร โยง รมต. ซื้อที่ดิน ‘ญาติ’ แพง 10 เท่า, หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ. 28 กันยายน 2549.
•	 สตง. ล้างบาง ‘บ้านเอื้ออาทร’ ปั่นยอดจองอุ้มผู้รับเหมา-เคหะเต้น, หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ. 24 สิงหาคม 2549.
•	 สตง. อึ้ง เคหะซื้อบ้านบริษัทญาติ ‘เพ้ง’ 2.3 หมื่นยูนิต-พงษ์ศักดิ์แจงแค่เพื่อน, หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ. 28 สิงหาคม 2549.
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 95
ความเสียหาย
คณะกรรมการตรวจสอบ
การกระทำที่กอใหเกิด
ความเสียหายแกรัฐ (คตส.)
ประเมินวาการทุจริตทำใหเกิด
ความเสียหายประมาณ
30,000ลŒานบาท
เป‡าหมายของโครงการบŒานเอื้ออาทรคือการจัดหา
ที่อยู‹อาศัยใหŒแก‹ประชาชนผูŒมีรายไดŒนŒอย
แต‹ผูŒบร�หารและเจŒาหนŒาที่ของการเคหะฯ
บางคนกลับร‹วมมือกับนักการเมืองเพ�่อหา
ผลประโยชนจากโครงการ โดยบางโครงการ
ทำสัญญากับผูŒรับเหมาที่เปšนเคร�อญาติ
หร�อผูŒใกลŒชิดของนักการเมือง บางโครงการ
ซื้อที่ดินเพ�่อดำเนินโครงการในราคาสูงเกินจร�ง
ขณะที่นักการเมืองและขŒาราชการบางคนร‹วมกัน
เร�ยกเก็บ “ค‹าหัวคิว” จากผูŒรับเหมาที่ไดŒรับงาน
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
• ประชาชนจำนวนหนึ�ง
ไดที่พักอาศัยชากวากำหนด
ขณะที่อีกจำนวนหนึ�งไมได
ที่พักอาศัย เน��องจากบางโครงการ
หยุดดำเนินการ
• การกอสรางของบางโครงการ
ไมไดมาตรฐาน ทำใหผูพักอาศัย
ไดรับความเดือดรอน หรือตอง
เสียคาใชจายในการซอมแซม
• ณ เดือนตุลาคม 2550
การเคหะฯ มีหน�้เงินกูรวม
76,112 ลานบาท ซึ�งเปนหน�้เงินกู
ของโครงการบานเอื้ออาทร
61,050 ลานบาท หรือคิดเปน
80% ของหน�้เงินกูทั้งหมด
บŒานเอื้ออาทร:
ผลประโยชนทับซŒอน
ป˜›นราคาที่ดิน เก็บค‹าหัวคิว
16
สถานะ
• คณะทำงานอัยการสงเรื่อง
ใหอัยการสูงสุดพิจารณายื่นฟอง
นายวัฒนา เมืองสุข อดีต
รมว.พัฒนาสังคมฯ และพวก
รวม 7 คน ขณะน�้สำนวนคดี
อยูระหวางการพิจารณาของ
อัยการสูงสุด
• ผูวาการการเคหะฯ ในขณะนั้น
ถูกกลาวหาวากระทำความผิด
2 คดี ขณะน�้ทั้งสองคดี
อยูระหวางการไตสวนขอเท็จจริง
โดย ป.ป.ช.
-การเคหะฯ ทำสัญญากับ
ผูรับเหมาที่เปนเครือญาติ
หรือผูใกลชิดของนักการเมือง
หลายโครงการ เชน
โครงการหนองคาย 2
การเคหะฯ ทำสัญญากับ
บริษัทของภรรยาอดีต ส.ส.
หนองคาย พรรคไทยรักไทย
-ผูรับเหมารายหนึ�งใหขอมูล
วาตองจายคาหัวคิวประมาณ
8,000-12,000 บาท
ตอที่พักอาศัย 1 หน�วย
ใหกับนักการเมืองและ
ขาราชการ
-สตง. พบขอมูลวาผูรับเหมา
บางรายปนตัวเลขผูจองบาน
สูงกวาความตองการจริง
เพื่อนำโครงการมาขายให
การเคหะฯ โดยหวังไดรับ
เงินอุดหนุน
-การเคหะฯ ซื้อที่ดินเพื่อ
ดำเนินโครงการสูงเกินจริง
เชน โครงการดงพระราม
จังหวัดปราจีนบุรี
(เขตพื้นที่ของ รมว.
พัฒนาสังคมฯ ในขณะนั้น)
การเคหะฯ ซื้อที่ดินจาก
ผูรับเหมาไรละ 850,000 บาท
ทั้งที่กรมที่ดินประเมินราคา
เพียงไรละ 61,000 บาท
ผลประโยชนทับซŒอน
ป�›นราคาที่ดินขายการเคหะฯ
เก็บค‹าหัวคิว
ป��นยอดจองเกินจร�ง
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 9796
17
เรื่องน้ำ�เน่า โครงการ
บำ�บัดน้ำ�เสียคลองด่าน
ปูมหลัง
โครงการจัดการน้ำ�เสียเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดสมุทรปราการ เป็นโครงการที่ได้รับความ
ช่วยเหลือด้านการเงินจากธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian Development Bank: ADB)
เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษของจังหวัดสมุทรปราการ โดย ABD ว่าจ้างบริษัท มอนต์โกเมอรี วัตสัน
เอเชีย จำ�กัด (Montgomery Watson Asia: MWH) และคณะ ทำ�การศึกษาความเป็นไปได้ของ
โครงการ
เดือนเมษายน 2538 MWH และคณะ เสนอให้แบ่งโครงการบำ�บัดน้ำ�เสียเป็น 2 ระบบ คือ
ฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก โดยฝั่งตะวันออกจะระบายน้ำ�เสียลงทะเล ส่วนฝั่งตะวันตกจะระบาย
น้ำ�เสียลงคลอง ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในระยะยาว รวมถึงมีค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงน้อยที่สุด
ทั้งนี้ บริษัทเสนอให้มีโรงบำ�บัดน้ำ�เสีย 2 แห่งในแต่ละฝั่งของจังหวัดสมุทรปราการ โดยฝั่ง
ตะวันออกเสนอให้มีโรงบำ�บัดน้ำ�เสียที่ตำ�บลบางปูใหม่ ขนาดที่ดิน 1,550 ไร่ และฝั่งตะวันตก
เสนอที่ตำ�บลคลองบางปลากด ขนาดที่ดิน 350 ไร่
หลังจากนั้นในเดือนมิถุนายน 2538 คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเห็นชอบให้ดำ�เนิน
โครงการตามรูปแบบที่MWHและคณะได้ทำ�การศึกษาต่อมาในเดือนตุลาคม2538คณะรัฐมนตรี
เห็นชอบในหลักการการดำ�เนินโครงการ และเดือนธันวาคม 2538 กรมควบคุมมลพิษจึงประกาศ
ประกวดราคาโครงการ ภายใต้เงื่อนไขการดำ�เนินโครงการ ‘แบบ 2 ฝั่ง’
เมนูคอร์รัปชัน98
เส้นทางผลประโยชน์
การดำ�เนินโครงการจัดการน้ำ�เสียเขตควบคุมมลพิษ จังหวัด
สมุทรปราการ มีจุดสังเกตที่แสดงให้เห็นถึงความไม่ถูกต้องหลาย
ประการ สรุปได้ดังนี้
1. ในขั้นตอนการคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเบื้องต้นเพื่อเข้า
ประกวดราคา ได้คัดเลือกให้กลุ่มกิจการร่วมค้า NVPSKG (N
คือ บริษัท นอร์ธเวส วอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำ�กัด, V คือ
บริษัท วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำ�กัด, P คือ บริษัท ประยูรวิศว์การ
ช่าง จำ�กัด, S คือ บริษัท สี่แสงการโยธา (1979) จำ�กัด, K คือ
บริษัท กรุงธนเอนยิเนียร์ จำ�กัด, G คือ บริษัท เกตเวย์ ดิเวลลอป
เมนต์ จำ�กัด) ผ่านคุณสมบัติ ทั้งที่ไม่มีคุณสมบัติตามที่กำ�หนด
ในเอกสารการประกวดราคา
2. ประกาศให้พื้นที่ในตำ�บลคลองด่าน ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันออก
อำ�เภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการ
และมีการเพิ่มพื้นที่ของโครงการฝั่งตะวันออก จาก 1,550 ไร่
เป็น 1,900 ไร่ ทำ�ให้ที่ดินของบริษัท คลองด่านมารีน แอนด์ ฟิช
เชอรี่ จำ�กัด มีคุณสมบัติเพียงรายเดียว (บริษัท คลองด่านมารีนฯ
มีสำ�นักงานอยู่ที่เดียวกันกับบริษัท ปาล์ม บีช ดีเวลลอปเม้นท์
จำ�กัด ซึ่งน้องของ วัฒนา อัศวเหม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง
มหาดไทยในขณะนั้น ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 22 อีกทั้ง ป.ป.ช. ระบุว่า
ผู้ถือหุ้นของบริษัท คลองด่านมารีนฯ และบริษัท ปาล์ม บีชฯ เป็น
บุคคลกลุ่มเดียวกัน)
3. ยิ่งพันธ์ มนะสิการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ในขณะนั้น ร่วมกับข้าราชการระดับสูง
ในกรมควบคุมมลพิษ 4 ราย เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเป็นวาระ
‘เพื่อทราบ’ ให้เพิ่มงบประมาณจาก 12,800 ล้านบาท เป็น
22,900 ล้านบาท โดยไม่มีที่มาว่างบประมาณที่เพิ่มขึ้นมาจาก
การศึกษาของผู้ใด
4. ขั้นตอนการเจรจาต่อรองไม่ได้ดำ�เนินการในรูปแบบของ
คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา แต่ดำ�เนินการโดย
ปกิต กิระวานิช อธิบดีกรมควบคุมมลพิษในขณะนั้น และพวก
ซึ่งไม่มีหน้าที่ต่อรองราคา ทำ�ให้ภาครัฐเสียเปรียบ และเป็นการ
เอื้อประโยชน์แก่กิจการร่วมค้า NVPSKG เช่น ต่อรองลดขอบเขต
ของโครงการ ต่อรองลดหลักประกันต่างๆ ต่อรองให้มีการจ่ายเงิน
ล่วงหน้าเกินกว่าที่กำ�หนดไว้ในเอกสารการประกวดราคา เป็นต้น
5. ขั้นตอนการส่งเรื่องให้สำ�นักงบประมาณพิจารณาความ
เหมาะสมของงบประมาณโดยปกิตส่งรายละเอียดการเปรียบเทียบ
ราคาที่ได้รับอนุมัติครั้งแรกกับราคาที่เพิ่มขึ้น ทั้งที่ไม่เคย
ส่งรายละเอียดของราคาให้สำ�นักงบประมาณพิจารณา อีกทั้ง
รายละเอียดของราคาที่เพิ่มขึ้นก็ไม่ตรงกับที่ต่อรอง โดยระบุ
ราคาของบางรายการสูงกว่าที่ต่อรอง หรือไม่แสดงราคาของบาง
รายการ
6. ปกิตไม่ได้เสนอเรื่องการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการก่อสร้าง
เป็นแบบ ‘รวมฝั่ง’ และการขอเพิ่มงบประมาณให้คณะรัฐมนตรี
พิจารณาเห็นชอบ โดยเสนอเพียงเรื่องการขอขยายเวลาก่อหนี้
ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ 2540-2544 เป็น
2540-2545 คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบเรื่องการขยายเวลา
ก่อหนี้ผูกพันเพียงเรื่องเดียว
7. คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาและคณะ
กรรมการตรวจการจ้างไม่เคยตรวจสอบที่ดินที่จัดซื้อ และไม่ได้
นำ�ราคาที่ดินและ/หรือสิ่งก่อสร้างใกล้เคียงและราคาประเมินจาก
ธนาคารพาณิชย์มาเปรียบเทียบ เพื่อให้ได้ราคาที่ดินที่เหมาะสม
แต่ซื้อที่ดินจากบริษัท คลองด่านมารีนฯ ในวงเงินสูงถึง 1,960
ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าราคาประเมินถึง 1,040 ล้านบาท รวมถึง
ยังมีการเปิดเผยในภายหลังอีกว่า ที่ดินดังกล่าวออกโดยไม่ชอบ
ด้วยกฎหมาย เนื่องจากเป็นคลองสาธารณประโยชน์ ทาง
สาธารณประโยชน์ และเป็นที่หวงห้ามของราชการ
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 99
สถานะของคดี
วัฒนา อัศวเหม
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (15 พฤศจิกายน 2540 - 9 กุมภาพันธุ์ 2544)
วันที่ 18 สิงหาคม 2551 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมืองพิพากษา
จำ�คุกวัฒนาเป็นเวลา 10 ปี เนื่องจากใช้อำ�นาจข่มขู่หรือจูงใจเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองและ
เจ้าหน้าที่ของสำ�นักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี ให้ออกโฉนดที่ดิน 1,900 ไร่ ทับที่
คลองสาธารณประโยชน์และที่เทขยะมูลฝอยซึ่งเป็นที่หวงห้าม เพื่อนำ�ไปขายให้กรมควบคุมมลพิษ
วันที่ 12 พฤศจิกายน 2552 ศาลแขวงดุสิตพิพากษาจำ�คุกวัฒนากับพวกรวม 10 คน คนละ
3 ปี ในคดีที่กรมควบคุมมลพิษยื่นฟ้องในความผิดฐานฉ้อโกง กรณีร่วมกันทุจริตจัดซื้อที่ดินจำ�นวน
1,900 ไร่ มูลค่าประมาณ 18,000 ล้านบาท
ยิ่งพันธ์ มนะสิการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม (18 กรกฎาคม 2538 - 4
ตุลาคม 2541) และ ส.ส. พรรคประชากรไทย
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พบว่า ยิ่งพันธ์ร่วมมือกับ
ข้าราชการกรมควบคุมมลพิษเปลี่ยนแปลงรูปแบบโครงการ และเพิ่มพื้นที่ที่ใช้ก่อสร้างโรงบำ�บัด
น้ำ�เสีย รวมทั้งดำ�เนินการขอเพิ่มงบประมาณการก่อสร้างเพื่อเอื้อประโยชน์แก่กิจการร่วมค้า
NVPSKG
ป.ป.ช. มีมติว่า ยิ่งพันธ์มีความผิดหลายข้อหา แต่เนื่องจากเสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม
2546 จึงมีมติให้จำ�หน่ายเรื่องออกจากสารบบเรื่องกล่าวหา
เมนูคอร์รัปชัน100
ผลกระทบต่อ
ประชาชน
•	 ระบบบำ�บัดน้ำ�เสียไม่เกิดขึ้น ทั้งที่รัฐบาลสูญเสียงบประมาณ
ไปแล้วเกือบ 23,000 ล้านบาท
•	 ปัญหาน้ำ�เสียในจังหวัดสมุทรปราการไม่ได้รับการแก้ไข
เอกสารอ้างอิง
•	 เปิดสำ�นวน ‘ป.ป.ช.’ คดีคลองด่าน
เหตุไฉน ‘สุวัจน์’ หลุดบ่วง ฉบับสมบูรณ์,
มติชนออนไลน์, 8 ธันวาคม 2554.
•	 ศาลฎีกาสั่งจำ�คุก 10 ปี ‘วัฒนา อัศวเหม’
ทุจริตคลองด่าน, หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์,
19 สิงหาคม 2551.
•	 ศาลพิพากษาจำ�คุก ‘วัฒนา อัศวเหม’
อดีต รมช.มท. กับพวก 10 คน คนละ 3
ปี ทุจริตที่ดินคลองด่าน, มติชนออนไลน์,
12 พฤศจิกายน 2552.
ข้าราชการระดับสูงที่เกี่ยวข้อง
ป.ป.ช. มีมติว่า ปกิต กิระวานิช (เมื่อครั้งดำ�รงตำ�แหน่งอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ) ศิริธัญญ์
ไพโรจน์บริบูรณ์ (เมื่อครั้งดำ�รงตำ�แหน่งรองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษและอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ)
นิศากร โฆษิตรัตน์ (เมื่อครั้งดำ�รงตำ�แหน่งผู้อำ�นวยการกองจัดการคุณภาพน้ำ� กรมควบคุมมลพิษ)
และ ยุวรี อินนา (เมื่อครั้งดำ�รงตำ�แหน่งนักวิชาการสิ่งแวดล้อม 7 และผู้อำ�นวยการกองจัดการ
คุณภาพน้ำ� กรมควบคุมมลพิษ) กระทำ�ความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และมีความผิดทางอาญา
ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ� จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ได้กระทำ�การทุจริตต่อหน้าที่
อันเป็นการเสียหายแก่รัฐและฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อ
ให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต จึงส่งรายงาน
เอกสาร และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำ�เนินคดีอาญา
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 101
ที่ดินฝงตะวันออก
ที่ดินฝงตะวันตก
สเปกเดิม
1,550 350
หน�วย:ไรหน�วย:ไร
วัฒนา อัศวเหม
รมช.มหาดไทย
ถูกตัดสินจำคุก 10 ป
หลบหนี
ยิ�งพันธ มนะสิการ
รมต.วิทยาศาสตรฯ
ถูกตัดสินวามีความผิด
แตเน��องจากเสียชีวิตไปแลว
จำหน‹ายคดี
เนื่องจากเสียชีว�ต
สุวัจน ลิปตพัลลภ
รมต.วิทยาศาสตรฯ
ไมอยูในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
รอด
สถานะป˜จจ�บันโครงการบำบัดน้ำเสียคลองด‹าน:
ล็อกสเปก/เปลี่ยน
เง�่อนไขเอื้อพวกพŒอง
17
จากการศึกษาความเปšนไปไดŒของโครงการ
รูปแบบที่ดีและถูกที่สุดของโครงการบำบัดน้ำเสีย
คลองด‹าน คือการก‹อสรŒางโรงบำบัดน้ำเสีย
ทั้งฝ˜›งตะวันออกและฝ˜›งตะวันตกของจังหวัด
สมุทรปราการ แต‹กรมควบคุมมลพ�ษ
กลับเปลี่ยนรูปแบบเปšนการก‹อสรŒางที่ฝ˜›งตะวันออก
เพ�ยงฝ˜›งเดียว ซึ่งเปšนการเอื้อประโยชนแก‹บร�ษัท
คลองด‹านมาร�น แอนด ฟ�ชเชอร�่ จำกัด
เนื่องจากบร�ษัทดังกล‹าวมีที่ดินที่มีคุณสมบัติ
ตรงตามเง�่อนไขเพ�ยงรายเดียว ทั้งนี้
บร�ษัทดังกล‹าวซื้อที่ดินมาจากบร�ษัท ปาลม บีช
ดีเวลลอปเมŒนท จำกัด ซึ่งมีบร�ษัทและนŒองชายของ
นายวัฒนา อัศวเหม รมช.มหาดไทยในขณะนั้น
เปšนหนึ่งในผูŒถือหุŒน
01
กรมควบคุมมลพิษประกาศ
ใหพื้นที่ในตำบลคลองดาน
ใชกอสรางโครงการฝง
ตะวันออกได และเปลี่ยนแปลง
เงื่อนไขการประกวดราคา จากเดิม
ที่แยกเปนฝงตะวันออกและฝงตะวันตก
เปนแบบรวมไวที่ฝงตะวันออก
เพียงฝงเดียว
02
การเปลี่ยนแปลงพื้นที่โครงการ
และรูปแบบระบบบำบัดน้ำเสีย
ทำใหมีบริษัทเพียงแหงเดียว
ที่มีที่ดินที่มีคุณสมบัติ
ตรงตามเงื่อนไข
03
กรมควบคุมมลพิษขอเพิ�ม
งบประมาณจาก
1.28 หมื่นลานบาท
เปน 2.29 หมื่นลานบาท
โดยไมผานการพิจารณา
จากสำนักงบประมาณ
04
มีการตอรองใหลดขอบเขต
และปริมาณงาน รวมถึง
การจายเงินลวงหนามากขึ้น
ซึ�งเปนการดำเนินการที่ทำให
รัฐสูญเสียผลประโยชน
มูลค‹า
ความเสียหาย
ค‹าที่ดิน
1,960,000,000
บาท
ค‹าก‹อสรŒางระบบบำบัดน้ำเสียและ
ค‹าจŒางบร�ษัทศึกษาความเปšนไปไดŒ
ของโครงการ
21,000,000,000
บาท
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
• ระบบบำบัดน้ำเสียไมเกิดขึ้น
ทั้งที่รัฐบาลสูญเสียงบประมาณ
ไปแลว
• ปญหาน้ำเสียในจังหวัดสมุทร-
ปราการไมไดรับการแกไข
บันได 4 ขั้น
1,900
เปลี่ยนเง�่อนไข
เอื้อพวกพŒอง
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 103102
18
เมื่อกระทรวงหมอ
เลือกข้างพ่อค้ายา
ปูมหลัง
กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศกำ�หนดราคากลางของยาตามบัญชียาหลักแห่งชาติเป็น
ครั้งแรกเมื่อปี 2529 เพื่อเป็นกลไกควบคุมการจัดซื้อยาด้วยวิธีตกลงราคาหรือวิธีพิเศษให้อยู่ใน
ระดับที่เหมาะสม ทำ�ให้โรงพยาบาลไม่ต้องซื้อยาและเวชภัณฑ์ในราคาแพงกว่าปกติ
เส้นทางผลประโยชน์
เดือนธันวาคม 2540 รักเกียรติ สุขธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้น
ออกประกาศยกเลิกราคากลางของยาตามบัญชียาหลักแห่งชาติ ซึ่งเป็นการเปิดช่องให้บริษัท
ผู้จำ�หน่ายยาสามารถจำ�หน่ายยาและเวชภัณฑ์ให้แก่โรงพยาบาลและสำ�นักงานสาธารณสุข
ในราคาแพงกว่าปกติ โดยรักเกียรติให้เหตุผลว่า การประกาศลอยตัวค่าเงินบาทและการปรับ
อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากเดิมร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 10 ในช่วงกลางปี 2540 ส่งผลกระทบ
ต่อโครงสร้างต้นทุนและราคาสินค้า รวมถึงยาและเวชภัณฑ์ บริษัทผู้ผลิตและจำ�หน่ายยาจึง
ไม่สามารถจำ�หน่ายยาในราคาเดิมได้
เมนูคอร์รัปชัน104
ต่อมา รักเกียรติตั้งคณะกรรมการพิจารณากำ�หนดราคายา
ขึ้นใหม่เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2541 ซึ่งทำ�ให้มีราคากลางของยา
ฉบับใหม่ เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2542 หลังจากที่รักเกียรติลาออก
จากตำ�แหน่งแล้ว อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลา 1 ปีเศษที่ไม่มีการ
กำ�หนดราคากลางของยากระทรวงสาธารณสุขต้องใช้งบประมาณ
ในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์เพิ่มขึ้นมาก รวมทั้งต้องจัดสรร
งบประมาณเพิ่มเติมไปใช้หนี้ค่ายาและจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์
1,400 ล้านบาท ในเดือนมิถุนายน 2541
หลังมีการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมดังกล่าว ปรากฏ
ข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับการทุจริตยาและเวชภัณฑ์ภายในกระทรวง
สาธารณสุข หน่วยงานต่างๆ จึงตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อ
เท็จจริง ซึ่งรวมถึงคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีมีข่าว
ทุจริตการซื้อยาของกระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมการสอบสวน
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับองค์การเภสัชกรรม และคณะอนุกรรมาธิการ
ในคณะกรรมาธิการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร เพื่อศึกษา
เรื่องการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์แพงกว่าความเป็นจริง โดยคณะ
กรรมการชุดต่างๆ สรุปผลการสอบสวนข้อเท็จจริง ดังนี้
1. สำ�นักงานสาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาลบางแห่ง
มีพฤติกรรมทุจริตการจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือ และวัสดุ
ทางการแพทย์ โดยนักการเมืองและข้าราชการในกระทรวง
สาธารณสุขบางคนใช้วิธีการต่างๆ เพื่อให้สาธารณสุขจังหวัด
หลายจังหวัดร่วมมือในการจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือ และวัสดุ
ทางการแพทย์ จากเอกชนในราคาแพงกว่าปกติ
2. การจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์จากผู้ผลิตอื่นผ่านองค์การ
เภสัชกรรม มีราคาแพงกว่าที่ควรจะเป็น ตั้งแต่ร้อยละ 50-300 ใน
34 จังหวัด คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 181.7 ล้านบาท
3. การจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์แพงกว่าความเป็นจริง
ดังกล่าวเกิดจากการกระทำ�เป็นขบวนการด้วยการวางแผนสั่งการ
ประสานงาน และสมยอมกัน
นอกจากนี้ หน่วยงานอื่นๆ ก็มีการสืบสวนข้อเท็จจริง
ในกรณีดังกล่าว โดยสำ�นักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)
ตรวจสอบพบว่าในปี2541การจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์บางรายการ
มีราคาแตกต่างกันมาก เช่น จัดซื้อจากผู้ขายรายเดียวกัน ใช้เงิน
งบประมาณประเภทเดียวกัน เดือนเดียวกัน แต่ราคากลับต่างกัน
ต่อมา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและ
ประพฤติมิชอบในวงราชการ (ป.ป.ป.) ได้สอบสวนเพิ่มเติมและ
มีความเห็นว่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมีความบกพร่องโดยไม่กำ�หนด
ราคากลางของยา ทำ�ให้มีการฉวยโอกาสทุจริต ป.ป.ป. จึงชี้มูล
ความผิดเจ้าหน้าที่และลงโทษทางวินัย โดยไล่ออกจากราชการ
2 คน และปลดออกจากราชการ 5 คน ขณะที่การดำ�เนินการ
กับข้าราชการการเมืองถูกส่งต่อไปยังคณะกรรมการป้องกันและ
ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ภายหลังการประกาศใช้
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการป้องกัน
และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542
ทั้งนี้ บริษัท ที เอ็น พี เฮลท์แคร์ จำ�กัด เป็นบริษัทผู้จำ�หน่าย
ยาแห่งหนึ่งซึ่งได้ประโยชน์จากการยกเลิกการกำ�หนดราคากลาง
ของยา โดยในเดือนสิงหาคมและกันยายน 2541 บริษัทดังกล่าว
ได้รับใบสั่งซื้อยาผ่านองค์การเภสัชกรรมมูลค่า 11.3 ล้านบาท
และ 8.3 ล้านบาท ตามลำ�ดับ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนหน้านั้น
ป.ป.ช. สอบสวนข้อเท็จจริงพบว่า เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม
2541 จิรายุ จรัสเสถียร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวง
สาธารณสุข ได้รับแคชเชียร์เช็คจำ�นวน 5 ล้านบาท จากสุภชัย
วีระภุชงค์รองกรรมการผู้จัดการบริษัทไทยนครพัฒนาจำ�กัดและ
กรรมการบริษัท ที เอ็น พี เฮลท์แคร์ จำ�กัด และนำ�แคชเชียร์เช็ค
ดังกล่าวไปเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ในชื่อของตนเอง จึงส่งเรื่อง
ต่อให้อัยการสูงสุดดำ�เนินคดีกับจิรายุ ต่อมา ศาลฎีกาแผนกคดี
อาญาของผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมือง ตัดสินว่า คำ�ให้การของ
จิรายุที่ว่าแคชเชียร์เช็คดังกล่าวเป็นเงินที่ตนกู้ยืมจากสุภชัยนั้น
เป็นการซ่อนเร้นอำ�พรางข้อเท็จจริง จึงมีคำ�พิพากษาลงโทษจำ�คุก
จิรายุ 6 ปี1
จากการใช้อำ�นาจในตำ�แหน่งโดยมิชอบ แสวงหา
ผลประโยชน์
หลังจากถูกพิพากษาจำ�คุก จิรายุให้การต่อ ป.ป.ช. ว่า
แคชเชียร์เช็คดังกล่าวเป็นเงินที่สุภชัยมอบให้รักเกียรติ เพื่อ
ตอบแทนที่รักเกียรติช่วยให้กระทรวงสาธารณสุขจัดซื้อยาจาก
บริษัท ไทยนครพัฒนา จำ�กัด รักเกียรติจึงให้จิรายุนำ�แคชเชียร์
เช็คเข้าบัญชีเงินฝาก โดยเปิดบัญชีในชื่อจิรายุ แต่เงินส่วนใหญ่
ในบัญชีเป็นของรักเกียรติ
1  	 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 1/2545
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 105
นอกจากนี้ จิรายุยังแสดงหลักฐานบันทึกช่วยจำ�ระหว่างตน
กับรักเกียรติ ซึ่งระบุว่ารักเกียรติฝากเงินไว้เมื่อใด จำ�นวนเท่าใด
และเบิกไปเมื่อใด จำ�นวนเท่าใด โดยรักเกียรติจะตรวจสอบบันทึก
ช่วยจำ�ดังกล่าว และลงลายมือชื่อหรือเขียนกำ�กับว่า ‘OK’ เป็น
ครั้งคราวหลังการตรวจสอบ
สถานะของคดี
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมืองมีคำ�พิพากษาเมื่อวันที่ 30 กันยายน
25462
ว่า รักเกียรติ สุขธนะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีพฤติการณ์ร่ำ�รวยผิดปกติ
และให้ยึดทรัพย์สินมูลค่า 233.88 ล้านบาท เป็นของแผ่นดิน เนื่องจากรักเกียรติไม่สามารถชี้แจง
ที่มาหรือพิสูจน์ได้ว่า ได้ทรัพย์สินดังกล่าวมาโดยชอบ
คำ�พิพากษายึดทรัพย์นี้ สืบเนื่องมาจากกรณีการทุจริตการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ของกระทรวง
สาธารณสุข ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมืองมีคำ�พิพากษาเมื่อวันที่ 30
กันยายน 25463
ให้ลงโทษจำ�คุกนายรักเกียรติ 15 ปี
ผลกระทบต่อประชาชน
•	 การยกเลิกราคากลางของยาโดยไม่มีการกำ�หนดราคากลางใหม่ ทำ�ให้กระทรวงสาธารณสุข
ต้องใช้งบประมาณในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์เพิ่มขึ้นมาก จนต้องจัดสรรงบประมาณเพิ่ม
เติม 1,400 ล้านบาท ในเดือนมิถุนายน 2541
•	 คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับองค์การเภสัชกรรม ประมาณการว่า การซื้อยา
และเวชภัณฑ์มีราคาแพงกว่าที่ควรจะเป็นตั้งแต่ร้อยละ 50-300 ใน 34 จังหวัด คิดเป็นมูลค่า
ความเสียหายเฉพาะที่ตรวจสอบพบประมาณ 181.7 ล้านบาท
2  	 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 2/2546
3  	 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 1/2546
เมนูคอร์รัปชัน106
เอกสารอ้างอิง
•	 คำ�พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขแดงที่ อม. 1/2545
•	 คำ�พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขแดงที่ อม. 1/2546
•	 คำ�พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขแดงที่ อม. 2/2546
•	 องค์การเภสัชกรรม, รายงานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับองค์การเภสัชกรรม, 2542.
เช็คราคายา ก่อนและหลังยกเลิกราคากลาง
ชื่อยา สรรพคุณ ราคากลาง
(บาท)
ราคาหลังยกเลิกราคา
กลาง (บาท)
Allopurinol100 mg รักษาโรคเกาต์ 568 1,200-1,500
Ampicillin(ยาฉีด) รักษาโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย 1,100 2,100-3,000
Dimenhydrinate 50 mg แก้เมารถ เมาเรือ 180 1,650
Ketoconazole 200 mg ติดเชื้อรา กลาก เกลื้อน 2,500 5,000
Mebendazole(ยาน้ำ�) รักษาพยาธิ 684 1,300-2,300
Furosemide(ยาฉีด) ขับปัสสาวะ รักษาโรคความดันโลหิตสูง 227 825-773
Griseofulvin 125 mg รักษาโรคเชื้อราที่ผิวหนัง หนังศีรษะ เล็บมือ เล็บเท้า 534 1,000-1,182
Ibuprofen 200 mg แก้ปวดศีรษะไมเกรน ปวดข้อ 220 700-1,000
Metformin500 mg รักษาโรคเบาหวาน 396 1,040-1,683
Mefenamic acid 250 mg แก้ปวดประจำ�เดือน 550 1,500
Naproxen250 mg แก้ปวดไขข้ออักเสบ 2,352 5,000
Flunarizine5 mg แก้ปวดศีรษะไมเกรน 275 2,717
Cloxaciilin(ยาฉีด) รักษาโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย 1,400 2,500-3,000
Ibuprofen 400 mg แก้ปวดศีรษะไมเกรน ปวดข้อ 2,150 5,750-8,210
Isosorbide10 mg รักษาโรคหัวใจ 300 700-1,375
Terbutaline 2.5 mg บรรเทาอาการหายใจขัดจากโรคหอบหืด 195 450-1,800
ที่มา: รายงานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับองค์การเภสัชกรรม (2542)
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 107
มูลค‹า
ความเสียหาย
Dimenhydrinate 50 mg
แกเมารถ เมาเรือ
ราคากลาง 180
หลังยกเลิก 1650
Ibuprofen 200 mg
แกปวดศีรษะไมเกรน ปวดขอ
ราคากลาง 220
หลังยกเลิก 850
Naproxen 250 mg
แกปวดไขขออักเสบ
ราคากลาง 2,352
หลังยกเลิก 5,000
Terbutaline 2.5 mg
บรรเทาอาการหายใจขัด
จากโรคหอบหืด
ราคากลาง 195
หลังยกเลิก 1125
Flunarizine 5 mg
แกปวดศีรษะไมเกรน
ราคากลาง 275
หลังยกเลิก 2,717
บันได 3 ขั้น
01
02
03
รัฐมนตรีออกประกาศยกเลิก
ราคากลางของยา
นักการเมืองและขาราชการใช
วิธีการตางๆ เพื่อใหหน�วยงาน
ดานสาธารณสุขของรัฐจัดซื้อ
ยาและเวชภัณฑจากบริษัท
ที่ตนแนะนำ
บริษัทยามอบเงินใหรัฐมนตรี
เพื่อตอบแทนที่ชวยให
กระทรวงสาธารณสุขจัดซื้อยา
ของบริษัทในราคาแพงกวา
ปกติ
988%
576%
เพ��มข�้น
Terbutaline 2.5 mg
บรรเทาอาการหายใจขัด
จากโรคหอบหืด
เพ��มข�้น
Flunarizine 5 mg
แกŒปวดศีรษะไมเกรน
916%
เพ��มข�้น
Dimenhydrinate 50 mg
แกŒเมารถ เมาเร�อ
386%
เพ��มข�้น
Ibuprofen 200 mg
แกŒปวดศีรษะไมเกรน
ปวดขŒอ
คดีทุจร�ตยากระทรวงสาธารณสุข:
ยกเลิกราคากลาง
เอื้อเอกชน
18
เดือนธันวาคม 2540 นายรักเกียรติ สุขธนะ
รัฐมนตร�ว‹าการกระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้น
ออกประกาศยกเลิกราคากลางของยา
ตามบัญชียาหลักแห‹งชาติ ซึ่งเปšนการเปดช‹องใหŒ
บร�ษัทผูŒจำหน‹ายยาสามารถจำหน‹ายยา
และเวชภัณฑใหŒแก‹โรงพยาบาลและสำนักงาน
สาธารณสุขในราคาแพงกว‹าปกติ
ในเวลาต‹อมา นายรักเกียรติมีคำสั่งแต‹งตั้ง
คณะกรรมการพ�จารณากำหนดราคายาข�้นใหม‹
แต‹ช‹วงเวลาหนึ่งป‚เศษที่ไม‹มีราคากลางของยา
กระทรวงสาธารณสุขตŒองใชŒงบประมาณ
ในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑเพ��มข�้นมาก โดยคณะ
กรรมการสอบสวนขŒอเท็จจร�งประมาณการว‹า
การซื้อยาและเวชภัณฑมีราคาแพงกว‹า
ที่ควรจะเปšนตั้งแต‹ 50-300%
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
• การยกเลิกราคากลางของยา
โดยไมมีการกำหนดราคากลาง
ใหม ทำใหกระทรวงสาธารณสุข
ตองใชงบประมาณในการจัดซื้อ
ยาและเวชภัณฑเพิ�มขึ้นมาก
จนตองจัดสรรงบประมาณ
เพิ�มเติม 1,400 ลานบาทในเดือน
มิถุนายน 2541
• คณะกรรมการสอบสวน
ขอเท็จจริงเกี่ยวกับองคการ
เภสัชกรรมประมาณการวา
การซื้อยาและเวชภัณฑมีราคา
แพงกวาที่ควรจะเปนตั้งแต
50-300% ใน 34 จังหวัด
คิดเปนมูลคาความเสียหาย
เฉพาะที่ตรวจสอบพบประมาณ
181.7 ลานบาท
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญา
ของผูดำรงตำแหน�งทางการเมือง
มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30
กันยายน 2546 วานายรักเกียรติ
สุขธนะ มีพฤติการณร่ำรวย
ผิดปกติ และใหยึดทรัพยสินมูลคา
233.88 ลานบาทเปนของแผนดิน
กอนหนานั้น ศาลฎีกาแผนก
คดีอาญาของผูดำรงตำแหน�ง
ทางการเมืองมีคำพิพากษาลงโทษ
จำคุกนายรักเกียรติ 15 ป
ฐานเปนเจาพนักงานเรียก รับ
หรือยอมจะรับทรัพยสินหรือ
ประโยชนอื่นใดสำหรับตนเอง
หรือผูอื่นโดยมิชอบ
สถานะป˜จจ�บัน
จำคุก/ชดใชŒ
212%
Naproxen 250 mg
แกŒปวดไขขŒออักเสบ
เพ��มข�้น
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 109108
19
ส.ป.ก. 4-01
แจกที่ดินเศรษฐี
ปูมหลัง
21 ตุลาคม 2535 ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้แถลงนโยบายของรัฐบาลต่อ
รัฐสภา โดยนโยบายข้อ 4.2.4 ระบุว่า รัฐบาลจะ “เร่งรัดการปฏิรูปที่ดินและการออกเอกสารสิทธิ์
เพื่อกระจายสิทธิ์การถือครองที่ดินให้แก่เกษตรกรผู้ยากไร้ และเกษตรกรที่ครอบครองทำ�กินอยู่ใน
ที่ดินของรัฐประเภทต่างๆ โดยจะปรับปรุงกลไกการบริหารและการจัดการของรัฐ ตลอดจนจัดสรร
งบประมาณให้สามารถครอบคลุมพื้นที่ได้โดยเฉลี่ยปีละประมาณ 4 ล้านไร่”
นโยบายดังกล่าวเป็นที่มาของการแจกเอกสารสิทธิ์ ‘ส.ป.ก. 4-01’ ให้กับผู้มีสิทธิ์ทั่วประเทศ
โดย ณ เดือนพฤศจิกายน 2537 สุเทพ เทือกสุบรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและ
สหกรณ์ ผู้กำ�กับดูแลสำ�นักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ระบุว่า ในรอบ 2 ปี (2535-
2537) มีการแจกเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. 4-01 ไปแล้ว 592,809 ราย ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 11
ล้านไร่ ซึ่งไม่เคยมีรัฐบาลชุดใดออกเอกสารสิทธิ์ได้มากเท่านี้
เมนูคอร์รัปชัน110
เส้นทางผลประโยชน์
	ความไม่ชอบมาพากลของการแจกเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก.
4-01 ปรากฏเป็นข่าวทางหนังสือพิมพ์วันที่ 20 พฤศจิกายน
2537 เมื่อผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ มติชน พบว่า ผู้ที่เข้าแถวรอรับ
เอกสารสิทธิ์ในพิธีมอบเอกสารสิทธิ์ให้กับราษฎรในจังหวัดภูเก็ต
เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2537 จำ�นวนหนึ่งเป็นนักธุรกิจและ
คนใกล้ชิดนักการเมือง เช่น ทศพร เทพบุตร ส.จ. ภูเก็ต และสามี
ของ อัญชลี วานิช เทพบุตร ส.ส. ภูเก็ต พรรคประชาธิปัตย์ และ
ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ในขณะนั้น
บันลือ ตันติวิท เจ้าของโรงแรมป่าตองรีสอร์ต บุ่นเก้ง ศรีแสน
สุชาติ เจ้าของบริษัท ศรีสุชาติขนส่ง จำ�กัด และ สุรศักดิ์ หงษ์หยก
ผู้จัดการบริษัท อนุภาษธุรกิจและการค้าภูเก็ต จำ�กัด ตัวแทน
จำ�หน่ายรถยนต์ยี่ห้อมาสด้า เป็นต้น
การที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้รับเอกสารสิทธิ์ทำ�ให้เกิดคำ�ถาม
ว่า เหตุใดนโยบายที่มุ่งช่วยเหลือเกษตรกรผู้ยากไร้กลับเป็นการ
เอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ที่มีฐานะดีและเป็นไปได้หรือไม่ที่คนเหล่านั้น
อาศัยความใกล้ชิดกับนักการเมืองทำ�ให้ได้รับเอกสารสิทธิ์ซึ่งชวน
หลีกภัย นายกรัฐมนตรี บัญญัติ บรรทัดฐาน รองนายกรัฐมนตรี
และ สุเทพ เทือกสุบรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ
ต่างยืนยันถึงความถูกต้องของกระบวนการ
สุเทพอ้างว่า การที่ผู้มีฐานะดีได้รับการจัดสรรที่ดิน เพราะ
กลุ่มบุคคลดังกล่าวถือครองและทำ�ประโยชน์ในที่ดินมานาน ซึ่ง
ส.ป.ก. ได้ดำ�เนินการตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อ
เกษตรกรรม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2532 มาตรา 30 วรรค 5 ที่เปิด
โอกาสให้ผู้ที่ครอบครองที่ดินก่อนการประกาศเป็นเขตปฏิรูปที่ดิน
มีสิทธิ์ได้รับเอกสารสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม สุเทพยอมรับว่า “การที่
คนรวยมีชื่อเข้ามามาก เพราะกฎหมายมีช่องให้”
แม้รัฐบาลจะอ้างว่าปฏิบัติตามกฎหมาย แต่เมื่อมีการ
ตรวจสอบกลับพบว่า การออกเอกสารสิทธิ์ของกระทรวงเกษตรฯ
นั้นขัดกับเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อ
เกษตรกรรม ซึ่งมุ่งช่วยเหลือ ‘เกษตรกรผู้ไม่มีที่ดินของตนเอง หรือ
เกษตรกรที่มีที่ดินเล็กน้อย ไม่เพียงพอแก่การครองชีพ’ นอกจากนี้
หากพิจารณาพระราชกฤษฎีกากำ�หนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขใน
การเป็นเกษตรกร พ.ศ. 2535 ก็ยิ่งชัดเจนว่า ผู้ได้รับเอกสารสิทธิ์
จำ�นวนหนึ่งไม่ได้มีสถานะเป็นเกษตรกร
ดังนั้น แม้รัฐบาลจะมีนโยบายกระจายการถือครองที่ดิน
แต่ก็เอื้อให้ผู้มีอันจะกินได้ครอบครองที่ดินบางส่วน โดยละเลย
เจตนารมณ์ของกฎหมายและหลักการของการปฏิรูปที่ดิน ซึ่งมุ่ง
แก้ปัญหาความยากจนและการกระจายสินทรัพย์ โดยรัฐบาล
ไม่ได้จัดสรรที่ดินให้กับเกษตรกรอย่างแท้จริง
	นอกจากจะพบปัญหาการออกเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. 4-01
ในจังหวัดภูเก็ต ให้กับคนในตระกูลร่ำ�รวย กระทั่งคนในตระกูล
ของนักการเมืองฝ่ายค้านแล้ว ยังปรากฏปัญหาในอีกหลายจังหวัด
เช่น ชลบุรี (ตระกูลหนุนภักดีและคราประยูร) ลพบุรี (ตระกูลโชติ
เทวัญ เจ้าของกลุ่มสหฟาร์ม) กระบี่ (ตระกูลเอ่งฉ้วน) ฉะเชิงเทรา
(ตระกูลตันเจริญ) สุรินทร์ (ตระกูลเรืองกาญจนเศรษฐ) และ
นครราชสีมา (ตระกูลครุฑขุนทดและชาญนุกูล)
	หลังจากเรื่องนี้ถูกตีแผ่เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2537
รายงานข่าวการตรวจสอบการออกเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. 4-01
ก็ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์อย่างต่อเนื่อง เกิดแรงกดดัน
ให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องลาออกจากตำ�แหน่ง จนกระทั่งวันที่ 7
ธันวาคม 2537 สุเทพจึงยอมประกาศลาออกจากตำ�แหน่ง โดย
อ้างว่าลาออกเพราะเคารพความรู้สึกของประชาชน แต่ยืนยันว่า
ตนเองดำ�เนินการเรื่องการออกเอกสารสิทธิ์อย่างถูกต้อง
	ในเวลาต่อมา มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการออก
เอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. 4-01 ในจังหวัดภูเก็ต โดยมี ปรีชา อบอาย
รองปลัดกระทรวงเกษตรฯ เป็นประธาน จากนั้นจึงส่งรายงานให้
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 111
กับคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ซึ่งประเด็นสำ�คัญ
ที่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินฯ ต้องพิจารณาก็คือ หลักเกณฑ์ วิธี
การ และเงื่อนไขในการคัดเลือกเกษตรกรซึ่งจะมีสิทธิ์ได้รับที่ดิน
จากการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
การพิจารณาประเด็นดังกล่าว คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินฯ
แบ่งเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่เห็นว่า ไม่จำ�เป็น
ต้องพิจารณาระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคัดเลือกเกษตรกร
ซึ่งจะมีสิทธิ์ได้รับที่ดินจากการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.
2535 ข้อ 6 (6) ซึ่งระบุคุณสมบัติของเกษตรกรที่มีสิทธิ์ยื่น
คำ�ร้องขอเข้าทำ�ประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินว่า “ไม่มี
ที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมเป็นของตนเองหรือของบุคคลใน
ครอบครัวเดียวกัน หรือมีที่ดินเพียงเล็กน้อย แต่ไม่เพียงพอแก่การ
ประกอบเกษตรกรรมเพื่อเลี้ยงชีพ” โดยคณะกรรมการเสียงใหญ่
ให้พิจารณาเพียงข้อ 8 (1) ที่ระบุหลักเกณฑ์ของเกษตรกรผู้จะ
ได้รับการพิจารณาคัดเลือกเข้าทำ�ประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูป
โดยมีคุณสมบัติว่าต้องเป็น “เกษตรกรผู้ถือครองที่ดินของรัฐหรือ
เกษตรกรผู้เช่าที่ดินที่นำ�มาดำ�เนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
และเป็นผู้ทำ�กินในที่ดินนั้น”
ขณะที่คณะกรรมการอีกฝ่ายเห็นว่า ต้องพิจารณาข้อ 6 (6)
ด้วย เนื่องจากพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ระบุชัดเจนว่า รัฐต้องทำ�การปฏิรูปที่ดินเพื่อจัดสรรให้กับเกษตรกร
ที่ยากจน
รายงานข่าวในหนังสือพิมพ์ มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 10
ธันวาคม 2537 อ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวว่า เหตุที่คณะกรรมการ
ปฏิรูปที่ดินฯ ส่วนใหญ่เลือกใช้เกณฑ์การพิจารณาเฉพาะข้อ 8
(1) เนื่องจากเขตปฏิรูปที่ดินในจังหวัดภูเก็ตส่วนใหญ่ใช้เกณฑ์ข้อ
นี้ และเลขาธิการ ส.ป.ก. ก็เลือกข้อนี้ มิเช่นนั้นการปฏิรูปที่ดินใน
จังหวัดภูเก็ตอาจขัดต่อกฎหมาย ซึ่งเจ้าหน้าที่จะมีความผิดด้วย
จากนั้นคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินฯ จึงส่งมติให้ นิพนธ์
พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เป็นผู้พิจารณา
ชี้ขาด ซึ่งนิพนธ์ได้ส่งเรื่องต่อให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ
ว่าสอดคล้องกับกฎหมายหรือไม่ แต่ท้ายที่สุดคณะกรรมการ
กฤษฎีกาชุดใหญ่มีมติไม่รับตีความข้อหารือของนิพนธ์ โดย
รายงานข่าวระบุว่า คณะกรรมการกฤษฎีกามีการถกเถียงกันว่า
จะรับเรื่องไว้ตีความหรือไม่ บางส่วนเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำ�คัญ
น่าจะรับไว้ตีความ แต่คณะกรรมการส่วนใหญ่เห็นว่า หากตีความ
จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล
ทั้งนี้ สื่อมวลชนระบุข้อมูลจากแหล่งข่าวว่า หากผลการ
ตีความออกมาว่ามติของคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินฯ ไม่สอดคล้อง
กับกฎหมาย ก็เท่ากับว่าการดำ�เนินการปฏิรูปที่ดินของรัฐบาล
ขัดต่อพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และต้อง
ทบทวนการให้เอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. 4-01 ใหม่ทั้งประเทศ
อย่างไรก็ดี นิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ได้ลาออกจากตำ�แหน่ง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2537
โดยระบุว่าคณะกรรมการตรวจสอบการออกเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก.
4-01 เชื่อว่ามีพื้นที่ป่าสมบูรณ์อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินของจังหวัด
ภูเก็ตและมีหลักฐานเชื่อได้ว่ามีบุคคลหลายรายได้รับเอกสารสิทธิ์
โดยที่คุณสมบัติไม่ตรงตามกฎหมาย
เมนูคอร์รัปชัน112
สถานะของคดี
	สำ�นักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ดำ�เนินการฟ้องขับไล่ผู้ครอบครองที่ดิน
ส.ป.ก. 4-01 ตั้งแต่ปี 2541 โดยคดีที่ศาลฎีกามีคำ�พิพากษาแล้ว มีดังนี้
วันที่ 7 มิถุนายน 2550 ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ในคดีที่ ส.ป.ก. เป็นโจทก์ยื่น
ฟ้องขับไล่ ทศพร เทพบุตร ออกจากที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ในตำ�บลกะรน อำ�เภอเมือง จังหวัดภูเก็ต
เนื้อที่ 99 ไร่ เนื่องจากจำ�เลยขาดคุณสมบัติการเป็นเกษตรกร
วันที่ 21 มิถุนายน 2550 ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ในคดีที่ ส.ป.ก. เป็นโจทก์
ยื่นฟ้องขับไล่ เจริญ ถาวรว่องวงศ์ ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมรายใหญ่ ออกจากที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ก.
จำ�นวน 4 แปลง ได้แก่ บนเทือกเขากมลา อำ�เภอกะทู้ 2 แปลง และบนเทือกเขานาคเกิด อำ�เภอ
เมืองภูเก็ต 2 แปลง รวมเนื้อที่ประมาณ 16 ไร่ เนื่องจากจำ�เลยขาดคุณสมบัติการเป็นเกษตรกร
และมีที่ดินทํากินเป็นของตัวเองอยู่แล้วจำ�นวน 36 แปลง เนื้อที่ประมาณ 60 ไร่ รวมทั้งเป็น
ผู้บริหารนิติบุคคลถึง 6 แห่ง
วันที่ 12 ธันวาคม 2550 ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ในคดีที่ ส.ป.ก. เป็นโจทก์
ยื่นฟ้องขับไล่ บันลือ ตันติวิท อดีตนายก อบจ. ภูเก็ต ออกจากที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ในตำ�บลป่าตอง
อำ�เภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต เนื้อที่ประมาณ 69 ไร่ เนื่องจากจำ�เลยขาดคุณสมบัติการเป็นเกษตรกร
นอกจากนี้ยังมีที่ดินทํากินเป็นของตัวเองอยู่แล้วจำ�นวน 108 แปลง และประกอบอาชีพค้าขาย
เป็นหลัก
วันที่ 22 เมษายน 2551 ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ในคดีที่ ส.ป.ก. เป็นโจทก์
ยื่นฟ้องขับไล่ วิภาพรรณ ชูทรัพย์ ผู้บริหารสถานศึกษาเอกชน ออกจากที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 จำ�นวน
4 แปลง ในพื้นที่หมู่ 4 ตำ�บลป่าตอง อำ�เภอกะทู้ ในเขตป่าเทือกเขานาคเกิด เนื้อที่รวม 57 ไร่
ขณะที่ สุเทพและนิพนธ์ไม่เคยถูกฟ้องร้องดำ�เนินคดีเกี่ยวกับการออกเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก.
4-01 แต่อย่างใด
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 113
เอกสารอ้างอิง
•	 กฤษฎีกาไม่ตีความ ส.ป.ก. หวั่นเป็น
ชนวน ‘ชวน’ พัง, หนังสือพิมพ์ มติชน.
13 ธันวาคม 2537.
•	 แฉแจกที่ดินเศรษฐีภูเก็ต คนจนน้ำ�ลาย
สอ ไร่ละล้าน, หนังสือพิมพ์ มติชน. 21
พฤศจิกายน 2537.
•	 	แฉ ‘ส.ส.อัญชลี’ ล็อบบี้ปฏิรูปที่ดินภูเก็ต,
หนังสือพิมพ์ มติชน. 22 พฤศจิกายน
2537.
•	 	ส่งมติแจกที่ดินเศรษฐีตีความ ทน ส.ป.ก.
อัปยศไม่ไหว ‘บิ๊ก’ สภาพัฒน์ออก,
หนังสือพิมพ์ มติชน. 10 ธันวาคม 2537.
ผลกระทบต่อ
ประชาชน
•	 จากการตรวจสอบพบว่า มีพื้นที่ป่าสมบูรณ์ปะปนอยู่ใน
เขตปฏิรูปที่ดิน การดำ�เนินนโยบายปฏิรูปที่ดินของรัฐบาล
ขณะนั้นจึงส่งผลเสียต่อการอนุรักษ์พื้นที่ป่าของประเทศ
•	 การเร่งรัดการออกเอกสารสิทธิ์ ทำ�ให้นายทุนและผู้มี
อิทธิพลบุกรุกพื้นที่สาธารณประโยชน์ของชุมชนเพื่อผลักดัน
ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ทำ�ให้ชาวบ้านในชุมชนสูญเสียแหล่ง
อาหารและแหล่งรายได้ ภาคผนวก
พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดิน
เพื่อเกษตรกรรม (ฉบับที่ 3)
พ.ศ. 2532
มาตรา 30 วรรค 5
บรรดาที่ดินที่ ส.ป.ก. ได้มา ถ้าเป็นที่ดินของรัฐ
และมีเกษตรกรถือครองอยู่แล้วเกินจำ�นวนที่กำ�หนด
ในวรรคหนึ่งก่อนเวลาที่คณะกรรมการกำ�หนด เมื่อ
เกษตรกรดังกล่าวยื่นคำ�ร้องและยินยอมชำ�ระค่าเช่า
หรือค่าชดเชยที่ดินในอัตราหรือจำ�นวนที่เพิ่มขึ้นตาม
ที่คณะกรรมการกำ�หนด สำ�หรับที่ดินส่วนที่เกินตาม
วรรคหนึ่ง ให้คณะกรรมการจัดที่ดินให้เกษตรกร
เช่าหรือจัดให้ แล้วแต่กรณี ตามจำ�นวนที่เกษตรกร
ถือครองได้ แต่เมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกินหนึ่งร้อย
ไร่ ในการกำ�หนดอัตราค่าเช่าหรือค่าชดเชยที่ดิน
ดังกล่าว ต้องคำ�นึงถึงระยะเวลาและวิธีการที่
เกษตรกรได้ที่ดินนั้นมา ความสามารถในการทำ�
ประโยชน์ ประเภทของเกษตรกรรม และการทำ�
ประโยชน์ที่ได้ทำ�ไว้แล้วในที่ดินนั้น
เมนูคอร์รัปชัน114
พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดิน
เพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518
มาตรา 4
‘การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม’ หมายความว่า
การปรับปรุงเกี่ยวกับสิทธิและการถือครองในที่ดินเพื่อ
เกษตรกรรม รวมตลอดถึงการจัดที่อยู่อาศัยในที่ดินเพื่อ
เกษตรกรรมนั้น โดยรัฐนำ�ที่ดินของรัฐ หรือที่ดินที่รัฐจัดซื้อ
หรือเวนคืนจากเจ้าของที่ดิน ซึ่งมิได้ทำ�ประโยชน์ในที่ดิน
นั้นด้วยตนเอง หรือมีที่ดินเกินสิทธิตามพระราชบัญญัตินี้
เพื่อจัดให้แก่เกษตรกรผู้ไม่มีที่ดินของตนเองหรือเกษตรกร
ที่มีที่ดินเล็กน้อย ไม่เพียงพอแก่การครองชีพ และสถาบัน
เกษตรกรได้เช่าซื้อ เช่า หรือเข้าทำ�ประโยชน์ โดยรัฐให้ความ
ช่วยเหลือในการพัฒนาอาชีพ เกษตรกรรม การปรับปรุง
ทรัพยากร และปัจจัยการผลิต ตลอดจนการผลิตและการ
จำ�หน่ายให้เกิดผลดียิ่งขึ้น
พระราชกฤษฎีกากำ�หนดหลักเกณฑ์
และเงื่อนไขในการเป็นเกษตรกร พ.ศ.
2535
มาตรา 3 บุคคลซึ่งอยู่ในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขข้อใด
ข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ให้ถือว่าเป็นเกษตรกร
(1) ผู้ยากจน ซึ่งหมายถึงผู้มีรายได้ไม่สูงกว่าอัตรา
รายได้ที่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมกำ�หนด
	รายได้ตาม (1) ให้หมายความรวมถึงสิทธิหรือ
ประโยชน์อื่นที่สามารถคำ�นวณเป็นตัวเงินได้ด้วย
(2) ผู้จบการศึกษาทางเกษตรกรรม ซึ่งหมายถึงผู้ที่
จบการศึกษาไม่ต่ำ�กว่าระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพหรือ
เทียบเท่าในประเภทวิชาเกษตรกรรม
(3) บุตรของเกษตรกร ซึ่งหมายถึงบุตรโดยชอบด้วย
กฎหมายของผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก
ทั้งนี้ บุคคลดังกล่าวต้องไม่มีอาชีพอันมีรายได้
ประจำ�เพียงพอแก่การยังชีพอยู่แล้ว ไม่มีที่ดินเพื่อ
เกษตรกรรมเป็นของตนเอง และประสงค์จะประกอบ
อาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 115
สถานะ
ตัวอยางคดีที่ศาลฎีกา
มีคำพิพากษาแลว
วันที่ 7 มิถุนายน 2550
ศาลฎีกาพิพากษาขับไลนายทศพร
เทพบุตร สามีของนางอัญชลี
วานิช เทพบุตร ส.ส. พรรค
ประชาธิปตย ออกจากที่ดิน
ในตำบลกะรน อำเภอเมือง
จังหวัดภูเก็ต (เน�้อที่ 99 ไร)
วันที่ 21 มิถุนายน 2550
ศาลฎีกาพิพากษาขับไล
นายเจริญ ถาวรวองวงศ
ผูประกอบธุรกิจโรงแรมรายใหญ
ออกจากที่ดินในอำเภอกะทู
และอำเภอเมืองภูเก็ต 2 แปลง
(เน�้อที่ประมาณ 16 ไร)
วันที่ 12 ธันวาคม 2550
ศาลฎีกาพิพากษาขับไล
นายบันลือ ตันติวิท อดีตนายก
อบจ. ภูเก็ต ออกจากที่ดิน
ในตำบลปาตอง อำเภอกะทู
จังหวัดภูเก็ต (เน�้อที่ประมาณ
69 ไร)
วันที่ 22 เมษายน 2551
ศาลฎีกาพิพากษาขับไล
นางวิภาพรรณ ชูทรัพย
ผูบริหารสถานศึกษาเอกชน
ออกจากที่ดินในตำบลปาตอง
อำเภอกะทู จังหวัดภูเก็ต
(เน�้อที่ 57 ไร)
สวนนายนิพนธ พรอมพันธุ
และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
รมว. และ รมช. เกษตรฯ
ในขณะนั้น ไมเคยถูกฟองรอง
ดำเนินคดีเกี่ยวกับการออก
เอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. 4-01
ส.ป.ก. 4-01:
อŒางกฎหมาย
แจกที่ดินใหŒเศรษฐี
19
เจตนารมณของกฎหมายปฏิรูปที่ดินฯ
คือการช‹วยเหลือเกษตรกรที่ไม‹มีที่ดิน
หร�อมีที่ดินไม‹เพ�ยงพอแก‹การดำรงชีพ
แต‹การแจกเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. 4-01
ในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย
กลับกลายเปšนว‹ามีเศรษฐีจำนวนหนึ่ง
ไดŒรับเอกสารสิทธิ์ แมŒผูŒเกี่ยวขŒองอŒางว‹า
มีคนรวยไดŒรับเอกสารสิทธิ์เพ�ยงไม‹กี่คน
“เพราะกฎหมายมีช‹องใหŒ” แต‹ขŒออŒางดังกล‹าว
ก็ฟ�งไม‹ข�้น จนกระทั่งรัฐมนตร�ตŒองลาออก
จากตำแหน‹ง เพราะไม‹สามารถตอบไดŒว‹าเหตุใด
เศรษฐีและคนที่ไม‹ไดŒเปšนเกษตรกรจร�ง
จ�งไดŒรับเอกสารสิทธิ์
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
• จากการตรวจสอบ พบวามีพื้นที่
ปาสมบูรณปะปนอยูในเขต
ปฏิรูปที่ดิน นโยบายการปฏิรูป
ที่ดินที่ดำเนินการไปจึงสงผลเสีย
ตอการอนุรักษพื้นที่ปาของประเทศ
• การเรงรัดการออกเอกสารสิทธิ์
ทำใหนายทุนและผูมีอิทธิพล
บุกรุกพื้นที่สาธารณประโยชน
ของชุมชนเพื่อผลักดันใหเปนเขต
ปฏิรูปที่ดิน ทำใหชาวบาน
ในชุมชนสูญเสียแหลงอาหาร
และแหลงรายได
การที่คนรวยมีชื่อเขŒามามาก
เพราะกฎหมายมีช‹องใหŒ
เกษตรกรผูŒไม‹มีที่ดิน
ของตนเองหร�อเกษตรกร
ที่มีที่ดินเล็กนŒอยไม‹เพ�ยงพอ
แก‹การครองชีพ
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 117116
21
‘โฮปเวลล์’ กับค่าโง่
เสาตอม่อ 9,000 ล้าน
ปูมหลัง
โครงการ ‘ระบบการขนส่งทางรถไฟและถนนยกระดับในกรุงเทพมหานคร’ (Bangkok
Elevated Road and Train System: BERTS) เป็นโครงการที่เกิดขึ้นสมัย มนตรี พงษ์พานิช
เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งให้สัมปทานแก่เอกชนในการก่อสร้างทางรถไฟและถนน
ยกระดับ โดยแลกเปลี่ยนกับการใช้ประโยชน์จากที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
	เดือนตุลาคม 2532 กระทรวงคมนาคมออกประกาศเชิญชวนและพิจารณาคัดเลือกเอกชน
โดยมีเอกชนเพียงรายเดียวที่ยื่นเอกสารข้อเสนอ คือ บริษัท โฮปเวลล์ โฮลดิ้ง ฮ่องกง จำ�กัด จึง
เป็นที่มาของชื่อ ‘โครงการโฮปเวลล์’ ที่รู้จักกันดี
	เดือนมีนาคม 2533 คณะรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ มีมติรับทราบ
ผลการคัดเลือกเอกชนเข้าดำ�เนินโครงการ ก่อนจะมีการทำ�สัญญาในเดือนพฤศจิกายน 2533 โดย
บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำ�กัด ในฐานะคู่สัญญาฝ่ายเอกชน ได้รับสัมปทานในการประกอบ
กิจการเดินรถไฟบนรางยกระดับ ระบบขนส่งทางถนนยกระดับ และเก็บค่าผ่านทาง ระยะทางรวม
ประมาณ 60 กิโลเมตร และสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์จากที่ดินของ รฟท. ประมาณ 630 ไร่ มูลค่า
รวมของโครงการประมาณ 80,000 ล้านบาท ภายใต้อายุสัมปทาน 30 ปี
เมนูคอร์รัปชัน118
เส้นทางผลประโยชน์
โครงการโฮปเวลล์เกิดขึ้นก่อนการบังคับใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงาน
หรือดำ�เนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 การอนุมัติโครงการจึงเป็นไปอย่างรวดเร็วและรวบรัด
ทั้งๆ ที่แผนงานยังไม่มีความชัดเจน
	นอกจากนี้ สัญญาสัมปทานระหว่างรัฐและเอกชนยังหละหลวม โดยเฉพาะการบังคับให้เป็น
ไปตามสัญญาและการบอกเลิกสัญญา ซึ่งท้ายที่สุดบริษัท โฮปเวลล์ ไม่สามารถดำ�เนินการก่อสร้าง
ได้ตามแผนงาน ยิ่งไปกว่านั้น การบอกเลิกสัญญายังทำ�ให้รัฐต้องจ่ายชดเชยค่าเสียหายให้แก่บริษัท
โฮปเวลล์ ด้วย
แผนงานก่อสร้างโครงการโฮปเวลล์แบ่งเป็น 5 ระยะ ระยะทางรวมทั้งหมด 60.1 กิโลเมตร
ประกอบด้วย
ช่วงที่ 1 ยมราช-ดอนเมือง ระยะทาง 18.8 กิโลเมตร ระยะเวลาก่อสร้าง 4 ปี กำ�หนดเสร็จ
5 ธันวาคม 2538
ช่วงที่ 2 ยมราช-หัวลำ�โพง-หัวหมาก และมักกะสัน-แม่น้ำ�เจ้าพระยา ระยะทาง 18.5 กิโลเมตร
ระยะเวลาก่อสร้าง 5 ปี กำ�หนดเสร็จ 5 ธันวาคม 2539
ช่วงที่ 3 ดอนเมือง-รังสิต ระยะทาง 7 กิโลเมตร ระยะเวลาก่อสร้าง 6 ปี กำ�หนดเสร็จ 5
ธันวาคม 2540
ช่วงที่ 4 หัวลำ�โพง-วงเวียนใหญ่ และยมราช-บางกอกน้อย ระยะทาง 6.7 กิโลเมตร ระยะ
เวลาก่อสร้าง 7 ปี กำ�หนดเสร็จ 5 ธันวาคม 2541
ช่วงที่ 5 วงเวียนใหญ่-โพธินิมิตร และ ตลิ่งชัน-บางกอกน้อย ระยะทาง 9.1 กิโลเมตร ระยะ
เวลาก่อสร้าง 8 ปี กำ�หนดเสร็จ 5 ธันวาคม 2542
อย่างไรก็ตาม การก่อสร้างโครงการโฮปเวลล์เป็นไปอย่างล่าช้า เพราะปัญหาสำ�คัญ 2
ประการคือ 1. ปัญหาเรื่องเงินทุน แหล่งเงินกู้ หลักทรัพย์ค้ำ�ประกันสัญญา และ 2. ปัญหาเรื่อง
แบบก่อสร้าง เช่น ระยะห่างระหว่างรางรถไฟกับไหล่ทางมีน้อยเกินไป เพราะข้อจำ�กัดของพื้นที่
และไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัยสากล
ทั้ง 2 ปัญหาสะท้อนให้เห็นถึงความไม่รอบคอบในการอนุมัติโครงการและการดำ�เนินโครงการ
รวมถึงการทุจริต โดยมีรายงานข่าวว่าผู้บริหารบริษัท โฮปเวลล์ ต้องจ่ายเงินสินบนให้แก่ผู้มีอำ�นาจ
ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนรัฐบาลหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อให้สามารถดำ�เนินโครงการ
ต่อไปได้ แต่ที่สุดแล้วโครงการก็หยุดชะงัก ทิ้งโครงสร้างบางส่วนที่ดำ�เนินการค้างไว้
ในปี 2540 หลังดำ�เนินการก่อสร้าง 6 ปีเศษ โครงการโฮปเวลล์มีความคืบหน้าเพียงร้อยละ
13.77 จากแผนงานที่กำ�หนดไว้ร้อยละ 89.75 วันที่ 30 กันยายน 2540 คณะรัฐมนตรีในสมัย
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 119
รัฐบาลชวน หลีกภัย จึงมีมติ
ให้บอกเลิกสัญญาสัมปทาน
ดังกล่าว และวันที่ 20 มกราคม
2541 กระทรวงคมนาคมจึง
บอกเลิกสัญญาสัมปทานอย่าง
เป็นทางการ
หลังบอกเลิกสัญญา
รฟท. ถือว่าโครงสร้างทุกอย่าง
เป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟท. และ
พยายามนำ�โครงสร้างที่สร้าง
เสร็จแล้วมาพัฒนาต่อ โดย
จะนำ�โครงสร้างบางส่วนมา
ใช้ประโยชน์ในการก่อสร้าง
รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง
เข้ม ช่วงบางซื่อ-รังสิต
เมื่อบริษัท โฮปเวลล์
เห็นว่าการที่ รฟท. เข้ามา
ใช้ประโยชน์จากโครงการ
ก่อสร้างเดิมนั้น ถือเป็นการ
ยึดหรือเวนคืนระบบหรือพื้นที่
สัมปทาน จึงเสนอข้อพิพาทต่อ
คณะอนุญาโตตุลาการ เรียกค่า
เสียหายจากการยกเลิกสัญญา
จากกระทรวงคมนาคมและ
รฟท.เป็นเงิน59,000ล้านบาท
ก่อนจะมีการแก้ไขข้อพิพาท
โดยเรียกร้องค่าชดเชย 28,000
ล้านบาท เพื่อให้กลับคืน
สู่สถานะเดิมก่อนทำ�สัญญา
สัมปทาน1
1  คำ�สั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ค. 2/2551
สถานะของคดี
คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยชี้ขาดเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2551 ว่ากระทรวง
คมนาคมและ รฟท. ดำ�เนินการบอกเลิกสัญญาโดยไม่เป็นไปตามขั้นตอนตามที่ระบุใน
สัญญาสัมปทาน ทำ�ให้ต้องกลับคืนสู่สถานะเดิม โดยให้จ่ายเงินชดเชยแก่บริษัท โฮปเวลล์
เนื่องจากการบอกเลิกสัญญาไม่เป็นธรรม เป็นเงิน 11,900 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.
เงินค่าก่อสร้าง 9,000 ล้านบาท 2. เงินค่าตอบแทนจากการใช้ประโยชน์ที่ดินที่บริษัทชำ�ระ
ไปแล้ว 2,850 ล้านบาท และ 3. เงินค่าออกหนังสือค้ำ�ประกัน 38.75 ล้านบาท พร้อม
ดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี รวมถึงคืนหนังสือค้ำ�ประกันมูลค่า 500 ล้านบาทให้แก่บริษัท
ผลกระทบต่อประชาชน
•	 ประชาชนเสียโอกาสจากการขาดระบบคมนาคมขนส่งที่จะช่วยลดปัญหาการจราจร
ซึ่งนับจากเวลาที่โครงการควรจะแล้วเสร็จ (ปลายปี 2542) จนถึงปัจจุบัน กินเวลา
กว่า 15 ปี
•	 พื้นที่ก่อสร้างโครงการที่ไม่เสร็จสมบูรณ์และขาดการดูแลอาจก่อให้เกิดอันตราย เช่น
เมื่อเดือนมีนาคม 2555 เกิดเหตุการณ์ชานชาลาบริเวณวัดเสมียนนารีถล่มลงมาทับ
รางรถไฟที่อยู่ด้านล่าง
•	 รฟท. ต้องจ่ายค่าก่อสร้างให้บริษัทโฮปเวลล์ราว 9,000 ล้านบาท และดอกเบี้ยอีก
ร้อยละ 7.5 ต่อปี โดยแทบไม่ได้ใช้ประโยชน์จากโครงการก่อสร้าง
•	 กระทรวงคมนาคมต้องเสียงบประมาณอีกประมาณ 200 ล้านบาท เพื่อรื้อถอนเสา
ตอม่อโครงการโฮปเวลล์เนื่องจากพื้นที่โครงการซ้ำ�ซ้อนกับโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า
สายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต
เมนูคอร์รัปชัน120
เอกสารอ้างอิง
•	 ช็อก! ชี้ขาดรถไฟพ่าย ‘โฮปเวลล์’, หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ, 11 พฤศจิกายน 2551.
•	 ระทึก!! คานโครงการโฮปเวลล์ถล่ม, หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก, 1 มีนาคม 2555.
•	 เริ่มรื้อถอน ‘โฮปเวลล์’ สร้างรถไฟฟ้าสายสีแดง, ไทยพีบีเอส, 8 พฤษภาคม 2556.
•	 ประสงค์ วิสุทธิ์, ‘ค่าโง่’ โฮปเวลล์-รถดับเพลิง ‘ชั่ว’ ซ้ำ�ซากของนักการเมืองขี้ฉ้อ, หนังสือพิมพ์ มติชน, 14 พฤศจิกายน 2551.
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 121
บันได 4 ขั้น
01 02 03 04
กระทรวงคมนาคมอนุมัติ
โครงการโฮปเวลลอยางรวบรัด
ทั้งที่แผนงานยังไมมีความ
ชัดเจน และรางสัญญาอยาง
หละหลวม
โครงการโฮปเวลลมีปญหา
ทั้งดานการกอสรางและแหลง
เงินทุน ทำใหโครงการลาชา
และรัฐบาลชุดตอๆ มาก็
ปลอยปละละเลย โดยไมบังคับ
ใหเอกชนปฏิบัติตามสัญญา
โครงการโฮปเวลลไมมีทีทา
วาจะแลวเสร็จ กระทรวง
คมนาคมจึงบอกเลิกสัญญา
แตมิไดปฏิบัติตามขั้นตอน
จึงถูกเอกชนฟองรอง
เรียกคาเสียหาย
กระทรวงคมนาคมและ
การรถไฟฯ ตองจายเงิน
ชดเชยคากอสรางประมาณ
9,000 ลานบาท
โครงการโฮปเวลล:
ค‹าโง‹เสาตอม‹อ
9,000 ลŒาน
21
โครงการโฮปเวลลเปšนอีกหนึ่งตัวอย‹างของ
การรวบรัดทำสัญญา ซึ่งนอกจากทำใหŒโครงการ
ตŒองยุติกลางคัน รัฐยังตŒองจ‹ายเง�นชดเชย
ค‹าเสียหายใหŒกับเอกชน
ป˜ญหาของโครงการโฮปเวลลคือเร�่องเง�นทุน
และแบบก‹อสรŒาง ซึ่งเปšนผลมาจากการอนุมัติ
โครงการอย‹างไม‹รอบคอบ โดยโครงการ
มีความคืบหนŒาเพ�ยง 13.77% จากแผนงาน
ที่กำหนดไวŒ 89.75% ในวันที่รัฐบาลบอกเลิก
สัญญาสัมปทาน
หลังจากนั้น คณะอนุญาโตตุลาการว�นิจฉัยว‹า
กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฯ บอกเลิก
สัญญาโดยไม‹เปšนไปตามขั้นตอน ทำใหŒตŒอง
จ‹ายเง�นชดเชยแก‹บร�ษัทโฮปเวลลเปšนเง�น 1.19
หมื่นลŒานบาท โดยไดŒกลับมาเพ�ยงอนุสาวร�ย
เสาตอม‹อเหนือรางรถไฟ ซึ่งตŒองมีตŒนทุน
ในการร�้อถอนอีก
มูลค‹า
ความเสียหาย
ค‹าชดเชยค‹าก‹อสรŒาง
9,000ลŒานบาท
และดอกเบี้ยอีก
7.5%ต‹อป‚
ค‹าร�้อถอนเสาตอม‹อ
200ลŒานบาท
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
• ประชาชนเสียโอกาสจากการ
ขาดระบบคมนาคมขนสง
ที่จะชวยลดปญหาการจราจร
ซึ�งนับจากเวลาที่โครงการควรจะ
แลวเสร็จ (ปลายป 2542) จนถึง
ปจจุบัน ก็เปนเวลากวา 15 ป
• พื้นที่กอสรางโครงการที่ไมเสร็จ
สมบูรณและขาดการดูแลอาจ
กอใหเกิดอันตราย ดังเชนเมื่อเดือน
มีนาคม 2555 ที่เกิดเหตุการณ
ชานชาลาบริเวณวัดเสมียนนารี
ถลมลงมาทับรางรถไฟ
• กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฯ
ตองจายคืนคากอสรางใหบริษัท
โฮปเวลลราว 9,000 ลานบาท
และดอกเบี้ยอีก 7.5% ตอป
• กระทรวงคมนาคมตองเสีย
งบประมาณอีกประมาณ 200
ลานบาท เพื่อรื้อถอนเสาตอมอ
โครงการ เน��องจากพื้นที่โครงการ
ซ้ำซอนกับโครงการกอสราง
รถไฟฟาสายสีแดงชวงบางซื่อ-
รังสิต
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 123122
20
ประมูลกล้ายาง
บนความทุกข์
เกษตรกร
ปูมหลัง
รัฐบาลภายใต้การนำ�ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีนโยบายให้
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำ�เนินโครงการส่งเสริมปลูกยางพารา
เพื่อยกระดับรายได้เกษตรกร ระยะที่ 1 พ.ศ. 2547-2549 โดย
มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับรายได้และสร้างความมั่นคงให้แก่
เกษตรกร
เนวิน ชิดชอบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ในขณะ
นั้น ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มโครงการ ระบุว่า เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ
จะมีรายได้เพิ่มขึ้นครอบครัวละประมาณ 20,000-34,000 บาท
ประเทศไทยจะมีผลผลิตยางเพิ่มขึ้น 220,000 ตันต่อปี ภาครัฐ
จะมีรายได้จากค่าธรรมเนียมการส่งออกยางเพิ่มขึ้นประมาณ 198-
308 ล้านบาท
โครงการนี้ใช้เงินประมาณ 1,440 ล้านบาท เพื่อผลิตพันธุ์
ยางแจกจ่ายพันธุ์ยางให้แก่เกษตรกร 90 ล้านต้น โดยมีเป้าหมาย
ขยายพื้นที่ปลูกยางจำ�นวน 1 ล้านไร่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
และภาคเหนือ กระทรวงเกษตรฯ ได้ให้กรมวิชาการเกษตรดำ�เนิน
การประมูลราคาจัดหาผู้รับจ้างผลิตกล้ายาง 90 ล้านต้น ภายใน
3 ปี โดยกำ�หนดราคากลางไว้ที่ 1,440 ล้านบาท และให้ธนาคาร
เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดสรรเงินกู้
5,360 บาทต่อไร่แก่เกษตรกร เพื่อเป็นเงินทุนสำ�หรับการเตรียม
พื้นที่เพาะปลูกและดูแลรักษาสวนยาง
อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ส่อเค้าว่าน่าจะมีการหาประโยชน์
ร่วมกันระหว่างนักการเมือง ข้าราชการ และบริษัทเอกชน โดย
เมนูคอร์รัปชัน124
มีความผิดปกติหลายประการ ทั้งการกำ�หนดหลักเกณฑ์คุณสมบัติของผู้เข้าร่วมประมูล การจัด
ประมูล และการทำ�สัญญา รวมทั้งพฤติกรรมของข้าราชการระดับสูงในกรมวิชาการเกษตร ซึ่งถูก
กล่าวหาว่าปกป้องผลประโยชน์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตร ที่เป็น
ผู้ชนะการประมูลผู้รับจ้างผลิตกล้ายาง โดยท้ายที่สุด บริษัทยักษ์ใหญ่ดังกล่าว ถูกครหาว่า
ไม่สามารถส่งมอบกล้ายางที่มีคุณภาพได้ตามกำ�หนด ทำ�ให้เกษตรกรได้รับความเสียหาย
เส้นทางผลประโยชน์
โครงการนี้ถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีความผิดปกติตั้งแต่ขั้นตอน
การกำ�หนดหลักเกณฑ์คุณสมบัติของผู้เข้าร่วมประมูล ซึ่งเอื้อ
ประโยชน์แก่บริษัทเอกชนรายใหญ่ที่ไม่มีประสบการณ์ในการ
ผลิตกล้ายาง เนื่องจากหลักเกณฑ์คุณสมบัติของผู้เข้าร่วมประมูล
ที่กรมวิชาการเกษตรกำ�หนดนั้นกีดกันเกษตรกรรายย่อยและ
สหกรณ์การเกษตรซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการเพาะปลูกกล้า
ยาง แต่มีเงินทุนจำ�กัด โดยกำ�หนดว่าผู้เข้าร่วมประมูลต้องเป็น
นิติบุคคลและมีทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ� 5 ล้านบาท และต้องวาง
เงินมัดจำ�สัญญาสูงถึง 72 ล้านบาท รวมทั้งกำ�หนดว่าการประมูล
จะต้องมีผู้ชนะเพียงรายเดียวและต้องนำ�ส่งกล้ายางถึง90ล้านต้น
หลักเกณฑ์คุณสมบัติดังกล่าวจึงเอื้อประโยชน์แก่บริษัทใหญ่
ที่มีเงินทุนมาก แต่ไม่มีประสบการณ์ในการผลิตกล้ายาง โดย
กำ�หนดเพียงว่าผู้เข้าร่วมประมูลต้องมีอาชีพจำ�หน่ายพันธุ์พืช
อย่างต่อเนื่องไม่ต่ำ�กว่า 5 ปี แต่ไม่กำ�หนดว่าต้องมีประสบการณ์
ในการผลิตและจำ�หน่ายพันธุ์ยางที่ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการ
เกษตร
ที่ปรึกษาสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย
ตั้งข้อสังเกตว่า บริษัทผู้เข้าร่วมประมูล โดยเฉพาะบริษัทเอกชน
รายใหญ่นั้น มีลักษณะเป็นนายหน้าซื้อขายกล้ายางมากกว่าเป็น
ผู้รับจ้างผลิตกล้าต้นยางชำ�ถุงตามที่กำ�หนดไว้ในเงื่อนไขการ
ประมูล เพราะหลักเกณฑ์คุณสมบัติกำ�หนดว่า ผู้เสนอราคาต้องมี
พื้นที่แปลงกล้ายางที่ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตรไม่ต่ำ�กว่า
1,000 ไร่ แปลงกิ่งตายางไม่น้อยกว่า 200 ไร่ และมีต้นกิ่งตายาง
พันธุ์ดีตามที่กรมวิชาการเกษตรแนะนำ�ไม่น้อยกว่า 120,000 ต้น
แต่กรมวิชาการเกษตรยินยอมให้ผู้เข้าประมูลเช่าแปลงกล้ายาง
หรือซื้อกิ่งพันธุ์ที่ขึ้นทะเบียนจากเกษตรกรได้
ที่สำ�คัญการประมูลยังถูกตั้งข้อสงสัยว่าผิดกฎหมายฮั้ว
ประมูล เพราะบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่รายหนึ่งมีผลประโยชน์
ร่วมกับบริษัทอีก 2 แห่ง ที่ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติเข้าร่วม
ประมูล โดยหนังสือพิมพ์ มติชน ตรวจสอบข้อมูลการจดทะเบียน
พบว่า กรรมการบางคนในบริษัททั้ง 3 แห่ง เป็นกรรมการร่วมกัน
ในบริษัทอื่นหรือถือหุ้นไขว้กันในบริษัทอื่น ด้วยเหตุดังกล่าว
สำ�นักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จึงขอให้สำ�นักงานอัยการ
สูงสุดพิจารณาว่าการประมูลผิดจริงหรือไม่ โดยสำ�นักงานอัยการ
สูงสุดเห็นว่า การประมูลโครงการนี้ถือเป็นโมฆียะ ซึ่งหมายความ
ว่าการประมูลดังกล่าวน่าจะเข้าข่ายผิดกฎหมาย แต่ไม่ร้ายแรง
กระทรวงเกษตรฯ สามารถเลือกดำ�เนินการหรือเลิกการทำ�
สัญญาได้
ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าการประมูลยังไม่มีการแข่งขันเสนอ
ราคาอย่างที่ควรจะเป็น โดยบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่เสนอราคา
ประมูลที่ 1,435 ล้านบาท และเป็นเพียงบริษัทเดียวที่เสนอราคา
ต่ำ�กว่าราคากลางที่ 1,440 ล้านบาท
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 125
สตง.ตั้งข้อสังเกตว่าการประมูลนี้อาจตั้งราคากลางสูงเกินไป
จนเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ผู้ชนะการประมูล แม้ว่ากระทรวง
เกษตรฯ จะเจรจาต่อรองกับบริษัทเอกชนดังกล่าวและตกลงราคา
เหลือ 1,397 ล้านบาท หรือคิดเป็น 15.53 บาทต่อต้น แต่ใน
ช่วงเวลาดังกล่าว ราคาตลาดของต้นกล้ายาง (เมื่อรวมต้นทุนค่า
ขนส่งแล้ว) อยู่ที่ประมาณ 11-12 บาทเท่านั้น ทั้งนี้ มีรายงาน
ข่าวจากหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ ว่า บริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ด้าน
การเกษตรทำ�สัญญาซื้อต้นยางชำ�ถุงจากสหกรณ์ผลิตยางพันธุ์ดี
ภาคใต้ จำ�กัด เพียงต้นละ 11.50 บาท นั่นเท่ากับว่า บริษัท
เอกชนรายนั้นจะได้ประโยชน์จากการเป็นนายหน้าซื้อขายกล้ายาง
ประมาณต้นละ 4 บาท
ในขั้นตอนการทำ�สัญญา กรมวิชาการเกษตรกำ�หนดการ
ส่งมอบต้นยางชำ�ถุงบางส่วน ภายหลังเดือนพฤษภาคมถึงเดือน
กรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำ�หรับการปลูกยางพารา
ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยในปี 2547 ให้ส่ง
มอบกล้ายางทั้งหมด 18 ล้านต้น แบ่งเป็น 1.8 ล้านต้นในเดือน
พฤษภาคม 7.2 ล้านต้นในเดือนมิถุนายน 7.2 ล้านต้นในเดือน
กรกฎาคม และอีก 1.8 ล้านต้นในเดือนสิงหาคม
ที่สำ�คัญคือเมื่อบริษัทที่เป็นผู้ชนะการประมูลส่งมอบกล้ายาง
ช้ากว่ากำ�หนด โดยส่งมอบได้เพียง 920,000 ต้นใน 2 เดือน
แรก และส่งมอบอีก 9.8 ล้านต้นใน 2 เดือนหลัง แต่กรมวิชาการ
เกษตรกลับส่งหนังสือยินยอมให้บริษัทส่งมอบกล้ายางในช่วงครึ่ง
แรกของเดือนกันยายน ทั้งที่ตามเงื่อนไขในสัญญา บริษัทควรส่ง
หนังสือขอขยายเวลาการส่งมอบและเหตุผลของการส่งมอบล่าช้า
ให้กรมวิชาการเกษตรพิจารณา อีกทั้งกรมวิชาการเกษตรอ้าง
ว่าการขยายเวลาดังกล่าวเป็นไปตามความต้องการของเกษตรกร
และตั้งเงื่อนไขว่าหากกล้ายางล้มตาย บริษัทจะต้องส่งมอบ
กล้ายางใหม่เป็นการชดเชย ทั้งที่กรมวิชาการเกษตรควรแนะนำ�
เกษตรกรว่าไม่ควรปลูกกล้ายางนอกฤดูฝน
นอกจากนี้ แม้ว่าการส่งมอบล่าช้าเป็นการเพิ่มความเสี่ยง
ที่กล้ายางจะตาย และเป็นผลเสียต่อเกษตรกร แต่กระทรวง
เกษตรฯ กลับกำ�หนดอัตราค่าปรับสำ�หรับการส่งมอบล่าช้าเพียง
ร้อยละ 0.01 ของมูลค่ากล้ายางค้างส่งต่อวัน ขณะที่บริษัท
ทำ�สัญญาจ้างผู้รับเหมาผลิตกล้าต้นยางชำ�ถุง โดยคิดค่าปรับ
ถึงร้อยละ 0.75 ต่อวัน
บริษัทยักษ์ใหญ่ดังกล่าวไม่เพียงส่งมอบล่าช้า แต่ยังส่ง
ต้นกล้ายางคุณภาพต่ำ�กว่าที่กำ�หนดในสัญญา ดังที่เกษตรกร
และหน่วยงานผู้เกี่ยวข้องกับการปลูกยาง1
ให้สัมภาษณ์กับ
หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ ว่า ต้นกล้ายางที่บริษัทส่งมอบมีขนาดเล็ก
ลำ�ต้นไม่แข็งแรง และไม่มีรากแก้ว ทั้งที่สัญญาระบุว่าต้นกล้าต้อง
มีรากแก้วไม่ต่ำ�กว่า 20 เซนติเมตร และบริษัทยังส่งมอบ ‘กล้ายาง
ตาสอย’ ซึ่งใช้เวลาเพาะปลูก 3 เดือน ไม่ตรงตามหลักวิชาการ
ของกรมวิชาการเกษตร อีกทั้งให้น้ำ�ยางค่อนข้างน้อย โดยปลัด
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงพื้นที่ในจังหวัดตรังซึ่งเป็นแหล่ง
ผลิตและขายกล้ายางให้บริษัท พบว่า เกษตรกรปลูกยางตาสอย
เป็นจำ�นวนมาก และมีคนอ้างตัวว่าเป็นนายหน้าของบริษัทมาซื้อ
กล้ายางตาสอยจากแปลงเพาะชำ�ทั้งที่ขึ้นและไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับ
กรมวิชาการเกษตร เพื่อส่งกล้ายางให้ทันตามกำ�หนด
นอกจากนี้ การรับมอบยังมีปัญหาการตรวจสอบคุณภาพ
กล้ายาง เช่น เจ้าหน้าที่สำ�นักงานกองทุนสงเคราะห์สวนยาง
(สกย.) จังหวัดอุดรธานี ยอมรับว่า กล้ายางที่บริษัทส่งมอบให้นั้น
ไม่มีคุณภาพ แต่ สกย. ต้องลงนามรับ เพราะโครงการนี้เป็น
นโยบายของรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ของกรมวิชาการเกษตรลงนาม
รับมอบแล้ว
แม้เกษตรกรและหน่วยงานต่างๆ ยืนยันว่า กล้ายางจำ�นวน
มากล้มตาย เพราะการส่งมอบล่าช้าและกล้ายางไม่มีคุณภาพ แต่
เจ้าหน้าที่ของรัฐเองกลับปกป้องผลประโยชน์ของบริษัทเอกชน
มากกว่าภาครัฐและเกษตรกร เช่น ข้าราชการระดับสูงของกรม
วิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรฯ อ้างว่า หนึ่ง-ต้นกล้ายางชำ�
ถุงที่มีคุณภาพไม่จำ�เป็นต้องมีรากแก้ว ทั้งที่สัญญากำ�หนดว่า
ต้นกล้ายางต้องมีรากแก้วไม่ต่ำ�กว่า20เซนติเมตรสอง-โครงการนี้
ไม่มีกล้ายางตาสอย แต่สุดท้ายกรมวิชาการเกษตรก็ได้ตรวจสอบ
แปลงเพาะปลูกและอายัดกล้ายางตาสอย และยังมีการอ้างว่าเหตุ
ที่กล้ายางล้มตาย ไม่ใช่เพราะบริษัทส่งกล้ายางล่าช้า แต่เนื่องจาก
ภัยแล้งและความไม่เชี่ยวชาญในการเพาะปลูกของเกษตรกร
1  เช่น สำ�นักงานกองทุนสงเคราะห์การทำ�สวนยาง ศูนย์ปฏิบัติการสงเคราะห์สวนยาง
ในจังหวัดต่างๆ สมาคมสมาพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย ชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนยาง
แห่งประเทศไทย
เมนูคอร์รัปชัน126
พร้อมทั้งของบประมาณจากกระทรวงเกษตรฯ เพื่อชดเชยความ
เสียหายให้แก่เกษตรกร แทนที่กรมวิชาการเกษตรจะเรียกร้องให้
บริษัทจ่ายค่าชดเชยความเสียหายอันเกิดจากการดำ�เนินงานล่าช้า
สถานะของคดี
•	 เดิมทีสำ�นักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เป็นผู้ตรวจ
สอบการทุจริตโครงการส่งเสริมปลูกยางพาราเพื่อยกระดับ
รายได้เกษตรกร แต่ภายหลังรัฐประหารปี 2549 ได้โอน
ภารกิจดังกล่าวให้คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำ�ที่ก่อ
ให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่ง คตส. ชี้มูลความผิด
และยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำ�รงตำ�แหน่ง
ทางการเมือง และเมื่อ คตส. หมดวาระ คดีนี้จึงถูกโอน
มายังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่ง
ชาติ (ป.ป.ช.)
•	 คตส. ชี้มูลว่ามีการทำ�ผิดหลายประการเพื่อเอื้อประโยชน์
แก่บริษัทเอกชน และการอนุมัติให้เงินของคณะกรรมการ
นโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ขัดต่อ
มติของ คชก. ชุดก่อนที่มิให้ช่วยเหลือกิจการยางพาราที่มี
มาตรการทางกฎหมายช่วยเหลืออยู่แล้ว โดยการกระทำ�
เหล่านี้ผิดตามกฎหมายฮั้วประมูล พ.ร.บ.พนักงานใน
องค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 และตามประมวล
กฎหมายอาญา
•	 คตส.ฟ้องจำ�เลยทั้งหมด44คนและให้จำ�เลยทั้งหมดร่วมกัน
จ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายแก่รัฐเป็นเงิน 1,349 ล้านบาท
โดยจำ�เลยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
1.	 ผู้ริเริ่มและผู้รับผิดชอบโครงการ ได้แก่ เนวิน ชิดชอบ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ และฉกรรจ์
รักษาวงษ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ซึ่งเสนอให้ใช้
เงินกองทุน คชก. ดำ�เนินโครงการ อันขัดต่อระเบียบ
โดยปกปิดข้อมูลที่ควรแจ้งให้รัฐบาลทราบ
2.	 คณะกรรมการบริหารโครงการและคณะกรรมการ
พิจารณาผลประกวดราคา ซึ่งกำ�หนดเงื่อนไขและ
คุณสมบัติของผู้เสนอราคาเอื้อประโยชน์แก่บริษัท
บางราย และละเลยการตรวจสอบเอกสารและความ
เกี่ยวข้องระหว่างผู้ร่วมประมูล
3.	 บริษัทเอกชนที่เข้าร่วมประมูลทั้ง 3 ราย มีความ
สัมพันธ์กันทางธุรกิจ โดยมีการแจ้งหลักฐานเท็จ
ในการเข้าร่วมประมูล
4.	 คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือ
เกษตรกร ซึ่งเป็นผู้อนุมัติงบประมาณสำ�หรับการ
ซื้อกล้ายาง 1,440 ล้านบาท
•	 อย่างไรก็ตาม สำ�นักงานอัยการสูงสุดไม่ฟ้องคดีนี้ เพราะ
เห็นว่าสำ�นวนคดีของ คตส. ยังไม่สมบูรณ์ และสุดท้ายหลัง
จาก คตส. ฟ้องคดีนี้เอง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำ�รง
ตำ�แหน่งทางการเมืองได้พิพากษายกฟ้องทุกข้อกล่าวหา
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 127
ผลกระทบต่อประชาชน
ความผิดปกติต่างๆ ในโครงการส่งเสริมปลูกยางพาราเพื่อยกระดับรายได้เกษตรกร ก่อความ
เสียหายให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ตามรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ ระบุว่า
เกษตรกรต้องเลิกเพาะปลูกพืชชนิดเดิม และต้องกู้เงินจาก ธ.ก.ส. ประมาณ 20,000-30,000 บาท
เพื่อเตรียมพื้นที่และดูแลการเพาะปลูก แต่เกษตรกรบางคนได้รายได้ไม่คุ้มค่าการลงทุน เนื่องจาก
•	 เกษตรกรบางคนได้รับกล้ายางคุณภาพต่ำ� เช่น กล้ายางตาสอย ซึ่งแม้ว่าเพาะปลูกแล้ว
กล้ายางไม่ตาย แต่ให้น้ำ�ยางน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
•	 เกษตรกรบางคนได้รับกล้ายางคุณภาพต่ำ�หรือได้รับกล้ายางล่าช้า และเพาะปลูกแล้วกล้ายาง
ตาย โดยในปี 2547 บริษัทผู้ชนะการประมูลส่งมอบกล้ายางเพียง 920,000 ต้น ใน 2 เดือน
แรก จากที่กำ�หนดในสัญญา 9 ล้านต้น และส่งมอบได้เพียง 10.72 ล้านต้น จากที่กำ�หนด
ไว้ว่าต้องส่งมอบให้ได้ 18 ล้านต้น ในช่วงเวลา 4 เดือน
ทั้งนี้ ข้อมูลของกรมวิชาการเกษตรระบุว่า ต้นกล้ายางตายไปถึงร้อยละ 25.92 ของปริมาณ
การส่งมอบในช่วง 4 เดือน และในบางพื้นที่มีกล้ายางตายมากกว่าร้อยละ 30 โดยหนังสือพิมพ์
ผู้จัดการ รายงานว่า ศูนย์ปฏิบัติการสงเคราะห์สวนยาง จังหวัดหนองคาย มีกล้ายางตายไปถึง
400,000 ต้น หรือประมาณร้อยละ 40 ของกล้ายางที่ได้รับ
สำ�หรับการส่งมอบกล้ายางนอกช่วงเวลาที่กำ�หนดในสัญญา บริษัทได้ส่งมอบกล้ายางอีก 4.7
ล้านต้น แต่กล้ายางตายถึงร้อยละ 31.1
•	 เกษตรกรบางคนไม่ได้รับกล้ายาง โดยในปี 2547 บริษัทขาดส่งกล้ายางประมาณ 2.58 ล้าน
ต้น และเมื่อโครงการสิ้นสุดในปี 2549 บริษัทยังขาดส่งกล้ายางทั้งหมด 16 ล้านต้น ซึ่งมี
เกษตรกรประมาณ 30,000 คน ไม่ได้รับกล้ายาง
เมนูคอร์รัปชัน128
เอกสารอ้างอิง
•	 คำ�ตัดสินศาลฎีกาฯ ยกฟ้อง 44 จำ�เลยคดีทุจริตกล้ายางฯ มติองค์คณะฯ 8 ต่อ 1 ชี้ ‘เนวิน’ ไม่ผิด, มติชนออนไลน์, 21 กันยายน 2552.
•	 ทุจริตกล้ายางล้านไร่ ไร้คนรับผิด?, หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ, 14 มิถุนายน 2548.
•	 นัดชี้ชะตา ‘เนวิน’ คดีทุจริตกล้ายาง (1), ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 14 สิงหาคม 2552.
•	 นัดชี้ชะตา ‘เนวิน’ คดีทุจริตกล้ายาง (2), ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 14 สิงหาคม 2552.
•	 นัดชี้ชะตา ‘เนวิน’ คดีทุจริตกล้ายาง (3), ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 14 สิงหาคม 2552.
•	 ประมูล ‘กล้ายาง’ ฉาว 1,440 ล้าน อัยการสูงสุดฟันธง ‘โมฆียะ’ วัดใจ ‘เนวิน’ กระเตงต่อ...?, มติชนออนไลน์, 13 ตุลาคม 2546.
•	 เปิดโปงทุจริตกล้ายาง: คอร์รัปชันบนความทุกข์ยากของเกษตรกร, หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ, รวมเอกสารข่าวประกวด,
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, 2549. ข่าวทุจริตเชิงสืบสวนยอดเยี่ยม ประจำ�ปี 2548.
•	 ย้อนรอย ‘กล้ายาง’ ฉาว คตส. เล็งเป้าเช็คบิล, มติชนออนไลน์, 15 มกราคม 2550.
•	 สตง. สรุปผลประมูลกล้ายางฉาว, มติชนออนไลน์, 21 มีนาคม 2549.
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 129
กลŒายางอื้อฉาว:
เอื้อประโยชนบร�ษัทเอกชน
บนความทุกขของเกษตรกร?
20
โครงการกลŒายางมีวัตถุประสงคเพ�่อยกระดับ
รายไดŒและความมั่นคงใหŒแก‹เกษตรกร แต‹ว�ถีทาง
ของโครงการนี้ก็ถูกมองว‹าแทบไม‹แตกต‹าง
จากโครงการอื่นๆ นั่นก็คือผูŒไดŒรับผลประโยชน
แบบเต็มเม็ดเต็มหน‹วยกลับกลายเปšนพ‹อคŒา
นักการเมือง และเจŒาหนŒาที่ของรัฐ
โครงการกลŒายางถูกว�จารณว‹ามีความผิดปกติ
ตั้งแต‹การกำหนดคุณสมบัติของผูŒเขŒาร‹วมประมูล
ซึ่งกีดกันผูŒที่มีความเชี่ยวชาญในการปลูกยางพารา
ที่สำคัญคือการประมูลถูกตั้งขŒอสงสัยว‹า
ผิดกฎหมายว‹าดŒวยความผิดเกี่ยวกับการเสนอ
ราคาต‹อหน‹วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 (กฎหมาย
ฮั้วประมูล) นอกจากนี้ กรมว�ชาการเกษตร
ยังทำสัญญาที่น‹าจะทำใหŒภาครัฐและเกษตรกร
เสียเปร�ยบ
ทŒายที่สุด เมื่อผูŒชนะการประมูลส‹งมอบกลŒายาง
ล‹าชŒาและไม‹มีคุณภาพ ผูŒที่เสียหายก็คือเกษตรกร
ผูŒหวังจะไดŒกำไรจากการทำสวนยางตามนโยบาย
อันสวยหรูของรัฐบาล
สถานะ
• นายฉกรรจ รักษาวงษ
อธิบดีกรมวิชาการเกษตร
ถูกยายเปนรองปลัดกระทรวง
เกษตรฯ
01
กรมวิชาการเกษตรกำหนด
คุณสมบัติของผูเขาประมูล
เอื้อตอบริษัทขนาดใหญ
บางราย
02
กรมวิชาการเกษตรกำหนด
ราคากลางการประมูล
คอนขางสูง และดำเนินการ
ประมูลที่น�าจะผิดกฎหมาย
ฮั้วประมูล
03
กรมวิชาการเกษตรทำสัญญา
ที่น�าจะทำใหภาครัฐและ
เกษตรกรเสียเปรียบ
โดยกำหนดเวลาสงมอบ
กลายางในชวงปลายฤดูฝน
ซึ�งไมเหมาะกับการปลูกยาง
และกำหนดคาปรับการสงมอบ
ลาชาต่ำ
04
กรมวิชาการเกษตรขยายเวลา
การสงมอบกลายางและ
รับมอบกลายางที่ถูกทักทวง
วาไมมีคุณภาพ อีกทั้ง
ไมเรียกรองใหมีการจาย
คาชดเชยความเสียหาย
ใหแกเกษตรกร
บันได 4 ขั้น
• คณะกรรมการตรวจสอบ
การกระทำที่กอใหเกิดความ
เสียหายแกรัฐ (คตส.) ชี้มูลวา
มีการทำผิดหลายประการเพื่อเอื้อ
ประโยชนแกบริษัทเอกชน โดย
คตส. ฟองจำเลยทั้งหมด 44 คน
และใหจำเลยทั้งหมดรวมกันจาย
เงินชดเชยคาเสียหายแกรัฐ
เปนเงิน 1,349 ลานบาท
• อัยการสั�งไมฟองคดีน�้
เพราะเห็นวาสำนวนคดีของ
คตส. ยังไมสมบูรณ สุดทาย
หลังจาก คตส. ฟองคดีน�้เอง
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของ
ผูดำรงตำแหน�งทางการเมือง
ก็พิพากษายกฟองทุกขอกลาวหา
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 131130
โครงการทุจริตที่เต็มไปด้วยเทคนิคแพรวพราว ซับซ้อนซ่อนเงื่อน เรื่องบางเรื่องที่ไม่คาดคิดก็ยังทุจริตกันจนได้
เปิบพิสดาร : สากกะเบือยันเรือขุด
22
‘เรือขุดหัวสว่าน’
ซื้อของ แต่ไม่ได้ของ
ปูมหลัง
กรมเจ้าท่าเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม มีหน้าที่พัฒนาและบำ�รุงรักษาโครงสร้าง
พื้นฐาน เพื่อสนับสนุนการขนส่งทางน้ำ� ซึ่งรวมถึงทางน้ำ�ตามธรรมชาติ กรมเจ้าท่าจึงต้องใช้
‘เรือขุด’ สำ�หรับขุดลอกดิน ตะกอน สันดอน หรือขุดคลองใหม่
เมื่อเดือนกันยายน 2540 คณะรัฐมนตรีสมัยรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เห็นชอบให้
กรมเจ้าท่าดำ�เนินการจัดหาเรือขุดหัวสว่าน ขนาดท่อส่งดิน 28 นิ้ว จำ�นวน 3 ลำ� โดยการจัดจ้าง
ต่อเรือขุดหัวสว่านเกิดขึ้นในสมัยที่ จงอาชว์ โพธิสุนทร ดำ�รงตำ�แหน่งอธิบดีกรมเจ้าท่า ซึ่งบริษัท
ที่ชนะการประกวดราคาคือ บริษัท เอลลิคอตต์ แมชชีน (Ellicott Machine Corp. International)
จากสหรัฐอเมริกา
โครงการจัดจ้างต่อเรือขุดใช้เงินกู้จำ�นวน 49.4 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2,000 ล้านบาท
โดยกรมเจ้าท่าจะแบ่งชำ�ระค่างวดเป็น 6 งวด ตามความก้าวหน้าของงาน ทั้งนี้ เอลลิคอตต์ฯ ต้อง
ส่งมอบเรือขุดหัวสว่าน 3 ลำ� ท่อทุ่น และเรือพี่เลี้ยง โดยมีกำ�หนดส่งมอบภายในวันที่ 24 มีนาคม
2542
133
เส้นทางผลประโยชน์
การทุจริตในการจัดจ้างต่อเรือขุดหัวสว่าน ประกอบด้วย
1. การตรวจรับงานที่ไม่ตรงตามสัญญา 2 ครั้ง
2. การแก้ไขสัญญาการเบิกจ่ายเงินที่เอื้อประโยชน์แก่บริษัท เอลลิคอตต์ฯ ทำ�ให้รัฐเสีย
ผลประโยชน์
ในส่วนของการตรวจรับงานมีการทุจริตครั้งแรกเมื่อคณะกรรมการตรวจรับงานของกรมเจ้าท่า
ตรวจรับเครื่องยนต์ขับเครื่องกำ�เนิดไฟฟ้าจากเอลลิคอตต์ฯ ทั้งที่ไม่ใช่เครื่องจักรหลักตามสัญญา
และครั้งที่ 2 เมื่อคณะกรรมการฯ ตรวจรับอุปกรณ์ปั๊มขุดและชุดเกียร์จำ�นวน 3 ชุด ทั้งที่ต้องมี
การส่งมอบ 6 ชุดตามสัญญา โดยการตรวจรับทั้ง 2 ครั้ง ทำ�ให้กรมเจ้าท่าต้องจ่ายค่างวด ทั้งที่
ไม่ได้งานครบตามสัญญา
นอกจากการทุจริตในกระบวนการตรวจรับงาน ยังมีการแก้ไขสัญญาการจัดจ้าง โดยยืดเวลา
การส่งมอบเรือขุด จากเดิมกำ�หนดไว้ในเดือนมีนาคม 2542 เป็นเดือนกุมภาพันธ์ 2544 และ
เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการเบิกจ่ายเงินที่เอื้อประโยชน์แก่เอลลิคอตต์ฯ กล่าวคือ สัญญาเดิมกำ�หนด
ให้เอลลิคอตต์ฯ ต้องส่งมอบเรือขุดมายังไทย แล้วกรมเจ้าท่าจึงจะจ่ายค่างวด 8.9 ล้านดอลลาร์
แต่จงอาชว์ ในฐานะอธิบดีกรมเจ้าท่า ได้แก้ไขสัญญาให้มีการแบ่งจ่ายเงินเป็น 3 งวดย่อย โดยจ่าย
ค่างวดประมาณ 4 ล้านดอลลาร์เมื่อมีการส่งมอบท่อทุ่น จากนั้นจ่ายประมาณ 2.67 ล้านดอลลาร์
เมื่อมีการส่งมอบเรือพี่เลี้ยง และจ่ายส่วนที่เหลือเมื่อส่งเรือขุดมายังไทย
การตรวจรับงานที่ไม่ตรงตามสัญญา การยืดเวลาส่งมอบเรือขุด และการแก้ไขสัญญาการเบิก
จ่ายเงิน ทำ�ให้เอลลิคอตต์ฯ ได้รับเงินค่างวดรวมทั้งสิ้นกว่า 40 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นร้อยละ
78 ของมูลค่าสัญญา ทั้งที่ทางกรมเจ้าท่าได้รับเพียงท่อทุ่นและเรือพี่เลี้ยง โดยที่ยังไม่ได้รับเรือขุด
เลย หลังจากนั้น ทางเอลลิคอตต์ฯ ก็ทิ้งงาน ไม่ดำ�เนินการต่อเรือให้แล้วเสร็จ กรมเจ้าท่าจึงบอก
เลิกสัญญา และเรียกร้องให้เอลลิคอตต์ฯ ชดใช้ค่าเสียหายเมื่อเดือนมีนาคม 2546
หลังจากถูกบอกเลิกสัญญา เอลลิคอตต์ฯ กลับดำ�เนินการต่อเรือจนแล้วเสร็จ และนำ�ไปขาย
ให้ผู้ซื้อในประเทศจีน 2 ลำ� และในประเทศสหรัฐอเมริกา 1 ลำ�
เมนูคอร์รัปชัน134
สถานะของคดี
เดือนกันยายน 2552 คณะอนุญาโตตุลาการชี้ขาดข้อพิพาท
ระหว่างกรมเจ้าท่ากับเอลลิคอตต์ฯ กรณีที่บริษัทผิดสัญญาการ
ส่งมอบเรือขุดหัวสว่าน โดยให้เอลลิคอตต์ฯ ชดใช้ค่าเสียหายเป็น
เงินประมาณ88ล้านดอลลาร์และเสียค่าปรับอีกราว41ล้านบาท
พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
ส่วนการดำ�เนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ เมื่อเดือนกรกฎาคม
2554 ศาลอุทธรณ์มีคำ�พิพากษาจำ�คุก จงอาชว์ โพธิสุนทร อดีต
อธิบดีกรมเจ้าท่า และพวก รวม 5 คน เป็นเวลา 10 ปี ปัจจุบัน
คดีอยู่ในชั้นศาลฎีกา
เอกสารอ้างอิง
•	 ฉาวรอบใหม่คดีเรือขุดฉาว คณะอนุญาฯ ชี้ขาด บ.เอลลิคอตต์ ต้องใช้ค่าเสียหายอ่วมกว่า 3 พันล้าน, หนังสือพิมพ์ มติชน, 6
กันยายน 2552.
•	 เปิดผลสอบซาก ‘เอลลิคอตต์’ พิสูจน์รัฐเสียหายยับ ‘พันล้าน’, หนังสือพิมพ์ มติชน, 15 มกราคม 2550.
•	 พลิกแฟ้ม ‘14 ปี’ คดีเรือขุด ‘เอลลิคอตต์’, หนังสือพิมพ์ มติชน, 20 กรกฎาคม 2554.
•	 ล่าข้ามโลก ‘เรือขุด’ อัปยศ จาก ‘นิวออร์ลีนส์-โบไห่’, หนังสือพิมพ์ มติชน, 29 มกราคม 2550.
•	 อุทธรณ์จำ�คุก 10 ปี อดีตอธิบดีกรมเจ้าท่า ทุจริตซื้อเรือขุด, หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ, 19 กรกฎาคม 2554.
ผลกระทบต่อประชาชน
•	 กรมเจ้าท่าจ่ายค่างวดจ้างต่อเรือขุด 1,555 ล้านบาท แต่ไม่ได้รับมอบเรือขุดแม้แต่ลำ�เดียว
ขณะที่เรือพี่เลี้ยงที่เอลลิคอตต์ฯ ส่งมอบก็ไม่ได้ถูกใช้งาน เพราะเรือขุดที่ใช้อยู่มีเรือพี่เลี้ยง
ประจำ�อยู่แล้ว สำ�หรับท่อทุ่นและอุปกรณ์อื่นๆ ก็ไม่สามารถใช้งานได้ เพราะมีขนาดต่างจาก
อุปกรณ์ที่กรมเจ้าท่าใช้ตามปกติ
•	 หากคำ�นวณเฉพาะเวลาส่งมอบที่ถูกยืดออกไป จากที่กำ�หนดไว้ในเดือนมีนาคม 2542 เป็น
เดือนกุมภาพันธ์ 2544 แผนการขุดลอกคูคลองต่ำ�กว่าเป้าหมายราว 1.35 ล้านลูกบาศก์
เมตร หรือคิดเป็นความเสียหายมูลค่ากว่า 25 ล้านบาท
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 135
Disch Arge Hose
Floatation
Operator’s Station
บันได 4 ขั้น
01 02 03 04
ตรวจรับงานจากบริษัท
เอลลิคอตตฯ ทั้งที่
สงงานไมครบตามสัญญา
แกไขสัญญา โดยยืดเวลา
การสงมอบเรือขุด และเปลี่ยน
เงื่อนไขการเบิกจายเงิน
โดยแบงจายคางวดเปน
3 งวดยอย
บริษัทเอลลิคอตตฯ ไดรับเงิน
คางวดรวม 78% ของมูลคา
สัญญา จากนั้นก็ทิ้งงาน
โดยสงมอบเพียงทอทุนและ
เรือพี่เลี้ยง แตไมไดสงมอบ
เรือขุด
กรมเจาทาบอกเลิกสัญญา
และเรียกรองคาเสียหาย
หลังจากนั้น บริษัทเอลลิคอตตฯ
กลับตอเรือจนเสร็จ และนำไป
ขายใหผูซื้อรายอื่น
การจัดจŒางต‹อเร�อข�ดหัวสว‹าน:
ทุจร�ตตรวจรับงาน
แกŒสัญญาเอื้อเอกชน
22
รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เห็นชอบใหŒ
กรมเจŒาท‹าดำเนินการจัดหาเร�อข�ดหัวสว‹าน
ขนาดท‹อส‹งดิน 28 นิ�ว จำนวน 3 ลำ โดยบร�ษัท
ที่ชนะการประกวดราคาคือบร�ษัทเอลลิคอตตฯ
จากประเทศสหรัฐอเมร�กา โครงการจัดจŒาง
ต‹อเร�อข�ดใชŒเง�นกูŒประมาณ 2,000 ลŒานบาท
โดยบร�ษัทเอลลิคอตตฯ ตŒองส‹งมอบเร�อข�ด
หัวสว‹าน 3 ลำ ท‹อทุ‹น และเร�อพ�่เลี้ยง แต‹ทŒายที่สุด
ไม‹มีการส‹งมอบเร�อข�ดแมŒแต‹ลำเดียว ขณะที่
กรมเจŒาท‹าจ‹ายเง�นไปแลŒว 1,555 ลŒานบาท
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
• กรมเจาทาจายคางวด
จางตอเรือขุด 1,555 ลานบาท
แตไมไดรับมอบเรือขุดแมแตลำเดียว
• หากคำนวณเฉพาะเวลาสงมอบ
ที่ถูกยืดออกไป จากที่กำหนดไว
ในเดือนมีนาคม 2542
เปนเดือนกุมภาพันธ 2544
แผนการขุดลอกคูคลองต่ำกวา
เปาหมายราว 1.35 ลานลูกบาศกเมตร
หรือคิดเปนมูลคากวา 25 ลานบาท
สถานะป˜จจ�บัน
เดือนกันยายน 2552 คณะอนุญาโต-
ตุลาการใหบริษัทเอลลิคอตตฯ
ชดใชคาเสียหายเปนเงินประมาณ
88 ลานดอลลารสหรัฐ และคาปรับ
อีกราว 41 ลานบาท พรอม
ดอกเบี้ยในอัตรา 7.5% ตอป
สวนการดำเนินคดีกับเจาหนาที่รัฐ
เมื่อเดือนกรกฎาคม 2554
ศาลอุทธรณมีคำพิพากษาจำคุก
นายจงอาชว โพธิสุนทร
อดีตอธิบดีกรมเจาทา กับพวก
รวม 5 คน เปนเวลา 10 ป
ปจจุบันคดีอยูในชั้นศาลฎีกา
Disch Arge Hose
Floatation
Operator’s Station
BoatBoat
1,555ลŒานบาท
จ‹ายไป
2,000ลŒานบาท
ราคาของ
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 137136
23
GT 200
ไม้ล้างป่าช้าราคาแพง
ปูมหลัง
สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำ�ให้เกิดความ
สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของราชการและประชาชน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม การ
ประกอบอาชีพ และวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ รัฐบาลจึงต้องจัดซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือการ
ทำ�งานให้กับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ เพื่อใช้จัดการปัญหาความไม่สงบ ซึ่งรวมถึงการจัดซื้อเครื่องตรวจ
จับวัตถุระเบิด ‘GT 200’
GT 200 เป็นเครื่องตรวจจับสสารระยะไกลที่ผลิตโดยบริษัท โกลบอล เทคนิคอล จำ�กัด ใน
สหราชอาณาจักร โดยบริษัทดังกล่าวอ้างว่า GT 200 สามารถตรวจสอบวัตถุต้องสงสัยต่างๆ ได้
ทั้งระเบิดและยาเสพติด ด้วยเหตุนี้กองทัพบกจึงจัดซื้อเครื่อง GT 200 เพื่อใช้ในการปฏิบัติภารกิจ
ค้นหาระเบิดของเจ้าหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะในช่วงปี 2550-2552 ซึ่งเกิดเหตุ
วางระเบิดบ่อยครั้ง
เมนูคอร์รัปชัน138
เส้นทางผลประโยชน์
เหตุระเบิดในจังหวัดชายแดนภาคใต้ช่วงเดือนตุลาคม 2552
นำ�มาซึ่งความเคลือบแคลงสงสัยถึงประสิทธิภาพในการค้นหา
ระเบิดของเครื่อง GT 200 โดยในช่วงแรกเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ให้
ความเห็นเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเครื่อง GT 200 ว่าเกิดจาก
การที่เครื่องดังกล่าวมีความสัมพันธ์อย่างมากกับสภาพร่างกาย
ของผู้ใช้ เนื่องจากเครื่อง GT 200 ใช้ไฟฟ้าสถิตจากผู้ใช้เป็น
กลไกหลักในการทำ�งาน หากผู้ใช้อ่อนเพลียย่อมส่งผลกระทบต่อ
ความแม่นยำ�ของเครื่องในการค้นหาวัตถุต้องสงสัย การให้เหตุผล
เช่นนี้นำ�ไปสู่การตั้งคำ�ถามเกี่ยวกับการทำ�งานของเครื่อง ทั้งจาก
นักข่าวและประชาชนผู้สนใจ
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ภาครัฐ ทั้งคณะรัฐมนตรี กองทัพ
บก รวมถึงสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ยังคงเชื่อมั่นว่าเครื่อง GT
200 สามารถใช้งานได้ จนกระทั่งในเดือนมกราคม 2553 ผู้
เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้ทำ�การตรวจพิสูจน์เครื่อง
ADE-651 ซึ่งเป็นเครื่องตรวจหาสสารลักษณะเดียวกันกับเครื่อง
GT 200 และพบว่าไม่มีวงจรหรือโปรแกรมใดๆ ภายในอุปกรณ์
จึงเป็นไปไม่ได้ที่เครื่องจะทำ�งานได้ ผลการทดสอบดังกล่าวทำ�ให้
รัฐบาลอังกฤษแจ้งเตือนประเทศต่างๆ ที่ซื้อเครื่องตรวจหาสสาร
ลักษณะนี้
เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์จากคณะวิทยาศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า เครื่อง GT 200 ไม่น่า
จะใช้ค้นหาวัตถุระเบิดได้ และเสนอให้มีการทดสอบประสิทธิภาพ
การทำ�งานของเครื่อง GT 200
ท้ายที่สุดจึงมีการทดสอบโดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์
และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์
2553 พบว่า เครื่อง GT 200 ตรวจพบวัตถุระเบิดเพียง 4 ครั้ง
จากการทดสอบ 20 ครั้ง ซึ่งไม่มากไปกว่าการตรวจหาโดยการสุ่ม
ผลการทดสอบนี้ทำ�ให้อภิสิทธิ์เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
สั่งยกเลิกการจัดซื้อเครื่อง GT 200 เพิ่มเติม และให้หน่วยงาน
ที่ใช้อยู่ทบทวนเรื่องการใช้งาน
ผลการทดสอบข้างต้นแสดงให้เห็นถึงปัญหาในการจัดซื้อ
เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์โดยมิได้ตรวจสอบการทำ�งานว่ามี
ประสิทธิภาพจริงหรือไม่ ส่งผลให้เกิดการใช้งบประมาณอย่าง
ไม่คุ้มค่า ทั้งนี้ ในช่วงที่เนคเทคทำ�การทดสอบ หน่วยงานภาครัฐ
ได้มีการใช้เครื่อง GT 200 รวมถึงเครื่องตรวจหาสสารลักษณะ
เดียวกันอย่าง Alpha 6 รวมกันเกินกว่า 1,000 เครื่อง ซึ่งมีมูลค่า
รวมกันหลายร้อยล้านบาท
นอกจากปัญหาการจัดซื้อเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์โดย
มิได้ตรวจสอบการทำ�งาน วิธีการจัดซื้อก็อาจก่อปัญหาเช่นกัน
โดยปกติการจัดซื้อวัสดุ ครุภัณฑ์ หรืออาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ
ของกองทัพ มักใช้การซื้อโดยวิธีพิเศษ1
ซึ่งในบางกรณีอาจมีความ
จำ�เป็น เนื่องจากเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ แต่ในอีก
ด้านหนึ่ง การจัดซื้อด้วยวิธีดังกล่าวอาจทำ�ให้หน่วยงานภาครัฐ
ได้ของที่ราคาแพงเกินจริง เมื่อเทียบกับการจัดซื้อโดยวิธีประกวด
ราคา หรืออาจได้ของที่ไม่ได้คุณภาพตามที่ต้องการ นอกจาก
นี้ ความไม่โปร่งใสของการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ ยังเป็นช่องทางให้
เกิดการทุจริต
แม้ว่ารัฐบาลจะจัดซื้อเครื่อง GT 200 มาตั้งแต่ปี 2547
แต่การจัดซื้อจำ�นวนมากเกิดขึ้นในช่วงปี 2550-2552 รัฐบาล
ได้จัดซื้ออย่างน้อย 14 ครั้ง รวม 627 เครื่อง คิดเป็นมูลค่ากว่า
570 ล้านบาท ซึ่งเป็นการจัดซื้อโดยกรมสรรพาวุธทหารบก 8
ครั้ง รวม 408 เครื่อง คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 370 ล้านบาท
หรือเครื่องละประมาณ 900,000 บาท โดยใช้ทั้งงบประมาณ
ของกองทัพบกและกองอำ�นวยการรักษาความมั่นคงภายใน
ราชอาณาจักร (กอ.รมน.)
แม้ว่าการจัดซื้อเครื่องตรวจจับระเบิดทั้งหมดเป็นการจัดซื้อ
จากบริษัท เอวิเอ แซทคอม จำ�กัด แต่หน่วยงานต่างๆ กลับจัดซื้อ
ด้วยราคาที่ต่างกันมาก โดยกรมศุลกากรจัดซื้อจำ�นวน 6 เครื่อง
ราคาเครื่องละประมาณ 430,000 บาท ขณะที่กรมราชองครักษ์
กระทรวงกลาโหม จัดซื้อจำ�นวน 3 เครื่อง แต่ซื้อในราคาสูง
1  ดูภาคผนวก
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 139
ถึงเครื่องละ 1.2 ล้านบาท ในช่วงเวลาห่างจากที่กรมศุลกากร
จัดซื้อเพียง 3 เดือน
ทั้งกรมราชองครักษ์และกองทัพบกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ
กระทรวงกลาโหม จัดซื้อเครื่อง GT 200 โดยวิธีพิเศษ ทำ�ให้ราคา
สูงกว่าการจัดซื้อของกรมศุลกากร 1-2 เท่า และหากพิจารณา
งบประมาณของกระทรวงกลาโหมตั้งแต่หลังรัฐประหารในปี
2549 จะพบว่า งบประมาณของกระทรวงกลาโหมเพิ่มสูงขึ้น
เรื่อยๆ จนในปี 2556 สูงถึง 1.8 แสนล้านบาท การจัดซื้อโดย
วิธีพิเศษจึงสุ่มเสี่ยงที่จะทำ�ให้เกิดการใช้งบประมาณอย่างไม่คุ้มค่า
รวมถึงเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริต
ผลกระทบต่อ
ประชาชน
•	 การจัดซื้อเครื่องมือที่มิได้มีการตรวจสอบการทำ�งาน ส่งผล
ให้เกิดการใช้งบประมาณอย่างไม่คุ้มค่า และในกรณีการ
จัดซื้อเครื่อง GT 200 น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งของการสูญเสีย
ชีวิตของเจ้าหน้าที่และประชาชน
•	 การจัดซื้อโดยวิธีพิเศษเอื้อให้เกิดการทุจริตและยากต่อการ
ตรวจสอบ
ภาคผนวก
ระเบียบสำ�นักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย
การพัสดุ พ.ศ. 2535
ข้อ23การซื้อโดยวิธีพิเศษได้แก่การซื้อครั้งหนึ่ง
ซึ่งมีราคาเกิน 100,000 บาท ให้กระทำ�ได้เฉพาะ
กรณีหนึ่งกรณีใด ดังต่อไปนี้
(1) เป็นพัสดุที่จะขายทอดตลาดโดยส่วนราชการ
หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการ
ส่วนท้องถิ่น หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้
มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ
องค์การระหว่างประเทศหรือหน่วยงานของต่าง
ประเทศ
(2) เป็นพัสดุที่ต้องซื้อเร่งด่วน หากล่าช้าอาจจะ
เสียหายแก่ราชการ
(3) เป็นพัสดุเพื่อใช้ในราชการลับ
(4) เป็นพัสดุที่มีความต้องการใช้เพิ่มขึ้นใน
สถานการณ์ที่จำ�เป็นหรือเร่งด่วน หรือเพื่อประโยชน์
ของส่วนราชการ และจำ�เป็นต้องซื้อเพิ่ม (Repeat
Order)
(5) เป็นพัสดุที่จำ�เป็นต้องซื้อโดยตรงจากต่าง
ประเทศ หรือดำ�เนินการโดยผ่านองค์การระหว่าง
ประเทศ
(6) เป็นพัสดุที่โดยลักษณะของการใช้งานหรือ
มีข้อจำ�กัดทางเทคนิคที่จำ�เป็นต้องระบุยี่ห้อเป็นการ
เฉพาะ ซึ่งหมายความรวมถึงอะไหล่ รถประจำ�
ตำ�แหน่ง หรือยารักษาโรคที่ไม่ต้องจัดซื้อตามชื่อสามัญ
ในบัญชียาหลักแห่งชาติตามข้อ 60
(7) เป็นพัสดุที่เป็นที่ดินและหรือสิ่งก่อสร้างซึ่ง
จำ�เป็นต้องซื้อเฉพาะแห่ง
(8) เป็นพัสดุที่ได้ดำ�เนินการซื้อโดยวิธีอื่นแล้ว
ไม่ได้ผลดี
เมนูคอร์รัปชัน140
เอกสารอ้างอิง
•	 กรณี GT 200 ทำ�อย่างไรให้งบประมาณกองทัพไทยโปร่งใสยิ่งขึ้น?, เว็บไซต์ Thaipubli-
ca, 29 เมษายน 2556.
•	 แฉราคาซื้อ-ขายจีที 200 อดีตถึงปัจจุบัน เป็นงง บริษัทจำ�หน่ายเดียวกัน แตกต่างฟ้า-
ดิน, หนังสือพิมพ์ มติชน, 3 กุมภาพันธ์ 2553.
•	 เปิดจีที 200 ไม้ล้างป่าช้าพันล้าน, หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก, รวมเอกสารข่าวประกวด,
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, 2553.
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 141
80%
ไม‹พบ
20%
ความแม‹นยำ
ในการตรวจหา
วัตถุระเบิด
พบ
จ‹ายแพงกว‹าทำไม?
กำไร
กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชัยนาท
กรมสรรพาวุธทหารบก
กรมราชองครักษ กระทรวงกลาโหม
กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง
หน�วย: ลานบาท
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
2548 2549 2550 2551 2552 2553 2554 2555 2556
0.0
20,000
40,000
60,000
80,000
120,000
160,000
140,000
100,000
200,000
180,000
หน�วย: ลานบาท
งบประมาณกระทรวงกลาโหม
ป‚ 2548-2556
GT200:
จัดซื้อพ�เศษ ไม‹โปร‹งใส
ตายราคาแพง
23
การจัดซื้อเคร�่อง GT200 เปšนตัวอย‹างของ
การจัดซื้อเคร�่องมือโดยมิไดŒตรวจสอบการทำงาน
อย‹างรัดกุม ขณะเดียวกันก็ชี้ว‹าว�ธีการจัดซื้อ
ของกองทัพอาจมีป˜ญหามาก เนื่องจากกองทัพ
มักจัดซื้อโดยว�ธีพ�เศษ ซึ่งอาจทำใหŒไดŒของ
ที่ราคาแพงเกินจร�งและไม‹มีคุณภาพ นอกจากนี้
การจัดซื้อโดยว�ธีพ�เศษยังเอื้อใหŒเกิดการทุจร�ต
ไดŒโดยง‹าย
ช‹วงป‚ 2550-2552 รัฐบาลไทยจัดซื้อเคร�่อง
GT200 อย‹างนŒอย 14 ครั้ง โดยกรมศุลกากร
จัดซื้อ 6 เคร�่อง เคร�่องละประมาณ 4.3 แสนบาท
กรมสรรพาวุธทหารบกจัดซื้อ 408 เคร�่อง
เคร�่องละประมาณ 9 แสนบาท และกรมราชองครักษ
จัดซื้อ 3 เคร�่อง เคร�่องละ 1.2 ลŒานบาท ทั้งที่ซื้อ
จากบร�ษัทเดียวกัน และจัดซื้อหลังจากกรมศุลกากร
เพ�ยง 3 เดือน
ราคาเคร�่อง GT200 ซึ่งกองทัพซื้อแพงกว‹า
กรมศุลกากร น‹าจะสะทŒอนถึงความไม‹โปร‹งใส
ของการจัดซื้อโดยว�ธีพ�เศษ ซึ่งในกรณีนี้คือ
การจัดซื้อเคร�่องมือที่มีผลต‹อความปลอดภัย
ในชีว�ตและทรัพยสินของผูŒคน
• การจัดซื้อเครื่องมือที่มิได
มีการตรวจสอบการทำงาน
สงผลใหเกิดการใชงบประมาณ
อยางไมคุมคา และในกรณ�
การจัดซื้อเครื่อง GT200
น�าจะเปนสาเหตุหนึ�งของ
การสูญเสียชีวิตของเจาหนาที่
และประชาชน
• การจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ
เอื้อใหเกิดการทุจริต
และยากตอการตรวจสอบ
0.2
0.4
0.6
0.8
1.0
1.2
0.0
1.2
0.9
0.4
0.6
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 143142
24
เงินบริจาคสึนามิ
ล่องหน
ปูมหลัง
26 ธันวาคม 2547 เกิดเหตุภัยพิบัติคลื่นยักษ์สึนามิบริเวณชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียและ
ทะเลอันดามันของประเทศไทย ทำ�ให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็น
จำ�นวนมาก โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในจังหวัดพังงา ภูเก็ต กระบี่ ระนอง และตรัง ยอดรวมของผู้เสียชีวิตทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
มีมากกว่า 5,000 คน และมีผู้บาดเจ็บนับหมื่นคน
หลังเกิดภัยพิบัติ มีการตั้งศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลและการส่งกลับ (Thai
Tsunami Victim Identification: TTVI) โดยมีภารกิจหลักคือการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลของ
ผู้เสียชีวิตชาวต่างชาติและส่งกลับประเทศ ซึ่งหลายประเทศทั่วโลกได้ระดมความช่วยเหลือส่งมายัง
ประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเงินบริจาคและเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ รวมไปถึงเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์
และการแพทย์
เมนูคอร์รัปชัน144
เงินบริจาคที่ส่งมายังประเทศไทยมีประมาณ 80 ล้านบาท
จุดประสงค์หลักของเงินจำ�นวนนี้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการพิสูจน์
เอกลักษณ์บุคคล แต่ภายหลังปรากฏข้อเท็จจริงว่า เงินจำ�นวนนี้
ไม่ได้ถูกนำ�ไปใช้ตามวัตถุประสงค์ เพราะจากการตรวจสอบบัญชี
พบว่า มีเงินหายไปจำ�นวนมาก และจนถึงต้นปี 2556 ก็ยังคง
มีศพที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล โดยที่สุสานบ้าน
บางมะรวน ตำ�บลบางม่วง อำ�เภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา มีศพที่
ยังไม่ได้รับการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลอีกกว่า 400 ศพ
เส้นทางผลประโยชน์
การค้นหาเบาะแสการทุจริตเริ่มขึ้นเมื่อเอกอัครราชทูต
ประจำ�ประเทศไทย 7 ประเทศ ได้แก่ ฟินแลนด์ เยอรมนี
เนเธอร์แลนด์ สวีเดน สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และ
ฝรั่งเศส ร่วมกันทำ�หนังสือลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2549 ถึง
พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผู้บัญชาการตำ�รวจแห่งชาติ เพื่อสอบถาม
ความคืบหน้าเรื่องการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลของศพที่ค้างอยู่
กว่า 400 ศพ ว่าเหตุใด TTVI จึงไม่ดำ�เนินการพิสูจน์เอกลักษณ์
บุคคลให้แล้วเสร็จ
การแกะรอยการใช้เงินบริจาคเริ่มต้นขึ้นโดยเอกอัครราชทูต
ประจำ�ประเทศไทย 7 ประเทศ ขอดูหลักฐานการเบิกจ่ายเงิน
บริจาคในช่วง 2 ปีหลังเกิดเหตุภัยพิบัติ เนื่องจากมีข่าวว่าเงิน
บริจาคกว่าร้อยละ 60 ถูกเบิกจ่ายผิดวัตถุประสงค์
สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำ�ประเทศไทยได้ว่าจ้างบริษัท
Baker & McKenzie เป็นผู้ดำ�เนินการตรวจสอบบัญชีเบิกจ่าย
พบว่ามีการเบิกจ่ายเงินซื้อสิ่งของที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานพิสูจน์
เอกลักษณ์บุคคล เช่น แก้วไวน์และไวน์ราคาแพง ตู้แช่ไวน์
ลูกกอล์ฟ อุปกรณ์เล่นกอล์ฟ ผ้าอ้อมเด็ก อาหารสุนัข โทรศัพท์
มือถือการเช่ารถที่ไม่ระบุภารกิจการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
ไปราชการของเจ้าหน้าที่ในลักษณะซ้ำ�ซ้อนกับที่เคยเบิกจ่าย
กับต้นสังกัดไปแล้ว การจัดประชุมนอกสถานที่ที่มีค่าใช้จ่าย
สูงกว่าระเบียบของราชการ และการซื้อตั๋วเครื่องบินชั้นธุรกิจ
ให้ข้าราชการตำ�รวจชั้นประทวน
ยิ่งไปกว่านั้น เอกอัครราชทูตประจำ�ประเทศไทย 7 ประเทศ
ยังแจ้งด้วยว่า ศพกว่า 2,000 ศพที่พิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลและ
จัดส่งไปยังญาตินั้นจัดส่งผิดเนื่องจากการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล
ไม่ถูกต้อง สถานทูตทั้ง 7 แห่ง จึงเรียกร้องให้สำ�นักงานตำ�รวจแห่ง
ชาติชี้แจงขั้นตอนการทำ�งานโดยละเอียด เพื่อความโปร่งใส และ
ที่สำ�คัญเพื่อให้ศพได้รับการจัดส่งไปยังญาติที่แท้จริง
หลังจากปรากฏเป็นข่าว พล.ต.อ.โกวิท จึงมีคำ�สั่งแต่งตั้ง
คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงรวมถึงมีคำ�สั่งย้ายผู้กำ�กับการ
กลุ่มงานพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลและการส่งกลับ ไปช่วยราชการ
ที่สำ�นักงานนิติวิทยาศาสตร์ตำ�รวจ และสับเปลี่ยนเจ้าหน้าที่
ชุดใหม่ไปปฏิบัติหน้าที่ในศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล
และการส่งกลับแทนเจ้าหน้าที่ชุดเดิม แต่การสืบสวนข้อเท็จจริง
ก็ไม่มีความคืบหน้า
หลังจาก พล.ต.อ.โกวิท ถูกย้ายไปช่วยราชการที่สำ�นักนายก
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 145
ผลกระทบต่อประชาชน
•	 ผู้เสียชีวิตจากเหตุสึนามิกว่า 400 ศพ ไม่ได้รับการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล
•	 ผู้เสียชีวิตจากเหตุสึนามิกว่า 2,000 ศพ ได้รับการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลไม่ถูกต้อง
•	 ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ติดลบ จากการที่เจ้าหน้าที่หาผลประโยชน์จากเงินบริจาคเพื่อ
ช่วยเหลือผู้ประสบภัย
รัฐมนตรี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รักษาการผู้บัญชาการ
ตำ�รวจแห่งชาติ จึงเปลี่ยนผู้รับผิดชอบการตรวจสอบข้อเท็จจริง
แต่เนื่องจากมีเอกสารทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยจำ�นวนมาก
ประกอบกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องหลายคนเกษียณอายุราชการ
ทำ�ให้การตรวจสอบยังคงไม่มีความคืบหน้าเช่นเดิม
สื่อมวลชนจึงร่วมกันกดดันสำ�นักงานตำ�รวจแห่งชาติ จน
ในที่สุด พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ จึงมีคำ�สั่งแต่งตั้ง พล.ต.อ.ปทีป
ตันประเสริฐ จเรตำ�รวจแห่งชาติ ทำ�หน้าที่ประธานคณะกรรมการ
ตรวจสอบข้อเท็จจริง กระทั่งพบข้อเท็จจริงและมีหลักฐานว่า
มีนายตำ�รวจยศ พ.ต.อ. รายหนึ่งซึ่งเคยปฏิบัติงานในศูนย์
ปฏิบัติการฯ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายเงินบริจาค
ผิดวัตถุประสงค์ตามที่บริษัท Baker & McKenzie ตรวจพบ
เมนูคอร์รัปชัน146
เอกสารอ้างอิง
•	 เปิดโปงทุจริตเงินบริจาคสึนามิ, หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก, รวมเอกสารข่าว
ประกวด, สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, 2550.
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 147
หลังจากเอกอัครราชทูตจาก 7 ประเทศร‹วมกัน
ทำหนังสือถึงผูŒบัญชาการตำรวจแห‹งชาติ
เพ�่อสอบถามความคืบหนŒาเร�่องการพ�สูจน
เอกลักษณบุคคลของศพที่คŒางอยู‹กว‹า 400 ศพ
ความไม‹ชอบมาพากลของการใชŒเง�นบร�จาค
จ�งถูกเปดเผย โดยบร�ษัทตรวจสอบบัญชีพบว‹า
มีการเบิกจ‹ายเง�นไปซื้อสิ�งของที่ไม‹เกี่ยวขŒองกับงาน
พ�สูจนเอกลักษณบุคคล การเช‹ารถที่ไม‹ระบุภารกิจ
การเบิกค‹าใชŒจ‹ายในการเดินทางไปราชการ
การจัดประชุมในสถานที่ที่มีค‹าใชŒจ‹ายสูง
และการซื้อตั๋วเคร�่องบินชั้นธุรกิจใหŒขŒาราชการ
ตำรวจชั้นประทวน ทั้งๆ ที่เง�นดังกล‹าวควรถูกใชŒ
ในการพ�สูจนเอกลักษณบุคคลของศพจำนวนมาก
ผลการแกะรอยเบาะแสของเง�นบร�จาค
โดยบร�ษัท Baker & McKenzie
ใชŒพ�สูจน DNA
40%
60%ใชŒผ�ดวัตถุประสงค
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
• กวา 400 ศพ ไมไดรับการพิสูจน
เอกลักษณบุคคล
• กวา 2,000 ศพ ไดรับการพิสูจน
เอกลักษณบุคคลไมถูกตอง
• ประเทศไทยมีภาพลักษณติดลบ
จากการที่เจาหนาที่หาผลประโยชน
จากเงินบริจาคเพื่อชวยเหลือ
ผูเคราะหราย
เง�นบร�จาคสึนามิ:
ใชŒเง�นผิดวัตถุประสงค
ศพไม‹ไดŒกลับบŒาน
24
มูลค‹า
ความเสียหาย
มีรายงานข‹าวว‹าประมาณ
60%ของเง�นบร�จาค 80 ลŒานบาท
ถูกเบิกจายผิดวัตถุประสงค
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 149148
25
ค่าโง่พันล้าน
ที่ราชพัสดุหมอชิต
ปูมหลัง
‘โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต’ เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุ
ของกรมธนารักษ์ ในฐานะเจ้าของพื้นที่ ซึ่งมีการทำ�บันทึกข้อตกลง 4 ฝ่าย ระหว่างกรุงเทพมหานคร
กรมการขนส่งทางบก บริษัท ขนส่ง จำ�กัด และกรมธนารักษ์ เพื่อพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวเป็นศูนย์กลาง
ระบบขนส่งมวลชนทางบก โดยจะก่อสร้างอาคารในลักษณะผสมผสาน ให้เป็นทั้งสถานีขนส่ง
อาคารเชิงพาณิชย์ และโรงจอดและซ่อมบำ�รุงรถไฟฟ้า
บริษัท ซันเอสเตท จำ�กัด (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท บางกอกเทอร์มินอล จำ�กัด)1
เป็นผู้
ชนะการประมูลของกรมธนารักษ์ โดยเสนอมูลค่าโครงการสูงสุดราว 1.98 หมื่นล้านบาท และจะ
ให้ผลตอบแทนแก่กรมธนารักษ์ 550 ล้านบาท
ตามสัญญากับกรมธนารักษ์ บริษัท ซันเอสเตท จำ�กัด ต้องพัฒนาพื้นที่ โดยก่อสร้างสถานี
ขนส่งบนโรงจอดและซ่อมบำ�รุงรถไฟฟ้า รวมถึงทางยกระดับเชื่อมระหว่างสถานีขนส่งหมอชิตกับ
สถานีขนส่งแห่งใหม่ บริเวณถนนกำ�แพงเพชร 2 หรือ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) และ
ทางยกระดับเข้าออกสถานีขนส่งหมอชิต
ในส่วนของโรงจอดและซ่อมบำ�รุงรถไฟฟ้าซึ่งเกี่ยวข้องกัน กรุงเทพมหานครให้บริษัท ขนส่ง
มวลชนกรุงเทพ จำ�กัด (มหาชน) หรือ BTSC ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้า รับผิดชอบการก่อสร้าง
ฐานรากเพิ่มเติม เพื่อใช้รองรับอาคารด้านบน ประมาณ 766.6 ล้านบาท โดยบริษัท ซันเอสเตท
จำ�กัด จะต้องจ่ายค่าก่อสร้างฐานรากเพิ่มเติมให้แก่ BTSC
1  ในที่นี้จะใช้ชื่อ บริษัท ซันเอสเตท จำ�กัด เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน
เมนูคอร์รัปชัน150
เส้นทางผลประโยชน์
การแสวงหาผลประโยชน์ในโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต ประกอบไป
ด้วยการดำ�เนินการประมูลที่ไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือการ
ดำ�เนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.ร่วมทุน) และ การแก้ไขสัญญาเพื่อเอื้อประโยชน์
ต่อเอกชน ดังนี้
ผิดขั้นตอน พ.ร.บ.ร่วมทุน
เมื่อเริ่มกระบวนการคัดเลือกเอกชนผู้ดำ�เนินโครงการ
กรมธนารักษ์และกระทรวงการคลังมีความเห็นว่า การให้เช่าที่
ราชพัสดุไม่เข้าข่ายที่จะต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ร่วมทุน และได้
ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 ฉบับเดียวมา
โดยตลอด2
ทั้งนี้ กรมธนารักษ์ได้ตั้งคณะกรรมการดำ�เนินการ
ประมูลโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2537
ก่อนที่คณะกรรมการกฤษฎีกาจะให้ความเห็นว่า การให้เช่าที่ราช
พัสดุอยู่ในความหมายของคำ�ว่า ‘กิจการแห่งรัฐ’ และเมื่อโครงการ
ดังกล่าวมีวงเงินหรือทรัพย์สินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป จึง
ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ร่วมทุน กรมธนารักษ์จึงตั้งคณะกรรมการ
เพิ่มเติมเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2538 และ 4 ตุลาคม 2538
เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 13 แห่ง พ.ร.บ.ร่วมทุน3
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นเมื่อ
เดือนมิถุนายน 2544 ว่าโครงการดังกล่าวเริ่มต้นดำ�เนินการตาม
พระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 และคัดเลือกผู้ดำ�เนินการ
โดยการประมูลตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยวิธีการประมูล
จัดให้เช่าที่ราชพัสดุ พ.ศ. 25324
ซึ่งมิได้เป็นไปตามขั้นตอนของ
พ.ร.บ.ร่วมทุน และแม้ว่าจะมีการเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรี
พิจารณาอนุมัติในภายหลัง แต่ก็มิได้เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย
2  โครงการที่ดำ�เนินการตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 อยู่ภายใต้การดูแล
ของคณะกรรมการที่ราชพัสดุ ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน ต่างจาก
การดำ�เนินโครงการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือการดำ�เนิน
การในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ซึ่งต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
3  ดูภาคผนวก
4  ระเบียบดังกล่าวถูกยกเลิก และแทนที่ด้วยระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยวิธีการ
ประมูลจัดให้เช่าที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2538	
เช่นกัน ดังนั้น สัญญาก่อสร้างและบริหารโครงการดังกล่าวจึง
ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่มีผลผูกพันต่อกัน ทำ�ให้การดำ�เนิน
โครงการต้องยุติ
แก้ไขสัญญาเอื้อเอกชน
หลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผลการเจรจาเกี่ยวกับ
รูปแบบโครงการและผลตอบแทนเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2539
กรมธนารักษ์ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง5
เพื่อพิจารณายกร่าง
สัญญาก่อสร้างและบริหารโครงการ และส่งให้สำ�นักงานอัยการ
สูงสุดพิจารณา ตามมาตรา 20 แห่ง พ.ร.บ.ร่วมทุน
อย่างไรก็ตาม หลังจากสำ�นักงานอัยการสูงสุดพิจารณาร่าง
สัญญา กรมธนารักษ์กลับแก้ไขเพิ่มเติมร่างสัญญา พร้อมทั้งร่าง
บันทึกประกอบสัญญาขึ้นใหม่ โดยมิได้ส่งให้สำ�นักงานอัยการ
สูงสุดพิจารณา การแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นการเอื้อประโยชน์
แก่เอกชน เช่น เรื่องการวางหลักประกันโครงการ ซึ่งร่างสัญญา
ฉบับเดิมกำ�หนดให้บริษัทต้องวางหลักประกันร้อยละ 10 ของ
มูลค่าโครงการในวันทำ�สัญญา แต่มีการแก้ไขเป็นให้บริษัทวาง
หลักประกันในวันส่งมอบพื้นที่ ซึ่งมีผลเสมือนไม่มีการวางหลัก
ประกัน
กรณีที่กรมธนารักษ์ดำ�เนินการคัดเลือกเอกชนผู้ดำ�เนิน
โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิตโดยไม่ปฏิบัติ
5  ประกอบด้วย ผู้แทนกระทรวงการคลัง สำ�นักงานอัยการสูงสุด สำ�นักงานคณะ
กรรมการกฤษฎีกา สำ�นักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำ�นัก
งบประมาณ กรมการขนส่งทางบก และบริษัท ขนส่ง จำ�กัด	
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 151
ตาม พ.ร.บ.ร่วมทุน รวมถึงแก้ไขสัญญาเพื่อเอื้อเอกชน เมื่อ
คณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่าสัญญาการร่วมทุนไม่ชอบ
ด้วยกฎหมาย จึงไม่มีผลผูกพันคู่สัญญา ทำ�ให้โครงการไม่
เกิดขึ้น และกรมธนารักษ์ต้องจ่ายค่าก่อสร้างฐานรากของ
โครงการ แทนที่จะเป็นบริษัทเอกชน
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและ
ประพฤติมิชอบในวงราชการ(ป.ป.ป.)ตรวจสอบพบหลักฐาน
ว่ามีการสั่งจ่ายเช็คเงินสดให้แก่อธิบดีกรมธนารักษ์
ในขณะนั้น จำ�นวน 6 ฉบับ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 30 ล้าน
บาท โดยเช็คเงินสดฉบับแรก จำ�นวน 10 ล้านบาท ถูก
นำ�เข้าบัญชีธนาคารของอธิบดีกรมธนารักษ์เมื่อวันที่ 12
กันยายน 2538 เช็คเงินสดฉบับที่ 2 จำ�นวน 4 ล้านบาท
ถูกนำ�เข้าบัญชีธนาคารของอธิบดีกรมธนารักษ์เมื่อวันที่ 28
พฤศจิกายน 2538 ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่คณะรัฐมนตรีมี
มติรับทราบผลการประมูล ขณะที่เช็คที่เหลืออีก 4 ฉบับ
ฉบับละ 4 ล้านบาท ถูกสั่งจ่ายในวันเดียวกัน แต่มีการแลก
เปลี่ยนหรือนำ�เข้าบัญชีธนาคารของบุคคลอื่นหลายครั้งก่อน
จะนำ�เข้าบัญชีธนาคารของอธิบดีกรมธนารักษ์ในช่วงกลาง
เดือนธันวาคม 2538
เมื่อสืบที่มาของเช็ค พบว่าผู้สั่งจ่ายเงินทั้งหมดเป็น
พนักงานการเงินของบริษัท ทานตะวันธุรกิจ จำ�กัด ซึ่งเป็น
บริษัทแม่ของบริษัท ซันเอสเตท จำ�กัด แต่ทั้งอธิบดีกรม
ธนารักษ์และผู้บริหารของบริษัท ทานตะวันธุรกิจ จำ�กัด
อ้างว่าเช็คเงินสดดังกล่าวเป็นค่าวัตถุมงคลเหรียญรัชกาลที่
5 รุ่นต่างๆ ดังที่อธิบดีกรมธนารักษ์เคยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อ
เดือนมกราคม 2541 ว่า “...เงินนี้ไม่ได้มีใครให้มา (เงิน 16
ล้านบาท6
) เป็นเรื่องธุรกรรมที่เกี่ยวกับวัตถุโบราณ ขาย
พระเครื่องชุดใหญ่มูลค่ากว่า 20 ล้านบาทขึ้นไป ให้กับ
บุคคลที่ไม่เปิดเผยชื่อ...”
6  หมายถึงเช็คเงินสดฉบับละ 4 ล้านบาท จำ�นวน 4 ฉบับ ที่มีการแลกเปลี่ยน
หรือนำ�เข้าบัญชีธนาคารของบุคคลอื่นหลายครั้ง ก่อนจะนำ�เข้าบัญชีธนาคารของ
อธิบดีกรมธนารักษ์ ในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2538
สถานะของคดี
การอ้างว่ารับเงินจากการขายทรัพย์สินนั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
ในกรณีที่มีการทุจริต แต่ทรัพย์สินบางอย่างไม่มีหลักเกณฑ์การ
ประเมินราคาที่ชัดเจน เช่น พระเครื่องหรือโบราณวัตถุ ทำ�ให้ผู้
ทุจริตสามารถอ้างราคาซื้อขายที่สูงเกินจริง ซึ่งส่วนเกินนี้แท้จริง
แล้วคือ ‘สินบน’
อย่างไรก็ตาม ในขั้นตอนการสอบสวนข้อเท็จจริง คณะ
กรรมการที่กรมธนารักษ์ตั้งขึ้น ประเมินราคาเหรียญประพาส
ยุโรป ร.ศ. 116 และเหรียญประพาสมาลา ระหว่าง 100,000-
200,000 บาท ขณะที่เหรียญปราบฮ่อมีราคาระหว่าง 1.5-1.8
ล้านบาท ดังนั้น การอ้างว่าเช็คเงินสดที่ได้รับมาจากการขาย
เหรียญรัชกาลที่ 5 จึงไม่น่าเชื่อถือ
หลังรวบรวมหลักฐาน ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2542
ป.ป.ป. มีมติชี้มูลความผิดว่า อธิบดีกรมธนารักษ์รับผลประโยชน์
จากบริษัท ซันเอสเตท จำ�กัด และส่งเรื่องให้กระทรวงการคลัง
ดำ�เนินการทางวินัยและอาญา ต่อมาวันที่ 2 พฤษภาคม 2543
อนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) กระทรวงการคลัง มี
มติให้ลงโทษด้วยการไล่อธิบดีกรมธนารักษ์ออกจากราชการ ฐาน
ทุจริตต่อหน้าที่และรับสินบน
อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนฝ่ายปราบปรามการทุจริต
และประพฤติมิชอบในวงราชการ กองบัญชาการตำ�รวจสอบสวน
กลาง มีคำ�สั่งเมื่อเดือนกันยายน 2543 ไม่ดำ�เนินคดีอาญากับ
อธิบดีกรมธนารักษ์เช่นเดียวกันกับพนักงานอัยการที่สรุปความเห็น
สั่งไม่ฟ้องดำ�เนินคดีเมื่อเดือนพฤศจิกายน2544โดยให้ความเห็น
ว่าหลักฐานไม่เพียงพอที่จะเอาผิดได้
นอกจากนี้ ในเดือนมกราคม 2546 คณะกรรมการ
ข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) มีมติถอนมติของ อ.ก.พ. โดยระบุว่า
อธิบดีกรมธนารักษ์กระทำ�ผิดวินัยไม่ร้ายแรง ให้ลงโทษตัดเงิน
เดือน 1 ขั้น ต่อมาอธิบดีกรมธนารักษ์จึงกลับเข้ารับราชการอีก
ครั้ง จนกระทั่งเกษียณอายุราชการในตำ�แหน่งที่ปรึกษากระทรวง
การคลังเมื่อเดือนกันยายน 2546
เมนูคอร์รัปชัน152
ขณะเดียวกัน ข้อพิพาทระหว่างกรมธนารักษ์กับบริษัท
ซันเอสเตท จำ�กัด และ BTSC ได้นำ�มาซึ่งการฟ้องร้องเรียก
ค่าเสียหายในเวลาต่อมา เนื่องจากสัญญาก่อสร้างและบริหาร
โครงการไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่มีผลผูกพัน ทำ�ให้โครงการ
ไม่เกิดขึ้น บริษัท ซันเอสเตท จำ�กัด จึงไม่ชำ�ระค่าก่อสร้างฐานราก
แก่ BTSC ซึ่งทำ�ให้ BTSC ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากบริษัท
ซันเอสเตท จำ�กัด กรมธนารักษ์ และกระทรวงการคลัง
ต่อมา ศาลปกครองสูงสุดมีคำ�พิพากษาเมื่อวันที่ 15
กันยายน 2554 ให้กรมธนารักษ์ชำ�ระค่าก่อสร้างฐานรากแก่
BTSC จำ�นวน 648 ล้านบาท7
พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 (ราว
473 ล้านบาท) ซึ่งกรมธนารักษ์ได้ชำ�ระค่าก่อสร้างดังกล่าว
แก่ BTSC เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2555 รวมเป็นเงินประมาณ
1,100 ล้านบาท
ผลกระทบต่อ
ประชาชน
•	 โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิตล้มเหลว
ทำ�ให้ศูนย์กลางระบบขนส่งมวลชนทางบกไม่สามารถเกิดขึ้น
ได้จริง
•	 กรมธนารักษ์ต้องจ่าย ‘ค่าโง่’ แทนบริษัทเอกชนเป็นเงิน
1,100 ล้านบาท
7  บริษัท ซันเอสเตท จำ�กัด ชำ�ระค่าก่อสร้างฐานรากบางส่วน (ประมาณ 150 ล้านบาท)
แก่ BTSC	
เอกสารอ้างอิง
•	 เปิดโปง นิพัทธ พุกกะณะสุต รับสินบน
30 ล้าน โครงการหมอชิต 17,000 ล้าน
จุดจบแมวเก้าชีวิต, หนังสือพิมพ์ มติชน,
รวมเอกสารข่าวประกวด, สมาคมนักข่าว
นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, 2543.
ภาคผนวก
พระราชบัญญัติว่าด้วยการให้
เอกชนเข้าร่วมงาน หรือการ
ดำ�เนินการในกิจการของรัฐ
พ.ศ. 2535
มาตรา 13
“ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการแต่งตั้งคณะ
กรรมการคณะหนึ่ง ประกอบด้วย ผู้แทนกระทรวง
เจ้าสังกัดซึ่งเป็นข้าราชการประจำ�พนักงานรัฐวิสาหกิจ
พนักงานหน่วยงานอื่นของรัฐหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น
แล้วแต่กรณี เป็นประธาน ผู้แทนกระทรวงการ
คลัง ผู้แทนสำ�นักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ผู้แทนสำ�นักงานอัยการสูงสุด ผู้แทนสำ�นักงานคณะ
กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ผู้แทนสำ�นักงบประมาณ ผู้แทนกระทรวงอื่นอีก
สองกระทรวง กระทรวงละหนึ่งคน ผู้ทรงคุณวุฒิ
ไม่เกินสามคน เป็นกรรมการ และให้มีผู้แทน
หน่วยงานเจ้าของโครงการหนึ่งคนเป็นกรรมการและ
เลขานุการ”
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 153
25
บันได 4 ขั้น
01 02 03 04
กรมธนารักษจัดการประมูล
และเสนอให ครม. เห็นชอบ
กระบวนการคัดเลือกเอกชน
ในสวนที่ดำเนินการไปแลว
เพื่อใหบริษัท ซันเอสเตท
จำกัด ดำเนินโครงการ
แกไขสัญญากอสรางและ
บริหารโครงการในที่ราชพัสดุ
หมอชิต เพื่อเอื้อประโยชน
แกเอกชน
อธิบดีกรมธนารักษรับเช็ค
เงินสดรวม 30 ลานบาท
จากผูบริหารบริษัท
ซันเอสเตท จำกัด
โดยอางวาเปนคาวัตถุมงคล
คณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัย
วาสัญญาระหวางกรมธนารักษ
กับบริษัท ซันเอสเตท จำกัด
ไมชอบดวยกฎหมาย ทำให
ตองยุติโครงการ
1,100ลŒานบาท
กรมธนารักษ
จ‹ายไป
โดยไม‹ไดŒอะไรเลย ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
• ศูนยกลางระบบขนสงมวลชน
ทางบกไมเกิดขึ้น
• กรมธนารักษตองจาย ‘คาโง’
แทนบริษัทเอกชนเปนเงิน
1,100 ลานบาท
ที่ราชพัสดุหมอชิต:
อธิบดีรับเช็ค
กรมจ‹ายค‹าโง‹
โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบร�เวณสถานีขนส‹ง
หมอชิตของกรมธนารักษ มีข�้นเพ�่อพัฒนา
พ�้นที่ดังกล‹าวเปšนศูนยกลางระบบขนส‹งมวลชน
ทางบก แต‹อธิบดีกรมธนารักษในขณะนั้น
ดำเนินการคัดเลือกเอกชนผูŒดำเนินโครงการ
โดยไม‹ปฏิบัติตามกฎหมายร‹วมทุน รวมถึง
แกŒไขสัญญาเพ�่อเอื้อเอกชน และมีการรับเช็ค
ที่อŒางว‹าเปšนค‹าวัตถุมงคล
ทŒายที่สุด คณะกรรมการกฤษฎีกาว�นิจฉัย
ว‹าสัญญาระหว‹างกรมธนารักษกับบร�ษัท
ซันเอสเตท จำกัด (ผูŒชนะการประมูล)
ไม‹ชอบดŒวยกฎหมาย ทำใหŒตŒองยุติโครงการ
และกรมธนารักษตŒองจ‹ายค‹าก‹อสรŒางฐานราก
ของสถานีขนส‹งบนโรงจอดและซ‹อมบำรุงรถไฟฟ‡า
แทนบร�ษัทเอกชนเปšนเง�น 1,100 ลŒานบาท
สถานะป˜จจ�บัน
ป.ป.ป. มีมติชี้มูลความผิดวา
อธิบดีกรมธนารักษในขณะนั้น
รับผลประโยชนจากบริษัท
ซันเอสเตท จำกัด และสงเรื่องให
กระทรวงการคลังดำเนินการ
ทางวินัยและทางอาญา ตอมา
อ.ก.พ. กระทรวงการคลังมีมติ
ใหลงโทษดวยการไลออก
จากราชการ ฐานทุจริต
ตอหนาที่ และรับสินบน
แตพนักงานสอบสวนมีคำสั�ง
ไมดำเนินคดีอาญากับ
อธิบดีกรมธนารักษ
เชนเดียวกันกับพนักงานอัยการ
ที่สรุปความเห็นสั�งไมฟองดำเนินคดี
สุดทาย ก.พ. มีมติถอนมติของ
อ.ก.พ. ทำใหผูถูกกลาวหาไดกลับ
เขารับราชการ จนกระทั�งเกษียณ
อายุราชการในตำแหน�งที่ปรึกษา
กระทรวงการคลัง
เง�นสินบน
อธิบดีกรมธนารักษ
ไดŒรับเช็ค
30ลŒานบาท
โดยอางวาเปนคาวัตถุมงคล
ทางยกระดับเชื่อม
ระหว‹างสถานีขนส‹งหมอชิต
กับสถานีขนส‹งแห‹งใหม‹
ค‹าสัมปทาน
550 ลŒานบาท
สถานีขนส‹งบนโรงจอด
และซ‹อมบำรุงรถไฟฟ‡า
ทางยกระดับเขŒาออก
สถานีขนส‹งหมอชิต
โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุ
บร�เวณสถานีขนส‹งหมอชิต
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 155154
26
ฮุบที่ธรณีสงฆ์
เนรมิตสนามกอล์ฟอัลไพน์
ปูมหลัง
วันที่ 20 พฤศจิกายน 2512 เนื่อม ชำ�นาญชาติศักดา ทำ�พินัยกรรมยกที่ดิน 2 แปลง เนื้อที่
รวม 924 ไร่ 2 งาน 75 ตารางวา ในอำ�เภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ให้กับวัดธรรมิการาม
วรวิหาร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
หลัง เนื่อม ชำ�นาญชาติศักดา เสียชีวิตในวันที่ 22 พฤษภาคม 2514 วัดธรรมิการามวรวิหาร
จึงครอบครองผลประโยชน์จากที่ดินดังกล่าวโดยการให้เช่าทำ�นา แต่ยังไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ใน
ที่ดินให้กับวัด
หนังสือ ความจริงกรณีที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ ระบุว่า ในช่วงปี 2529-2532 เจ้าอาวาส
วัดธรรมิการามวรวิหารพยายามโอนที่ดินดังกล่าวให้กับมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรม
ราชูปถัมภ์ เพื่อให้ง่ายต่อการจำ�หน่าย โดยร่วมมือกับประธานกรรมการผู้จัดการมูลนิธิมหามกุฏฯ
ในขณะนั้น ส่งผลให้มูลนิธิ มหามกุฏฯ ได้เป็นผู้จัดการมรดกในวันที่ 11 สิงหาคม 2533
หลังจากนั้นเพียง 10 วัน กรมที่ดินได้จดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่มูลนิธิมหามกุฏฯ จากนั้น
มูลนิธิจึงขายที่ดินให้บริษัท อัลไพน์เรียลเอสเตท จำ�กัด และบริษัท อัลไพน์ กอล์ฟแอนด์สปอร์ต
คลับ จำ�กัด อันเป็นที่มาของกรณี ‘ฮุบที่ธรณีสงฆ์’
เมนูคอร์รัปชัน156
เส้นทางผลประโยชน์
ความพยายามของเจ้าอาวาสวัดธรรมิการามวรวิหาร ในการ
โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้กับมูลนิธิมหามกุฏฯ ได้รับการพิจารณา
จากสมเด็จพระญาณสังวรและกรมการศาสนาตั้งแต่ปี 2529 ว่า
เป็นการทำ�ผิดเจตนารมณ์ของเจ้าของมรดก
วันที่ 19 กันยายน 2531 เจ้าอาวาสได้ทำ�หนังสือถึง เสนาะ
เทียนทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ซึ่ง
กำ�กับดูแลการปฏิบัติราชการของกรมที่ดินเพื่อขอให้พิจารณาการ
ได้มาซึ่งที่ดินตามพินัยกรรม โดยเจ้าอาวาสแจ้งว่าวัดไม่มีความ
ประสงค์รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน แต่ต้องการขายที่ดินเพื่อนำ�
เงินไปจัดตั้งมูลนิธิ
วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2533 เสนาะ เทียนทอง ใช้อำ�นาจใน
ฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย สั่งการไม่อนุญาตให้
วัดธรรมิการามวรวิหารได้มาซึ่งที่ดินทั้ง 2 แปลง และให้เจ้าอาวาส
วัดธรรมิการามวรวิหารดำ�เนินการตามข้อ 4 แห่งพินัยกรรม ที่
ระบุให้วัดธรรมิการามวรวิหารมอบอสังหาริมทรัพย์และจำ�นวน
เงิน (ถ้ามี) ให้แก่มูลนิธิมหามกุฏฯ ช่วยจัดทำ�ผลประโยชน์
จากหลักฐานของกรมที่ดินนับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2497
ซึ่งเป็นวันประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน จนกระทั่งวันที่ 30
เมษายน 2545 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอนุญาต
ให้วัดทั่วประเทศได้มาซึ่งที่ดินจำ�นวน 7,670 แปลง เนื้อที่รวม
187,787 ไร่ 2 งาน 22.1 ตารางวา โดยไม่เคยมีกรณีที่ไม่อนุญาต
และในขณะที่เสนาะดำ�รงตำ�แหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง
มหาดไทย ก็อนุญาตให้วัดได้มาซึ่งที่ดินตามที่วัดต้องการทุกราย
รวมทั้งหมด 410 ราย ยกเว้นวัดธรรมิการามวรวิหารซึ่งเป็นเพียง
วัดเดียวในประวัติศาสตร์ของกรมที่ดินที่ไม่ได้รับอนุญาต
คำ�สั่งของเสนาะ เทียนทอง จึงเปิดโอกาสให้มูลนิธิมหา
มกุฏฯ เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยหลังจากศาลแพ่งมีคำ�สั่งแต่งตั้งมูลนิธิ
มหามกุฏฯ เป็นผู้จัดการมรดกในวันที่ 11 สิงหาคม 2533 (วัด
ธรรมิการามวรวิหารขอให้ศาลตั้งมูลนิธิมหามกุฏฯ เป็นผู้จัดการ
มรดก หลังจากนายแพทย์วิรัช มรรคดวงแก้ว ขอถอนตัวจาก
การเป็นผู้จัดการมรดกในวันที่ 1 มิถุนายน 2533) 10 วันต่อมา
กรมที่ดินก็โอนที่ดินให้มูลนิธิในฐานะผู้จัดการมรดก จากนั้น
มูลนิธิจึงโอนที่ดินให้ตัวเอง แล้วขายที่ดินต่อให้บริษัท อัลไพน์
เรียลเอสเตท จำ�กัด และบริษัท อัลไพน์กอล์ฟแอนด์สปอร์ตคลับ
จำ�กัด ในราคา 142 ล้านบาท
ประเด็นสำ�คัญอยู่ที่บริษัท อัลไพน์เรียลเอสเตท จำ�กัด และ
บริษัท อัลไพน์กอล์ฟแอนด์สปอร์ตคลับ จำ�กัด ก่อตั้งขึ้นก่อนที่
เสนาะจะสั่งการไม่อนุญาตให้วัดธรรมิการามวรวิหารได้มาซึ่งที่ดิน
ตามพินัยกรรมโดยมี อุไรวรรณ เทียนทอง ภรรยาของเสนาะ ถือ
หุ้นจำ�นวน300,000หุ้นมูลค่า30ล้านบาทและวิทยาเทียนทอง
น้องชายของเสนาะ ถือหุ้นจำ�นวน 150,000 หุ้น มูลค่า 15
ล้านบาท
ปี 2539 อุไรวรรณ เทียนทอง ถือหุ้นเพิ่มเติมในบริษัทฯ
และขออนุญาตสร้างบ้านในที่ดินผืนดังกล่าว รวมทั้งมีการสร้าง
สนามกอล์ฟชื่อ ‘อัลไพน์’ ต่อมาในปี 2541 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ซื้อสนามกอล์ฟอัลไพน์จากเสนาะ ในราคา 500 ล้านบาท และ
ปี 2542-2543 บริษัทฯ ได้โอนที่ดินบางส่วนในส่วนที่มิใช่สนาม
กอล์ฟให้แก่ลูกสาวและลูกชายของเสนาะ มูลค่านับร้อยล้านบาท
อย่างไรก็ตาม วันที่ 25 ธันวาคม 2543 กรมการศาสนา
มีหนังสือถึงสำ�นักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อหารือกรณี
ที่ดินผืนดังกล่าว ในประเด็นต่างๆ ดังนี้
1. เมื่อ เนื่อม ชำ�นาญชาติศักดา ถึงแก่กรรม ที่ดินซึ่งได้ทำ�
พินัยกรรมยกกรรมสิทธิ์ให้แก่วัดทั้ง 2 แปลง จะตกเป็นที่ธรณีสงฆ์
โดยทันทีหรือต้องให้รัฐมนตรีสั่งให้วัดได้มาซึ่งที่ดินตามมาตรา84
แห่งประมวลกฎหมายที่ดินก่อน จึงจะเป็นที่ธรณีสงฆ์ได้
2.ที่ดินทั้ง 2 แปลงที่ เนื่อม ชำ�นาญชาติศักดา ได้ทำ�
พินัยกรรมยกกรรมสิทธิ์ให้แก่วัด ผู้จัดการมรดกจะนำ�ที่ดิน
ดังกล่าวไปจำ�หน่าย จ่าย โอน ได้หรือไม่ อย่างไร
ทั้งนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นโดยย่อ ดังนี้
“มรดกจะตกทอดไปยังทายาทนับตั้งแต่เจ้ามรดกถึงแก่กรรม
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 157
โดยทายาทไม่จำ�ต้องทำ�การเข้าครอบครองหรือเข้ารับมรดก แม้ว่า
การได้มาตามพินัยกรรมเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่น
นอกจากนิติกรรมก็ตาม และแม้จะยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มา
ก็ถือว่าตกเป็นกรรมสิทธิ์ของทายาทแล้ว แต่จะยกเป็นข้อต่อสู้
บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียน
สิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้ ในส่วนมาตรา 84 แห่งประมวลกฎหมาย
ที่ดินไม่ใช่บทบัญญัติยกเว้นการได้มาดังกล่าว เมื่อที่ดินมรดกตก
เป็นกรรมสิทธิ์ของวัดซึ่งเป็นทายาท จึงเป็นที่ธรณีสงฆ์ ซึ่งการโอน
ที่ธรณีสงฆ์ต้องทำ�โดยพระราชบัญญัติ
“ในกรณีไม่มีผู้จัดการมรดกเหลืออยู่ตามพินัยกรรมแล้ว ผู้
จัดการมรดกที่ศาลแต่งตั้งสามารถทำ�การจัดการจำ�หน่าย จ่าย
โอน ทรัพย์ตามพินัยกรรมเท่านั้น โดยจะโอนให้แก่บุคคลอื่นที่
พินัยกรรมมิได้ระบุให้เป็นผู้รับพินัยกรรมไม่ได้ เพราะถือว่าขัด
ต่อเจตนารมณ์ของเจ้ามรดก จึงไม่มีผลผูกพันทายาท และจะต้อง
รับผิดต่อทายาทด้วย”
ต่อมา ประวิทย์ สีห์โสภณ อธิบดีกรมที่ดิน มีคำ�สั่งลงวันที่
20 ธันวาคม 2544 ให้ยกเลิกโฉนดที่แบ่งแยกที่ดินดังกล่าว
และเพิกถอนการจดทะเบียนโอนมรดกระหว่างมูลนิธิมหามกุฏฯ
ผู้จัดการมรดก ผู้โอน กับมูลนิธิมหามกุฏฯ ผู้รับโอน และระหว่าง
สถานะของคดี
วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2553 คณะกรรมการป้องกันและ
ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติให้ที่ดินดังกล่าวตก
เป็นกรรมสิทธิ์ของวัดธรรมิการามวรวิหาร ผู้รับพินัยกรรม โดยมี
ผลตามกฎหมายทันที และไม่ต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ หรือ
ทำ�การรับมรดก หรือเข้าครอบครองที่ดินมรดก
ที่ดินผืนดังกล่าวจึงตกเป็นที่ธรณีสงฆ์ตั้งแต่ เนื่อม ชำ�นาญ
ชาติศักดา ถึงแก่กรรม การจดทะเบียนโอนขายที่ธรณีสงฆ์จึง
ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
การกระทำ�ของเสนาะ เทียนทอง ที่มีคำ�สั่งไม่อนุญาตให้วัด
ได้มาซึ่งที่ดินมรดกทั้ง 2 แปลง จึงเป็นคำ�สั่งที่มิชอบ นอกจากนี้
ยังใช้อำ�นาจโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจให้เจ้าหน้าที่จดทะเบียน
มูลนิธิมหามกุฏฯผู้ขายกับบริษัทอัลไพน์เรียลเอสเตทจำ�กัดและ
บริษัท อัลไพน์กอล์ฟแอนด์สปอร์ตคลับ จำ�กัด ผู้ซื้อ
ขณะที่ผู้มีส่วนได้เสียของเรื่องนี้คือ ประชาชนเจ้าของบ้าน
จัดสรรในสนามกอล์ฟ ได้รวมตัวกันร้องอุทธรณ์ แต่กรมที่ดิน
มีคำ�สั่งยกอุทธรณ์ จากนั้นจึงส่งคำ�อุทธรณ์ไปยังปลัดกระทรวง
มหาดไทย
ยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการ
แทนปลัดกระทรวงขณะนั้นพิจารณาแล้วเห็นว่าบทบัญญัติมาตรา
84 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน มีลักษณะเป็นกฎหมายพิเศษ
ยกเว้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดังนั้นการได้มาซึ่งที่ดิน
ของวัดจึงต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี เมื่อปรากฏว่ารัฐมนตรี
สั่งไม่อนุญาตให้วัดได้มาซึ่งที่ดินมรดก วัดจึงยังไม่ได้สิทธิในที่ดิน
ดังกล่าว อาศัยอำ�นาจตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทาง
ปกครอง จึงสั่งเพิกถอนคำ�สั่งอธิบดีกรมที่ดิน ซึ่งถือปฏิบัติตาม
ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่าที่ดินนั้นเป็นสมบัติ
ของวัดธรรมิการามวรวิหาร (ที่ธรณีสงฆ์) ซึ่งการโอนที่ธรณีสงฆ์
ต้องกระทำ�โดยออกเป็นพระราชบัญญัติ ตามมาตรา 34 แห่ง
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505
โอนเปลี่ยนแปลงผู้จัดการมรดก โอนมรดก และโอนขายที่ดิน จึง
มีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ
มาตรา 148 แต่ความผิดตามมาตรา 157 ขาดอายุความ ซึ่ง
อัยการสูงสุดเห็นว่าพยานหลักฐานไม่สมบูรณ์ จึงตั้งคณะทำ�งาน
ร่วม แล้วอัยการสูงสุดมีความเห็นว่าคดีขาดอายุความ ไม่เห็นชอบ
ในการฟ้องคดีต่อศาล ป.ป.ช. จึงฟ้องคดี เสนาะ เทียนทอง ต่อ
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมือง แต่ศาล
พิพากษายกฟ้อง เนื่องจากคดีขาดอายุความ ส่วนเจ้าหน้าที่ของ
รัฐคนอื่นๆ คดีได้ขาดอายุความไปก่อนแล้ว
สำ�หรับการพิจารณาความผิดของยงยุทธ วิชัยดิษฐ ป.ป.ช.
ลงมติด้วยเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 เสียง เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน
เมนูคอร์รัปชัน158
เอกสารอ้างอิง
•	 ชงปลัด มท. เพิกถอนที่ดิน ‘อัลไพน์’, หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์, 2 ตุลาคม 2555.
•	 ‘ถาวร’ อุ้ม 300 ลูกบ้านอัลไพน์, หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ, 24-26 กันยายน 2552.
2555 ชี้มูลความผิดเมื่อครั้งดำ�รงตำ�แหน่งรอง
ปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนปลัด
กระทรวงมหาดไทย กรณีมีคำ�สั่งเพิกถอนคำ�สั่ง
ของอธิบดีกรมที่ดินที่ให้ยกเลิกโฉนดที่ดินที่แบ่ง
แยกออกมาจากโฉนดที่ดิน อันเป็นการโอนที่ธรณี
สงฆ์โดยมิชอบ
ป.ป.ช.เสียงข้างมากเห็นว่าการกระทำ�ดังกล่าว
มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติ
หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ
เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้
เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ฐานปฏิบัติหน้าที่
ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
ของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบาย
ของรัฐบาล อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่าง
ร้ายแรง และฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตาม
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.
2535 และมีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้า
พนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดย
มิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือ
ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
จากนั้น ป.ป.ช. จึงส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด
ดำ�เนินคดีอาญาและส่งเรื่องให้กระทรวงมหาดไทย
พิจารณาโทษตามฐานความผิด เมื่อวันที่ 13
มิถุนายน 2555
ต่อมา 14 กันยายน 2555 ที่ประชุม
คณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.)
กระทรวงมหาดไทย มีมติให้ลงโทษไล่ยงยุทธออก
จากราชการ โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 30
กันยายน 2545 จากนั้นยงยุทธซึ่งดำ�รงตำ�แหน่ง
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
มหาดไทยในขณะนั้น จึงลาออกจากตำ�แหน่ง
ทางการเมืองวันที่ 1 ตุลาคม 2555
ภาคผนวก
ประมวลกฎหมายที่ดิน
มาตรา 84 การได้มาซึ่งที่ดินของวัดวาอาราม วัดบาทหลวง
โรมัน คาทอลิก มูลนิธิเกี่ยวกับคริสตจักร หรือมัสยิดอิสลาม ต้อง
ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี และให้ได้มาไม่เกิน 50 ไร่
ในกรณีที่เป็นการสมควร รัฐมนตรีจะอนุญาตให้ได้มาซึ่งที่ดิน
เกินจำ�นวนที่บัญญัติไว้ในวรรคแรกก็ได้
บทบัญญัติในมาตรานี้ไม่กระทบกระเทือนการได้มาซึ่งที่ดินที่มี
อยู่แล้วก่อนวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับ และการได้มาซึ่งที่ดิน
ของมัสยิดอิสลามโดยทางบทบัญญัติแห่งศาสนาอิสลามในจังหวัดที่
มีตำ�แหน่งดะโต๊ะยุติธรรม
ผลกระทบต่อประชาชน
•	 เดือนตุลาคม 2555 คณะทำ�งานเพื่อพิจารณาเพิกถอนคำ�สั่งของ
กระทรวงมหาดไทย มีมติให้กระทรวงมหาดไทยเพิกถอนโฉนด
สนามกอล์ฟและหมู่บ้านทั้งหมด ซึ่งกระทรวงมหาดไทยอาจต้อง
จ่ายค่าชดเชยกว่า 7,000-8,000 ล้านบาท
•	 ประชาชนที่ซื้อบ้านพร้อมที่ดินในหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในสนามกอล์ฟ
อัลไพน์ประมาณ 300 ราย จะได้รับความเดือดร้อน หากมี
การเพิกถอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน โดยรายงานข่าวในหนังสือพิมพ์
มติชน ระบุว่า มีบ้านเรือนจำ�นวนไม่น้อยในหมู่บ้านถูกปล่อยทิ้ง
และเจ้าของบ้านบางส่วนขายบ้านต่อในราคาขาดทุน
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 159
แตเน��องจากที่ดินดังกลาวเปนของ
วัด (ที่ธรณ�สงฆ) จึงโอนกรรมสิทธิ์
ใหผูใดไมได
เจาอาวาสจึงทำหนังสือ
ถึงนายเสนาะ เทียนทอง รมช.
มหาดไทยในขณะนั้น ซึ�งกำกับ
ดูแลกรมที่ดิน ใหพิจารณาเรื่อง
ที่ดินของวัด ซึ�งนายเสนาะก็สั�งการ
ไมอนุญาตใหวัดไดที่ดิน เพื่อให
สามารถโอนเปนของมูลนิธิ
มหามกุฏฯ ได
จากนั้น มูลนิธิมหามกุฏฯ
ขายที่ดินใหกับบริษัท
อัลไพนเรียลเอสเตท จำกัด
และบริษัท อัลไพนกอลฟ
แอนดสปอรตคลับ จำกัด
ซึ�งมีภรรยาและนองชายของ
นายเสนาะเปนผูถือหุน
ในราคา 142 ลานบาท
นอกจากน�้ ในป 2539 บริษัทฯ
ไดสรางสนามกอลฟชื่อ ‘อัลไพน’
ซึ�งขายให พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ในป 2541 ในราคา 500 ลานบาท
และในชวงป 2542-2543 บริษัทฯ
ไดจดทะเบียนโอนที่ดินในสวนที่
ไมใชสนามกอลฟใหแกลูกสาว
และลูกชายของนายเสนาะ
ซึ�งมีมูลคานับรอยลานบาท
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
• คณะทำงานเพื่อพิจารณา
เพิกถอนคำสั�งของกระทรวง
มหาดไทย มีมติใหกระทรวง
มหาดไทยเพิกถอนโฉนด
สนามกอลฟและหมูบานทั้งหมด
ซึ�งกระทรวงมหาดไทยอาจตอง
จายคาชดเชยกวา 7,000-8,000
ลานบาท
• ประชาชนที่ซื้อบานพรอม
ที่ดินในหมูบานที่ตั้งอยูใน
สนามกอลฟอัลไพนประมาณ
300 รายจะไดรับความเดือดรอน
หากมีการเพิกถอนกรรมสิทธิ์
ในที่ดิน
สถานะ
วันที่ 4 กุมภาพันธ 2553
ป.ป.ช. มีมติวาที่ดินดังกลาวตกเปน
กรรมสิทธิ์ของวัดธรรมิการามฯ
(ที่ธรณ�สงฆ) โดยมีผลทาง
กฎหมายทันทีตั้งแตนางเน��อม
ถึงแกกรรม การขายที่ธรณ�สงฆ
จึงไมชอบดวยกฎหมาย
คำสั�งของนายเสนาะ เทียนทอง
จึงเปนคำสั�งที่มิชอบ ป.ป.ช.
จึงฟองคดีนายเสนาะตอศาลฎีกา
แผนกคดีอาญาของผูดำรง
ตำแหน�งทางการเมือง
แตศาลพิพากษายกฟอง
เน��องจากคดีขาดอายุความ
สนามกอลฟอัลไพน:
ฮุบที่ธรณีสงฆ
ทำสนามกอลฟ
26
วันที่ 20 พฤศจ�กายน 2512 นางเนื่อม
ชำนาญชาติศักดา ทำพ�นัยกรรมยกที่ดิน
สองแปลง (เนื้อที่ 924 ไร‹) ในจังหวัดปทุมธานี ใหŒกับ
วัดธรรมิการามวรว�หาร จังหวัดประจวบคีร�ขันธ
ต‹อมาในป‚ 2529 เจŒาอาวาสวัดธรรมิการามฯ
ตŒองการขายที่ดินดังกล‹าวเพ�่อนำเง�นไปบำรุงวัด
จ�งพยายามโอนที่ดินใหŒเปšนของมูลนิธิมหามกุฏ
ราชว�ทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ ซึ่งพ�นัยกรรม
ระบุใหŒช‹วยจัดการผลประโยชนใหŒกับวัด
อัลไพน
วันที่ 12 มิถุนายน 2555
ป.ป.ช. ลงมติชี้มูลความผิด
นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ
เมื่อครั้งดำรงตำแหน�งรองปลัด
กระทรวงมหาดไทย รักษา
ราชการแทนปลัด กรณ�มีคำสั�ง
เพิกถอนคำสั�งของอธิบดีกรมที่ดิน
(ซึ�งสั�งใหยกเลิกโฉนดที่ดินที่แบง
แยกออกมาจากโฉนดของ
ที่ธรณ�สงฆ) จากนั้น ป.ป.ช.
จึงสงเรื่องใหอัยการสูงสุดดำเนิน
คดีอาญา และใหกระทรวงมหาดไทย
พิจารณาโทษ ซึ�งตอมา ที่ประชุม
อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทย
มีมติใหไลนายยงยุทธออกจาก
ราชการ โดยใหมีผลยอนหลัง
ตั้งแตวันที่ 30 กันยายน 2545
นายยงยุทธ ซึ�งในขณะนั้นดำรง
ตำแหน�งรองนายกรัฐมนตรีและ
รัฐมนตรีวาการกระทรวงมหาดไทย
จึงประกาศลาออกจากตำแหน�ง
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 161160
27
นำ�เข้ารถหรู
เลี่ยงภาษีหมื่นล้าน
ปูมหลัง
เหตุการณ์ไฟไหม้รถยนต์ราคาแพง 4 ใน 6 คัน (ราคารวมเกือบ 100 ล้านบาท) บนรถ
เทรลเลอร์ขณะขนส่งจากกรุงเทพฯไปยังจังหวัดศรีสะเกษเมื่อวันที่29พฤษภาคม2556ทำ�ให้ข่าว
คราวเกี่ยวกับ ‘รถจดประกอบ’ ได้รับความสนใจอีกครั้ง หลังจากผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์ เดลินิวส์
ทำ�รายงานพิเศษเรื่องนี้ในปี 2553
รายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ เผยให้เห็นวิธีการหลบเลี่ยงการจ่ายภาษีของขบวนการ
นำ�เข้ารถยนต์ราคาแพงครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2553 หลังจากผู้สื่อข่าวได้รับเบาะแสว่า
มีรถยนต์ราคาแพงหลายยี่ห้อเข้าคิวรอติดตั้งแก๊ส ซึ่งเมื่อดูจากราคาของรถยนต์แต่ละคัน ทำ�ให้
เกิดข้อสงสัยว่าบรรดาเจ้าของรถยนต์หรูต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายโดยการเปลี่ยนมาใช้แก๊สเป็น
เชื้อเพลิงจริงหรือไม่ ที่สำ�คัญ รถยนต์เหล่านั้นใช้แก๊สเป็นเชื้อเพลิงได้จริงหรือไม่
จากการตรวจสอบของผู้สื่อข่าว พบว่า การติดตั้งแก๊สเป็นหนึ่งในขั้นตอนการหลบเลี่ยงการ
จ่ายภาษีและการตรวจสอบจากสำ�นักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ซึ่งขณะนั้นมี
รถประเภทนี้ในประเทศไทยประมาณ 1,000 คัน
เมนูคอร์รัปชัน162
เส้นทางผลประโยชน์
กระบวนการหลบเลี่ยงการจ่ายภาษีนำ�เข้ารถยนต์เกิดขึ้น
หลังจากรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่ใช้พลังงาน
ทดแทนในปี 2551 โดยมีการออกระเบียบกรมการขนส่งทาง
บกว่า รถประเภทดังกล่าวไม่จำ�เป็นต้องผ่านการตรวจสอบจาก
สมอ. เพื่อเอื้อต่อการนำ�เข้ารถ ต่อมาจึงมีการยกเลิกข้อกำ�หนด
ในระเบียบว่าต้องเป็นรถยนต์เชิงพาณิชย์ ซึ่งเปิดโอกาสให้มีการ
นำ�เข้าชิ้นส่วนรถยนต์ส่วนบุคคลที่ใช้แก๊ส ก่อนจะประกอบเป็นคัน
และจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกในฐานะรถจดประกอบ
วิธีการของขบวนการนำ�เข้ารถยนต์ เริ่มต้นจากการไป
ประมูลรถยนต์มือสองในต่างประเทศ โดยมี 4 ประเทศหลักคือ
ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และอังกฤษ จากนั้นรถยนต์จะถูกถอด
เครื่องยนต์และล้อ ก่อนจะนำ�ชิ้นส่วนใส่ตู้คอนเทนเนอร์ส่งเข้า
ประเทศไทยทางเรือ แล้วจึงแจ้งว่าเป็นการนำ�เข้าชิ้นส่วนรถยนต์
เนื่องจากมีประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำ�สินค้าเข้ามา
ในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 85) พ.ศ. 2534 ที่ห้ามนำ�เข้ารถยนต์
มือสอง เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมในประเทศ
ต่อมา ผู้นำ�เข้าจะขอเอกสารแสดงการเสียภาษีนำ�เข้าชิ้นส่วน
รถยนต์ (ใบอินวอยซ์) จากกรมศุลกากร จากนั้นจึงนำ�ชิ้นส่วน
รถยนต์มาประกอบ และนำ�ไปประเมินเสียภาษีสรรพสามิตใน
อัตราประมาณร้อยละ 30-50 ของราคาประเมิน ซึ่งต่างจากการ
แจ้งนำ�เข้ารถยนต์ทั้งคันที่ต้องเสียภาษีศุลกากรร้อยละ 187-328
ของราคารถ (ขึ้นอยู่กับกำ�ลังของเครื่องยนต์)
หลังจากนั้นจึงนำ�รถไปเปลี่ยนประเภทเชื้อเพลิงเป็นการใช้
แก๊ส และแจ้งว่าเป็นรถที่ใช้พลังงานทดแทน เพื่อหลีกเลี่ยงการ
ตรวจสอบจาก สมอ. ซึ่งมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด และมีค่า
ใช้จ่ายถึง 120,000 บาทต่อคัน อีกทั้งใช้เวลาในการตรวจสอบ
นานถึง 6 วันต่อคัน ก่อนจะนำ�รถและเอกสารไปยื่นขอทะเบียน
รถยนต์ที่กรมการขนส่งทางบกตามต่างจังหวัด หลังจากนั้นจึง
ทำ�เรื่องขอเปลี่ยนกลับมาใช้น้ำ�มันเป็นเชื้อเพลิง และจะล้างเล่ม
ทะเบียนรถยนต์ซึ่งระบุประเภทของเชื้อเพลิง ด้วยการแจ้งหาย
และขอทำ�ใหม่ เพื่อไม่ให้เหลือร่องรอยว่าเป็นรถยนต์ที่ใช้วิธี
จดประกอบ ก่อนจะย้ายทะเบียนรถยนต์กลับเข้ากรุงเทพฯ และ
นำ�ไปขายในราคาต่ำ�กว่าท้องตลาดประมาณร้อยละ 20-30 ซึ่ง
จะทำ�ให้ผู้ขายได้กำ�ไร 5-10 เท่า
การรับจดทะเบียนรถจดประกอบทำ�ให้รัฐสูญเสียรายได้
จากภาษีนำ�เข้ารถยนต์ เนื่องจากภาษีนำ�เข้าชิ้นส่วนรถยนต์มี
อัตราต่ำ�กว่าภาษีนำ�เข้ารถยนต์มาก กรมการขนส่งทางบกจึง
เตรียมออกประกาศไม่รับจดทะเบียนรถจดประกอบ (ขณะนี้อยู่
ในขั้นตอนของคณะกรรมการกฤษฎีกา) เช่นเดียวกับกับกระทรวง
พาณิชย์ออกประกาศห้ามนำ�เข้าตัวถังของรถยนต์นั่งและโครงรถ
จักรยานยนต์ที่ใช้แล้ว เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555
แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือ การนำ�เข้ารถยนต์ทั้งคัน โดยแจ้ง
ราคาต่อกรมศุลกากรต่ำ�กว่าความเป็นจริง ซึ่งแม้กลุ่มผู้นำ�เข้า
รถยนต์รายย่อยจะออกมาชี้แจงว่าตนเองทำ�ธุรกิจถูกต้องตาม
กฎหมาย แต่ พ.ต.อ. ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
โต้กลับว่าประเทศต้องสูญเสียรายได้หลายหมื่นล้านบาท จาก
การนำ�เข้ารถยนต์ราคาแพงในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากผล
การตรวจสอบช่วงเดือนมิถุนายน 2554 ถึงเดือนมิถุนายน 2555
พบว่ามีการนำ�เข้ารถที่แจ้งราคาต่ำ�กว่าความเป็นจริงประมาณ
10,000 คัน
เหตุการณ์ไฟไหม้รถยนต์ราคาแพง 4 ใน 6 คัน ที่จังหวัด
นครราชสีมา เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2556 เป็นตัวจุดประเด็น
ที่ทำ�ให้เบื้องลึกเบื้องหลังของรถจดประกอบถูกตีแผ่ เมื่อกรม
สอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับคดีนี้เป็นคดีพิเศษเมื่อวันที่
3 มิถุนายน 2556 หลังจากเริ่มตรวจสอบเรื่องนี้ตั้งแต่เดือน
กันยายน 2553
จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่า รถทั้ง 6 คัน มีความ
ผิดปกติ เช่น มีการติดตั้งถังแก๊ส โดยวิศวกรยืนยันว่ารถทั้ง 6 คัน
ไม่สามารถใช้แก๊สเป็นเชื้อเพลิงได้ เนื่องจากใช้เครื่องยนต์เบนซิน
ขนาด 12 สูบ นอกจากนี้ หมายเลขตัวถังยังถูกเปลี่ยนแปลง
และหลังเหตุการณ์ไฟไหม้ก็ไม่มีผู้ใดมาแสดงตัวยืนยันความเป็น
เจ้าของ
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 163
สถานะของคดี
ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ระบุว่า จากการตรวจสอบพบว่า ในช่วงปี 2554-2555 มีรถ
ต้องสงสัยว่าหลบเลี่ยงภาษีเข้าสู่ระบบการจดทะเบียนของกรมการขนส่งทางบก โดยแจ้งว่าเป็น
รถจดประกอบจำ�นวน 5,832 คัน แยกเป็นการแจ้งจดทะเบียนว่าใช้แก๊สเป็นเชื้อเพลิงอย่างเดียว
จำ�นวน 2,410 คัน และอีก 3,422 คัน แจ้งว่าใช้เชื้อเพลิงปกติ และจากการตรวจสอบข้อมูลในปี
2556 พบว่า มีการขอแบบการเสียภาษีรถยนต์ของกรมสรรพสามิตจำ�นวนประมาณ 3,000 คัน
ซึ่งหากมีการชำ�ระภาษีจะนำ�ไปสู่การจดประกอบ ทำ�ให้ดีเอสไอมีรถยนต์ที่ต้องตรวจสอบอย่างน้อย
8,000 คัน โดยดีเอสไอมีชื่อและที่อยู่ของบริษัทผู้นำ�เข้าและครอบครองรถยนต์ต้องสงสัยทั้งหมด
แล้ว และคาดว่าร้อยละ 85 ของรถยนต์ต้องสงสัย เป็นรถยนต์ผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ แหล่งข่าวจากดีเอสไอให้ข้อมูลกับหนังสือพิมพ์ คมชัดลึก ว่า กลุ่มผู้นำ�เข้ารถยนต์
รายย่อยจะเข้าหาเครือญาตินักการเมืองเพื่อขอความช่วยเหลือช่วยเหลือ อาทิ กลุ่มปากน้ำ� กลุ่ม
กำ�แพงเพชร กลุ่มนครปฐม และกลุ่มฝั่งธนบุรี โดยส่งเงินให้ฝ่ายการเมืองประมาณคันละ 1 ล้าน
บาท แต่จากการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้นในปัจจุบัน ทำ�ให้ไม่สามารถแจ้งราคารถยนต์ต่อกรม
ศุลกากรต่ำ�กว่าความเป็นจริงได้ จำ�นวนเงินจึงลดลงเหลือคันละประมาณ 500,000 บาท
ผลกระทบต่อประชาชน
•	 คณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน วุฒิสภา รายงานว่า มี
รถยนต์กว่า 10,000 คันต่อปี ที่หลบเลี่ยงภาษี โดยทำ�มาตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปัจจุบัน ทำ�ให้
รัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 50,000-60,000 ล้านบาท
•	 ประชาชนที่ซื้อรถจดประกอบอาจถูกอายัดรถไปตรวจสอบ หรืออาจถูกเก็บภาษีย้อนหลัง และ
ไม่มีหลักประกันเรื่องความปลอดภัยในการใช้รถ
เมนูคอร์รัปชัน164
เอกสารอ้างอิง
•	 แฉแก๊งรถหรู แจ้งติดแก๊ส หลีกเลี่ยงภาษี, หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์, 4 กันยายน 2553.
•	 แฉดาราดังฮิตใช้รถหรูลอบนำ�เข้า, หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์, 8 กันยายน 2553.
•	 แฉรถหรูฉาว-เข้าข่ายฟอกถึง 8 พันคัน, หนังสือพิมพ์ มติชน, 4 มิถุนายน 2556.
•	 เปิดปูมเจ้าพ่อ ‘รถหรู’ เส้นทาง ‘อินวอยซ์ลอย’, หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก, 5 มิถุนายน 2556.
•	 รถเถื่อนเกลื่อนเมือง จุดอ่อน ขรก.-กำ�แพงภาษี?, หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก, 3 มิถุนายน 2556.
•	 รถหรูเลี่ยงภาษี เชื้อร้ายยังไม่ตาย, หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก, 2 มิถุนายน 2556.
•	 ล็อกเป้า 40 บ. นำ�เข้ารถหรูอิงการเมือง เล็งล้างบาง, หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก, 5 มิถุนายน 2556.
•	 เส้นทางไม่ลับ ‘รถหรู’ ไฮโซขาซิ่งชอบของถูก, หนังสือพิมพ์ มติชน, 18 ตุลาคม 2555.
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 165
เน��องจากการนำเขาชิ้นสวน
เสียภาษีนอยกวารถยนตทั้งคันมาก
โดยการนำเขาชิ้นสวนเสียภาษี
สรรพสามิตหลังจากประกอบ
คันประมาณ 30-50% ของราคา
ประเมิน ขณะที่การนำเขารถยนต
ทั้งคันตองเสียภาษีศุลกากร
187-328% ของราคารถ ทำใหมี
ผูนำเขาบางรายนำเขารถยนต
ราคาแพงโดยแจงวาเปนการนำเขา
ชิ้นสวน ทั้งที่เปนการนำเขา
รถยนตที่ถอดชิ้นสวนออกจาก
ตัวรถเพียงไมกี่ชิ้น จากนั้นจึงนำมา
ประกอบและเปลี่ยนเชื้อเพลิงเปน
การใชแกส เพื่อหลีกเลี่ยงการ
ตรวจสอบจาก สมอ. กอนจะ
จดทะเบียนในฐานะรถจดประกอบ
แลวจึงเปลี่ยนเชื้อเพลิงเปน
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
• คณะกรรมาธิการการเงิน
การคลัง การธนาคาร
และสถาบันการเงิน วุฒิสภา
รายงานวามีรถยนตกวา
1 หมื่นคันตอปที่หลบเลี่ยงภาษี
โดยทำมาตั้งแตป 2551
จนถึงปจจุบัน ทำใหรัฐ
สูญเสียรายไดประมาณ
5-6 หมื่นลานบาท
• ประชาชนที่ซื้อรถจดประกอบ
อาจถูกอายัดรถไปตรวจสอบ
หรืออาจถูกเก็บภาษียอนหลัง
และไมมีหลักประกันเรื่อง
ความปลอดภัยในการใชรถ
บันได 4 ขั้น
01
ผูนำเขาแจงเท็จวาเปน
การนำเขาชิ้นสวนรถยนต
02
นำชิ้นสวนรถยนตมา
ประกอบเปนรถ และเสียภาษี
สรรพสามิตในอัตราประมาณ
30-50% ของราคาประเมิน
03
หลีกเลี่ยงการตรวจสอบ
จาก สมอ. โดยแจงวาเปนรถ
ที่ใชพลังงานทดแทน และ
นำรถไปจดทะเบียนที่กรมการ
ขนสงทางบก
04
ทำเรื่องขอเปลี่ยนมาใชน้ำมัน
และทำทะเบียนรถยนตเลม
ใหม กอนจะนำไปขายในตลาด
รถจดประกอบ:
เลี่ยงภาษีหมื่นลŒาน
ฟ�นกำไร 5-10 เท‹า
27
ขบวนการรถจดประกอบเกิดข�้นหลังจากรัฐบาล
มีนโยบายส‹งเสร�มรถยนตเชิงพาณิชยที่ใชŒพลังงาน
ทดแทนในป‚ 2551 ซึ่งมีการออกระเบียบว‹า
รถดังกล‹าวไม‹ตŒองผ‹านการตรวจสอบจาก
สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรม
(สมอ.) ต‹อมามีการยกเลิกขŒอกำหนดว‹า
ตŒองเปšนรถยนตเชิงพาณิชย จ�งเปดโอกาส
ใหŒมีการนำเขŒาชิ�นส‹วนรถยนตส‹วนบุคคลที่ใชŒแกส
เขŒามาประกอบเปšนคัน และจดทะเบียนกับ
กรมการขนส‹งทางบกในฐานะรถจดประกอบ
นำเขŒาทั้งคัน
เสียภาษีศุลกากร
187-328%
การใชน้ำมัน ทำทะเบียนเลมใหม
เพื่อไมใหมีหลักฐานวาเปนรถที่ใช
วิธีจดประกอบ และนำไปขาย
ในราคาต่ำกวาทองตลาดประมาณ
20-30% เพราะตนทุนถูกกวา
จากการสืบสวนของกรมสอบสวน
คดีพิเศษ เชื่อวามีรถจดประกอบ
ถึง 85% ที่น�าจะแจงเท็จวาเปน
การนำเขาชิ้นสวน ซึ�งทำใหรัฐ
สูญเสียภาษีไมต่ำกวา 20,000
ลานบาท ขณะเดียวกันก็เชื่อวา
ขบวนการดังกลาวจะเกิดขึ้นไมได
ถาไมมีเจาหนาที่ของรัฐ
เอื้อประโยชน
รถจดประกอบ
เสียภาษีสรรพสามิต
30-50%
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 167166
28
สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ
เซ็นปุ๊บ อนุมัติปั๊บ
ปูมหลัง
สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำ�กัด ก่อตั้งในปี 2526 โดยมีหน้าที่รับฝากเงินและให้เงินกู้แก่
สมาชิก รวมถึงให้สวัสดิการอื่นๆ เช่น สวัสดิการกองทุนผู้สูงอายุ เพื่อช่วยแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจ
และสังคมของผู้คนในชุมชนการเคหะคลองจั่น
ปัจจุบันสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นถือเป็นสหกรณ์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศทั้งในแง่จำ�นวน
สมาชิกและมูลค่าสินทรัพย์ โดยรายงานประจำ�ปี 2555 ระบุว่า สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ มีสมาชิก
สามัญและสมาชิกสมทบ 52,683 คน และมีสินทรัพย์ราว 21,790 ล้านบาท
ในปี 2556 สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ ตรวจสอบพบความผิดปกติในการปล่อยกู้ประมาณ
11,846 ล้านบาท แก่สมาชิกสมทบจำ�นวน 27 ราย ทำ�ให้เกิดความสงสัยว่า ประธานกรรมการ
ดำ�เนินการของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ ในช่วงปี 2551-2554 ได้ยักยอกและฉ้อโกงเงินของสหกรณ์
โดยได้อนุมัติการปล่อยเงินกู้อย่างผิดกฎระเบียบ และสมาชิกที่ได้รับเงินกู้ดังกล่าวมีความเชื่อมโยง
กับประธานกรรมการดำ�เนินการของสหกรณ์ และมีข้อมูลทางการเงินที่ผิดปกติ นอกจากนี้
เจ้าหน้าที่บางคนของสหกรณ์ยังอาจอำ�พรางการขาดชำ�ระหนี้ของลูกหนี้ โดยสร้างหลักฐานการ
ชำ�ระหนี้เท็จ
ที่สำ�คัญ กรมส่งเสริมสหกรณ์ซึ่งมีหน้าที่กำ�กับดูแลสหกรณ์ยังบกพร่องต่อหน้าที่ โดยละเลย
ในการเข้าไปจัดการแก้ไขปัญหาการปล่อยกู้ ทั้งที่ได้รับรายงานเกี่ยวกับความผิดปกติมาโดยตลอด
เมนูคอร์รัปชัน168
เส้นทางผลประโยชน์
สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ ปล่อยกู้ให้กับสมาชิกสมทบ 27 รายโดยขัดต่อกฎระเบียบ ดัง
หมายเหตุงบการเงินประจำ�ปี 2555 ของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และหนังสือที่ ยุทธพงศ์ จรัส
เสถียร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่งถึงกรมส่งเสริมสหกรณ์ ระบุไว้ดังนี้
•	 สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ รับสมาชิกสมทบที่ไม่ได้ถือหุ้นกับสหกรณ์
•	 สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ ให้สมาชิกสมทบที่ไม่ได้ถือหุ้น กู้เงินในจำ�นวนมากกว่าที่กำ�หนดไว้ใน
ระเบียบว่าด้วยการกู้เงินและดอกเบี้ยเงินกู้
•	 สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ ทำ�สัญญาเงินกู้ โดยยอมให้ผู้กู้บางรายมีหลักทรัพย์ค้ำ�ประกัน
ไม่ครอบคลุมมูลหนี้และบางรายไม่มีหลักทรัพย์ค้ำ�ประกันรวมทั้งระบุให้ผู้ค้ำ�ประกันรับผิดชอบ
กรณีเกิดความเสียหายในวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท ทั้งที่ระเบียบของสหกรณ์เครดิต
ยูเนี่ยนฯ กำ�หนดให้ผู้ค้ำ�ประกันต้องรับผิดชอบความเสียหายโดยไม่จำ�กัดวงเงิน
•	 สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ ไม่ได้บันทึกการพิจารณาและอนุมัติเงินกู้ให้สมาชิกสมทบในรายงาน
การประชุมคณะกรรมการดำ�เนินการประจำ�เดือนที่ส่งให้กับกรมตรวจบัญชีสหกรณ์
ด้วยเหตุเหล่านี้ การปล่อยกู้ดังกล่าวจึงถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการยักยอกและฉ้อโกงเงิน
ของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ประธานกรรมการดำ�เนินการของสหกรณ์และ
พวกพ้อง โดยสำ�นักข่าวไทยพับลิก้าตรวจสอบข้อมูลของสมาชิกสมทบ 27 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็น
บริษัทจากกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ และพบความผิดปกติ ดังนี้
•	 บริษัท 10 แห่ง มีประธานกรรมการดำ�เนินการของสหกรณ์ และญาติคนหนึ่ง เป็นผู้ถือหุ้น
ใหญ่ โดยบริษัทกลุ่มนี้กู้เงินจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ 5,274 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ
ร้อยละ 50 ของจำ�นวนเงินกู้ของสมาชิกสมทบ 27 ราย โดยประธานกรรมการดำ�เนินการของ
สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ เป็นผู้อนุมัติสัญญาปล่อยกู้ส่วนใหญ่
•	 บริษัทบางแห่งมีทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ระยะสั้นและเงินลงทุนระยะยาว ซึ่งไม่สอดคล้อง
กับลักษณะกิจการ เช่น บริษัท ปิโตรพลัส เป็นกิจการน้ำ�มันเชื้อเพลิง แต่มีทรัพย์สินส่วนใหญ่
เป็นเงินกู้ระยะสั้น
•	 บริษัท 3 แห่ง ปิดกิจการในช่วงปี 2554-2555
•	 ลูกหนี้บางรายไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน เช่น กองทุนเพื่อการพัฒนาไม่มีเลขทะเบียนนิติบุคคล ไม่มี
รายชื่อกรรมการบริหาร ไม่มีสถานะทางบัญชี และไม่เป็นกองทุนรวมที่ต้องจดทะเบียนกับ
สำ�นักงานคณะกรรมการกำ�กับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 169
•	 บริษัท 9 แห่ง มีที่ตั้งเดียวกันกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น สาขา
ยู ทาวเวอร์
•	 บริษัท 25 แห่ง บันทึกมูลค่าหนี้ในงบดุลของบริษัทต่ำ�กว่าจำ�นวนเงินกู้
ที่กู้ยืมจากสหกรณ์
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานบางอย่างที่ชวนให้สงสัยว่าลูกหนี้ค้างชำ�ระดอกเบี้ย
เป็นจำ�นวนมาก แต่ข้อเท็จจริงนี้ถูกปกปิดไว้ โดยใบเสร็จการจ่ายดอกเบี้ยของ
ลูกหนี้บางรายลงวันที่ 31 ธันวาคม 2554 ซึ่งเป็นวันที่สถาบันการเงินและ
สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ ปิดทำ�การ1
และรายงานประจำ�ปี 2555 ของสหกรณ์
เครดิตยูเนี่ยนฯ ระบุว่า ลูกหนี้ค้างชำ�ระดอกเบี้ยมากขึ้น โดยในปี 2555 มี
ดอกเบี้ยค้างชำ�ระถึงร้อยละ 73.36 ของมูลค่าดอกเบี้ยที่ต้องชำ�ระ ซึ่งเพิ่มขึ้น
อย่างก้าวกระโดดจากร้อยละ 5.57 ในปี 2554
นอกจากความผิดปกติเรื่องการปล่อยกู้และการชำ�ระดอกเบี้ยแล้ว
หมายเหตุงบการเงินประจำ�ปี 2555 ของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ยังระบุถึง
การดำ�เนินการอื่นๆ ของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ ที่เอื้อประโยชน์ต่อประธาน
กรรมการดำ�เนินการของสหกรณ์ เช่น
•	 ประธานกรรมการดำ�เนินการของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ เป็นลูกหนี้เงิน
ยืมทดรอง 3,298 ล้านบาท โดยไม่ได้ระบุวัตถุประสงค์ในการยืมเงินและ
กำ�หนดชำ�ระเงินคืน
•	 สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ ลงทุนในตั๋วสัญญาใช้เงินของสหกรณ์ยูเนี่ยน
รัฐประชา จำ�กัด 1,000 ล้านบาท ทั้งที่ในปี 2554 นายทะเบียนสหกรณ์
เห็นชอบวงเงินกู้ยืมไม่เกิน 3.3 ล้านบาท และในปี 2550 สหกรณ์ยูเนี่ยน
รัฐประชามีทุนดำ�เนินงานเพียง 830,000 บาท
ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ให้สัมภาษณ์ว่า
กรมส่งเสริมสหกรณ์ในฐานะนายทะเบียนผู้กำ�กับดูแล บกพร่องต่อหน้าที่ โดย
ไม่ดำ�เนินการแก้ไขปัญหา ทั้งที่กรมตรวจบัญชีสหกรณ์พบความผิดปกติในงบ
การเงินของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นมาแล้วประมาณ 5 ปี และได้แจ้งให้
กรมส่งเสริมสหกรณ์รับทราบมาโดยตลอด อีกทั้ง ธีระ วงศ์สมุทร อดีตรัฐมนตรี
ว่าการกระทรวงเกษตรก็เคยสั่งการให้ตรวจสอบแล้ว
1  จากการสัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวจากสำ�นักข่าวไทยพับลิก้า เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2556 ผู้สื่อข่าวได้แสดงใบเสร็จ
ที่มีความผิดปกติดังกล่าว
ผลกระทบต่อ
ประชาชน
•	 สมาชิกได้รับเงินปันผลน้อยกว่าที่ควร
หากเกิดหนี้เสีย หรืออาจเกิดความ
เสียหายมาก หากสหกรณ์มีหนี้เสีย
จนถึงขั้นล้มละลาย เพราะมูลค่าเงินกู้
ที่ให้กับสมาชิกสมทบทั้ง 27 ราย
คิดเป็นร้อยละ 80 ของเงินกู้ทั้งหมด
และคิดเป็นประมาณร้อยละ 54 ของ
มูลค่าสินทรัพย์
•	 การปล่อยกู้ของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ
สร้างความวิตกกังวลว่าสหกรณ์อื่น
อีกหลายแห่งอาจมีปัญหาทางการเงิน
เพราะมีเงินฝากจำ�นวนมากกับ
สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น โดย
มีมูลค่ารวมกันกว่า 8,000 ล้านบาท
และสร้างความวิตกกังวลว่าสหกรณ์
อื่นอาจมีปัญหาแบบเดียวกัน
เมนูคอร์รัปชัน170
เอกสารอ้างอิง
•	 กางบัญชีเงินฝากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ขาใหญ่เป็นสหกรณ์ด้วยกันเอง ยอดรวมกว่า 8 พันล้านบาท, เว็บไซต์ Thaipublica, 20 กรกฎาคม 2556.
•	 เจาะ 27 ลูกหนี้สมทบ ความผิดปกติเงินกู้หมื่นล้าน สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น (1),เว็บไซต์ Thaipublica, 27 พฤษภาคม 2556.
•	 เจาะสัญญาเงินกู้สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ‘ศุภชัย ศรีศุภอักษร’ กู้เอง-เซ็นอนุมัติเอง, เว็บไซต์ Thaipublica, 18 มิถุนายน 2556.
•	 ปปง.-ดีเอสไอ ยึดและอายัดทรัพย์ ‘ศุภชัย ศรีศุภอักษร และพวก’ ยักยอกทรัพย์สหกรณ์ฯ คลองจั่น 12,000 ล้าน, เว็บไซต์ Thaipublica, 11 กรกฎาคม 2556.
•	 เปิดลูกหนี้ 27 ราย สหกรณ์คลองจั่น มูลหนี้กว่า 1 หมื่นล้าน ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำ�ธุรกิจ-กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ชี้พบงบการเงินผิดปกติมา 5 ปีแล้ว, เว็บไซต์ Thaipublica, 16 พฤษภาคม
2556.
•	 ‘ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร’ รมช.เกษตรและสหกรณ์ พร้อมเช็คบิลถ้าแก้ปัญหาสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นไม่คืบ, เว็บไซต์ Thaipublica, 1 มิถุนายน 2556.
•	 สมาชิกสหกรณ์ยูเนี่ยนคลองจั่นหอบเอกสาร 2 ลัง แห่ร้องทุกข์ดีเอสไอ กรณีโดนโกงเงินกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท, ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 30 พฤษภาคม 2556.
•	 สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นป่วน ‘มณฑล กันล้อม’ ฟ้องอาญา-แพ่ง ‘ศุภชัย ศรีศุภอักษร’ อดีตประธานยักยอก 1.2 หมื่นล้าน, เว็บไซต์ Thaipublica, 17 เมษายน 2556.
•	 สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นป่วน ศึกแย่งอำ�นาจบริหาร – เปิดข้อมูลเงินกู้รายเดียว 3 พันล้านให้ ‘ศุภชัย ศรีศุภอักษร’, เว็บไซต์ Thaipublica, 9 เมษายน 2556.
•	 สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำ�กัด, รายงานประจำ�ปี 2555.
สถานะของคดี
•	 กองบังคับการปราบปราม สำ�นักงานตำ�รวจแห่งชาติ อยู่ระหว่างสืบสวนคดียักยอกหรือฉ้อโกง
ทรัพย์ ตามที่มีการร้องเรียน
•	 ศาลอาญารับฟ้องคดียักยอกทรัพย์ตามที่สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯได้ยื่นฟ้องประธานกรรมการ
ดำ�เนินการของสหกรณ์และพวก และศาลแพ่งรับฟ้องคดีเรียกคืนทรัพย์และละเมิด ตามที่
สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ ได้ยื่นฟ้องเพื่อเรียกเงินคืนจากจำ�เลย จำ�นวน 12,481 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม จำ�เลยและพวกพยายามใช้อำ�นาจในการบริหารสหกรณ์ และลงมติให้สหกรณ์
ถอนฟ้องตนและพวกไปแล้วบางคดี
•	 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการยักยอกทรัพย์หรือ
ฉ้อโกงทรัพย์ของประธานกรรมการดำ�เนินการของสหกรณ์และพวก ตามที่ ปฏิพันธ์ จันทรภูติ
อดีตที่ปรึกษาและสมาชิกสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ เป็นผู้ร้องทุกข์
•	 วันที่ 10 กรกฎาคม 2556 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และ
ดีเอสไอยึดและอายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหา 4 คน ได้แก่ 1. ประธานกรรมการดำ�เนินการ
ของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ 2. อดีตรองผู้จัดการสหกรณ์ฝ่ายการเงิน 3. กรรมการสหกรณ์
เครดิตยูเนี่ยนฯ 4. เจ้าหน้าที่สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ ในความผิดฐานผู้ต้องหาร่วมกันยักยอก
เงินของสหกรณ์
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 171
สถานะ
• ศาลอาญารับฟองคดียักยอก
ทรัพย ตามที่สหกรณยื่นฟอง
อดีตประธานกรรมการดำเนินการ
และพวก
• ศาลแพงรับฟองคดีเรียกคืนทรัพย
และละเมิด ตามที่สหกรณ
ยื่นฟองเพื่อเรียกเงินคืนจากอดีต
ประธานกรรมการดำเนินการ
12,481 ลานบาท
บันได 3 ขั้น
01
02
03
ประธานกรรมการปลอยกู
ใหกับสมาชิกที่ไมไดถือหุน
ซึ�งบางรายมีผลประโยชน
รวมกับประธานฯ
เจาหนาที่ของสหกรณสราง
หลักฐานการชำระหน�้เท็จ
กรมสงเสริมสหกรณมิไดแกไข
ปญหา ทั้งที่ทราบปญหา
มากวา 5 ป
เร�่องอื้อฉาวสหกรณเครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น:
ปล‹อยกูŒหมื่นลŒาน
ไรŒหลักประกัน
28
สหกรณเครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นปล‹อยกูŒใหŒกับ
สมาชิกสมทบ 27 รายซึ่งไม‹ไดŒถือหุŒนของสหกรณ
ประมาณ 11,846 ลŒานบาท หร�อประมาณ 80%
ของเง�นกูŒทั้งหมด โดยประธานกรรมการดำเนินการ
ของสหกรณฯ ในขณะนั้น และญาติ เปšนผูŒถือหุŒนใหญ‹
ของบร�ษัทผูŒกูŒ 10 แห‹ง ผูŒกูŒบางรายมีหลักทรัพย
ค้ำประกันนŒอยกว‹ามูลค‹าหนี้ และบางรายไม‹มี
หลักทรัพยค้ำประกันเลย นอกจากนี้ยังมีผูŒกูŒอีก
3 รายที่ปดกิจการไปแลŒว
แมŒกรมตรวจบัญชีสหกรณพบความผิดปกติ
ในงบการเง�นของสหกรณคลองจั่นมากว‹า 5 ป‚
และแจŒงใหŒกรมส‹งเสร�มสหกรณทราบ
แต‹กรมส‹งเสร�มสหกรณกลับไม‹ดำเนินการใดๆ
จนกระทั่งเกิดป˜ญหาข�้น
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
• สมาชิกไดรับเงินปนผลนอยกวา
ที่ควร หากเกิดหน�้เสีย
หรืออาจเกิดความเสียหายมาก
หากสหกรณมีหน�้เสียจน
ถึงขั้นลมละลาย
• สรางความวิตกกังวลวาสหกรณ
อื่นอีกหลายแหงอาจมีปญหา
ในลักษณะเดียวกัน
50,000
สมาชิกที่ไดŒรับ
20%
เง�นกูŒ
ราย 27
สมาชิกที่ไดŒรับ
80%
เง�นกูŒ
ราย
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 173172
ปริมณฑลของการทุจริตวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวเรา พบเห็นได้ทั่วไปในชีวิตประจำ�วัน
แต่ปัญหานั้นฝังลึกถึงระดับโครงสร้างของสังคม
ของหวาน : ทานง่าย อร่อยทุกมื้อ
29
แป๊ะเจี๊ยะหลักแสน
แย่งเก้าอี้นักเรียน
ปูมหลัง
ความเหลื่อมล้ำ�ทางการศึกษาเป็นปัญหาสำ�คัญในสังคมไทย เพราะคุณภาพของโรงเรียนและ
บุคลากรทางการศึกษาที่แตกต่างกันอย่างมาก ทำ�ให้เกิดการแย่งชิงที่นั่งในโรงเรียนที่ ‘มีชื่อ’ และ
คุณภาพสูง
‘อาการ’ ของความไม่เท่าเทียมดังกล่าวแสดงออกผ่านการกวดวิชาเพื่อสอบแข่งขันเข้าโรงเรียน
ชื่อดัง และการจ่ายเงิน ‘บริจาค’ เพื่อแลกกับสิทธิ์ในการจับจองเก้าอี้ในชั้นเรียน ที่เรียกกันโดยทั่วไป
ว่า ‘แป๊ะเจี๊ยะ’
การจ่ายแป๊ะเจี๊ยะของผู้ปกครองเพื่อให้ลูกหลานได้เข้าเรียนนั้นเกิดขึ้นในโรงเรียนที่มีการ
แข่งขันสูง ทั้งโรงเรียนรัฐบาลและเอกชน ในสังกัดสำ�นักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
(สพฐ.) สำ�นักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ
โรงเรียนในสังกัดสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ
ในปีการศึกษา 2555 สพฐ. ระบุรายชื่อโรงเรียนในสังกัดที่มีการแข่งขันสูงทั้งหมด 280 แห่ง
โดยโรงเรียน A (นามสมมุติ) ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมชื่อดังในกรุงเทพฯ ก็เป็นหนึ่งในสถานศึกษา
ที่ได้ก่อให้เกิดวัฒนธรรมการเรียกรับเงินใต้โต๊ะ
175
เมนูคอร์รัปชัน
เส้นทางผลประโยชน์
โรงเรียน A กำ�หนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกนักเรียนชั้น ม. 3
เพื่อศึกษาต่อชั้น ม. 4 ไว้สูงกว่าโรงเรียนอื่นๆ ทำ�ให้นักเรียนชั้น
ม. 3 จำ�นวนมากไม่ผ่านเกณฑ์ดังกล่าว โรงเรียนจึงมี ‘เก้าอี้’ เหลือ
สำ�หรับการรับนักเรียนด้วย ‘วิธีพิเศษ’ ซึ่งส่อเค้าไม่โปร่งใส และ
เปิดช่องให้มีการเรียกแป๊ะเจี๊ยะ
ประกาศ สพฐ. ว่าด้วยการรับนักเรียนในปีการศึกษา
2555 กำ�หนดให้รับนักเรียนชั้น ม. 3 เพื่อเข้าศึกษาต่อชั้น ม. 4
โดยพิจารณาจากผลการเรียนเฉลี่ยและผลคะแนน O-NET แต่
เนื่องจากประกาศของ สพฐ. มิได้กำ�หนดหลักเกณฑ์การคัดเลือก
ไว้อย่างชัดเจน ว่าจะต้องใช้ผลการเรียนเฉลี่ยและผลคะแนน O-
NET เท่าใด จึงเปิดช่องให้โรงเรียน A กำ�หนดว่านักเรียนชั้น ม. 3
จะต้องได้คะแนนเฉลี่ยสะสมระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (GPAX)
ไม่ต่ำ�กว่า 2.5 และคะแนน O-NET ไม่ต่ำ�กว่าร้อยละ 50 ซึ่งเป็น
เกณฑ์ที่สูงกว่าโรงเรียนอื่นๆ ทำ�ให้นักเรียนชั้น ม. 3 จำ�นวน 636
คน ผ่านเกณฑ์เข้าเรียนต่อชั้น ม. 4 เพียง 417 คน
แผนการรับนักเรียนของโรงเรียน A ระบุว่าจะรับนักเรียน
ชั้น ม. 4 จำ�นวน 755 คน โดยคัดเลือกด้วยวิธีสอบเข้า 183
คน ซึ่งเมื่อรวมนักเรียนชั้น ม. 3 ที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือก 417
คน โรงเรียนจึงมีเก้าอี้เหลือสำ�หรับการรับนักเรียนด้วยวิธีพิเศษ
อีก 155 ที่นั่ง
นักเรียนที่ได้เข้าเรียนด้วยวิธีพิเศษ มีทั้งนักเรียนชั้น ม. 3 ที่
ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกและสอบคัดเลือกไม่ผ่าน และนักเรียน
จากโรงเรียนอื่นที่สอบคัดเลือกไม่ผ่าน การรับนักเรียนด้วยวิธี
พิเศษโดยไม่มีหลักเกณฑ์แน่ชัด จึงเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริต
เรื่องเงินๆ ทองๆ ในโรงเรียน A
การทุจริตในวงการศึกษาครั้งนี้ทำ�เป็นขบวนการ โดยมี
ผู้เกี่ยวข้องตั้งแต่ผู้บริหาร อาจารย์ ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน
การติดต่อเพื่อจ่ายแป๊ะเจี๊ยะแลกกับสิทธิ์ในการจับจองเก้าอี้
ในชั้นเรียนก็ทำ�ได้หลายทางทั้งการติดต่อกับผู้อำ�นวยการโรงเรียน
โดยตรง หรือติดต่อกับอาจารย์ที่มีส่วนรู้เห็น ซึ่งได้รับ ‘ส่วนแบ่ง’
จากเงินบริจาคในลักษณะคล้าย‘ค่าหัวคิว’ของนายหน้าขายสินค้า
วิธีหลักๆ ในการรับแป๊ะเจี๊ยะของโรงเรียน A คือ ให้
ผู้ปกครองของนักเรียนที่ต้องการเข้าเรียน ‘เสนอ’ จำ�นวนเงิน
บริจาค โดยเขียนระบุจำ�นวนเงินในกระดาษ และจ่ายเป็นเงินสด
ให้แก่ผู้อำ�นวยการ โดยฝ่ายการเงินอาจ ‘กระซิบ’ บอกผู้ปกครอง
ถึงจำ�นวนตัวเลขขั้นต่ำ�ที่ควรเขียนลงไป ซึ่งตัวเลขดังกล่าวคือ
1. นักเรียนชั้น ม. 3 จากโรงเรียนอื่นที่สอบคัดเลือกไม่ผ่าน
ต้องจ่ายประมาณ 300,000 บาท
2. นักเรียนชั้น ม. 3 เดิม และได้เกรดต่ำ�กว่า 2.5 ต้องจ่าย
ประมาณ 150,000 บาท
3. นักเรียนชั้น ม. 3 เดิม และได้เกรดเกิน 2.5 แต่ได้คะแนน
O-NET ไม่ถึงร้อยละ 50 ต้องจ่ายประมาณ 10,000-50,000
บาท
ในกรณีโรงเรียน A มีเพียงผู้ปกครองของนักเรียนในกลุ่ม
สุดท้ายเท่านั้นที่ได้รับใบเสร็จรับเงินยืนยันว่าเป็นการบริจาคเงิน
ให้โรงเรียน ขณะที่ผู้ปกครองสองกลุ่มแรกจ่ายเงินโดยไม่มีใบเสร็จ
จึงเป็นจุดเริ่มต้นของข้อสงสัยที่ว่า น่าจะมีการแสวงหาประโยชน์
จากเงินบริจาคก้อนนี้
176
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์
ผลกระทบต่อประชาชน
•	 การเรียกรับแป๊ะเจี๊ยะเป็นการทำ�ลายระบบการคัดเลือกนักเรียนตามความสามารถ
•	 นักเรียนชั้น ม. 3 เดิม ถูกลิดรอนสิทธิ์ในการเรียนต่อ ทั้งที่โรงเรียนยังรับนักเรียนชั้น ม. 3 เดิม
ไม่ครบสัดส่วนตามที่ สพฐ. กำ�หนด
•	 การที่เงินบริจาคตกเป็นของผู้ที่อยู่ในกระบวนการทุจริตแทนที่จะเป็นของโรงเรียน ทำ�ให้
โรงเรียนสูญเสียงบประมาณในการปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอน
•	 การรับนักเรียนเพิ่มเพื่อเรียกรับแป๊ะเจี๊ยะ ทำ�ให้จำ�นวนนักเรียนต่อห้องเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่ง
ผลกระทบต่อคุณภาพการเรียนการสอน
เอกสารอ้างอิง
•	 ประกาศสำ�นักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เรื่อง นโยบายและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการรับนักเรียนสังกัดสำ�นักงานคณะ
กรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีการศึกษา 2555 ลงวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2554
•	 ประกาศสำ�นักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 เรื่อง รายละเอียดการรับนักเรียน ปีการศึกษา 2555 ของโรงเรียนสังกัด
สำ�นักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
177
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน
ค‹าแปˆะเจ�๊ยะ
สำหรับนักเรียนชั้น ม. 3 จาก
โรงเรียนอื่นที่สอบคัดเลือกไมผาน
บันได 4 ขั้น
01 02 03 04
แปˆะเจ�๊ยะโรงเร�ยน A:
กั๊กเกŒาอี้
เร�ยกรับเง�น
29
โรงเร�ยน A โรงเร�ยนชื่อดังในกรุงเทพฯ
กำหนดหลักเกณฑการคัดเลือกนักเร�ยนชั้น ม. 3
เพ�่อศึกษาต‹อชั้น ม. 4 ไวŒสูงกว‹าโรงเร�ยนอื่น
ทำใหŒนักเร�ยนชั้น ม. 3 ที่ตŒองการเร�ยนต‹อ
ไม‹ผ‹านเกณฑการคัดเลือก โรงเร�ยนจ�งมี ‘เกŒาอี้’
เหลือสำหรับการรับนักเร�ยนดŒวยว�ธี ‘พ�เศษ’
ซึ่งเปดช‹องใหŒมีการเร�ยกรับแปˆะเจ�๊ยะ
การทุจร�ตในโรงเร�ยน A ทำเปšนกระบวนการ
โดยมีผูŒเกี่ยวขŒองตั้งแต‹ผูŒบร�หาร อาจารย ไปจนถึง
เจŒาหนŒาที่ฝ†ายการเง�น การกระทำดังกล‹าวเปšน
การนำสิทธิ์ในการเขŒาโรงเร�ยนของรัฐไปแสวงหา
ผลประโยชน ทั้งที่การรับนักเร�ยนเขŒาเร�ยนควรมี
กติกาที่เปšนธรรม
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
• การเรียกรับแปะเจี๊ยะ
เปนการทำลายระบบการคัดเลือก
นักเรียนตามความสามารถ
• นักเรียนชั้น ม. 3 เดิมถูก
ลิดรอนสิทธิ์ในการเรียนตอ
ทั้งที่โรงเรียนยังรับนักเรียนชั้น
ม. 3 เดิมไมครบสัดสวนตามที่
สพฐ. กำหนด
• การที่เงินบริจาคกลายเปน
ของผูที่อยูในกระบวนการทุจริต
แทนที่จะเปนของโรงเรียน
ทำใหโรงเรียนสูญเสียงบประมาณ
ในการปรับปรุงและพัฒนา
การเรียนการสอน
• การรับนักเรียนเพิ�มเพื่อเรียก
รับแปะเจี๊ยะ ทำใหจำนวน
นักเรียนตอหองเพิ�มขึ้น ซึ�งอาจ
สงผลกระทบตอคุณภาพ
การเรียนการสอน
417คน
ม.3 เดิม ผ‹านเกณฑ
กำหนดเกณฑการศึกษาตอชั้น
ม. 4 ไวสูง ทำใหมีนักเรียนชั้น
ม. 3 ที่ตองการเรียนตอ
ไมผานเกณฑการคัดเลือก
ไมปฏิบัติตามขอกำหนดเรื่อง
สัดสวนการรับนักเรียน
ทำใหโรงเรียนมี ‘เกาอี้’
เหลือสำหรับการเรียกรับ
‘แปะเจี๊ยะ’
ใหผูปกครองเสนอเงินบริจาค
เพื่อแลกกับสิทธิ์ในการเขาเรียน
โดยมีการแนะนำจำนวนเงิน
บริจาคขั้นต่ำ
ไมออกใบเสร็จรับเงิน เพื่อนำ
เงินบริจาคเขากระเปาของผูที่
อยูในกระบวนการทุจริต
300,000 บาท
สำหรับนักเรียนชั้น ม. 3 เดิม
ที่ไดเกรดต่ำกวา 2.5
150,000 บาท
สำหรับนักเรียนชั้น ม. 3 เดิม
ที่ไดเกรดเกิน 2.5 แตไดคะแนน
O-NET ไมถึง 50%
50,000 บาท
183คน
สอบเขŒาไดŒ
155คน
จ‹ายแปˆะเจ�๊ยะ
755คน
นักเร�ยนชั้น ม.4
ท่ีสามารถรับเขŒาเร�ยน
179178
30
เปลี่ยนอุทยาน
ให้เป็นรีสอร์ต
ปูมหลัง
ช่วงเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา อุทยานแห่งชาติสำ�คัญ 2 แห่ง คือ อุทยานแห่งชาติทับลานและ
อุทยานแห่งชาติสิรินาถ ถูกบุกรุกอย่างหนัก โดยกลุ่มธุรกิจและผู้มีฐานะต่างต้องการครอบครอง
พื้นที่อุทยานแห่งชาติเพื่อสร้างโรงแรม รีสอร์ต บ้านพักตากอากาศ และสวนเกษตร เนื่องจากพื้นที่
อุทยานแห่งชาติมีความสวยงามทางธรรมชาติและมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง
อุทยานแห่งชาติทับลานมีพื้นที่อยู่ในจังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดนครราชสีมา ได้รับการ
ประกาศให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติในปี 2524 มีพื้นที่ประมาณ 1.39 ล้านไร่ ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็น
อันดับ 2 ของประเทศ นอกจากนี้ อุทยานแห่งชาติทับลานยังเป็นส่วนหนึ่งของป่าดงพญาเย็น-
เขาใหญ่ ซึ่งเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ และป่าลานในบริเวณดังกล่าวยังเป็นป่าลานผืนสุดท้าย
ของประเทศไทยอีกด้วย
ส่วนอุทยานแห่งชาติสิรินาถในจังหวัดภูเก็ต ได้รับการประกาศให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ
ในปี 2524 โดยเป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเล มีเนื้อที่ 56,250 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ทางทะเลกว่า
30,000 ไร่ และพื้นที่ทางบกกว่า 10,000 ไร่ เอกลักษณ์ทางธรรมชาติของอุทยานแห่งชาติสิรินาถ
มีอยู่หลายอย่าง เช่น มีป่าสนทะเลธรรมชาติ มีแนวปะการังและโขดหินที่สวยงาม ที่สำ�คัญชายหาด
บางแห่งเป็นที่วางไข่ของเต่าทะเลและจักจั่นทะเล
อย่างไรก็ดี ในช่วงปี 2554-2555 การบุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติทั้ง 2 แห่ง ถูกตรวจสอบ
อย่างเข้มข้น ซึ่งพบว่าน่าจะมีนักการเมืองและข้าราชการเกี่ยวข้องกับการทุจริต โดยการรับรองการ
ซื้อขายที่ดินในอุทยานแห่งชาติ
เมนูคอร์รัปชัน180
เส้นทางผลประโยชน์
ความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นเมื่อมีการรับรองการซื้อขาย
ที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติโดยนักการเมืองและข้าราชการ ทั้งที่
ไม่มีเอกสารสิทธิ์ิที่ดิน หรือช่วยออกเอกสารสิทธิ์ิโดยมิชอบด้วย
กฎหมายให้แก่กลุ่มธุรกิจ ซึ่งต้องการนำ�ที่ดินไปเก็งกำ�ไรขายต่อ
สร้างรีสอร์ต และทำ�สวนเกษตร
กระบวนการทุจริตและการบุกรุกอุทยานแห่งชาติทับลาน
เริ่มโดยกลุ่มธุรกิจประกาศขายที่ดินในเขตอุทยานฯ เมื่อมีการ
ตกลงซื้อขาย นักการเมืองและข้าราชการท้องถิ่น เช่น สมาชิกสภา
จังหวัด กำ�นัน และนายกองค์การบริหารส่วนตำ�บลได้ออกใบภาษี
บำ�รุงท้องที่ (ภ.บ.ท. 5) ให้ผู้ซื้อใช้อ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ดิน โดย
จ่ายภาษีเพียงไร่ละ 5 บาทต่อปี ทั้งที่ใบ ภ.บ.ท. 5 ไม่ใช่เอกสาร
สิทธิ์ิ แต่ผู้ซื้อบางคนอาจถูกหลอกว่าใบ ภ.บ.ท. 5 เป็นเอกสาร
สิทธิ์ิ ทำ�ให้มั่นใจว่าครอบครองที่ดินได้อย่างถูกต้อง เพราะมีการ
ทำ�สัญญาการซื้อขายที่ดินในสำ�นักงาน อบต. โดยมีผู้ใหญ่บ้าน
และกำ�นันร่วมเป็นพยาน และแม้บางคนจะทราบว่าใบ ภ.บ.ท. 5
ไม่ใช่เอกสารสิทธิ์ิ แต่ก็แอบหวังว่าจะได้รับเอกสารสิทธิ์ิในอนาคต
นอกจากนี้ นายหน้าค้าที่ดินบางกลุ่มยังใช้วิธีซื้อสิทธิ์อยู่
อาศัยและทำ�กินจากชาวบ้าน ซึ่งได้รับการผ่อนปรนให้อยู่อาศัย
ในพื้นที่อุทยานฯ แต่มิได้รับเอกสารสิทธิ์ิ เพราะชาวบ้านอาศัยอยู่
ในพื้นที่ก่อนประกาศเป็นเขตอุทยานฯ โดยปัจจุบันเหลือชาวบ้าน
ครอบครองพื้นที่เพียงร้อยละ 15 ของพื้นที่ทั้งหมด
ส่วนกรณีการบุกรุกอุทยานแห่งชาติสิรินาถ กระบวนการ
ทุจริตเริ่มโดยเจ้าหน้าที่ของกรมที่ดินบางคนออกเอกสารสิทธิ์ิที่ดิน
ในอุทยานฯ ซึ่งขัดกับกฎหมายที่ดิน และเมื่อพนักงานสอบสวน
คดี สำ�นักคดีอาญาพิเศษ ตรวจสอบการบุกรุกอุทยานฯ ก็พบว่า
กลุ่มผู้มีอิทธิพลและกลุ่มธุรกิจเข้าไปสำ�รวจที่ดินในอุทยานแห่ง
ชาติและประกาศขาย เมื่อมีการตกลงซื้อขายและวางเงินมัดจำ�
กลุ่มผู้มีอิทธิพลและกลุ่มธุรกิจก็จะเร่งให้เจ้าหน้าที่ของกรมที่ดิน
ดำ�เนินการออกเอกสารสิทธิ์ิหรือโฉนด
ดำ�รง พิเดช อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และ
พันธุ์พืช ให้สัมภาษณ์ว่า เจ้าหน้าที่ของกรมที่ดินทำ�ผิดกฎระเบียบ
การออกเอกสารสิทธิ์ิ เพราะชี้แนวเขตในการออกเอกสารสิทธิ์ิใน
พื้นที่ป่า โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ของกรมป่าไม้ร่วมรับรอง
ที่สำ�คัญ เอกสารสิทธิ์ิและโฉนดที่กลุ่มธุรกิจใช้อ้างในการ
ก่อสร้างโรงแรมและรีสอร์ตในอุทยานฯ ออกในปี 2532 และ
2541 แต่การออกเอกสารสิทธิ์ิในพื้นที่ดังกล่าวไม่สามารถทำ�ได้
เพราะกรมป่าไม้เวนคืนที่ดินในเขตอุทยานฯ และจ่ายเงินชดเชย
ให้กับประชาชนที่ถือครองเอกสารสิทธิ์ิเพื่อประกาศเป็นเขตป่า
สงวนแห่งชาติเขารวก-เขาเมืองไปแล้วตั้งแต่ปี 2507 และต่อมา
ในปี 2524 กรมป่าไม้ได้ประกาศให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่ง
ของอุทยานแห่งชาติสิรินาถ ซึ่งกฎหมายห้ามมิให้ออกโฉนดที่ดิน
การบุกรุกอุทยานแห่งชาติทั้ง 2 แห่ง พบว่า เจ้าหน้าที่ของ
กรมอุทยานฯ หรือกรมป่าไม้บางคนมีส่วนสนับสนุนการบุกรุก
หรือแม้แต่เป็นผู้บุกรุกเอง เช่น
•	 อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติทับลานคนหนึ่งถูกตรวจสอบ
พบว่า ทำ�ไร่ยางพาราในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน
•	 ปี 2543 ศรัณย์ ใจสะอาด อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติ
ทับลาน เข้าจับกุมบ้านทะเลหมอกรีสอร์ต ซึ่งบุกรุกพื้นที่
อุทยานฯ และศาลมีคำ�สั่งให้รื้อถอนรีสอร์ต แต่ตัวแทน
ผู้ประกอบการบ้านทะเลหมอกรีสอร์ตเข้าพบอธิบดีกรมป่าไม้
ในขณะนั้น เพื่อขอเช่าพื้นที่ประกอบกิจการต่อไป ซึ่ง
ทำ�ให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถรื้อถอนได้ ทั้งที่สำ�นักงานคณะ
กรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่สามารถ
ให้เช่าได้
•	 ปี 2554 อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติสิรินาถ รับรองว่าที่ดิน
ในอุทยานฯซึ่งโครงการบ้านพักตากอากาศแห่งหนึ่งกำ�ลังขอ
ออกโฉนด เป็นที่ดินที่ได้มาโดยชอบตามกฎหมายที่ดิน และ
ภายหลังถูกตรวจสอบพบว่า เป็นผู้ลงนามอนุมัติให้องค์กร
ปกครองส่วนท้องถิ่นสร้างถนนเข้าพื้นที่ป่า และอนุญาตให้
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 181
กลุ่มธุรกิจปักเสาไฟฟ้าใน
เขตอุทยาน
•	 หลังจากรับรองการซื้อขาย
ที่ดินให้กับกลุ่มธุรกิจ
เจ้าหน้าที่ของ อบต. และ
เทศบาลยังอนุมัติให้
กลุ่มธุรกิจก่อสร้างบ้าน
พักและอาคาร รวมทั้ง
สร้างสาธารณูปโภคใน
พื้นที่อุทยานฯ ด้วย เช่น
ตัดถนนและนำ�ไฟฟ้าเข้า
พื้นที่ เป็นต้น
นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจ
บางกลุ่มยังใช้พื้นที่มากกว่าที่
ระบุในเอกสารสิทธิ์ิ เช่น ตาม
รายงานข่าวของหนังสือพิมพ์
มติชน บริษัท ทรีดอลฟินซ
จำ�กัด อ้างกรรมสิทธิ์ที่ดิน ส.ค.
1 จำ�นวน 20 ไร่ ในอุทยาน
แห่งชาติสิรินาถแต่กรมอุทยานฯ
ตรวจสอบพบว่ามีการขยาย
การครอบครองที่ดินประมาณ
200 ไร่ หรือโครงการบ้านพัก
ตากอากาศแห่งหนึ่งมีเนื้อที่
ประมาณ 10 ไร่ ทั้งที่เอกสาร
สิทธิ์ิ น.ส. 3 ก ระบุว่าสามารถ
ใช้ได้พื้นที่ได้ประมาณ 7 ไร่
ผลกระทบต่อประชาชน
•	 การบุกรุกอุทยานแห่งชาติเป็นการถ่ายโอนสมบัติของประชาชนทุกคนไปสู่การ
ครอบครองของคนบางกลุ่ม เพื่อใช้ประโยชน์ส่วนตัว
•	 การสร้างรีสอร์ตและโรงแรมในเขตอุทยานแห่งชาติเป็นการทำ�ลายป่าไม้และ
สิ่งแวดล้อมอันอุดมสมบูรณ์ ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม
•	 การบุกรุกอุทยานแห่งชาติทับลาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ อาจ
ทำ�ให้ป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ถูกจัดเข้าสู่บัญชีมรดกโลกที่อยู่ในภาวะถูกคุกคาม และ
อาจถูกถอดถอนจากบัญชีมรดกโลกในที่สุด
สถานะของคดี
กรณีการบุกรุกอุทยานแห่งชาติทับลาน
•	 กรมอุทยานฯ แจ้งความดำ�เนินคดีกับผู้บุกรุก 429 คดี โดยมี 381 คดี อยู่ในขั้นตอน
ของพนักงานสอบสวน และมี 50 คดีที่สิ้นสุดแล้ว ซึ่งศาลสั่งให้รื้อถอนสิ่งก่อสร้าง
โดยกรมอุทยานฯ และผู้บุกรุกรื้อถอนแล้ว 27 แห่ง ส่วนอีก 23 แห่ง อยู่ระหว่างการ
พิจารณาของศาลปกครอง เพื่อสั่งคุ้มครองหรือให้รื้อถอน
•	 กรมอุทยานฯ ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการทำ�งานของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ
ทับลานประมาณ 10 คน ซึ่งรวมถึงอดีตหัวหน้าอุทยานฯ
•	 กรมอุทยานฯ แจ้งความดำ�เนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีส่วนกับการซื้อขายที่ดินและ
การอนุญาตแบบการก่อสร้างรีสอร์ตและบ้านพักตากอากาศในเขตอุทยานฯ
กรณีการบุกรุกอุทยานแห่งชาติสิรินาถ
•	 ปี 2555 กรมอุทยานฯ ตรวจสอบพบว่า มีโรงแรมและบ้านพัก 14 แห่ง บุกรุก
พื้นที่อุทยานแห่งชาติสิรินาถ และแจ้งความดำ�เนินคดีกับผู้บุกรุกทั้ง 14 ราย รวมทั้ง
เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีส่วนกับการออกเอกสารสิทธิ์ิและโฉนดโดยมิชอบ พร้อมทั้งส่ง
หนังสือให้กรมที่ดินพิจารณาเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ิในเขตอุทยานฯ
•	 ช่วงต้นปี 2556 คดียังอยู่ในขั้นตอนของพนักงานสอบสวน ซึ่งแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วน
แรก พนักงานสอบสวนรับผิดชอบดำ�เนินคดีเอง อีกส่วนหนึ่ง พนักงานสอบสวนส่ง
เรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำ�เนินคดี
เมนูคอร์รัปชัน182
ต่อ 2 คดี เพราะเป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งกรมอุทยานฯ กรมป่าไม้ กรมที่ดิน
รวมถึงเจ้าหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกี่ยวข้องกับการออกเอกสารสิทธิ์ิ
•	 กรมอุทยานฯ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนอดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติสิรินาถที่ลงนาม
อนุมัติให้มีการสร้างถนนและปักเสาไฟฟ้าในเขตอุทยาน และให้เจ้าหน้าที่แจ้งความ
ดำ�เนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของ อบต. และหน่วยงานฝ่ายปกครองที่สร้างถนน ประปา
และไฟฟ้า รุกล้ำ�ในเขตอุทยาน
•	 เดือนเมษายน 2556กรมอุทยานฯเข้าตรวจสอบพื้นที่ที่มีการออกเอกสารสิทธิ์ิจำ�นวน
3,500 ไร่ พร้อมทั้งขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำ�นักงานป้องกัน
และปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ร่วมตรวจสอบการบุกรุก โดย ปปง. ดำ�เนินการ
ตรวจสอบเส้นทางการเงินของกลุ่มนายทุนที่บุกรุก และใช้กฎหมายฟอกเงินดำ�เนินคดี
กับผู้กระทำ�ผิด
เอกสารอ้างอิง
อุทยานแห่งชาติทับลาน
•	 433 รีสอร์ทผุดกลางป่า, หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ, 18 มกราคม 2555.
•	 กระแสแฟชั่น ‘วังน้ำ�เขียว-ทับลาน’ นายหน้าค้าที่ดิน ‘อู้ฟู่’ ในชั่วพริบตา, หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์, 1 กันยายน 2554.
•	 เกียร์ว่าง! สางปัญหาทับลาน-วังน้ำ�เขียว ไม่ตั้งอธิบดีอุทยานฯ รัฐบาลเสียรังวัด, หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์, 7 ธันวาคม 2555.
•	 แกะรอยออก ‘ใบ ภ.บ.ท. 5’ ชนวนนายทุนซื้อที่ดินในเขตป่า, หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ, 22 สิงหาคม 2554.
•	 ครบรอบ 1 ปี ลุยจับรุกป่า ‘ทับลาน’ รื้อถอน 418 คดี โยงใยไปถึง ‘เขาใหญ่’, หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์, 27 กรกฎาคม 2555.
•	 แฉ ‘ปลอด’ เคยหาช่องให้ ‘บ้านทะเลหมอก’ เช่าทับลาน, หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ, 11 สิงหาคม 2555.
•	 ดำ�รงค์เล็งรื้อรีสอร์ททับลาน ‘บ้านทะเลหมอก’ มูลค่า 200 ล้านโดนด้วย, ไทยรัฐออนไลน์, 21 มิถุนายน 2555.
•	 นิติฯ มธ. ออกโรงรณรงค์ไม่เที่ยวรีสอร์ทรุกป่าวังน้ำ�เขียว-ทับลาน, เว็บไซต์ เดลินิวส์, 29 พฤษภาคม 2556.
•	 บี้ฟัน อบต. ที่อนุญาตให้รีสอร์ตรุก พท. ป่า, ไทยรัฐออนไลน์, 22 ธันวาคม 2554.
•	 ย้ายด่วนอธิบดีอุทยานฯ นั่งเก้าอี้ผู้ตรวจเซ่น ‘วังน้ำ�เขียว’, หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์, 7 กันยายน 2554.
•	 เรียก ส.ส. แจงฮุบ ส.ป.ก. วังน้ำ�เขียว อดีต หน. อุทยานฉาว!, ASTV ผู้จัดการรายวัน, 15 สิงหาคม 2554.
•	 ‘อบต.-เทศบาล’ หละหลวม ‘ภ.บ.ท. 5’ ประกาศซื้อ-ขายที่ดิน งาบป่ากันสนุก!, หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์, 5 สิงหาคม 2554.
อุทยานแห่งชาติสิรินาถ
•	 ‘6 แปลง’ รุกสิรินาถภูเก็ต ทวงเงิน 4.6 ล้าน ทุบรีสอร์ตทับลาน, หนังสือพิมพ์ มติชน, 18 มกราคม 2556.
•	 กรมอุทยานฯ-ดีเอสไอ-ปปง.ลุยขอคืนที่ดินจากนายทุน, หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการรายวัน, 29 เมษายน 2556.
•	 กรมอุทยานฯ เผยมีหลักฐานเด็ดมัดที่ดินออกเอกสารสิทธิ์ิรุกอุทยานฯ สิรินาถ, เว็บไซต์ เดลินิวส์, 5 กันยายน 2555.
•	 จ่อเพิกถอนโฉนด 11 โรงแรมหรูภูเก็ต รุกที่อุทยานใน 30 วัน, หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ, 16 สิงหาคม 2555.
•	 แจ้งจับ 14 รีสอร์ตรุก ‘สิรินาถ’ ยื่นฟัน จนท. ออกเอกสารสิทธิ์ิ์, หนังสือพิมพ์ มติชน, 26 กันยายน 2555.
•	 แฉ จนท. รัฐเอี่ยวรุกป่าภูเก็ต-ส่ง ปปช. ฟัน, เว็บไซต์ ข่าวสด, 8 กุมภาพันธ์ 2556.
•	 ‘ดำ�รงค์’ แย้มเจ้าของโฉนดที่ดินภูเก็ตชื่อระดับบิ๊ก, กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, 16 สิงหาคม 2555.
•	 ดำ�รงค์ลุยแจ้งจับรีสอร์ทหมื่นล้านรุกอุทยาน 640 ไร่, หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์, 26 กันยายน 2555.
•	 ดีเอสไอลุยฟ้องเอง บุกรุก ‘สิรินาถ’, หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์, 23 มีนาคม 2556.
•	 ปปง. พร้อมใช้ กม. ฟอกเงินสอบนายทุนรุกป่า, กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, 28 กุมภาพันธ์ 2556.
•	 สอบอดีตหัวหน้าอุทยานป่าสิรินาถ, ไอเอ็นเอ็น, 13 มิถุนายน 2555.
•	 อดีต หน. อุทยานฯ สิรินาถรับรองออกโฉนดที่ดินงอกเพิ่มจาก 7 เป็น 10 ไร่ให้ฝรั่ง, เว็บไซต์เดลินิวส์, 14 มีนาคม 2556.
•	 อนุ กมธ. ฟัน ‘พูลแมน’ ผุด รร. รุกหาดในยาง นายกระยองโต้ดำ�รงค์ ลั่นปิดเองท่าเรือ อบจ., หนังสือพิมพ์ มติชน, 12 กันยายน 2555.
•	 อุทยานฯ ไล่รื้อบ้านพัก คัดทัวร์ชั้นดีนอนเต็นท์, หนังสือพิมพ์ มติชน, 27 สิงหาคม 2555.
•	 DSI งัด กม. ฟอกเงินยึดทรัพย์นายทุนรุกป่า, กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, 17 กุมภาพันธ์ 2556.
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 183
ในกรณ�อุทยานแหงชาติทับลาน
นักธุรกิจสามารถซื้อขายที่ดิน
ในอุทยานไดอยางผิดกฎหมาย
โดยนักการเมืองและขาราชการ
ทองถิ�นออกใบภาษีบำรุงทองที่ให
ผูซื้อที่ดินเพื่อใชเปนหลักฐาน
ในการอางกรรมสิทธิ์ และรับรอง
การซื้อขายที่ดินโดยรวมเปนพยาน
ในการทำสัญญาซื้อขาย
ในกรณ�อุทยานแหงชาติสิรินาถ
เจาหนาที่บางรายของกรมที่ดิน
ออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินในอุทยาน
เพื่อรับรองการอางสิทธิ์ในที่ดิน
และการซื้อขายที่ดิน
เชื่อกันวาทั้งสองกรณ� เจาหนาที่
บางรายของกรมปาไมหรือ
กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา
และพันธุพืช น�าจะมีสวนรูเห็น
กับการบุกรุก หรือเปนผูบุกรุก
เสียเอง ในขณะที่นักการเมือง
และขาราชการทองถิ�นชวยกัน
อนุมัติแบบกอสราง พรอมทั้ง
ชวยตัดถนนและนำไฟฟาเขา
พื้นที่บุกรุก
การบุกรุกพ�้นที่ป†ายังคงเปšนป˜ญหาใหญ‹
ของประเทศไทย โดยมักเกิดจากการสมคบ
กันระหว‹างผูŒที่ตŒองการบุกรุกกับเจŒาหนŒาที่ของรัฐ
การบุกรุกพ�้นที่อุทยานแห‹งชาติทับลานและสิร�นาถ
ถูกตรวจสอบอย‹างเขŒมขŒนในช‹วงป‚ 2554-2555
ซึ่งสิ�งที่พบก็ไม‹ต‹างจากที่เคยเกิดข�้นมาแลŒว
นั่นก็คือมีการร‹วมมือกันระหว‹างนักการเมือง
ขŒาราชการ และนักธุรกิจ ในการถ‹ายโอนที่ดิน
อุทยานไปใหŒเศรษฐีและนักธุรกิจ เพ�่อสรŒางร�สอรต
โรงแรม และบŒานพักตากอากาศ
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
• การบุกรุกอุทยานแหงชาติ
เปนการถายโอนสมบัติของ
ประชาชนทุกคน ไปสูการ
ครอบครองของคนบางกลุม
เพื่อใชประโยชนสวนตัว
• การสรางรีสอรตและโรงแรม
ในเขตอุทยานแหงชาติ
เปนการทำลายปาไมและ
สิ�งแวดลอมอันอุดมสมบูรณ
ซึ�งทำใหเกิดปญหาสิ�งแวดลอม
• การบุกรุกอุทยานแหงชาติ
ทับลาน ซึ�งเปนสวนหนึ�งของ
ปาดงพญาเย็น-เขาใหญ
อาจทำใหปาดงพญาเย็น-เขาใหญ
ถูกจัดเขาสูบัญชีมรดกโลก
ที่อยูในภาวะถูกคุกคาม และอาจ
ถูกถอดถอนจากบัญชีมรดกโลก
ในที่สุด
บันได 4 ขั้น
01
02
03
04
กลุมนักธุรกิจสำรวจและ
ประกาศขายที่ดินในเขต
อุทยาน ทั้งที่ตนไมมีสิทธิ์
เมื่อมีคนมาติดตอซื้อที่ดิน
นักการเมืองและขาราชการ
ที่สมคบกันก็รับรองการซื้อขาย
ที่ดินโดยการออกใบภาษีบำรุง
ทองที่ เพื่อเปนหลักฐานอาง
กรรมสิทธิ์ หรือออกเอกสารสิทธิ์
ทับที่ดินในอุทยาน
ขาราชการและนักการเมือง
อนุมัติแบบการสรางโรงแรม
และบานพักตากอากาศ
พรอมทั้งอนุมัติใหตัดถนน
และนำไฟฟาเขาพื้นที่อุทยาน
นักธุรกิจใชพื้นที่กอสราง
โรงแรมมากกวาที่ระบุ
ในเอกสารสิทธิ์
รุกที่อุทยานทับลาน-สิร�นาถ:
ซื้อขายที่ดินไรŒเอกสารสิทธิ์/
ออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ
30
สถานะ
• กรมอุทยานฯ แจงความดำเนินคดี
กับผูบุกรุกอุทยานแหงชาติทับลาน
429 คดี โดยมี 381 คดีอยูใน
ขั้นตอนของพนักงานสอบสวน
และมี 50 คดีที่สิ้นสุดแลว
และตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ
การทำงานของเจาหนาที่อุทยาน
แหงชาติทับลานประมาณ 10 คน
ซึ�งรวมถึงอดีตหัวหนาอุทยาน
ป 2555
• กรมอุทยานฯ พบวามีโรงแรม
และบานพัก 14 แหงบุกรุกที่ดิน
ในเขตอุทยานแหงชาติสิรินาถ
จึงแจงความดำเนินคดีกับผูบุกรุก
ทั้ง 14 ราย พรอมทั้งสงหนังสือ
ใหกรมที่ดินพิจารณาเพิกถอน
เอกสารสิทธิ์ในพื้นที่อุทยาน
และตั้งคณะกรรมการสอบสวน
อดีตหัวหนาอุทยานแหงชาติ
สิรินาถ ซึ�งลงนามอนุมัติใหมี
การสรางถนนและปกเสาไฟฟา
ในพื้นที่อุทยาน
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 185184
31
ผู้พิทักษ์เศรษฐกิจ
นอกกฎหมาย
ปูมหลัง
สังศิต พิริยะรังสรรค์ และคณะ ให้ความหมายของ ‘เศรษฐกิจนอกกฎหมาย’ ว่า หมายถึง
กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในบัญชีรายได้ประชาชาติ เป็นกิจกรรมที่ไม่มีการเสียภาษี
และกฎหมายไม่ให้การรับรอง โดยกิจกรรมต่างๆ ประกอบด้วย
หนึ่ง ธุรกิจผิดกฎหมาย เช่น หวยใต้ดิน บ่อนการพนัน พนันฟุตบอล จับยี่กี การค้ายาเสพติด
การปล่อยเงินกู้นอกระบบ และเพศพาณิชย์
สอง การทุจริตทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน เช่น เงินใต้โต๊ะที่นักธุรกิจจ่ายให้กับนักการเมือง
และข้าราชการ และส่วยประเภทต่างๆ ที่ตำ�รวจเรียกเก็บจากพ่อค้าและนักธุรกิจ
สาม การหลีกเลี่ยงภาษีของธุรกิจเอกชน
สี่ ธุรกิจนอกระบบ ซึ่งครอบคลุมผู้ประกอบอาชีพอิสระทั้งในและนอกภาคเกษตรกรรม เช่น
มอเตอร์ไซค์รับจ้าง รถตู้โดยสารผิดกฎหมาย สุราพื้นบ้าน ธนาคารหมู่บ้าน กลุ่มออมทรัพย์ต่างๆ
รวมถึงหาบเร่แผงลอย1
1  สังศิต พิริยะรังสรรค์, นวลน้อย ตรีรัตน์ และนพนันท์ วรรณเทพสกุล, คอร์รัปชัน: นักการเมือง ข้าราชการ และนักธุรกิจ, กรุงเทพฯ:
ศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2547.
เมนูคอร์รัปชัน186
จากสภาพของธุรกิจนอกกฎหมายเกือบทุกประเภทที่มีลักษณะเป็นความผิดอาญา ตำ�รวจจึง
อยู่ในฐานะกำ�กับ ควบคุม และตรวจสอบธุรกิจเหล่านี้ได้ตามกฎหมาย ด้วยเหตุนี้ กฎหมายจึงเอื้อ
ให้ตำ�รวจมีโอกาสเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์จากธุรกิจนอกกฎหมายได้
การพนัน
แม้จะมีข้อห้ามทางกฎหมาย แต่ด้วยความต้องการของนักพนันที่เพิ่มขึ้นโดยตลอด และ
ผลตอบแทนที่สูงกว่าการพนันแบบถูกกฎหมาย ประกอบกับความหลากหลายของการพนันและ
เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำ�ให้มีผู้ประกอบการการพนันเป็นจำ�นวนมากทั่วประเทศ ซึ่งคนกลุ่มนี้เอง
ที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายที่ทุจริตกับกลุ่มนักพนันที่ต้องการเสี่ยงโชค
สังศิตและคณะ ประมาณการว่า ในปี 2544 ตำ�รวจได้รับส่วยจากบ่อนการพนันขั้นต่ำ�
6,670-13,650 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 7.1-9.2 ของผลกำ�ไรของบ่อนการพนันทั่วประเทศ
และในปีเดียวกันตำ�รวจได้รับส่วยจากเจ้ามือหวยใต้ดินทั่วประเทศ 10,600-10,800 ล้านบาท ซึ่ง
คิดเป็นร้อยละ 2 ของยอดขายหวยใต้ดินทั้งประเทศ นอกจากนี้ ตำ�รวจยังได้รับส่วยจากหวยรายวัน
อีกประมาณปีละ 400-500 ล้านบาท และหากตำ�รวจได้รับส่วยจากการพนันประเภทอื่น เช่น การ
พนันฟุตบอล หวยหุ้น หวยออมสิน และหวย ธ.ก.ส. ประมาณร้อยละ 2 ของกำ�ไรที่เจ้ามือได้รับ
ตำ�รวจจะมีรายได้จากการพนันฟุตบอลปีละ 240-320 ล้านบาท หวยหุ้น 80-96 ล้านบาท หวย
ออมสิน 650 ล้านบาท และหวย ธ.ก.ส. 650 ล้านบาท
กล่าวโดยสรุป ในปี 2544 ตำ�รวจได้รับส่วยจากธุรกิจการพนันผิดกฎหมายอย่างน้อย
19,000-27,000 ล้านบาท2
2  เพิ่งอ้าง, หน้า 135-136.
เส้นทางผลประโยชน์
สังศิตและคณะ ศึกษาการหาผลประโยชน์ของตำ�รวจจากธุรกิจผิดกฎหมาย โดยเจาะจงธุรกิจ
ผิดกฎหมาย 4 ประเภท คือ การพนัน การขนส่งมวลชน แรงงานต่างด้าว และธุรกิจบริการทางเพศ
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 187
เมนูคอร์รัปชัน
การขนส่งมวลชน
การทุจริตในระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทยมีที่มาจาก
การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของผู้ใช้บริการ จนกระทั่งระบบขนส่ง
มวลชนที่มีอยู่เดิมไม่สามารถให้บริการได้อย่างเพียงพอ และ
เนื่องจากกฎหมายไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
ทำ�ให้ตำ�รวจสามารถแทรกตัวเข้ามาแบ่งปันค่าเช่าทางเศรษฐกิจ
จากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องโดยตรง
‘มอเตอร์ไซค์รับจ้าง’ คือผลผลิตชนิดหนึ่งจากการขยายตัว
ของเมือง ด้วยราคาค่าโดยสารที่ไม่แพงและมีความคล่องตัว
มากกว่า ทำ�ให้ประชาชนจำ�นวนมากเลือกใช้บริการมอเตอร์ไซค์
รับจ้าง โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน
ในปี2546หลังรัฐบาลจัดระเบียบมอเตอร์ไซค์รับจ้างพบว่า
มีวินที่จดทะเบียนทั่วประเทศประมาณ 9,000 วิน และมีผู้ขับขี่
มอเตอร์ไซค์รับจ้างประมาณ200,000คนโดยผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์
รับจ้างต้องจ่าย ‘ค่าวิน’ รวมทั่วประเทศประมาณ 4,100 ล้านบาท
ค่าวิน คือส่วยที่ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างต้องจ่ายให้ตำ�รวจ
หรือผู้ที่ทำ�งานให้ตำ�รวจ โดยค่าวินทั่วประเทศแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ
ส่วนแรกเป็นของคนคุมวินในกรุงเทพฯประมาณ1,500ล้านบาท
ต่อปี ส่วนที่สองเป็นของคนคุมวินในต่างจังหวัด ประมาณ 750
ล้านบาทต่อปี และส่วนที่สามเป็นของตำ�รวจ ประมาณ 1,800
ล้านบาทต่อปี3
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันส่วยที่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง
ต้องจ่ายให้แก่ตำ�รวจได้ลดลงไปมาก หลังจากรัฐบาลจัดระเบียบ
มอเตอร์ไซค์รับจ้าง
3  เพิ่งอ้าง, หน้า 138.
นอกจากนี้ ‘รถตู้’ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการเดินทาง
ในยุคปัจจุบัน ในปี 2546 คาดว่ามีรถตู้ขนส่งมวลชนประมาณ
10,000-10,366 คัน ในจำ�นวนนี้เป็นรถที่จดทะเบียนโดย
ถูกกฎหมายหรือ ‘รถป้ายเหลือง’ จำ�นวน 5,566 คัน และรถ
ที่วิ่งโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือ ‘รถป้ายดำ�’ ประมาณ 4,300-
4,800 คัน
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นรถที่วิ่งโดยถูกกฎหมายหรือผิด
กฎหมาย หัวหน้าวินก็จะต้องจ่ายเงินให้กับสถานีตำ�รวจในเส้น
ทาง โดยสถานีตำ�รวจที่เป็นพื้นที่ต้นทางและพื้นที่ปลายทาง
จะได้รับเงินเดือนละ 10,000 บาท ส่วนสถานีตำ�รวจที่เป็น
เส้นทางผ่านจะได้รับเงิน 3,000-5,000 บาทต่อเดือน ตำ�รวจ
จราจรกลาง 3,000-5,000 บาทต่อเดือน และตำ�รวจทางด่วน
3,000-5,000 บาทต่อเดือน
จากการศึกษาพบว่า ในปี 2545 สถานีตำ�รวจที่ดูแลพื้นที่
ซึ่งเป็นสถานีต้นทางและสถานีปลายทาง จำ�นวน 32 แห่ง จาก
เส้นทางทั้งหมด 235 เส้นทาง มีรายได้รวมกันอย่างน้อย 27.36
ล้านบาทต่อปี4
4  เพิ่งอ้าง, หน้า 144-145.
188
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์
แรงงานต่างด้าว
นอกจากกระทรวงแรงงานและกระทรวงสาธารณสุข หน่วย
งานที่เกี่ยวข้องกับแรงงานต่างด้าว (ทั้งเข้าเมืองโดยถูกกฎหมาย
และผิดกฎหมาย) ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยจำ�นวน 1,162,373
คน5
ก็คือ สำ�นักงานตำ�รวจแห่งชาติ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
คือ ตำ�รวจตรวจคนเข้าเมืองในพื้นที่ ตำ�รวจภูธร ตำ�รวจสันติบาล
ตำ�รวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ตำ�รวจน้ำ� ตำ�รวจกองปราบ และ
ตำ�รวจตรวจคนเข้าเมืองจากส่วนกลาง
จากการศึกษา พบว่าแรงงานต่างด้าวต้องจ่ายเงินให้กับ
นายหน้าหรือผู้นำ�ทางรายละ 1,500-2,000 บาท นอกจากนี้ยัง
ต้องจ่ายเงินให้ตำ�รวจเพื่อความสะดวกในการเดินทางไปยังสถาน
ประกอบการรายละ 5,000 บาท รวมเป็นเงินที่แรงงานต้องจ่าย
6,000-7,000 บาทต่อคน ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการแต่ละราย
ก็ต้องจ่ายเงินให้ตำ�รวจ 20,000 บาทต่อเดือน แยกเป็นตำ�รวจ
สายสืบ 4,000 บาทต่อเดือน ตำ�รวจสอบสวน 4,000 บาทต่อ
เดือน ตำ�รวจตรวจคนเข้าเมือง 4,000 บาทต่อเดือน ตำ�รวจท้องที่
4,000 บาทต่อเดือน และตำ�รวจสันติบาล 4,000 บาทต่อเดือน
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการต้องรวมตัวกันตามขนาดของการ
จ้างงาน เพื่อจ่ายเงินให้ตำ�รวจเป็นรายเดือน โดยกลุ่มผู้ประกอบ
การขนาดใหญ่จ่าย 100,000 บาทต่อเดือน กลุ่มผู้ประกอบ
การขนาดกลางจ่าย 10,000-30,000 บาทต่อเดือน และกลุ่มผู้
ประกอบการขนาดเล็กจ่าย 5,000-10,000 บาทต่อเดือน
สังศิตและคณะ ประมาณการว่าผู้ประกอบการที่ใช้แรงงาน
ต่างด้าวทั่วประเทศ ต้องจ่ายเงินให้ตำ�รวจประมาณ 1,500-
1,800 ล้านบาทต่อปี6
5  ข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2555 จาก สถานการณ์แรงงานต่างด้าวปี 2555, http://
www.apecthai.org/apec/th/econnews.php?id=834
6  เพิ่งอ้าง, หน้า 149-150.
ธุรกิจบริการทางเพศ
ผู้ประกอบการรายหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่าธุรกิจอาบอบนวด
แต่ละแห่งใช้เงินลงทุนประมาณ 150 ล้านบาท แต่จะคืน
ทุนภายใน 2 ปี และมีกำ�ไรมากกว่าร้อยละ 70 ขณะที่ธุรกิจ
ประเภทนี้มีผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการเพียง113ราย
ทั่วประเทศ7
อีกทั้งกฎหมายไม่มีความไม่ชัดเจน จึงทำ�ให้มี
การลักลอบเปิดบริการแฝงในสถานบริการประเภทอื่น ซึ่ง
กลายเป็นช่องทางให้เจ้าหน้าที่ของรัฐหาผลประโยชน์
จากการศึกษาพบว่า สถานประกอบการที่มีใบอนุญาต
เปิดสถานบริการอาบอบนวดทั่วประเทศต้องจ่ายเงินให้
ตำ�รวจทุกเดือน โดยแบ่งเป็น 3 อัตรา กล่าวคือ สถาน
ประกอบการระดับเกรด A จ่ายแห่งละ 2 ล้านบาทต่อเดือน
สถานประกอบการระดับเกรด B จ่ายแห่งละ 1 ล้านบาท
ต่อเดือน และสถานประกอบการระดับเกรด C จ่ายแห่ง
ละ 5 แสนบาทต่อเดือน สังศิตและคณะ ประมาณการว่า
ผู้ประกอบการธุรกิจอาบอบนวดทั่วประเทศต้องจ่ายเงินให้
ตำ�รวจอย่างน้อย 500 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ ผู้ประกอบ
การยังต้องให้ตำ�รวจใช้บริการฟรีเดือนละ 1-2 ครั้ง ครั้งละ
2-3 คน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายคนละอย่างน้อย 3,500 บาท8
ผาสุก พงษ์ไพจิตร ระบุว่า ผู้ประกอบการรายหนึ่งซึ่ง
เป็นเจ้าของอาบอบนวด 6 แห่ง ต้องจ่ายเงินให้ตำ�รวจเดือน
ละ 12 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 15-16 ของรายได้สุทธิ
ของผู้ประกอบการรายนั้น ขณะที่จ่ายภาษีให้รัฐบาลเพียง
เดือนละ 3 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 4 ของรายได้สุทธิ9
นอกจากผู้ประกอบการธุรกิจอาบอบนวดต้องจ่าย
ส่วยให้ตำ�รวจแล้ว ยังต้องจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่สำ�นักงานเขต
กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
อื่นๆ อีกด้วย10
7  เพิ่งอ้าง, หน้า 153.
8  เพิ่งอ้าง, หน้า 154.
9  ผาสุก พงษ์ไพจิตร, การแบ่งรายได้จากผู้หญิงหากิน, หนังสือพิมพ์ มติชน, 27
สิงหาคม 2546, หน้า 6.
10  สังศิต พิริยะรังสรรค์ และคณะ, อ้างแล้ว, หน้า 154.
189
เมนูคอร์รัปชัน
ผลกระทบต่อประชาชน
กล่าวโดยสรุป ปี 2544 ธุรกิจการพนันในประเทศมีเงินหมุนเวียน 1.5-1.8 ล้านล้านบาท มี
มูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น 3.5-4.1 แสนล้านบาท และเป็นรายได้ของตำ�รวจ 19,000-27,000 ล้านบาท
ปี 2545 ธุรกิจมอเตอร์ไซค์รับจ้างทั่วประเทศมีเงินหมุนเวียนนอกระบบ 27,600 ล้านบาท
เป็นค่าวิน 4,100 ล้านบาท และเป็นรายได้ของตำ�รวจ 1,800 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจรถตู้โดยสาร
ทั้งประเทศมีเงินหมุนเวียน 3,300-3,900 ล้านบาท เป็นเงินนอกระบบ 1,700-2,205 ล้านบาท
และเป็นรายได้ของตำ�รวจอย่างน้อย 50 ล้านบาท
ปี 2544 ในธุรกิจที่ใช้แรงงานต่างด้าว แรงงานและนายจ้างต้องจ่ายเงินให้นายหน้าและตำ�รวจ
หน่วยต่างๆ อย่างน้อย 2,200-2,500 ล้านบาทต่อปี เงินจำ�นวนนี้เป็นของตำ�รวจ 1,500-1,800
ล้านบาทต่อปี
ปี 2545 ประเทศไทยมีหญิงบริการประมาณ 2 แสนคน ในจำ�นวนนี้เป็นหญิงบริการในอาบ
อบนวดประมาณ 30,000 คน หญิงบริการเหล่านี้มีรายได้ 10,000-45,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่ง
ในจำ�นวนนี้เป็นรายได้ของตำ�รวจอย่างน้อย 500 ล้านบาทต่อปี
ภาพรวมของปี 2544/2545 ตำ�รวจจึงมีรายได้จากธุรกิจทั้ง 4 ประเภท อย่างน้อย 23,000-
31,000 ล้านบาท11
ในนามของ ‘ผู้พิทักษ์เศรษฐกิจนอกกฎหมาย’
11  เพิ่งอ้าง, หน้า 155-156.
190
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์
เอกสารอ้างอิง
•	 ผาสุก พงษ์ไพจิตร, การแบ่งรายได้จากผู้หญิงหากิน, หนังสือพิมพ์ มติชน, 27 สิงหาคม
2546.
•	 สถานการณ์แรงงานต่างด้าวปี 2555, http://www.apecthai.org/apec/th/econnews.
php?id=834
•	 สังศิต พิริยะรังสรรค์, นวลน้อย ตรีรัตน์ และนพนันท์ วรรณเทพสกุล, คอร์รัปชัน:
นักการเมือง ข้าราชการ และนักธุรกิจ, กรุงเทพฯ: ศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2547.
191
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน
การพนัน การขนส‹งมวลชน แรงงานต‹างดŒาว
และธุรกิจบร�การทางเพศ คือธุรกิจนอกกฎหมาย
4 ประเภทที่สังศิต พ�ร�ยะรังสรรค และคณะพบว‹า
มีตำรวจเขŒาไปแสวงหาผลประโยชนมาก
การศึกษาดังกล‹าวพบว‹าในป‚ 2544
ตำรวจไดŒรับส‹วยจากธุรกิจการพนันอย‹างนŒอย
19,000-27,000 ลŒานบาท ซึ่งสูงกว‹าธุรกิจอีก
3 ประเภท
เฉพาะในกรุงเทพฯ มีเงินหมุนเวียน
ในธุรกิจการพนันปละ 1.8-2
แสนลานบาท ซึ�งในจำนวนน�้
เปนการจายสวยใหกับตำรวจ
เพื่อแลกกับการเปดบอนประมาณ
5-20% ของรายได หรือคิดเปนเงิน
2,000-8,000 ลานบาท
ตำรวจนครบาลรายหนึ�ง
ใหขอมูลวา เหตุที่บอนการพนัน
ยังมีอยู ไมใชเพราะจับยาก
หรือเพราะไมมีขอมูล แตเน��องจาก
มีขบวนการจายสวยตั้งแต
ระดับลางจนถึงระดับบน
โดยแตละพื้นที่จะมีผูรับผิดชอบ
โดยตรง ตำรวจชั้นผูนอยจึง
‘ตามน้ำ’ โดย ‘นาย’ จะเปน
ผูจัดสรรผลประโยชนใหอีกตอหนึ�ง
ธุรกิจการพนันจึงเปนตัวอยางที่
แสดงใหเห็นวาตำรวจไดกลายเปน
ผูพิทักษเศรษฐกิจนอกกฎหมาย
ตำรวจ:
ผูŒพ�ทักษเศรษฐกิจ
นอกกฎหมาย
31
1,800
ลŒานบาท/ป‚
การขนส‹ง
มวลชน
500
ลŒานบาท/ป‚
ธุรกิจบร�การ
ทางเพศ
19,000-27,000
ลŒานบาท/ป‚
การพนัน
1,500-1,800
ลŒานบาท/ป‚
แรงงานต‹างดŒาว
193192
32
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
กินรวบครบวงจร
ปูมหลัง
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ได้รับมอบอำ�นาจการบริหารจัดการท้องถิ่นตั้งแต่ช่วงต้น
ทศวรรษ 2540 ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 โดย
การกระจายอำ�นาจนี้มุ่งหมายว่า อปท. จะได้รับอิสระในการบริหารงานมากขึ้น สามารถกำ�หนด
นโยบายสาธารณะในระดับท้องถิ่นที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่ได้ดียิ่ง
ขึ้น ทั้งในด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน สวัสดิการพื้นฐาน และโครงการส่งเสริมคุณภาพชีวิต
ปี 2554 ประเทศไทยมี อปท. 7,853 แห่ง แบ่งเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) 75
แห่ง เทศบาล 1,619 แห่ง องค์การบริหารส่วนตำ�บล (อบต.) 6,157 แห่ง และองค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษอีก 2 แห่ง คือกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา
อปท. ได้รับรายได้สำ�หรับการบริหารจัดการจากส่วนกลางเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี
2542 อปท. มีรายได้ 97,747 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 13.79 ของรายได้สุทธิของรัฐบาล
และในปี 2555 อปท. มีรายได้ 529,978 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 26.77 ของรายได้สุทธิ
ของรัฐบาล1
1  ดวงมณี เลาวกุล, การปฏิรูปการกระจายอำ�นาจการคลังสู่ท้องถิ่น, กรุงเทพฯ: เปนไท, 2555.		
เมนูคอร์รัปชัน194
อย่างไรก็ตาม มีการตรวจสอบพบว่า อปท. ทุจริตข้างค่อนมาก โดยเฉพาะการจัดซื้อจัดจ้าง
ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การกำ�หนดโครงการและวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง การกำ�หนดราคาในการจัดซื้อจัด
จ้าง การทำ�สัญญา และการตรวจรับงาน โดยเจ้าหน้าที่ของ อปท. นักการเมืองท้องถิ่น และกลุ่ม
ธุรกิจ ร่วมกันหาผลประโยชน์จากงบประมาณของรัฐ ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะคดีทุจริตของ อบจ.
เทศบาล และ อบต. ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคดีที่สำ�นักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบพบ และ
เผยแพร่ในรายงานผลการปฏิบัติงานประจำ�ปีงบประมาณ 2550 และ 2551
เส้นทางผลประโยชน์
ขั้นตอนการกำ�หนดโครงการและวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง
เจ้าหน้าที่ของ อปท. กำ�หนดโครงการซ้ำ�ซ้อนกับโครงการของหน่วยงานอื่นที่กำ�ลังดำ�เนินงาน
หรือดำ�เนินงานเสร็จไปแล้ว เพื่อเอื้อประโยชน์แก่เอกชนคู่สัญญา โดยเอกชนอาจไม่จำ�เป็นต้อง
ดำ�เนินการใดๆหรือดำ�เนินการไม่ครบตามสัญญาแต่ได้รับค่าตอบแทนครบตามสัญญาตัวอย่างเช่น
•	 ปี 2545 อบจ.ขอนแก่น ดำ�เนินโครงการขุดลอกลำ�ห้วยกระดูกเสือ ยาว 969 เมตร
งบประมาณ580,000บาทโดยจัดจ้างบริษัทเจริญทรัพย์หนองเรือแต่โครงการนี้ถูกตรวจสอบ
พบว่าซ้ำ�ซ้อนกับโครงขุดคลองของ อบต.โนนทอง ซึ่งดำ�เนินการเสร็จสิ้นตั้งแต่ปี 2544 โดย
บริษัท เจริญทรัพย์หนองเรือ ขุดลอกคลองต่อจากโครงการของ อบต.โนนทอง เพิ่มอีกเพียง
93 เมตร แต่ได้รับค่าตอบแทนครบตามสัญญา
ทั้งนี้ สมาชิกของสภา อบจ.ขอนแก่น ผู้เสนอโครงการ ยังถูกตรวจสอบพบว่ามีผลประโยชน์
ร่วมกับบริษัท เจริญทรัพย์หนองเรือ โดยสมาชิกสภา อบจ.ขอนแก่น เป็นภรรยาของกรรมการ
ผู้จัดการของบริษัท และเคยถือหุ้นในบริษัท ก่อนจะดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมือง2
สำ�หรับการกำ�หนดวิธีการจัดซื้อจัดจ้างเจ้าหน้าที่ของอปท.หลีกเลี่ยงวิธีการสอบราคาและการ
ประกวดราคา โดยใช้วิธีการตกลงราคาแทน ซึ่งง่ายต่อการเอื้อประโยชน์แก่บริษัทผู้ขายและผู้รับจ้าง
2  อรทัย ก๊กผล, ความขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ส่วนรวม: กรณีศึกษาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (Con-
flict of Interest), ใน ความขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม, กรุงเทพฯ: สํานักงานคณะกรรมการข้าราชการ
พลเรือน, 2546.
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 195
เมนูคอร์รัปชัน
บางราย และเป็นการกีดกันบริษัทอื่น โดยเจ้าหน้าที่มักแบ่ง
งบประมาณของโครงการเดียวกันเป็นการจัดซื้อจัดจ้างย่อยๆ เพื่อ
ลดวงเงินการจัดซื้อจัดจ้างให้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อครั้ง ซึ่ง
ตามกฎระเบียบจะสามารถใช้วิธีการตกลงราคาได้ ทั้งนี้ ในการจัด
จ้างดังกล่าว หน่วยงานสามารถตกลงราคากับผู้ขายหรือผู้รับจ้าง
ได้โดยตรงโดยไม่ต้องเปิดโอกาสให้รายอื่นเข้าแข่งขัน ตัวอย่างเช่น
•	 ปี 2546 อบต.ขัวเรียง จังหวัดขอนแก่น จัดทำ�โครงการ
ก่อสร้างถนน 6 สาย งบประมาณ 395,632 บาท โดยนายก
อบต.ขัวเรียง สั่งให้แบ่งการจัดจ้างเป็น 6 โครงการ และใช้
วิธีตกลงราคา ทั้งที่เจ้าหน้าที่พัสดุเสนอให้รวมการจ้างงาน
เป็นโครงการเดียวกันและใช้วิธีสอบราคา นอกจากนี้ นายก
อบต.ขัวเรียง ยังสั่งให้จ้างบริษัทที่เสนอราคาสูงกว่าบริษัทอื่น
โดยไม่ได้ระบุเหตุผล
ขั้นตอนการกำ�หนดราคา
ในการจัดซื้อจัดจ้าง
เจ้าหน้าที่ของ อปท. ดำ�เนินการจัดซื้อจัดจ้างในราคาสูง
เกินควร หรือกำ�หนดราคากลางสูงเกินควร ซึ่งเอื้อประโยชน์แก่
ผู้ขายและผู้รับจ้าง โดยผู้ขายและผู้รับจ้างอาจมีผลประโยชน์ร่วม
กับเจ้าหน้าที่ของ อปท. หรืออาจแบ่งผลประโยชน์บางส่วนให้กับ
เจ้าหน้าที่ที่ร่วมทุจริต ตัวอย่างเช่น
•	 ในปี2547อบต.ไผ่พระจังหวัดพระนครศรีอยุธยาดำ�เนินการ
จัดซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างอาคารที่ทำ�การ วงเงิน 2.5 ล้านบาท
โดยเจ้าหน้าที่ของ อบต. เลือกใช้วิธีพิเศษ ทั้งที่ไม่จำ�เป็นต้อง
จัดซื้อที่ดินที่มีลักษณะเฉพาะ ภายหลังสำ�นักงานการตรวจ
เงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบพบว่า อบต.ไผ่พระ ซื้อที่ดิน
ของสหกรณ์การเช่าซื้อที่ดินบางไทร จำ�กัด ซึ่งมีนายก อบต.
ไผ่พระ ดำ�รงตำ�แหน่งกรรมการในขณะนั้น ในราคา 2.4 ล้าน
บาท ซึ่งสูงกว่าราคาประเมินที่ 1.26 ล้านบาท
•	 เทศบาลนครลำ�ปางดำ�เนินการจัดซื้อที่ดินเพื่อกำ�จัดขยะ
มูลฝอยประมาณ 260 ไร่ โดยใช้งบประมาณ 24.69 ล้าน
บาท หรือประมาณไร่ละ 92,000 บาท แต่ สตง. ตรวจ
สอบพบว่า เจ้าของที่ดินได้รับเงินเพียงไร่ละ 30,000
บาท ขณะที่นายหน้าค้าที่ดินกลุ่มหนึ่งได้รับผลประโยชน์
จากส่วนต่าง 60,000 บาท โดยนายหน้าขอซื้อที่ดิน
จากเจ้าของที่ดินและขายที่ดินให้คณะกรรมการจัดซื้อ
ที่ดิน ซึ่งถือว่าผิดกฎระเบียบของราชการที่กำ�หนดให้คณะ
กรรมการจัดซื้อที่ดินต้องติดต่อกับเจ้าของที่ดินโดยตรง
อีกทั้งเจ้าหน้าที่ของเทศบาลยังสั่งจ่ายเงินให้แก่นายหน้า
ซึ่งขัดกับกฎระเบียบที่กำ�หนดให้ต้องจ่ายเงินกับเจ้าของ
ที่ดินโดยตรงอีกเช่นกัน
ขั้นตอนการพิจารณา
คุณสมบัติของผู้เสนอราคา
เจ้าหน้าที่ของ อปท. กำ�หนดเงื่อนไขที่ไม่เปิดโอกาสให้
บุคคลทั่วไปแข่งขันเสนอราคาอย่างเป็นธรรม เช่น
•	 ในปี 2548 อบจ.สกลนคร ได้รับเงินอุดหนุนเพื่อดำ�เนิน
โครงการส่งเสริมและพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
เพื่อการศึกษาให้แก่โรงเรียน วงเงิน 43.7 ล้านบาท โดย
โครงการนี้ให้โรงเรียนเป็นผู้เลือกซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์
และโปรแกรมที่ต้องการ แต่ปลัด อบจ.สกลนคร ส่ง
บันทึกเสนอความคิดเห็นให้แต่ละโรงเรียนในเขตพื้นที่
การศึกษา เขต 1 จัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์และโปรแกรม
ที่มีคุณลักษณะตามบันทึกดังกล่าว โดยคุณลักษณะของ
โปรแกรมคล้ายกับโปรแกรมบทเรียนชุด Edu Pac CAI
ของร้านค้าแห่งหนึ่งซึ่งเป็นตัวแทนจำ�หน่ายเพียงผู้เดียว
ในจังหวัด
•	 ในปี 2551 สตง. ตรวจสอบพบว่า เทศบาลเมืองตำ�บล
ปากแพรก (ปัจจุบันคือเทศบาลเมืองทุ่งสง) จังหวัด
นครศรีธรรมราช ดำ�เนินการจัดจ้างงานก่อสร้างระบบ
กำ�จัดขยะครบวงจร วงเงิน 15.6 ล้านบาท โดยใช้วิธี
196
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์
ประกวดราคา แต่กำ�หนดคุณสมบัติผู้เสนอราคาว่า ต้องมี
ผลงานการก่อสร้างระบบกำ�จัดมูลฝอย ระบบบำ�บัดน้ำ�เสีย
อาคาร และถนนของราชการส่วนท้องถิ่นหรือรัฐวิสาหกิจ
มูลค่ารวมกันไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท อันเป็นการกำ�หนด
ผลงานเกินกว่าร้อยละ 50 ของวงเงินงบประมาณ ซึ่งขัดกับ
กฎระเบียบ และกีดกันผู้รับจ้างบางราย
นอกจากนี้ ยังมีกรณีเจ้าหน้าที่ของ อปท. กีดกันผู้เสนอราคา
บางราย โดยไม่เผยแพร่ประกาศการจัดซื้อจัดจ้างให้ผู้ขายและ
ผู้รับจ้างทราบโดยทั่วกัน หรืออ้างเหตุผลหรือเกณฑ์บางประการ
ซึ่งเป็นการตัดสิทธิ์ของผู้เสนอราคาบางราย ทั้งที่ประกาศการ
ประกวดราคาไม่ได้กำ�หนดเกณฑ์ดังกล่าว เช่น
•	 อบต.บ้านเหล่า จังหวัดมุกดาหาร จัดซื้อจักรอุตสาหกรรม
เป็นเงิน 2.9 ล้านบาท ด้วยการประกวดราคา ซึ่งในปี 2551
สตง. ตรวจสอบพบว่า มีผู้เสนอราคามาอย่างถูกต้อง 4 ราย
จาก 11 ราย แต่คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวด
ราคารับไว้พิจารณาเพียงรายเดียว โดยอ้างเหตุผลว่าผู้เสนอ
ราคารายอื่นมีสำ�นักงานอยู่ไกล จึงไม่สะดวกให้บริการหลัง
การขาย บางรายไม่ได้เสนอการจัดอบรม แต่เสนอว่าหาก
จักรชำ�รุดจะซ่อมแซมให้ภายใน 2-3 วัน ซึ่งคณะกรรม
การฯ เห็นว่านานเกินไป ทั้งที่ประกาศการประกวดราคา
มิได้กำ�หนดว่าผู้เสนอราคาต้องจัดอบรม และกำ�หนดว่าต้อง
ซ่อมแซมจักรไม่เกิน 15 วัน
•	 เทศบาลเมืองมุกดาหารดำ�เนินการจ้างเหมาก่อสร้างระบบ
ระบายน้ำ�และขยายช่องจราจร วงเงิน 10.5 ล้านบาท โดย
วิธีประกวดราคา แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้เผยแพร่ประกาศการ
ประกวดราคา และยังปลอมหลักฐานการเผยแพร่ประกาศ
ราคา ซึ่งในปี 2550 สตง. ตรวจสอบพบว่า ผู้รับจ้างได้จ่าย
เงินให้เจ้าหน้าที่ 1 ล้านบาท เป็นค่าตอบแทนสำ�หรับการ
ช่วยเหลือให้ได้เป็นคู่สัญญา
ในบางกรณีผู้ขายและผู้รับจ้างบางรายกีดกันไม่ให้ผู้อื่นเสนอ
ราคา โดยอาจใช้กำ�ลังหรือให้เงินตอบแทน เช่น
•	 ปี 2554 อบจ.สระแก้ว จัดการประมูลเพื่อจ้างปรับปรุง
ระบบภูมิทัศน์บริเวณอาคารสำ�นักงาน อบจ. วงเงิน
ก่อสร้างประมาณ 10 ล้านบาท โดยกำ�หนดให้ผู้ที่
ต้องการเสนอราคาซื้อเอกสารการประมูลระหว่างวันที่
8-22 เมษายน แต่ปรากฏว่ามีกลุ่มบุคคลยืนอยู่บริเวณ
หน้าสำ�นักงาน อบจ. และอ้างว่าห้างหุ้นส่วนจำ�กัด
ส.วิริยะ ซึ่งเจ้าของเป็นญาติของ เสนาะ เทียนทอง ได้
รับจ้างงานนี้แล้ว พร้อมทั้งเสนอเงิน 10,000 บาทให้แก่
เจ้าหน้าที่ของอบจ.เพื่อให้ช่วยกีดกันตัวแทนของบริษัทอื่น
ซื้อเอกสารการประมูล
ขั้นตอนการทำ�สัญญา
และการตรวจรับงาน
เจ้าหน้าที่ของ อปท. กำ�หนดเงื่อนไขในสัญญาที่ทำ�ให้ภาค
รัฐเสียเปรียบ โดยกำ�หนดให้ส่งมอบสินค้าและงานที่มีคุณภาพ
และมูลค่าต่ำ�กว่าค่าตอบแทนที่จ่ายให้แก่ผู้ขายและผู้รับจ้าง
หรือโดยตัดทอนงานภายหลังทำ�สัญญา โดยไม่ได้แก้ไขสัญญา
เพื่อลดผลตอบแทน นอกจากนี้ คณะกรรมการตรวจรับงานยัง
ตรวจรับการส่งงานและอนุมัติให้จ่ายค่าตอบแทน ทั้งที่งานไม่มี
คุณภาพหรือไม่ครบตามที่กำ�หนดในสัญญา ตัวอย่างเช่น
•	 ในปี 2549 อบต.กมลา จังหวัดภูเก็ต จัดจ้างโครงการ
ก่อสร้างเขื่อนและบูรณะถนน วงเงิน 20 ล้านบาท ต่อมา
สตง. ตรวจสอบพบว่า นายก อบต. นำ�แบบรูปรายการ
และใบแจ้งประมาณราคาของบริษัทที่ปรึกษาซึ่งไม่มีผู้ลง
นามรับผิดชอบ มาใช้เป็นเอกสารแนบท้ายสัญญาแทน
เอกสารของฝ่ายโยธาธิการ โดยการกระทำ�ดังกล่าวมีผล
ในการลดมูลค่าของการก่อสร้างลงเหลือ 14.6 ล้านบาท
อีกทั้งผู้ควบคุมงานและคณะกรรมการตรวจจ้างได้ตรวจ
และรับรองงานงวดที่ 2 ตามสัญญา พร้อมทั้งจ่ายเงินให้ผู้รับจ้าง
5 ล้านบาท ทั้งที่ผู้รับจ้างมิได้ก่อสร้างถนน เพราะแขวงการทาง
ภูเก็ตได้ก่อสร้างไว้แล้ว นอกจากนี้ อบต.กมลา ยังลดค่าปรับการ
197
เมนูคอร์รัปชัน
ส่งมอบงานล่าช้า โดยผู้รับจ้างส่งงานเกินเวลาที่กำ�หนดใน
สัญญา 208 วัน แต่ อบต. คิดค่าปรับเพียง 55 วัน
สถานะของคดี
•	 รายงานผลการปฏิบัติงานประจำ�ปีงบประมาณ
2551 ของ สตง. ระบุว่า การสุ่มตรวจการจัดซื้อ
จัดจ้างของหน่วยราชการพบว่ามี อบจ. ร้อยละ 66
เทศบาลร้อยละ 47 และ อบต. ร้อยละ 40 ทำ�ผิดกฎ
ระเบียบ ขณะที่มีหน่วยราชการส่วนกลางและส่วน
ภูมิภาคที่ทำ�ผิดกฎระเบียบ ร้อยละ 25
•	 ปี 2552 สำ�นักนายกรัฐมนตรีรายงานต่อคณะ
รัฐมนตรีว่า อปท. เป็นหน่วยงานรัฐที่ถูกแจ้งว่ามี
การทุจริตมากที่สุด คือ 139 เรื่อง จากทั้งหมด
335 เรื่อง
•	 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
แห่งชาติ (ป.ป.ช.) ระบุว่า ในช่วงปี 2544-2552
อปท. เป็นหน่วยงานรัฐที่ถูกกล่าวหาว่ามีการทุจริต
มากที่สุดถึง 7,452 เรื่อง โดยมีเจ้าหน้าที่ อปท.
ถูกกล่าวหา 13,683 ราย และในปี 2555 ร้อยละ
40 ของคดีที่เข้าสู่การพิจารณาของ ป.ป.ช. เป็นการ
ทุจริตของ อปท.
ผลกระทบต่อ
ประชาชน
•	 การทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างทำ�ให้งบประมาณของภาครัฐ
รั่วไหล ประชาชนสูญเสียโอกาสในการได้รับประโยชน์จาก
การใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าว
•	 รายงานผลการปฏิบัติงานประจำ�ปีงบประมาณ 2551 ของ
สตง. ระบุว่า จากการสุ่มตรวจการจัดซื้อจัดจ้าง อปท. หลาย
แห่ง พบว่า มีการทำ�ผิดกฎระเบียบและมีการทุจริต ส่งผลให้
ภาครัฐเสียหายประมาณ 120 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ
50 ของมูลค่าความเสียหายทั้งหมดของหน่วยราชการที่ถูก
สุ่มตรวจ
•	 ปี 2552 สำ�นักนายกรัฐมนตรีรายงานต่อคณะรัฐมนตรี
ว่า การทำ�ผิดกฎระเบียบและการทุจริตของ อปท. ทำ�ให้
เกิดความเสียหายแก่รัฐประมาณ 519 ล้านบาท หรือคิด
เป็นร้อยละ 30 ของมูลค่าความเสียหายของหน่วยราชการ
ทั้งหมด
•	 ประชาชนได้ใช้บริการสาธารณะที่ไม่มีคุณภาพ เช่น ถนน
หรือเขื่อนที่ก่อสร้างได้ไม่ครบตามแบบของฝ่ายโยธาธิการ
198
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์
เอกสารอ้างอิง
•	 ข่าวการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประจำ�วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน 2552.
•	 แฉทุจริตงาบงบ อปท. ครองแชมป์สูงสุด, หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ, 15 ธันวาคม 2552.
•	 ดวงมณี เลาวกุล, การปฏิรูปการกระจายอำ�นาจการคลังสู่ท้องถิ่น, กรุงเทพฯ: เปนไท, 2555.
•	 ธีรยุทธ์ สำ�ราญทรัพย์, การบริหารงานพัสดุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า, 2551.
•	 ป.ป.ช.-สตง. ล่าทุจริตองค์การปกครองท้องถิ่นผลาญงบแสนล้าน, ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 9 กรกฎาคม 2550.
•	 เปิด 21 นักการเมืองท้องถิ่นกับพวกถูกเชือด ‘คอร์รัปชั่น-รวยผิดปกติ’ อดีตบิ๊ก กทม. เทศบาล อบต. เพียบ, มติชนออนไลน์, 2 กรกฎาคม 2556.
•	 ‘วิชา’ ชี้ทุจริตเชิงนโยบายแพร่สู่ท้องถิ่น คดีโกง 40% มาจาก อปท., มติชนออนไลน์, 20 กรกฎาคม 2555.
•	 สำ�นักงานการตรวจเงินแผ่นดิน, รายงานผลการปฏิบัติงานประจำ�ปีงบประมาณ 2550, 2550.
•	 สำ�นักงานการตรวจเงินแผ่นดิน. รายงานผลการปฏิบัติงานประจำ�ปีงบประมาณ 2551, 2551.
•	 อปท. ครองแชมป์โกงดับเพลิงดุ ปปช. งัด อสส., หนังสือพิมพ์ ไทยโพสต์, 18 สิงหาคม 2553.
•	 อรทัย ก๊กผล, ความขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ส่วนรวม: กรณีศึกษาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (Conflict of Interest),
ใน ความขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม, กรุงเทพฯ: สํานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน, 2546.
•	 DSI จับสองลูกน้องนักการเมืองดังคดีฮั้วประมูล อบจ.สระแก้ว 10 ล้าน, ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 24 พฤษภาคม 2554.
199
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน
สถานะ
• รายงานผลการปฏิบัติงาน
ประจำปงบประมาณ 2551
ของ สตง. ระบุวา การสุมตรวจ
การจัดซื้อจัดจางของหน�วยงาน
ราชการ พบวามี อบจ. 66%
เทศบาล 47% และ อบต. 40%
ทำผิดกฎระเบียบ ซึ�งมากกวา
หน�วยราชการสวนกลาง
และสวนภูมิภาค
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
• รายงานผลการปฏิบัติงาน
ประจำปงบประมาณ 2551
ของ สตง. ระบุวา จากการสุมตรวจ
การจัดซื้อจัดจาง อปท. หลายแหง
ทำผิดกฎระเบียบและมีการทุจริต
ซึ�งทำใหภาครัฐเสียหายประมาณ
120 ลานบาท หรือคิดเปน 50%
ของมูลคาความเสียหายทั้งหมด
ของหน�วยราชการที่ถูกสุมตรวจ
• ประชาชนไดใชบริการสาธารณะ
ที่ไมมีคุณภาพ เชน ถนน สะพาน
หรือเขื่อน ที่ไมสามารถใชงานได
องคกรปกครองส‹วนทŒองถิ�น:
ทุจร�ตจัดซื้อจัดจŒาง
ครบวงจร
32
ป‚ 2554 ประเทศไทยมีองคกรปกครองส‹วนทŒองถิ�น
(อปท.) 7,853 แห‹ง แบ‹งเปšน อบจ. 75 แห‹ง เทศบาล
1,619 แห‹ง อบต. 6,157 แห‹ง และ อปท.
รูปแบบพ�เศษอีก 2 แห‹ง (กรุงเทพฯ และเมืองพัทยา)
โดย อปท. ทั่วประเทศมีงบประมาณเพ��มข�้น
อย‹างต‹อเนื่อง ในป‚ 2555 อปท. มีรายไดŒ
529,978 ลŒานบาท หร�อ 26.77% ของรายไดŒรัฐ
อย‹างไรก็ตาม การทุจร�ตเปšนสิ�งที่อยู‹คู‹กับ อปท.
หลายแห‹ง โดยเฉพาะในการจัดซื้อจัดจŒาง
ซึ่งมีตัวอย‹างของการทุจร�ตในทุกขั้นตอน
ตั้งแต‹ตั้งโครงการไปจนถึงตรวจรับงาน
5 รูปแบบ
การทุจร�ต
01 02 03 04
อปท. ตั้งโครงการซ้ำซอน
กับโครงการของหน�วยงานอื่น
หรือตั้งใจทำกิจกรรมไมตรงกับ
วัตถุประสงคของโครงการ
แตเปนประโยชนตอเอกชน
ที่รับงาน
เจาหนาที่แบงการจัดซื้อจัดจาง
ในโครงการเปนหลายงวด
เพื่อใชวิธีตกลงราคา
ซึ�งงายตอการทุจริต
ตั้งราคาจัดซื้อจัดจางสูงเกินจริง
เพื่อเอื้อประโยชนแกเอกชน
ที่รับงาน ซึ�งจะแบง
ผลประโยชนกลับมาใหกับ
เจาหนาที่ในภายหลัง
กีดกันผูเสนอราคารายอื่น
โดยไมเผยแพรประกาศ
การจัดซื้อจัดจาง หรือตัดสิทธิ์
ผูเสนอราคาบางรายอยาง
ไมเปนธรรม
05
ทำสัญญาใหภาครัฐเสียเปรียบ
และตรวจรับงานทั้งที่งานไมมี
คุณภาพหรือไมครบตามสัญญา
งบ อปท.
• สตง. พบวา อปท. จัดซื้อจัดจาง
ผิดกฎระเบียบในแตละขั้นตอน
ดังน�้
• การกำหนดโครงการ
และวิธีการ 2.65% ของกรณ�
ที่ตรวจพบ
• การกำหนดราคา 35.34%
ของกรณ�ที่ตรวจพบ
• การพิจารณาคุณสมบัติ
ของผูเสนอราคา 14.79%
ของกรณ�ที่ตรวจพบ
• การทำสัญญา 36.97%
ของกรณ�ที่ตรวจพบ
• การตรวจรับงาน 10.25%
ของกรณ�ที่ตรวจพบ
• ชวงป 2544-2552 อปท.
เปนหน�วยงานที่ถูกกลาวหาตอ
ป.ป.ช. วามีการทุจริตมากที่สุด
(7,452 เรื่อง) โดยเฉพาะเรื่อง
การจัดซื้อจัดจาง โดยมีผู
ถูกกลาวหา 13,683 คน และ
ในป 2555 คดีที่อยูในการพิจารณา
ของ ป.ป.ช. เปนคดีการทุจริต
ของ อปท. ถึง 40%
201200
33
ทำ�ผิดจ่ายถูก-ทำ�ถูกจ่ายแพง
วิบากกรรมแรงงานต่างด้าว
ปูมหลัง
จากสถิติของสำ�นักบริหารแรงงานต่างด้าว ในเดือนเมษายน 2555 พบว่า มีแรงงานต่างด้าว
ได้รับใบอนุญาตทำ�งานทั้งสิ้น 1,752,100 คน ในจำ�นวนนี้มีเพียง 839,913 คน หรือร้อยละ 47.9
ที่ผ่านการเข้าเมืองอย่างถูกกฎหมาย
สภาวะแรงงานไทยในช่วงปี 2550-2555 จากการคาดการณ์โดยกระทรวงแรงงาน พบว่า
ความต้องการแรงงานระดับล่างจะเพิ่มขึ้นอีก 300,000 คน ขณะที่แรงงานไทยที่จบชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 3 รองรับได้เพียง 100,000 คนเท่านั้น ทำ�ให้ความต้องการแรงงานต่างด้าวพุ่งสูงขึ้น การ
บริหารจัดการด้านแรงงานต่างด้าว ทั้งดำ�เนินการกับกลุ่มที่ลักลอบเข้ามาอย่างผิดกฎหมายและ
ควบคุมการเข้าเมืองอย่างถูกกฎหมายจึงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำ�คัญเร่งด่วน
รัฐบาลไทยโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ (MOU) ด้านการจ้างแรงงานกับสาธารณรัฐ
ประชาธิปไตยประชาชนลาวเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2545 ต่อมาได้ลงนามกับราชอาณาจักรกัมพูชา
เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2546 และลงนามกับสหภาพพม่าเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2546
เมนูคอร์รัปชัน202
ต่อมาในช่วงปี 2552-2555 มีการจัดการแรงงานต่างด้าวอย่างเป็นระบบยิ่งขึ้น โดยอนุญาต
ให้แรงงานที่เข้ามาโดยผิดกฎหมายสามารถลงทะเบียนแรงงานต่างด้าวและพิสูจน์สัญชาติเพื่อนำ�ไป
สู่กระบวนการที่ถูกกฎหมาย (legalization) และผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวทำ�งานในประเทศไทย
ต่อไปได้
อย่างไรก็ดี การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวของไทยกลับไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร
เนื่องจากกฎระเบียบที่ขาดความยืดหยุ่น และการให้น้ำ�หนักกับความมั่นคงของชาติมากกว่ามิติด้าน
เศรษฐกิจและความมั่นคงของมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้น การดำ�เนินการแบบผิดกฎหมายยังมีค่าใช้จ่าย
น้อยกว่า รวดเร็วกว่า และเกิดประโยชน์กับทั้งแรงงานต่างด้าว นายจ้าง นายหน้า และในบางกรณี
ครอบคลุมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย
เส้นทางผลประโยชน์
การนำ�แรงงานต่างด้าวเข้ามาทำ�งานในประเทศไทยอย่าง
ถูกกฎหมายตามข้อตกลง (MOU) มีขั้นตอนและค่าใช้จ่ายดังนี้
1. การแจ้งความต้องการจ้างแรงงาน
ต่างด้าว (โควตา) และการยื่นคำ�ร้อง
ขอนำ�เข้าแรงงานต่างด้าว
1.1นายจ้างหรือสถานประกอบการแจ้งความต้องการจ้าง
แรงงานต่างด้าว ณ สำ�นักจัดหางานกรุงเทพเขตพื้นที่ 1-10 หรือ
สำ�นักงานจัดหางานจังหวัดที่คนต่างด้าวจะไปทำ�งาน
ช่องทางหาผลประโยชน์:นายจ้างหรือสถานประกอบการ
มักแจ้งความต้องการแรงงานต่างด้าวมากกว่าจำ�นวนที่ต้องการ
ถ้าได้ตามที่ขอก็อาจนำ�โควตาที่ได้ไปขายต่อให้ผู้ประกอบการ
รายอื่น หรือไม่ก็ขอโควตาไว้เฉยๆ แต่ยังใช้แรงงานต่างด้าวแบบ
ผิดกฎหมายทั้งหมด เนื่องจากการพิสูจน์ทราบชื่อและเอกลักษณ์
บุคคลแรงงานต่างด้าวเป็นเรื่องที่ทำ�ได้ยาก เพราะหลายคนไม่มี
เอกสารจากประเทศของตน และในหลายกรณี การขอโควตา
เกินก็เป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายของนายหน้าที่รับดำ�เนินการแทน
เพราะค่าใช้จ่ายคิดตามจำ�นวนครั้งที่ยื่นคำ�ร้อง
ค่าใช้จ่ายในการดำ�เนินการ: 1,500-5,000 บาท
1.2 เมื่อนายจ้างหรือสถานประกอบการได้รับอนุญาตให้
จ้างแรงงานต่างด้าว กรมการจัดหางานจะออกหนังสือยืนยันการ
มีโควตาจ้างแรงงานต่างด้าวให้กับนายจ้างหรือสถานประกอบการ
ช่องทางหาผลประโยชน์: ในขั้นตอนนี้ หากผู้ได้รับ
อนุญาตได้รับโควตาเกินความต้องการ ผู้นั้นก็อาจนำ�โควตา
แรงงานต่างด้าวไปจัดสรรลงในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจอื่นที่ตนเอง
เป็นเจ้าของหรือเป็นหุ้นส่วน หรือบางกรณีอาจขายโควตาให้กับ
ผู้ประกอบการรายอื่นที่ไม่ได้โควตา
ค่าใช้จ่ายในการดำ�เนินการ:ประมาณ 1,000 บาท
(แต่หากมีการขายโควตาอาจมีราคาถึงหลักหมื่นบาท)
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 203
เมนูคอร์รัปชัน
2. การยื่นคำ�ร้องขอนำ�แรงงานต่างด้าว
เข้ามาทำ�งานในประเทศไทย
2.1 นายจ้างหรือสถานประกอบการที่ได้รับโควตาจ้าง
แรงงานต่างด้าว ยื่นคำ�ร้องขอนำ�เข้าแรงงานต่างด้าวตาม MOU
รวมถึงสำ�เนาหนังสืออนุญาตให้จ้างแรงงานต่างด้าวตามโควตา
หนังสือแต่งตั้งให้บริษัทจัดหางานในประเทศต้นทางดำ�เนินการ
จัดหาแรงงานและตัวอย่างสัญญาจ้างมาตรฐานต่อกรมการจัดหา
งาน กระทรวงแรงงาน
2.2 กรมการจัดหางานตรวจสอบหลักฐานและเสนอต่อ
กระทรวงแรงงาน เพื่อออกหนังสือแจ้งให้กระทรวงแรงงานของ
ประเทศต้นทางทราบ
2.3 กรมการจัดหางานส่งเอกสารให้กับสถานทูตของ
ประเทศต้นทาง เพื่อให้ส่งต่อเอกสารไปยังกระทรวงแรงงานของ
ประเทศตน
2.4 เมื่อบริษัทจัดหางานในประเทศต้นทางหาคนงานได้
แล้ว บริษัทจะส่งบัญชีรายชื่อของคนงานให้กระทรวงแรงงาน
ของประเทศต้นทางประทับตราและลงนามรับรอง ก่อนจะส่งมา
ให้นายจ้างหรือสถานประกอบการของไทยเพื่อดำ�เนินการต่อไป
ช่องทางหาผลประโยชน์: ในขั้น 2.1-2.4 จะมีการ
ขอใบอนุญาตออกหนังสือไปมาระหว่างหน่วยงานภาครัฐของ
ประเทศไทยและประเทศต้นทาง ซึ่งส่วนมากจะดำ�เนินการโดย
นายหน้าหรือบริษัทจัดหางานในสองประเทศ ทำ�ให้มีการจ่าย
สินบนหรือ ‘ค่าน้ำ�ร้อนน้ำ�ชา’ ในทุกขั้นตอน หลายครั้งนายหน้า
หรือบริษัทจัดหางานที่คุ้นเคยกับหน่วยงานภาครัฐอาจดำ�เนินการ
แบบรวบรัด ซึ่งเหมาะสำ�หรับนายจ้างที่ต้องการใช้แรงงานต่างด้าว
แบบทันท่วงทีและจำ�นวนมากแต่ผู้ประกอบการหรือนายจ้างรายนั้น
ก็จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมให้นายหน้าหรือบริษัทจัดหางาน
ทำ�ให้เกิดกลุ่มอิทธิพล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศต้นทาง
ค่าใช้จ่ายในการดำ�เนินการ: 3,000-9,000 บาท
(แตกต่างกันไปตามประเทศต้นทางและความสลับซับซ้อนของ
แต่ละกรณี โดยมากเป็นค่าธรรมเนียม แต่การทำ�ถูกกฎหมายก็ยัง
มีค่าน้ำ�ร้อนน้ำ�ชาระหว่างการดำ�เนินการเพื่ออำ�นวยความสะดวก)
3. การขอใบอนุญาตทำ�งาน
3.1 เมื่อนายจ้างหรือสถานประกอบการได้รับรายชื่อ
แรงงานต่างด้าวที่ผ่านการรับรองอย่างเป็นทางการให้ยื่นรายชื่อ
และหนังสือของนายจ้างซึ่งระบุด่านพรมแดนที่คนต่างด้าวจะ
เดินทางผ่าน พร้อมคำ�ขออนุญาตทำ�งาน แทนแรงงานต่างด้าว
ณ สำ�นักงานจัดหางานจังหวัดที่สถานที่ทำ�งานของแรงงาน
ต่างด้าวตั้งอยู่ ส่วนในเขตกรุงเทพฯ ให้ยื่นเอกสาร ณ กองการ
จัดระบบการนำ�เข้าแรงงานต่างด้าว พร้อมเอกสารประกอบ
3.2สำ�นักงานจัดหางานจังหวัดส่งบัญชีรายชื่อให้กับกรม
การจัดหางาน โดยกรมการจัดหางานจะแจ้งสถานทูตหรือสถาน
กงสุลไทยในประเทศต้นทาง รวมถึงสำ�นักงานตรวจคนเข้าเมือง
เพื่อดำ�เนินการออกวีซ่าและอนุญาตให้พำ�นักอยู่ในประเทศไทย
ช่องทางหาผลประโยชน์: ในขั้นตอนนี้การปลอม
เอกสารราชการมักเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นจำ�นวนแรงงาน
ต่างด้าวที่ได้รับอนุมัติ จำ�นวนที่จะเดินทางไปยังด่านพรมแดน
ด่านพรมแดนที่ระบุ และที่สำ�คัญคือขั้นตอนการขอวีซ่ามา
ทำ�งานในประเทศไทย ซึ่งบริษัทนายหน้าหรือกลุ่มผู้มีอิทธิพล
ในการจัดหาแรงงานจากประเทศต้นทางมักจะเรียกค่าตอบแทน
ทำ�ให้ผู้ประกอบการต้องเสียค่าใช้จ่ายให้บริษัทนายหน้าที่รับ
ดำ�เนินการขอวีซ่าเข้าประเทศไทยชนิดยากที่จะต่อรอง
ขณะเดียวกัน การแจ้งรายชื่อและจำ�นวนแรงงานต่างด้าว
กับกรมการจัดหางานก็มักเกิดความคลาดเคลื่อน บ่อยครั้ง
มีการเรียกเก็บค่าดำ�เนินการต่างๆ เพิ่มจากค่าธรรมเนียม เพื่อ
เป็นการอำ�นวยความสะดวกในการดำ�เนินการทางเอกสารของ
ทั้งสองประเทศ
ค่าใช้จ่ายในการดำ�เนินการ: 3,000-4,000 บาท
4. การออกใบอนุญาตทำ�งานของ
แรงงานต่างด้าว
4.1 บริษัทจัดหางานในประเทศต้นทาง นำ�แรงงาน
ต่างด้าวไปยื่นขอรับการตรวจลงตราเข้าประเทศไทย ณ สถาน
ทูตหรือสถานกงสุลของไทยที่ตั้งอยู่ ณ ประเทศต้นทาง
204
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์
4.2เมื่อแรงงานต่างด้าวได้รับวีซ่าเข้ามาทำ�งานประเทศไทย
และผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองจะได้รับการประทับตราอนุญาตให้
อยู่ในราชอาณาจักรไทย 2 ปี จากนั้นนายจ้างจะต้องพาแรงงาน
ต่างด้าวไปตรวจสุขภาพภายใน 3 วัน และยื่นคำ�ร้องขอรับ
ใบอนุญาตทำ�งานภายในระยะเวลาที่กำ�หนด
4.3 แรงงานต่างด้าวที่ขอใบอนุญาตทำ�งานจะต้องจ่ายค่า
ธรรมเนียม (ปีละ 1,800 บาท) ใบอนุญาตทำ�งานตามระยะเวลา
ที่แรงงานต่างด้าวขออนุญาตทำ�งาน แต่ไม่เกิน 1 ปี
ช่องทางหาผลประโยชน์: ขั้นตอนนี้ค่อนข้างตรงไป
ตรงมา แต่เนื่องจากมีหลายขั้นตอน และทุกขั้นตอนมีค่าใช้จ่าย
อีกทั้งการดำ�เนินการต้องทำ�ทุกปี ทำ�ให้นายจ้างอาจใช้วิธีให้
นายหน้าไปดำ�เนินการแทน ซึ่งหลายครั้งนายหน้าจะจ่ายเงินให้
กับเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อให้อำ�นวยความสะดวก
ค่าใช้จ่ายในการดำ�เนินการ:ประมาณ 5,000 บาท
ต่อปี (รวมค่าตรวจลงตรา ค่าตรวจสุขภาพ ค่าต่ออายุใบอนุญาต
และอื่นๆ)
นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในกระบวนการยื่นคำ�ร้อง
ขอใบอนุญาตที่นายหน้าเรียกเก็บจากนายจ้างรายละประมาณ
4,000-5,000 บาท ทำ�ให้ค่าใช้จ่ายในการนำ�แรงงานต่างด้าว
เข้ามาทำ�งานโดยถูกกฎหมายอยู่ที่ประมาณ17,500-29,000บาท
ต่อคน แตกต่างกันไปตามประเทศต้นทางและธุรกิจที่ดำ�เนินการ
ขณะที่แรงงานต่างด้าวในฐานะนักท่องเที่ยวซึ่งเข้ามาทำ�งาน
โดยผิดกฎหมาย มีค่าใช้จ่ายประมาณ 3,000-4,000 บาทต่อ
คน มิหนำ�ซ้ำ�ระยะเวลาที่ใช้ในการดำ�เนินการก็แตกต่างกันมาก
โดยค่าเฉลี่ยของระยะเวลาการขอวีซ่านักท่องเที่ยวอยู่ที่ 1-2
สัปดาห์ ขณะที่กระบวนการนำ�เข้าแรงงานต่างด้าวถูกกฎหมาย
อยู่ที่ 3-6 เดือน
ด้วยเหตุที่การนำ�เข้าแรงงานต่างด้าวอย่างถูกกฎหมายตาม
MOUมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการนำ�เข้าแรงงานต่างด้าวแบบนักท่องเที่ยว
กว่า 10 เท่า ทำ�ให้เกิดแรงจูงใจในการหาผลประโยชน์จากทั้งฝ่าย
นายจ้าง บริษัทนายหน้า รวมถึงแรงงานต่างด้าวเอง โดยนายจ้าง
มีแรงจูงใจเรื่องค่าใช้จ่ายที่ลดลงและมีอำ�นาจต่อรองเหนือแรงงาน
ต่างด้าวที่มีสถานะผิดกฎหมาย ขณะที่แรงงานต่างด้าวหากเข้า
ประเทศอย่างถูกกฎหมายก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงกว่า ซึ่งรายได้
ที่ได้รับก็ไม่มากพอจะปลดหนี้สินจากการกู้ยืมมาดำ�เนินการ
ให้ถูกกฎหมาย หลายรายจึงอยู่ในภาวะจำ�ยอมที่ต้องอยู่อย่าง
ละเมิดกฎหมาย
ผลกระทบต่อ
ประชาชน
•	 นายจ้างที่จ้างแรงงานต่างด้าวแบบถูกกฎหมายต้อง
เสียค่าใช้จ่ายและเสียเวลามากกว่าการจ้างแรงงาน
ต่างด้าวแบบผิดกฎหมายมาก
•	 แรงงานต่างด้าวหรือนายจ้างถูกเรียกเก็บสินบนโดย
ผู้มีอิทธิพลหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
•	 แรงงานต่างด้าวที่รัฐไม่สามารถดูแลได้มีจำ�นวน
มากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคงและปัญหาการ
ควบคุมโรคติดต่อ
เอกสารอ้างอิง
•	 กรมการจัดหางาน, ขั้นตอนการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว, http://www.doe.go.th/
download/foreign.html
•	 ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ และฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์, การจัดการแรงงานอพยพต่างชาติ
ในระยะยาว, โครงการ A Policy Study on the Management of Undocumented
Migrant Workers in Thailand, สำ�นักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ
สังคมแห่งชาติ, 2539.
•	 สำ�นักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, สถิติเผยแพร่
แรงงานต่างด้าว, http://social.nesdb.go.th/social/Default.aspx?tabid=131
205
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน
ผลกระทบต‹อ
ประชาชน
• นายจางที่จางแรงงานตางดาว
แบบถูกกฎหมายตองเสียคาใชจาย
และเสียเวลามากกวาการจาง
แรงงานตางดาวแบบผิดกฎหมาย
มาก ทำใหเกิดตนทุนสูง
• แรงงานตางดาวหรือนายจาง
ถูกเรียกเก็บสินบนโดยผูมี
อิทธิพลหรือเจาหนาที่ของรัฐ
• ประเทศไทยมีแรงงานตางดาว
ที่รัฐไมสามารถดูแลไดมากขึ้น
ซึ�งอาจสงผลตอความมั�นคงและ
ปญหาการควบคุมโรคติดตอ
แรงงานต‹างดŒาว:
ทำผิดจ‹ายถูก
ทำถูกจ‹ายแพง
32
เดือนเมษายน 2555 มีแรงงานต‹างดŒาวที่ไดŒรับ
ใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยทั้งหมด
ประมาณ 1.8 ลŒานคน ในจำนวนนี้มีนŒอยกว‹าคร�่ง
ที่ผ‹านการเขŒาเมืองโดยถูกกฎหมาย ซึ่งสาเหตุหลัก
คือขั้นตอนตามกฎหมายที่ยุ‹งยากและมีค‹าใชŒจ‹ายสูง
โดยหากดำเนินการอย‹างถูกกฎหมาย นายจŒาง
ตŒองเสียค‹าใชŒจ‹ายมากกว‹าการจŒางแบบผิดกฎหมาย
ถึงประมาณ 7 เท‹า (ข�้นอยู‹กับสัญชาติและระยะเวลา
รับประกันการจŒางงาน) และอาจตŒองใชŒเวลา
มากกว‹า 90 วัน ขณะที่การนำเขŒาแรงงาน
แบบผิดกฎหมายใชŒเวลาเพ�ยง 7-14 วันเท‹านั้น
นอกจากนี้ ขั้นตอนที่ยุ‹งยากเหล‹านี้ยังเอื้อ
ใหŒเจŒาหนŒาที่บางส‹วนเร�ยกรับผลประโยชน
เพ�่อแลกกับการอำนวยความสะดวก
ในแต‹ละขั้นตอน
1
ค‹าดำเนินการ
ในแต‹ละขั้นตอน
(ถูกกฎหมาย) ต‹อคน
01
นายจางแจงความตองการจาง
แรงงานตางดาว ประมาณ
1,500-5,000 บาท
02
กรมการจัดหางานออกหนังสือ
ยืนยันการมีโควตา ประมาณ
1,000 บาท
03
นายจางยื่นคำรองขอนำ
แรงงานตางดาวเขามาทำงาน
ประมาณ 3,000-9,000 บาท
04
นายจางยื่นขอใบอนุญาต
ทำงานแทนแรงงานตางดาว
ประมาณ 3,000-4,000 บาท
05
การนำแรงงานตางดาวเขา
ประเทศและการออกใบอนุญาต
ทำงาน ประมาณ 5,000 บาท
และคาใชจาย ‘อื่นๆ’
ประมาณ 4,000-5,000 บาท
17,500-29,000บาท
ใชŒเวลา
90-180วัน
ถูกกฎหมาย
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11
3,000-4,000บาท
ใชŒเวลา
7-14วัน
ผิดกฎหมาย
207206
33
‘องค์การค้าคุรุสภา’
งาบจัดซื้อ
อุปกรณ์การเรียน
ปูมหลัง
‘องค์การค้าของ สกสค.’ หรือ องค์การค้าของคุรุสภาในอดีต เป็นหน่วยงานในสังกัดสำ�นักงาน
คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ตาม
พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 มีภารกิจหลักคือการหาประโยชน์
ให้แก่ สกสค. และการผลิต จำ�หน่าย และพัฒนาหนังสือ สื่อการเรียนการสอน ตามหลักสูตรของ
กระทรวงศึกษาธิการ
ปัจจุบัน องค์การค้าของ สกสค. มีร้านศึกษาภัณฑ์พาณิชย์ 9 สาขา มีร้านค้าตัวแทนกระจาย
อยู่ทั่วประเทศ มีโรงพิมพ์ 1 แห่ง และโรงงานผลิตอุปกรณ์การศึกษาอีก 2 แห่ง ส่วน สกสค. มี
สถานะเป็นนิติบุคคล มีหน้าที่หลักคือการดูแลสวัสดิการของครูและบุคลากรทางการศึกษา
ในปี 2554 เกิดเหตุการณ์น้ำ�ท่วมภาคใต้ บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำ�กัด ผู้ดำ�เนิน
กิจการสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ได้ติดต่อซื้ออุปกรณ์การเรียนการสอนมูลค่าประมาณ
3.6 ล้านบาทกับองค์การค้าของ สกสค. เพื่อบริจาคให้กับโรงเรียน 158 แห่งในจังหวัดกระบี่
นครศรีธรรมราช และชุมพร อย่างไรก็ตาม การจัดซื้อครั้งนี้กลับเกิดการทุจริตโดยผู้อำ�นวยการ
องค์การค้าฯเอง
เมนูคอร์รัปชัน208
เส้นทางผลประโยชน์
การจัดซื้อครั้งนี้เริ่มต้นจาก สหภพ โสตทิพย์ บรรณาธิการข่าวสังคม-อาชญากรรม สถานี
วิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 สั่งซื้ออุปกรณ์การเรียนการสอนกับองค์การค้าฯ โดยทำ�หนังสือ
ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2554 ถึง สันติภาพ อินทรพัฒน์ ผู้อำ�นวยการองค์การค้าฯ และอดีตสมาชิก
วุฒิสภา จังหวัดน่าน หลังจากได้รับหนังสือ สันติภาพได้อนุมัติการขาย พร้อมทั้งให้ส่วนลดตาม
หลักเกณฑ์ปกติของลูกค้าทั่วไป และให้องค์การค้าฯ ดำ�เนินการจัดส่งอุปกรณ์การเรียนการสอน
ให้เป็นรายโรงเรียน
อย่างไรก็ตาม วันที่ 26 พฤษภาคม 2554 สันติภาพได้แก้ไขรายละเอียดสำ�คัญบางประการใน
เอกสารการอนุมัติ โดยเปลี่ยนวิธีการซื้อขายจากเดิมที่ขายให้กับช่อง 3 โดยตรงแล้วให้ส่วนลดตาม
หลักเกณฑ์ปกติของลูกค้าทั่วไป เป็นการขายผ่านผู้ประสานการขายและให้ส่วนลดตามหลักเกณฑ์
ของผู้ประสานการขาย แต่ยังคงให้องค์การค้าฯ เป็นผู้จัดส่งอุปกรณ์การเรียนการสอน ซึ่งขัดกับ
ระเบียบขององค์การค้าฯ ที่กำ�หนดให้ผู้ประสานการขายต้องรับหน้าที่จัดส่งสินค้าไปยังลูกค้า
ต่อมา น้องสาวของสันติภาพ ได้ขอให้องค์การค้าฯ แต่งตั้งตนเป็นผู้ประสานการขายหรือ
ตัวแทนขายสินค้าในเขตกรุงเทพฯและพื้นที่ที่น้องสาวของสันติภาพคุ้นเคยแต่การขอเป็นผู้ประสาน
การขายมีความผิดปกติในเรื่องวันเวลา กล่าวคือ องค์การค้าฯ ลงทะเบียนรับหนังสือขอเป็น
ผู้ประสานการขายในวันที่ 2 มิถุนายน 2554 แต่ในหนังสือกลับลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2554
ยิ่งไปกว่านั้น ในวันที่ 15 มิถุนายน 2554 สันติภาพได้แต่งตั้งน้องสาวเป็นผู้ประสานการขาย
แต่สัญญาดังกล่าวมีผลตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2554 ถึงวันที่ 24 พฤษภาคม 2555 ซึ่งเท่ากับ
มีผลย้อนไปถึงการสั่งซื้อของช่อง 3
ทั้งนี้ แม้สัญญากำ�หนดให้น้องสาวของสันติภาพจัดหาพาหนะและรับภาระค่าใช้จ่ายในการ
จัดส่งสินค้า แต่สุดท้าย องค์การค้าฯ ก็เป็นผู้จัดส่งสินค้าให้กับโรงเรียน และน้องสาวของสันติภาพ
ให้องค์การค้าฯ หักค่าขนส่งจากค่าประสานการขาย
ต่อมา สำ�นักบริหารการเงินและบัญชีขององค์การค้าฯ ปฏิเสธการจ่ายค่าประสานดังกล่าว
เพราะน้องสาวของสันติภาพไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญา และองค์การค้าฯ ไม่มีหลักเกณฑ์เรื่องการหัก
ค่าขนส่งสินค้าจากค่าประสานการขาย แต่สันติภาพกลับอนุมัติการจ่ายเงินแก่น้องสาวเป็นกรณี
พิเศษ โดยอ้างว่าการขายผ่านผู้ประสานงานเป็นกลยุทธ์การขายที่ลดข้อจำ�กัดในการแข่งขันกับ
เอกชน และน้องสาวของสันติภาพก็ยินยอมให้หักค่าขนส่งจากค่าประสานการขาย องค์การค้าฯ
จึงมิได้เสียประโยชน์แต่อย่างใด นอกจากนี้ สันติภาพยังให้ใช้วิธีนี้เป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 209
เมนูคอร์รัปชัน
ผลกระทบต่อประชาชน
•	 การแก้ไขเอกสาร การทำ�สัญญาย้อนหลัง และการปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์บางประการ ทำ�ให้
องค์การค้าฯ ต้องจ่ายค่าประสานการขายเป็นเงิน 1.2 ล้านบาท หรือเกือบร้อยละ 50 ของ
มูลค่าการซื้อขาย ทั้งที่องค์การค้าฯ ไม่จำ�เป็นต้องจ้างผู้ประสานงาน อีกทั้งองค์การค้าฯ ต้อง
เป็นผู้จัดส่งอุปกรณ์การเรียนการสอนเนื่องจากผู้ประสานการขายไม่ได้จัดส่งสินค้าตามสัญญา
•	 การทุจริตในองค์การค้าฯ ส่งผลเสียต่อสวัสดิการของครูทั่วประเทศ ซึ่งในปี 2553 มีจำ�นวน
กว่า 750,000 คน
สถานะของคดี
•	 ที่ประชุมคณะกรรมการ สกสค. มีคำ�สั่งย้ายสันติภาพไปช่วยราชการที่สำ�นักงานคณะกรรมการ
สกสค. พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง
•	 สำ�นักคดีอาญาพิเศษ 2 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สรุปผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง
ว่า สันติภาพกระทำ�การทุจริตเพื่อเอื้อประโยชน์แก่น้องสาว อันเข้าข่ายความผิดต่อตำ�แหน่ง
หน้าที่ จากนั้นดีเอสไอได้ส่งผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้กับคณะกรรมการป้องกันและ
ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อดำ�เนินการในขั้นต่อไป
210
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์
เอกสารอ้างอิง
•	 กระบวนการทำ�สัญญาจัดซื้อจัดจ้างของ ‘องค์การค้าคุรุสภา’ ภาคพิเศษ (2) เปิดเอกสาร
ช่อง 3 สั่งซื้อตำ�ราเรียน, เว็บไซต์ Thaipublica, 21 ธันวาคม 2554.
•	 เปิดสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง ‘องค์การค้าคุรุสภา’ ภาคพิเศษ, เว็บไซต์ Thaipublica, 12
ธันวาคม 2554.
•	 สำ�นักคดีอาญาพิเศษ 2 กรมสอบสวนคดีพิเศษ, รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณี
การร้องเรียนเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างขององค์การค้าของสำ�นักงานคณะกรรมการส่งเสริม
สวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.).
•	 สำ�นักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ, สถิติการศึกษาของประเทศไทย
ปีการศึกษา 2553, 2555.
211
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน
หลังจากเหตุการณน้ำท‹วมภาคใตŒในป‚ 2554
ช‹อง 3 ไดŒติดต‹อซื้ออุปกรณการเร�ยนการสอน
จากองคการคŒาของสำนักงานคณะกรรมการ
ส‹งเสร�มสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากร
ทางการศึกษา (สกสค.) หร�อที่รูŒจักกันในชื่อเดิมว‹า
องคการคŒาของคุรุสภา เพ�่อบร�จาคใหŒกับโรงเร�ยน
ตามปกติ องคการคŒาฯ จะเปšนผูŒขายโดยตรง
และจะเปšนผูŒจัดส‹งอุปกรณการเร�ยนการสอน
ใหŒกับโรงเร�ยน แต‹ในกรณีนี้ ผอ. องคการคŒาฯ
กลับเปลี่ยนเปšนการขายผ‹านผูŒประสานการขาย
โดยใหŒส‹วนลดกับผูŒประสานการขาย แต‹ยังคงใหŒ
องคการคŒาฯ เปšนผูŒจัดส‹งอุปกรณการเร�ยน
การสอนเช‹นเดิม ซึ่งขัดกับระเบียบของ
องคการคŒาฯ
ในเวลาตอมา นองสาวของ ผอ.
ขอใหองคการคาฯ แตงตั้งตน
เปนผูประสานการขาย โดยลงนาม
ในสัญญาวันที่ 15 มิถุนายน 2554
แตสัญญาดังกลาวกลับมีผล
ตั้งแตวันที่ 25 พฤษภาคม 2554
ซึ�งเปนวันที่ชอง 3 ทำหนังสือ
สั�งซื้อถึงองคการคาฯ
การซื้ออุปกรณการเรียนการสอน
เพื่อบริจาคใหกับเด็กนักเรียน
ที่ประสบอุทกภัย จึงถูกใชเปน
ชองทางในการเอื้อประโยชนใหกับ
นองสาวของ ผอ.
บันได 2 ขั้น
01
ผอ.องคการคาฯ เปลี่ยนวิธีการ
ขายอุปกรณการเรียนการสอน
ใหกับชอง 3 จากเดิมที่เปน
การขายโดยตรง เปนการขาย
ผานผูประสานการขาย จากนั้น
จึงแตงตั้งนองสาวของ ผอ.
เปนผูประสานการขาย
และทำสัญญายอนหลัง
02
ผอ.องคการคาฯ อนุมัติ
การจายคาประสานการขาย
ใหกับนองสาว ทั้งที่มิไดจัดสง
อุปกรณการเรียนการสอน
ตามที่กำหนดในสัญญา
สถานะ
• ที่ประชุมคณะกรรมการ สกสค.
มีคำสั�งยาย ผอ. องการคาฯ
ไปชวยราชการที่สำนักงาน
คณะกรรมการ สกสค. พรอมทั้ง
แตงตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ
ขอเท็จจริง
• กรมสอบสวนคดีพิเศษ
สรุปผลการตรวจสอบวา ผอ.
องคการคาฯ กระทำการทุจริต
เพื่อเอื้อประโยชนแกนองสาว
และสงผลการตรวจสอบใหกับ
ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการ
ในขั้นตอนตอไป
ความเสียหาย
การแกไขเอกสาร การทำสัญญา
ยอนหลัง และการปรับเปลี่ยน
กฎเกณฑบางประการ ทำให
องคการคาฯ ตองจายคาประสาน
การขายเปนเงิน 1.2 ลานบาท
หรือเกือบ 50% ของมูลคา
การซื้อขาย ทั้งที่องคการคาฯ
ไมจำเปนตองจางผูประสานงาน
อีกทั้งองคการคาฯ ตองเปน
ผูจัดสงสินคา เน��องจากนองสาว
ผอ. มิไดจัดสงสินคาตามสัญญา
การทุจริตในองคการคาฯ ทำให
องคการคาฯ เสียผลประโยชน
ซึ�งสงผลเสียตอสวัสดิการของครู
ทั�วประเทศ ซึ�งในป 2553
มีจำนวนกวา 7.5 แสนคน
ทุจร�ตองคการคŒาของ สกสค.:
ทำสัญญายŒอนหลัง
เอื้อประโยชนพ�่นŒอง
34
213212
35
เรื่องลับๆ ของ
ท่านผู้พิพากษา
ปูมหลัง
เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2553 สบโชค สุขารมณ์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธานการประชุม
คณะกรรมการตุลาการ (ก.ต.) เพื่อพิจารณาลงมติกรณีมีผู้ร้องเรียนว่า สมศักดิ์ จันทกุล ผู้พิพากษา
ศาลอุทธรณ์ มีพฤติการณ์ฉันชู้สาวกับหญิงที่มีสามีแล้วและเรียกรับผลประโยชน์ โดยที่ประชุม ก.ต.
เห็นว่า สมศักดิ์กระทำ�ผิดวินัยร้ายแรงตามที่มีผู้ร้องเรียนจริง จึงมีมติให้ไล่ออกจากราชการ โดย
ให้สำ�นักงานศาลยุติธรรมทำ�หนังสือเสนอโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำ�แหน่ง และเรียกคืนเครื่องราช
อิสริยาภรณ์ทุกชั้นยศ พร้อมกับพิจารณาเรื่องการดำ�เนินคดีอาญา
เมนูคอร์รัปชัน214
รายงานการสอบสวน
คณะกรรมการสอบสวนเริ่มต้นจากการวินิจฉัยว่า สมศักดิ์ จันทกุล มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาว
กับหญิงที่มีสามีแล้วจริงหรือไม่
นาง ก. ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับนางสาว น. คือผู้กล่าวหาว่า สมศักดิ์มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาว
กับนางสาว น. โดยนาง ก. ให้การว่า ตนทำ�หน้าที่เป็นเลขานุการของนางสาว น. มีหน้าที่ช่วย
จัดทำ�เอกสาร ติดต่องาน และช่วยเลี้ยงบุตรของนางสาว น. ต่อมา เมื่อนาง ก. รับรู้ว่า สมศักดิ์
และนางสาว น. เข้าไปในโรงแรมด้วยกัน จึงนำ�ทะเบียนสมรสของนางสาว น. กับสามี รวมทั้ง
สูติบัตรของบุตรนางสาว น. กับสามี ให้สมศักดิ์ดู เนื่องจากสงสารสามีของนางสาว น. และบุตร
ก่อนที่ตนจะถูกนางสาว น. ไล่ออกจากงานในสำ�นักงานกฎหมาย ซึ่งมีที่ทำ�การอยู่ภายในอู่รถของ
นางสาว น. และสามี
กรณีดังกล่าวคณะกรรมการสอบสวนวินิจฉัยว่า สมศักดิ์รู้ว่านางสาว น. มีสามีแล้ว ประกอบ
กับแผ่นบันทึกภาพ(ดีวีดี)ของนักสืบที่รับจ้างติดตามพฤติกรรมของนางสาวน.ก็ปรากฏภาพรถของ
นางสาว น. โดยมีสมศักดิ์เป็นผู้ขับพาเข้าไปในโรงแรมม่านรูด หลังจากนั้นประมาณ 1 ชั่วโมง รถ
คันดังกล่าวจึงออกจากโรงแรม และเมื่อพิจารณาร่วมกับพฤติกรรมที่แสดงถึงความสนิทสนมและ
ความไว้วางใจระหว่างสมศักดิ์กับนางสาวน.คณะกรรมการสอบสวนจึงเห็นว่าสมศักดิ์กับนางสาวน.
มีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งเกินกว่าในฐานะลูกค้ากับเจ้าของอู่รถ (ตามที่สมศักดิ์ให้ถ้อยคำ�)
กรณีสืบเนื่องจากเรื่องชู้สาว คือพฤติการณ์เรียกรับผลประโยชน์จากคู่ความในคดี เพื่อแลก
กับการให้ความช่วยเหลือในคดีความ โดยสมศักดิ์ถูกกล่าวหาว่าให้นางสาว น. เป็นผู้ติดต่อในการ
เรียกและรับเงินสินบน
กรณีดังกล่าวเริ่มต้นจากการที่นางสาว จ. ทนายความ ซึ่งมีสำ�นักงานกฎหมายที่พัทยา รับ
ดำ�เนินการขอประกันตัว ‘คาร์ล’ ชาวต่างชาติรายหนึ่ง ซึ่งถูกดำ�เนินคดี 3 คดี โดยนางสาว จ. ยื่น
ขอประกันตัว 3-4 ครั้ง แต่ไม่ได้รับอนุญาต คาร์ลจึงต้องการหาทนายความคนใหม่
นางสาว น. ให้ถ้อยคำ�ว่า ได้รับการติดต่อจากนางสาว จ. ให้ช่วยหาทนายความประกันตัวคาร์ล
โดยนางสาวน.ตอบตกลงจากนั้นจึงมีการทำ�บันทึกข้อตกลงใจความว่าคาร์ลได้โอนเงินจำ�นวน3.5
ล้านบาท ให้นางสาว จ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการยื่นขอประกันตัวในคดีอาญา 3 คดี ซึ่งนางสาว จ.
นำ�เงินจำ�นวนดังกล่าวฝากไว้ในบัญชีออมทรัพย์ของธนาคารแห่งหนึ่งและระบุชื่อหลานของนางสาวน.
เป็นเจ้าของบัญชีร่วม โดยหากสามารถดำ�เนินการให้ศาลมีคำ�สั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวได้ทั้ง
3 คดี นางสาว จ. จะร่วมลงลายมือชื่อถอนเงินทั้งหมดให้แก่หลานของนางสาว น. ทันที
ต่อมา หลังจากคาร์ลได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ก็มีการถอนเงินจำ�นวน 3.4 ล้านบาท
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 215
เมนูคอร์รัปชัน
(ก่อนหน้านั้นมีการถอนเงินไปแล้ว 100,000 บาท) จากบัญชี
ของนางสาว จ. และหลานของนางสาว น. ก่อนที่เงินจำ�นวนนี้จะ
ถูกฝากเข้าบัญชีของนางสาว น. ในเวลาต่อมา
จากการสอบสวนของคณะกรรมการ พบว่า ในสำ�นักงาน
กฎหมายของนางสาว น. มีภาพถ่ายของสมศักดิ์ในเครื่องแบบ
ข้าราชการตุลาการประดับสายสะพายติดไว้อย่างเปิดเผย โดย
นางสาว น. รับหน้าที่เป็นผู้ประสานงานด้านคดีให้แก่ลูกความ
ทั้งที่ไม่มีความรู้ทางด้านกฎหมายแต่ทำ�บันทึกข้อตกลงรับประกัน
ตัวคาร์ลซึ่งเป็นจำ�เลยคดีอาญา 3 คดี ในอัตราค่าจ้างสูงถึง
3.5 ล้านบาท (ซึ่งเป็นค่าจ้างที่สูงผิดปกติสำ�หรับการขอประกัน
ตัวจำ�เลยในคดีอนาจารเด็ก ตามความเห็นของคณะกรรมการ
สอบสวน) และมีข้อตกลงว่าหากไม่สามารถประกันตัวได้จะ
คืนเงินให้ โดยก่อนหน้านั้นไม่มีทนายความคนใดดำ�เนินการ
ให้ศาลอนุญาตให้ประกันตัวได้ แสดงว่าต้องมีผู้รู้กฎหมายให้
คำ�ปรึกษาแนะนำ�ทำ�ให้นางสาวน.มั่นใจว่าจะสามารถดำ�เนินการ
ให้ศาลอนุญาตให้ประกันตัวได้ และข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่าคาร์ล
ได้รับการประกันตัว โดยมีสมศักดิ์เป็นผู้อนุญาตให้ปล่อยตัว
ชั่วคราว 2 คดี คณะกรรมการสอบสวนจึงเชื่อว่า สมศักดิ์เป็น
ผู้ให้คำ�ปรึกษาแนะนำ�นางสาว น. ในการดำ�เนินการยื่นคำ�ร้องขอ
ปล่อยตัวชั่วคราว
เมื่อพิจารณาประกอบกับความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับนางสาว
น. จึงเชื่อได้ว่า สมศักดิ์เป็นผู้สนับสนุนนางสาว น. ในการเรียก
รับผลประโยชน์จากคาร์ล เพื่อให้ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว อัน
เกิดจากคำ�สั่งอนุญาตของสมศักดิ์
คณะกรรมการสอบสวนจึงเห็นว่า การกระทำ�ของสมศักดิ์
“เป็นการไม่รักษาความลับของทางราชการมิให้รั่วไหล ไม่ปฏิบัติ
หน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเที่ยงธรรม ไม่เคารพและปฏิบัติ
ตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดอยู่ในกรอบศีลธรรม จริยธรรม
และประเพณีอันดีงามของตุลาการให้เป็นที่เชื่อถือศรัทธาของ
บุคคลทั่วไป ยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตำ�แหน่งหน้าที่ของตนแสวงหา
ผลประโยชน์อันมิชอบ รับประโยชน์จากบุคคลอันเกี่ยวเนื่อง
กับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษา และเป็นการคบหาสมาคม
กับบุคคลอื่นซึ่งมีส่วนได้เสียและผลประโยชน์เกี่ยวกับคดีความ
อันกระทบกระเทือนต่อความเชื่อถือศรัทธาของบุคคลทั่วไป
ในการประสาทความยุติธรรมของผู้พิพากษา ดังนี้ เป็นการ
กระทำ�ผิดวินัยฐานไม่รักษาวินัยโดยเคร่งครัด ไม่ปฏิบัติหน้าที่
ราชการด้วยความระมัดระวังมิให้เสียหายแก่ราชการ ด้วยความ
ซื่อสัตย์สุจริตและเที่ยงธรรม ไม่รักษาชื่อเสียงมิให้ขึ้นชื่อว่าเป็น
ผู้ประพฤติชั่ว และไม่ถือและปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนและ
ประเพณีปฏิบัติของทางราชการและจริยธรรมของข้าราชการ
ตุลาการตามที่คณะกรรมการตุลาการกำ�หนด ก่อให้เกิดความ
เสียหายแก่ศาลยุติธรรมและทางราชการอย่างร้ายแรง”
216
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์
เอกสารอ้างอิง
•	 สำ�นักงานศาลยุติธรรม, รายงานการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนกรณี นาย
สมศักดิ์ จันทกุล ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำ�ผิดวินัยอย่างร้ายแรง,
2553.
217
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน
รายงานการสอบสวนของ
คณะกรรมการสอบสวนระบุวา
หญิงที่เปนชูสาวดังกลาว
ทำขอตกลงรับดำเนินการขอ
ประกันตัวชาวตางชาติรายหนึ�ง
ซึ�งเปนจำเลยคดีอาญา 3 คดี
ในอัตราคาจาง
3.5 ลานบาท ทั้งที่ไมมีความรู
ดานกฎหมาย และกอนหนานั้น
ไมมีทนายความคนใดดำเนินการ
ใหศาลอนุญาตประกันตัวได
ภายหลัง จำเลยไดรับการ
ประกันตัว โดยมีนายสมศักดิ์
เปนผูอนุญาต 2 คดี
นายสมศักดิ์ จันทกุล เปšนหนึ่งใน 17 ผูŒพ�พากษา
ที่พŒนจากตำแหน‹งและถูกเร�ยกคืนเคร�่องราช-
อิสร�ยาภรณในช‹วงป‚ 2551-2555 หลังจาก
ถูกรŒองเร�ยนว‹ามีความสัมพันธฉันชูŒสาวกับหญิง
ที่มีสามีแลŒว อันเปšนการประพฤติไม‹อยู‹ในกรอบ
ของศีลธรรม และเร�ยกรับผลประโยชนจากคู‹ความ
เพ�่อแลกกับการใหŒความช‹วยเหลือในคดีความ
ชูŒสาวและเร�ยกรับผลประโยชน:
เง�่อนตายของ
ท‹านผูŒพ�พากษา
35
2551 2552 2553 2554 2555
0
1
2
3
4
5
6
7
หน�วย: คน
ขŒาราชการตุลาการที่พŒนจากตำแหน‹ง
ป‚ 2551-2555
คณะกรรมการสอบสวนจึงเชื่อวา
นายสมศักดิ์เปนผูสนับสนุน
หญิงคนดังกลาวในการเรียกรับ
ผลประโยชนจากจำเลยคนดังกลาว
คณะกรรมการสอบสวนเห็นวา
นายสมศักดิ์ทำความผิด
ตอประมวลจริยธรรมขาราชการ
ตุลาการ และผิดวินัยตาม
พ.ร.บ.ระเบียบขาราชการฝาย
ตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2534
จึงเห็นสมควรใหไลออก
219218
เช็คบิล
ถึงเวลาที่ประชาชนต้องลุกขึ้นมาแสดงพลัง ประกาศสงครามต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันทุกรูปแบบ
ด้วยการเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการตรวจสอบ
หน้าที่พลเมืองดี:
ติดตาม-ตรวจสอบ-
ร้องเรียน-แจ้งเบาะแส
กรณีศึกษาทั้ง 35 กรณี เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงกระบวนการการทุจริตและการ
หาผลประโยชน์ ซึ่งเกิดขึ้นในองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐส่วนกลาง ท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ
ภาคเอกชน และยังเกิดขึ้นในโครงการต่างๆ ครอบคลุมเกือบทุกมิติของสังคม ทั้งด้าน
เศรษฐกิจ สวัสดิการสังคม การศึกษา และอื่นๆ
การลดการทุจริตและการหาผลประโยชน์ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน
รวมทั้งภาคประชาชนซึ่งเป็นผู้เสียผลประโยชน์ รัฐธรรมนูญปี 2540 ได้สร้างกลไก
ที่ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการดำ�เนินงานของภาครัฐได้โดยตรง
เช่น สิทธิการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของภาครัฐ และสิทธิการเข้าชื่อเพื่อถอดถอนผู้ดำ�รง
ตำ�แหน่งทางการเมือง กระนั้นก็ตาม ประชาชนยังใช้กลไกการตรวจสอบเหล่านี้ได้
ค่อนข้างจำ�กัด เนื่องจากกฎเกณฑ์การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของภาครัฐยังไม่ถูกนำ�มา
ปฏิบัติอย่างจริงจัง และความเกรงกลัวต่ออิทธิพลของผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมือง
ข้าราชการ และภาคธุรกิจที่กระทำ�การทุจริต
อย่างไรก็ดีประชาชนสามารถใช้กลไกอื่นในการเข้าร่วมตรวจสอบและลดการทุจริต
และการหาประโยชน์ในสังคม ได้แก่
221
เมนูคอร์รัปชัน
องค์กรภาครัฐที่มีหน้าที่ตรวจสอบการทุจริต โดยประชาชนสามารถแจ้งเบาะแส
และร้องเรียนการกระทำ�ทุจริตต่อองค์กรเหล่านี้ให้ใช้อำ�นาจทางกฎหมาย สืบสวนและ
ไต่สวนการกระทำ�ผิด
องค์กรที่สนับสนุนการปฏิรูปกฎหมายประชาชน โดยประชาชนสามารถขอคำ�
ปรึกษาและการช่วยเหลือด้านความรู้ในการเสนอและแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับการทุจริต
องค์กรภาคประชาสังคมที่ต่อต้านการทุจริต โดยประชาชนสามารถเข้าร่วมกิจกรรม
กับองค์กรเหล่านี้ เพื่อกระตุ้นให้สังคมตระหนักถึงผลเสียของการทุจริตและร่วมกัน
ต่อต้านการทุจริต
สื่อมวลชน โดยประชาชนสามารถติดตามข่าวเชิงลึกเกี่ยวกับการทุจริต แจ้งเบาะแส
และหลักฐานให้สื่อมวลชนนำ�ไปสืบค้นและตรวจสอบต่อ
1_ องค์กรภาครัฐที่มีหน้าที่
ตรวจสอบการทุจริต
1.1 คณะกรรมการป้องกัน
และปราบปรามการทุจริต
แห่งชาติ (ป.ป.ช.)
อำ�นาจหน้าที่
คณะกรรมการป้องกันและปราบ
ปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีอำ�นาจ
หน้าที่ตรวจสอบ ไต่สวนและวินิจฉัยการก
ระทำ�ผิดหรือการกระทำ�ที่น่าสงสัยว่า
ผิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐตำ�แหน่งตั้งแต่ผู้
บริหารระดับสูง ข้าราชการตำ�แหน่งตั้งแต่
ผู้อำ�นวยการกองหรือเทียบเท่าขึ้นไป และ
ผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมือง โดยการกระ
ทำ�ผิดหรือการกระทำ�ที่น่าสงสัยว่าผิด เป็น
ได้ทั้งการกระทำ�ความผิดฐานทุจริตต่อ
หน้าที่ การกระทำ�ความผิดต่อตำ�แหน่ง
หน้าที่ราชการ การกระทำ�ความผิด
ต่อตำ�แหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม และ
การร่ำ�รวยผิดปกติ
ในการไต่สวน ป.ป.ช. มีอำ�นาจเรียก
ให้บุคคลใดๆ มาชี้แจงหรือส่งเอกสาร
และหลักฐานมาตรวจสอบ รวมทั้งมี
อำ�นาจให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน
ดำ�เนินการที่เป็นประโยชน์ นอกจากนี้
ป.ป.ช. ยังสามารถขอให้ศาลออกหมาย
ค้นเพื่อเข้าตรวจสอบสถานที่และยาน
พาหนะ
เมื่อสรุปสำ�นวนคดี ในกรณีการ
กล่าวหาให้ดำ�เนินคดีอาญา ป.ป.ช. จะส่ง
สำ�นวนให้อัยการสูงสุด เพื่อสั่งฟ้องคดี
ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำ�รง
ตำ�แหน่งทางการเมืองหรือจะสั่งฟ้องศาล
อาญาฯ เอง ส่วนในกรณีการร้องขอให้
ถอดถอนตำ�แหน่ง ป.ป.ช. จะนำ�ความเห็น
เสนอต่อวุฒิสภา เพื่อพิจารณาถอดถอน
	
ช่องทางการมีส่วนร่วมของ
ประชาชน
ประชาชนสามารถร้องเรียนถึง
ป.ป.ช. ผ่านช่องทางดังนี้
1.	 ทำ�และส่งหนังสือร้องเรียนต่อ
สำ�นักงาน ป.ป.ช. โดยจ่าหน้าซองถึง
‘เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.’
หรือ ‘ตู้ ปณ. 100 เขตดุสิต กทม.
222
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์
10300’
2.	 โทรแจ้งสายด่วน 1205
3.	 เข้าร้องทุกข์ กล่าวโทษ ต่อพนักงาน
สอบสวน ณ สถานีตำ�รวจ โดย
พนักงานสอบสวนจะส่งเรื่องไปยัง
สำ�นักงาน ป.ป.ช. เพื่อดำ�เนินการ
ต่อไป
4.	 กรอกแบบร้องเรียนในเว็บไซต์
http://www.nacc.go.th/nacc_
accuse.php
ในการร้องเรียน ผู้ร้องเรียนจะต้อง
ระบุรายละเอียดเบื้องต้นดังนี้
1.	 ระบุชื่อหรือตำ�แหน่ง สังกัด ของ
ผู้ถูกกล่าวหา
2.	 ระบุข้อกล่าวหาการกระทำ�ความ
ผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ การกระทำ�
ความผิดต่อตำ�แหน่งหน้าที่ หรือ
การร่ำ�รวยผิดปกติ
3.	 ระบุวัน-เวลาพฤติกรรมและขั้นตอน
การกระทำ�ความผิดรวมทั้งหลักฐาน
และพยาน (เท่าที่มี) และหน่วยงาน
ที่ผู้ร้องเรียนได้ร้องเรียนไปแล้ว
ก่อนหน้า (ถ้ามี)
4.	 ระบุชื่อ-สกุล ที่อยู่ หมายเลข
โทรศัพท์ และอีเมลของผู้ร้องเรียน
ที่ ป.ป.ช. สามารถติดต่อกลับเพื่อ
ยืนยันการร้องเรียนและขอทราบ
ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมโดยหากผู้ร้องเรียน
ต้องการให้สำ�นักงาน ป.ป.ช. ปกปิด
ชื่อ-สกุล และที่อยู่ ผู้ร้องเรียนควร
ต้องระบุให้ชัดเจนด้วยซึ่งข้อมูลของ
ผู้ร้องเรียนจะถูกเก็บเป็นความลับ
อย่างที่สุด
ในกรณีที่ผู้ร้องเรียนไม่ระบุชื่อ-สกุล
จริงสำ�นักงานป.ป.ช.จะถือว่าการร้องเรียน
ดังกล่าวเป็น ‘บัตรสนเท่ห์’ และหาก
บัตรสนเท่ห์ระบุพยานหลักฐานไม่ชัดเจน
เพียงพอ ป.ป.ช. อาจไม่รับร้องเรียนหรือรับ
ร้องเรียน แต่สำ�นักงาน ป.ป.ช. จะติดต่อ
กลับผ่านทางไปรษณีย์ตามที่อยู่ที่แจ้งมา
เท่านั้น
ในกรณีที่เป็นการร้องเรียนผู้ดำ�รง
ตำ�แหน่งทางการเมือง ผู้ร้องเรียนต้องระบุ
ชื่อ-สกุล และลงลายมือชื่อผู้ร้องเรียน และ
ผู้ร้องเรียนต้องรับความเสียหายที่เกิดขึ้น
จากการร้องเรียนด้วย
ข้อมูลสำ�หรับการติดต่อ
ที่อยู่: เลขที่ 361 ถนนนนทบุรี ตำ�บล
ท่าทราย อำ�เภอเมืองนนทบุรี จังหวัด
นนทบุรี 11000 หรือ ตู้ ปณ. 100 เขต
ดุสิต กทม. 10300
โทรศัพท์: 0 2528 4800-4
เว็บไซต์: http://www.nacc.go.th
1.2 คณะกรรมการป้องกัน
และปราบปรามการทุจริต
ในภาครัฐ (ป.ป.ท.)
อำ�นาจหน้าที่
คณะกรรมการป้องกันและปราบปราม
การทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) มีหน้าที่
ไต่สวนข้อเท็จจริงและชี้มูลการทุจริตของ
เจ้าหน้าที่ของรัฐตำ�แหน่งต่ำ�กว่าผู้บริหาร
ระดับสูง และข้าราชการตำ�แหน่งต่ำ�กว่า
ผู้อำ�นวยการกอง ซึ่งไม่อยู่ในอำ�นาจของ
ป.ป.ช.
ในการไต่สวน ป.ป.ท. มีอำ�นาจเรียก
บุคคลมาชี้แจงหรือส่งเอกสารหลักฐาน
เพื่อตรวจสอบ และสามารถขอให้ศาล
ออกหมายค้น เพื่อเข้าไปตรวจสอบ
สถานที่และยานพาหนะ เมื่อชี้มูลว่า
เจ้าหน้าที่รัฐกระทำ�การทุจริต ป.ป.ท. จะ
ส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาโทษ
ทางวินัยในกรณีที่มีมูลความผิดทางวินัย
หรือส่งเรื่องให้พนักงานอัยการฟ้องคดีใน
กรณีที่มีมูลความผิดทางอาญา
ช่องทางการมีส่วนร่วมของ
ประชาชน
ประชาชนสามารถร้องเรียนถึง
ป.ป.ท. ผ่านช่องทางดังนี้
1.	 ทำ�หนังสือถึงเลขาธิการคณะ
กรรมการ ป.ป.ท.
2.	 โทรแจ้งสายด่วน 1206 (ศูนย์
ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต
คอร์รัปชัน)
3.	 กรอกแบบฟอร์มร้องเรียนใน
เว็บไซต์ http://www.pacc.go.th/
pacc_website/index.php/tellme
4.	 แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงาน
สอบสวน ณ สถานีตำ�รวจ โดย
พนักงานสอบสวนจะส่งเรื่องไปยัง
สำ�นักงาน ป.ป.ท.
ในการร้องเรียน ผู้ร้องเรียนจะต้อง
ระบุรายละเอียดเบื้องต้นดังนี้
223
เมนูคอร์รัปชัน
1.	 ระบุชื่อหรือตำ�แหน่ง สังกัด ของ
ผู้ถูกกล่าวหา
2.	 ระบุข้อกล่าวหาการกระทำ�ความผิด
ฐานทุจริตต่อหน้าที่ การกระทำ�
ความผิดต่อตำ�แหน่งหน้าที่
ราชการ หรือการกระทำ�ความผิด
ต่อตำ�แหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม
3.	 ระบุวัน-เวลาพฤติกรรมและขั้นตอน
การกระทำ�ความผิดรวมทั้งหลักฐาน
และพยาน (เท่าที่มี) และหน่วยงาน
ที่ผู้ร้องเรียนได้ร้องเรียนไปแล้ว
ก่อนหน้า (ถ้ามี)
4.	 ระบุชื่อ-สกุล ที่อยู่ หมายเลข
โทรศัพท์ และอีเมลของผู้ร้องเรียน
ที่ ป.ป.ท. สามารถติดต่อกลับเพื่อ
ยืนยันการร้องเรียนและขอทราบ
ข้อเท็จจริงเพิ่มเติม โดยหากผู้ร้อง
เรียนต้องการให้สำ�นักงาน ป.ป.ท.
ปกปิดชื่อ-สกุล และที่อยู่ ผู้ร้องเรียน
ควรต้องระบุให้ชัดเจนด้วยซึ่งข้อมูล
ของผู้ร้องเรียนจะถูกเก็บเป็นความลับ
อย่างที่สุด
ในกรณีที่ผู้ร้องเรียนไม่ระบุชื่อ-สกุลจริง
สำ�นักงาน ป.ป.ท. จะถือว่าการร้องเรียน
ดังกล่าวเป็น ‘บัตรสนเท่ห์’ และสำ�นักงาน
ป.ป.ท. จะติดต่อกลับผู้ร้องเรียนผ่านทาง
ไปรษณีย์ตามที่อยู่ที่แจ้งมา
ข้อมูลสำ�หรับการติดต่อ
ที่อยู่: 99/31 หมู่ 4 อาคารซอฟต์แวร์
พาร์ค ถนนแจ้งวัฒนะ ตําบลคลองเกลือ
อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120
โทรศัพท์: 0 2502 8285-6
เว็บไซต์: http://www.pacc.go.th
1.3 สำ�นักงานการตรวจ
เงินแผ่นดิน (สตง.)
อำ�นาจหน้าที่
สำ�นักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
(สตง.) มีหน้าที่ตรวจสอบการเงินแผ่นดิน
โดยตรวจสอบความถูกต้องในการรับจ่าย
เงินและทรัพย์สินของหน่วยงานภาครัฐ
ตรวจสอบความถูกต้องในการจัดเก็บภาษี
ค่าธรรมเนียม และรายได้อื่นของหน่วยงาน
ภาครัฐ ตรวจสอบความถูกต้องของรายงาน
การเงินประจำ�ปีและงบแสดงฐานะการเงิน
แผ่นดินและที่สำ�คัญตรวจสอบความถูกต้อง
ของการจัดซื้อจัดจ้าง โดยเฉพาะกรณีที่มี
เหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการทุจริต
ช่องทางการมีส่วนร่วมของ
ประชาชน
สตง. เปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมกัน
ตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ โดย
สตง. ได้จัดทำ�ฐานข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง
ของหน่วยงานภาครัฐที่เว็บไซต์ http://
procurement-oag.in.th/ เพื่อเผยแพร่
ให้ประชาชนทราบว่าหน่วยงานภาครัฐ
ได้ทำ�สัญญาจัดซื้อจัดจ้างกับผู้ขายและผู้
รับจ้างรายใด และการจัดซื้อจัดจ้างมีมูลค่า
เท่าใด โดยประชาชนสามารถนำ�ข้อมูล
เหล่านี้มาตรวจสอบความถูกต้องของ
การจัดซื้อจัดจ้างและการดำ�เนินงานของ
หน่วยงานภาครัฐ
ประชาชนสามารถร้องเรียนกรณี
การทุจริตหรือน่าสงสัยว่าจะทุจริตได้
ผ่านช่องทางดังนี้
1.	 ทำ�และส่งหนังสือพร้อมหลักฐานไป
ยังสำ�นักงานของ สตง.
2.	 แจ้งรายละเอียดที่เว็บไซต์ http://
www.oag.go.th/internet/Call/
CallServlet
ในการร้องเรียน ผู้ร้องเรียนต้องแจ้ง
รายละเอียดเบื้องต้นดังนี้
1.	 ระบุชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตำ�แหน่ง
หน่วยงานรัฐ ช่วงเวลา สถานที่
ขั้นตอน และพฤติกรรมของการ
กระทำ�ผิด
2.	 ระบุชื่อ ที่อยู่ และข้อมูลอื่นของ
ผู้ร้องเรียน ที่ สตง. สามารถติดต่อ
กลับได้
ข้อมูลสำ�หรับการติดต่อ
ที่อยู่: ถนนพระรามที่ 6 เขตพญาไท
กรุงเทพฯ 10400
โทรศัพท์: 0 2271 8000
เว็บไซต์: http://www.oag.go.th/
1.4 สำ�นักงานป้องกันและ
ปราบปรามการฟอกเงิน
(สำ�นักงาน ปปง.)
อำ�นาจหน้าที่
สำ�นักงานป้องกันและปราบปราม
224
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์
การฟอกเงิน (สำ�นักงาน ปปง.) มีหน้าที่
ตรวจสอบและยับยั้งการกระทำ�ผิดฐาน
ฟอกเงิน หรือการทำ�ธุรกรรมทางธุรกิจ
และทางการเงินที่พยายามปกปิดแหล่ง
ที่มาของเงินและทรัพย์สิน ซึ่งเกี่ยวข้อง
กับความผิดทางกฎหมายดังต่อไปนี้
•	 ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
•	 ความผิดเกี่ยวกับการอนาจารหญิง
และเด็ก และการพรากเด็กและผู้เยาว์
•	 ความผิดเกี่ยวกับการค้าประเวณี
•	 ความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกง
ประชาชน
•	 ความผิดเกี่ยวกับการยักยอกหรือ
ฉ้อโกงหรือประทุษร้ายต่อทรัพย์
•	 ความผิดเกี่ยวกับการทุจริตต่อ
ตําแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความ
ผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม
•	 ความผิดเกี่ยวกับการกรรโชก หรือ
รีดเอาทรัพย์ที่กระทําโดยอ้างอํานาจ
อั้งยี่หรือซ่องโจร
•	 ความผิดเกี่ยวกับการลักลอบหนี
ศุลกากร
•	 ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย
•	 ความผิดเกี่ยวกับการเป็นผู้จัดให้มี
การเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต
และมีจํานวนผู้เข้าเล่นแต่ละครั้งเกิน
กว่า 100 คน หรือมีวงเงินในการ
กระทําความผิดรวมกันมีมูลค่าเกิน
กว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป
•	 ความผิดเกี่ยวกับการเป็นสมาชิก
อั้งยี่หรือการมีส่วนร่วมในองค์กร
อาชญากรรม
•	 ความผิดเกี่ยวกับการรับของโจร
•	 ความผิดเกี่ยวกับการปลอมหรือการ
แปลงเงินตรา ดวงตรา แสตมป์ และตั๋ว
•	 ความผิดเกี่ยวกับการปลอมหรือการ
ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของสินค้า
•	 	ความผิดเกี่ยวกับการปลอมเอกสาร
สิทธิบัตรอิเล็กทรอนิกส์หรือหนังสือ-
เดินทาง
•	 	ความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ
หรือสิ่งแวดล้อม โดยการใช้ ยึดถือ
หรือครอบครองทรัพยากรธรรมชาติ
หรือกระบวนการแสวงหาประโยชน์
จากทรัพยากรธรรมชาติ โดยมีลักษณะ
เป็นการค้า
•	 	ความผิดเกี่ยวกับการประทุษร้ายต่อ
ชีวิตหรือร่างกายจนเป็นเหตุให้เกิด
อันตรายสาหัส
•	 ความผิดเกี่ยวกับการหน่วงเหนี่ยวหรือ
กักขังผู้อื่นเพื่อเรียกรับผลประโยชน์
•	 ความผิดเกี่ยวกับการลักทรัพย์ กรรโชก
รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์
ฉ้อโกง หรือยักยอก
•	 ความผิดเกี่ยวกับการกระทําอันเป็น
โจรสลัด
•	 ความผิดเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์
•	 ความผิดเกี่ยวกับอาวุธที่อาจนําไปใช้
ในการสงคราม
ในการตรวจสอบ สำ�นักงาน ปปง.
มีอำ�นาจเรียกให้บุคคลใดๆ (รวมทั้งส่วน
ราชการและสถาบันการเงิน) มาชี้แจงและ
ส่งเอกสารหรือหลักฐานใดมาเพื่อตรวจ
สอบ และมีอำ�นาจเข้าไปตรวจสอบใน
เคหสถาน สถานที่ หรือยานพาหนะ ที่
มีเหตุอันควรสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการ
ฟอกเงิน โดยไม่ต้องมีหมายค้น (ถ้ามี
เหตุรีบด่วน)
ช่องทางการมีส่วนร่วมของ
ประชาชน
ประชาชนสามารถร้องเรียนถึง ปปง.
ผ่านช่องทางดังนี้
1.	 ทำ�และส่งหนังสือถึงสำ�นักงาน
ปปง.
2.	 โทรแจ้งสายด่วน 1710
3.	 กรอกแบบฟอร์มการร้องเรียนที่
เว็บไซต์ http://www.amlo.go.th/
ในการร้องเรียน ผู้ร้องเรียนต้องแจ้ง
รายละเอียดเบื้องต้นดังนี้
1.	 ระบุชื่อและรายละเอียดของผู้
กระทำ�ผิด
2.	 ระบุช่วงเวลา สถานที่ ขั้นตอน และ
พฤติกรรมของการกระทำ�ผิด
3.	 ระบุชื่อ-สกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์
ของผู้ร้องเรียน
โครงการสายลับ ปปง.
สำ�นักงาน ปปง. จัดทำ�โครงการ
‘สายลับ ปปง.’ เพื่อเป็นช่องทางให้
ประชาชนได้มีส่วนร่วมกับ ปปง. ในการ
ลดการทุจริตฐานฟอกเงิน โดยสายลับ
จะช่วยสืบค้นและแจ้งเบาะแสให้ ปปง.
ด้วยการส่งรายละเอียดเป็นเอกสารหรือ
ด้วยวาจา ว่าใคร ทำ�ผิดอะไร ที่ไหน
เมื่อไหร่ อย่างไหร่
225
เมนูคอร์รัปชัน
ทั้งนี้ สำ�นักงาน ปปง. จะจัดฝึก
อบรมการดำ�เนินการของสายลับและ
เผยแพร่ข้อมูลและกิจกรรมของสำ�นักงาน
ปปง. ให้แก่สายลับ นอกจากนี้ สำ�นักงาน
ปปง. จะปกปิดข้อมูลส่วนตัวของสายลับ
และให้ความคุ้มครองเมื่อได้รับการข่มขู่
หรือคุกคาม
ประชาชนสามารถสมัครเป็น
สายลับ ปปง. ผ่านช่องทางดังนี้
1.	 สมัครทางไปรษณีย์
1.1.	ผู้สมัครส่งชื่อ-สกุล และที่อยู่
ไปยังสำ�นักงาน ปปง. แล้ว
ปปง. จะส่งใบสมัครสายลับ
กลับไปทางไปรษณีย์ตามที่อยู่
ที่ผู้สมัครแจ้งไว้
1.2.	ผู้สมัครกรอกใบสมัครและ
พิมพ์ลายนิ้วมือ และส่ง
ใบสมัครพร้อมแนบสำ�เนา
บัตรประชาชนและสำ�เนา
ทะเบียนบ้าน กลับไปยัง
สำ�นักงาน ปปง. เพื่อบันทึก
ลงในฐานข้อมูล
1.3.	สำ�นัก ปปง. จัดส่งหมายเลข
รหัสสายลับ
2.	 สมัครด้วยระบบออนไลน์ที่เว็บไซต์
http://www.amcis.amlo.go.th/
AMLO/web/General/index.jsp
ข้อมูลสำ�หรับการติดต่อ
ที่อยู่: เลขที่ 422 ถนนพญาไท แขวง
วังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
โทรศัพท์: 0 2219 3600
โทรสาร: 0 2219 3700
เว็บไซต์: http://www.amlo.go.th
1.5 กรมสอบสวนคดี
พิเศษ (ดีเอสไอ)
อำ�นาจหน้าที่
กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
มีหน้าที่ป้องกัน ปราบปราม สืบสวนและ
สอบสวนคดีความผิดทางอาญาที่มีความ
ซับซ้อนและทำ�อย่างเป็นระบบ ซึ่งจำ�เป็น
ต้องมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเป็นผู้ดำ�เนิน
การสืบสวนและสอบสวน คดีความผิด
ทางอาญาที่มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อ
ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมของสังคม
ความมั่นคงทางการเมืองและเศรษฐกิจ
ของประเทศ และความสัมพันธ์ระหว่าง
ประเทศ หรือคดีความผิดทางอาญาที่มี
ผู้ทรงอิทธิพล พนักงานฝ่ายปกครอง หรือ
ตำ�รวจชั้นผู้ใหญ่ ให้การสนับสนุน โดย
กฎหมายและระเบียบการสอบสวนคดี
พิเศษได้กำ�หนดคดีอาญาเบื้องต้นที่อยู่ใน
ขอบเขตอำ�นาจของดีเอสไอ ดังนี้
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ
กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ
แข่งขันทางการค้า
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ
ธนาคารพาณิชย์
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ
ประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์
และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ
เล่นแชร์
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ
ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย
ความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อ
หน่วยงานของรัฐ
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ
คุ้มครองแบบผังภูมิของวงจรรวม
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ
คุ้มครองผู้บริโภค
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย
เครื่องหมายการค้า
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยเงิน
ตรา
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ
ชดเชยค่าภาษีอากร สินค้าส่งออกที่
ผลิตในราชอาณาจักร
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย
ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการ
เงิน
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย
ธนาคารแห่งประเทศไทย
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย
บริษัทมหาชนจำ�กัด
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ
ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย
มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย
ลิขสิทธิ์
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ
226
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์
ส่งเสริมการลงทุน
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย
การส่งเสริมและรักษาคุณภาพ
สิ่งแวดล้อม
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย
สิทธิบัตร
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย
หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
•	 คดีความผิดตามประมวลรัษฎากร
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย
ศุลกากร
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยภาษี
สรรพสามิต
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยสุรา
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย
ยาสูบ
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ
ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย
ประกันวินาศภัย
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย
ประกันชีวิต
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ
ซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย
การกระทำ�ความผิดเกี่ยวกับ
คอมพิวเตอร์
•	 คดีความผิดตามประมวลกฎหมาย
ที่ดิน
•	 คดีความผิดตามประมวลกฎหมาย
ว่าด้วยป่าไม้
•	 คดีความผิดตามประมวลกฎหมาย
ว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ
•	 คดีความผิดตามประมวลกฎหมาย
ว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ
•	 คดีความผิดตามประมวลกฎหมาย
ว่าด้วยสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ
ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยแร่
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจ
สถาบันการเงิน
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยเครื่อง
สำ�อาง
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุ
อันตราย
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยยา
•	 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอาหาร
•	 คดีความผิดทางอาญาอื่นที่คณะ
กรรมการคดีพิเศษมีมติคะแนนเสียง
ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ให้เห็นชอบให้รับ
เป็นคดีพิเศษ
ในการสืบสวนและสอบสวน ดีเอสไอ
มีอำ�นาจเรียกให้บุคคลใดๆ (รวมทั้งส่วน
ราชการและสถาบันการเงิน) มาชี้แจงและ
ส่งเอกสารหรือหลักฐานใดมาเพื่อตรวจสอบ
และมีอำ�นาจเข้าไปตรวจสอบในเคหสถาน
สถานที่ หรือยานพาหนะ รวมทั้งอาจขอให้
หน่วยงานของรัฐอื่นช่วยเหลือดำ�เนินการ
บางประการอันเป็นประโยชน์ต่อการ
สอบสวน
ช่องทางการมีส่วนร่วมของ
ประชาชน
ประชาชนสามารถร้องเรียนถึงกรม
สอบสวนคดีพิเศษ ผ่านช่องทางดังนี้
1.	 เข้าแจ้งคำ�ร้องเรียนด้วยตนเอง
2.	 ทำ�และส่งหนังสือร้องเรียนให้กรม
สอบสวนคดีพิเศษ
3.	 โทรแจ้งสายด่วน 1202 หรือ
ศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายแก่
ประชาชน 0 2831 9888 ต่อ
3101
4.	 กรอกแบบฟอร์มร้องเรียนที่
เว็บไซต์ http://www.dsi.go.th/
index.php?option=com_
complain&Itemid=46&lang=th
ในการร้องเรียน ผู้ร้องเรียนต้องแจ้ง
รายละเอียดเบื้องต้นดังนี้
1.	 ระบุสถานที่ ช่วงเวลา และ
พฤติกรรมการกระทำ�ผิด รวมทั้ง
ข้อมูลของผู้กระทำ�ผิด (ถ้ามี)
2.	 ระบุความเสียหายที่เกิดขึ้นจาก
พฤติกรรมการกระทำ�ผิด และ
หน่วยงานที่ผู้ร้องเรียนได้แจ้ง
ร้องเรียนไปแล้ว
3.	 ระบุหลักฐานและพยานอื่นที่เป็น
ประโยชน์ในการสอบสวน (ถ้ามี)
4.	 ระบุชื่อ-สกุล ที่อยู่ และข้อมูลอื่น
ของผู้ร้องเรียน ที่ดีเอสไอสามารถ
ติดต่อกลับ เช่น หมายเลขโทรศัพท์
มือถือ
ผู้สนใจสามารถดูตัวอย่างแบบ
คำ�ร้องได้จากคู่มือบริการประชาชน
ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ เว็บไซต์:
http://www.dsi.go.th/index.
227
เมนูคอร์รัปชัน
php?option=com_conte
nt&view=article&id=5746
%3A2012-11-28-07-21-
07&catid=221%3A2012-02-27-
04-37-30&Itemid=144&lang=th
ข้อมูลสำ�หรับการติดต่อ
ที่อยู่: เลขที่ 128 ถนนแจ้งวัฒนะ
แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่
กรุงเทพฯ 10210
โทรศัพท์: 0 2831 9888
โทรสาร: 0 2975 9888
เว็บไซต์: http://www.dsi.go.th
2_ องค์กรที่สนับสนุน
การปฏิรูปกฎหมาย
โดยประชาชน
องค์กรที่สนับสนุนการปฏิรูปกฎหมายโดยประชาชน มีหน้าที่ให้คำ�ปรึกษาและ
การสนับสนุนด้านความรู้แก่ภาคประชาชนที่ต้องการดำ�เนินการแก้ไขกฎหมาย และ
องค์กรฯ ยังช่วยเปิดพื้นที่และประสานให้ภาคประชาชนได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น
ในการร่างกฎหมายและรวมตัวเข้าชื่อร้องต่อประธานรัฐสภา เพื่อให้รัฐสภาพิจารณา
ร่างพระราชบัญญัติ
องค์กรที่สนับสนุนการปฏิรูปกฎหมายจึงเป็นหนึ่งในกลไกการมีส่วนร่วมของ
ประชาชนในการลดการทุจริต โดยประชาชนสามารถนำ�แนวคิดการลดการทุจริตแลก
เปลี่ยนกับผู้อื่นผ่านองค์กรฯ และขอความรู้ด้านกฎหมายจากองค์กรฯ สำ�หรับการปฏิรูป
กฎหมายที่เกี่ยวกับการลดการทุจริต ตัวอย่างขององค์กรประเภทนี้ เช่น
2.1 คณะกรรมการปฏิรูป
กฎหมาย (คปก.)
อำ�นาจหน้าที่
คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย
(คปก.) มีอำ�นาจหน้าที่สำ�รวจและ
ศึกษากฎหมายเพื่อวางกรอบการปฏิรูป
กฎหมายของประเทศให้เป็นไปตาม
เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และเสนอ
แนะร่างกฎหมายที่ปฏิรูปต่อคณะรัฐมนตรี
และรัฐสภา รวมทั้งสนับสนุนการปฏิรูป
กฎหมายโดยประชาชนด้วยการให้คำ�
ปรึกษา และสนับสนุนการดำ�เนินการ
ในการร่างกฎหมายของประชาชนผู้มีสิทธิ
เลือกตั้ง
ช่องทางการมีส่วนร่วมของ
ประชาชน
ประชาชนสามารถขอคำ�ปรึกษา
และการสนับสนุนการปฏิรูปกฎหมาย
เพื่อลดการทุจริตจาก คปก. โดย
สำ�นักงาน คปก. จะให้รายละเอียด
ในเรื่องหลักการ วิธีการร่างกฎหมายใหม่
และขั้นตอนการเสนอกฎหมาย
ขั้นตอนการขอคำ�ปรึกษา ประชาชน
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งหรือผู้แทนองค์กรเอกชน
ต้องกรอกแบบคำ�ขอที่เรียกว่า คปก.ขช.
1 โดยระบุชื่อ-สกุล ที่อยู่ ข้อมูลส่วนตัว
รายละเอียดของเรื่องที่ต้องการปรึกษา
และช่องทางที่สะดวกในการติดต่อกลับ
และให้คำ�ปรึกษา เช่น จดหมาย โทรสาร
อีเมล โดยผู้ขอคำ�ปรึกษาสามารถส่ง
228
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์
แบบคำ�ขอด้วยตนเอง ทางจดหมาย หรือ
โทรสาร
สำ�หรับการขอรับการสนับสนุนการ
ร่างกฎหมายใหม่ สำ�นักงาน คปก. จะเข้า
ร่วมในการจัดทำ�ร่างกฎหมายพร้อมทั้งให้
ข้อเสนอแนะ ในกรณีที่ คปก. เห็นว่าการ
ร่างกฎหมายดังกล่าวมีความจำ�เป็น
ต้องหาข้อมูลหรือองค์ความรู้เพิ่มเติม
คปก. จะสนับสนุนการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม
นอกจากนี้สำ�งานคปก.จะช่วยประสานงาน
กับหน่วยงานอื่น เพื่อสนับสนุนการ
เข้าชื่อเสนอกฎหมายและช่วยเผยแพร่
ร่างกฎหมายต่อสื่อสารสาธารณะ
ขั้นตอนการขอการสนับสนุนการ
ร่างกฎหมายใหม่ ประชาชนผู้มีสิทธิ
เลือกตั้งจำ�นวนไม่น้อยกว่า 5 คน หรือ
ผู้แทนองค์กรเอกชน ซึ่งได้รับคำ�ปรึกษา
และดำ�เนินการตามคำ�ปรึกษาแล้วแต่งตั้ง
ตัวแทนจำ�นวนไม่น้อยกว่า 2 คน กรอก
และยื่นคำ�ขอตามแบบ คปก.ขช. 2 พร้อม
ยื่นคำ�ขอด้วยตนเอง หรือทางจดหมาย
หรือโทรสารโดยผู้ขอต้องระบุรายละเอียด
ดังนี้
1.	 รายชื่อประชาชนที่ขอรับการ
สนับสนุนการร่างกฎหมาย
2.	 สภาพปัญหาและความจำ�เป็นใน
การปรับปรุงและพัฒนากฎหมาย
3.	 สรุปสาระสำ�คัญและหลักการ
ของกฎหมายที่ต้องการเสนอให้
ปรับปรุงและแก้ไข
4.	 ผลการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องในการ
ร่างกฎหมายนั้น (ถ้ามี)
5.	 เอกสารอื่นใดที่จะเป็นประโยชน์ต่อ
การร่างกฎหมาย (ถ้ามี)
6.	 ทั้งนี้ ประชาชนสามารถดูตัวอย่าง
แบบคำ�ขอคปก.ขช.1และคปก.ขช.2
ได้ที่เว็บไซต์ http://www.prd.go.th/
ewt_dl_link.php?nid=33085
ข้อมูลสำ�หรับการติดต่อ
ที่อยู่: 99 หมู่ 4 อาคารซอฟต์แวร์พาร์ค
ชั้น 19 ถนนแจ้งวัฒนะ ตำ�บลคลองเกลือ
อำ�เภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120
โทรศัพท์: 0 2502 6000 ต่อ 8282
โทรสาร: 0 2502 6000 ต่อ 8274
เว็บไซต์: http://www.lrct.go.th/
2.2 โครงการอินเทอร์เน็ต
เพื่อกฎหมายประชาชน
(iLaw)
พันธกิจและหน้าที่
‘โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมาย
ประชาชน’ จัดตั้งขึ้นเพื่อให้ประชาชนมี
ส่วนร่วมในการเสนอและแก้ไขกฎหมาย
เว็บไซต์ของโครงการเปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วน
ของสังคมสามารถแสดงความคิดเห็นใน
ประเด็นต่างๆ และการแก้กฎหมายที่
เกี่ยวข้อง รวมทั้งมีการจัดทำ�แบบสำ�รวจ
ความคิดเห็น (โพล) เพื่อสะท้อนความ
ต้องการของประชาชน
หากประเด็นใดได้รับความสนใจ
มาก คณะทำ�งานโครงการฯ จะติดต่อหา
หน่วยงานหรือกลุ่มบุคคลมาช่วยพัฒนา
ประเด็นดังกล่าว และเปิดให้ทุกคนช่วยกัน
เสนอแนะแก้ไข ก่อนจะจัดทำ�เป็นร่าง
กฎหมายที่สมบูรณ์เมื่อร่างกฎหมายฉบับ
ประชาชนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้ที่เห็นด้วย
สามารถเข้าชื่อเพื่อผลักดันร่างกฎหมาย
เข้าสู่รัฐสภาได้ โดยการพิมพ์แบบฟอร์ม
การเข้าชื่อ กรอกรายละเอียด ลงนาม
แนบสำ�เนาบัตรประชาชนและสำ�เนา
ทะเบียนบ้าน แล้วส่งไปรษณีย์ไปที่ตู้ ปณ.
55 ปณฝ. สุทธิสาร กรุงเทพฯ 10321
ทั้งนี้ ประชาชนสามารถเสนอ
มาตรการการลดปัญหาทุจริตทางเว็บไซต์
ได้ หรือติดต่อสำ�นักงานโครงการได้
โดยตรง
ข้อมูลสำ�หรับการติดต่อ
ที่อยู่:409ชั้น1อาคารมูลนิธิอาสาสมัคร
เพื่อสังคม ซอยโรหิตสุข ถนนรัชดา 14
เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ
โทรศัพท์: 0 2276 3676
โทรสาร: 0 2690 2712
อีเมล: ilaw@ilaw.or.th
เว็บไซต์: http://ilaw.or.th/
229
เมนูคอร์รัปชัน
3_ องค์กรภาคประชาสังคม
เพื่อต่อต้านการทุจริต
องค์กรภาคประชาสังคมเพื่อต่อต้านการทุจริตเป็นการรวมตัวของประชาชนบางกลุ่ม
และหน่วยงานเอกชนบางแห่ง ซึ่งตระหนักว่าการลดการทุจริตไม่สามารถพึ่งกลไกการ
ตรวจสอบของภาครัฐเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของทุกฝ่าย
ในสังคม องค์กรภาคประชาสังคมจึงถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อดำ�เนินกิจกรรมให้ประชาชน
เกิดจิตสำ�นึกและความตระหนักรู้ถึงผลเสียจากการทุจริตและช่วยกันต่อต้านการทุจริต
ประชาชนสามารถเข้ามีส่วนร่วมในการลดการทุจริตได้โดยการเข้าร่วมและสนับสนุน
กิจกรรมขององค์กรเหล่านี้ ตัวอย่างขององค์กรเหล่านี้ เช่น
3.1 องค์กรเพื่อความ
โปร่งใสในประเทศไทย
พันธกิจและหน้าที่
องค์กรเพื่อความโปร่งใสใน
ประเทศไทยมีพันธกิจเสริมสร้างความ
โปร่งใสให้เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยจัด
กิจกรรมต่างๆ ร่วมกับประชาชน องค์กร
ทั้งภาครัฐและเอกชน สื่อมวลชน และ
องค์กรภาคประชาสังคมอื่นๆ เพื่อสร้าง
ความตระหนักรู้และสร้างการมีส่วนร่วม
ตัวอย่างกิจกรรมขององค์กร เช่น รายการ
วิทยุ ‘เรารักประเทศไทยโปร่งใส’ ทาง FM
99.5 MHz ทุกวันเสาร์ เวลา 07.00-
09.00 น. ชมรมเยาวชนเพื่อความโปร่งใส
ค่ายอบรมผู้นำ�เยาวชน การประกวด
เรียงความเยาวชนการประกวดข่าวทุจริต
เชิงสืบสวนยอดเยี่ยม การสร้างฐานข้อมูล
เพื่อความโปร่งใสและการจัดทำ�หลักสูตร
และกิจกรรม ‘โตไปไม่โกง’ (http://
growinggood.org/)
ข้อมูลสำ�หรับการติดต่อ
ที่อยู่:118อาคารสยามบรมราชกุมารีชั้น
15 สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
(NIDA) ถนนเสรีไทย แขวงคลองจั่น
เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ 10240
โทรศัพท์: 0 2377 7206, 0 2378
1284, 0 2374 7399 และ 0 2727
3501-5
เว็บไซต์: http://www.transparency-
thailand.org/thai/
3.2 มูลนิธิองค์กรต่อต้าน
คอร์รัปชัน (ประเทศไทย)
พันธกิจและหน้าที่
‘มูลนิธิองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน’
หรือเดิมชื่อว่า ภาคีเครือข่ายต่อต้าน
คอร์รัปชัน เป็นองค์กรที่เกิดขึ้นจาก
รวมตัวของภาคเอกชนและหน่วยงาน
รัฐ 23 แห่ง นำ�โดยสภาหอการค้า
แห่งประเทศไทย มูลนิธิองค์กรต่อต้าน
คอร์รัปชันดำ�เนินยุทธศาสตร์ 3 ประการ
เพื่อลดการทุจริตและสร้างความโปร่งใส
กล่าวคือ ‘ปลูกฝัง ป้องกัน และเปิดโปง’
ตัวอย่างการดำ�เนินการและกิจกรรมใน
แต่ละด้านของมูลนิธิฯ เช่น
•	 ด้านการปลูกฝังจิตสำ�นัก เช่น จัด
230
และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์
กิจรรมผลิตภาพยนตร์สารคดี เพื่อ
ปลูกจิตสำ�นึกให้กระทำ�ในสิ่งที่ถูกต้อง
และปฏิเสธไม่ยอมรับการโกงหรือ
คอร์รัปชัน
•	 ด้านการป้องกัน เช่น เคลื่อนไหว
เรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเผยราคา
กลางในการจัดซื้อจัดจ้างทุกประเภท
และจัดให้มีการประกวดราคาทาง
อิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้เกิดความ
โปร่งใส รวมทั้งติดตามและเผยแพร่
ข้อมูลงบประมาณโครงการระบบการ
บริหารจัดการน้ำ�และเพื่อเฝ้าระวัง
ไม่ให้เกิดการทุจริต นอกจากนี้ ยังมี
โครงการ ‘หมาเฝ้าบ้าน’ โดยอบรม
หลักกฎหมาย วิธีการตรวจสอบและ
การให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ให้อาสาสมัคร
สามารถทำ�หน้าที่เฝ้าระวังการทุจริต
แจ้งเบาะแส และร่วมกันเปิดโปง โดย
โครงการนี้ยังปลูกจิตสำ�นึกให้คนใน
ชุมชนดูแลชุมชนของตนเอง
•	 ด้านการเปิดโปง เช่น เสนอให้สมาชิก
ขององค์กรไม่สนับสนุนหรือทำ�ธุรกิจ
กับผู้ที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการ
ทุจริต และอยู่ระหว่างดำ�เนินการ
โครงการรวบรวมข้อมูลพฤติกรรม
การทุจริตของหน่วยงานภาครัฐเพื่อ
เปิดโปงและนำ�ไปสู่การปรับปรุงกฎ
ระเบียบ ผ่านคณะกรรมการพัฒนา
ระบบราชการ (ก.พ.ร.)
ประชาชนที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม
หรือต้องการแจ้งเบาะแสการทุจริต
สามารถติดต่อมูลนิธิองค์กรต่อต้าน
คอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ได้โดยตรง
ข้อมูลสำ�หรับการติดต่อ
ที่อยู่: 150 ถนนราชบพิธ เขตพระนคร
กรุงเทพมหานคร 10200
โทรศัพท์: 0 2622 1860-76 ต่อ 543-
545
เว็บไซต์: http://www.anticorruption.
in.th/ และ https://www.facebook.
com/ACT.AntiCorruptionThailand
4_ สื่อมวลชน
สื่อมวลชนเป็นอีกช่องทางสำ�หรับประชาชนที่ต้องการมีส่วน
ร่วมในการตรวจสอบการกระทำ�ทุจริต โดยประชาชนสามารถติดตาม
ข่าวสาร แจ้งข้อมูล เบาะแส และหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ
การทุจริตให้สื่อมวลชนนำ�ไปค้นหาหลักฐานเพิ่มเติมและสอบถาม
ต่อหน่วยงานภาครัฐและผู้อื่นที่เกี่ยวข้อง โดยผู้แจ้งไม่จำ�เป็นต้องเปิด
เผยข้อมูลส่วนบุคคล ทำ�ให้ความเสี่ยงที่จะถูกทำ�ร้ายลดลง
ปัจจุบันสื่อมวลชนบางแห่งมีพันธกิจในการทำ�ข่าวเชิงสืบสวน
สอบสวน หรือ ‘ข่าวเจาะ’ ซึ่งมีลักษณะการสืบสวนและการค้นหา
ข้อมูลหลักฐานเชิงลึกอันเป็นการติดตามและตรวจสอบการทำ�งาน
ของภาครัฐ โดยเฉพาะกรณีที่น่าสงสัยว่ามีการทุจริต ตัวอย่างองค์กร
เหล่านี้ เช่น
4.1 สำ�นักข่าวอิศรา
มีความโดดเด่นในการทำ�ข่าวชุมชน
ข่าวนโยบายสาธารณะ ข่าวภาคใต้ และ
ข่าวสืบสวนที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต
ข้อมูลสำ�หรับการติดต่อ
ที่อยู่: 538/1 ถนนสามเสน
แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300
โทรศัพท์: 0 2241 3160
โทรสาร: 0 2241 3161
เว็บไซต์: www.isranews.org
231
ศูนย์สาธารณประโยชน์และประชาสังคม
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
มูลนิธิองค์กรเพื่อความโปร่งใส
ในประเทศไทย
เมนูคอร์รัปชัน
4.2 สำ�นักข่าวไทยพับลิก้า
มีความโดดเด่นในการทำ�ข่าวด้าน
เศรษฐกิจและนโยบายสาธารณะ การ
ตรวจสอบความโปร่งใสขององค์กรทั้ง
ภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงการเสนอ
ประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืน
ข้อมูลสำ�หรับการติดต่อ
ที่อยู่: 62 รามอินทรา 5 แยก 3
แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน
กรุงเทพฯ 10220
โทรศัพท์: 0 2970 6998
อีเมล: info@thaipublica.org
เว็บไซต์: http://thaipublica.org/
4.3 ศูนย์ข้อมูล & ข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง (TCIJ)
มีความโดดเด่นในการทำ�ข่าวที่เกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของพลเมือง และข่าว
สืบสวนในประเด็นต่างๆ โดยเฉพาะการทุจริต นอกจากนี้ ศูนย์ข่าว TCIJ ยังเปิดโอกาส
ให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการผลิตข่าวเพื่อเผยแพร่ในเว็บไซต์
ข้อมูลสำ�หรับการติดต่อ
ที่อยู่: 1371 ถนนพหลโยธิน
แขวงสามเสนใน เขตพญาไท
กรุงเทพฯ 10400
โทรศัพท์: 0 2278 7904
อีเมล: info@tcijthai.com
เว็บไซต์: http://www.tcijthai.com/tcijthai/
232
COVERDESIGN:ANTIZEPTIC
ออรเดิรฟ : เร�ยกน้ำย‹อย
สมารทการด / ชุมชนพอเพ�ยง / นมโรงเร�ยน / ซานติกŒาผับ
โครงการช‹วยเหลือแรงงานผูŒประสบอุทกภัย / สายสืบกรมศุลกากร
เทศกาลภาพยนตรนานาชาติกรุงเทพฯ
จานหลัก : อิ�มเต็มคำ
จำนำขŒาว / โควตานำเขŒากากถั่วเหลือง / บอรด ปตท.
EIA โรงไฟฟ‡าบางคลŒา / แอรพอรตลิงค / ดิวตี้ฟร�สุวรรณภูมิ / ลานจอดรถสุวรรณภูมิ
บŒานเอื้ออาทร / รุกที่อุทยานทับลาน-สิร�นาถ / โครงการบำบัดน้ำเสียคลองด‹าน
กระทรวงสาธารณสุขทุจร�ตยา / ส.ป.ก. 4-01 / กลŒายางพารา / โฮปเวลล
เปบพ�สดาร : สากกะเบือยันเร�อข�ด
เร�อข�ดหัวสว‹าน / GT 200 / เง�นบร�จาคสึนามิ
สปส. เช‹าระบบคอมพ�วเตอร / โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุหมอชิต
สนามกอลฟอัลไพน / รถจดประกอบเลี่ยงภาษี / สหกรณเครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น
ของหวาน : ทานง‹าย อร‹อยทุกมื้อ
แปˆะเจ�๊ยะโรงเร�ยน / ส‹วยตำรวจ / การจัดซื้อจัดจŒางขององคกรปกครองส‹วนทŒองถิ�น
หัวคิวแรงงานต‹างดŒาว / จัดซื้ออุปกรณการเร�ยน
คดีชูŒสาวและการเร�ยกรับผลประโยชนของผูŒพ�พากษา
ราคา 195 บาท
ศูนยสาธารณประโยชนและประชาสังคม
สถาบันบัณฑิตพัฒนบร�หารศาสตร
มูลนิธิองคกร
เพ�่อความโปร‹งใส
ในประเทศไทย

More Related Content

PDF
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560
PDF
ชุดที่ 1 ระบบภายในร่างกาย
DOC
ใบงานช่องทางการพัฒนาอาชีพต้น
PDF
บันทึกข้อความรายงานผลการอบรมหนาว
PDF
เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน วิชาอินเตอร์เนตกับการเรียนรู้ไร้พรมแดน ม.ต้น
PPT
งานนำเสนอองค์กรนักศึกษา กศน.ตระการพืชผล
PDF
4แผนการจัดการเรียนรู้รายหน่วย
PDF
โครงงานคอมพิวเตอร์เรื่องเทียนหอมไล่ยุงตะไคร้
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560
ชุดที่ 1 ระบบภายในร่างกาย
ใบงานช่องทางการพัฒนาอาชีพต้น
บันทึกข้อความรายงานผลการอบรมหนาว
เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน วิชาอินเตอร์เนตกับการเรียนรู้ไร้พรมแดน ม.ต้น
งานนำเสนอองค์กรนักศึกษา กศน.ตระการพืชผล
4แผนการจัดการเรียนรู้รายหน่วย
โครงงานคอมพิวเตอร์เรื่องเทียนหอมไล่ยุงตะไคร้

What's hot (20)

DOCX
แบบสอบถาม พฤติกรรมของวัยรุ่นไทยในปัจจุบัน
PDF
รายงานการประชุมครั้งที่ 8 54
PPT
สื่อและแหล่งการเรียนรู้
PDF
ยาและสารเสพติดให้โทษ
DOCX
สรุปการดำเนินงานห้องเรียนสึขาว ให้ครูที่ปรึกษา
PDF
บทความวิชาการ ธรรมาภิบาลในองค์การภาคเอกชน : ธุรกิจภาคบริการ
PDF
เทคนิคแนวทางการสร้างการมีส่วนร่วม
PPTX
หน่วยที่ 11 บทละครในเรื่องอิเหนา
PDF
4.6 การปฏิบัติงานของภาควิชาและฝ่ายต่างๆ ภาควิชาเวชศาสตร์ชันสุตร
PDF
หน้าปกโครงงาน
PDF
สังเกตบาลีสันสกฤต [โหมดความเข้ากันได้]
PDF
3.2 การจัดหมวดหมู่ในระบบทศนิยมดิวอี้ dewey classification
DOC
บทคัดย่อ
PDF
ชุดที่4 เล่ม1 เทคนิค วิธีการและสื่อ สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียน...
PDF
แบบสอบถาม การสูบบุหรี่ นักเรียนหญิง
PPTX
นวัตกรรมการพยาบาลฉุกเฉิน อ.สุนันทา สิริเวชพันธ์
PDF
การใช้อินเทอร์เน็ตเบื้องต้น
PDF
บทที่6 digital marketing
PDF
Ch 8 basic emergency medical service and triage
แบบสอบถาม พฤติกรรมของวัยรุ่นไทยในปัจจุบัน
รายงานการประชุมครั้งที่ 8 54
สื่อและแหล่งการเรียนรู้
ยาและสารเสพติดให้โทษ
สรุปการดำเนินงานห้องเรียนสึขาว ให้ครูที่ปรึกษา
บทความวิชาการ ธรรมาภิบาลในองค์การภาคเอกชน : ธุรกิจภาคบริการ
เทคนิคแนวทางการสร้างการมีส่วนร่วม
หน่วยที่ 11 บทละครในเรื่องอิเหนา
4.6 การปฏิบัติงานของภาควิชาและฝ่ายต่างๆ ภาควิชาเวชศาสตร์ชันสุตร
หน้าปกโครงงาน
สังเกตบาลีสันสกฤต [โหมดความเข้ากันได้]
3.2 การจัดหมวดหมู่ในระบบทศนิยมดิวอี้ dewey classification
บทคัดย่อ
ชุดที่4 เล่ม1 เทคนิค วิธีการและสื่อ สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียน...
แบบสอบถาม การสูบบุหรี่ นักเรียนหญิง
นวัตกรรมการพยาบาลฉุกเฉิน อ.สุนันทา สิริเวชพันธ์
การใช้อินเทอร์เน็ตเบื้องต้น
บทที่6 digital marketing
Ch 8 basic emergency medical service and triage
Ad

Viewers also liked (10)

PDF
การทุจริตอรัปชั่นของไทย
PPTX
ธรรมาภิบาลกับปัญหาคอรัปชั่นในประเทศไทย
PDF
การทุจริตอรัปชั่นของไทย
PDF
บทที่ 4 บรรษัทภิบาล
PDF
คู่มือการดำเนินการสอบสวน อ.จักราวุธ คำทวี
PPT
เสวนาต่อต้านคอร์รัปชั่นภาครัฐ วุฒิสภา
PPT
Ba.453 ch5
PPTX
บทที่ 3 วิธีจัดซื้อจัดจ้าง
PDF
การบริหารงานโดยยึดหลักธรรมาภิบาล และความโปร่งใส
PPTX
บทที่ 1 หลักการในการจัดซื้อ
การทุจริตอรัปชั่นของไทย
ธรรมาภิบาลกับปัญหาคอรัปชั่นในประเทศไทย
การทุจริตอรัปชั่นของไทย
บทที่ 4 บรรษัทภิบาล
คู่มือการดำเนินการสอบสวน อ.จักราวุธ คำทวี
เสวนาต่อต้านคอร์รัปชั่นภาครัฐ วุฒิสภา
Ba.453 ch5
บทที่ 3 วิธีจัดซื้อจัดจ้าง
การบริหารงานโดยยึดหลักธรรมาภิบาล และความโปร่งใส
บทที่ 1 หลักการในการจัดซื้อ
Ad

Similar to Corruption Menu (e-book) | เมนูคอร์รัปชันและการแสวงหาผลประโยชน์ (20)

PPTX
อนาคตของจีนกับแผนพัฒนาฯ 5 ปี
PDF
แผนปฏิบัติการป้องกันการทุจริต 2560-2564
PPT
PDF
ภาพรวมความคิดและยุทธศาสตร์ของจีนในปัจจุบัน ด้านการเมือง เศรษฐกิจ และการต่างปร...
PDF
Good Governance Cooperatives
PDF
เครื่องชี้วัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
PDF
Joseph Stiglitz กับความเหลื่อมล้ำที่เราเลือกได้
PDF
รวมเล่ม (1)
PDF
2552 2.1-plan administration-land
PPT
ยุทธศาสตร์ชาติ
PDF
เศรษฐศาสตร์พฤติกรรมกับนโยบายของเมือง
PPT
Tax 63
PDF
สาระจากเวทีเสวนานคราภิวัตน์ การพัฒนาเมือง และสุขภาวะเมืองของไทย
PDF
S mbuyer 110
PDF
ความเหลื่อมล้ำฉบับพกพา
PDF
แฉ 108 กลโกงนักธุรกิจล้มบนฟูก
PDF
Sustainable tourism planning part i and ii jan 2015
PDF
สรุปข่าวประจำวันที่ 31 ต ค 551-u
PPTX
หน่วยที่ 3 เศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาเศรษฐกิจไทย
PDF
S mbuyer 109
อนาคตของจีนกับแผนพัฒนาฯ 5 ปี
แผนปฏิบัติการป้องกันการทุจริต 2560-2564
ภาพรวมความคิดและยุทธศาสตร์ของจีนในปัจจุบัน ด้านการเมือง เศรษฐกิจ และการต่างปร...
Good Governance Cooperatives
เครื่องชี้วัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
Joseph Stiglitz กับความเหลื่อมล้ำที่เราเลือกได้
รวมเล่ม (1)
2552 2.1-plan administration-land
ยุทธศาสตร์ชาติ
เศรษฐศาสตร์พฤติกรรมกับนโยบายของเมือง
Tax 63
สาระจากเวทีเสวนานคราภิวัตน์ การพัฒนาเมือง และสุขภาวะเมืองของไทย
S mbuyer 110
ความเหลื่อมล้ำฉบับพกพา
แฉ 108 กลโกงนักธุรกิจล้มบนฟูก
Sustainable tourism planning part i and ii jan 2015
สรุปข่าวประจำวันที่ 31 ต ค 551-u
หน่วยที่ 3 เศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาเศรษฐกิจไทย
S mbuyer 109

More from WiseKnow Thailand (20)

PDF
สุดยอดนวัตกรรมรักษา NCDs - เจาะเทคนิคป้องกัน
PDF
Capital in the Twenty-First Century.pdf
PDF
eBook_A_Legacy_for_All_6July2022.pdf
PDF
The Age of Spiritual Machines: When Computers Exceed Human Intelligence
PDF
ตำราตรวจโรคหมอสุรเกียรติ์.pdf
PDF
รายงานผลการสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ปี 2564
PDF
เอกสารการแถลงผลการสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ปี 2564
PDF
คู่มือฉบับประชาชน กรณีรักษาแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักกันตนเอง.pdf
PDF
Thailand Internet User Behavior 2020 Presentation
PDF
Thailand Internet User Behavior 2020
PDF
เรียนรู้ อยู่กับฝุ่น PM2.5
PDF
Thailand Economic Monitor - Harnessing Fintech for Financial Inclusion
PDF
สู่จุดจบ! | The Coming Collapse of Thailand
PDF
CLS for Volunteer
PDF
เอกสารการแถลงผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2560
PDF
Cyber Threats 2015
PDF
Thailand Internet User Profile 2016
PDF
เอกสารประกอบของ Thailand Internet User Profile 2016
PDF
What if the next big disruptor isn’t a what but a who?
PDF
Interaction 2016
สุดยอดนวัตกรรมรักษา NCDs - เจาะเทคนิคป้องกัน
Capital in the Twenty-First Century.pdf
eBook_A_Legacy_for_All_6July2022.pdf
The Age of Spiritual Machines: When Computers Exceed Human Intelligence
ตำราตรวจโรคหมอสุรเกียรติ์.pdf
รายงานผลการสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ปี 2564
เอกสารการแถลงผลการสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ปี 2564
คู่มือฉบับประชาชน กรณีรักษาแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักกันตนเอง.pdf
Thailand Internet User Behavior 2020 Presentation
Thailand Internet User Behavior 2020
เรียนรู้ อยู่กับฝุ่น PM2.5
Thailand Economic Monitor - Harnessing Fintech for Financial Inclusion
สู่จุดจบ! | The Coming Collapse of Thailand
CLS for Volunteer
เอกสารการแถลงผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2560
Cyber Threats 2015
Thailand Internet User Profile 2016
เอกสารประกอบของ Thailand Internet User Profile 2016
What if the next big disruptor isn’t a what but a who?
Interaction 2016

Corruption Menu (e-book) | เมนูคอร์รัปชันและการแสวงหาผลประโยชน์

  • 3. เมนูคอร์รัปชัน และการแสวงหาผลประโยชน์ เลขมาตรฐานประจำ�หนังสือ : ISBN 978-616-329-034-2 เรียบเรียงจากโครงการ ‘คู่มือประชาชนรู้ทันคอร์รัปชันและการแสวงหาผลประโยชน์’ โดย สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ปกป้อง จันวิทย์ อิสร์กุล อุณหเกตุ ศุภณัฏฐ์ ศศิวุฒิวัฒน์ กิตติพงศ์ สนธิสัมพันธ์ และสาโรช ศรีใส มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย สนับสนุนการวิจัยโดย สำ�นักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) อินโฟกราฟิก เทวฤทธิ์ นาวารัตน์ บริษัท ไบรท์ไซด์ จำ�กัด ที่ปรึกษาด้านอินโฟกราฟิก ประชา สุวีรานนท์ ธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการสำ�นักพิมพ์ อธิคม คุณาวุฒิ บรรณาธิการเล่ม อาทิตย์ เคนมี บรรณาธิการศิลปกรรม ณขวัญ ศรีอรุโณทัย พิสูจน์อักษร คีรีบูน วงษ์ชื่น จัดพิมพ์และเผยแพร่โดย มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย สำ�นักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) มูลนิธิองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย ศูนย์สาธารณประโยชน์และประชาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย สำ�นักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า ThaiPublica.org
  • 4. ดำ�เนินการผลิต เปนไท พับลิชชิ่ง โทรศัพท์ 0 2736 9918 โทรสาร 0 2736 8891 waymagazine.org waymagazine@yahoo.com พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2557 พิมพ์ที่ บริษัท โรงพิมพ์อักษรสัมพันธ์ (1987) จำ�กัด จัดจำ�หน่าย บริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำ�กัด โทรศัพท์ 0 2423 9999 โทรสาร 0 2449 9222, 0 2449 9505-6 ราคา 195 บาท
  • 5. คำ�นำ� สมัยหนึ่งเราคงเคยได้ยินคำ�พูดทำ�นอง ว่า ‘รวยแล้วไม่โกง’ หรือกระทั่ง ‘โกงได้ แต่ขอให้ชาวบ้านได้ประโยชน์’ จนกลาย เป็นวลีอมตะที่คนจำ�นวนหนึ่งรู้สึกรับได้ ให้อภัยได้ ตามอุปนิสัยแบบไทยๆ ที่มัก อะลุ้มอล่วย ถ้อยทีถ้อยอาศัย ลืมง่าย หยวนๆ กันไป จนถึง พ.ศ. นี้ คงเป็นที่ประจักษ์แล้ว ว่า คำ�พูดที่ว่านั้นนอกจากจะทำ�ให้เกิด ความเชื่อแบบผิดๆแล้วยังเป็นการบ่มเพาะ เนื้อร้ายลงในจิตสำ�นึกของผู้คนให้ยอม จำ�นนต่อสิ่งชั่วร้าย เพราะเอาเข้าจริง แล้ว ผู้ที่มีพฤติกรรมทุจริตทั้งหลายก็ ล้วนแต่ยิ่งโกงก็ยิ่งรวย โกงไม่รู้จักอิ่ม กิน ไม่รู้จักพอ นานวันเข้าจึงกลายเป็นเรื่อง ที่ทุกคนเคยชินและชินชา โดยไม่ทันได้ ตระหนักว่าความเลวร้ายจากการโกงบ้าน กินเมืองนั้นจะส่งผลกระทบต่อประชาชน อย่างไร และรุนแรงเพียงใด ปฏิเสธไม่ได้ว่า การพัฒนาของ ประเทศไทยที่ล่าช้าและย่ำ�เท้าอยู่กับที่ ส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากปัญหา ‘ทุจริต คอร์รัปชัน’ ที่เป็นเสมือนมะเร็งร้ายคอย กัดกินบ้านเมืองมาเป็นเวลานาน ฉุดรั้ง ให้ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มประเทศ ด้อยพัฒนามาหลายทศวรรษ การจัดทำ� ‘ดัชนีภาพลักษณ์การ คอร์รัปชัน’ หรือ Corruption Percep- tion Index โดยองค์กรเพื่อความโปร่งใส นานาชาติ (Transparency International: TI) เมื่อปี 2556 ชี้ว่า ประเทศไทยได้ คะแนนความโปร่งใสเพียง 35 จาก คะแนนเต็ม 100 คะแนน และติดอันดับ ที่ 102 จาก 177 ประเทศที่ทำ�การสำ�รวจ ตัวเลขนี้เป็นเหมือนกระจกสะท้อน ให้คนไทยทั้งหลายต้องหันมาชะโงกดูเงา ตนเอง ถึงที่สุดแล้ว ผู้ซึ่งเป็นบ่อนทำ�ลาย ความมั่นคงของชาติ หาใช่ศัตรูจาก ภายนอกที่จ้องแสวงผลประโยชน์จาก ประเทศไทยเท่านั้น หากเกิดจากคนใน ชาติด้วยกันเองที่มีพฤติกรรมเยี่ยงเกลือ เป็นหนอน คอยชอนไชสูบเลือดสูบเนื้อ ของเพื่อนร่วมชาติมาโดยตลอด คน ประเภทนี้เองคือคนทรยศแผ่นดินตัวจริง โดยทั่วไปแล้ว ภาพของการทุจริต คอร์รัปชันมักปรากฏอยู่ในแทบทุก พรรคการเมือง ไม่ว่าพรรคเล็กพรรคใหญ่ พรรคร่วมรัฐบาลหรือพรรคฝ่ายค้าน หากได้ขึ้นมาเสวยอำ�นาจเมื่อใดก็มักเผย พฤติกรรมด้านมืดออกมาให้เห็นเสมอ ทว่ากระบวนการแสวงหาผล- ประโยชน์ไม่เพียงฝังรากอยู่ในพฤติกรรม ของนักการเมืองระดับชาติเท่านั้น แต่ยัง ลุกลามแพร่ระบาดไปทั่วทุกหย่อมย่าน ทุกสาขาอาชีพ ไล่มาตั้งแต่ระดับชาติ ระดับองค์กร ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน
  • 6. ไปจนถึงระดับปัจเจกบุคคล หรือ กระทั่งโกงกันเป็นขบวนการตั้งแต่ต้นน้ำ� ยันปลายน้ำ� อีกทั้งกรรมวิธีการโกงนับวัน ก็ยิ่งมีความสลับซับซ้อน ซิกแซกแยบยล เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมสารพัด ความ รุนแรงของปัญหาจึงแผ่ขยายวงกว้างและ ฝังลึกลงไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน กลไกการตรวจสอบ ยังมีความบกพร่องพิกลพิการ ทั้งในแง่ ความล่าช้าและบทลงโทษที่ไม่สาสม หรือ กระทั่งไม่สามารถจับผู้กระทำ�ความผิด มาลงทัณฑ์ได้ ที่ผ่านมาแม้ว่าจะมีความ พยายามในการลดระดับความรุนแรง ของปัญหา มีการตั้งองค์กรอิสระเพื่อ การตรวจสอบขึ้นมามากมาย แต่ก็ยังไม่ ปรากฏเป็นรูปธรรมว่าจะมีมาตรการใด ที่มีประสิทธิผลในการแก้ไขปัญหาได้จริง นั่นยิ่งทำ�ให้ผู้กระทำ�ผิดย่ามใจ ไม่ ยำ�เกรงต่อกฎหมาย ไม่ละอายต่อการ กระทำ�ผิด แม้ว่าคนไทยโดยทั่วไปจะรับรู้ว่า บ้านเมืองเรายังมีปัญหาการคอร์รัปชัน เป็นสนิมเกาะกินประเทศอยู่ แต่ กระบวนการตรวจสอบและสกัดกั้นใน ปัจจุบันก็ยังขึ้นอยู่กับกลไกการปราบ ปรามของภาครัฐ โดยเฉพาะสำ�นักงาน คณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำ�นักงาน คณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตในภาครัฐ (ปปท.) เป็นหลัก ขณะที่ประชาชนไม่มีีส่วนร่วมมากนัก ทำ�ให้การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันไม่ได้รับ การสะสางคลี่คลายโดยเร็ว การเพิ่มบทบาทการมีส่วนร่วมของ ประชาชนในการป้องกันและปราบปราม การคอร์รัปชันจึงเป็นอีกหนึ่งภาคีสำ�คัญ ที่จะช่วยให้การแก้ไขปัญหามีความเข้มข้น และจริงจังยิ่งขึ้น ณ วันนี้ ภาคพลเมืองจำ�เป็นต้องลุก ขึ้นมาติดอาวุธในจิตสำ�นึก ช่วยกันติดตาม สอดส่องพฤติการณ์ที่ไม่ชอบมาพากล หรือส่อไปในทางทุจริตของบุคคลและ องค์กร ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน อย่ายอม ตกเป็นเหยื่อผู้ถูกกระทำ�แต่เพียงฝ่ายเดียว อย่างไรก็ดี ด้วยความซับซ้อน ซ่อนเงื่อนของกระบวนการทุจริต คอร์รัปชันในปัจจุบัน อาจเป็นเรื่อง ยากเกินกว่าที่ประชาชนทั่วไป รวมถึงผู้ เกี่ยวข้องจะสามารถทำ�ความเข้าใจและ รู้เท่าทันได้ทั้งหมด จึงจำ�เป็นต้องมีการ สำ�รวจ จำ�แนก วิเคราะห์ และเปิดโปงให้ เห็นกรรมวิธีการโกงและการแสวงหาผล ประโยชน์รูปแบบต่างๆ เพื่อให้ทุกคนได้ รับรู้และเข้าใจร่วมกัน หนังสือ ‘เมนูคอร์รัปชัน และการ แสวงหาผลประโยชน์’ เล่มนี้ เป็นอีกหนึ่ง ความพยายามที่จะตีแผ่ให้เห็นถึงร่องรอย ความเสียหายที่เกิดจากการทุจริต คอร์รัปชันและการแสวงหาผลประโยชน์ โดยรวบรวมกรณีศึกษาของคดีทุจริตสุด อื้อฉาวระดับชาติ 35 กรณี เพื่อขยาย ภาพให้เห็นถึงสารพัดรูปแบบและวิธีการ ของการคอร์รัปชันและการแสวงหา ผลประโยชน์ ที่ผ่านมาในอดีต รวมถึง ผลกระทบต่อประชาชนทั้งทางตรงและ ทางอ้อม การนำ�เสนอกรณีศึกษาการ คอร์รัปชันและการแสวงหาผลประโยชน์ จำ�นวน 35 กรณีศึกษา มาจากการ รวบรวมการนำ�เสนอข่าวโดยสื่อมวลชน และกระบวนการสืบสวนสอบสวนของ เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐ จาก การตรวจสอบข้อเท็จจริงต่างๆ นั้น มี พฤติการณ์ให้เข้าใจว่า การปฏิบัติหน้าที่ ของผู้ที่เกี่ยวข้องมีความไม่โปร่งใส หรือ ส่อไปในทางทุจริต ทำ�ให้บุคคลในสังคม รวมทั้งกองบรรณาธิการเชื่อว่าเป็น ความจริง การนำ�เสนอกรณีศึกษาทั้ง 35 กรณีศึกษาดังกล่าวของกองบรรณาธิการ จึงเป็นไปโดยเจตนาสุจริต เป็นธรรม มิได้ ต้องการจงใจใส่ร้ายผู้ใด เนื้อหาในหนังสือ ทั้งหมดเป็นไปเพื่อสร้างความรู้เท่าทันการ คอร์รัปชันและการแสวงหาผลประโยชน์ รูปแบบต่างๆ แก่ประชาชน การทำ�สงครามต่อต้านคอร์รัปชัน ต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้เพื่อสร้างบรรทัดฐาน อันดีให้กับประเทศไทยต่อไป
  • 7. สารบัญ ออร์เดิร์ฟ : เรียกน้ำ�ย่อย 01 สมาร์ทการ์ด บัตรไม่ฉลาด 9 02 ผู้ใหญ่รวมหัว ฮั้วนมโรงเรียน 16 03 ใบอนุญาต ‘ซานติก้า’ คร่า 66 ศพ 20 04 อมเงินช่วยเหลือเหยื่อน้ำ�ท่วม 24 05 คนกรมศุลฯปั้น ‘สายสืบปลอม’ เบิกรางวัลนำ�จับ 30 06 มายาโกงเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ 34 07 สปส. เล่นแร่แปรธาตุ โยกเงินประกันสังคมเช่าคอมพ์ 38 จานหลัก : อิ่มเต็มคำ� 08 ‘จำ�นำ�ข้าว’ ฉาวทุกเม็ด 45 09 หลอกชาวบ้าน อ้างพอเพียง 52 10 กั๊กโควตา ‘กากถั่วเหลือง’ 60 11 ผลประโยชน์ทับซ้อนของบอร์ด ปตท. 64 12 โรงไฟฟ้าบางคล้ากับ EIA ที่หายไป 68 13 แอร์พอร์ตลิงค์เจ๊ง รฟท. จุก 74 14 ‘คิง เพาเวอร์’ ใหญ่คับสุวรรณภูมิ 80 15 รื้อสัมปทานลานจอดรถสุวรรณภูมิ 86 16 บ้านเอื้ออาทร เอื้อพวกพ้องผู้รับเหมา 92
  • 8. 17 เรื่องน้ำ�เน่า โครงการบำ�บัดน้ำ�เสียคลองด่าน 98 18 เมื่อกระทรวงหมอเลือกข้างพ่อค้ายา 104 19 ส.ป.ก. 4-01 แจกที่ดินเศรษฐี 110 20 ประมูลกล้ายางบนความทุกข์เกษตรกร 118 21 ‘โฮปเวลล์’ กับค่าโง่เสาตอม่อ 9,000 ล้าน 126 เปิบพิสดาร : สากกะเบือยันเรือขุด 22 ‘เรือขุดหัวสว่าน’ ซื้อของ แต่ไม่ได้ของ 133 23 GT 200 ไม้ล้างป่าช้าราคาแพง 138 24 เงินบริจาคสึนามิล่องหน 144 25 ค่าโง่พันล้าน ที่ราชพัสดุหมอชิต 150 26 ฮุบที่ธรณีสงฆ์ เนรมิตสนามกอล์ฟอัลไพน์ 156 27 นำ�เข้ารถหรู เลี่ยงภาษีหมื่นล้าน 162 28 สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ เซ็นปุ๊บ อนุมัติปั๊บ 168 ของหวาน : ทานง่าย อร่อยทุกมื้อ 29 แป๊ะเจี๊ยะหลักแสน แย่งเก้าอี้นักเรียน 175 30 เปลี่ยนอุทยานให้เป็นรีสอร์ต 180 31 ผู้พิทักษ์เศรษฐกิจนอกกฎหมาย 186 32 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กินรวบครบวงจร 194 33 ทำ�ผิดจ่ายถูก-ทำ�ถูกจ่ายแพง วิบากกรรมแรงงานต่างด้าว 202 33 ‘องค์การค้าคุรุสภา’ งาบจัดซื้ออุปกรณ์การเรียน 208 35 เรื่องลับๆ ของท่านผู้พิพากษา 214 เช็คบิล หน้าที่พลเมืองดี: ติดตาม-ตรวจสอบ-ร้องเรียน-แจ้งเบาะแส 221
  • 9. ตามไปดูเส้นทางการทุจริตหลากหลายรูปแบบ ซึ่งเกิดจากคนเพียงไม่กี่กลุ่ม แต่ส่ง ผลกระทบลุกลามร้ายแรง หลายโครงการมีเจตนาดีแต่ประสงค์ร้าย และอีกหลายโครงการ พบการทุจริตแบบผิดเต็มประตู ออร์เดิร์ฟ : เรียกน้ำ�ย่อย
  • 10. 01 สมาร์ทการ์ด บัตรไม่ฉลาด ปูมหลัง บัตรประจำ�ตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ หรือบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด (Smart Card) เป็นหนึ่งในโครงการขยายการจัดทำ�ระบบให้บริการประชาชนทางด้านการทะเบียนและบัตรแบบ ใหม่ โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นช่วงต้นปี 2545 ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยมุ่งหวังให้ ประชาชนสามารถใช้บัตรประจำ�ตัวเพียงใบเดียวในการแสดงตนและติดต่อราชการได้ทุกประเภทต่อ มาในเดือนมิถุนายน 2546 คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบให้ดำ�เนินโครงการจัดทำ�บัตรประชาชน สมาร์ทการ์ด โดยให้เริ่มต้นจากบัตรประจำ�ตัวประชาชนของกระทรวงมหาดไทยเป็นบัตรหลัก ส่วน ข้อมูลของส่วนราชการหรือหน่วยงานอื่นๆสามารถนำ�มาเชื่อมโยงและเพิ่มเติมได้เมื่อมีความพร้อม1 ทั้งนี้ หน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพในการดำ�เนินโครงการมิใช่กระทรวงมหาดไทย แต่เป็นกระทรวง เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อให้เป็นไปตามแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสารของประเทศไทย พ.ศ. 2545-2549 เดือนมกราคม 2547 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้เริ่มดำ�เนินโครงการนำ�ร่องบัตรประชาชน สมาร์ทการ์ดจำ�นวน 10,000 ใบ และดำ�เนินการให้ครบประมาณ 10 ล้านใบ ภายในปี 25472 ต่อมาในเดือนมีนาคม 2547 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารเสนอแผนการผลิตบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดจำ�นวน 64 ล้านใบ ในระยะเวลา 3 1  มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 3 มิถุนายน 2546 เรื่อง การจัดทําบัตรประจําตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card) 2  มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 13 มกราคม 2547 เรื่อง การใช้ประโยชน์บัตรประจําตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ 9
  • 11. เมนูคอร์รัปชัน ปี งบประมาณทั้งสิ้น 7,910 ล้านบาท โดยกระทรวง เทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสารจะเป็นผู้ดำ�เนินการ จัดซื้อบัตรเปล่า และส่งมอบ ให้สำ�นักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวง มหาดไทย ดำ�เนินการบรรจุ ข้อมูลและออกบัตรให้แก่ ประชาชน3 3  มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 23 มีนาคม 2547 เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณสนับสนุน โครงการจัดทําบัตรประจําตัวประชาชน อเนกประสงค์ (Smart Card) เส้นทางผลประโยชน์ รัฐบาลดำ�เนินโครงการบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดโดยยังไม่มีการเตรียมความพร้อม เรื่องระบบข้อมูล ทำ�ให้บัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดไม่สามารถใช้งานได้อย่างที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ การประมูลราคาจ้างผลิตบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดโดยไม่มีการแข่งขัน ทำ�ให้ ราคาประมูลสูงและเกิดความไม่โปร่งใส ส่งผลให้การดำ�เนินการจัดจ้างผลิตบัตรประชาชน สมาร์ทการ์ดเป็นไปอย่างล่าช้า แผนการผลิตบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสาร แบ่งการผลิตเป็น 3 รุ่น โดยรุ่นที่ 1 จะเป็นการผลิตบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดจำ�นวน 12 ล้านใบ ภายในปี 2547 ขณะที่รุ่นที่ 2 และรุ่นที่ 3 จะเป็นการผลิตรุ่นละ 26 ล้านใบ ภายในปี 2548 และ 2549 ตามลำ�ดับ4 ประมูลอลเวง สมาร์ทการ์ด รุ่นที่ 1 เดือนมีนาคม 2547 กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทำ�การประมูลราคา จ้างเหมาผลิตบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด รุ่นที่ 1 จำ�นวน 12 ล้านใบ โดยกำ�หนดราคาเริ่มต้น ที่ 1,440 ล้านบาท หรือเฉลี่ยใบละ 120 บาท การประมูลครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมการประมูลเพียง 2 ราย จากที่ซื้อซองเอกสารการประมูลทั้งสิ้น 42 ราย ซึ่งบริษัทที่ไม่เข้าร่วมการประมูลให้ เหตุผลว่า เงื่อนไขการประมูลทำ�ให้ไม่คุ้มค่าการลงทุน เนื่องจากเงื่อนไขทางเทคนิคสูง ระยะ เวลาการส่งมอบกระชั้นชิด และค่าปรับสูง ผลการประมูลครั้งแรกปรากฏว่า กลุ่มกิจการร่วมค้าจันวาณิชย์เป็นผู้ชนะ โดยเสนอราคา 1,370 ล้านบาท หรือเฉลี่ยใบละ 114 บาท ก่อนจะมีการเจรจาให้ลดราคาเหลือ 108.9 บาทต่อใบ แต่ก็ยังสูงกว่าที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จัดซื้อในโครงการนำ�ร่อง 10,000 ใบที่ราคาใบละ 82 บาท ผลการประมูลดังกล่าวทำ�ให้นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ตัดสินใจยกเลิกผลการประมูล ต่อมาในเดือนมิถุนายน 2547กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจึงจัดการประมูลใหม่โดยใช้ราคาเริ่มต้น ที่ใบละ 108.9 บาท ซึ่งกลุ่มกิจการร่วมค้า CST เป็นผู้ชนะการประมูล โดยเสนอราคา 888 ล้านบาท หรือเฉลี่ยใบละ 74 บาท 4  มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 23 มีนาคม 2547 เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณสนับสนุนโครงการจัดทําบัตรประจําตัวประชาชน อเนกประสงค์ (Smart Card) 10
  • 12. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ สมาร์ทการ์ด รุ่นที่ 2 การประมูลผลิตบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด รุ่นที่ 2 จำ�นวน 26 ล้านใบ ได้แบ่งการประมูลออกเป็น 2 รอบ รอบละ 13 ล้าน ใบ อย่างไรก็ตาม ความไม่โปร่งใสของการประมูลทำ�ให้การ ประมูลรอบแรกถูกยกเลิก และรวมการประมูลผลิตบัตรประชาชน สมาร์ทการ์ดทั้ง 2 รอบไว้ในการประมูลรอบที่ 2 ความไม่โปร่งใสดังกล่าวของการประมูลราคาจ้างเหมา ผลิตบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด รุ่นที่ 2 ครั้งที่ 1 จำ�นวน 13 ล้านใบ เริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม 2549 โดยกระทรวงเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสารกำ�หนดราคาเริ่มต้นที่ 962 ล้านบาท หรือเฉลี่ยใบละ 74 บาท การประมูลครั้งนี้ กลุ่มกิจการร่วมค้า HSTเป็นผู้ชนะการประมูลโดยเสนอราคา486.85ล้านบาทหรือ เฉลี่ยใบละ 37.45 บาท แต่หลังจากการประมูลมีการร้องเรียน ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่าบัตรของกลุ่มกิจการร่วม ค้า HST มีคุณสมบัติไม่ตรงตามเอกสารข้อกำ�หนดโครงการ ทำ�ให้ คณะกรรมการจัดซื้อมีความเห็นขัดแย้งกันว่าจะให้ความเห็นชอบ ผลการประมูลหรือไม่ ต่อมา หลังรัฐประหารในเดือนกันยายน 2549 สำ�นักงาน การตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตรวจสอบกรณีดังกล่าว และพบ ว่าก่อนการประมูลคณะกรรมการประกวดราคามีมติเอกฉันท์ ว่า บัตรของกลุ่มกิจการร่วมค้า HST ไม่ผ่านการรับรองผลการ ทดสอบคุณสมบัติเกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยตามที่ระบุใน เอกสารประกวดราคาแต่ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสาร ในขณะนั้น กลับให้กลุ่มกิจการร่วมค้า HST มีสิทธิ์ เข้าร่วมประมูล ดังนั้น สตง. จึงทำ�หนังสือถึงกระทรวงเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสารให้ทบทวนการดำ�เนินการ กระทั่งต้อง ยกเลิกการประมูลในที่สุด เดือนกรกฎาคม 2550 กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสารจึงเปิดประมูลรอบใหม่ รวมทั้งหมด 26 ล้านใบ โดย กำ�หนดราคาเริ่มต้นที่ 1,612 ล้านบาท หรือเฉลี่ยใบละ 62 บาท การประมูลครั้งนี้ กิจการร่วมค้า VSK เป็นผู้ชนะการประมูล โดย เสนอราคา 921 ล้านบาท หรือเฉลี่ยใบละประมาณ 35.4 บาท สมาร์ทการ์ด รุ่นที่ 3 กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกำ�หนด ให้มีการประมูลราคาจ้างเหมาผลิตบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด รุ่นที่ 3 จำ�นวน 26 ล้านใบ ในเดือนกันยายน 2551 ก่อน จะมีการเลื่อนประมูลออกไปเป็นวันที่ 14 ตุลาคม 2551 และวันที่ 20 ตุลาคม 2551 เนื่องจากบริษัทเอกชนรายหนึ่ง ร้องเรียนว่ากระบวนการคัดเลือกผู้ผ่านเกณฑ์ประมูลไม่โปร่งใส ภายหลังคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างของกระทรวงเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสารตรวจสอบพบว่า ผู้ผ่านเกณฑ์ 2 ราย มีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนตามเอกสารการประกวดราคา กระทรวง เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจึงออกประกาศยกเลิก การประมูล ต่อมาในเดือนพฤษภาคม 2552 กระทรวงเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสารประกาศการประมูลใหม่ โดยกำ�หนด ราคาเริ่มต้นที่ 960 ล้านบาท หรือเฉลี่ยใบละประมาณ 37 บาท การประมูลครั้งนี้ กิจการร่วมค้า VK ซึ่งประกอบด้วยบริษัทหลัก เดียวกันกับกิจการร่วมค้า VSK ที่ชนะการประมูลในปี 2550 เป็นผู้ชนะการประมูล โดยเสนอราคา 902 ล้านบาท หรือเฉลี่ย ใบละประมาณ 34.7 บาท ความคืบหน้า ปัจจุบันหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการดำ�เนินการจ้างเหมา ผลิตบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดเปลี่ยนจากกระทรวงเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร กลับไปเป็นกระทรวงมหาดไทย ดังเช่นในช่วงที่ยังใช้บัตรแบบแถบแม่เหล็ก เนื่องจากปัญหา การประสานงานระหว่าง 2 หน่วยงาน ซึ่งเกิดความขัดแย้ง ในการตรวจรับงานบ่อยครั้ง ทำ�ให้เกิดการขาดแคลนบัตร และ ประชาชนไม่ได้รับความสะดวกในการใช้บัตรเหลืองแทนบัตร ประชาชนชั่วคราว 11
  • 13. เมนูคอร์รัปชัน ผลกระทบต่อประชาชน • รัฐบาลดำ�เนินโครงการบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดโดยไม่มีการเตรียมความพร้อมเรื่องระบบข้อมูล จากเดิมที่มุ่งหวังจะใช้บัตร ประชาชนสมาร์ทการ์ดเพื่อเก็บข้อมูลต่างๆทั้งข้อมูลระบบทะเบียนราษฎร์ข้อมูลระบบประกันสุขภาพข้อมูลระบบประกันสังคม ฯลฯ แต่จากความไม่พร้อมดังกล่าว ทำ�ให้ข้อมูลอื่นๆ นอกจากข้อมูลระบบทะเบียนราษฎร์ไม่ได้ถูกบรรจุลงในบัตร ส่งผลให้บัตร ประชาชนสมาร์ทการ์ดไม่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามที่ควรจะเป็น ซึ่งแทบไม่ต่างจากบัตรประชาชนแถบแม่เหล็ก แบบเดิมที่มีราคาเพียงใบละประมาณ 15 บาท • การกำ�หนดเงื่อนไขการประมูลไว้สูง โดยมิใช่เงื่อนไขด้านเทคนิค ทำ�ให้ผู้เข้าร่วมประมูลมีน้อยราย ขาดการแข่งขันอย่างทั่วถึง เป็นเหตุให้ราคาประมูลสูงกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะในการประมูลราคาจ้างเหมาผลิตบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด รุ่นที่ 1 ที่ตั้งราคาประมูลเริ่มต้นไว้สูงถึง 120 บาท ในขณะที่เคยมีรายงานว่ากระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสามารถจัดทำ�บัตร ดังกล่าวได้ในราคาใบละประมาณ 40 บาทเท่านั้น5 • ความไม่โปร่งใสในการประมูลทำ�ให้การดำ�เนินการจัดจ้างผลิตบัตรประชาชนล่าช้ากว่าที่กำ�หนดไว้ราว 2 ปีครึ่ง ในขณะที่มี ความต้องการใช้บัตรประชาชนถึงปีละกว่า 10 ล้านใบ ทำ�ให้ประชาชนไม่ได้รับความสะดวก • ปัญหาความล่าช้าในการจ้างผลิตบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด ทำ�ให้รัฐต้องสูญเสียงบประมาณในการจัดซื้อบัตรแถบแม่เหล็กเพื่อ ใช้แทนบัตรสมาร์ทการ์ด โดยในช่วงเวลาที่ดำ�เนินโครงการบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดทั้ง 3 รุ่น (มีนาคม 2547 ถึงพฤษภาคม 2552) กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ต้องจัดซื้อบัตรแถบแม่เหล็กเพื่อใช้ทำ�บัตรประชาชนอย่างน้อย 21 ล้านใบ คิดเป็นงบประมาณกว่า 320 ล้านบาท6 5  มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 23 กันยายน 2546 เรื่อง การจัดทำ�บัตรประจำ�ตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card) 6  ฐานข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ, สำ�นักงานการตรวจเงินแผ่นดิน <http://procurement-oag.in.th> 12
  • 14. เอกสารอ้างอิง • IRCP ชนะประมูลสมาร์ทการ์ด คาดทั้งปีรายได้โตตามเป้าหมาย, หนังสือพิมพ์ กระแสหุ้น, 18 สิงหาคม 2549. • เกาหลีคว้าประมูลสมาร์ทการ์ด 921 ล้าน, หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ, 7 กรกฎาคม 2550. • คณะกรรมการสมาร์ทการ์ดเฟส 2 เสียงแตก, หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ, 14 กันยายน 2549. • จันวาณิชย์คว้าสมาร์ทการ์ด, หนังสือพิมพ์ สยามรัฐ, 23 มีนาคม 2547. • ชง คปค. เชือดปลัดไอซีที สตง. แฉฮั้วสมาร์ทการ์ด, หนังสือพิมพ์ แนวหน้า, 25 กันยายน 2549. • ซีเอสทีคว้าชัยให้ใบละ 74 บ. สมาร์ทการ์ด, หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ, 29 มิถุนายน 2547. • ล้มประมูลสมาร์ทการ์ด ไอซีทีรื้อทีโออาร์ นับหนึ่งใหม่, หนังสือพิมพ์ แนวหน้า, 5 มกราคม 2552. • วี-สมาร์ทคว้าสมาร์ทการ์ด 902 ล. ไอซีทีเล็งของบฯ เพิ่มศูนย์ไอซีทีชุมชนถึงพันแห่ง, หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ, 11 มิถุนายน 2552. • สมาร์ทการ์ดมหาดไทยใบละ 82, หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ, 25 มีนาคม 2547. • เอกชนจับตาประมูลสมาร์ทการ์ดล่ม, หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ, 15 มีนาคม 2547. • ไอซีทีล้มประมูลบัตรสมาร์ทการ์ด อ้างราคาแพงเกิน, หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ, 31 มีนาคม 2547. • ไออาร์ซีทีออกโรงแจงชนะประมูลสมาร์ทการ์ด, หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์, 6 กันยายน 2549. • มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 3 มิถุนายน 2546 เรื่อง การจัดทําบัตรประจําตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card). • มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 23 กันยายน 2546 เรื่อง การจัดทำ�บัตรประจำ�ตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card). • มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 13 มกราคม 2547 เรื่อง การใช้ประโยชน์บัตรประจําตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card). • มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 23 มีนาคม 2547 เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณสนับสนุนโครงการจัดทําบัตรประจําตัวประชาชนอเนกประสงค์ (Smart Card). และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 13
  • 15. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 04 เสŒนทาง การจŒางผลิต สมารทการด 3 รุ‹น 01 รุนที่ 1 จำนวน 12 ลานใบ ผูชนะการประมูลเสนอราคา 888 ลานบาท เฉลี่ยใบละ 74 บาท 03 รุนที่ 3 จำนวน 26 ลานใบ ผูชนะการประมูลเสนอราคา 902 ลานบาท เฉลี่ยใบละ 34.70 บาท ทั้ง 3 รุนใชงานไดแทบไมตาง จากบัตรประชาชนแบบ แถบแมเหล็กที่ราคาเพียง ใบละ 15 บาท 02 รุนที่ 2 จำนวน 26 ลานใบ ผูชนะการประมูลเสนอราคา 921 ลานบาท เฉลี่ยใบละ 35.40 บาท ความเสียหาย มีนาคม 2547 ถึงพฤษภาคม 2552 กรมการปกครองตองซื้อบัตร แถบแมเหล็กเพื่อใชเปน บัตรประชาชนชั�วคราวจำนวน 21 ลานใบ คิดเปนเงิน 320ลŒานบาท เพื่อใชแทนสมารทการดที่ลาชา ผลกระทบต‹อ ประชาชน บัตรประชาชนสมารทการด: บัตรไม‹ฉลาด ไดŒชŒา ราคาแพง 01 เมื่อเดือนมีนาคม 2547 คณะรัฐมนตร�มีมติเห็นชอบ แผนการผลิตบัตรประชาชนสมารทการดจำนวน 64 ลŒานใบในระยะเวลา 3 ป‚ ดŒวยงบประมาณ 7,910 ลŒานบาท แต‹จนกระทั่งป˜จจ�บัน บัตรประชาชนสมารทการดก็แทบไม‹ต‹าง จากบัตรประชาชนแบบแถบแม‹เหล็ก เนื่องจากมัน ไม‹มีขŒอมูลใดๆ มากไปกว‹าขŒอมูลทะเบียนราษฎร ตามปกติ ความไม‹โปร‹งใสในการจŒางผลิต ยังทำใหŒเกิด ความล‹าชŒาราว 2 ป‚คร�่ง และเสียงบประมาณกว‹า 8,000 ลŒานบาท การใชŒบัตรแทนพาสปอรต การใชŒบัตรเปšนบัตรเง�นสด บัตรเครดิต และบัตรเดบิต การยืนยันตัวบุคคลโดยใชŒบัตร PIN code และลายนิ�วมือ การใชŒบัตรแทนบัตรเอทีเอ็ม ขŒอมูลเจŒาของบัตร ชื่อ-สกุล หมายเลขบัตรประชาชน ว/ด/ป เกิด ที่อยู‹ ตามขŒอมูลระบบทะเบียนราษฎร ขŒอมูลผูŒเสียภาษีกรมสรรพากร ขŒอมูลระบบประกันสุขภาพ การใชŒบัตรแทนใบขับข�่รถยนตและจักรยานยนต ขŒอมูลสำนักงาน ก.พ. ขŒอมูลระบบประกันสังคม • การไมเตรียมความพรอม เรื่องการเชื่อมโยงขอมูลระหวาง หน�วยงานตางๆ ทำใหการใชงาน บัตรประชาชนสมารทการด แทบไมตางจากบัตรประชาชน แบบแถบแมเหล็ก ทั้งที่ราคาแพงกวามาก • ความไมโปรงใสในการประมูล ทำใหผลิตบัตรประชาชน ไดชากวากำหนดราว 2 ปครึ�ง ทำใหเกิดปญหาขาดแคลน บัตรประชาชน รัฐตองสูญเสีย งบประมาณกวา 320 ลานบาท ในการจัดซื้อบัตรแถบแมเหล็ก 21 ลานใบ เพื่อใชแทนชั�วคราว 1514
  • 16. 02 ผู้ใหญ่รวมหัว ฮั้วนมโรงเรียน ปูมหลัง ด้วยความหวังดีที่จะให้เด็กนักเรียนระดับอนุบาลได้ดื่มนมอย่างน้อย 120 วันต่อปี โครงการ ‘อาหารเสริม (นม) โรงเรียน’ จึงริเริ่มขึ้นเมื่อปี 2535 สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย ในระยะแรกมีการ จัดสรรงบประมาณและกำ�หนดหลักเกณฑ์ โดยให้สำ�นักงานคณะกรรมการส่งเสริมและประสาน งานเยาวชนแห่งชาติ สำ�นักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ ต่อมาในปี 2537 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อสค.) เป็นผู้รับผิดชอบ จากนั้นจึงถ่ายโอนงบประมาณให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็น ผู้จัดซื้อและจัดส่งนมให้สถานศึกษาตั้งแต่ปี 2544 เส้นทางผลประโยชน์ ในการคัดเลือกผู้ดำ�เนินการในโครงการนมโรงเรียนใช้วิธีแข่งขันเสนอราคา ซึ่ง อปท. ให้สิทธิ์ จำ�หน่ายนมตามโซนพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเกณฑ์ในการกำ�หนดโซนเบื้องต้นคือ ความสะดวกและ เหมาะสมในการขนส่ง (logistics) เพื่อขนส่งนมไปยังโรงเรียนต่างๆ อย่างทั่วถึง ตามกติกาการ ประกวดราคา ผู้ประกอบการจะได้รับสิทธิ์จำ�หน่ายนมรายละ 1 โซน ซึ่งสามารถจำ�หน่ายได้เฉพาะ เมนูคอร์รัปชัน16
  • 17. ในโซนที่ตนได้รับสิทธิ์ แต่ปรากฏว่าบางพื้นที่มีผู้ประกอบการ 3 ราย ได้รับสิทธิ์จำ�หน่ายนม 1 โซน ขณะที่มีผู้ประกอบการ 1 ราย ได้รับสิทธิ์จำ�หน่ายนม 2 โซน ซึ่งส่อถึงการจัดสรรสิทธิ์ที่ไม่เป็นธรรม นอกจากการจัดสรรสิทธิ์ที่ไม่เป็นธรรม ยังปรากฏข้อเท็จจริงว่าเกิดการฮั้วกันในกระบวนการ เสนอราคา โดยผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองสิทธิ์แต่ละโซน ซึ่งมีอย่างน้อยโซนละ 18 ราย มีเพียง 1-2 รายเท่านั้นที่เสนอราคา และไม่มีรายใดเลยที่เสนอราคาต่ำ�กว่าราคากลาง มิหนำ�ซ้ำ� ผู้ประกอบการที่ยื่นราคาทั้ง 2 รายก็มิได้ดำ�เนินการด้วยตนเอง แต่มอบอำ�นาจให้ บุคคลเดียวกันดำ�เนินการ บุคคลดังกล่าวถูกเรียกว่า ‘คนเดินนม’ สภาพการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในทุกภูมิภาค โดยการเสนอราคาแต่ละครั้ง หากผู้ประกอบการรายใด เป็นผู้ชนะในพื้นที่หนึ่ง การเสนอราคาในอีกพื้นที่ ผู้ประกอบการที่เคยแพ้การเสนอราคาจะเป็น ฝ่ายชนะบ้าง และทั้ง 2 ครั้งมีคนเดินนมคนเดียวกันเป็นผู้ดำ�เนินการ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ประกอบการรายใดที่ได้ทำ�สัญญากับ อปท. ในพื้นที่ใด ผู้ประกอบการรายนั้น จะเป็นผู้ประกอบการรายเดียวที่ทำ�สัญญากับ อปท. ในพื้นที่นั้นต่อไป มีหลายพื้นที่ที่ อปท. ให้สิทธิ์จำ�หน่ายนมกับผู้ประกอบการที่ได้รับสิทธิ์นอกพื้นที่ และในหลาย พื้นที่พบว่าผู้ประกอบการมอบอำ�นาจให้บุคคลอื่นทำ�สัญญา และบุคคลเดียวกันก็รับมอบอำ�นาจ การทำ�สัญญาจากผู้ประกอบการอีกหลายรายในพื้นที่ หลังจากประกวดราคาและทำ�สัญญา จะมี ‘พ่อค้านม’ ทำ�หน้าที่หาซื้อนมจากผู้ประกอบการ ซึ่งพ่อค้านมจะได้ค่าดำ�เนินการถุงละ 50-60 สตางค์ นอกจากนี้ คุณภาพของนมก็เป็นปัญหาสำ�คัญ แม้ว่ารัฐบาลจะกำ�หนดให้ผู้ประกอบการต้อง ใช้นมโคสด แต่ในความเป็นจริงผู้ประกอบการบางรายใช้วิธีซื้อนมผงจากต่างประเทศมาคืนรูป และบางพื้นที่พบการใช้หางนมผสมน้ำ� ทำ�ให้นมมีกลิ่นและไม่มีคุณภาพ ประกอบกับขบวนการ ล็อคสเป็คบริษัทผลิตนม โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นมีหนังสือคำ�สั่ง ลงวันที่ 29 ตุลาคม 2551ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดให้อปท.ซื้อนมของผู้ประกอบการที่กำ�หนดให้เท่านั้น(มี68 รายทั่วประเทศ) แม้จะพบว่าบางพื้นที่มีผู้ประกอบการที่ผลิตนมคุณภาพดีกว่าและราคาใกล้เคียง กันก็ตาม ผลกระทบต่อประชาชน • นมที่ อปท. ได้รับมีคุณภาพต่ำ� อาจส่งผลต่อสุขภาพของเด็กนักเรียน • ผู้ประกอบการหลายรายไม่ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากถูกกีดกัน จากผู้ประกอบการรายใหญ่และเจ้าหน้าที่ เอกสารอ้างอิง • แฉทุจริตจัดซื้อนมโรงเรียน ล็อคสเป็ค ฮั้วเป็นขบวนการ, หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ, รวมเอกสารข่าวประกวด, สมาคมนักข่าว นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, 2552. • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, รายงาน ความคืบหน้าการทบทวนระบบบริหาร จัดการนมโรงเรียน ตามมติคณะรัฐมนตรี 9 เมษายน 2553, 7 กันยายน 2553. • หนังสือเวียนกรมส่งเสริมการปกครอง ท้องถิ่น ที่ มท.0893.4/ว1186 เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติโครงการ อาหารเสริม (นม) โรงเรียน และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 17
  • 18. ผลกระทบต‹อ ประชาชน • นมที่ อปท. ไดรับมีคุณภาพต่ำ ซึ�งอาจสงผลตอสุขภาพ ของเด็กนักเรียน • ผูประกอบการหลายราย ไมไดรับความเปนธรรม เน��องจากถูกกีดกันจาก ผูประกอบการรายใหญ และเจาหนาที่ นมโรงเร�ยนสนับสนุนโดยรัฐบาล โครงการอาหารเสร�ม (นม) โรงเร�ยน: ฮั้วประกวดราคา คุณภาพต่ำ 02 องคกรปกครองส‹วนทŒองถิ�น (อปท.) เปšนผูŒดำเนินการจัดซื้อและจัดส‹งนม ใหŒกับสถานศึกษาตั้งแต‹ป‚ 2544 โดย อปท. จะใหŒสิทธิ์ผูŒประกอบการจำหน‹ายนม รายละ 1 โซนพ�้นที่ แต‹ปรากฏว‹ามีผูŒประกอบการ บางรายไดŒรับสิทธิ์จำหน‹ายนมมากกว‹า 1 โซน ขณะเดียวกัน การเสนอราคาในแต‹ละโซน มีผูŒประกอบการเพ�ยง 1-2 รายเท‹านั้นที่เสนอราคา โดยผูŒที่เสนอราคากลางจะชนะการประกวดราคา ทุกครั้ง ส‹วนผูŒประกอบการที่เคยแพŒ ก็จะเปšนฝ†ายชนะในการประกวดราคาครั้งถัดไป โครงการนมโรงเร�ยนจ�งเปšนการฮั้วกันระหว‹าง ผูŒประกอบการ โดยมีเด็กนักเร�ยนทั่วประเทศ เปšนผูŒเสียประโยชน 02 ผูประกอบการนอยรายเขารวม เสนอราคา และมีการฮั้วกัน ทำให อปท. ไมเคยไดราคา ที่ต่ำกวาราคากลาง 03 ผูประกอบการทุกราย มอบหมายใหคนเดินนม คนเดียวกันดำเนินการ แทนทุกขั้นตอน 04 หลังทำสัญญา มีคนในพื้นที่ ทำหนาที่หาซื้อนม โดยได คาดำเนินการจากผูผลิตถุงละ 50-60 สตางค 01 อปท. กำหนดโซนพื้นที่อยาง ไมเปนธรรม ผูประกอบการ บางรายมีสิทธิ์ขายนม 1 โซน บางรายมีสิทธิ์ขายนม 2 โซน บันได 4 ขั้น และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 1918
  • 19. 03 ใบอนุญาต ‘ซานติก้า’ คร่า 66 ศพ ปูมหลัง คืนส่งท้ายปีเก่า วันที่ 31 ธันวาคม 2551 เกิดเหตุเพลิงไหม้สถานบันเทิง ‘ซานติก้า’ (Santika) ย่านถนนเอกมัย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 59 คน และมีผู้เสียชีวิตในภายหลังอีก 7 คน รวม 66 คน นอกจากนี้ยังมีผู้บาดเจ็บอีกจำ�นวนมาก สาเหตุหลักของการสูญเสียในครั้งนี้มาจากการปล่อยปละละเลยของเจ้าหน้าที่ในการควบคุม ดูแลสถานบันเทิงที่เปิดโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่ได้ผ่านการตรวจสอบความปลอดภัย อีกทั้งมีการ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำ�ให้มีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ จากการสอบสวน สาเหตุของไฟไหม้ครั้งนี้เกิดจากการจุดพลุไฟฉลองปีใหม่ภายในสถาน บันเทิง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้น หากเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย เมนูคอร์รัปชัน20
  • 20. เส้นทางผลประโยชน์ ซานติก้าตั้งอยู่นอกเขตโซนนิ่งของสถานบันเทิง เคยถูก ดำ�เนินคดีข้อหาเปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตและ จำ�หน่ายสุราในเวลาห้ามจำ�หน่ายทั้งหมด 47 ครั้ง ก่อนที่ พ.ต.อ. ‘ป.’ รองผู้บังคับการกองปราบปรามในขณะนั้น จะเข้ามาถือหุ้น บริษัท ไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส (2003) จำ�กัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น หลักของซานติก้า เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2549 หลังจากนั้น ซานติก้าผับก็ไม่เคยถูกจับอีกเลย จากการตรวจสอบพบว่า กรรมการคนหนึ่งของบริษัท ไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส (2003) จำ�กัด แท้จริงแล้วเป็นเพียง คนรับรถของซานติก้า ขณะที่เจ้าของตัวจริงกลับไม่มีชื่อเป็น กรรมการ ทำ�ให้มีการตั้งข้อสังเกตว่าการกระทำ�ดังกล่าวน่าจะ มีจุดประสงค์เพื่อมิให้เจ้าของตัวจริงต้องรับผิดชอบการประกอบ ธุรกิจของซานติก้า นอกจากนี้ยังพบการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอาคาร พาณิชย์เพื่อการพักอาศัยเป็นสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีการตรวจสอบโครงสร้างว่าเหมาะสมกับการดำ�เนินการ เป็นสถานบริการหรือไม่ มิหนำ�ซ้ำ�ยังปรากฏหลักฐานการปลอม ลายเซ็นของวิศวกรผู้ควบคุมงานก่อสร้าง ซึ่งชี้ว่าเจ้าหน้าที่ สำ�นักงานเขตวัฒนาน่าจะมีส่วนรู้เห็น ขณะเดียวกัน ซานติก้าก็ ไม่เคยถูกตรวจสอบว่ามีอุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัยครบถ้วนหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้น ตลอดระยะเวลาที่เปิดบริการประมาณ 5 ปี ซานติก้าไม่เคยเสียภาษีสรรพสามิต ทั้งที่ตามกฎหมายแล้ว จะต้องเสียในอัตราร้อยละ 10 ของรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่าย นอกจากภาษีสรรพสามิต ซานติก้ายังไม่เสียภาษีป้ายและภาษี โรงเรือนให้กับสำ�นักงานเขตวัฒนา รวมถึงไม่เสียภาษีเงินได้ให้ กับกรมสรรพากรอีกด้วย โศกนาฏกรรมครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการปล่อยปละ ละเลยของเจ้าหน้าที่ในหลายหน่วยงาน และการมุ่งแสวงหา ผลประโยชน์ของผู้ประกอบการ โดยไม่คำ�นึงถึงความปลอดภัย ของผู้ใช้บริการ สถานะของคดี ในคดีที่มีผู้ฟ้อง 12 ราย ศาลปกครองกลางมีคำ� พิพากษาให้กรุงเทพมหานครรับผิดชอบจ่ายค่าสินไหม ทดแทนให้กับผู้เสียหายและญาติที่ได้รับผลกระทบจาก เหตุเพลิงไหม้ ตามมาตรา 5 ของพระราชบัญญัติความ รับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่พ.ศ.2539รวมเป็นเงินกว่า 3.5ล้านบาทและตำ�รวจได้ดำ�เนินคดีกับเจ้าของซานติก้าผับ ในข้อหากระทำ�การโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ ความตาย และให้ออกค่าใช้จ่ายในส่วนของการทำ�ศพและ การพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลกว่า 2 ล้านบาท ผลกระทบต่อ ประชาชน • มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ 66 คน บาดเจ็บ 222 คน • การปล่อยปละละเลยของเจ้าหน้าที่ ทำ�ให้ซานติก้า ดำ�เนินกิจการมานานกว่า 5 ปี โดยไม่ต้องเสียภาษี และดัดแปลงอาคารเป็นสถานบริการโดยไม่ได้รับ อนุญาต เอกสารอ้างอิง • ไฟไหม้ซานติก้าผับ สรรพสามิตวอดวาย, หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์, รวม เอกสารข่าวประกวด, สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, 2550. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 21
  • 21. ผลกระทบต‹อ ประชาชน • มีผูŒเสียชีว�ต จากเหตุการณ 66คน บาดเจ็บ 222คน • การปลอยปละละเลยของ เจาหนาที่ ทำใหซานติกา ดำเนินกิจการไดนานกวา 5 ป โดยทั้งหลบเลี่ยงภาษี และดัดแปลงอาคารเปน สถานบริการโดยไมไดรับ อนุญาต ไฟไหมŒซานติกŒา: ทุจร�ตอนุญาต เปดสถานบร�การ ทำคนตาย 03 หากไม‹ถูกเพลิงไหมŒในคืนวันส‹งทŒายป‚ 2551 ซึ่งทำใหŒคนตาย 66 คน ซานติกŒา ก็อาจจะยังเปšนหนึ่งในจ�ดหมายปลายทาง ของนักท‹องราตร�ตราบจนทุกวันนี้ และเร�่องราวของความไม‹ชอบมาพากลต‹างๆ มากมายก็จะยังอยู‹ในเงามืดต‹อไป แมŒจากการสอบสวน สาเหตุของเพลิงไหมŒ เกิดจากการจ�ดพลุไฟฉลองป‚ใหม‹ แต‹สาเหตุ ที่เปšนตŒนตอจร�งๆ คือการเปลี่ยนแปลงโครงสรŒาง อาคารพาณิชยเพ�่อการพักอาศัยเปšนสถานบร�การ โดยไม‹ไดŒรับอนุญาต และไม‹มีการตรวจสอบ โครงสรŒางว‹าเหมาะสมกับการเปšนสถานบร�การ หร�อไม‹ นอกจากนี้ยังมีการปลอมลายเซ็น ของว�ศวกรผูŒออกแบบและควบคุมงาน ซึ่งยากที่เจŒาหนŒาที่ของรัฐจะไม‹มีส‹วนรูŒเห็น สถานะ ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา ใหกรุงเทพมหานครรับผิดชอบ จายคาสินไหมทดแทนใหกับ ผูเสียหายและญาติที่ไดรับ ผลกระทบจากเหตุเพลิงไหมกวา 3.5 ลานบาท และตำรวจ ไดดำเนินคดีกับเจาของซานติกา และใหออกคาใชจายในสวนของ การทำศพและการพิสูจนเอกลักษณ บุคคลกวา 2 ลานบาท • ผูบริหารซานติกา เคยถูกจับกุมในขอหา เปดสถานบริการ โดยไมไดรับอนุญาต และจำหน�ายสุรา ในเวลาหามจำหน�าย ทั้งหมด 47 ครั้ง • ซานติกาไมเสียภาษี สถานบริการใหกับ กรมสรรพสามิตตลอด 5 ปที่เปดบริการ รูŒหร�อไม‹ว‹า… และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 2322
  • 22. 04 อมเงินช่วยเหลือ เหยื่อน้ำ�ท่วม ปูมหลัง ปี 2554 ในสมัยรัฐบาลชุด ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จัดทำ�โครงการ ‘ยกระดับฝีมือแรงงานลูกจ้าง ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เพื่อป้องกันและชะลอการเลิกจ้างแรงงาน’ และได้รับจัดสรร งบประมาณ 61.5 ล้านบาท โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน มีหน้าที่ประชาสัมพันธ์ และดำ�เนินงาน ในการดำ�เนินงาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงานจัดสรรงบประมาณผ่านสภาอุตสาหกรรมแห่ง ประเทศไทย (ส.อ.ท.) ไปยังสถานประกอบการแห่งละ 81,600 บาทต่อรุ่น เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ในการฝึกอบรมพนักงาน 10 วัน วันละ 6 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม โครงการยกระดับฝีมือแรงงานฯ ส่อเค้าว่ามีการทุจริต โดยประธาน ส.อ.ท. จังหวัดลพบุรี และรองเลขาธิการ ส.อ.ท. ถูกสงสัยว่ายักยอกเงินโครงการในจังหวัดลพบุรี ทำ�ให้ ผู้ประกอบการได้รับงบประมาณสนับสนุนต่อรุ่นน้อยกว่าเป้าหมายเป็นจำ�นวนมาก เมนูคอร์รัปชัน24
  • 23. เส้นทางผลประโยชน์ สำ�นักข่าวไทยพับลิก้ารายงานว่า กองบังคับการปราบปรามตรวจสอบเส้นทางการเบิกจ่าย งบประมาณ พบว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงานอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมแรงงาน จังหวัดลพบุรี 150 รุ่น ประมาณ 12.24 ล้านบาท ต่อมา ผู้อำ�นวยการกองพัฒนาศักยภาพแรงงาน และผู้ประกอบกิจการ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโครงการยกระดับฝีมือแรงงานฯ ทำ�เรื่องขอโอนเงินจำ�นวน ดังกล่าวเข้าบัญชีของตน หลังจากนั้น ผู้อำ�นวยการกองพัฒนาศักยภาพแรงงานฯ สั่งจ่ายเช็คเป็นจำ�นวนทั้งหมด 4 ครั้ง ครั้งที่ 1 เช็คสั่งจ่ายเงินสด 430,000 บาท โดยอดีตอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานนำ�เช็ค ไปขึ้นเงิน ครั้งที่ 2 และ 3 เช็คสั่งจ่าย ส.อ.ท. รวมกัน 11.54 ล้านบาท โดยรองเลขาธิการ ส.อ.ท. ซึ่งได้ รับมอบอำ�นาจเป็นผู้รับเงินจากประธาน ส.อ.ท. จังหวัดลพบุรี นำ�เช็คไปขึ้นเงิน และครั้งที่ 4 เช็คสั่งจ่ายเงินสด 260,000 บาท โดยบุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวกับ ส.อ.ท. นำ� เช็คไปขึ้นเงิน จะเห็นได้ว่า ผู้อำ�นวยการกองพัฒนาศักยภาพแรงงานฯ สั่งจ่ายเช็ค 2 ครั้ง รวมมูลค่า 690,000 บาทให้กับบุคคลที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการฯ ในจังหวัดลพบุรี และไม่ได้รับ มอบอำ�นาจให้รับเงินแทน ในขั้นตอนนี้งบประมาณของโครงการฯ ในจังหวัดลพบุรีจึงเหลือเพียง 11.54 ล้านบาท หลังได้รับเงิน 11.54 ล้านบาทแล้ว รองเลขาธิการ ส.อ.ท. ได้มอบเงินให้ประธาน ส.อ.ท. จังหวัดลพบุรี 7.62 ล้านบาท แต่ประธาน ส.อ.ท. จังหวัดลพบุรีกลับนำ�เงินเข้าโครงการฯ ในจังหวัด ลพบุรี เพียง 5 ล้านบาท นั่นหมายความว่า จังหวัดลพบุรีได้รับงบประมาณจริงเพียงร้อยละ 40 ของงบประมาณที่ ได้รับอนุมัติจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และผู้เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับเงินอุดหนุนต่อรุ่นเพียง 35,000-40,000 บาท จากที่กำ�หนดไว้ 81,000 บาท และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 25
  • 24. ผลกระทบต่อประชาชน • โครงการฝึกอบรมแรงงานในจังหวัดลพบุรีได้รับงบประมาณเพียงร้อยละ 40 ของงบประมาณ ที่ควรได้รับ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพของการฝึกอบรมแรงงาน และอาจทำ�ให้แรงงานบางส่วน ไม่ได้รับการฝึกอบรม สถานะของคดี • กรมแรงงานตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยผู้อำ�นวยการกองพัฒนาศักยภาพแรงงานและ ผู้ประกอบกิจการ และข้าราชการที่เกี่ยวข้อง • กองบังคับการปราบปรามสรุปว่า มีหลักฐานที่เชื่อได้ว่ามีการทุจริตในโครงการ โดย ผู้ต้องสงสัยว่ากระทำ�การทุจริต ได้แก่ อดีตอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน รองเลขาธิการ ส.อ.ท. และประธาน ส.อ.ท. จังหวัดลพบุรี • กองบังคับการปราบปรามอยู่ระหว่างสรุปสำ�นวนคดีเพื่อส่งให้คณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวข้องกับการทุจริต • สำ�นักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) อยู่ระหว่างตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของโครงการฯ เมนูคอร์รัปชัน26
  • 25. เอกสารอ้างอิง • แกะเส้นทางเงิน 12 ล้านบาท ปมฉาวความขัดแย้งสภาอุตฯ, ไทยพับลิก้า, 1 มีนาคม 2556. • โครงการฝึกอบรมชะลอการเลิกจ้างวงเงิน 60 ล้านบาทฉาว เร่งอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือ แรงงาน-ป.ป.ช.-ส.อ.ท. ตรวจสอบ, ไทยพับลิก้า, 23 พฤศจิกายน 2555. • เจาะงบเยียวยาน้ำ�ท่วม 12 ล้านบาท กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (1): ผู้ขออนุมัติเงิน – ผู้สอบข้อเท็จจริงคนเดียวกัน, ไทยพับลิก้า, 18 มีนาคม 2556. • เจาะงบเยียวยาน้ำ�ท่วม 12 ล้านบาท กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (2): กองปราบ-สตง. ลุย สอบเส้นทางเดินเงิน, ไทยพับลิก้า, 27 มีนาคม 2556. • เจาะงบเยียวยาน้ำ�ท่วม 12 ล้านบาท กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (3): สอบวินัย ‘รำ�พึง ธรรมเจริญ’ ตรวจใบเสร็จ 12 ล้าน, ไทยพับลิก้า, 2 เมษายน 2556. • เจาะงบเยียวยาน้ำ�ท่วม 12 ล้านบาท กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (4): สภาอุตฯ แจ้งกอง ปราบ ดำ�เนินคดีอดีตอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อมงบฯ น้ำ�ท่วม, ไทยพับลิก้า, 18 พฤษภาคม 2556. • ส.อ.ท. สอบทุจริตค่าฝึกอบรมยกระดับฝีมือแรงงาน จ.ลพบุรี เงินหาย 6 ล้านบาท, สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส, 22 กุมภาพันธ์ 2556. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 27
  • 26. หลังเหตุการณน้ำท‹วมป‚ 2554 รัฐบาลตั้งโครงการ เพ�่อช‹วยเหลือแรงงานที่ไดŒรับผลกระทบ โดยใหŒ กรมพัฒนาฝ‚มือแรงงานจัดสรรงบประมาณ 61.5 ลŒานบาท ผ‹านสภาอุตสาหกรรม แห‹งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ไปยังสถานประกอบการ เพ�่อเปšนค‹าใชŒจ‹ายในการฝƒกอบรมแรงงาน 04 บันได 4 ขั้น 01 กรมพัฒนาฝมือแรงงานอนุมัติ งบประมาณการฝกอบรม แรงงานในจังหวัดลพบุรี 12.24 ลานบาท 03 รองเลขาธิการ ส.อ.ท. จังหวัดลพบุรี มอบเงินให ประธาน ส.อ.ท. จังหวัดลพบุรี เพียง 7.62 ลานบาท ประธาน ส.อ.ท. จังหวัดลพบุรี นำเงินเขาโครงการเพียง 5 ลานบาท โครงการช‹วยเหลือแรงงานผูŒเสียหายจากน้ำท‹วม: ราชการ-เอกชน ร‹วมใจยักยอกเง�น 04 สถานะ • กองบังคับการกองปราบปราม สรุปวามีหลักฐานที่เชื่อไดวา มีการทุจริต และมีผูตองสงสัย วาทุจริต 13 คน ซึ�งรวมถึงอดีต อธิบดีกรมพัฒนาฝมือแรงงาน รองเลขาธิการ ส.อ.ท. ลพบุรี และประธาน ส.อ.ท. ลพบุรี เง�นเขŒาโครงการ ผลกระทบต‹อ ประชาชน • โครงการฝกอบรมแรงงาน ในจังหวัดลพบุรีไดรับงบประมาณ เพียง 40% ของงบประมาณ ที่ควรไดรับ ซึ�งสงผลตอคุณภาพ ของการฝกอบรมแรงงาน และอาจทำใหแรงงานบางสวน ไมไดรับการฝกอบรม 02 ผอ. กองพัฒนาศักยภาพ แรงงานและผูประกอบกิจการ สั�งจายเช็ค 11.54 ลานบาท ใหรองเลขาธิการ ส.อ.ท. จังหวัดลพบุรี และสั�งจายเช็ค สวนที่เหลืออีก 6.9 แสนบาท ใหอดีตอธิบดีกรมพัฒนาฝมือ แรงงานและบุคคลภายนอก อีก 1 คน ทั้งที่ทั้งสองคน ไมเกี่ยวของกับการบริหาร โครงการ5.0ลŒานบาท 2.6ลŒานบาท3.9ลŒานบาท 0.7 ลŒานบาท งบประมาณค‹าใชŒจ‹ายการฝƒกอบรม แรงงานจังหวัดลพบุร� รองเลขาธิการ ส.อ.ท. จังหวัดลพบุร� อดีตอธิบดีกรม พัฒนาฝ‚มือแรงงาน และคนภายนอก 1 คน ประธาน ส.อ.ท. จังหวัดลพบุร� โครงการฝกอบรมแรงงาน ในจังหวัดลพบุรีไดรับอนุมัติ งบประมาณ 12.24 ลานบาท ซึ�งกรมพัฒนาฝมือแรงงานสั�งจาย เช็คเขาบัญชีของ ผอ. กองพัฒนา ศักยภาพแรงงานและผูประกอบ กิจการ จากนั้น ผอ. จึงสั�งจาย เช็คอีก 4 ครั้ง ครั้งที่ 1 สั�งจายเงินสด 4.3 แสนบาท ซึ�งอดีตอธิบดี กรมพัฒนาฝมือแรงงานนำเช็ค ไปขึ้นเงิน ครั้งที่ 2 และ 3 สั�งจายเขาบัญชี ของ ส.อ.ท. จังหวัดลพบุรี จำนวน 11.54 ลานบาท ซึ�งรองเลขาธิการ ส.อ.ท. จังหวัดลพบุรี นำเช็ค ไปขึ้นเงิน ครั้งที่ 4 สั�งจายเงินสด 2.6 แสนบาท ซึ�งบุคคลภายนอก ที่ไมเกี่ยวกับ ส.อ.ท. นำเช็ค ไปขึ้นเงิน ตอมา ประธาน ส.อ.ท. จังหวัดลพบุรี ชี้แจงวาไดรับเงิน จากรองเลขาธิการ ส.อ.ท. เพียง 7.62 ลานบาท แตก็ปรากฏ หลักฐานวาประธาน ส.อ.ท. นำเงินเขาบัญชีของคณะทำงาน โครงการเพียง 5 ลานบาท ดังนั้น งบประมาณจาก กรมพัฒนาฝมือแรงงาน จึงหายไประหวางทางประมาณ 7.24 ลานบาท และมีเงิน เขาโครงการในจังหวัดลพบุรี เพียง 5 ลานบาท หรือเพียง 40% ของงบประมาณที่ไดรับ ซึ�งทำใหโครงการมีเงินสำหรับ จัดฝกอบรมแรงงานเพียง 35,000-40,000 บาทตอรุน จากที่กำหนดไวรุนละ 81,600 บาท และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 2928
  • 27. 05 คนกรมศุลฯปั้น ‘สายสืบปลอม’ เบิกรางวัลนำ�จับ ปูมหลัง การจ่ายเงินสินบนและรางวัลนำ�จับในหน่วยงานราชการบางแห่ง มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มแรง จูงใจให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างขวัญกำ�ลังใจแก่เจ้าพนักงานที่ต้องเสี่ยง อันตราย และป้องกันการละเว้นการทำ�หน้าที่ รวมถึงการรับเงินสินบนจากผู้กระทำ�ความผิด ซึ่ง พระราชบัญญัติศุลกากรได้กำ�หนดให้มีการจ่าย ‘เงินสินบน’ และ ‘รางวัลนำ�จับ’ กรณีที่มีการจับกุม การลักลอบหนีศุลกากรหรือการสำ�แดงเท็จ โดยแบ่งเป็น 2 กรณี ดังนี้ 1. กรณีไม่มีผู้แจ้งเบาะแส – เจ้าหน้าที่จะได้รับ ‘รางวัลนำ�จับ’ ร้อยละ 30 ของค่าปรับ 2. กรณีมีผู้แจ้งเบาะแส – เจ้าหน้าที่จะได้รับ ‘รางวัลนำ�จับ’ ร้อยละ 25 ของค่าปรับ และ ผู้แจ้งเบาะแสจะได้รับ ‘เงินสินบน’ ร้อยละ 30 ของค่าปรับ ดังนั้น ผลประโยชน์ที่เจ้าหน้าที่และ ผู้แจ้งเบาะแสจะได้รับจึงคิดเป็นร้อยละ 55 ของค่าปรับ ระบบการจ่ายเงินสินบนในกรณีที่มีผู้แจ้งเบาะแสทำ�ให้ผลประโยชน์เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 เมื่อ เทียบกับกรณีที่เจ้าหน้าที่จับกุมเอง กฎกติกาในการจ่ายเงินสินบนและรางวัลนำ�จับเช่นนี้จึงเปิด ช่องและสร้างแรงจูงใจให้เจ้าหน้าที่กระทำ�การทุจริตมากขึ้นกว่าเดิม เมนูคอร์รัปชัน30
  • 28. เส้นทางผลประโยชน์ เจ้าหน้าที่ศุลกากรมีโอกาสที่จะสร้าง ‘สายสืบปลอม’ ขึ้นมาเพื่อรับผลประโยชน์เพิ่มอีก ร้อยละ 25 ของค่าปรับ เนื่องจากหลักฐานในการแจ้งเบาะแสมีเพียง ‘ลายพิมพ์นิ้วมือ’ เท่านั้น ส่วน รายชื่อผู้แจ้งเบาะแสจะถูกเก็บไว้เป็นความลับ ตัวอย่างของการทุจริตโดยเจ้าหน้าที่ศุลกากรเช่นเจ้าหน้าที่ศุลกากรรายหนึ่งจับกุมชาวต่างชาติ ลักลอบขนทองคำ�ผ่านด่านที่อำ�เภอหาดใหญ่จังหวัดสงขลาภายหลังการจับกุมเจ้าหน้าที่รายดังกล่าว อ้างว่าได้รับแจ้งจาก ‘สาย’ ว่าจะมีการลักลอบนำ�ทองคำ�แท่งผ่านด่านศุลกากร จึงทำ�เอกสาร ขอเบิกเงินสินบนให้แก่สายที่แจ้งข่าว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรถโดยสารในอำ�เภอหาดใหญ่ต้องรอให้ผู้โดยสารขึ้นจนเต็มครบทุก ที่นั่งจึงจะออกเดินทางดังนั้นข้อมูลในเอกสารเบิกเงินสินบนที่ระบุว่า‘สายรายงานว่าจะมีชาวต่างชาติ ลักลอบขนทองคำ�’ โดยระบุเวลาและหมายเลขทะเบียนของรถโดยสารอย่างชัดเจนแน่นอน จึง ไม่สมเหตุสมผล การตรวจพบดังกล่าวจึงน่าจะเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ ‘ตามปกติ’ ของเจ้าหน้าที่ เอง โดยไม่มีการแจ้งเบาะแสจากภายนอก ดังนั้น การอ้างว่ามีสายให้เบาะแสและสร้างหลักฐาน ลายนิ้วมือปลอมจึงเกิดขึ้น เพราะเจ้าหน้าที่หวังจะได้รับเงินสินบนและรางวัลนำ�จับเพิ่ม กรณีข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการทุจริตรับเงินสินบนและรางวัลนำ�จับ ซึ่งการที่ไม่ สามารถตรวจสอบการแจ้งเบาะแสได้ จึงทำ�ให้ไม่ทราบว่าการเบิกจ่ายเงินสินบนและรางวัลนำ�จับ ที่ผ่านมามีการทุจริตจากการสร้างสายสืบปลอมมากน้อยแค่ไหน ผลกระทบต่อประชาชน • การสร้างสายสืบปลอมทำ�ให้รัฐได้รับส่วนแบ่งค่าปรับน้อยกว่าที่ควร จากที่ ควรได้ร้อยละ 70 ของค่าปรับ เหลือเพียงร้อยละ 45 ของค่าปรับ เพราะ ร้อยละ 25 สูญไปในกระบวนการทุจริต • ในบางกรณี เจ้าหน้าที่อาจกลั่นแกล้งให้นำ�เข้าสินค้าโดยไม่เสียภาษีหรือ เสียภาษีไม่ครบถ้วน แล้วจึงดำ�เนินการเอาผิดย้อนหลัง ซึ่งสร้างปัญหาแก่ ผู้ประกอบการที่มิได้มีเจตนากระทำ�ความผิด ทำ�ให้ประเทศไทยเสียชื่อเสียง ในด้านการค้าระหว่างประเทศ เอกสารอ้างอิง • กรมศุลกากร (2): 12 ปี พ่อค้าจ่ายค่า ปรับ 3.5 หมื่นล้าน – คนกรมศุลฯ รับ รางวัลกว่าหมื่นล้าน จาก thaipublica. org, 7 กันยายน 2555 • กรมศุลกากร (5): ระบบการจ่ายเงิน สินบน รางวัล หลุมดำ�การปฏิรูป และ รัฐเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น หรือใครได้ จาก thaipublica.org, 9 ตุลาคม 2555 และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 31
  • 29. 1.เจŒาหนŒาท่ีจับเอง เจŒาหนŒาท่ีสรŒางสายสืบปลอม เง�นสินบน และรางวัลนำจับ หน�วย: บาท 2.สายสืบแจŒงเจŒาหนŒาท่ี 45% รัฐบาล 25% เจŒาหนŒาท่ี 30% สายสืบ 45% รัฐบาล 55% เจŒาหนŒาท่ี ผลกระทบต‹อ ประชาชน บันได 3 ขั้น เงินสินบนสำหรับสายสืบ ยอดเบิกจายเงินสินบน และรางวัลนำจับ ของกรมศุลกากร ในชวงป 2544-2553 70% รัฐบาล 30% เจŒาหนŒาท่ี เง�นสินบนและรางวัลนำจับกรมศุลกากร: สรŒาง ‘สายสืบปลอม’ เพ�่อรับเง�นเพ��ม 05 ในป˜จจ�บัน กฎหมายศุลกากรกำหนดใหŒมี การจ‹ายเง�นสินบนและรางวัลนำจับกรณี ที่มีการจับกุมการลักลอบหนีศุลกากรหร�อ การสำแดงเท็จ 2 กรณี • ถŒาไม‹มีผูŒแจŒงเบาะแส เจŒาหนŒาที่จะไดŒรับรางวัล นำจับ 30% ของค‹าปรับ • ถŒามีผูŒแจŒงเบาะแส เจŒาหนŒาที่จะไดŒรับรางวัลนำจับ 25% ของค‹าปรับ และผูŒแจŒงเบาะแสจะไดŒรับ เง�นสินบน 30% ของค‹าปรับ ในกรณีหลัง ผลที่เกิดข�้นกลับกลายเปšนการสรŒาง แรงจ�งใจใหŒเจŒาหนŒาที่ทุจร�ต โดยการสรŒาง ‘สายสืบปลอม’ ซึ่งอาจทำใหŒเจŒาหนŒาที่ไดŒรับ ผลประโยชนสูงสุดถึง 25%+30% = 55% • การสรางสายสืบปลอมทำให รัฐไดรับ 45% แทนที่จะเปน 70% ของคาปรับ • ในบางกรณ� เจาหนาที่อาจ กลั�นแกลงใหนำเขาสินคา โดยไมเสียภาษีหรือเสียภาษี ไมครบถวน แลวจึงดำเนินการ เอาผิดยอนหลัง ซึ�งสรางปญหา แกผูประกอบการที่มิได มีเจตนากระทำความผิด • เสียภาพลักษณและชื่อเสียง ของประเทศในดานการคา ระหวางประเทศ 01 เจาหนาที่ศุลกากรพบการ กระทำความผิดระหวาง การปฏิบัติหนาที่ 02 สรางหลักฐานปลอม โดยใชลายพิมพนิ้วมือปลอม 03 รับเงินสินบนและรางวัลนำจับ 55% ของคาปรับ 9,004,000,000 4,907,000,000 และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 3332
  • 30. 06 มายาโกง เทศกาลภาพยนตร์ นานาชาติกรุงเทพฯ ปูมหลัง ‘เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ’ เป็นงานเทศกาลภาพยนตร์ที่จัดขึ้นเป็นประจำ� ทุกปี โดยอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) อย่างไรก็ตาม การคัดเลือก ‘ผู้จัดงาน’ เทศกาลภาพยนตร์ดังกล่าวใช้การจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ แทนที่จะเป็นการ ประกวดราคา ซึ่งเปิดช่องให้มีการใช้ดุลพินิจในการตัดสินใจโดยผู้มีอำ�นาจ อันนำ�ไปสู่การแสวงหา ผลประโยชน์จากงานเทศกาลดังกล่าวซึ่งมีมูลค่ามหาศาล เส้นทางผลประโยชน์ คำ�ตัดสินของศาลแคลิฟอร์เนีย ระบุว่า เจอรัลด์ กรีน (Gerald Green) และ แพทริเซีย กรีน (Patricia Green) ผู้บริหารบริษัทภาพยนตร์ชาวอเมริกัน ได้จ่ายสินบนให้แก่ จุฑามาศ ศิริวรรณ อดีตผู้ว่าการ ททท. เพื่อให้จ้างบริษัทของตนเป็นผู้จัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ผ่านการจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ อย่างไรก็ตาม การจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษตามกฎหมายไทยนั้น ผู้ว่าการ ททท. มีอำ�นาจ อนุมัติการทำ�สัญญาโครงการในวงเงินไม่เกิน 25 ล้านบาทต่อสัญญา หากเกินกว่านั้นต้องใช้วิธี เมนูคอร์รัปชัน34
  • 31. ประกวดราคา สองสามีภรรยาครอบครัวกรีนจึงใช้วิธีตั้งบริษัทขึ้นหลายบริษัท และให้ ททท. แตกสัญญาจ้างเป็น หลายฉบับ โดยมูลค่าของสัญญาแต่ละฉบับอยู่ภายใต้วงเงินงบประมาณที่ผู้ว่าการ ททท. สามารถอนุมัติได้โดย ไม่ต้องผ่านการประกวดราคา ในช่วงที่จุฑามาศดำ�รงตำ�แหน่งผู้ว่าการ ททท. ก่อนการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์แต่ละปี จะมีการเจรจา กับ เจอรัลด์ กรีน เพื่อทำ�การตกลงจ้างให้เป็นผู้จัดงาน ซึ่งทางบริษัทครอบครัวกรีนต้องแบ่งเงินให้แก่จุฑามาศ ราวร้อยละ 10-20 ของมูลค่าสัญญา เมื่อตกลงกันเรียบร้อยททท.จะแตกสัญญาจ้างจัดงานเทศกาลภาพยนตร์เป็นหลายฉบับขณะที่ครอบครัวกรีน ก็เริ่มตั้งบริษัทหลายๆ เจ้า เพื่อแยกทำ�สัญญากับ ททท. โดยพยายามปกปิดว่าบริษัทเหล่านี้ตั้งโดยคนกลุ่มเดียวกัน ซึ่งก็คือครอบครัวกรีน ด้วยการใช้ที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ของสำ�นักงานคนละแห่ง เมื่อได้รับเงินค่าจ้างจัดงานเรียบร้อย สองสามีภรรยาครอบครัวกรีนก็จะตกแต่งบัญชีค่าใช้จ่ายของบริษัทที่ รับงานให้สูงกว่าความเป็นจริง เพื่อนำ�เงินส่วนที่เพิ่มขึ้นมาจ่ายสินบนให้แก่จุฑามาศ ด้วยการออกแคชเชียร์เช็ค หรือไม่ก็โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของลูกสาวจุฑามาศและเพื่อนของจุฑามาศ โดยระบุว่าเป็นค่านายหน้าการขาย วิธีการดังกล่าวถูกใช้ตลอดการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ระหว่างปี 2546-2549 ภายใต้ความรับผิดชอบของจุฑามาศ สถานะของคดี สำ�หรับการดำ�เนินคดีกับผู้ให้สินบนในสหรัฐอเมริกา ศาล แคลิฟอร์เนียมีคำ�พิพากษาเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2553 ว่านาย และนางกรีนกระทำ�ความผิด จากการจ่ายสินบนให้เจ้าหน้าที่ ของรัฐในต่างประเทศ เพื่อให้ได้มาซึ่งสัญญาการจัดงานเทศกาล ภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ จึงตัดสินโทษจำ�คุก 6 เดือน และ กักบริเวณในบ้านอีก 6 เดือน รวมถึงให้จ่ายค่าปรับอีก 250,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 7.5 ล้านบาท) ขณะที่การดำ�เนินคดีกับจุฑามาศและลูกสาวซึ่งเป็นผู้รับ สินบนในไทย คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดทางอาญา จากการรับ ทรัพย์สินโดยมิชอบ และการเอื้อประโยชน์ให้มีการทำ�สัญญากับ รัฐโดยไม่มีการแข่งขันด้านราคา โดย ป.ป.ช. ส่งเรื่องต่อให้อัยการ ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2554 ปัจจุบัน (กุมภาพันธ์ 2557) คดียัง คงค้างอยู่ในชั้นอัยการ ผลกระทบต่อ ประชาชน • งานเทศกาลภาพยนตร์มีคุณภาพต่ำ� และใช้งบ ประมาณมากกว่าที่ควรจะเป็น • การคัดเลือกผู้จัดงานเทศกาลภาพยนตร์เป็นไปอย่าง ไม่เป็นธรรม เอกสารอ้างอิง • United States v. Gerald Green, et al. Court Docket Number: 08-CR-059- GW, Central District of California และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 35
  • 32. เทศกาลภาพยนตรนานาชาติกรุงเทพฯ: แตกสัญญา เลี่ยงประกวดราคา 06 วันที่ 12 สิงหาคม 2553 ศาลแคลิฟอรเน�ยมีคำพิพากษาวา นายและนางกรีนกระทำความผิด จากการจายสินบนใหเจาหนาที่ ของรัฐในตางประเทศ เพื่อใหไดมา ซึ�งสัญญา โดยลงโทษจำคุก 6 เดือน และกักบริเวณในบาน อีก 6 เดือน รวมถึงใหจายคาปรับ อีก 250,000 ดอลลารสหรัฐ (ประมาณ 7.5 ลานบาท) สถานะป˜จจ�บัน เง�นสินบน นอนคุกนอนบŒาน วันที่ 23 สิงหาคม 2554 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมติชี้มูลความผิดทางอาญา แกนางจุฑามาศและลูกสาว แตจนถึงขณะน�้ เรื่องยังคงคาง อยูในชั้นอัยการ โดยไมมี การสั�งฟองแตอยางใด สัญญา7 แตกสัญญา สัญญา9 แตกสัญญา สัญญา9 แตกสัญญา สัญญา7 แตกสัญญา ผลกระทบต‹อ ประชาชน บันได 4 ขั้น ครอบครัวกรีนเจรจาจาย สินบนใหผูวาการ ททท. เพื่อใหไดรับสิทธิ์เปนผูจัดงาน เทศกาลภาพยนตร 01 • การคัดเลือกผูจัดงานเทศกาล ภาพยนตรเปนไปอยาง ไมเปนธรรม • งานเทศกาลภาพยนตร มีคุณภาพต่ำ และใชงบประมาณ มากกวาที่ควรจะเปน มีเงินโอนเขาบัญชีธนาคารของ ลูกสาวและเพื่อนของนางจุฑามาศ ประมาณ 60ลŒานบาท นายเจอรัลดและนางแพทร�เซีย กร�น ผูŒบร�หาร บร�ษัทภาพยนตรชาวอเมร�กัน เจรจาจ‹ายสินบน ใหŒนางจ�ฑามาศ ศิร�วรรณ ผูŒว‹าการการท‹องเที่ยว แห‹งประเทศไทย (ททท.) ในขณะนั้น ประมาณ 10-20% ของมูลค‹าสัญญา เพ�่อแลกกับ การไดŒเปšนผูŒจัดงานเทศกาลภาพยนตร โดย ททท. แตกสัญญาออกเปšนหลายฉบับ แต‹ละฉบับมีวงเง�น ไม‹เกิน 25 ลŒานบาท ซึ่งเปšนยอดเง�นที่ผูŒว‹าการมีอำนาจอนุมัติไดŒเลย โดยไม‹ตŒองผ‹านการประกวดราคา ภายหลังมีการตรวจสอบพบว‹ามีหลักฐาน การโอนเง�นเขŒาบัญชีธนาคารลูกสาว และเพ�่อนของนางจ�ฑามาศทั้งหมด 41 ครั้ง จำนวนเง�นประมาณ 60 ลŒานบาท ครอบครัวกรีนตั้งบริษัทขึ้น หลายบริษัทเพื่อทำสัญญาจาง กับ ททท. 02 ททท. แตกสัญญาเปนหลาย ฉบับ แตละฉบับมีวงเงิน ไมเกิน 25 ลานบาท เพื่อ หลีกเลี่ยงการประกวดราคา 03 ครอบครัวกรีนตกแตงบัญชี ใหสูงกวาความเปนจริง เพื่อ นำเงินสวนตางมาจายสินบน 04 164,000,000 2546 บาท 210,000,000 2547 บาท 202,000,000 2548 บาท 170,000,000 2549 บาท และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 3736
  • 33. 07 สปส. เล่นแร่แปรธาตุ โยกเงินประกันสังคม เช่าคอมพ์ ปูมหลัง สำ�นักงานประกันสังคม (สปส.) เป็นหน่วยงานราชการใน สังกัดกระทรวงแรงงาน จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติประกัน สังคม พ.ศ. 2533 โดยมีภารกิจหลักคือการบริหารกองทุนประกัน สังคม ซึ่งปัจจุบันมีผู้ที่ได้รับความคุ้มครองจากระบบประกันสังคม กว่า 10.5 ล้านคน มาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 บัญญัติว่า คณะกรรมการประกันสังคมอาจจัดสรรเงินกองทุน ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินสมทบในแต่ละปีเพื่อจ่ายค่าเบี้ยประชุม เบี้ยเลี้ยง ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายในการบริหารของสํานักงาน อย่างไรก็ตาม เพดานค่าใช้จ่ายของ สปส. ตามกฎหมายอยู่ใน อัตราที่สูงมาก โดยร้อยละ 10 ของเงินสมทบในปี 2554 นั้น มีมูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่างบประมาณของ กระทรวงขนาดเล็ก เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความ มั่นคงของมนุษย์ ในช่วงปี 2551-2554 สปส. ใช้เงินกองทุนในการบริหาร สำ�นักงานตั้งแต่ 3,000-3,800 ล้านบาท โดยงบประมาณจำ�นวน มหาศาลมาจากเงินสมทบของผู้ประกันตน ขณะที่การอนุมัติ โครงการของ สปส. ใช้เพียงมติของที่ประชุมคณะกรรมการประกัน สังคม เปิดช่องให้มีการใช้จ่ายเงินกองทุนอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และอาจไม่โปร่งใสในหลายกรณี โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้อง กับระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งถูกตั้งคำ�ถามถึงความโปร่งใสมากที่สุด ปี 2547-2553 สปส. มีการจัดซื้อจัดจ้างระบบคอมพิวเตอร์ กว่า 5,000 ล้านบาท รวมถึงโครงการจัดหาและดำ�เนินการระบบ งานเทคโนโลยีสารสนเทศแรงงาน มูลค่า 2,890 ล้านบาท ใน ปี 2550 ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นการนำ�เงินจากกองทุนประกันสังคม ไปเช่าระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ในการดำ�เนินงานของกระทรวง แรงงาน เมนูคอร์รัปชัน38
  • 34. เส้นทางผลประโยชน์ คณะกรรมการประกันสังคมมีมติเห็นชอบให้ใช้เงิน จากกองทุนประกันสังคมเพื่อสนับสนุนโครงการเช่าระบบ คอมพิวเตอร์ของกระทรวงแรงงาน โดยเลขาธิการ สปส. อ้าง ต่อที่ประชุมคณะกรรมการประกันสังคมว่า ใช้เพื่อการเชื่อมต่อ ข้อมูลเรื่องการว่างงานของผู้ประกันตน การดำ�เนินการดังกล่าว เป็นการโยกย้ายเงินกองทุนไปใช้เป็นงบประมาณของกระทรวง แรงงาน ซึ่งขัดต่อมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ที่บัญญัติให้ใช้เงินกองทุนสำ�หรับการบริหารของ สํานักงานประกันสังคมเท่านั้น คณะอนุกรรมการยุทธศาสตร์และกลั่นกรองงบลงทุน ประกันสังคมตั้งข้อสังเกตว่า การใช้เงินกองทุนประกันสังคม ในการดำ�เนินโครงการไปก่อนแล้วค่อยให้หน่วยงานของบประมาณ มาชดเชยภายหลังไม่น่าจะทำ�ได้ตามกฎหมายและให้นำ�ข้อสังเกตนี้ เสนอต่อคณะกรรมการประกันสังคม แต่ ไพโรจน์ สุขสัมฤทธิ์ เลขาธิการ สปส. ซึ่งเป็นกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ ประกันสังคม มิได้นำ�เสนอข้อสังเกตดังกล่าวในที่ประชุม โดย ชี้แจงเพียงว่าโครงการเช่าระบบคอมพิวเตอร์จะเป็นประโยชน์ ต่อผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ที่ประชุมคณะกรรมการ ประกันสังคมจึงมีมติเห็นชอบสนับสนุนโครงการเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2549 ต่อมา วันที่ 18 เมษายน 2549 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ การดำ�เนินโครงการดังกล่าว ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประกอบด้วย หนึ่ง-ค่า เช่าระบบเทคโนโลยี ซอฟต์แวร์ระบบ และอุปกรณ์ประกอบ สอง- ค่าพัฒนาและดูแลรักษาระบบงานสารสนเทศ และสาม-ค่าบริหาร จัดการและการดูแลรักษาศูนย์คอมพิวเตอร์ รวมงบประมาณ ทั้งสิ้น 2,890 ล้านบาท การประมูลโครงการดังกล่าวเกิดขึ้นในเวลาต่อมา โดยมีผู้ยื่น ซองประกวดราคาเพียง 2 ราย ผลปรากฏว่าบริษัทเอกชนที่ชนะ การประมูลคือ ธุรกิจค้าร่วม เอส โอ เอ คอนเซอร์เทียม (ประกอบ ด้วย บริษัท เอบีซี เทคโนโลยี และบริษัท โมทีฟ เทคโนโลยี) โดย เสนอราคา 2,894 ล้านบาท ซึ่งต่ำ�กว่าราคาตั้งต้นประมาณ 3 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในช่วงก่อนทำ�สัญญาระหว่าง สปส. กับบริษัท เอกชนที่ชนะการประมูล มีเหตุการณ์ที่ส่อถึงความรีบเร่งในการ ทำ�สัญญา ดังนี้ • วันที่ 26 กันยายน 2549 สำ�นักงานอัยการสูงสุดมีหนังสือ ถึงเลขาธิการ สปส. เพื่อให้พิจารณาความเหมาะสมของ ราคาที่ชนะการประกวด โดยเสนอว่าหากไม่สามารถแก้ไข สัญญาได้ ให้ต่อรองราคาหรือผลประโยชน์ให้เปล่าเพิ่มเติม • วันที่ 27 กันยายน 2549 สปส. เชิญบริษัทเอกชนที่ชนะ การประมูลมาเจรจาต่อรอง โดยบริษัทดังกล่าวยืนยันราคา เดิม แต่เสนอผลประโยชน์ให้เปล่าเป็นอุปกรณ์ 20 รายการ • วันที่ 28 กันยายน 2549 สปส. ลงนามร่วมกับบริษัทเอกชน แม้ว่ารักษาการปลัดกระทรวงแรงงานได้ส่งหนังสือแจ้งให้รอ การพิจารณาจากสำ�นักงานอัยการสูงสุดอีกครั้ง • วันที่ 29 กันยายน 2549 สปส. ทำ�หนังสือรายงานปลัด กระทรวงแรงงาน เพื่อให้ทราบถึงการดำ�เนินการทำ�สัญญา เช่า จากความรีบเร่งดังกล่าว ทำ�ให้ปลัดกระทรวงแรงงานทำ� หนังสือขอให้ สปส. ชะลอโครงการเพื่อพิจารณาทบทวนอีก ครั้ง บริษัทเอกชนผู้ให้เช่าระบบจึงยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง โดย เรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 556 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2550 บริษัทขอถอนฟ้อง เนื่องจากมีการตกลงให้ บริษัทเข้าดำ�เนินการเช่นเดิม โดยจะปรับลดโครงการและวงเงิน ให้เป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับ สปส. เท่านั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการดำ�เนินโครงการดังกล่าว ทำ�ให้ กระทรวงแรงงานทำ�หนังสือหารือกับสำ�นักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกาว่าเป็นการดำ�เนินการโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 39
  • 35. ซึ่งสำ�นักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกา มีหนังสือลงวันที่ 25 มิถุนายน 2550 แจ้งให้ ทราบว่า ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากโครงการดังกล่าว มิได้เป็นโครงการเฉพาะของ สปส. หากแต่เป็นการเชื่อม ต่อระบบกับหน่วยงานอื่นๆ ได้แก่ สำ�นักงานปลัดกระทรวง แรงงาน กรมการจัดหางานกรม พัฒนาฝีมือแรงงาน และกรม สวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ โครงการดำ�เนินต่อไปได้ สปส. จึงแก้ไขสัญญาเพิ่มเติม ลงวันที่ 18 สิงหาคม 2551 โดยปรับแก้ ขอบเขตเนื้องาน และการแบ่ง งวดงานและค่าเช่า ทำ�ให้มูลค่า ของโครงการลดลงเหลือ2,350 ล้านบาท สถานะของคดี วันที่ 16 มิถุนายน 2552 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลว่า การกระทำ�ของ ไพโรจน์ สุขสัมฤทธิ์ เลขาธิการ สปส. เป็นความผิด มีมูลความผิดทั้งทางวินัยและอาญา โดยเจตนาปกปิดข้อมูลสำ�คัญ และหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติ ตามระเบียบราชการ เพื่อนำ�เงินกองทุนประกันสังคมไปใช้จ่ายในโครงการดังกล่าว ซึ่งขัดต่อ มาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ที่บัญญัติให้ใช้เงินกองทุนสำ�หรับ การบริหารของสํานักงานประกันสังคมเท่านั้น กระทรวงแรงงานมีคำ�สั่งปลดไพโรจน์ออกจากราชการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 จึงไม่มีการดำ�เนินการทางวินัยเพิ่มเติม ขณะที่การดำ�เนินคดีทางอาญายังอยู่ในขั้นตอนการ ไต่สวนเพิ่มเติมของพนักงานอัยการ ปัจจุบันไพโรจน์เป็นผู้ถูกกล่าวหาเพียงรายเดียวที่ถูกตัดสินลงโทษ แม้จะมีข้อสงสัย ว่าการทุจริตในโครงการดังกล่าวน่าจะเกิดจากการสั่งการโดยฝ่ายการเมือง แต่คณะ กรรมการ ป.ป.ช. ชี้แจงว่าไม่สามารถสืบสาวไปถึงนักการเมืองที่อยู่เบื้องหลังได้ เช่นเดียว กับคณะกรรมการประกันสังคมที่อาจมีส่วนรู้เห็น ก็มิได้ถูกลงโทษจากการมีมติเห็นชอบให้ สนับสนุนโครงการดังกล่าว ผลกระทบต่อประชาชน • การนำ�เงินกองทุนประกันสังคมไปใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์ ทำ�ให้ผู้ที่ได้รับความ คุ้มครองจากระบบประกันสังคมกว่า 10.5 ล้านคน เสียประโยชน์ • โครงการดังกล่าวเป็นเพียงการเช่าระบบคอมพิวเตอร์ ทำ�ให้ในเดือนตุลาคม 2555 สปส. ต้องจัดสรรงบประมาณอีกราว 1,200 ล้านบาท เพื่อซื้อระบบใหม่ เมนูคอร์รัปชัน40
  • 36. เอกสารอ้างอิง • บิ๊ก สปส. ปิดปากปมล็อบบี้ รมต. ต่อสัญญาคอมฯ 3 เดือน-ทุ่ม 1.2 พันล.ซื้อใหม่, สำ�นักข่าวอิศรา, 14 มกราคม 2556. • วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์, วิพากษ์ประกันสังคม กรรมการที่ขาดความรับผิดชอบ, ประชาไท, 23 มกราคม 2556. • วิไลวรรณ แซ่เตีย และ บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์ (2552), ความไม่โปร่งใสของโครงการจัดหาและดำ�เนินการระบบงาน เทคโนโลยีสารสนเทศแรงงานกระทรวงแรงงาน, เอกสารคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย. • สำ�นักงานกองทุนประกันสังคม (2551-54), รายงานประจำ�ปีสำ�นักงานกองทุนประกันสังคม. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 41
  • 37. ผลกระทบต‹อ ประชาชน • การนำเงินกองทุนประกันสังคม ไปใชอยางผิดวัตถุประสงค ทำใหผูที่ไดรับความคุมครอง จากระบบประกันสังคมกวา 10.5 ลานคนเสียประโยชน • โครงการดังกลาวเปนเพียง การเชาระบบ ทำใหในเดือน ตุลาคม 2555 สำนักงาน ประกันสังคมตองจัดสรร งบประมาณอีกราว 1.2 พันลานบาท เพื่อซื้อระบบใหม บันได 5 ขั้น 01 เลขาธิการสำนักงานประกัน สังคมปดบังขอสังเกตของ คณะอนุกรรมการกลั�นกรอง งบลงทุน เรื่องการใชเงิน กองทุนในโครงการเชา ระบบคอมพิวเตอรของ กระทรวงแรงงาน 02 คณะกรรมการประกันสังคม มีมติใหใชเงินกองทุน ประกันสังคมเพื่อสนับสนุน โครงการดังกลาว 03 04 เลขาธิการสำนักงานประกัน สังคมรีบเรงทำสัญญา กับบริษัทเอกชน โดยไมผาน การพิจารณาจากกระทรวง แรงงานและสำนักงาน อัยการสูงสุด สำนักงานประกันสังคมปรับล ด วงเงินของโครงการ เพื่อให เปนไปตามความเห็นของ คณะกรรมการกฤษฎีกา 05 คูสัญญาฝายเอกชนไดประโยช น เน��องจากไมมีการจัดประมูล โครงการใหม ทั้งที่โครงการ เริ�มตนอยางไมถูกตอง การเช‹าระบบคอมพ�วเตอร: โยกเง�นกองทุนประกันสังคม ไปใชŒอย‹างผิดกฎหมาย 07 กฎหมายประกันสังคมอนุญาตใหŒคณะกรรมการ ประกันสังคมจัดสรรเง�นกองทุนไม‹เกิน 10% ของเง�นสมทบในแต‹ละป‚ เพ�่อจ‹ายค‹าเบี้ยประชุม ค‹าเบี้ยเลี้ยง ค‹าที่พัก และค‹าใชŒจ‹ายในการบร�หาร ของสำนักงาน ซึ่งในป‚ 2554 คณะกรรมการ ประกันสังคมใชŒเง�นดังกล‹าวประมาณ 3.14% คิดเปšนมูลค‹า 3,896 ลŒานบาท ดŒวยเง�นจำนวนมหาศาล และการอนุมัติที่ใชŒเพ�ยง มติของที่ประชุมคณะกรรมการประกันสังคม โอกาสที่เง�นดังกล‹าวจะถูกใชŒอย‹างไม‹โปร‹งใส จ�งมีความเปšนไปไดŒสูง การนำเง�นจากกองทุน ประกันสังคมจำนวน 2,890 ลŒานบาทไปเช‹า ระบบคอมพ�วเตอรเพ�่อใชŒในการดำเนินงาน ของกระทรวงแรงงานในป‚ 2550 เปšนตัวอย‹างหนึ่ง ที่ชัดเจนของการใชŒเง�นอย‹างไม‹โปร‹งใส และน‹าจะขัดกฎหมาย งบกระทรวง เง�นสมทบ 124,230 12,423 10% 3,896 ของเง�นสมทบ ใชŒจร�ง ลŒานบาท ลŒานบาท ลŒานบาท สถานะ • ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นายไพโรจน สุขสัมฤทธิ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ในขณะนั้น ในความผิดทางอาญา และความผิดทางวินัยรายแรง โดยเจตนาปกปดขอมูลสำคัญ และหลีกเลี่ยงไมปฏิบัติตาม ระเบียบราชการ เพื่อนำเงิน กองทุนประกันสังคมไปใชจาย • นายไพโรจนเปนผูกระทำการ ทุจริตเพียงรายเดียวที่ถูกลงโทษ แมจะมีขอสงสัยวาการทุจริต น�าจะเกิดจากการสั�งการโดยฝาย การเมือง แต ป.ป.ช. ชี้แจงวา ไมสามารถสืบสาวไปถึง นักการเมืองที่อยูเบื้องหลังได 26,000ลŒานบาท และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 4342
  • 38. จานหลัก : อิ่มเต็มคำ� การทุจริตเชิงนโยบาย โดยเฉพาะโครงการยักษ์ระดับ ‘เมกะโปรเจ็คท์’ สร้างความเสียหาย อย่างร้ายกาจ เป็นความอัปยศที่ลูกหลานต้องจดจำ�
  • 39. 08 ‘จำ�นำ�ข้าว’ ฉาวทุกเม็ด ปูมหลัง รัฐบาลชุดยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำ�เนินโครงการ ‘รับจำ�นำ�ข้าว เปลือก’ โดยมีเป้าหมายหลักคือการยกระดับรายได้ของชาวนา กระทรวงพาณิชย์อ้างว่าชาวนาที่เข้าร่วมโครงการรับจำ�นำ�ข้าวจะมี รายได้เพิ่มขึ้นจากส่วนต่างระหว่างราคาจำ�นำ�และราคาตลาดและ ชาวนานอกโครงการจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากราคาข้าวในตลาดที่สูง ขึ้น อันเนื่องมาจากปริมาณข้าวในตลาดลดลง ในฤดูการผลิต 2554/2555 (ข้าวนาปี) และฤดูการผลิต 2555 (ข้าวนาปรัง) โครงการนี้กำ�หนดราคารับจำ�นำ�ข้าวเปลือก เจ้าและข้าวเปลือกหอมมะลิความชื้น 15 เปอร์เซ็นต์ ที่ตันละ 15,000 บาท และ20,000บาทตามลำ�ดับซึ่งสูงกว่าราคาตลาด โดยเฉลี่ยในช่วงต้นปี 2554 ที่ประมาณตันละ 8,000-9,000 บาท และ 12,000-13,000 บาท ตามลำ�ดับ โครงการดังกล่าวรับจำ�นำ�ข้าวเปลือกจำ�นวน 21.65 ล้าน ตัน ใช้งบประมาณมากกว่า 3 แสนล้านบาท ส่วนด้านรายรับ กระทรวงพาณิชย์แจ้งว่าในช่วงเดือนมกราคมถึงตุลาคม 2555 สามารถระบายข้าวได้ประมาณ 7.7 ล้านตัน และได้รับเงินจาก การระบายข้าวประมาณ 42,000 ล้านบาท จากข้อมูลของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ในสองฤดูการผลิตข้างต้น พบว่า โครงการรับจำ�นำ�ข้าวขาดทุน ไปประมาณ 136,000 ล้านบาท และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนา ประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ชี้ว่าผลประโยชน์ส่วนใหญ่ตกอยู่กับ ชาวนารวยมากกว่าชาวนายากจน ยิ่งไปกว่านั้น การทุจริตและ การหาผลประโยชน์จากโครงการยังทำ�ให้งบประมาณรั่วไหลมาก ขึ้น โดยผลประโยชน์ตกอยู่กับโรงสี ข้าราชการ บริษัทตรวจสอบ คุณภาพข้าว (เซอร์เวเยอร์) และบริษัทผู้ส่งออกข้าวที่มีเส้นสาย ทางการเมือง 45
  • 40. เส้นทางผลประโยชน์ โครงการรับจำ�นำ�ข้าวมี 2 ขั้นตอนหลัก คือ ขั้นตอนการ รับจำ�นำ�และเก็บเข้าคลังสินค้า และขั้นตอนการระบายข้าว โดย ผู้บัญชาการสำ�นักคดีความมั่นคงกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ซึ่งรับผิดชอบตรวจสอบการทุจริตในโครงการรับจำ�นำ�ข้าว ระบุว่า ทั้งสองขั้นตอนมีการทุจริตโดยชาวนา โรงสี ข้าราชการ เจ้าของ คลังสินค้า และอาจรวมไปถึงบริษัทตรวจสอบคุณภาพข้าวและ ผู้บริหารโครงการที่ดูแลเรื่องการระบายข้าว 1. ขั้นตอนรับจำ�นำ�ข้าวและเก็บเข้า คลังสินค้า แจ้งข้อมูลเกินจริงและสวมสิทธิ์จำ�นำ� ตามกฎระเบียบของโครงการฯ ชาวนาที่มีสิทธิ์จำ�นำ�ข้าวต้อง ขอขึ้นทะเบียนผู้เพาะปลูกข้าว พร้อมทั้งแจ้งข้อมูลพื้นที่เพาะปลูก ข้าว ข้อมูลนี้จะถูกนำ�มาคำ�นวณหาปริมาณ (หรือน้ำ�หนัก) ข้าว สูงสุดที่ชาวนามีสิทธิ์จำ�นำ� แต่ชาวนาบางรายแจ้งพื้นที่เพาะปลูก ข้าวเกินความเป็นจริง เพื่อซื้อข้าวจากชาวนานอกโครงการหรือ จากต่างประเทศมาสวมสิทธิ์จำ�นำ� หรือชาวนาบางรายอาจขาย สิทธิ์จำ�นำ�ให้กับโรงสี โกงความชื้นและน้ำ�หนักข้าว แม้โครงการจะกำ�หนดราคารับจำ�นำ�ข้าวที่ตันละ 15,000 บาท แต่ข้าวที่มีความชื้นเกิน 15 เปอร์เซ็นต์ จะถูกหักลดน้ำ�หนัก และราคารับจำ�นำ� โรงสีบางแห่งจึงหาประโยชน์จากกฎระเบียบ ดังกล่าวโดยเพิ่มความชื้นและลดน้ำ�หนักของข้าวด้วยวิธีการ ต่างๆ อาทิ ใช้ตาชั่งและเครื่องวัดความชื้นที่ไม่ได้มาตรฐานหรือ ควบคุมตัวเลขได้ เมื่อข้าวมีน้ำ�หนักน้อยลง ชาวนาจะเหลือสิทธิ์ จำ�นำ� ทำ�ให้โรงสีมีโอกาสนำ�ข้าวมาสวมสิทธิ์ หรือเมื่อข้าวมีราคา รับจำ�นำ�ลดลงมาก โรงสีอาจต่อรองขอซื้อข้าวจากชาวนาเอง แล้ว นำ�ข้าวกลับมาสวมสิทธิ์จำ�นำ�ในราคาที่สูงขึ้น ปลอมใบชั่งและใบประทวน หลังจากชั่งน้ำ�หนักและวัดความชื้น โรงสีจะออกใบชั่ง ให้ชาวนานำ�ไปขึ้นใบประทวนกับเจ้าหน้าที่องค์การคลังสินค้า (อคส.) จากนั้นชาวนาจึงนำ�ใบประทวนไปทำ�สัญญาเงินกู้กับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แต่โรงสี บางแห่งและเจ้าหน้าที่ อคส. บางคนปลอมใบชั่งและใบประทวน โดยบันทึกน้ำ�หนักข้าวและมูลค่าการจำ�นำ�สูงกว่าที่วัดและชั่ง ได้ เพื่อให้ชาวนานำ�ไปเบิกเงิน และนำ�เงินกลับมาแบ่งกับโรงสี เวียนเทียนข้าวและล้อมกองข้าว เมื่อรับจำ�นำ�ข้าว โรงสีจะสีแปรสภาพข้าวเปลือกเป็น ข้าวสาร และส่งมอบข้าวเข้าคลังสินค้ากลาง โดยมีเจ้าหน้าที่ อคส. หรือเจ้าหน้าที่องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) และ บริษัทตรวจสอบคุณภาพข้าว ตรวจสอบคุณภาพข้าวก่อนนำ� เข้าคลังสินค้า อย่างไรก็ตาม ในบางพื้นที่ โรงสีและเจ้าของคลังสินค้า อาจยักยอกข้าวไปขายในตลาด และนำ�ข้าวคุณภาพต่ำ�กว่าเข้า มาแทน หรือที่เรียกกันว่า ‘เวียนเทียนข้าว’ โดยบริษัทตรวจสอบ คุณภาพข้าวและเจ้าหน้าที่อาจร่วมมือกับโรงสีหรือเกิดความ บกพร่องในการตรวจสอบ ดังที่มีรายงานข่าวว่ามีการฟ้องโรงสี ในจังหวัดนครราชสีมาที่ยักยอกข้าวไปไว้ที่คลังสินค้าอื่น หรือมี การตรวจสอบพบว่าโรงสีในจังหวัดพิจิตรยักยอกข้าว 12,000 ตัน นอกจากนั้น เมื่อมีการตรวจสอบคุณภาพข้าว โรงสีและ เจ้าของคลังสินค้าก็จะนำ�ข้าวคุณภาพดีมาล้อมข้าวคุณภาพต่ำ� หรือที่เรียกกันว่า ‘ล้อมกอง’   เมนูคอร์รัปชัน46
  • 41. 2. ขั้นตอนการระบายข้าว จีทูจีปลอม: เอื้อประโยชน์บริษัทส่งออก หนังสือ รู้ลึก รู้จริง จำ�นำ�ข้าว ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ระบุว่า ช่วงเดือนมกราคมถึงตุลาคม 2555 โครงการ รับจำ�นำ�ข้าวได้ระบายข้าวออกโดยการเปิดประมูลทั่วไปให้ กับผู้ประกอบการในประเทศ เพื่อส่งออกหรือจำ�หน่ายใน ประเทศ 320,000 ตัน ขายให้องค์กรหรือหน่วยงานทั้งใน ประเทศและต่างประเทศเพื่อประโยชน์สาธารณะ 86,000 ตัน และเจรจาขายแบบรัฐต่อรัฐกับประเทศอินโดนีเซีย จีน และ โกตดิวัวร์ อีกประมาณ 7.3 ล้านตัน โดยมีการส่งมอบแล้ว ประมาณ 1.46 ล้านตัน อย่างไรก็ตาม ในปี 2555 ข้อมูลการส่งออกของกรม ศุลกากรกลับระบุว่า การขายข้าวในรูปแบบรัฐต่อรัฐหรือรัฐต่อ เอกชน มีประเทศจีนเป็นคู่ค้าเพียงประเทศเดียว โดยมีปริมาณ การส่งออก 212.49 ตัน และมีมูลค่าเพียง 7.43 ล้านบาท ตามรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ คณะ ทำ�งานตรวจสอบข้อเท็จจริง กระทรวงพาณิชย์ อธิบายว่า ข้อมูล ของกระทรวงพาณิชย์และกรมศุลกากรไม่สอดคล้องกัน เนื่องจาก กระทรวงพาณิชย์ใช้วิธีการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือที่เรียกว่า ‘การขายข้าวและการชำ�ระเงิน ณ หน้าคลัง’ (X-Warehouse) กล่าวคือ เมื่อกระทรวงพาณิชย์ตกลงขายข้าวให้กับรัฐบาล ต่างประเทศ รัฐบาลผู้ซื้อจะจ้างบริษัทผู้ส่งออกปรับปรุงคุณภาพ และส่งมอบข้าว ดังนั้น ปริมาณและมูลค่าการส่งออกจึงไม่ ถูกนับในการส่งออกข้าวแบบรัฐต่อรัฐ แต่นับเป็นการส่งออกข้าว ของบริษัทผู้ส่งออกที่รับปรับปรุงคุณภาพข้าว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์ไม่ยอมเปิดเผย ข้อมูลสัญญาซื้อขายข้าวระหว่างรัฐต่อรัฐทำ�ให้เกิดข้อสงสัยว่าอาจ มีการเอื้อประโยชน์แก่บางบริษัท ประชาชาติธุรกิจ ตั้งข้อสังเกต ว่า กระทรวงพาณิชย์อาจมิได้ทำ�สัญญาซื้อขายรัฐต่อรัฐแบบการ ขาย ณ หน้าคลัง แต่มีการจัดหาบริษัทผู้ส่งออกมารับซื้อข้าวและ ส่งออกแทนรัฐบาล โดยข้าวที่บริษัทมารับซื้อน่าจะมีราคาถูกกว่า การเปิดประมูลทั่วไปให้กับบริษัทผู้ส่งออกข้าว เพราะกระทรวง พาณิชย์อ้างว่าเป็นการขายแบบรัฐต่อรัฐ นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังอนุญาตให้ชำ�ระค่าข้าว ด้วยเช็คเงินสดแทนการเปิดแอลซี (Letter Of Credit: L/C) จาก ต่างประเทศ ซึ่งการกระทำ�ดังกล่าวสนับสนุนข้อสันนิษฐานข้าง ต้น ดังที่ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายถึงกรณีที่บริษัท GSSG Import & Export จากประเทศจีน มาซื้อข้าวกับกรมการ ค้าต่างประเทศ แต่แท้จริงแล้วบริษัท สยามอินดิก้า ซึ่งเป็นผู้ส่ง ออกไทยกลับเป็นผู้ซื้อข้าว โดย รัฐนิธ โสจิระกุล ที่อ้างว่าเป็น ผู้มีอำ�นาจของบริษัท GSSG ในประเทศไทย ได้มอบอำ�นาจให้ นิมล รักดี เป็นผู้มีอำ�นาจในการลงนามซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ แต่การจ่ายเงินกลับชำ�ระด้วยเช็คเงินสดของธนาคารไทย และ ลงนามโดย สมคิด เรือนสุภา ตัวแทนของบริษัท สยามอินดิก้า จากการตรวจสอบของส.ส.พรรคประชาธิปัตย์พบหลักฐาน ที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแทนบริษัท GSSG ตัวแทนบริษัท สยามอินดิก้า และ ส.ส. พรรคเพื่อไทย โดย รัฐนิธเป็นผู้ช่วยของ ระพีพรรณ พงษ์เรืองรอง ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ส่วนนิมลเคยทำ�งานในบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำ�กัด ของ อภิชาติ จันทร์สกุลพร ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท สยามอินดิก้า ทั้งนี้ บริษัท เพรซิเดนท์ฯ เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับ การทุจริตรับจำ�นำ�ข้าวในช่วงปี 2546-2547 ประชาชาติธุรกิจ ตั้งข้อสังเกตว่า การเปลี่ยนแปลงอันดับ บริษัทผู้ส่งออกข้าวไทยอาจมีสาเหตุมาจากการเอื้อประโยชน์ ข้างต้น โดยในช่วงเดือนมกราคมถึงสิงหาคม 2555 บริษัทที่ ส่งออกข้าวได้มากที่สุดคือบริษัท สยามอินดิก้า จำ�กัด จากเดิมที่ ไม่อยู่ใน 5 อันดับแรกในปี 2553 อีกทั้งบริษัทอันดับ 1 ในการ ส่งออกข้าวไปประเทศจีน คือบริษัท อาร์ แอนด์ ที ไรซ์ จำ�กัด ซึ่งมิได้เป็นสมาชิกของสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และไม่ค่อยเป็น ที่รู้จักในวงการค้าข้าว กระทรวงพาณิชย์ยังอ้างว่า รัฐบาลไทยในฐานะผู้ขาย ไม่มี หน้าที่ตรวจสอบใดๆ หลังการขาย ซึ่งแสดงถึงความไม่รัดกุม ในการตรวจสอบว่าบริษัทผู้ส่งออกได้ส่งข้าวไปยังประเทศคู่ค้า จริงหรือไม่ และเปิดโอกาสให้บริษัทนำ�ข้าวกลับมาขาย ในประเทศ ดังที่ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหาว่าบริษัท และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 47
  • 42. สยามอินดิก้า นำ�ข้าวกลับมาขายในประเทศ อีกทั้งบริษัท ผู้ส่งออกข้าวรายหนึ่งให้สัมภาษณ์กับ ประชาชาติธุรกิจ ว่า กระทรวงพาณิชย์ไม่ได้กำ�หนดระยะเวลาที่บริษัทผู้รับ ปรับปรุงข้าวต้องส่งข้าวออก ไม่ได้ตั้งอัตราค่าปรับหาก บริษัทไม่ได้ส่งออกตามระยะเวลา และไม่ได้ตรวจสอบ เอกสารการส่งออกของบริษัทเพื่อยืนยันการส่งออกเลย การนำ�ข้าวกลับมาขายในประเทศจึงน่าจะเกิดขึ้นจริง บทวิเคราะห์ของ นิพนธ์ พัวพงศกร และ อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการแห่งทีดีอาร์ไอ ชี้ว่าโครงการรับจำ�นำ�ข้าวน่าจะ ทำ�ให้ปริมาณข้าวสารในตลาดลดลง ซึ่งทำ�ให้ราคาข้าวสาร สูงขึ้น เพราะข้าวเปลือกส่วนใหญ่ถูกนำ�ไปจำ�นำ� และ โครงการรับจำ�นำ�ข้าวไม่ได้ระบายข้าวจำ�นวนมากภายใน ประเทศ แต่ข้อเท็จจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะปรากฏว่า ราคาข้าวสารกลับค่อนข้างคงที่ระหว่างช่วงก่อนและหลัง โครงการ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าน่าจะมีการระบายข้าวกลับ เข้าประเทศ นอกจากนี้ มีรายงานว่าในช่วงเดือนมกราคมถึงตุลาคม 2555 ประเทศไทยส่งออกข้าวนึ่งถึง 1.78 ล้านตัน ซึ่ง ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะข้าวเปลือกส่วนใหญ่ถูกนำ�ไปจำ�นำ� และโครงการรับจำ�นำ�ข้าวก็มิได้กำ�หนดให้โรงสีทำ�ข้าวนึ่ง การส่งออกข้าวนึ่งจึงเป็นอีกร่องรอยหนึ่งที่ชี้ว่า น่าจะ มีการนำ�ข้าวกลับมาขายให้โรงสี และถูกนำ�ไปผลิตเป็น ข้าวนึ่งส่งออกดังที่เป็นข่าว  ผลกระทบต่อ ประชาชน • การโกงความชื้นและน้ำ�หนักของข้าวทำ�ให้ราคารับจำ�นำ� ต่ำ�ลง ส่งผลให้ชาวนาในโครงการเสียผลประโยชน์ • การลักลอบนำ�ข้าวในคลังสินค้าออกมาขาย ทำ�ให้ราคา รับซื้อข้าวในประเทศสูงขึ้นน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ส่งผลให้ ชาวนานอกโครงการเสียประโยชน์ • โครงการมีต้นทุนสูงขึ้นและสร้างภาระการคลังมากขึ้น โดย ผลประโยชน์ตกอยู่กับบุคคลอื่นมากกว่าชาวนา เนื่องจาก มีการสวมสิทธิ์จำ�นำ� การปลอมใบชั่งและใบประทวน การ ลักลอบนำ�ข้าวออกจากคลังสินค้าไปขาย และการระบาย ขายข้าวออกในราคาถูกเกินควร • ในปี 2555 กระทรวงพาณิชย์ คณะอนุกรรมการระดับ จังหวัด และสำ�นักงานตำ�รวจแห่งชาติ ตรวจสอบพบการ ทุจริตในโครงการรับจำ�นำ�ข้าว 115 คดี มูลค่าความเสียหาย 541 ล้านบาท และในช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2556 พบการทุจริตอีก59คดีมูลค่าความเสียหาย79.8ล้านบาท เมนูคอร์รัปชัน48
  • 43. สถานะของคดี คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน บุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในขณะนั้น ในข้อหาทุจริตใน โครงการรับจำ�นำ�ข้าว โดยเฉพาะการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ตั้งแต่เริ่มโครงการถึงเดือนมิถุนายน 2556 พบการทุจริต ทั้งหมด 174 คดี ดังที่กล่าวข้างต้น โดยสำ�นักงานตำ�รวจแห่งชาติ รายงานว่า ผู้ต้องหาเป็นทั้งชาวนา ผู้ประกอบการโรงสี และ ข้าราชการ ซึ่งสำ�นักงานตำ�รวจแห่งชาติได้ส่งบางคดีให้กับคณะ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และคณะกรรมการ ป.ป.ช. เอกสารอ้างอิง • 1 ทศวรรษ ขายข้าวจีทูจี: (2) เปิดข้อมูลกรมศุลฯ 4 ปี รัฐส่งออกข้าวแค่ 4 หมื่นตัน ปี 2555 ขายจีน 212 ตัน, เว็บไซต์ Thaipublica, 16 เมษายน 2556. • เก็บตกอภิปราย ‘จำ�นำ�ข้าว’ ขุมทรัพย์ G to G ‘เสี่ยเปี๋ยง’ ซุกเงินในกองทุน KTAM – ฮ่องกง, เว็บไซต์ Thaipublica, 2 ธันวาคม 2555. • ไขปริศนาขายข้าว G to G ข้าวไปที่ไหน-ปริมาณเท่าใด และใครส่งออก, ประชาชาติธุรกิจออนไลน์, 25 ตุลาคม 2555. • ไขปริศนา ‘สวมสิทธิ์’ ขายข้าวจีทูจี จี้ ‘บุญทรง’ เปิดรายชื่อ บ. ผู้ส่งออก, ประชาชาติธุรกิจออนไลน์, 20 ตุลาคม 2555. • คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.), รู้ลึก รู้จริง จำ�นำ�ข้าว, กรุงเทพฯ: กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์, 2555. • จำ�นำ�ข้าวปีแรกเจ๊ง 1.3 แสนล้าน แล้วปีที่ 2?, ไทยรัฐออนไลน์, 2 กรกฎาคม 2556. • ฉาวโฉ่! ตร.แจ้งจับ ‘โรงสี’ โคราชโกงจำ�นำ�ข้าวหมื่นตัน สูญ 200 ล้าน, ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 16 ตุลาคม 2555. • นิพนธ์ พัวพงศกร และอัมมาร สยามวาลา, คนไทยเอาข้าวที่ไหนมากิน, เว็บไซต์ ประชาไท, 12 ธันวาคม 2555. • นิพนธ์ พัวพงศกร และอัมมาร สยามวาลา, เปลี่ยนประเทศไทยด้วยการรับจำ�นำ�ข้าว: ข้อเท็จจริงสำ�หรับ อ.นิธิ และประชาชน, สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, 2555. • ตร.บุรีรัมย์หอบคดีโกงจำ�นำ�ข้าว 44 ล้าน พร้อม 31 ผู้ต้องหาส่งฟ้องอัยการ, ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 12 พฤศจิกายน 2555. • เต้นโชว์ยอดทุจริตจำ�นำ�ข้าวลด พร้อมดีเดย์ตรวจสต๊อก 29 มิ.ย.นี้, เว็บไซต์ เดลินิวส์, 24 มิถุนายน 2556. • บุญทรงแจงจีทูจีไม่ชัด จี้เปิด ‘ไอ้โม่ง’ ส่งออกข้าว, ประชาชาติธุรกิจออนไลน์, 15 ตุลาคม 2555. • ป.ป.ช. มีมติตั้งอนุฯ ไต่สวน ‘บุญทรง’ ปมรับจำ�นำ�ข้าว พ่วงกรณีถอดถอน ‘ปู-สุกำ�พล’ แต่งตั้ง ‘นายพล’, มติชนออนไลน์, 4 ธันวาคม 2555. • เปิด 25 คดี โกงจำ�นำ�ข้าว 1 ปี รัฐบาลยิ่งลักษณ์, เว็บไซต์ Thaipublica, 11 ตุลาคม 2555. • เปิดเครือข่าย ‘เวียนเทียน’ ข้าว งาบส่วนต่าง, กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, 3 ธันวาคม 2555. • ผงะ! โกงจำ�นำ�ข้าวพุ่งแตะ 100 คดี, หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ, 30 ธันวาคม 2555 - 2 มกราคม 2556. • พงศ์อินทร์ อินทรขาว มือปราบดีเอสไอ เปิดกระบวนการทุจริตจำ�นำ�ข้าว โกงได้ทุกขั้นตอน ระบุสาวไม่ถึงต้นตอ, เว็บไซต์ Thaipublica, 18 เมษายน 2555. • สัมภาษณ์: วัชรี วิมุกตายน เปิดผลสอบสวน G to G ขายข้าวให้จีน?, ประชาชาติธุรกิจออนไลน์, 27 มีนาคม 2556. • หมายจับ 4 รายโกงข้าวพิจิตร ชาวนาอัด ‘ปู’ กบฏลดราคาจำ�นำ�, ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 26 มิถุนายน 2556. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 49
  • 44. โครงการรับจำนำขŒาวมีสองขั้นตอนหลัก คือขั้นตอนการรับจำนำและการเก็บขŒาว เขŒาคลังสินคŒา และขั้นตอนการระบายขŒาว ซึ่งผลการสอบสวนโดยกรมสอบสวนคดีพ�เศษ ระบุว‹าทั้งสองขั้นตอนมีการทุจร�ตโดยชาวนา โรงสี ขŒาราชการ เจŒาของคลังสินคŒา และอาจรวมถึง บร�ษัทตรวจสอบคุณภาพขŒาวและผูŒบร�หารโครงการ หร�อกล‹าวไดŒว‹ามีการโกงในทุกขั้นตอน นอกจากนี้ คณะกรรมการนโยบายขŒาวแห‹งชาติ (กขช.) ระบุว‹า ฤดูการผลิต 2554/2555 (ขŒาวนาป‚) และฤดูการผลิต 2555 (ขŒาวนาปรัง) ที่ผ‹านมา โครงการฯ ขาดทุนไปแลŒวประมาณ 1.3 แสนลŒานบาท มูลค‹า ความเสียหาย ความเสียหายจากการทุจริต ในโครงการรับจำนำขาว เฉพาะ 115 คดีที่ตรวจสอบพบ ในป‚ 2555 มีมูลค‹าประมาณ 541ลŒานบาท ความเสียหายจากการทุจริต ในโครงการรับจำนำขาว เฉพาะ 59 คดีที่ตรวจสอบพบ ในช‹วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2556 มีมูลค‹าประมาณ 79.8 ลŒานบาท ผลกระทบต‹อ ประชาชน • โครงการฯ มีตนทุนสูงขึ้นและ สรางภาระการคลังมากขึ้น โดยผลประโยชนตกอยูกับบุคคล อื่นมากกวาชาวนา เน��องจาก มีการสวมสิทธิ์จำนำ การปลอม ใบชั�งและใบประทวน การลักลอบ นำขาวออกจากคลังสินคาไปขาย และการระบายขายขาวออก ในราคาถูกเกินควร ฤดูการผลิต 2554/2555 รัฐบาลรับจำนำขŒาวเปลือกเจŒา ตันละ 15,000 บาท ซึ่งสูงกว‹าราคาตลาด ช‹วงตŒนป‚ 2554 (ตันละ 8,000-9,000 บาท) โครงการรับจำนำขŒาว: โกงไดŒทุกขั้นตอน 08 03 โรงสีและเจาหนาที่ องคการคลังสินคา (อคส.) บางรายปลอมใบชั�งและ ใบประทวน โดยบันทึก ปริมาณขาวและมูลคา การจำนำสูงกวาที่วัดและชั�งได 01 ชาวนาบางรายแจงขอมูล พื้นที่เพาะปลูกเกินจริง เพื่อซื้อขาวมาสวมสิทธิ์จำนำ บันได 5 ขั้น 04 โรงสี บริษัทตรวจสอบ คุณภาพขาว และเจาหนาที่ อคส. บางราย รวมมือกัน ลักลอบนำขาวในคลังออกขาย และซื้อขาวคุณภาพต่ำจากใน และตางประเทศมาทดแทน 05 ขายขาวของรัฐใหนายหนา ในราคาถูก โดยนายหนา เอาขาวไปขายตอทำกำไร มหาศาลงบประมาณ 300,000 ลŒานบาท ขายขŒาวไดŒ 200,000 ลŒานบาท ขาดทุน 130,000 ลŒานบาท 02 โรงสีรวมโครงการบางแหงโกง ความชื้นและน้ำหนักของขาว เพื่อใหชาวนาเหลือสิทธิ์จำนำ และโรงสีนำขาวของตนมาสวม สิทธิ์ และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 5150
  • 45. 09 หลอกชาวบ้าน อ้างพอเพียง ปูมหลัง โครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน (ศพช.) หรือที่เรียกว่า ‘โครงการชุมชน พอเพียง’ เป็นโครงการตามนโยบายของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2552 จัดตั้งโครงการและแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อยกระดับชุมชน (คพช.) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการบริหารโครงการ พร้อมทั้ง จัดตั้งสำ�นักงานเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน (สพช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดสำ�นักงาน ปลัดสำ�นักนายกรัฐมนตรี เพื่อทำ�หน้าที่ธุรการ โดยมีน้องชายของรองนายกรัฐมนตรีคนดังกล่าว ดำ�รงตำ�แหน่งรองผู้อำ�นวยการ สพช. เป้าหมายของโครงการนี้คือ ต้องการให้ชุมชนทั่วประเทศเข้าถึงทรัพยากรทางการเงิน โดย คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการเลือกและบริหารจัดการโครงการพัฒนาศักยภาพของชุมชน ตาม ระเบียบของโครงการชุมชนพอเพียง ชุมชนต้องเลือกโครงการที่สอดคล้องกับ 4 เป้าหมาย ได้แก่ การพัฒนาอาชีพสำ�หรับผู้ด้อยโอกาส การลดต้นทุนและปัจจัยการผลิตด้านต่างๆ การอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ และการอนุรักษ์พลังงาน นอกจากนี้ คู่มือการบริหารจัดการโครงการเศรษฐกิจ พอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน (ฉบับเต็ม) ยังระบุตัวอย่างของโครงการที่จะไม่ให้การสนับสนุนไว้ด้วย เช่น การจัดซื้อเครื่องกรองน้ำ� โครงการชุมชนพอเพียงได้รับงบประมาณ 2 หมื่นล้านบาท โดยจัดสรรให้กับชุมชน 84,563 เมนูคอร์รัปชัน52
  • 46. แห่ง อย่างไรก็ตาม หลังจากการอนุมัติจัดสรรงบประมาณ 5,369 ล้านบาท โครงการก็เกิดปัญหาการทุจริตอย่างกว้างขวางทั้งใน ระดับชุมชนและส่วนกลาง เกี่ยวพันทั้งข้าราชการ นักการเมือง และนักธุรกิจ เส้นทางผลประโยชน์ ตามขั้นตอนของโครงการชุมชนพอเพียง สมาชิกในชุมชน ต้องประชุมกันเพื่อเลือกโครงการที่ต้องการ และส่งรายงานการ ประชุมให้นายอำ�เภอ/ผู้อำ�นวยการเขต/นายกเทศมนตรี ตรวจ สอบและลงนามในเอกสารการประชุม หลังจากนั้น สพช. จะ พิจารณาและอนุมัติโครงการ แต่ในทางปฏิบัติ ขั้นตอนการเลือก และการอนุมัติถูกบิดเบือนโดยนักการเมืองและข้าราชการบาง กลุ่ม เพื่อเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มธุรกิจอย่างน้อย 2 กลุ่ม ได้แก่ บริษัทขายสินค้าประหยัดพลังงานและสินค้าพลังงานทดแทน และบริษัทขายปุ๋ยสำ�เร็จรูป อีกทั้งผู้บริหารระดับสูงของ สพช. ถูกตรวจสอบพบว่า มีความสัมพันธ์กับกลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์ จากการทุจริตในโครงการ 1. การเลือกโครงการ จากรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ มติชน และผลการ ตรวจสอบของสำ�นักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และคณะ อนุกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณโครงการเศรษฐกิจ พอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน วุฒิสภา พบว่า มีกลุ่มคนที่อ้างตัว เป็นเจ้าหน้าที่ของ สพช. ข้าราชการท้องถิ่น นักการเมืองท้องถิ่น และตัวแทนบริษัทเอกชน เข้าไปแทรกแซงกระบวนการตัดสินใจ ของชุมชนทั้งในกรุงเทพฯ และภูมิภาค โดยชักจูงให้ชุมชนเลือก โครงการที่มีผลประโยชน์แอบแฝงแทนโครงการที่ตรงกับความ ต้องการของชุมชน เช่น • นำ�เอกสารแบบฟอร์มของโครงการและตัวอย่างการกรอก พร้อมแนบแผ่นพับโฆษณาสินค้าประหยัดพลังงานและ สินค้าพลังงานทดแทนเข้าไปในที่ประชุมของชุมชน เพื่อ ชักชวนให้ชุมชนเลือกโครงการจัดซื้อสินค้าดังกล่าว มติชน รายงานว่า ส.ข. พรรคประชาธิปัตย์ร่วมกับกลุ่มบุคคลที่ อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ของ สพช. ข้าราชการท้องถิ่น และ ตัวแทนบริษัทเอกชน ร่วมกันกระทำ�การดังกล่าวกับชุมชน ต่างๆ ในเขตบางกะปิและเขตบึงกุ่ม • หลอกลวงให้ชุมชนเลือกโครงการจัดซื้อสินค้าประหยัด พลังงานและสินค้าพลังงานทดแทน โดยบอกว่าหากชุมชน เลือกโครงการอื่นจะไม่ได้รับการอนุมัติ • หลอกลวงชุมชนว่าได้รับงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อจัดซื้อ สินค้าข้างต้น แต่เมื่อชุมชนเสนอโครงการเพิ่มเติม กลับ กลายเป็นการเสนอขอเปลี่ยนแปลงโครงการที่ชุมชนเสนอ ไปแล้ว • หลอกลวงให้ชุมชนเปลี่ยนโครงการเป็นการซื้อปุ๋ยสำ�เร็จรูป โดยอ้างว่าโครงการเดิมจะไม่ได้รับการอนุมัติ หรือหลอกลวง ให้ชุมชนเลือกโครงการผลิตปุ๋ยหรือโครงการจัดซื้อเครื่องมือ เกษตร แต่เมื่อได้รับการจัดสรรงบประมาณแล้ว กลับให้ ชุมชนนำ�ไปซื้อปุ๋ยสำ�เร็จรูปแทน ทั้งนี้ สำ�นักงานการตรวจ เงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบพบว่าชุมชนกว่า 100 แห่ง ใน 11 จังหวัดภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ ภาคเหนือ มีการยื่นขอโครงการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ โดย แบบฟอร์มที่ยื่นขอโครงการมีลักษณะของกระดาษ ตัวอักษร และลายมือเหมือนกัน นอกจากนี้ สตง. ยังตรวจสอบพบว่า ชุมชนส่วนใหญ่เลือก โครงการจัดซื้อสินค้าที่คล้ายกันและจำ�กัดอยู่ไม่กี่ประเภท เช่น จากการสุ่มตรวจชุมชน 180 แห่งในกรุงเทพฯ มีถึง 147 แห่ง ที่เลือกโครงการซื้อตู้น้ำ�ดื่มหยอดเหรียญหรือเครื่องกรองน้ำ� พลังงานแสงอาทิตย์ ยิ่งไปกว่านั้น คณะอนุกรรมาธิการฯ วุฒิสภา ตรวจสอบพบว่าสินค้าที่ขายให้กับชุมชนมีราคาแพงกว่าสินค้า ในตลาดถึง 8-10 เท่า เช่น ตู้กรองน้ำ�ดื่มพลังงานแสงอาทิตย์มี และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 53
  • 47. ราคา 300,000 บาท ทั้งที่ราคาตลาดอยู่ที่ประมาณ 25,000- 35,000 บาท คณะอนุกรรมาธิการฯ วุฒิสภา ตั้งข้อสังเกตว่า สพช. อาจพยายามปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับตัวอย่างโครงการที่ไม่ให้การ สนับสนุนและส่งเสริมในคู่มือฉบับเต็ม โดยคู่มือการบริหารจัดการ โครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน ‘ฉบับย่อ’ ที่แจก ให้กับชุมชนและข้าราชการท้องถิ่นนั้นไม่มีรายละเอียดดังกล่าว ชุมชนจึงถูกชักชวนให้เสนอโครงการซื้อสินค้าที่ไม่ตรงตามหลัก เกณฑ์ และระเบียบของโครงการฯ ที่กำ�หนดให้การจัดซื้อจัดจ้าง ของชุมชนไม่จำ�เป็นต้องดำ�เนินการตามระเบียบของราชการ ก็เอื้อ ให้ชุมชนซื้อสินค้าที่มีราคาสูงผิดปกติ นอกจากความผิดปกติดังกล่าว คณะอนุกรรมาธิการฯ วุฒิสภา ยังตรวจสอบพบว่า กระบวนการเลือกโครงการมิได้ ดำ�เนินไปตามหลักเกณฑ์เช่นมีผู้แทนของครัวเรือนเข้าร่วมประชุม ไม่ถึงร้อยละ 70 ของครัวเรือนในชุมชน แต่มาลงชื่อภายหลัง โดยนายอำ�เภอ ผู้อำ�นวยการเขต หรือนายกเทศมนตรีลงนาม รับรองความถูกต้องของการประชุม โดยอ้างว่าเจ้าหน้าที่ของ สพช. อนุญาต หรือถูกกดดันจากนักการเมืองทั้งในระดับท้องถิ่น และระดับชาติ เพื่อให้โครงการได้รับการอนุมัติโดยเร็ว กลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากการทุจริตข้างต้นคือกลุ่มบริษัท ผู้จำ�หน่ายสินค้าประเภทประหยัดพลังงานและพลังงานทดแทน เช่น บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ โปร เทคโนโลยี จำ�กัด ผู้จำ�หน่ายตู้น้ำ�ดื่ม หยอดเหรียญพลังงานแสงอาทิตย์ และบริษัท คาร์เทล เทคโนโลยี จำ�กัดผู้จำ�หน่ายเครื่องผลิตปุ๋ยหมักและก๊าซชีวภาพซึ่งเป็นหุ้นส่วน ทางธุรกิจกับบริษัท บีเอ็นบี อินเตอร์ กรุ๊ป จำ�กัด (มหาชน) ที่เป็น ผู้ผลิตสินค้าประเภทดังกล่าว ที่สำ�คัญคือ ผู้อำ�นวยการ สพช. เคยมีความเชื่อมโยงกับ บริษัท บีเอ็นบีฯ มาก่อน โดยในปี 2549 ผู้อำ�นวยการ สพช. ดำ�รงตำ�แหน่งประธานบริษัทอินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริงจำ�กัด (มหาชน) หรือ ไออีซี ซึ่งซื้อหุ้นของบริษัท บีเอ็นบีฯ ถึงร้อยละ 23.8 ต่อมาผู้อำ�นวยการ สพช. ลาออกจากไออีซี และขายหุ้น ของบริษัท บีเอ็นบีฯ ในปี 2550 ยิ่งไปกว่านั้น น้องสาวของผู้อำ�นวยการ สพช. ยังมีความ สัมพันธ์ทางอ้อมกับบริษัท บีเอ็นบีฯ โดย เป็นผู้มีอำ�นาจทำ� ธุรกรรมแทนบริษัท พรีเมียร์ คลับ (2005) จำ�กัด ซึ่งถือหุ้นของ บริษัท แบ็งคอค อินเตอร์เนชั่นแนล เกอร์เม็ต จำ�กัด ในสัดส่วนที่ มากที่สุด คือร้อยละ 41.5 และในช่วงเริ่มโครงการชุมชนพอเพียง บริษัท แบ็งคอคฯ ก็ถือหุ้นของบริษัท บีเอ็นบีฯ จำ�นวน 2.4 ล้าน หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 1.7 ของหุ้นทั้งหมด 140 ล้านหุ้น นอกจากนี้ ในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน 2552 บริษัท คาร์เทล เทคโนโลยี จำ�กัด ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่จำ�หน่ายสินค้า ของบริษัท บีเอ็นบีฯ ได้บริจาคเงินให้กับพรรคประชาธิปัตย์ 500,000 บาท ในช่วงก่อนเริ่มโครงการ สำ�หรับกรณีการเอื้อประโยชน์แก่บริษัทขายปุ๋ย จากการ ตรวจสอบของหน่วยงานต่างๆ ยังไม่พบหลักฐานเกี่ยวกับกลุ่ม บริษัทที่ได้รับผลประโยชน์ และความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหาร โครงการและกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลประโยชน์ แม้ ส.ส. พรรค ประชาธิปัตย์กล่าวหาว่าปุ๋ยส่วนใหญ่เป็นปุ๋ยจาก หจก. ฟุกเทียน สุราษฎร์การเกษตร ซึ่งมีญาติของอดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า พรรคไทยรักไทยเป็นกรรมการ แต่ หจก. ฟุกเทียนฯ ชี้แจงว่า หจก. เน้นส่งออกสินค้า ส่วนการขายปุ๋ยในประเทศเป็นการดำ�เนินงาน ของตัวแทน และ หจก. ฟุกเทียนฯ ก็ไม่มีความสัมพันธ์กับบุคคล ผู้มีอำ�นาจในโครงการ อีกทั้งปุ๋ยที่ขายให้กับชุมชนก็มาจากหลาย บริษัท 2. การพิจารณาและการอนุมัติ โครงการ ความผิดปกติในขั้นตอนนี้มี 3 ประการ กล่าวคือ ประการแรก คณะอนุกรรมการอำ�นวยการโครงการซึ่ง มีอำ�นาจในการพิจารณาและอนุมัติการจัดสรรงบประมาณ อนุมัติโครงการที่ไม่ตรงตามหลักเกณฑ์ของโครงการ เช่น การซื้อเครื่องกรองน้ำ�หรือการซื้อปุ๋ย ทั้งนี้ ตามรายงานข่าว ของ มติชน ประธานกรรมการบริหารโครงการ มีตำ�แหน่ง เป็นประธานคณะอนุกรรมการอำ�นวยการโครงการด้วย ส่วนน้องชายของประธานฯ ไม่เพียงดำ�รงตำ�แหน่งรอง ผู้อำ�นวยการ สพช. แต่ยังดำ�รงตำ�แหน่งหัวหน้ากลุ่มงาน เมนูคอร์รัปชัน54
  • 48. ผลกระทบต่อประชาชน • ชุมชนเสียโอกาสในการพัฒนาไม่ได้ซื้อสินค้าตามที่ต้องการและสินค้าที่ซื้อก็ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น แผงโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งกับตู้กรองน้ำ�มีขนาดเล็กเกินไป ไม่สามารถจ่ายไฟได้เพียงพอต่อ การทำ�งานของเครื่องกรองน้ำ� การใช้งานจึงยังต้องพึ่งพากระแสไฟฟ้าเหมือนตู้กรองน้ำ�ปกติ หรือโคมไฟส่องสว่างพลังงานแสงอาทิตย์ก็ให้แสงสว่างได้ไม่เพียงพอ • งบประมาณของรัฐบางส่วนสูญเปล่า เนื่องจากสินค้าที่ซื้อไม่ตรงกับความต้องการของชุมชน และไม่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งมีราคาสูงเกินจริง ซึ่งมีอำ�นาจกลั่นกรองโครงการก่อนส่งให้กับคณะอนุกรรมการ อำ�นวยการโครงการ ประการที่สอง ชุมชนเสนอโครงการแบบหนึ่ง แต่กลับได้ รับอนุมัติโครงการที่เกี่ยวกับการจัดซื้อสินค้าประเภทประหยัด พลังงาน ประเภทพลังงานทดแทน หรือการจัดซื้อปุ๋ย จากรายงาน ข่าวของ มติชน คณะทำ�งานตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องร้องเรียน โครงการชุมชนพอเพียง ตรวจสอบพบว่า โครงการร้านค้าชุมชนที่ ชุมชนต่างๆ เสนอมาซึ่งมีวงเงินรวมกัน 130 ล้านบาท ถูกเปลี่ยน เป็นโครงการซื้อปุ๋ยร้อยละ 50 หรือประมาณ 65 ล้านบาท และ โครงการซื้ออุปกรณ์การเกษตรวงเงิน 2,100 ล้านบาท ถูกเปลี่ยน เป็นโครงการซื้อปุ๋ยถึงร้อยละ 70 ประการที่สาม คณะอนุกรรมาธิการฯ วุฒิสภา พบหลักฐาน ที่ทำ�ให้สงสัยว่าเจ้าหน้าที่ของสพช.ผู้มีหน้าที่กลั่นกรองและเสนอ โครงการให้คณะอนุกรรมการอำ�นวยการโครงการพิจารณาอนุมัติ สมรู้ร่วมคิดกับกลุ่มคนที่หลอกลวงชุมชนเพื่อหาผลประโยชน์จาก โครงการ เช่น ชุมชน 8 แห่งในเขตเทศบาลตำ�บลนายม จังหวัด อำ�นาจเจริญ เสนอโครงการมายัง สพช. แต่ยังไม่ได้รับการ พิจารณา ต่อมาถูกชักชวนให้เสนอโครงการซื้อสินค้าเพิ่มเติม ทำ�ให้ได้รับอนุมัติแทนโครงการเดิม และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 55
  • 49. เมนูคอร์รัปชัน สถานะของคดี • รองนายกรัฐมนตรี ผู้อำ�นวยการ สพช. และน้องชายของรองนายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำ�แหน่งผู้บริหารโครงการ • พรรคประชาธิปัตย์มีมติให้สมาชิกพรรค 4 คน (2 คน เป็น ส.ข. เขตบางกะปิและเขตบางพลัด) หมดสภาพความเป็นสมาชิก ของพรรค เนื่องจากมีความประพฤติไม่เหมาะสม ในกรณีถูกกล่าวหาว่าร่วมกับตัวแทนของบริษัทเอกชนชักจูงชุมชนให้เลือก โครงการจัดซื้อสินค้าที่เป็นประโยชน์ต่อบริษัทเอกชน • สพช. ยกเลิกการจ้างงานเจ้าหน้าที่ 5 คน ซึ่งถูกตรวจสอบพบว่าส่อเค้ากระทำ�การทุจริต และแจ้งความกับกองบังคับการ ปราบปรามเพื่อให้สืบสวนเจ้าหน้าที่3ใน5คนที่มีพฤติการณ์ส่อไปในทางใช้อำ�นาจโดยมิชอบจากนั้นกองบังคับการปราบปราม จึงส่งสำ�นวนคดีให้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อย่างไรก็ตาม ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 คน มีเพียงคนเดียวที่เป็นข้าราชการ ซึ่ง ป.ป.ช. มีอำ�นาจไต่สวน ส่วนอีก 2 คน มีสถานะเป็นลูกจ้างชั่วคราว ซึ่ง ป.ป.ช. ไม่มีอำ�นาจ ไต่สวน • สำ�นักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) สรุปผลการตรวจสอบว่าประชาชนไม่ได้ประชุมเพื่อเลือกโครงการตามระเบียบ แต่มี การแทรกแซงจากบุคคลภายนอกที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ของ สพช. • คณะอนุกรรมาธิการฯ วุฒิสภา สรุปผลการตรวจสอบว่า ผู้บริหารโครงการและ สพช. รวมทั้งข้าราชการท้องถิ่น มีพฤติการณ์ อันเชื่อได้ว่ากระทำ�การทุจริตเพื่อให้เกิดการจัดซื้อสินค้าที่ไม่เป็นไปตามความต้องการของชุมชนและไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ 56
  • 50. เอกสารอ้างอิง • คู่มือการบริหารจัดการโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน (ฉบับเต็ม), สำ�นักงานเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน สำ�นักงานปลัดสำ�นักนายกรัฐมนตรี, 2552. • คู่มือการบริหารจัดการโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน (ฉบับย่อ), สำ�นักงานเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน สำ�นักงานปลัดสำ�นักนายกรัฐมนตรี, 2552. • ป.ป.ช. ตั้ง 2 อนุฯ สอบชุมชนพอเพียง ขอสำ�นวน ‘บรรลุ’ ขยายผลทุจริต สธ., หนังสือพิมพ์ มติชน, 7 มกราคม 2553. • เปิดโปงทุจริต ‘ชุมชนพอเพียง’ ยับยั้งแผนรุมทึ้ง ‘ไทยเข้มแข็ง’, หนังสือพิมพ์ มติชน, รวมเอกสารข่าวประกวด, สมาคมนักข่าว นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย. 2552. • ผลสอบ กมธ. วุฒิฯ ตีแผ่กลโกง ‘ชุมชนพอเพียง’ หมกเม็ด-มั่ว-ปกป้องคนผิด, หนังสือพิมพ์ มติชน, 8 กุมภาพันธ์ 2553. • สอบเส้นทางทุจริต ‘ชุมชนพอเพียง’ จากปากคำ�ประธานชุมชน ‘เทพเทวี’, กรุงเทพ ธุรกิจ, 9 สิงหาคม 2552. • สำ�นักงานการตรวจเงินแผ่นดิน, รายงานการตรวจสอบการดำ�เนินงานโครงการเศรษฐกิจ พอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน (ศพช.). และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 57
  • 51. บันได 4 ขั้น 01 กลุมคนที่อางวาเปนเจาหนาที่ ของ สพช. นักการเมือง และขาราชการหลอกลวงชุมชน ใหเลือกโครงการที่เอื้อประโยชน แกบริษัทเอกชน 02 03 สถานะ 1. รองนายกรัฐมนตรี ผูอำนวยการ สพช. และนองชายของ รองนายกรัฐมนตรี ลาออก จากตำแหน�งผูบริหารโครงการ 2. พรรคประชาธิปตยใหสมาชิก พรรค 4 คน(2 คนเปน ส.ข. เขตบางกะปและเขตบางพลัด) หมดสภาพความเปนสมาชิก ของพรรค เน��องจากมีความ ประพฤติไมเหมาะสม 3. สพช. ยกเลิกการจางงาน เจาหนาที่ 5 คนซึ�งถูกตรวจสอบ พบวาสอเคากระทำการทุจริต 4. สำนักงานการตรวจเงินแผนดิน สรุปผลการตรวจสอบวา ประชาชนไมไดประชุม เพื่อเลือกโครงการตามระเบียบ ของโครงการฯ แตมีการ แทรกแซงจากบุคคลภายนอก 5. คณะอนุกรรมาธิการติดตาม การบริหารงบประมาณโครงการ เศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับ ชุมชน วุฒิสภา สรุปผลการ ตรวจสอบวาผูบริหารโครงการ และ สพช. รวมทั้งขาราชการ ทองถิ�น มีพฤติการณอันเชื่อไดวา กระทำการทุจริต ความเสียหาย • ชุมชนเสียโอกาสในการพัฒนา เพราะไมไดซื้อสินคาตามที่ ตองการ และสินคาที่ซื้อก็ไมมี ประสิทธิภาพ • งบประมาณของรัฐบางสวน สูญเปลา เน��องจากสินคาที่ซื้อ ไมตรงกับความตองการของ ชุมชนและไมมีประสิทธิภาพ อีกทั้งมีราคาสูงเกินจริง บร�ษัท พร�เมียร คลับ (2005) ถือหุŒน 41.5% ของบร�ษัทแบ็งคอคฯ บร�ษัท แบ็งคอค อินเตอรเนชั่นแนล เกอรเม็ต ถือหุŒน 1.7% ของบร�ษัทบีเอ็นบีฯ บร�ษัท บีเอ็นบี อินเตอร กรุป ไดŒรับผลประโยชน จากโครงการที่เปšนป˜ญหา บร�ษัท คารเทล เทคโนโลยี เปšนหุŒนส‹วนกับบร�ษัทบีเอ็นบีฯ และบร�จาคเง�น 500,000 บาท ใหŒพรรคประชาธิป˜ตย นŒองสาวของผูŒอำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจพอเพ�ยงเพ�่อยกระดับชุมชน (สพช.) ในขณะนั้น เปšนผูŒมีอำนาจทำธุรกรรมแทนบร�ษัทพร�เมียรฯ รองนายกรัฐมนตร� ประธานกรรมการบร�หารโครงการ สมาชิกพรรคประชาธิป˜ตย วงจรโครงการ ชุมชนพอเพ�ยง 300,000บาท 30,000บาท ราคาตลาด ราคาโครงการชุมชนพอเพ�ยงราคาเคร�่องกรองน้ำ โครงการชุมชนพอเพ�ยง: หลอกลวงชาวบŒาน อนุมัติโครงการไม‹ชอบ 09 เป‡าหมายของโครงการเศรษฐกิจพอเพ�ยงเพ�่อ ยกระดับชุมชน คือการใหŒชุมชนทั่วประเทศ มีส‹วนร‹วมในการเลือกและบร�หารจัดการโครงการ โดยรัฐจะสนับสนุนทางการเง�น แต‹กลับปรากฏว‹า บางชุมชนถูกหลอกใหŒเลือกโครงการที่เอื้อประโยชน แก‹บางบร�ษัท หร�อบางชุมชนไดŒรับอนุมัติ โครงการที่ไม‹ไดŒเลือก จากการสมคบกัน ของกลุ‹มคนที่อŒางว‹าเปšนขŒาราชการ นักการเมือง และนักธุรกิจ นายอำเภอ/ผูอำนวยการเขต/ นายกเทศมนตรี ลงนามรับรอง ความถูกตองของกระบวนการ การประชุม ทั้งที่มีบุคคล ภายนอกมาแทรกแซง การประชุม และมีจำนวน ครัวเรือนไมครบตามหลักเกณฑ ของโครงการ 04 คณะอนุกรรมการอำนวยการ โครงการ อนุมติโครงการ ที่ไมตรงกับหลักเกณฑของ โครงการ/ปรับเปลี่ยนโครงการ ที่ชุมชนตองการ เปนโครงการ ที่เอื้อประโยชนแกบริษัทเอกชน คณะทำงานกลั�นกรองไมสง คำขออนุมัติโครงการของชุมชน เปดโอกาสใหกลุมคนที่อางวา เปนเจาหนาที่ของ สพช. นักการเมือง และขาราชการ หลอกลวงชุมชนใหเปลี่ยน โครงการ และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 5958
  • 52. 10 กั๊กโควตา ‘กากถั่วเหลือง’ ปูมหลัง ‘กากถั่วเหลือง’ เป็นหนึ่งในวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สำ�คัญ การผลิตกากถั่วเหลืองในประเทศไทย ทั้งจากเมล็ดถั่วเหลือง ในประเทศและการนำ�เข้า มีปริมาณเพียงร้อยละ 30 ของความ ต้องการ ไทยจึงต้องนำ�เข้ากากถั่วเหลืองมากกว่า 2 ล้านตัน ต่อปี ซึ่งมากเป็นอันดับ 4 ของโลก โดยในช่วงปี 2551-2554 แหล่งนำ�เข้าที่สำ�คัญของไทย ได้แก่ บราซิล ประมาณร้อยละ 50 อาร์เจนตินา ร้อยละ 34 อินเดีย ร้อยละ 9 และสหรัฐอเมริกา ร้อยละ 7 ภายใต้ความตกลงขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) ไทยจะต้องเปิดเสรีตลาดกากถั่วเหลือง โดยกำ�หนดอัตราภาษีนำ�เข้าไว้ที่ระดับไม่เกินร้อยละ 20 สำ�หรับ การนำ�เข้ากากถั่วเหลืองในโควตา 230,000 ตัน ขณะที่การนำ� เข้าส่วนที่เกินจากโควตาจะต้องเสียภาษีมากกว่า โดยกำ�หนด อัตราภาษีนำ�เข้าไว้ไม่เกินร้อยละ 133 ทั้งนี้ ในปี 2556 อัตรา ภาษีที่เรียกเก็บจริง (applied rate) สำ�หรับการนำ�เข้ากากถั่ว เหลืองอยู่ที่ร้อยละ 2 ขณะที่การนำ�เข้าที่เกินจากโควตาอยู่ที่ ร้อยละ 6 และต้องเสียค่าธรรมเนียมพิเศษตันละ 2,519 บาท เส้นทางผลประโยชน์ การกำ�หนดโควตาการนำ�เข้ากากถั่วเหลืองทำ�ให้มีการเสีย ภาษีแตกต่างกันระหว่างการนำ�เข้ากากถั่วเหลืองในโควตากับ นอกโควตา ซึ่งผู้ประกอบการย่อมต้องการสิทธิ์ในการนำ�เข้า กากถั่วเหลืองในโควตา อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ผู้ประกอบการจะสามารถขอหนังสือ รับรองสิทธิ์การใช้โควตา หน่วยงานภาครัฐจะต้องออกระเบียบ เกี่ยวกับการนำ�เข้าให้ชัดเจนเสียก่อน ทั้งนี้ เนื่องจากกฎหมาย กำ�หนดให้ออกระเบียบดังกล่าวปีต่อปี จึงทำ�ให้ผู้มีอำ�นาจ สามารถชะลอการออกระเบียบ เพื่อสร้างช่องทางในการเรียก รับผลประโยชน์จากผู้นำ�เข้ากากถั่วเหลือง ขั้นตอนการกำ�หนดมาตรการนำ�เข้ากากถั่วเหลืองมีดังนี้ 1. คณะกรรมการนโยบายอาหาร ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน จะกำ�หนดมาตรการการนำ�เข้า สินค้าอาหารปีต่อปี และนำ�เสนอมาตรการต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ความเห็นชอบ 2. กระทรวงการคลังออกประกาศลด/ยกเว้นอากรสำ�หรับ การนำ�เข้าในโควตา เมนูคอร์รัปชัน60
  • 53. 3. กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ออก ระเบียบการออกหนังสือรับรองสิทธิ์ โดยให้มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมของปีถัดไป จากขั้นตอนดังกล่าว จะเห็นได้ว่ากระทรวงพาณิชย์ มีอำ�นาจทั้งต้นทางและปลายทางในการออกระเบียบที่ เกี่ยวข้องกับการนำ�เข้ากากถั่วเหลือง กล่าวคือ รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานคณะกรรมการ นโยบายอาหาร ซึ่งกำ�หนดมาตรการการนำ�เข้า และเป็น ผู้ลงนามในระเบียบการออกหนังสือรับรองสิทธิ์ ตัวอย่างของปัญหาที่เกิดขึ้นเช่นในเดือนพฤศจิกายน 2552 ผู้ประกอบการจากสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย เปิดเผยว่า สมาคมฯ ได้ยื่นหนังสือต่อกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้คณะกรรมการนโยบายอาหารเร่งกำ�หนดมาตรการ การนำ�เข้ากากถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และปลาป่น ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำ�คัญของอาหารสัตว์ ให้ชัดเจนถึง 3 ครั้ง แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เพิกเฉย จนกระทั่ง ต้องนำ�เรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและ เอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ที่มีนายก- รัฐมนตรีเป็นประธาน เรื่องดังกล่าวจึงมีความคืบหน้า ผู้นำ�เข้ากากถั่วเหลืองชี้แจงว่า ปกติแล้วจะมีการนำ� เข้ากากถั่วเหลืองเดือนละประมาณ 200,000 ตัน หาก ยังไม่มีประกาศออกมา สินค้าทั้งหมดจะต้องจัดเก็บไว้ บนเรือ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายโดยรวมวันละประมาณ 3 ล้านบาท นอกจากนี้ หากระเบียบออกมาล่าช้า ผู้ประกอบการก็จะ ต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น แม้จะสามารถขอคืนภาษีได้ ภายหลัง แต่ก็ต้องใช้เวลา 6-10 เดือน ซึ่งเป็นการเพิ่ม ต้นทุนอย่างมาก โดยผู้ประกอบการชี้แจงว่า ความล่าช้า ในการออกระเบียบดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากมีผู้ต้องการ เรียกรับผลประโยชน์ ผลกระทบต่อ ประชาชน • การกำ�หนดโควตาการนำ�เข้ากากถั่วเหลืองทั้งที่ประเทศไทย ผลิตได้ไม่เพียงพอกับความต้องการ ทำ�ให้ประชาชนและ ผู้ประกอบการต้องซื้อกากถั่วเหลืองในราคาแพงกว่าที่ควร จะเป็น และสร้างช่องทางในการเรียกรับผลประโยชน์จาก ผู้นำ�เข้ากากถั่วเหลือง • ผู้เลี้ยงสัตว์ได้รับความเดือดร้อนจากความล่าช้า และมีภาระ ต้นทุนด้านค่าขนส่งทางเรือที่เตรียมนำ�เข้ากากถั่วเหลือง เอกสารอ้างอิง • ทวงสัญญานำ�เข้ากากถั่วเหลือง 8 สมาคมปศุสัตว์โวย ก.พาณิชย์อนุมัติช้า เสียหายยับ, หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ, 3 ธันวาคม 2552. • นายกฯ จี้ออกนโยบายกากถั่วเหลือง, หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ, 19 พฤศจิกายน 2552. • เอกชนจี้ ‘พรทิวา’ คลอดนโยบายกากถั่ว, ผู้จัดการออนไลน์, 1 ธันวาคม 2552. • สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย (2554), นโยบายและมาตรการการนำ�เข้ากากถั่ว เหลือง ปี 2554, วารสารธุรกิจอาหารสัตว์, เล่มที่ 139, กรกฎาคม-สิงหาคม 2554. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 61
  • 54. 2549 2550 2551 0.0 0.5 1.0 1.5 2.0 2.5 3.0 3.5 หน�วย: ลานตัน ผลกระทบต‹อ ประชาชน การนำเขŒากากถั่วเหลือง: โควตาสรŒางช‹องทุจร�ต 10 ประเทศไทยผลิตกากถั่วเหลืองไดŒเพ�ยง 30% ของความตŒองการ ดังนั้นจ�งตŒองนำเขŒามากกว‹า ป‚ละ 2 ลŒานตัน ซึ่งมากเปšนอันดับ 4 ของโลก แต‹การกำหนดอัตราภาษีที่แตกต‹างกันมาก ระหว‹างการนำเขŒากากถั่วเหลืองในและนอกโควตา และการที่กระทรวงพาณิชยมีอำนาจ ในการออกระเบียบในการนำเขŒากากถั่วเหลือง ทำใหŒเกิดช‹องทางในการเร�ยกรับผลประโยชน จากผูŒนำเขŒา บันได 3 ขั้น 01 02 03 อัตราภาษีที่แตกตางกันมาก ระหวางการนำเขากากถั�วเหลือง ในและนอกโควตา ทำให ผูประกอบการตองแยงโควตา การนำเขา กระทรวงพาณิชยมีอำนาจ ออกระเบียบในการนำเขา กากถั�วเหลือง รวมถึงระเบียบ การออกหนังสือรับรองสิทธิ์ การใชโควตา ผูมีอำนาจชะลอการออก ระเบียบดังกลาว เพื่อสราง ชองทางในการเรียกรับ ผลประโยชนจากผูนำเขา กากถั�วเหลือง • การกำหนดโควตาการนำเขา กากถั�วเหลือง ทั้งที่ประเทศไทย ผลิตไดไมเพียงพอกับ ความตองการ ทำใหประชาชน และผูประกอบการตองซื้อ กากถั�วเหลืองในราคาแพงกวา ที่ควรจะเปน และสรางชองทาง ในการเรียกรับผลประโยชน จากผูนำเขากากถั�วเหลือง • สมาคมผูผลิตอาหารสัตวไทย ประมาณการวาผูนำเขา ตองแบกภาระคาขนสงทางเรือ ที่เตรียมนำเขากากถั�วเหลือง ปริมาณ 2 แสนตัน (ระหวาง รอรัฐมนตรีลงนามในระเบียบการ ออกหนังสือรับรองสิทธิ์การใช โควตา) ประมาณวันละ 3,000 ดอลลาร และผูเลี้ยงสัตว ไดรับความเดือดรอนจาก ความลาชา เพราะไมทราบตนทุน กากถั�วเหลืองที่แน�ชัด นำเขŒานอกโควตา เสียภาษีมากกว‹าในโควตาตันละ 3,000บาท โควตาการนำเขŒากากถั่วเหลืองมีเพ�ยง 230,000ตัน หร�อ 1 ใน 10 ของปร�มาณ ที่นำเขŒาทั้งหมด เปดช‹องใหŒแสวงหาผลประโยชน ไดŒมากที่สุด 690ลŒานบาท ผลผลิตและความตŒองการ ใชŒกากถั่วเหลือง 2549-2551 ความตองการใชกากถั�วเหลือง ผลผลิตกากถั�วเหลืองในประเทศ และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 6362
  • 55. 11 ผลประโยชน์ทับซ้อน ของบอร์ด ปตท. ปูมหลัง บริษัท ปตท. จำ�กัด (มหาชน) ก่อตั้งในรูปแบบรัฐวิสาหกิจ ในชื่อ ‘การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย’ เมื่อปี 2521 และ เข้าสู่กระบวนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ โดยแปลงสภาพเป็น บริษัทและกระจายหุ้นบางส่วนให้เอกชน ผ่านการซื้อขายใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2544 โดยมีกระทรวง การคลังเป็น ‘ผู้ถือหุ้นรายใหญ่’ ปัจจุบัน ปตท. จึงมีสถานะเป็น บริษัทครึ่งรัฐครึ่งเอกชน การมี 2 สถานะ ทำ�ให้ ปตท. เป็นบริษัท ‘ลูกครึ่ง’ ที่ สามารถเลือกจะเป็นอะไรก็ได้ ตามแต่ผลประโยชน์ เช่น ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้า เพราะเป็นรัฐวิสาหกิจ ขณะที่การดำ�เนินธุรกิจก็คล่องตัวกว่า รัฐวิสาหกิจอื่นๆ เพราะใช้ระบบบริหารงานแบบเอกชน ทั้งนี้ ปัญหาสำ�คัญของการเป็นบริษัทลูกครึ่ง คือ ผล ประโยชน์ทับซ้อนของข้าราชการที่ดำ�รงตำ�แหน่งกรรมการ หรือ ‘บอร์ด’ ของบริษัท เส้นทางผลประโยชน์ การดำ�รงตำ�แหน่งกรรมการ ปตท. ของข้าราชการเป็น ปัญหาสำ�คัญของการเป็นบริษัทลูกครึ่ง เพราะในด้านหนึ่ง ข้าราชการควรทำ�หน้าที่รักษาผลประโยชน์ของรัฐและประชาชน แต่ในอีกด้านหนึ่ง กรรมการ ปตท. ย่อมจะต้องดำ�เนินการเพื่อ สร้างกำ�ไรสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้นการสวมหมวก2ใบของกรรมการ ปตท. จึงเป็นที่มาของปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนได้ไม่ยาก รายงานประจำ�ปี พ.ศ. 2555 ระบุว่า ปตท. มีคณะ กรรมการ 16 คน (รวมอดีตประธานกรรมการ 1 คน ซึ่งลาออก จากตำ�แหน่งในปีดังกล่าว) ในจำ�นวนนี้มี 6 คนที่เป็นผู้บริหาร ระดับสูงของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกำ�หนด นโยบายที่ส่งผลต่อการประกอบธุรกิจของ ปตท. นับตั้งแต่ ปตท. แปรรูปเป็นบริษัทมหาชน ประธาน กรรมการส่วนใหญ่คือ ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพลังงาน ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่‘กำ�หนดนโยบาย’ และกำ�กับดูแลการ ดำ�เนินงานของ ปตท. นอกจากนี้ บริษัทในเครือ ปตท. ทุกบริษัท ก็ล้วนมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพลังงานเป็นกรรมการ เมนูคอร์รัปชัน64
  • 56. เช่น บริษัท ปตท. สำ�รวจและผลิตปิโตรเลียม จำ�กัด (มหาชน) บริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำ�กัด (มหาชน) และ บริษัท ปตท. เคมิคอล จำ�กัด (มหาชน) ขณะเดียวกัน กรรมการคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้บริหาร ระดับสูงของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจ ของ ปตท. หรือจากหน่วยงานกลาง เช่น กระทรวงพลังงาน กระทรวงการต่างประเทศ สำ�นักงานอัยการสูงสุด กรมศุลกากร สำ�นักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำ�นักงานนโยบายและแผนพลังงาน นอกจากนี้ ประธานกรรมการเฉพาะเรื่องทั้ง 4 คณะของ ปตท. อันประกอบด้วย คณะกรรมการกำ�กับดูแลกิจการที่ดี คณะ กรรมการตรวจสอบ คณะกรรมการสรรหา คณะกรรมการกำ�หนด ค่าตอบแทน ก็ล้วนมาจากผู้บริหารที่มีตำ�แหน่งระดับสูงของ หน่วยงานภาครัฐทั้งนั้น ผลประโยชน์ทับซ้อนของบอร์ด ปตท. อาจเห็นได้จาก ค่าตอบแทนจากการเข้าประชุมและโบนัสที่ได้รับจากการเป็น กรรมการ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วมีมูลค่ามากกว่า 200,000 บาท ต่อคนต่อเดือน ทั้งนี้ยังไม่รวมเงินปันผลในกรณีที่ถือหุ้น ปตท. และค่าตอบแทนที่ได้รับจากการเป็นกรรมการบริษัทในเครือ ตัวอย่างเช่น ในปี 2555 ปลัดกระทรวงท่านหนึ่งได้รับ ค่าตอบแทนในฐานะประธานกรรมการ ปตท. และบริษัทในเครือ อีก2บริษัทประมาณ10,025,000บาทขณะที่ได้รับค่าตอบแทน ในฐานะปลัดกระทรวงประมาณ 1,321,000 บาท จึงนำ�มาสู่ คำ�ถามสำ�คัญว่า ปลัดกระทรวงท่านนี้จะให้ความสำ�คัญกับ งานใดหรือต้องการสวมหมวกใบไหนมากกว่ากัน ระหว่างการ รักษาผลประโยชน์ของสาธารณะกับผลประโยชน์ของ ปตท. ผลประโยชน์ทับซ้อนของบอร์ด ปตท. ยังอาจนำ�ไปสู่การ แข่งขันที่ไม่เป็นธรรมในธุรกิจพลังงาน ตัวอย่างเช่น การให้ สัมปทานการสำ�รวจและขุดเจาะปิโตรเลียมรอบที่ 19 ในปี 2548 ซึ่งกระทรวงพลังงานคัดเลือกผู้รับสัมปทานโดยพิจารณา จากคะแนนทางด้านเทคนิค 70 คะแนน และคะแนนด้านการให้ ผลประโยชน์ตอบแทนต่อสังคม 30 คะแนน คะแนนด้านการให้ผลประโยชน์ตอบแทนต่อสังคมที่ ปตท. ได้รับนั้นส่วนหนึ่งมาจากการให้ทุนการศึกษาที่ ปตท. ดำ�เนิน การเป็นประจำ�อยู่แล้ว อีกทั้งหลายทุนก็เป็นการให้แก่พนักงาน ของบริษัท ขณะที่คะแนนอีกส่วนหนึ่งมาจากการจัดโครงการ ปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ ซึ่ง ปตท. ดำ�เนินการในนามของ ‘กระทรวงพลังงาน’ การกำ�หนดเกณฑ์การพิจารณาดังกล่าวเป็นการให้แต้มต่อ แก่ ปตท. เหนือผู้ประกอบการรายอื่น เนื่องจากบริษัทเหล่านั้น ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ เพราะมิได้เป็นส่วนหนึ่งของ กระทรวงพลังงาน เช่นนี้แล้ว ไม่ว่าบริษัทอื่นๆ จะจัดทำ�ข้อเสนอ ทางเทคนิคที่มีประสิทธิภาพเท่าเทียมหรือสูงกว่าปตท.มากแค่ไหน ก็ย่อมไม่สามารถแข่งขันกับ ปตท. ได้อย่างเป็นธรรม ควรกล่าวด้วยว่า เงินสนับสนุนทุนการศึกษาและค่าใช้จ่าย ในโครงการปลูกป่าของ ปตท. อยู่ในหลักร้อยล้านบาทเท่านั้น ซึ่ง เทียบไม่ได้เลยกับกำ�ไรหลักแสนล้านบาทในแต่ละปี เอกสารอ้างอิง • รายชื่อคณะกรรมการบริษัทและข้อมูลอื่นๆ ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2555, http://www.pttplc.com/ • รายงานประจำ�ปี 2555 บริษัท ปตท. จำ�กัด (มหาชน) • รายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ 142 และ รายงานการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบาย พลังงาน (กบง.) ในคราวเดียวกัน ผลกระทบต่อ ประชาชน • การที่ผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐเป็น กรรมการ ปตท. อาจสามารถเอื้อประโยชน์แก่ ปตท. ทำ�ให้ ปตท. ได้เปรียบผู้ประกอบการ รายอื่นเป็นอย่างมาก • ความได้เปรียบของ ปตท. อาจทำ�ให้ประชาชน ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านพลังงานมากขึ้น จากการ แข่งขันที่ไม่เสมอภาค และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 65
  • 57. ปตท. เปšนรัฐว�สาหกิจที่ถูกแปลงสภาพเปšนบร�ษัท และกระจายหุŒนบางส‹วนใหŒเอกชนผ‹าน ตลาดหลักทรัพยในป‚ 2544 โดยยังมีกระทรวง การคลังเปšนผูŒถือหุŒนรายใหญ‹ ป˜จจ�บัน ปตท. จ�งมีสถานะเปšนบร�ษัทคร�่งรัฐ คร�่งเอกชน โดยมีผูŒบร�หารระดับสูงของภาครัฐ เปšนกรรมการจำนวนมาก ซึ่งอาจก‹อใหŒเกิดป˜ญหา ผลประโยชนทับซŒอน บอรด ปตท.: ผลประโยชนทับซŒอน 11 69% 29%9% บร�ษัท PTT บร�ษัท TOMS บร�ษัท Chevron 68% 67% 7% สัดส‹วนคะแนนเต็ม 100% ดานเทคนิค 70% ดานผลประโยชน ตอบแทนสังคม 30% •การที่ผูบริหารระดับสูงของ ภาครัฐเปนกรรมการ ปตท. อาจเปนการเอื้อประโยชนแก ปตท. ทำให ปตท. ไดเปรียบ ผูประกอบการรายอื่น •ความไดเปรียบของ ปตท. อาจทำใหประชาชนตองเสีย คาใชจายดานพลังงานมากขึ้น จากการแขงขันที่ไมเสมอภาค บันได 4 ขั้น 01 02 03 04 ผูบริหารระดับสูงของภาครัฐ เปนกรรมการ ปตท. ผูบริหารระดับสูงของภาครัฐ ใชอำนาจหนาที่กำหนดนโยบาย ที่อาจเอื้อตอการดำเนินงาน ของ ปตท. ปตท. ไดเปรียบผูประกอบการ รายอื่น ผูบริหารระดับสูงของภาครัฐ ไดรับเงินโบนัสและคาตอบแทน อื่นๆ ในฐานะกรรมการ ปตท. และบริษัทลูก และอาจไดรับเงิน ปนผลในกรณ�ที่เปนผูถือหุน * ตัวเลขคาดการณ รายไดŒประจำป‚ 2555 ของประธานกรรมการ ปตท. - ในฐานะปลัดกระทรวงพลังงาน 1,321,000 บาท - ในฐานะประธานกรรมการ ปตท. และบริษัทในเครือ อีก 2 บริษัท 10,025,000 บาท ปลัดกระทรวง ประธานกรรมการ ปตท. ผลตอบแทน (หน�วย) บาท/ป 12,000,000 0 2,000,000 4,000,000 6,000,000 8,000,000 10,000,000 1,321,000 10,025,000 ป 2548 กระทรวงพลังงานคัดเลือกผูรับสัมปทานการสำรวจ และขุดเจาะปโตรเลียมรอบที่ 19 โดยพิจารณาจากคะแนน ดานเทคนิค 70 คะแนน และคะแนนดานการใหผลประโยชน ตอบแทนตอสังคม 30 คะแนน ผลกระทบต‹อ ประชาชน และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 6766
  • 58. 12 โรงไฟฟ้าบางคล้า กับ EIA ที่หายไป ปูมหลัง รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้เอกชนมีบทบาทในการผลิตไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2532 เพื่อเพิ่มการ แข่งขันในกิจการพลังงาน และผู้บริโภคมีพลังงานใช้อย่างเพียงพอในราคาที่เหมาะสม รวมถึง เป็นการลดภาระการลงทุนและภาระหนี้สินของรัฐ ต่อมาในปี 2535 คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็น ชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)1 ให้มีการลงทุนผลิตไฟฟ้า โดยเอกชน ในรูปของผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (Independent Power Producer: IPP) การลงทุนผลิตไฟฟ้าในรูปของผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระนั้นมีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นผู้ทำ�สัญญาการรับซื้อไฟฟ้า (Power Purchase Agreement: PPA) จากเอกชน โดย กฟผ. จะออกประกาศรับซื้อไฟฟ้า (Request for Proposal: RFP) เพื่อให้ผู้ผลิตเอกชนยื่นข้อเสนอ ในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งในข้อเสนอนั้นจะประกอบด้วยชนิดพลังงานที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าและสถานที่ ตั้งโรงไฟฟ้า นอกจากนี้ การรับซื้อไฟฟ้าจะมีการกำ�หนดเงื่อนไขให้เอกชนต้องจัดทำ�รายงานการ วิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment: EIA) เพื่อขอความ เห็นชอบจากสำ�นักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก่อนเริ่มต้นการซื้อ-ขายไฟฟ้าตามสัญญา 1  คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พ.ศ. 2535 โดยมี นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ คณะกรรมการฯ มีอำ�นาจหน้าที่หลักในการเสนอนโยบายและแผนการบริหารและพัฒนาพลังงาน ของประเทศต่อคณะรัฐมนตรี รวมถึงกำ�หนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการกำ�หนดราคาพลังงานให้สอดคล้องกับนโยบายและแผนการ บริหารและพัฒนาพลังงานของประเทศ เมนูคอร์รัปชัน68
  • 59. เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2550 กพช. มีมติเห็นชอบแนวทาง การออกประกาศเชิญชวนเพื่อรับซื้อไฟฟ้าช่วงปี 2555-2557 ต่อมา สำ�นักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวง พลังงาน จึงออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2550 ภายหลังการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอ จากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน คณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือก ข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้า2 มีมติคัดเลือกผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนจำ�นวน 4รายรวมถึงบริษัทสยามเอ็นเนอร์จีจำ�กัด3 ซึ่งวางแผนจะก่อสร้าง โรงไฟฟ้าที่อำ�เภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา เส้นทางผลประโยชน์ การทำ�สัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับบริษัท สยามเอ็นเนอร์จี จำ�กัด มีความไม่โปร่งใสในหลายขั้นตอน ได้แก่ หนึ่ง-ทำ�สัญญาทั้งที่ยัง ไม่มีการเสนอรายงาน EIA ตามข้อกำ�หนดในการคัดเลือกเอกชน เมื่อเริ่มแรก สอง-มีการแก้ไขสัญญาซึ่งเสมือนเป็นการขยายระยะ เวลาการจัดทำ� EIA และสาม-มีการย้ายสถานที่ตั้งโรงไฟฟ้า และ ขอปรับขึ้นค่าไฟฟ้าเนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ความไม่โปร่งใส เหล่านี้ก่อให้เกิดความกังวลว่าอาจมีการเอื้อประโยชน์แก่เอกชน เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2550 กพช. มีมติรับทราบผลการ คัดเลือกโครงการของคณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือก ข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้า ซึ่งกำ�หนดให้เอกชนเจ้าของโครงการ ต้องยื่นรายงาน EIA ต่อ สผ. ก่อนหน้านี้แล้ว คือภายในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2550 และจะต้องได้รับการอนุมัติจากคณะ กรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ภายในวันที่ 30 กันยายน 2551 จึง จะสามารถทำ�สัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. ได้ อย่างไรก็ตาม ณ เวลาที่ กพช. มีมติรับทราบผลการคัดเลือกดังกล่าว บริษัท สยาม เอ็นเนอร์จี จำ�กัด ยังมิได้เสนอรายงาน EIA ให้ สผ. พิจารณาตาม ที่กำ�หนดแต่อย่างใด 2  คณะอนุกรรมการ ประกอบด้วย ผู้อำ�นวยการสำ�นักงานนโยบายและแผนพลังงาน เป็นประธาน ผู้แทนจากสำ�นักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำ�นักงานบริหารหนี้สาธารณะ เป็นอนุกรรมการ 3  ปัจจุบันใช้ชื่อว่า บริษัท กัลฟ์ เจพี ยูที จำ�กัด ต้นปี 2551 เกิดการชุมนุมคัดค้านจากชุมชนในพื้นที่ ทำ�ให้บริษัท สยาม เอ็นเนอร์จี จำ�กัด ไม่สามารถเข้าไปสำ�รวจ พื้นที่เพื่อจัดทำ�รายงาน EIA ได้ แต่กลับมีการลงนามในสัญญา ซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับบริษัท เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2551 ต่อมากลุ่มผู้คัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าบางคล้าได้ ชุมนุมปิดถนนเมื่อวันที่ 8-13 มิถุนายน 2552 จนนำ�ไปสู่การจัด ทำ�บันทึกข้อตกลงระหว่างตัวแทนกลุ่มผู้คัดค้านกับส่วนราชการ ซึ่งประกอบด้วยสำ�นักนายกรัฐมนตรี กระทรวงพลังงาน และ จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2552 โดยมีข้อตกลง ให้จังหวัดทำ�หนังสือถึงภาครัฐเพื่อให้บริษัทพิจารณาหาสถานที่ ก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่นอกพื้นที่อำ�เภอบางคล้า หลังเหตุการณ์ดังกล่าว กฟผ. กับบริษัทจึงลงนามใน สัญญาฉบับแก้ไขเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2552 โดยเลื่อน กำ�หนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบหน่วยที่ 1 และหน่วยที่ 2 ออกไป เป็นเดือนมีนาคม2556และกันยายน2556ตามลำ�ดับรวมทั้ง เลื่อนกำ�หนดวันที่จะต้องได้รับอนุมัติEIAเป็นวันที่31 ธันวาคม 2553 26 พฤศจิกายน 2552 กพช. มีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการ เพื่อพิจารณาหาแนวทางดำ�เนินการต่อ โดยคณะอนุกรรมการ ได้ทำ�หนังสือหารือไปยังอัยการสูงสุด จากนั้นสำ�นักงานอัยการ สูงสุดให้ความเห็นว่า การคัดค้านจากผู้ชุมนุมจนทำ�ให้บริษัท ไม่สามารถเข้าสำ�รวจพื้นที่ได้นั้น หากรัฐไม่สามารถสนับสนุน และอำ�นวยความสะดวกแก่คู่สัญญาในการดำ�เนินการจัดทำ� EIA ได้โดยปกติ อาจถือได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย (Force Majeure) ความเห็นดังกล่าวทำ�ให้กพช.มีมติเมื่อวันที่28มิถุนายน2553 เห็นชอบการย้ายสถานที่ตั้งโรงไฟฟ้าของบริษัทสยามเอ็นเนอร์จี จำ�กัด จากอำ�เภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา ไปอยู่ที่สวน อุตสาหกรรมโรจนะ อำ�เภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเลื่อนกำ�หนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบอีกครั้ง โดยกำ�หนดการ จ่ายไฟฟ้าหน่วยที่ 1 และหน่วยที่ 2 เป็นเดือนมิถุนายน 2558 และธันวาคม 2558 ตามลำ�ดับ นอกจากนี้ กพช. ยังเห็นชอบการขอปรับขึ้นค่าไฟฟ้าที่ เสนอขายให้กับ กฟผ. เพิ่มอีกประมาณ 9.8 สตางค์ต่อหน่วย และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 69
  • 60. เนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการเลื่อนกำ�หนดจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ ระบบ และต้นทุนจากการย้ายพื้นที่ก่อสร้างใหม่ โดยอ้างว่าการ ขอปรับขึ้นค่าไฟฟ้าดังกล่าวไม่ใช่การชดเชยค่าเสียหายจากการ ดำ�เนินการในที่ตั้งเดิม และไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์แก่คู่สัญญา เนื่องจากผลตอบแทนของโครงการที่ตั้งใหม่ไม่สูงกว่าที่ตั้งเดิม และค่าไฟฟ้ารวมไม่สูงกว่าโรงไฟฟ้าประเภทเดียวกันของผู้ประมูล ในลำ�ดับถัดไปในการประมูลรอบเดียวกัน ผลกระทบต่อประชาชน • ความไม่โปร่งใสในการทำ�สัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับบริษัท สยามเอ็นเนอร์จี จำ�กัด ส่งผลให้การ จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบล่าช้ากว่ากำ�หนดถึง 3 ปี 3 เดือน ในขณะที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงขึ้น เรื่อยๆ • การขอปรับขึ้นค่าไฟฟ้าที่เสนอขายให้กับ กฟผ. เพิ่มอีกประมาณ 9.8 สตางค์ต่อหน่วย เป็น ภาระที่ประชาชนไม่ควรต้องแบกรับ เนื่องจากบริษัท สยามเอ็นเนอร์จี เป็นผู้เลือกพื้นที่ ก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่อำ�เภอบางคล้าเอง • ในอนาคต กรณีนี้อาจเป็นกรณีตัวอย่างที่ทำ�ให้บริษัทเอกชนที่ยื่นข้อเสนอไม่ทำ�การศึกษา พื้นที่สร้างโรงไฟฟ้าอย่างละเอียดรอบคอบก่อนยื่นประมูล เนื่องจากหากเกิดปัญหาสุดวิสัย ก็สามารถขอย้ายพื้นที่สร้างโรงไฟฟ้าได้ โดยบริษัทยังได้ผลตอบแทนเท่าเดิม และประชาชน ต้องเป็นผู้แบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เมนูคอร์รัปชัน70
  • 61. เอกสารอ้างอิง • มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 9/2550 (ครั้งที่ 118) • มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2552 (ครั้งที่ 128) • มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2553 (ครั้งที่ 131) และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 71
  • 62. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน จากนั้น คณะกรรมการนโยบาย พลังงานแหงชาติ (กพช.) มีมติเห็นชอบการยายที่ตั้งโรงไฟฟา ไปอยูที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และยังเห็นชอบการขอปรับขึ้น คาไฟฟาที่ขายใหกับ กฟผ. แมในประกาศรับซื้อไฟฟาของ กฟผ. ระบุวาผูผลิตไฟฟาตองทำ EIA กอนเริ�มตนทำสัญญา ซื้อขายไฟฟา แต กฟผ. กลับทำสัญญา ทั้งๆ ที่บริษัทฯ ยังไมไดทำ EIA ผลกระทบต‹อ ประชาชน • ความไมโปรงใสในการทำ สัญญาซื้อขายไฟฟากับบริษัท สยามเอ็นเนอรจี ทำใหการจาย ไฟฟาเขาสูระบบลาชากวา กำหนดถึง 3 ป 3 เดือน • การขอปรับขึ้นคาไฟฟาเพิ�มอีก ประมาณ 9.8 สตางคตอหน�วย กลายเปนภาระที่ประชาชนตอง แบกรับ ทั้งที่เปนปญหาของ บริษัทและ กฟผ. • ในอนาคต กรณ�น�้อาจเปนกรณ� ตัวอยางที่ทำใหบริษัทเอกชน ไมทำการศึกษา EIA สรางโรงไฟฟากอนยื่นประมูล เน��องจากหากเกิดปญหาสุดวิสัย ก็สามารถขอยายพื้นที่สราง โรงไฟฟาได โดยบริษัทยังได ผลตอบแทนเทาเดิม และประชาชนเปนผูแบกรับ ตนทุนที่เพิ�มขึ้น บันได 4 ขั้น โรงไฟฟ‡าบางคลŒา: ไรŒ EIA ยŒายที่สรŒาง ประชาชนจ‹ายค‹าไฟเพ��ม 12 บร�ษัท สยามเอ็นเนอรจ� จำกัด เปšนหนึ่งในผูŒผลิต ไฟฟ‡าเอกชนที่ไดŒรับคัดเลือกใหŒผลิตไฟฟ‡าขาย ใหŒกับการไฟฟ‡าฝ†ายผลิตแห‹งประเทศไทย (กฟผ.) โดยบร�ษัทฯ วางแผนก‹อสรŒางโรงไฟฟ‡าที่ อำเภอบางคลŒา จังหวัดฉะเชิงเทรา แต‹การทำสัญญาซื้อขายไฟฟ‡าระหว‹าง กฟผ. กับบร�ษัทฯ ทำใหŒเกิดป˜ญหาตามมามากมาย โดย กฟผ. ทำสัญญาทั้งๆ ที่บร�ษัทฯ ยังไม‹ไดŒทำ EIA และเมื่อบร�ษัทฯ เขŒาไปสำรวจพ�้นที่เพ�่อทำ EIA ไม‹ไดŒ เพราะถูกต‹อตŒานจากกลุ‹มผูŒคัดคŒาน การก‹อสรŒางโรงไฟฟ‡า ก็มีการแกŒไขสัญญา โดยเลื่อนกำหนดจ‹ายไฟฟ‡าและกำหนดวัน ที่ตŒองไดŒรับอนุมัติ EIA 02 การชุมนุมคัดคานของ ประชาชนในพื้นที่ทำใหมี การแกไขสัญญา ซึ�งมีผล เปนการขยายระยะเวลา การทำ EIA ใหแกบริษัท สยามเอ็นเนอรจี 03 กพช. เห็นชอบใหมีการยาย สถานที่ตั้งโรงไฟฟา 04 บริษัทสยามเอ็นเนอรจี ผลักภาระตนทุนที่เพิ�มขึ้น ใหแกประชาชน โดยขอปรับ เพิ�มคาไฟฟาที่จะขายใหแก กฟผ. 01 กฟผ. ทำสัญญาซื้อขายไฟฟา กับบริษัทสยามเอ็นเนอรจี ทั้งที่ยังไมมีการเสนอรายงาน EIA รัฐบาลจ‹ายเพ��มข�้น 9.8ลŒานบาท/ป‚ 7372
  • 63. 13 แอร์พอร์ตลิงค์ เจ๊ง รฟท. จุก ปูมหลัง โครงการระบบขนส่งมวลชนทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และสถานีรับ-ส่ง ผู้โดยสารอากาศยานกรุงเทพมหานคร หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อ ‘แอร์พอร์ตลิงค์’ (Airport Link) เป็นส่วนหนึ่งของโครงการระบบขนส่งมวลชนทางราง โดยเปิดให้บริการในเส้นทางพญาไท- มักกะสัน-สนามบินสุวรรณภูมิ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการก่อสร้างโครงการดังกล่าวเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2547 โดย เห็นชอบให้ว่าจ้างเอกชนเป็นผู้รับผิดชอบการก่อสร้างโครงการ และให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นผู้จ่ายค่าก่อสร้างและค่าใช้จ่ายทางการเงินคืนแก่เอกชนภายหลังการก่อสร้างแล้วเสร็จ1 เส้นทางผลประโยชน์ การประมาณการจำ�นวนผู้โดยสารโครงการแอร์พอร์ตลิงค์ที่สูงเกินกว่าความเป็นจริง โดย ประมาณการผู้โดยสารในปี 2550 ซึ่งเป็นปีแรกที่เปิดให้บริการไว้ที่ 87,000 คนต่อวัน และคาดว่า 1  มติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขออนุมัติดำ�เนินการก่อสร้างโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีรับส่ง ผู้โดยสารอากาศยานในเมือง, 1 มิถุนายน 2547. เมนูคอร์รัปชัน74
  • 64. จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 218,000 คนต่อวันในปี 2560 แต่จาก สถิติพบว่า ในปี 2553 หลังเปิดให้บริการจริงกลับมีผู้โดยสาร เพียงประมาณ 40,000 คนต่อวันเท่านั้น การประมาณการที่สูงเกินกว่าความเป็นจริงทำ�ให้ผู้ว่าการ รฟท. ในขณะนั้น เสนอต่อกระทรวงคมนาคมให้ รฟท. ลงทุนเอง ด้วยการจ้างเหมาเอกชนดำ�เนินการก่อสร้าง โดย รฟท. จะชำ�ระ ค่าการก่อสร้างคืนแก่เอกชนเมื่อโครงการแล้วเสร็จ ซึ่งแตกต่าง จากมติของคณะกรรมการ รฟท. ที่ให้ดำ�เนินโครงการโดยใช้ งบประมาณแผ่นดินในการก่อสร้าง นอกจากนี้ ผู้ว่าการ รฟท. ยัง แก้ไขสัญญาจ้างโดยร่นระยะเวลาการชำ�ระเงินคืนให้เร็วขึ้น ซึ่ง เป็นการเอื้อประโยชน์แก่เอกชน และตั้งวงเงินค่าธรรมเนียมการ กู้เงินไว้สูงเกินกว่าที่เป็นจริง ส่งผลให้ รฟท. เสียประโยชน์ ความผิดปกติของการดำ�เนินโครงการดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ เดือนกุมภาพันธ์ 2547 เมื่อ รฟท. ตกลงว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา เพื่อสำ�รวจและออกแบบรายละเอียดโครงการ (detail design) รวมถึงรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสม ระหว่างรัฐเป็นผู้ลงทุนเอง หรือให้สัมปทานเอกชนเข้ามาลงทุนทั้งหมด หรือแบ่งสัดส่วนการ ลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชน ทั้งนี้ ตามสัญญาแล้ว บริษัท เอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ จำ�กัด ในฐานะที่ปรึกษา จะใช้เวลา การศึกษา 8 เดือน อย่างไรก็ตาม อีกเพียงไม่ถึง 4 เดือนต่อมา คณะรัฐมนตรี กลับมีมติอนุมัติการก่อสร้างโครงการดังกล่าวเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2547 โดยให้ว่าจ้างเอกชนเป็นผู้รับผิดชอบการก่อสร้าง โครงการ และให้ รฟท. จ่ายค่าก่อสร้างและค่าใช้จ่ายทางการเงิน คืนแก่เอกชนภายหลังการก่อสร้างแล้วเสร็จ มติคณะรัฐมนตรี ดังกล่าวระบุว่า การว่าจ้างให้ก่อสร้างในลักษณะนี้ไม่เข้าข่ายที่จะ ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงาน หรือดำ�เนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 และเนื่องจากเอกชน ที่จะเข้ามาดำ�เนินการมิได้เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการออกแบบ โครงการดังกล่าวจึงไม่เข้าข่ายการจ้างเหมาประมูลแบบเหมารวม2 เดือนธันวาคม 2547 รฟท. ในฐานะหน่วยงานผู้รับผิดชอบ 2  มติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขออนุมัติดำ�เนินการก่อสร้างโครงการระบบขนส่งทางรถไฟ เชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง, 1 มิถุนายน 2547. ได้เปิดการประกวดราคาโครงการ โดยได้ผู้ชนะการประกวดราคา คือกลุ่มกิจการร่วมค้า บี. กริมม์ อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเสนอราคา 25,907 ล้านบาท ต่ำ�กว่าราคากลางเพียง 10 ล้านบาท และ บริษัทหนึ่งในกลุ่มกิจการร่วมค้าดังกล่าวคือบริษัท ซิโน-ไทย เอ็น จีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำ�กัด (มหาชน) ซึ่งมีความสัมพันธ์ กับนักการเมืองในรัฐบาลขณะนั้น ความผิดปกติของการดำ�เนินโครงการดังกล่าวในช่วงต่อมา เกิดขึ้นประมาณเดือนมิถุนายน 2548 เมื่อมีการดำ�เนินการ ก่อสร้างโครงการแอร์พอร์ตลิงค์แล้ว โดยเริ่มมีรายงานข่าวถึง ความผิดปกติของวงเงินค่าใช้จ่ายของโครงการ เช่น ค่าธรรมเนียม การกู้เงินที่ตั้งไว้ 1,666 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม จิตต์สันติ ธนะโสภณ ผู้ว่าการ รฟท. ในขณะนั้น ชี้แจงว่า การตั้งวงเงิน ค่าธรรมเนียมการเงินดังกล่าวมีไว้สำ�หรับชดเชยส่วนต่างของอัตรา แลกเปลี่ยนที่มีความผันผวนสูง ขณะที่ ปริญญา จินดาประเสริฐ ประธานกรรมการ รฟท. ในขณะนั้น ให้ข้อมูลว่า เคยมีการสั่งการ ให้ผู้ว่าการ รฟท. และกรรมการอีกคนหนึ่งตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว แต่ไม่เคยมีคำ�สั่งแต่งตั้งกรรมการสอบสวนแต่อย่างใด ในเดือนเมษายน 2549 สำ�นักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ทำ�หนังสือถึง จิตต์สันติ ธนะโสภณ ผู้ว่าการ รฟท. เพื่อ ขอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความผิดปกติของสัญญาก่อสร้างโครงการ แอร์พอร์ตลิงค์หลายประการ รวมถึงการที่ รฟท. ออกหนังสือ รับรองการชำ�ระคืนค่าธรรมเนียมการกู้เงิน 1,666 ล้านบาท ให้แก่ผู้รับเหมาก่อนโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ ทั้งที่คณะรัฐมนตรี มิได้มีมติกำ�หนดให้ รฟท. ต้องจ่ายเงินดังกล่าว ภายหลังการรัฐประหารในเดือนกันยายน 2549 คณะ กรรมการตรวจสอบการกระทำ�ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้เข้ามาสอบสวนการทุจริตในโครงการดังกล่าว และ ส่งเรื่องต่อให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ (ป.ป.ช.) จากการสอบสวนพบว่า โครงการแอร์พอร์ต ลิงค์ไม่มีการตรวจสอบวงเงินค่าธรรมเนียมตั้งแต่แรก ทำ�ให้ผู้ รับเหมาเบิกจ่ายค่าธรรมเนียมการกู้เงินทั้งหมดตามที่ตั้งวงเงิน ไว้รวม 1,666 ล้านบาท ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วค่าธรรมเนียม ดังกล่าวมีเพียง 471 ล้านบาทเท่านั้น และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 75
  • 65. สถานะของคดี เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2553 คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด จิตต์สันติ ธนะโสภณ อดีตผู้ว่าการ รฟท. และพวก กว่า 10 คน รวมถึง ยุทธนา ทัพเจริญ ขณะดำ�รงตำ�แหน่งรองผู้ว่าการ รฟท. และเป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาประกวดราคา และ สุรางค์ ศรีมีทรัพย์ หัวหน้ากองกฎหมายในขณะนั้น ว่ามีความผิดวินัยร้ายแรง และความผิดอาญา ฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่หรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ปัจจุบันคดีดังกล่าวอยู่ในชั้นอัยการ อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ยกคำ�ร้อง สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เนื่องจาก หลักฐานไม่เพียงพอ ผลกระทบต่อประชาชน • การรวบรัดเห็นชอบให้ว่าจ้างเอกชนในการก่อสร้าง และให้รัฐจ่ายเงินคืนภายหลัง แทนที่จะศึกษารูปแบบการลงทุนแบบต่างๆ อย่างรอบคอบ ทำ�ให้โครงการแอร์พอร์ตลิงค์ไม่ประสบความสำ�เร็จเท่าที่ควร ทั้งที่รัฐต้องลงทุนรวมกว่า 28,000 ล้าน (ทั้งค่า ก่อสร้าง ดอกเบี้ย และอื่นๆ) • การคาดการณ์จำ�นวนผู้โดยสารที่สูงเกินกว่าความเป็นจริง ทำ�ให้การลงทุนผิดพลาด บริษัท รถไฟฟ้า รฟท. จำ�กัด ซึ่งเป็นบริษัท ลูกของ รฟท. จึงประสบปัญหาสภาพคล่องมาโดยตลอด • การแก้ไขสัญญาในเอกสารประกวดราคา ทำ�ให้ผู้รับเหมาเอกชนเบิกจ่ายเงินค่าธรรมเนียมการกู้เงินจาก รฟท. 1,666 ล้านบาท ทั้งที่ค่าธรรมเนียมดังกล่าวมีเพียง 471 ล้านบาทเท่านั้น รฟท. จึงต้องสูญเสียเงินกว่า 1,200 ล้านบาท • การออกแบบและบริหารจัดการที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำ�ให้ผู้ใช้บริการไม่ได้รับความสะดวก เช่น รถไฟฟ้าชำ�รุดบ่อยครั้ง ไม่มีทาง ลงบันไดเลื่อน ลิฟท์มีขนาดเล็ก พื้นชานชาลาและรถไฟฟ้าอยู่ห่างกันมาก และสถานีที่ใหญ่ที่สุด (มักกะสัน) ไม่เชื่อมต่อกับ ระบบขนส่งสาธารณะอื่น เมนูคอร์รัปชัน76
  • 66. เอกสารอ้างอิง • กลุ่มเออีซีคว้าที่ปรึกษารถไฟ ต่อรางเชื่อมสนามบินสุวรรณภูมิ, หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์, 9 กุมภาพันธ์ 2547. • บอร์ด ร.ฟ.ท. ไฟเขียว ‘กลุ่ม บี.กริมม์’ คว้างานสร้างรถไฟเชื่อมสุวรรณภูมิ, หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ, 20 ธันวาคม 2547. • เปิดสำ�นวนทุจริต ‘แอร์พอร์ตลิงค์’ ไขปม ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ รอด อดีตผู้ว่า รฟท. ตายเดี่ยว, หนังสือพิมพ์ มติชน, 6 พฤษภาคม 2553. • ผู้รับเหมาขอเลื่อนแอร์พอร์ตลิงค์ 1 ปี, หนังสือพิมพ์ ทรานสปอร์ต เจอร์นัล, 24 เมษายน 2549. • ผู้ว่าการ ร.ฟ.ท. ยัน ‘แอร์พอร์ตลิงค์’ ไม่มีทุจริต, หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ, 29 มิถุนายน 2548. • สุริยะดีเดย์ ก.ค. ประมูลรถไฟฟ้าสายหนองงูเห่า ตั้งงบ 2.6 หมื่น ล., หนังสือพิมพ์ แนวหน้า, 25 มิถุนายน 2547. • แอร์พอร์ต เรล ลิงค์ เผย ยอดผู้โดยสารแตะ 4 หมื่นคนแล้ว, เว็บไซต์แอร์พอร์ต เรล ลิงค์, 8 ตุลาคม 2553. • ชัยพันธุ์ ประภาสะวัต ‘แอร์พอร์ต เรล ลิงค์’, หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ, 5 กุมภาพันธ์ 2555. • มติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขออนุมัติดำ�เนินการก่อสร้างโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีรับส่งผู้ โดยสารอากาศยานในเมือง, 1 มิถุนายน 2547. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 77
  • 67. ผลกระทบต‹อ ประชาชน • การรถไฟฯ ประสบปญหาขาดทุน เพิ�มมากขึ้น เน��องจากประมาณการ ผูโดยสารสูงเกินจริง ทำให การลงทุนผิดพลาด • การแกไขสัญญาจางกอสราง ทำใหการรถไฟฯ ตองชำระเงินคืน เอกชนกอนโครงการแลวเสร็จ และเสียคาธรรมเน�ยมการเงิน สูงกวาที่ควรจะเปน • การออกแบบและบริหาร จัดการที่ไมไดมาตรฐาน ทำใหผูใชบริการไมไดรับ ความสะดวก เชน รถไฟฟาชำรุด บอยครั้ง ไมมีทางลงบันไดเลื่อน ลิฟตมีขนาดเล็ก พื้นชานชาลา และรถไฟฟาอยูหางกันมาก และสถาน�ที่ใหญที่สุด (มักกะสัน) ไมเชื่อมตอกับระบบขนสง สาธารณะอื่น บันได 4 ขั้น 01 02 03 04 การประมาณการผูโดยสาร ที่สูงเกินจริง ทำใหการรถไฟฯ ลงทุนเอง โดยจางเหมา เอกชนเปนผูดำเนินกอสราง โครงการ โดยการรถไฟฯ จะชำระคืนคากอสรางและ คาใชจายทางการเงิน พรอมดอกเบี้ย หลังการกอสรางแลวเสร็จ หลังการประกวดราคา ผูวาการรถไฟฯ แกไขสัญญา โดยลดระยะเวลาชำระเงินคืน เอกชน จากเดิมที่จะชำระ เงินคืนเมื่อการกอสราง แลวเสร็จ เปนชำระเงินคืน เมื่อครบ 990 วัน เอกชน คูสัญญาจึงไดประโยชนจาก ตนทุนทางการเงินที่ลดลง การรถไฟฯ ตั้งวงเงินเพื่อ ชำระคาธรรมเน�ยมการทำ ธุรกรรมทางการเงิน 1,666 ลานบาท ซึ�งสูงถึง 7% ของมูลคาโครงการ ขณะที่ โครงการอื่นมีคาใชจายสวนน�้ เพียง 2-3% ของมูลคาโครงการ นอกจากน�้ กลุมธนาคารที่ใหกู คิดคาธรรมเน�ยมจริงเพียง ประมาณ 471 ลานบาท การรถไฟฯ จึงเสียเงินกวา 1,200 ลานบาท โครงการแอรพอรตลิงค ไมประสบความสำเร็จ ทั้งที่ ลงทุนไปกวา 2.8 หมื่นลานบาท ทำใหการรถไฟฯ และบริษัทลูก ขาดทุน และประสบปญหา สภาพคลอง แอรพอรตลิงค: ประมาณการผูŒโดยสาร เกินจร�ง การรถไฟก็เจง ประชาชนก็เดือดรŒอน 13 การประมาณการจำนวนผูŒโดยสารโครงการ แอรพอรตลิงคที่สูงเกินกว‹าความเปšนจร�ง ทำใหŒผูŒว‹าการรถไฟแห‹งประเทศไทยในขณะนั้น เสนอต‹อกระทรวงคมนาคมใหŒการรถไฟฯ ลงทุนเอง โดยจŒางเหมาเอกชนดำเนินการก‹อสรŒาง และการรถไฟฯ จะชำระคืนค‹าก‹อสรŒางแก‹ เอกชนเมื่อโครงการแลŒวเสร็จ ซึ่งแตกต‹างจาก มติของคณะกรรมการรถไฟฯ ที่ใหŒดำเนินโครงการ โดยใชŒงบประมาณแผ‹นดินในการก‹อสรŒาง ผูŒว‹าการรถไฟฯ ยังแกŒไขสัญญาจŒางก‹อสรŒาง โดยเปลี่ยนระยะเวลาการชำระเง�นคืนใหŒเร็วข�้น ซึ่งเปšนการเอื้อประโยชนแก‹เอกชน และตั้งวงเง�น ค‹าธรรมเนียมการกูŒเง�นไวŒสูงเกินกว‹าที่เปšนจร�ง ทำใหŒการรถไฟฯ เสียประโยชน สถานะ • ป.ป.ช. มีมติวานายจิตตสันติ ธนะโสภณ อดีตผูวาการรถไฟฯ และนายไกรวิชญหรือสุรางค ศรีมีทรัพย ซึ�งขณะนั้นมีหนาที่ สืบสวนในกรณ�ที่เกิดความเสียหาย ตอการรถไฟฯ มีความผิด ทางอาญาและทางวินัย อยางรายแรง ปจจุบัน คดีอยูในชั้นอัยการ และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 7978
  • 68. 14 ‘คิง เพาเวอร์’ ใหญ่คับสุวรรณภูมิ ปูมหลัง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำ�กัด (มหาชน) หรือ ทอท. เป็นรัฐวิสาหกิจที่ประกอบธุรกิจ ท่าอากาศยานของประเทศไทย โดยมีท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบ 6 แห่ง ในช่วงที่จะมีการเปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ทอท. ได้คัดเลือกบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ ฟรี จำ�กัด เป็นผู้ประกอบกิจการจำ�หน่ายสินค้าปลอดอากร (duty free) ในสนามบินสุวรรณภูมิ และ สนามบินในภูมิภาคอีก 3 แห่ง เป็นเวลา 10 ปี 3 เดือน ระหว่างเดือนกันยายน 2548 ถึงเดือน ธันวาคม 2558 สัญญาดังกล่าวลงนามเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2547 ในช่วงที่ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เส้นทางผลประโยชน์ การทำ�สัญญาระหว่าง ทอท. กับ คิง เพาเวอร์ มีความผิดปกติหลายประการ โดยเริ่มตั้งแต่การ คำ�นวณมูลค่าการลงทุนของโครงการให้ต่ำ�กว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งน่าจะเป็นความพยายามหลีกเลี่ยง เมนูคอร์รัปชัน80
  • 69. การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงาน หรือดำ�เนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 หรือ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ซึ่งกำ�หนดไว้ว่าหากเอกชนจะเข้าร่วมงานหรือกิจการโครงการของ รัฐที่มีมูลค่าการลงทุนตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป จะต้องผ่าน ขั้นตอนตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ปัจจัยสำ�คัญที่จะกำ�หนดมูลค่าโครงการดังกล่าวคือ มูลค่า ของสินค้าคงคลัง แต่ความผิดปกติที่เกิดขึ้นก็คือทอท.พยายามไม่ นำ�สินค้าคงคลังมาเป็นส่วนหนึ่งในการคำ�นวณมูลค่าโครงการโดย ขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความการรวมมูลค่าสินค้าคงคลัง ถึง 3 ครั้ง ในปี 25461 อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการกฤษฎีกา ได้มีหนังสือยืนยันถึง ทอท. ว่า มูลค่าการซื้อสินค้าคงคลังจะต้อง ถูกรวมไว้ในการคิดมูลค่าโครงการ เมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นดังกล่าวแล้ว สถาบันทรัพย์สินทางปัญญาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใน ฐานะที่ปรึกษา ทอท. ได้เสนอรายงานการศึกษาความเป็นไปได้ ของโครงการต่อ ทอท. โดยคำ�นวณมูลค่าสินค้าคงคลังจากฐาน ของยอดขายเพียงเดือนเดียว แทนที่จะคิดจากฐานของยอดขาย 3.5-4 เดือน ตามสถิติการจำ�หน่ายสินค้าแต่ละรอบ ทำ�ให้คำ�นวณ มูลค่าสินค้าคงคลังออกมาได้เพียง 283.64 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบภายหลังพบว่า สัญญา ประกันทัณฑ์บนคลังเก็บของที่คิง เพาเวอร์ ทำ�กับ ทอท. มีมูลค่า กรมธรรม์ประกันภัยถึง 997.85 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่า มูลค่าสินค้าคงคลังจริงย่อมสูงกว่ามูลค่าที่คำ�นวณโดยสถาบัน ทรัพย์สินทางปัญญาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นอกจากนี้ การคิดมูลค่าโครงการยังบิดเบือนข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการใช้พื้นที่และระยะเวลาของสัญญา โดยสถาบัน ทรัพย์สินทางปัญญาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกำ�หนด สมมุติฐานการใช้พื้นที่ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไว้เพียง 5,000 ตารางเมตร ซึ่งต่ำ�กว่าความเป็นจริงกว่าเท่าตัว อีกทั้งยังไม่นำ� พื้นที่ที่เกี่ยวข้องในท่าอากาศยานในภูมิภาคทั้ง 3 แห่ง มารวมไว้ ในการกำ�หนดมูลค่าการลงทุน ทั้งที่อยู่ในสัญญาเดียวกัน ขณะ เดียวกัน ประเด็นเกี่ยวกับระยะเวลาของสัญญา สถาบันทรัพย์สิน 1  หนังสือลงวันที่ 10 มกราคม 2546 วันที่ 24 กรกฎาคม 2546 และวันที่ 13 พฤศจิกายน 2546 ทางปัญญาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังคำ�นวณจากฐาน ระยะเวลาของสัญญาเพียง 5 ปี แต่สัญญาที่ทำ�ขึ้นภายหลัง กลับมีอายุถึง 10 ปี จากการบิดเบือนการคำ�นวณมูลค่าโครงการ ทั้งมูลค่า สินค้าคงคลัง การใช้พื้นที่ประกอบกิจการ และระยะเวลาของ สัญญา ทำ�ให้มูลค่าโครงการที่สถาบันทรัพย์สินทางปัญญา แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยประเมินไว้ที่ประมาณ 813.84 ล้านบาท น่าจะต่ำ�กว่าความเป็นจริงมาก เมื่อเปรียบเทียบกับ รายงานตรวจสอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)2 และ ทอท. (ในภายหลัง)3 ซึ่งประเมินมูลค่าโครงการดังกล่าวไว้ที่ 2,644.7 และ 2,432.2 ล้านบาทตามลำ�ดับ และเมื่อมีการ คำ�นวณมูลค่าโครงการต่ำ�กว่า 1,000 ล้านบาท จึงไม่ต้องอยู่ ภายใต้กรอบของ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ การหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ทำ�ให้การ ให้สัมปทานดังกล่าวไม่ต้องมีการประมูลแข่งขัน และเป็นไป อย่างรวบรัดเพียง 2 เดือน นับตั้งแต่มีการแต่งตั้งคณะทำ�งาน ของ ทอท. ทั้งนี้ ทอท. ได้คัดเลือกให้คิง เพาเวอร์ เป็นผู้ได้รับ สิทธิ์ในการจำ�หน่ายสินค้าปลอดอากรโดยยึดตามความเห็นของ ที่ปรึกษาที่ให้เหตุผลว่าควรมีผู้ประกอบการรายเดียว เนื่องจาก หากมีผู้ประกอบการหลายรายจะทำ�ให้เกิดการแข่งขันด้านราคา และอาจกระทบต่อคุณภาพของสินค้าและภาพลักษณ์ของ ทอท. และสมควรให้ผู้ประกอบการเป็นคนไทย เนื่องจากผลประโยชน์ ทางเศรษฐกิจจะตกอยู่กับคนไทย ภายใต้สัญญาดังกล่าว คิง เพาเวอร์ ต้องแบ่งผลประโยชน์ ให้แก่ทอท.ร้อยละ15ของรายได้ในปีที่1-5และเพิ่มเป็นร้อยละ 16-20 ในปีที่ 6-10 โดยมีอัตราการเพิ่มร้อยละ 1 ต่อปี ทั้งนี้ ค่าสัมปทานจะต้องไม่น้อยกว่ามูลค่าขั้นต่ำ�ที่กำ�หนดไว้ในสัญญา 2  รายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและติดตามการแก้ไขปัญหาสนามบิน สุวรรณภูมิ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งมี พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน เป็นประธาน กรรมการ 3  รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง เรื่อง การได้มาซึ่งสัญญาบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ ฟรี จำ�กัด ในการประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานภูมิภาค โดยคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในการดำ�เนินงานของ โครงการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งมี พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ เป็นประธาน โดย การแต่งตั้งของคณะกรรมการ ทอท. ชุดใหม่ และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 81
  • 70. อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งค่าตอบแทนผลประโยชน์ที่คิง เพาเวอร์ จ่ายให้แก่ ทอท. น่าจะน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อพิจารณาจาก ผลกำ�ไรของคิง เพาเวอร์ ซึ่งสูงกว่านั้นประมาณ 2 เท่า รายรับและกำ�ไรของคิง เพาเวอร์ และค่าตอบแทนผลประโยชน์ที่ให้แก่ ทอท. 2548 2549 2550 2551 รายรับของคิง เพาเวอร์ 9,825.22 11,220.44 13,106.21 13,429.41 ค่าตอบแทนผลประโยชน์ที่ให้แก่ ทอท. 1,473.78 1,683.07 1,965.93 2,014.41 กำ�ไร 2,912.47 3,660.53 4,434.69 4,470.05 สัดส่วนกำ�ไรต่อค่าตอบแทนผลประโยชน์ 1.97 เท่า 2.17 เท่า 2.26 เท่า 2.22 เท่า (หน่วย: ล้านบาท) ที่มา: บริษัท บิซิเนส ออนไลน์ จำ�กัด (มหาชน) ผลกระทบต่อประชาชน • การบิดเบือนการคำ�นวณมูลค่าโครงการสัมปทานต่ำ�กว่า 1,000 ล้านบาท ทำ�ให้ไม่ต้องปฏิบัติ ตามกรอบของ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ส่งผลให้ไม่มีการประมูลแข่งขัน • การให้สัมปทานร้านค้าปลอดภาษีในสนามบินสุวรรณภูมิแก่ คิง เพาเวอร์ โดยวิธีการคัดเลือก ทำ�ให้ผลประโยชน์ที่ ทอท. ได้รับน้อยกว่าที่ควรจะเป็น และทำ�ให้คิง เพาเวอร์ ได้ผลกำ�ไร คืนทุนอย่างรวดเร็ว • ความไม่รัดกุมของสัญญา โดยกำ�หนดพื้นที่ขั้นต่ำ�ในการประกอบกิจการแทนที่จะเป็นขั้นสูง ทำ�ให้คิง เพาเวอร์ ได้พื้นที่ประกอบกิจการถึง 11,820 ตารางเมตร หรือมากกว่าพื้นที่ที่ใช้ ในการคำ�นวณมูลค่าโครงการกว่าเท่าตัว ซึ่งอาจส่งผลต่อความปลอดภัยและความสะดวก ของผู้โดยสาร เมนูคอร์รัปชัน82
  • 71. เอกสารอ้างอิง • คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในการดำ�เนินงานของโครงการท่าอากาศยาน สุวรรณภูมิ, รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง เรื่อง การได้มาซึ่งสัญญาบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ ฟรี จำ�กัด ในการประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยาน สุวรรณภูมิและท่าอากาศยานภูมิภาค, 2550. • สภานิติบัญญัติแห่งชาติ, รายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและติดตามการแก้ไข ปัญหาสนามบินสุวรรณภูมิ, 2550. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 83
  • 72. บันได 2 ขั้น 01 ที่ปรึกษาที่ ทอท. วาจาง บิดเบือนการคำนวณมูลคา ของสินคาคงคลัง การใชพื้นที่ และระยะเวลาของสัญญา ทำใหประเมินมูลคาโครงการ ต่ำกวา 1,000 ลานบาท เพื่อไมตองปฏิบัติตามขั้นตอน ของกฎหมายรวมทุน 02 ทอท. คัดเลือกคิง เพาเวอร เขาประกอบการโดยไมตอง แขงขัน สัมปทานรŒานคŒาปลอดภาษีสนามบินสุวรรณภูมิ: คำนวณมูลค‹าโครงการต่ำ เลี่ยงประมูล 14 การทำสัญญาระหว‹างบร�ษัท ท‹าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หร�อ ทอท. กับคิง เพาเวอร มีการบิดเบือนการคำนวณมูลค‹าโครงการ เร��มตั้งแต‹การคำนวณมูลค‹าสินคŒาคงคลัง การใชŒพ�้นที่ และระยะเวลาของสัญญา ทำใหŒมูลค‹าของโครงการต่ำกว‹าความเปšนจร�ง เพ�่อหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามกฎหมายร‹วมทุน การหลีกเลี่ยงกฎหมายดังกล‹าวทำใหŒคิง เพาเวอร ไดŒรับสัมปทานโดยไม‹ตŒองแข‹งขัน โดยกระบวนการ คัดเลือกผูŒรับสัมปทานเปšนไปอย‹างรวบรัด ผลกระทบต‹อ ประชาชน • การใหสัมปทานรานคา ปลอดภาษีในสนามบินสุวรรณภูมิ แกคิง เพาเวอรโดยวิธีการคัดเลือก ทำใหผลประโยชนที่ ทอท. ไดรับนอยกวาที่ควรจะเปน และการที่คิง เพาเวอรไดผลกำไร คืนทุนภายในปเดียว แสดงให เห็นวาการคำนวณมูลคาการลงทุน น�าจะต่ำกวาความเปนจริง • ความไมรัดกุมของสัญญา โดยกำหนดพื้นที่ขั้นต่ำในการ ประกอบกิจการแทนที่จะเปน ขั้นสูง ทำใหคิง เพาเวอรใชพื้นที่ ประกอบกิจการถึง 11,820 ตารางเมตร หรือมากกวาพื้นที่ ที่ใชในการคำนวณมูลคาโครงการ กวาเทาตัว ซึ�งอาจสงผลตอ ความปลอดภัยและความสะดวก ของผูโดยสารลด-แลก-แจก-แถม คำนวณมูลค‹าส�นคŒา คงคลังจากยอดขาย เพ�ยง 1 เดือน แทนที่จะเปšน 3.5-4 เดือน คำนวณมูลค‹าโครงการ โดยใชŒพ�้นที่ในสนามบิน เพ�ยง 5,000 ตารางเมตร ซึ่งต่ำกว‹าความเปšนจร�ง กว‹าเท‹าตัว คำนวณระยะเวลา ของสัญญาเพ�ยง 5 ป‚ แต‹สัญญาที่ทำข�้นภายหลัง มีระยะเวลา 10 ป‚ และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 8584
  • 73. 15 รื้อสัมปทาน ลานจอดรถ สุวรรณภูมิ ปูมหลัง ถือเป็นเมกะโปรเจ็คท์ที่ใช้เวลาดำ�เนินการจนแล้วเสร็จกว่า 50 ปี ด้วยเงินลงทุนกว่า 1 แสน ล้านบาท สนามบินสุวรรณภูมิเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2549 โดยมี บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำ�กัด (มหาชน) หรือ ทอท. เป็นผู้ดูแลและดำ�เนินการ ด้วยระยะเวลาดำ�เนินการอันยาวนานและมีเงินมหาศาลเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำ�ให้เกิดช่องทางใน การรั่วไหลของผลประโยชน์ และหนึ่งในนั้นคือโครงการ ‘ลานจอดรถสุวรรณภูมิ’ เส้นทางผลประโยชน์ พื้นที่ลานจอดรถสนามบินสุวรรณภูมิทั้ง 2 ส่วนที่มีปัญหา ได้แก่ 1. พื้นที่บริเวณลานจอดรถระยะยาว (long term parking) ขนาด 62,380 ตารางเมตร บริษัท แป้งร่ำ� รีเทล จำ�กัด ได้รับสัมปทาน 15 ปี ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2553 ถึง 30 พฤศจิกายน 2568 โดยรับผิดชอบโครงการสุวรรณภูมิสแควร์ มูลค่า 450 ล้านบาท พ่วงกับสัมปทานรับจ้าง บริหารลานจอดรถ 2.พื้นที่หน้าอาคารผู้โดยสารAและBขนาด160,000ตารางเมตรบริษัทปาร์คกิ้งแมเนจเมนท์ เมนูคอร์รัปชัน86
  • 74. จำ�กัด ได้รับสัมปทาน 5 ปี ระหว่างวันที่ 30 เมษายน 2553 ถึง 31 มีนาคม 2558 กรณีของพื้นที่ที่ 1 ฝ่ายบริหาร ทอท. รวบรัดพิจารณาและ อนุมัติสัมปทานให้กับบริษัท แป้งร่ำ� รีเทล จำ�กัด โดยใช้เวลา 10 วัน ทั้งที่เป็นสัญญาระยะยาว และพ่วงกับโครงการสุวรรณภูมิ สแควร์ มูลค่า 450 ล้านบาท แต่บริษัทกลับเสนอผลตอบแทน ให้ ทอท. เพียงปีละ 2 ล้านบาทเศษ ซึ่งกรณีนี้ตามระเบียบของ รัฐวิสาหกิจ การให้สัมปทานตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป จะต้องได้รับความ เห็นชอบจากบอร์ด ทอท. แต่ฝ่ายบริหาร ทอท. ทำ�การอนุมัติโดย ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากบอร์ด ทอท. นอกจากนี้ ข้อมูลการจดทะเบียนของบริษัท แป้งร่ำ� รีเทล จำ�กัด ก็ทำ�ให้เกิดข้อกังขา โดยก่อนเสนอชื่อเข้าร่วมประมูล บริษัท มีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท และระบุว่ามีรายได้และกำ�ไรปีละ หลักพันบาทเท่านั้น โดยในปี 2551 มีรายได้ 9,826 บาท กำ�ไร สุทธิ 1,200 บาท จึงชวนให้คิดว่าบริษัทที่มีรายได้และกำ�ไรเพียง เท่านี้ชนะการประมูลโครงการสุวรรณภูมิสแควร์ที่มีมูลค่า 450 ล้านบาทได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทยังได้สิทธิ์ในการบริหาร ลานจอดรถนานถึง 15 ปี ขณะที่พื้นที่ที่ 2 แต่เดิม ทอท. เป็นผู้เก็บเงินค่าบริการลาน จอดรถตั้งแต่เปิดสนามบิน โดยมีรายได้เป็นเงินสดจาก 2 ส่วน ได้แก่ 1. ค่าบริการรายวัน เก็บได้วันละ 800,000-1 ล้านบาท เฉลี่ยเดือนละ 28-30 ล้านบาท 2. ค่าสมาชิกจากพนักงานสายการบินและสำ�นักงานต่างๆ ในสนามบินสุวรรณภูมิ เดือนละประมาณ 4-5 ล้านบาท รายได้จากทั้งสองส่วน จึงมีมูลค่าไม่ต่ำ�กว่าปีละ 360-380 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ปลายปี 2552 คณะกรรมการพิจารณา รายได้ของ ทอท. เสนอให้เปลี่ยนระบบเป็นการให้สัมปทานโดย การเปิดประมูล ซึ่งบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำ�กัด ได้รับ สัมปทานบริหารจัดการเก็บรายได้จากพื้นที่เป็นเวลา 5 ปี เสนอ ผลตอบแทนให้ ทอท. เพียงเดือนละ 16.5 ล้านบาท เมื่อสื่อมวลชนตรวจสอบเอกสารและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ การประมูล รวมถึงพนักงานระดับปฏิบัติการและหัวหน้าคุมงาน พบว่า การประมูลครั้งนี้ผู้เข้าร่วมการประมูลมาจากกลุ่มนักการ เมือง เจ้าหน้าที่ และนายทุน ซึ่งร่วมถือหุ้นและแบ่งผลประโยชน์ แต่เมื่อเริ่มบริหารจัดการลานจอดรถ กรรมการของบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำ�กัด ก็ขัดแย้งกันอย่างรุนแรง จากความขัดแย้งภายในทำ�ให้บริษัทปาร์คกิ้งแมเนจเมนท์ ไม่ส่งรายได้ให้กับ ทอท. ตามที่ระบุในสัญญา ซึ่งบริษัทจะต้อง แจ้งรายได้และจัดส่งในสัดส่วนที่ตกลงไว้กับทอท.วันต่อวันโดย ขณะเกิดเหตุ บริษัทไม่ได้ส่งรายได้ให้กับ ทอท. 4 เดือนติดต่อกัน ผลกระทบต่อ ประชาชน • ผู้ใช้บริการสนามบินสุวรรณภูมิไม่ได้รับความ สะดวกในการจอดรถ • การให้สัมปทานบริษัทเอกชน ทำ�ให้ ทอท. มี รายได้จากค่าที่จอดรถน้อยกว่าบริหารจัดการเอง และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 87
  • 75. สถานะของคดี พื้นที่จอดรถที่ 1: ปิยะพันธ์ จัมปาสุต ประธานกรรมการ ทอท. เรียกประชุมบอร์ดเร่งด่วนวาระพิเศษ เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2553 ก่อนจะลงมติยกเลิกสัมปทานโครงการสุวรรณภูมิสแควร์ที่ ทอท. ให้สิทธิ์บริษัท แป้งร่ำ� รีเทล จำ�กัด เป็นผู้ดำ�เนินการ วันเดียวกัน ที่ประชุมบอร์ด ทอท. มีมติปลด เสรีรัตน์ ประสุตานนท์ จากตำ�แหน่งประธานคณะ กรรมการพิจารณารายได้ ทอท. ให้เป็นแค่กรรมการในฐานะกรรมการผู้อำ�นวยการใหญ่ ทอท. ขณะที่ ย้าย นิรันดร์ ธีรนาทสิน จากผู้อำ�นวยการสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ เป็นผู้อำ�นวยการสนามบิน นานาชาติดอนเมือง และย้าย ดวงใจ คอนดี จากรองผู้อำ�นวยการสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ เป็นผู้เชี่ยวชาญ พื้นที่จอดรถที่ 2: จากการร้องเรียนของกรรมการบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำ�กัด ทำ�ให้ โสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น มีคำ�สั่งแต่งตั้ง สุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวง คมนาคมในขณะนั้น เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง จากนั้น ปิยะพันธ์ จัมปาสุต ประธานบอร์ด ทอท. เรียกประชุมบอร์ดวาระพิเศษอีกครั้ง ซึ่งที่ ประชุมมีมติเอกฉันท์ให้ยกเลิกสัมปทานลานจอดรถหน้าอาคารผู้โดยสาร A และ B ของสนามบิน สุวรรณภูมิกับบริษัท ปาร์คกิ้ง แมเนจเมนท์ จำ�กัด ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2553 และให้ ทอท. จัดเก็บรายได้จากลานจอดรถบริเวณดังกล่าวตามเดิม หลังบอร์ด ทอท. มีมติยกเลิกสัมปทานพื้นที่จอดรถที่ 2 ส่งผลให้ช่วงเดือนตุลาคม 2553 ถึงมกราคม 2554 ทอท. สามารถเก็บเงินจากผู้ใช้ลานจอดรถแห่งนี้ได้เฉลี่ยวันละ 800,000-1.2 ล้านบาท หรือเฉลี่ยเดือนละ 28-30 ล้านบาท เมนูคอร์รัปชัน88
  • 76. เอกสารอ้างอิง • เปิดโปงสัมปทานฉาว ลานจอดรถสุวรรณภูมิ รื้อขบวนการเขมือบ บมจ.ท่าอากาศยาน ไทย, หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ, รวมเอกสารข่าวประกวด, สมาคมนักข่าว นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, 2553. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 89
  • 77. ลานจอดรถในสนามบินสุวรรณภูมิเปšนพ�้นที่หนึ่ง ที่สามารถสรŒางรายไดŒใหŒกับบร�ษัท ท‹าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หร�อ ทอท. แต‹ผูŒบร�หารของ ทอท. กลับใหŒสัมปทานกับบร�ษัทเอกชนในการจัดเก็บรายไดŒ จากพ�้นที่ ซึ่งทำใหŒ ทอท. มีรายไดŒนŒอยกว‹า การจัดเก็บดŒวยตัวเอง นอกจากนี้ การอนุมัติสัมปทานยังเปšนไป อย‹างรวบรัด และไม‹ไดŒรับความเห็นชอบ จากบอรด ทอท. และเมื่อเกิดความขัดแยŒง ระหว‹างกรรมการบร�ษัท บร�ษัทก็ไม‹ส‹งรายไดŒ ใหŒกับ ทอท. เปšนเวลา 4 เดือน ผลกระทบต‹อ ประชาชน • ผูใชบริการสนามบินสุวรรณภูมิ ไมไดรับความสะดวกในการ จอดรถจากปญหาที่เกิดขึ้น • การใหสัมปทานกับบริษัทเอกชน ทำให ทอท. มีรายไดจาก ลานจอดรถนอยกวาการบริหาร จัดการเอง บันได 2 ขั้น 01 ผูบริหารของ ทอท. รวบรัดพิจารณาและอนุมัติ ใหสัมปทานพื้นที่จอดรถที่ 1 แกบริษัท แปงร่ำ รีเทล จำกัด โดยใชเวลาพิจารณาเพียง10 วัน และไมไดรับความเห็นชอบจาก บอรด ทอท. ตลอดจนไมมี การตรวจสอบวาบริษัทมีทุน จดทะเบียนเพียง 1 ลานบาท แตตองรับผิดชอบโครงการ มูลคา 450 ลานบาท 02 ใหสัมปทานพื้นที่จอดรถที่ 2 แกบริษัท ปารคกิ้ง แมเนจเมนท จำกัด ซึ�งเสนอคาตอบแทนเพียง เดือนละ 16.5 ลานบาท ทั้งที่ ทอท. เคยเก็บไดเดือนละ 28-30 ลานบาท สถานะลานจอดรถสุวรรณภูมิ: ใหŒสัมปทานไม‹โปร‹งใส ยกรายไดŒใหŒเอกชน 15 พ�้นที่จอดรถที่ 2 พ�้นที่จอดรถที่ 1 • วันที่ 4 ตุลาคม 2553 นายปยะพันธ จัมปาสุต ประธานบอรด ทอท. เรียกประชุมบอรดวาระพิเศษ และมีมติยกเลิกสัมปทาน กับบริษัท ปารคกิ้ง แมเนจเมนท จำกัด โดยให ทอท. จัดเก็บรายไดจาก ลานจอดรถตามเดิม • วันที่ 6 กันยายน 2553 นายปยะพันธ จัมปาสุต ประธานบอรด ทอท. เรียกประชุมบอรดวาระพิเศษ และมีมติยกเลิกสัมปทาน กับบริษัท แปงร่ำ รีเทล จำกัด • ในวันเดียวกัน ที่ประชุมบอรด ทอท. มีมติปลดนายเสรีรัตน ประสุตานนท จากตำแหน�ง ประธานคณะกรรมการพิจารณา รายได ทอท. ยายนายนิรันดร ธีรนาทสิน ออกจากผูอำนวยการ สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ และยายนางดวงใจ คอนดี ออกจากรองผูอำนวยการ 30ลŒานบาท ทอท. เก็บไดŒเดือนละ 15ลŒานบาท เอกชน เก็บไดŒเดือนละ และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 9190
  • 78. 16 บ้านเอื้ออาทร เอื้อพวกพ้องผู้รับเหมา ปูมหลัง โครงการ ‘บ้านเอื้ออาทร’เป็นหนึ่งในโครงการของรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณชินวัตรโดยมีการเคหะ แห่งชาติ (กคช.) ในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นผู้รับผิดชอบ ดำ�เนินการ เป้าหมายของโครงการนี้คือ การจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยจำ�นวน 600,172 หน่วย วงเงินประมาณ 2.7 แสนล้านบาท ในช่วงเวลา 5 ปี (2546-2550) เส้นทางผลประโยชน์ การตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลในโครงการบ้าน เอื้ออาทรเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม 2549 หลังจากมีเรื่อง ร้องเรียนผ่านสื่อสิ่งพิมพ์และโทรทัศน์โดยข้อมูลแรกที่สื่อมวลชน ค้นพบคือ มีผู้รับเหมารายหนึ่ง ได้แก่ บริษัท กลอรี่คอนสตรั๊คชั่น จำ�กัด ทำ�สัญญารับเหมากับ กคช. จำ�นวน 20,000 หน่วย ซึ่ง บริษัทผู้รับเหมารายนี้มีคนในตระกูลรักตพงศ์ไพศาลและตระกูล ชินวัตร เป็นผู้ถือหุ้น (พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงคมนาคมในขณะนั้น เคยเป็นประธานกรรมการและ ผู้ถือหุ้น จากนั้นได้โอนหุ้นให้น้องสาวก่อนการเลือกตั้งปี 2544 ขณะที่ ทรงพล ชินวัตร เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้น) จากข้อมูลดังกล่าว ทำ�ให้สื่อมวลชนตรวจสอบข้อมูล โครงการบ้านเอื้ออาทรทั้งหมด เพื่อวิเคราะห์ว่าอาจมีปัญหา เมนูคอร์รัปชัน92
  • 79. ผลประโยชน์ทับซ้อน (conflict of interests) ในลักษณะเดียวกัน หรือไม่ ผลจากการตรวจสอบทำ�ให้พบว่า กคช. ได้ทำ�สัญญากับ ผู้รับเหมาที่เป็นเครือญาติหรือผู้ใกล้ชิดของนักการเมืองพรรค ไทยรักไทยอีกหลายโครงการ เช่น ต้นปี 2549 กคช. ทำ�สัญญาร่วมดำ�เนินโครงการบ้าน เอื้ออาทรตำ�บลศิลาอำ�เภอเมืองจังหวัดขอนแก่นวงเงิน4,700ล้าน บาทกับห้างหุ้นส่วนจำ�กัดตรีพรวิศวกรรมซึ่งมีดวงแขอรรณนพพร (ภรรยาของ พงศกร อรรณนพพร อดีต ส.ส. ขอนแก่น พรรค ไทยรักไทย และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน) เป็นเจ้าของ ต้นปี 2549 กคช. ทำ�สัญญาร่วมดำ�เนินโครงการบ้าน เอื้ออาทรอำ�เภอชนบท จังหวัดขอนแก่น วงเงิน 105 ล้านบาท กับห้างหุ้นส่วนจำ�กัด ขอนแก่นธีรพงศ์ ซึ่งมี ธีรพงศ์ สุพรรณ ฝ่าย (ญาติของ เรืองเดช สุพรรณฝ่าย อดีต ส.ส. ขอนแก่น พรรค ไทยรักไทย) เป็นเจ้าของ ต้นปี 2549 กคช. ทำ�สัญญาร่วมดำ�เนินโครงการบ้าน เอื้ออาทรหนองคาย 2 (ถนนมิตรภาพ) วงเงิน 351 ล้านบาท กับบริษัท นวพันธ์ ดีเวลล็อปเม้นท์ จำ�กัด ซึ่งมี ดวงใจ สุนทรชัย (ภรรยาของว่าที่ร้อยตรี พงศ์พันธ์ สุนทรชัย อดีต ส.ส. หนองคาย พรรคไทยรักไทย) เป็นกรรมการ ปลายปี 2549 กคช. ทำ�สัญญาร่วมดำ�เนินโครงการบ้าน เอื้ออาทรปราจีนบุรี(นาดี)วงเงิน145ล้านบาทกับบริษัทจินนาภา จำ�กัด ซึ่งมี ภัสสรา อันตทรัพย์ (ทำ�ธุรกิจร่วมกับ ภาพร ภุมมะ กาญจนะ ญาติของ ชยุต ภุมมะกาญจนะ อดีต ส.ส. ปราจีนบุรี พรรคไทยรักไทย) เป็นผู้ถือหุ้น นอกจากนี้ สื่อมวลชนยังพบปัญหาการก่อสร้างไม่คืบหน้า ทั้งที่ผู้รับเหมาทำ�สัญญาก่อสร้างและเบิกเงินล่วงหน้าจาก กคช. ไปแล้ว เช่น โครงการบ้านเอื้ออาทรบ่อวิน จังหวัดชลบุรี และ โครงการบ้านเอื้ออาทรโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ ปัญหาการคาดการณ์ยอดจองที่สูงกว่าความต้องการจริง เพื่อ ต้องการเงินอุดหนุนจากรัฐ อีกปัญหาหนึ่งก็คือ การซื้อที่ดินเพื่อดำ�เนินโครงการในราคา สูงเกินจริง เช่น ปี 2548 กคช. ซื้อที่ดินจากบริษัท กลอรี่คอน- สตรั๊คชั่น จำ�กัด เพื่อดำ�เนินโครงการบ้านเอื้ออาทรดงพระราม จังหวัดปราจีนบุรี จำ�นวน 73 ไร่ ในราคาไร่ละ 850,000 บาท ทั้งที่ราคาประเมินของกรมที่ดินมีราคาเพียงไร่ละ 61,000 บาท เดือนกรกฎาคม 2549 กคช. ซื้อที่ดินจากบริษัท ไชน่า สเตท คอนสตรัคชั่น เอนยิเนียริง (ประเทศไทย) จำ�กัด เพื่อดำ�เนิน โครงการบ้านเอื้ออาทรรังสิต คลอง 2 จำ�นวน 42 ไร่ ในราคา 97.75 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าราคาประเมินถึง 42.75 ล้านบาท กรณีโครงการบ้านเอื้ออาทรรังสิต คลอง 9 กคช. ซื้อที่ดิน จากบริษัท พีเจดีซี จำ�กัด จำ�นวน 100 ไร่ ราคาไร่ละ 1 ล้านบาท ทั้งที่นายหน้าซื้อมาจากเจ้าของที่ดินเพียงไร่ละ 550,000 บาท นอกจากนี้ยังพบว่า ในปี 2547 มีที่ดิน 1 แปลงในตำ�บล แสนภูดาษ อำ�เภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ กคช. ทำ�สัญญา ซื้อขายกับผู้บริหารของ กคช. เอง ในวงเงิน 82 ล้านบาท ข้อมูลสำ�คัญอีกชิ้นหนึ่งคือ ข้อมูลจากนายหน้าซื้อขายที่ดิน และผู้รับเหมา ซึ่งให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ ว่ามีการจ่ายเงิน ‘ค่าหัวคิว’ ในโครงการบ้านเอื้ออาทร โดยเริ่มจาก นายหน้าไปติดต่อเจ้าของที่ดิน เมื่อตกลงราคากับเจ้าของที่ดินได้ ก็นำ�ไปเสนอให้ กคช. พิจารณาอนุมัติและติดต่อหาผู้รับเหมา ซึ่ง ผู้รับเหมาจะต้องจ่ายค่าหัวคิวเป็นเงินสด 8,000-12,000 บาท ต่อที่พัก 1 หน่วย ให้กับนักการเมืองและข้าราชการ การทุจริตในโครงการบ้านเอื้ออาทรถูกตรวจสอบอย่าง จริงจังในช่วงหลังรัฐประหารปี 2549 โดยในวันที่ 19 มีนาคม 2550 คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำ�ที่ก่อให้เกิดความ เสียหายแก่รัฐ (คตส.) มีมติให้ตั้งอนุกรรมการไต่สวนดำ�เนินคดี กับ วัฒนา เมืองสุข ซึ่งดำ�รงตำ�แหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ช่วงเดือนสิงหาคม 2548 ถึงเดือนกันยายน 2549 ในข้อหาร่วมกันทุจริตและเรียก รับสินบน ซึ่ง คตส. ระบุว่า รูปแบบการดำ�เนินโครงการเอื้อให้ เกิดการทุจริตอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะการจ่ายเงินล่วงหน้า ไม่เกินร้อยละ 15 ของมูลค่าของงานที่ได้รับ ทำ�ให้ให้เอกชน มีเงินสำ�หรับจ่ายค่าหัวคิว ต่อมา วันที่ 8 พฤษภาคม 2550 คตส. มีมติชี้มูลความ ผิด ชวนพิศ ฉายเหมือนวงศ์ อดีตผู้ว่าการ กคช. ผู้บริหาร และ และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 93
  • 80. เจ้าหน้าที่ของกคช.10คนฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และในวันที่ 7 มกราคม 2551 คตส.ได้แจ้งข้อหาวัฒนาและพวกรวม7คนในข้อหาเรียกรับสินบน จากผู้รับเหมา 8 ราย จำ�นวน 1,200 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังตั้งข้อหาชวนพิศเพิ่มอีก 1 คดี ในข้อหาทุจริตต่อหน้าที่ สถานะของคดี หลังจากคตส.หมดวาระคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้รับเรื่องการทุจริตในโครงการบ้าน เอื้ออาทรมาดำ�เนินการต่อ และในเดือนมิถุนายน 2552 คณะ ทำ�งานอัยการได้พิจารณาสำ�นวนคดีที่ ป.ป.ช. มีความเห็นสั่งฟ้อง วัฒนา เมืองสุข และพวกรวม 7 คน ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกรณีเรียกรับเงินจาก ผู้ประกอบการ และส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณายื่นฟ้องต่อ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมือง ขณะ นี้สำ�นวนคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการสูงสุด สำ�หรับ ชวนพิศ ฉายเหมือนวงศ์ ถูกกล่าวหาว่ากระทำ� ความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำ�ความผิดต่อตำ�แหน่ง หน้าที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างเอกชนในโครงการบ้านเอื้ออาทร (โครงการอรัญประเทศ โครงการเมืองใหม่บางพลี และโครงการ ร่มเกล้า 2) รวม 2 คดี ขณะนี้คดีอยู่ในระหว่างการไต่สวนข้อเท็จ จริงโดย ป.ป.ช. ผลกระทบต่อ ประชาชน • ประชาชนจำ�นวนหนึ่งได้ที่พักอาศัยช้ากว่ากำ�หนด ขณะที่อีกจำ�นวนหนึ่งไม่ได้ที่พักอาศัย เนื่องจากบาง โครงการหยุดดำ�เนินการ • การก่อสร้างในบางโครงการไม่ได้มาตรฐาน ทำ�ให้ ผู้พักอาศัยได้รับความเดือดร้อน หรือต้องเสีย ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม • ณเดือนตุลาคม2550กคช.มีหนี้เงินกู้รวม 76,112 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้เงินกู้ของโครงการบ้านเอื้ออาทร 61,050 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 80 ของหนี้ เงินกู้ทั้งหมด เมนูคอร์รัปชัน94
  • 81. เอกสารอ้างอิง • ขอนแก่น-หนองคาย เมีย ส.ส. ไทยรักไทย กวาด 5.2 พัน ล., หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ. 18 กันยายน 2549. • ปิดตำ�นาน ‘บ้านเอื้ออาทร’ บาดแผลประชานิยม-ทุจริต 3 หมื่นล้าน, หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ. 24 ธันวาคม 2550. • พิลึก บิ๊กการเคหะฯ ขายที่ให้ กคช. 82 ล. สร้างบ้านเอื้ออาทร, หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ. 4 กันยายน 2549. • รังสิต คลอง 2 ที่ดินจากแบงก์ 55 ล้าน ปั่นราคา 2 รอบ ขายการเคหะฯ 97 ล้าน, หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ. 19 ตุลาคม 2549. • รังสิต คลอง 9 ไร่ละ 5.5 แสน การเคหะฯ ซื้อฉลุยไร่ละ 1 ล้าน, หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ. 23 ตุลาคม 2549. • วิกฤตความคิดประชานิยม สัญญาโควต้า ‘โกงกินล่วงหน้า’, หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ. 24 ธันวาคม 2550. • สตง. ชงสอบบ้านเอื้ออาทร โยง รมต. ซื้อที่ดิน ‘ญาติ’ แพง 10 เท่า, หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ. 28 กันยายน 2549. • สตง. ล้างบาง ‘บ้านเอื้ออาทร’ ปั่นยอดจองอุ้มผู้รับเหมา-เคหะเต้น, หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ. 24 สิงหาคม 2549. • สตง. อึ้ง เคหะซื้อบ้านบริษัทญาติ ‘เพ้ง’ 2.3 หมื่นยูนิต-พงษ์ศักดิ์แจงแค่เพื่อน, หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ. 28 สิงหาคม 2549. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 95
  • 82. ความเสียหาย คณะกรรมการตรวจสอบ การกระทำที่กอใหเกิด ความเสียหายแกรัฐ (คตส.) ประเมินวาการทุจริตทำใหเกิด ความเสียหายประมาณ 30,000ลŒานบาท เป‡าหมายของโครงการบŒานเอื้ออาทรคือการจัดหา ที่อยู‹อาศัยใหŒแก‹ประชาชนผูŒมีรายไดŒนŒอย แต‹ผูŒบร�หารและเจŒาหนŒาที่ของการเคหะฯ บางคนกลับร‹วมมือกับนักการเมืองเพ�่อหา ผลประโยชนจากโครงการ โดยบางโครงการ ทำสัญญากับผูŒรับเหมาที่เปšนเคร�อญาติ หร�อผูŒใกลŒชิดของนักการเมือง บางโครงการ ซื้อที่ดินเพ�่อดำเนินโครงการในราคาสูงเกินจร�ง ขณะที่นักการเมืองและขŒาราชการบางคนร‹วมกัน เร�ยกเก็บ “ค‹าหัวคิว” จากผูŒรับเหมาที่ไดŒรับงาน ผลกระทบต‹อ ประชาชน • ประชาชนจำนวนหนึ�ง ไดที่พักอาศัยชากวากำหนด ขณะที่อีกจำนวนหนึ�งไมได ที่พักอาศัย เน��องจากบางโครงการ หยุดดำเนินการ • การกอสรางของบางโครงการ ไมไดมาตรฐาน ทำใหผูพักอาศัย ไดรับความเดือดรอน หรือตอง เสียคาใชจายในการซอมแซม • ณ เดือนตุลาคม 2550 การเคหะฯ มีหน�้เงินกูรวม 76,112 ลานบาท ซึ�งเปนหน�้เงินกู ของโครงการบานเอื้ออาทร 61,050 ลานบาท หรือคิดเปน 80% ของหน�้เงินกูทั้งหมด บŒานเอื้ออาทร: ผลประโยชนทับซŒอน ป˜›นราคาที่ดิน เก็บค‹าหัวคิว 16 สถานะ • คณะทำงานอัยการสงเรื่อง ใหอัยการสูงสุดพิจารณายื่นฟอง นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พัฒนาสังคมฯ และพวก รวม 7 คน ขณะน�้สำนวนคดี อยูระหวางการพิจารณาของ อัยการสูงสุด • ผูวาการการเคหะฯ ในขณะนั้น ถูกกลาวหาวากระทำความผิด 2 คดี ขณะน�้ทั้งสองคดี อยูระหวางการไตสวนขอเท็จจริง โดย ป.ป.ช. -การเคหะฯ ทำสัญญากับ ผูรับเหมาที่เปนเครือญาติ หรือผูใกลชิดของนักการเมือง หลายโครงการ เชน โครงการหนองคาย 2 การเคหะฯ ทำสัญญากับ บริษัทของภรรยาอดีต ส.ส. หนองคาย พรรคไทยรักไทย -ผูรับเหมารายหนึ�งใหขอมูล วาตองจายคาหัวคิวประมาณ 8,000-12,000 บาท ตอที่พักอาศัย 1 หน�วย ใหกับนักการเมืองและ ขาราชการ -สตง. พบขอมูลวาผูรับเหมา บางรายปนตัวเลขผูจองบาน สูงกวาความตองการจริง เพื่อนำโครงการมาขายให การเคหะฯ โดยหวังไดรับ เงินอุดหนุน -การเคหะฯ ซื้อที่ดินเพื่อ ดำเนินโครงการสูงเกินจริง เชน โครงการดงพระราม จังหวัดปราจีนบุรี (เขตพื้นที่ของ รมว. พัฒนาสังคมฯ ในขณะนั้น) การเคหะฯ ซื้อที่ดินจาก ผูรับเหมาไรละ 850,000 บาท ทั้งที่กรมที่ดินประเมินราคา เพียงไรละ 61,000 บาท ผลประโยชนทับซŒอน ป�›นราคาที่ดินขายการเคหะฯ เก็บค‹าหัวคิว ป��นยอดจองเกินจร�ง และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 9796
  • 83. 17 เรื่องน้ำ�เน่า โครงการ บำ�บัดน้ำ�เสียคลองด่าน ปูมหลัง โครงการจัดการน้ำ�เสียเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดสมุทรปราการ เป็นโครงการที่ได้รับความ ช่วยเหลือด้านการเงินจากธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษของจังหวัดสมุทรปราการ โดย ABD ว่าจ้างบริษัท มอนต์โกเมอรี วัตสัน เอเชีย จำ�กัด (Montgomery Watson Asia: MWH) และคณะ ทำ�การศึกษาความเป็นไปได้ของ โครงการ เดือนเมษายน 2538 MWH และคณะ เสนอให้แบ่งโครงการบำ�บัดน้ำ�เสียเป็น 2 ระบบ คือ ฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก โดยฝั่งตะวันออกจะระบายน้ำ�เสียลงทะเล ส่วนฝั่งตะวันตกจะระบาย น้ำ�เสียลงคลอง ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในระยะยาว รวมถึงมีค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงน้อยที่สุด ทั้งนี้ บริษัทเสนอให้มีโรงบำ�บัดน้ำ�เสีย 2 แห่งในแต่ละฝั่งของจังหวัดสมุทรปราการ โดยฝั่ง ตะวันออกเสนอให้มีโรงบำ�บัดน้ำ�เสียที่ตำ�บลบางปูใหม่ ขนาดที่ดิน 1,550 ไร่ และฝั่งตะวันตก เสนอที่ตำ�บลคลองบางปลากด ขนาดที่ดิน 350 ไร่ หลังจากนั้นในเดือนมิถุนายน 2538 คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเห็นชอบให้ดำ�เนิน โครงการตามรูปแบบที่MWHและคณะได้ทำ�การศึกษาต่อมาในเดือนตุลาคม2538คณะรัฐมนตรี เห็นชอบในหลักการการดำ�เนินโครงการ และเดือนธันวาคม 2538 กรมควบคุมมลพิษจึงประกาศ ประกวดราคาโครงการ ภายใต้เงื่อนไขการดำ�เนินโครงการ ‘แบบ 2 ฝั่ง’ เมนูคอร์รัปชัน98
  • 84. เส้นทางผลประโยชน์ การดำ�เนินโครงการจัดการน้ำ�เสียเขตควบคุมมลพิษ จังหวัด สมุทรปราการ มีจุดสังเกตที่แสดงให้เห็นถึงความไม่ถูกต้องหลาย ประการ สรุปได้ดังนี้ 1. ในขั้นตอนการคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเบื้องต้นเพื่อเข้า ประกวดราคา ได้คัดเลือกให้กลุ่มกิจการร่วมค้า NVPSKG (N คือ บริษัท นอร์ธเวส วอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำ�กัด, V คือ บริษัท วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำ�กัด, P คือ บริษัท ประยูรวิศว์การ ช่าง จำ�กัด, S คือ บริษัท สี่แสงการโยธา (1979) จำ�กัด, K คือ บริษัท กรุงธนเอนยิเนียร์ จำ�กัด, G คือ บริษัท เกตเวย์ ดิเวลลอป เมนต์ จำ�กัด) ผ่านคุณสมบัติ ทั้งที่ไม่มีคุณสมบัติตามที่กำ�หนด ในเอกสารการประกวดราคา 2. ประกาศให้พื้นที่ในตำ�บลคลองด่าน ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันออก อำ�เภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการ และมีการเพิ่มพื้นที่ของโครงการฝั่งตะวันออก จาก 1,550 ไร่ เป็น 1,900 ไร่ ทำ�ให้ที่ดินของบริษัท คลองด่านมารีน แอนด์ ฟิช เชอรี่ จำ�กัด มีคุณสมบัติเพียงรายเดียว (บริษัท คลองด่านมารีนฯ มีสำ�นักงานอยู่ที่เดียวกันกับบริษัท ปาล์ม บีช ดีเวลลอปเม้นท์ จำ�กัด ซึ่งน้องของ วัฒนา อัศวเหม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง มหาดไทยในขณะนั้น ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 22 อีกทั้ง ป.ป.ช. ระบุว่า ผู้ถือหุ้นของบริษัท คลองด่านมารีนฯ และบริษัท ปาล์ม บีชฯ เป็น บุคคลกลุ่มเดียวกัน) 3. ยิ่งพันธ์ มนะสิการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ในขณะนั้น ร่วมกับข้าราชการระดับสูง ในกรมควบคุมมลพิษ 4 ราย เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเป็นวาระ ‘เพื่อทราบ’ ให้เพิ่มงบประมาณจาก 12,800 ล้านบาท เป็น 22,900 ล้านบาท โดยไม่มีที่มาว่างบประมาณที่เพิ่มขึ้นมาจาก การศึกษาของผู้ใด 4. ขั้นตอนการเจรจาต่อรองไม่ได้ดำ�เนินการในรูปแบบของ คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา แต่ดำ�เนินการโดย ปกิต กิระวานิช อธิบดีกรมควบคุมมลพิษในขณะนั้น และพวก ซึ่งไม่มีหน้าที่ต่อรองราคา ทำ�ให้ภาครัฐเสียเปรียบ และเป็นการ เอื้อประโยชน์แก่กิจการร่วมค้า NVPSKG เช่น ต่อรองลดขอบเขต ของโครงการ ต่อรองลดหลักประกันต่างๆ ต่อรองให้มีการจ่ายเงิน ล่วงหน้าเกินกว่าที่กำ�หนดไว้ในเอกสารการประกวดราคา เป็นต้น 5. ขั้นตอนการส่งเรื่องให้สำ�นักงบประมาณพิจารณาความ เหมาะสมของงบประมาณโดยปกิตส่งรายละเอียดการเปรียบเทียบ ราคาที่ได้รับอนุมัติครั้งแรกกับราคาที่เพิ่มขึ้น ทั้งที่ไม่เคย ส่งรายละเอียดของราคาให้สำ�นักงบประมาณพิจารณา อีกทั้ง รายละเอียดของราคาที่เพิ่มขึ้นก็ไม่ตรงกับที่ต่อรอง โดยระบุ ราคาของบางรายการสูงกว่าที่ต่อรอง หรือไม่แสดงราคาของบาง รายการ 6. ปกิตไม่ได้เสนอเรื่องการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการก่อสร้าง เป็นแบบ ‘รวมฝั่ง’ และการขอเพิ่มงบประมาณให้คณะรัฐมนตรี พิจารณาเห็นชอบ โดยเสนอเพียงเรื่องการขอขยายเวลาก่อหนี้ ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ 2540-2544 เป็น 2540-2545 คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบเรื่องการขยายเวลา ก่อหนี้ผูกพันเพียงเรื่องเดียว 7. คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาและคณะ กรรมการตรวจการจ้างไม่เคยตรวจสอบที่ดินที่จัดซื้อ และไม่ได้ นำ�ราคาที่ดินและ/หรือสิ่งก่อสร้างใกล้เคียงและราคาประเมินจาก ธนาคารพาณิชย์มาเปรียบเทียบ เพื่อให้ได้ราคาที่ดินที่เหมาะสม แต่ซื้อที่ดินจากบริษัท คลองด่านมารีนฯ ในวงเงินสูงถึง 1,960 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าราคาประเมินถึง 1,040 ล้านบาท รวมถึง ยังมีการเปิดเผยในภายหลังอีกว่า ที่ดินดังกล่าวออกโดยไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย เนื่องจากเป็นคลองสาธารณประโยชน์ ทาง สาธารณประโยชน์ และเป็นที่หวงห้ามของราชการ และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 99
  • 85. สถานะของคดี วัฒนา อัศวเหม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (15 พฤศจิกายน 2540 - 9 กุมภาพันธุ์ 2544) วันที่ 18 สิงหาคม 2551 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมืองพิพากษา จำ�คุกวัฒนาเป็นเวลา 10 ปี เนื่องจากใช้อำ�นาจข่มขู่หรือจูงใจเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองและ เจ้าหน้าที่ของสำ�นักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี ให้ออกโฉนดที่ดิน 1,900 ไร่ ทับที่ คลองสาธารณประโยชน์และที่เทขยะมูลฝอยซึ่งเป็นที่หวงห้าม เพื่อนำ�ไปขายให้กรมควบคุมมลพิษ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2552 ศาลแขวงดุสิตพิพากษาจำ�คุกวัฒนากับพวกรวม 10 คน คนละ 3 ปี ในคดีที่กรมควบคุมมลพิษยื่นฟ้องในความผิดฐานฉ้อโกง กรณีร่วมกันทุจริตจัดซื้อที่ดินจำ�นวน 1,900 ไร่ มูลค่าประมาณ 18,000 ล้านบาท ยิ่งพันธ์ มนะสิการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม (18 กรกฎาคม 2538 - 4 ตุลาคม 2541) และ ส.ส. พรรคประชากรไทย คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พบว่า ยิ่งพันธ์ร่วมมือกับ ข้าราชการกรมควบคุมมลพิษเปลี่ยนแปลงรูปแบบโครงการ และเพิ่มพื้นที่ที่ใช้ก่อสร้างโรงบำ�บัด น้ำ�เสีย รวมทั้งดำ�เนินการขอเพิ่มงบประมาณการก่อสร้างเพื่อเอื้อประโยชน์แก่กิจการร่วมค้า NVPSKG ป.ป.ช. มีมติว่า ยิ่งพันธ์มีความผิดหลายข้อหา แต่เนื่องจากเสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2546 จึงมีมติให้จำ�หน่ายเรื่องออกจากสารบบเรื่องกล่าวหา เมนูคอร์รัปชัน100
  • 86. ผลกระทบต่อ ประชาชน • ระบบบำ�บัดน้ำ�เสียไม่เกิดขึ้น ทั้งที่รัฐบาลสูญเสียงบประมาณ ไปแล้วเกือบ 23,000 ล้านบาท • ปัญหาน้ำ�เสียในจังหวัดสมุทรปราการไม่ได้รับการแก้ไข เอกสารอ้างอิง • เปิดสำ�นวน ‘ป.ป.ช.’ คดีคลองด่าน เหตุไฉน ‘สุวัจน์’ หลุดบ่วง ฉบับสมบูรณ์, มติชนออนไลน์, 8 ธันวาคม 2554. • ศาลฎีกาสั่งจำ�คุก 10 ปี ‘วัฒนา อัศวเหม’ ทุจริตคลองด่าน, หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์, 19 สิงหาคม 2551. • ศาลพิพากษาจำ�คุก ‘วัฒนา อัศวเหม’ อดีต รมช.มท. กับพวก 10 คน คนละ 3 ปี ทุจริตที่ดินคลองด่าน, มติชนออนไลน์, 12 พฤศจิกายน 2552. ข้าราชการระดับสูงที่เกี่ยวข้อง ป.ป.ช. มีมติว่า ปกิต กิระวานิช (เมื่อครั้งดำ�รงตำ�แหน่งอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ) ศิริธัญญ์ ไพโรจน์บริบูรณ์ (เมื่อครั้งดำ�รงตำ�แหน่งรองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษและอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ) นิศากร โฆษิตรัตน์ (เมื่อครั้งดำ�รงตำ�แหน่งผู้อำ�นวยการกองจัดการคุณภาพน้ำ� กรมควบคุมมลพิษ) และ ยุวรี อินนา (เมื่อครั้งดำ�รงตำ�แหน่งนักวิชาการสิ่งแวดล้อม 7 และผู้อำ�นวยการกองจัดการ คุณภาพน้ำ� กรมควบคุมมลพิษ) กระทำ�ความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และมีความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ� จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ได้กระทำ�การทุจริตต่อหน้าที่ อันเป็นการเสียหายแก่รัฐและฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อ ให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต จึงส่งรายงาน เอกสาร และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำ�เนินคดีอาญา และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 101
  • 87. ที่ดินฝงตะวันออก ที่ดินฝงตะวันตก สเปกเดิม 1,550 350 หน�วย:ไรหน�วย:ไร วัฒนา อัศวเหม รมช.มหาดไทย ถูกตัดสินจำคุก 10 ป หลบหนี ยิ�งพันธ มนะสิการ รมต.วิทยาศาสตรฯ ถูกตัดสินวามีความผิด แตเน��องจากเสียชีวิตไปแลว จำหน‹ายคดี เนื่องจากเสียชีว�ต สุวัจน ลิปตพัลลภ รมต.วิทยาศาสตรฯ ไมอยูในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี รอด สถานะป˜จจ�บันโครงการบำบัดน้ำเสียคลองด‹าน: ล็อกสเปก/เปลี่ยน เง�่อนไขเอื้อพวกพŒอง 17 จากการศึกษาความเปšนไปไดŒของโครงการ รูปแบบที่ดีและถูกที่สุดของโครงการบำบัดน้ำเสีย คลองด‹าน คือการก‹อสรŒางโรงบำบัดน้ำเสีย ทั้งฝ˜›งตะวันออกและฝ˜›งตะวันตกของจังหวัด สมุทรปราการ แต‹กรมควบคุมมลพ�ษ กลับเปลี่ยนรูปแบบเปšนการก‹อสรŒางที่ฝ˜›งตะวันออก เพ�ยงฝ˜›งเดียว ซึ่งเปšนการเอื้อประโยชนแก‹บร�ษัท คลองด‹านมาร�น แอนด ฟ�ชเชอร�่ จำกัด เนื่องจากบร�ษัทดังกล‹าวมีที่ดินที่มีคุณสมบัติ ตรงตามเง�่อนไขเพ�ยงรายเดียว ทั้งนี้ บร�ษัทดังกล‹าวซื้อที่ดินมาจากบร�ษัท ปาลม บีช ดีเวลลอปเมŒนท จำกัด ซึ่งมีบร�ษัทและนŒองชายของ นายวัฒนา อัศวเหม รมช.มหาดไทยในขณะนั้น เปšนหนึ่งในผูŒถือหุŒน 01 กรมควบคุมมลพิษประกาศ ใหพื้นที่ในตำบลคลองดาน ใชกอสรางโครงการฝง ตะวันออกได และเปลี่ยนแปลง เงื่อนไขการประกวดราคา จากเดิม ที่แยกเปนฝงตะวันออกและฝงตะวันตก เปนแบบรวมไวที่ฝงตะวันออก เพียงฝงเดียว 02 การเปลี่ยนแปลงพื้นที่โครงการ และรูปแบบระบบบำบัดน้ำเสีย ทำใหมีบริษัทเพียงแหงเดียว ที่มีที่ดินที่มีคุณสมบัติ ตรงตามเงื่อนไข 03 กรมควบคุมมลพิษขอเพิ�ม งบประมาณจาก 1.28 หมื่นลานบาท เปน 2.29 หมื่นลานบาท โดยไมผานการพิจารณา จากสำนักงบประมาณ 04 มีการตอรองใหลดขอบเขต และปริมาณงาน รวมถึง การจายเงินลวงหนามากขึ้น ซึ�งเปนการดำเนินการที่ทำให รัฐสูญเสียผลประโยชน มูลค‹า ความเสียหาย ค‹าที่ดิน 1,960,000,000 บาท ค‹าก‹อสรŒางระบบบำบัดน้ำเสียและ ค‹าจŒางบร�ษัทศึกษาความเปšนไปไดŒ ของโครงการ 21,000,000,000 บาท ผลกระทบต‹อ ประชาชน • ระบบบำบัดน้ำเสียไมเกิดขึ้น ทั้งที่รัฐบาลสูญเสียงบประมาณ ไปแลว • ปญหาน้ำเสียในจังหวัดสมุทร- ปราการไมไดรับการแกไข บันได 4 ขั้น 1,900 เปลี่ยนเง�่อนไข เอื้อพวกพŒอง และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 103102
  • 88. 18 เมื่อกระทรวงหมอ เลือกข้างพ่อค้ายา ปูมหลัง กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศกำ�หนดราคากลางของยาตามบัญชียาหลักแห่งชาติเป็น ครั้งแรกเมื่อปี 2529 เพื่อเป็นกลไกควบคุมการจัดซื้อยาด้วยวิธีตกลงราคาหรือวิธีพิเศษให้อยู่ใน ระดับที่เหมาะสม ทำ�ให้โรงพยาบาลไม่ต้องซื้อยาและเวชภัณฑ์ในราคาแพงกว่าปกติ เส้นทางผลประโยชน์ เดือนธันวาคม 2540 รักเกียรติ สุขธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้น ออกประกาศยกเลิกราคากลางของยาตามบัญชียาหลักแห่งชาติ ซึ่งเป็นการเปิดช่องให้บริษัท ผู้จำ�หน่ายยาสามารถจำ�หน่ายยาและเวชภัณฑ์ให้แก่โรงพยาบาลและสำ�นักงานสาธารณสุข ในราคาแพงกว่าปกติ โดยรักเกียรติให้เหตุผลว่า การประกาศลอยตัวค่าเงินบาทและการปรับ อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากเดิมร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 10 ในช่วงกลางปี 2540 ส่งผลกระทบ ต่อโครงสร้างต้นทุนและราคาสินค้า รวมถึงยาและเวชภัณฑ์ บริษัทผู้ผลิตและจำ�หน่ายยาจึง ไม่สามารถจำ�หน่ายยาในราคาเดิมได้ เมนูคอร์รัปชัน104
  • 89. ต่อมา รักเกียรติตั้งคณะกรรมการพิจารณากำ�หนดราคายา ขึ้นใหม่เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2541 ซึ่งทำ�ให้มีราคากลางของยา ฉบับใหม่ เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2542 หลังจากที่รักเกียรติลาออก จากตำ�แหน่งแล้ว อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลา 1 ปีเศษที่ไม่มีการ กำ�หนดราคากลางของยากระทรวงสาธารณสุขต้องใช้งบประมาณ ในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์เพิ่มขึ้นมาก รวมทั้งต้องจัดสรร งบประมาณเพิ่มเติมไปใช้หนี้ค่ายาและจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ 1,400 ล้านบาท ในเดือนมิถุนายน 2541 หลังมีการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมดังกล่าว ปรากฏ ข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับการทุจริตยาและเวชภัณฑ์ภายในกระทรวง สาธารณสุข หน่วยงานต่างๆ จึงตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อ เท็จจริง ซึ่งรวมถึงคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีมีข่าว ทุจริตการซื้อยาของกระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมการสอบสวน ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับองค์การเภสัชกรรม และคณะอนุกรรมาธิการ ในคณะกรรมาธิการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร เพื่อศึกษา เรื่องการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์แพงกว่าความเป็นจริง โดยคณะ กรรมการชุดต่างๆ สรุปผลการสอบสวนข้อเท็จจริง ดังนี้ 1. สำ�นักงานสาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาลบางแห่ง มีพฤติกรรมทุจริตการจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือ และวัสดุ ทางการแพทย์ โดยนักการเมืองและข้าราชการในกระทรวง สาธารณสุขบางคนใช้วิธีการต่างๆ เพื่อให้สาธารณสุขจังหวัด หลายจังหวัดร่วมมือในการจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือ และวัสดุ ทางการแพทย์ จากเอกชนในราคาแพงกว่าปกติ 2. การจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์จากผู้ผลิตอื่นผ่านองค์การ เภสัชกรรม มีราคาแพงกว่าที่ควรจะเป็น ตั้งแต่ร้อยละ 50-300 ใน 34 จังหวัด คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 181.7 ล้านบาท 3. การจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์แพงกว่าความเป็นจริง ดังกล่าวเกิดจากการกระทำ�เป็นขบวนการด้วยการวางแผนสั่งการ ประสานงาน และสมยอมกัน นอกจากนี้ หน่วยงานอื่นๆ ก็มีการสืบสวนข้อเท็จจริง ในกรณีดังกล่าว โดยสำ�นักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบพบว่าในปี2541การจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์บางรายการ มีราคาแตกต่างกันมาก เช่น จัดซื้อจากผู้ขายรายเดียวกัน ใช้เงิน งบประมาณประเภทเดียวกัน เดือนเดียวกัน แต่ราคากลับต่างกัน ต่อมา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและ ประพฤติมิชอบในวงราชการ (ป.ป.ป.) ได้สอบสวนเพิ่มเติมและ มีความเห็นว่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมีความบกพร่องโดยไม่กำ�หนด ราคากลางของยา ทำ�ให้มีการฉวยโอกาสทุจริต ป.ป.ป. จึงชี้มูล ความผิดเจ้าหน้าที่และลงโทษทางวินัย โดยไล่ออกจากราชการ 2 คน และปลดออกจากราชการ 5 คน ขณะที่การดำ�เนินการ กับข้าราชการการเมืองถูกส่งต่อไปยังคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ภายหลังการประกาศใช้ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ทั้งนี้ บริษัท ที เอ็น พี เฮลท์แคร์ จำ�กัด เป็นบริษัทผู้จำ�หน่าย ยาแห่งหนึ่งซึ่งได้ประโยชน์จากการยกเลิกการกำ�หนดราคากลาง ของยา โดยในเดือนสิงหาคมและกันยายน 2541 บริษัทดังกล่าว ได้รับใบสั่งซื้อยาผ่านองค์การเภสัชกรรมมูลค่า 11.3 ล้านบาท และ 8.3 ล้านบาท ตามลำ�ดับ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนหน้านั้น ป.ป.ช. สอบสวนข้อเท็จจริงพบว่า เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2541 จิรายุ จรัสเสถียร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวง สาธารณสุข ได้รับแคชเชียร์เช็คจำ�นวน 5 ล้านบาท จากสุภชัย วีระภุชงค์รองกรรมการผู้จัดการบริษัทไทยนครพัฒนาจำ�กัดและ กรรมการบริษัท ที เอ็น พี เฮลท์แคร์ จำ�กัด และนำ�แคชเชียร์เช็ค ดังกล่าวไปเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ในชื่อของตนเอง จึงส่งเรื่อง ต่อให้อัยการสูงสุดดำ�เนินคดีกับจิรายุ ต่อมา ศาลฎีกาแผนกคดี อาญาของผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมือง ตัดสินว่า คำ�ให้การของ จิรายุที่ว่าแคชเชียร์เช็คดังกล่าวเป็นเงินที่ตนกู้ยืมจากสุภชัยนั้น เป็นการซ่อนเร้นอำ�พรางข้อเท็จจริง จึงมีคำ�พิพากษาลงโทษจำ�คุก จิรายุ 6 ปี1 จากการใช้อำ�นาจในตำ�แหน่งโดยมิชอบ แสวงหา ผลประโยชน์ หลังจากถูกพิพากษาจำ�คุก จิรายุให้การต่อ ป.ป.ช. ว่า แคชเชียร์เช็คดังกล่าวเป็นเงินที่สุภชัยมอบให้รักเกียรติ เพื่อ ตอบแทนที่รักเกียรติช่วยให้กระทรวงสาธารณสุขจัดซื้อยาจาก บริษัท ไทยนครพัฒนา จำ�กัด รักเกียรติจึงให้จิรายุนำ�แคชเชียร์ เช็คเข้าบัญชีเงินฝาก โดยเปิดบัญชีในชื่อจิรายุ แต่เงินส่วนใหญ่ ในบัญชีเป็นของรักเกียรติ 1  คดีหมายเลขแดงที่ อม. 1/2545 และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 105
  • 90. นอกจากนี้ จิรายุยังแสดงหลักฐานบันทึกช่วยจำ�ระหว่างตน กับรักเกียรติ ซึ่งระบุว่ารักเกียรติฝากเงินไว้เมื่อใด จำ�นวนเท่าใด และเบิกไปเมื่อใด จำ�นวนเท่าใด โดยรักเกียรติจะตรวจสอบบันทึก ช่วยจำ�ดังกล่าว และลงลายมือชื่อหรือเขียนกำ�กับว่า ‘OK’ เป็น ครั้งคราวหลังการตรวจสอบ สถานะของคดี ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมืองมีคำ�พิพากษาเมื่อวันที่ 30 กันยายน 25462 ว่า รักเกียรติ สุขธนะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีพฤติการณ์ร่ำ�รวยผิดปกติ และให้ยึดทรัพย์สินมูลค่า 233.88 ล้านบาท เป็นของแผ่นดิน เนื่องจากรักเกียรติไม่สามารถชี้แจง ที่มาหรือพิสูจน์ได้ว่า ได้ทรัพย์สินดังกล่าวมาโดยชอบ คำ�พิพากษายึดทรัพย์นี้ สืบเนื่องมาจากกรณีการทุจริตการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ของกระทรวง สาธารณสุข ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมืองมีคำ�พิพากษาเมื่อวันที่ 30 กันยายน 25463 ให้ลงโทษจำ�คุกนายรักเกียรติ 15 ปี ผลกระทบต่อประชาชน • การยกเลิกราคากลางของยาโดยไม่มีการกำ�หนดราคากลางใหม่ ทำ�ให้กระทรวงสาธารณสุข ต้องใช้งบประมาณในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์เพิ่มขึ้นมาก จนต้องจัดสรรงบประมาณเพิ่ม เติม 1,400 ล้านบาท ในเดือนมิถุนายน 2541 • คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับองค์การเภสัชกรรม ประมาณการว่า การซื้อยา และเวชภัณฑ์มีราคาแพงกว่าที่ควรจะเป็นตั้งแต่ร้อยละ 50-300 ใน 34 จังหวัด คิดเป็นมูลค่า ความเสียหายเฉพาะที่ตรวจสอบพบประมาณ 181.7 ล้านบาท 2  คดีหมายเลขแดงที่ อม. 2/2546 3  คดีหมายเลขแดงที่ อม. 1/2546 เมนูคอร์รัปชัน106
  • 91. เอกสารอ้างอิง • คำ�พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขแดงที่ อม. 1/2545 • คำ�พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขแดงที่ อม. 1/2546 • คำ�พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขแดงที่ อม. 2/2546 • องค์การเภสัชกรรม, รายงานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับองค์การเภสัชกรรม, 2542. เช็คราคายา ก่อนและหลังยกเลิกราคากลาง ชื่อยา สรรพคุณ ราคากลาง (บาท) ราคาหลังยกเลิกราคา กลาง (บาท) Allopurinol100 mg รักษาโรคเกาต์ 568 1,200-1,500 Ampicillin(ยาฉีด) รักษาโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย 1,100 2,100-3,000 Dimenhydrinate 50 mg แก้เมารถ เมาเรือ 180 1,650 Ketoconazole 200 mg ติดเชื้อรา กลาก เกลื้อน 2,500 5,000 Mebendazole(ยาน้ำ�) รักษาพยาธิ 684 1,300-2,300 Furosemide(ยาฉีด) ขับปัสสาวะ รักษาโรคความดันโลหิตสูง 227 825-773 Griseofulvin 125 mg รักษาโรคเชื้อราที่ผิวหนัง หนังศีรษะ เล็บมือ เล็บเท้า 534 1,000-1,182 Ibuprofen 200 mg แก้ปวดศีรษะไมเกรน ปวดข้อ 220 700-1,000 Metformin500 mg รักษาโรคเบาหวาน 396 1,040-1,683 Mefenamic acid 250 mg แก้ปวดประจำ�เดือน 550 1,500 Naproxen250 mg แก้ปวดไขข้ออักเสบ 2,352 5,000 Flunarizine5 mg แก้ปวดศีรษะไมเกรน 275 2,717 Cloxaciilin(ยาฉีด) รักษาโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย 1,400 2,500-3,000 Ibuprofen 400 mg แก้ปวดศีรษะไมเกรน ปวดข้อ 2,150 5,750-8,210 Isosorbide10 mg รักษาโรคหัวใจ 300 700-1,375 Terbutaline 2.5 mg บรรเทาอาการหายใจขัดจากโรคหอบหืด 195 450-1,800 ที่มา: รายงานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับองค์การเภสัชกรรม (2542) และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 107
  • 92. มูลค‹า ความเสียหาย Dimenhydrinate 50 mg แกเมารถ เมาเรือ ราคากลาง 180 หลังยกเลิก 1650 Ibuprofen 200 mg แกปวดศีรษะไมเกรน ปวดขอ ราคากลาง 220 หลังยกเลิก 850 Naproxen 250 mg แกปวดไขขออักเสบ ราคากลาง 2,352 หลังยกเลิก 5,000 Terbutaline 2.5 mg บรรเทาอาการหายใจขัด จากโรคหอบหืด ราคากลาง 195 หลังยกเลิก 1125 Flunarizine 5 mg แกปวดศีรษะไมเกรน ราคากลาง 275 หลังยกเลิก 2,717 บันได 3 ขั้น 01 02 03 รัฐมนตรีออกประกาศยกเลิก ราคากลางของยา นักการเมืองและขาราชการใช วิธีการตางๆ เพื่อใหหน�วยงาน ดานสาธารณสุขของรัฐจัดซื้อ ยาและเวชภัณฑจากบริษัท ที่ตนแนะนำ บริษัทยามอบเงินใหรัฐมนตรี เพื่อตอบแทนที่ชวยให กระทรวงสาธารณสุขจัดซื้อยา ของบริษัทในราคาแพงกวา ปกติ 988% 576% เพ��มข�้น Terbutaline 2.5 mg บรรเทาอาการหายใจขัด จากโรคหอบหืด เพ��มข�้น Flunarizine 5 mg แกŒปวดศีรษะไมเกรน 916% เพ��มข�้น Dimenhydrinate 50 mg แกŒเมารถ เมาเร�อ 386% เพ��มข�้น Ibuprofen 200 mg แกŒปวดศีรษะไมเกรน ปวดขŒอ คดีทุจร�ตยากระทรวงสาธารณสุข: ยกเลิกราคากลาง เอื้อเอกชน 18 เดือนธันวาคม 2540 นายรักเกียรติ สุขธนะ รัฐมนตร�ว‹าการกระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้น ออกประกาศยกเลิกราคากลางของยา ตามบัญชียาหลักแห‹งชาติ ซึ่งเปšนการเปดช‹องใหŒ บร�ษัทผูŒจำหน‹ายยาสามารถจำหน‹ายยา และเวชภัณฑใหŒแก‹โรงพยาบาลและสำนักงาน สาธารณสุขในราคาแพงกว‹าปกติ ในเวลาต‹อมา นายรักเกียรติมีคำสั่งแต‹งตั้ง คณะกรรมการพ�จารณากำหนดราคายาข�้นใหม‹ แต‹ช‹วงเวลาหนึ่งป‚เศษที่ไม‹มีราคากลางของยา กระทรวงสาธารณสุขตŒองใชŒงบประมาณ ในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑเพ��มข�้นมาก โดยคณะ กรรมการสอบสวนขŒอเท็จจร�งประมาณการว‹า การซื้อยาและเวชภัณฑมีราคาแพงกว‹า ที่ควรจะเปšนตั้งแต‹ 50-300% ผลกระทบต‹อ ประชาชน • การยกเลิกราคากลางของยา โดยไมมีการกำหนดราคากลาง ใหม ทำใหกระทรวงสาธารณสุข ตองใชงบประมาณในการจัดซื้อ ยาและเวชภัณฑเพิ�มขึ้นมาก จนตองจัดสรรงบประมาณ เพิ�มเติม 1,400 ลานบาทในเดือน มิถุนายน 2541 • คณะกรรมการสอบสวน ขอเท็จจริงเกี่ยวกับองคการ เภสัชกรรมประมาณการวา การซื้อยาและเวชภัณฑมีราคา แพงกวาที่ควรจะเปนตั้งแต 50-300% ใน 34 จังหวัด คิดเปนมูลคาความเสียหาย เฉพาะที่ตรวจสอบพบประมาณ 181.7 ลานบาท ศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของผูดำรงตำแหน�งทางการเมือง มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 วานายรักเกียรติ สุขธนะ มีพฤติการณร่ำรวย ผิดปกติ และใหยึดทรัพยสินมูลคา 233.88 ลานบาทเปนของแผนดิน กอนหนานั้น ศาลฎีกาแผนก คดีอาญาของผูดำรงตำแหน�ง ทางการเมืองมีคำพิพากษาลงโทษ จำคุกนายรักเกียรติ 15 ป ฐานเปนเจาพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพยสินหรือ ประโยชนอื่นใดสำหรับตนเอง หรือผูอื่นโดยมิชอบ สถานะป˜จจ�บัน จำคุก/ชดใชŒ 212% Naproxen 250 mg แกŒปวดไขขŒออักเสบ เพ��มข�้น และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 109108
  • 93. 19 ส.ป.ก. 4-01 แจกที่ดินเศรษฐี ปูมหลัง 21 ตุลาคม 2535 ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้แถลงนโยบายของรัฐบาลต่อ รัฐสภา โดยนโยบายข้อ 4.2.4 ระบุว่า รัฐบาลจะ “เร่งรัดการปฏิรูปที่ดินและการออกเอกสารสิทธิ์ เพื่อกระจายสิทธิ์การถือครองที่ดินให้แก่เกษตรกรผู้ยากไร้ และเกษตรกรที่ครอบครองทำ�กินอยู่ใน ที่ดินของรัฐประเภทต่างๆ โดยจะปรับปรุงกลไกการบริหารและการจัดการของรัฐ ตลอดจนจัดสรร งบประมาณให้สามารถครอบคลุมพื้นที่ได้โดยเฉลี่ยปีละประมาณ 4 ล้านไร่” นโยบายดังกล่าวเป็นที่มาของการแจกเอกสารสิทธิ์ ‘ส.ป.ก. 4-01’ ให้กับผู้มีสิทธิ์ทั่วประเทศ โดย ณ เดือนพฤศจิกายน 2537 สุเทพ เทือกสุบรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ ผู้กำ�กับดูแลสำ�นักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ระบุว่า ในรอบ 2 ปี (2535- 2537) มีการแจกเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. 4-01 ไปแล้ว 592,809 ราย ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 11 ล้านไร่ ซึ่งไม่เคยมีรัฐบาลชุดใดออกเอกสารสิทธิ์ได้มากเท่านี้ เมนูคอร์รัปชัน110
  • 94. เส้นทางผลประโยชน์ ความไม่ชอบมาพากลของการแจกเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. 4-01 ปรากฏเป็นข่าวทางหนังสือพิมพ์วันที่ 20 พฤศจิกายน 2537 เมื่อผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ มติชน พบว่า ผู้ที่เข้าแถวรอรับ เอกสารสิทธิ์ในพิธีมอบเอกสารสิทธิ์ให้กับราษฎรในจังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2537 จำ�นวนหนึ่งเป็นนักธุรกิจและ คนใกล้ชิดนักการเมือง เช่น ทศพร เทพบุตร ส.จ. ภูเก็ต และสามี ของ อัญชลี วานิช เทพบุตร ส.ส. ภูเก็ต พรรคประชาธิปัตย์ และ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ในขณะนั้น บันลือ ตันติวิท เจ้าของโรงแรมป่าตองรีสอร์ต บุ่นเก้ง ศรีแสน สุชาติ เจ้าของบริษัท ศรีสุชาติขนส่ง จำ�กัด และ สุรศักดิ์ หงษ์หยก ผู้จัดการบริษัท อนุภาษธุรกิจและการค้าภูเก็ต จำ�กัด ตัวแทน จำ�หน่ายรถยนต์ยี่ห้อมาสด้า เป็นต้น การที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้รับเอกสารสิทธิ์ทำ�ให้เกิดคำ�ถาม ว่า เหตุใดนโยบายที่มุ่งช่วยเหลือเกษตรกรผู้ยากไร้กลับเป็นการ เอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ที่มีฐานะดีและเป็นไปได้หรือไม่ที่คนเหล่านั้น อาศัยความใกล้ชิดกับนักการเมืองทำ�ให้ได้รับเอกสารสิทธิ์ซึ่งชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี บัญญัติ บรรทัดฐาน รองนายกรัฐมนตรี และ สุเทพ เทือกสุบรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ต่างยืนยันถึงความถูกต้องของกระบวนการ สุเทพอ้างว่า การที่ผู้มีฐานะดีได้รับการจัดสรรที่ดิน เพราะ กลุ่มบุคคลดังกล่าวถือครองและทำ�ประโยชน์ในที่ดินมานาน ซึ่ง ส.ป.ก. ได้ดำ�เนินการตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อ เกษตรกรรม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2532 มาตรา 30 วรรค 5 ที่เปิด โอกาสให้ผู้ที่ครอบครองที่ดินก่อนการประกาศเป็นเขตปฏิรูปที่ดิน มีสิทธิ์ได้รับเอกสารสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม สุเทพยอมรับว่า “การที่ คนรวยมีชื่อเข้ามามาก เพราะกฎหมายมีช่องให้” แม้รัฐบาลจะอ้างว่าปฏิบัติตามกฎหมาย แต่เมื่อมีการ ตรวจสอบกลับพบว่า การออกเอกสารสิทธิ์ของกระทรวงเกษตรฯ นั้นขัดกับเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อ เกษตรกรรม ซึ่งมุ่งช่วยเหลือ ‘เกษตรกรผู้ไม่มีที่ดินของตนเอง หรือ เกษตรกรที่มีที่ดินเล็กน้อย ไม่เพียงพอแก่การครองชีพ’ นอกจากนี้ หากพิจารณาพระราชกฤษฎีกากำ�หนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขใน การเป็นเกษตรกร พ.ศ. 2535 ก็ยิ่งชัดเจนว่า ผู้ได้รับเอกสารสิทธิ์ จำ�นวนหนึ่งไม่ได้มีสถานะเป็นเกษตรกร ดังนั้น แม้รัฐบาลจะมีนโยบายกระจายการถือครองที่ดิน แต่ก็เอื้อให้ผู้มีอันจะกินได้ครอบครองที่ดินบางส่วน โดยละเลย เจตนารมณ์ของกฎหมายและหลักการของการปฏิรูปที่ดิน ซึ่งมุ่ง แก้ปัญหาความยากจนและการกระจายสินทรัพย์ โดยรัฐบาล ไม่ได้จัดสรรที่ดินให้กับเกษตรกรอย่างแท้จริง นอกจากจะพบปัญหาการออกเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. 4-01 ในจังหวัดภูเก็ต ให้กับคนในตระกูลร่ำ�รวย กระทั่งคนในตระกูล ของนักการเมืองฝ่ายค้านแล้ว ยังปรากฏปัญหาในอีกหลายจังหวัด เช่น ชลบุรี (ตระกูลหนุนภักดีและคราประยูร) ลพบุรี (ตระกูลโชติ เทวัญ เจ้าของกลุ่มสหฟาร์ม) กระบี่ (ตระกูลเอ่งฉ้วน) ฉะเชิงเทรา (ตระกูลตันเจริญ) สุรินทร์ (ตระกูลเรืองกาญจนเศรษฐ) และ นครราชสีมา (ตระกูลครุฑขุนทดและชาญนุกูล) หลังจากเรื่องนี้ถูกตีแผ่เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2537 รายงานข่าวการตรวจสอบการออกเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. 4-01 ก็ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์อย่างต่อเนื่อง เกิดแรงกดดัน ให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องลาออกจากตำ�แหน่ง จนกระทั่งวันที่ 7 ธันวาคม 2537 สุเทพจึงยอมประกาศลาออกจากตำ�แหน่ง โดย อ้างว่าลาออกเพราะเคารพความรู้สึกของประชาชน แต่ยืนยันว่า ตนเองดำ�เนินการเรื่องการออกเอกสารสิทธิ์อย่างถูกต้อง ในเวลาต่อมา มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการออก เอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. 4-01 ในจังหวัดภูเก็ต โดยมี ปรีชา อบอาย รองปลัดกระทรวงเกษตรฯ เป็นประธาน จากนั้นจึงส่งรายงานให้ และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 111
  • 95. กับคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ซึ่งประเด็นสำ�คัญ ที่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินฯ ต้องพิจารณาก็คือ หลักเกณฑ์ วิธี การ และเงื่อนไขในการคัดเลือกเกษตรกรซึ่งจะมีสิทธิ์ได้รับที่ดิน จากการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม การพิจารณาประเด็นดังกล่าว คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินฯ แบ่งเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่เห็นว่า ไม่จำ�เป็น ต้องพิจารณาระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคัดเลือกเกษตรกร ซึ่งจะมีสิทธิ์ได้รับที่ดินจากการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2535 ข้อ 6 (6) ซึ่งระบุคุณสมบัติของเกษตรกรที่มีสิทธิ์ยื่น คำ�ร้องขอเข้าทำ�ประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินว่า “ไม่มี ที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมเป็นของตนเองหรือของบุคคลใน ครอบครัวเดียวกัน หรือมีที่ดินเพียงเล็กน้อย แต่ไม่เพียงพอแก่การ ประกอบเกษตรกรรมเพื่อเลี้ยงชีพ” โดยคณะกรรมการเสียงใหญ่ ให้พิจารณาเพียงข้อ 8 (1) ที่ระบุหลักเกณฑ์ของเกษตรกรผู้จะ ได้รับการพิจารณาคัดเลือกเข้าทำ�ประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูป โดยมีคุณสมบัติว่าต้องเป็น “เกษตรกรผู้ถือครองที่ดินของรัฐหรือ เกษตรกรผู้เช่าที่ดินที่นำ�มาดำ�เนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และเป็นผู้ทำ�กินในที่ดินนั้น” ขณะที่คณะกรรมการอีกฝ่ายเห็นว่า ต้องพิจารณาข้อ 6 (6) ด้วย เนื่องจากพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ระบุชัดเจนว่า รัฐต้องทำ�การปฏิรูปที่ดินเพื่อจัดสรรให้กับเกษตรกร ที่ยากจน รายงานข่าวในหนังสือพิมพ์ มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 10 ธันวาคม 2537 อ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวว่า เหตุที่คณะกรรมการ ปฏิรูปที่ดินฯ ส่วนใหญ่เลือกใช้เกณฑ์การพิจารณาเฉพาะข้อ 8 (1) เนื่องจากเขตปฏิรูปที่ดินในจังหวัดภูเก็ตส่วนใหญ่ใช้เกณฑ์ข้อ นี้ และเลขาธิการ ส.ป.ก. ก็เลือกข้อนี้ มิเช่นนั้นการปฏิรูปที่ดินใน จังหวัดภูเก็ตอาจขัดต่อกฎหมาย ซึ่งเจ้าหน้าที่จะมีความผิดด้วย จากนั้นคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินฯ จึงส่งมติให้ นิพนธ์ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เป็นผู้พิจารณา ชี้ขาด ซึ่งนิพนธ์ได้ส่งเรื่องต่อให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ ว่าสอดคล้องกับกฎหมายหรือไม่ แต่ท้ายที่สุดคณะกรรมการ กฤษฎีกาชุดใหญ่มีมติไม่รับตีความข้อหารือของนิพนธ์ โดย รายงานข่าวระบุว่า คณะกรรมการกฤษฎีกามีการถกเถียงกันว่า จะรับเรื่องไว้ตีความหรือไม่ บางส่วนเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำ�คัญ น่าจะรับไว้ตีความ แต่คณะกรรมการส่วนใหญ่เห็นว่า หากตีความ จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ทั้งนี้ สื่อมวลชนระบุข้อมูลจากแหล่งข่าวว่า หากผลการ ตีความออกมาว่ามติของคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินฯ ไม่สอดคล้อง กับกฎหมาย ก็เท่ากับว่าการดำ�เนินการปฏิรูปที่ดินของรัฐบาล ขัดต่อพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และต้อง ทบทวนการให้เอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. 4-01 ใหม่ทั้งประเทศ อย่างไรก็ดี นิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ได้ลาออกจากตำ�แหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2537 โดยระบุว่าคณะกรรมการตรวจสอบการออกเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. 4-01 เชื่อว่ามีพื้นที่ป่าสมบูรณ์อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินของจังหวัด ภูเก็ตและมีหลักฐานเชื่อได้ว่ามีบุคคลหลายรายได้รับเอกสารสิทธิ์ โดยที่คุณสมบัติไม่ตรงตามกฎหมาย เมนูคอร์รัปชัน112
  • 96. สถานะของคดี สำ�นักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ดำ�เนินการฟ้องขับไล่ผู้ครอบครองที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ตั้งแต่ปี 2541 โดยคดีที่ศาลฎีกามีคำ�พิพากษาแล้ว มีดังนี้ วันที่ 7 มิถุนายน 2550 ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ในคดีที่ ส.ป.ก. เป็นโจทก์ยื่น ฟ้องขับไล่ ทศพร เทพบุตร ออกจากที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ในตำ�บลกะรน อำ�เภอเมือง จังหวัดภูเก็ต เนื้อที่ 99 ไร่ เนื่องจากจำ�เลยขาดคุณสมบัติการเป็นเกษตรกร วันที่ 21 มิถุนายน 2550 ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ในคดีที่ ส.ป.ก. เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องขับไล่ เจริญ ถาวรว่องวงศ์ ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมรายใหญ่ ออกจากที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ก. จำ�นวน 4 แปลง ได้แก่ บนเทือกเขากมลา อำ�เภอกะทู้ 2 แปลง และบนเทือกเขานาคเกิด อำ�เภอ เมืองภูเก็ต 2 แปลง รวมเนื้อที่ประมาณ 16 ไร่ เนื่องจากจำ�เลยขาดคุณสมบัติการเป็นเกษตรกร และมีที่ดินทํากินเป็นของตัวเองอยู่แล้วจำ�นวน 36 แปลง เนื้อที่ประมาณ 60 ไร่ รวมทั้งเป็น ผู้บริหารนิติบุคคลถึง 6 แห่ง วันที่ 12 ธันวาคม 2550 ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ในคดีที่ ส.ป.ก. เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องขับไล่ บันลือ ตันติวิท อดีตนายก อบจ. ภูเก็ต ออกจากที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ในตำ�บลป่าตอง อำ�เภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต เนื้อที่ประมาณ 69 ไร่ เนื่องจากจำ�เลยขาดคุณสมบัติการเป็นเกษตรกร นอกจากนี้ยังมีที่ดินทํากินเป็นของตัวเองอยู่แล้วจำ�นวน 108 แปลง และประกอบอาชีพค้าขาย เป็นหลัก วันที่ 22 เมษายน 2551 ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ในคดีที่ ส.ป.ก. เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องขับไล่ วิภาพรรณ ชูทรัพย์ ผู้บริหารสถานศึกษาเอกชน ออกจากที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 จำ�นวน 4 แปลง ในพื้นที่หมู่ 4 ตำ�บลป่าตอง อำ�เภอกะทู้ ในเขตป่าเทือกเขานาคเกิด เนื้อที่รวม 57 ไร่ ขณะที่ สุเทพและนิพนธ์ไม่เคยถูกฟ้องร้องดำ�เนินคดีเกี่ยวกับการออกเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. 4-01 แต่อย่างใด และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 113
  • 97. เอกสารอ้างอิง • กฤษฎีกาไม่ตีความ ส.ป.ก. หวั่นเป็น ชนวน ‘ชวน’ พัง, หนังสือพิมพ์ มติชน. 13 ธันวาคม 2537. • แฉแจกที่ดินเศรษฐีภูเก็ต คนจนน้ำ�ลาย สอ ไร่ละล้าน, หนังสือพิมพ์ มติชน. 21 พฤศจิกายน 2537. • แฉ ‘ส.ส.อัญชลี’ ล็อบบี้ปฏิรูปที่ดินภูเก็ต, หนังสือพิมพ์ มติชน. 22 พฤศจิกายน 2537. • ส่งมติแจกที่ดินเศรษฐีตีความ ทน ส.ป.ก. อัปยศไม่ไหว ‘บิ๊ก’ สภาพัฒน์ออก, หนังสือพิมพ์ มติชน. 10 ธันวาคม 2537. ผลกระทบต่อ ประชาชน • จากการตรวจสอบพบว่า มีพื้นที่ป่าสมบูรณ์ปะปนอยู่ใน เขตปฏิรูปที่ดิน การดำ�เนินนโยบายปฏิรูปที่ดินของรัฐบาล ขณะนั้นจึงส่งผลเสียต่อการอนุรักษ์พื้นที่ป่าของประเทศ • การเร่งรัดการออกเอกสารสิทธิ์ ทำ�ให้นายทุนและผู้มี อิทธิพลบุกรุกพื้นที่สาธารณประโยชน์ของชุมชนเพื่อผลักดัน ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ทำ�ให้ชาวบ้านในชุมชนสูญเสียแหล่ง อาหารและแหล่งรายได้ ภาคผนวก พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรรม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2532 มาตรา 30 วรรค 5 บรรดาที่ดินที่ ส.ป.ก. ได้มา ถ้าเป็นที่ดินของรัฐ และมีเกษตรกรถือครองอยู่แล้วเกินจำ�นวนที่กำ�หนด ในวรรคหนึ่งก่อนเวลาที่คณะกรรมการกำ�หนด เมื่อ เกษตรกรดังกล่าวยื่นคำ�ร้องและยินยอมชำ�ระค่าเช่า หรือค่าชดเชยที่ดินในอัตราหรือจำ�นวนที่เพิ่มขึ้นตาม ที่คณะกรรมการกำ�หนด สำ�หรับที่ดินส่วนที่เกินตาม วรรคหนึ่ง ให้คณะกรรมการจัดที่ดินให้เกษตรกร เช่าหรือจัดให้ แล้วแต่กรณี ตามจำ�นวนที่เกษตรกร ถือครองได้ แต่เมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกินหนึ่งร้อย ไร่ ในการกำ�หนดอัตราค่าเช่าหรือค่าชดเชยที่ดิน ดังกล่าว ต้องคำ�นึงถึงระยะเวลาและวิธีการที่ เกษตรกรได้ที่ดินนั้นมา ความสามารถในการทำ� ประโยชน์ ประเภทของเกษตรกรรม และการทำ� ประโยชน์ที่ได้ทำ�ไว้แล้วในที่ดินนั้น เมนูคอร์รัปชัน114
  • 98. พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มาตรา 4 ‘การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม’ หมายความว่า การปรับปรุงเกี่ยวกับสิทธิและการถือครองในที่ดินเพื่อ เกษตรกรรม รวมตลอดถึงการจัดที่อยู่อาศัยในที่ดินเพื่อ เกษตรกรรมนั้น โดยรัฐนำ�ที่ดินของรัฐ หรือที่ดินที่รัฐจัดซื้อ หรือเวนคืนจากเจ้าของที่ดิน ซึ่งมิได้ทำ�ประโยชน์ในที่ดิน นั้นด้วยตนเอง หรือมีที่ดินเกินสิทธิตามพระราชบัญญัตินี้ เพื่อจัดให้แก่เกษตรกรผู้ไม่มีที่ดินของตนเองหรือเกษตรกร ที่มีที่ดินเล็กน้อย ไม่เพียงพอแก่การครองชีพ และสถาบัน เกษตรกรได้เช่าซื้อ เช่า หรือเข้าทำ�ประโยชน์ โดยรัฐให้ความ ช่วยเหลือในการพัฒนาอาชีพ เกษตรกรรม การปรับปรุง ทรัพยากร และปัจจัยการผลิต ตลอดจนการผลิตและการ จำ�หน่ายให้เกิดผลดียิ่งขึ้น พระราชกฤษฎีกากำ�หนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขในการเป็นเกษตรกร พ.ศ. 2535 มาตรา 3 บุคคลซึ่งอยู่ในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขข้อใด ข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ให้ถือว่าเป็นเกษตรกร (1) ผู้ยากจน ซึ่งหมายถึงผู้มีรายได้ไม่สูงกว่าอัตรา รายได้ที่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมกำ�หนด รายได้ตาม (1) ให้หมายความรวมถึงสิทธิหรือ ประโยชน์อื่นที่สามารถคำ�นวณเป็นตัวเงินได้ด้วย (2) ผู้จบการศึกษาทางเกษตรกรรม ซึ่งหมายถึงผู้ที่ จบการศึกษาไม่ต่ำ�กว่าระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพหรือ เทียบเท่าในประเภทวิชาเกษตรกรรม (3) บุตรของเกษตรกร ซึ่งหมายถึงบุตรโดยชอบด้วย กฎหมายของผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ทั้งนี้ บุคคลดังกล่าวต้องไม่มีอาชีพอันมีรายได้ ประจำ�เพียงพอแก่การยังชีพอยู่แล้ว ไม่มีที่ดินเพื่อ เกษตรกรรมเป็นของตนเอง และประสงค์จะประกอบ อาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 115
  • 99. สถานะ ตัวอยางคดีที่ศาลฎีกา มีคำพิพากษาแลว วันที่ 7 มิถุนายน 2550 ศาลฎีกาพิพากษาขับไลนายทศพร เทพบุตร สามีของนางอัญชลี วานิช เทพบุตร ส.ส. พรรค ประชาธิปตย ออกจากที่ดิน ในตำบลกะรน อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต (เน�้อที่ 99 ไร) วันที่ 21 มิถุนายน 2550 ศาลฎีกาพิพากษาขับไล นายเจริญ ถาวรวองวงศ ผูประกอบธุรกิจโรงแรมรายใหญ ออกจากที่ดินในอำเภอกะทู และอำเภอเมืองภูเก็ต 2 แปลง (เน�้อที่ประมาณ 16 ไร) วันที่ 12 ธันวาคม 2550 ศาลฎีกาพิพากษาขับไล นายบันลือ ตันติวิท อดีตนายก อบจ. ภูเก็ต ออกจากที่ดิน ในตำบลปาตอง อำเภอกะทู จังหวัดภูเก็ต (เน�้อที่ประมาณ 69 ไร) วันที่ 22 เมษายน 2551 ศาลฎีกาพิพากษาขับไล นางวิภาพรรณ ชูทรัพย ผูบริหารสถานศึกษาเอกชน ออกจากที่ดินในตำบลปาตอง อำเภอกะทู จังหวัดภูเก็ต (เน�้อที่ 57 ไร) สวนนายนิพนธ พรอมพันธุ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รมว. และ รมช. เกษตรฯ ในขณะนั้น ไมเคยถูกฟองรอง ดำเนินคดีเกี่ยวกับการออก เอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. 4-01 ส.ป.ก. 4-01: อŒางกฎหมาย แจกที่ดินใหŒเศรษฐี 19 เจตนารมณของกฎหมายปฏิรูปที่ดินฯ คือการช‹วยเหลือเกษตรกรที่ไม‹มีที่ดิน หร�อมีที่ดินไม‹เพ�ยงพอแก‹การดำรงชีพ แต‹การแจกเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. 4-01 ในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย กลับกลายเปšนว‹ามีเศรษฐีจำนวนหนึ่ง ไดŒรับเอกสารสิทธิ์ แมŒผูŒเกี่ยวขŒองอŒางว‹า มีคนรวยไดŒรับเอกสารสิทธิ์เพ�ยงไม‹กี่คน “เพราะกฎหมายมีช‹องใหŒ” แต‹ขŒออŒางดังกล‹าว ก็ฟ�งไม‹ข�้น จนกระทั่งรัฐมนตร�ตŒองลาออก จากตำแหน‹ง เพราะไม‹สามารถตอบไดŒว‹าเหตุใด เศรษฐีและคนที่ไม‹ไดŒเปšนเกษตรกรจร�ง จ�งไดŒรับเอกสารสิทธิ์ ผลกระทบต‹อ ประชาชน • จากการตรวจสอบ พบวามีพื้นที่ ปาสมบูรณปะปนอยูในเขต ปฏิรูปที่ดิน นโยบายการปฏิรูป ที่ดินที่ดำเนินการไปจึงสงผลเสีย ตอการอนุรักษพื้นที่ปาของประเทศ • การเรงรัดการออกเอกสารสิทธิ์ ทำใหนายทุนและผูมีอิทธิพล บุกรุกพื้นที่สาธารณประโยชน ของชุมชนเพื่อผลักดันใหเปนเขต ปฏิรูปที่ดิน ทำใหชาวบาน ในชุมชนสูญเสียแหลงอาหาร และแหลงรายได การที่คนรวยมีชื่อเขŒามามาก เพราะกฎหมายมีช‹องใหŒ เกษตรกรผูŒไม‹มีที่ดิน ของตนเองหร�อเกษตรกร ที่มีที่ดินเล็กนŒอยไม‹เพ�ยงพอ แก‹การครองชีพ และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 117116
  • 100. 21 ‘โฮปเวลล์’ กับค่าโง่ เสาตอม่อ 9,000 ล้าน ปูมหลัง โครงการ ‘ระบบการขนส่งทางรถไฟและถนนยกระดับในกรุงเทพมหานคร’ (Bangkok Elevated Road and Train System: BERTS) เป็นโครงการที่เกิดขึ้นสมัย มนตรี พงษ์พานิช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งให้สัมปทานแก่เอกชนในการก่อสร้างทางรถไฟและถนน ยกระดับ โดยแลกเปลี่ยนกับการใช้ประโยชน์จากที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เดือนตุลาคม 2532 กระทรวงคมนาคมออกประกาศเชิญชวนและพิจารณาคัดเลือกเอกชน โดยมีเอกชนเพียงรายเดียวที่ยื่นเอกสารข้อเสนอ คือ บริษัท โฮปเวลล์ โฮลดิ้ง ฮ่องกง จำ�กัด จึง เป็นที่มาของชื่อ ‘โครงการโฮปเวลล์’ ที่รู้จักกันดี เดือนมีนาคม 2533 คณะรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ มีมติรับทราบ ผลการคัดเลือกเอกชนเข้าดำ�เนินโครงการ ก่อนจะมีการทำ�สัญญาในเดือนพฤศจิกายน 2533 โดย บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำ�กัด ในฐานะคู่สัญญาฝ่ายเอกชน ได้รับสัมปทานในการประกอบ กิจการเดินรถไฟบนรางยกระดับ ระบบขนส่งทางถนนยกระดับ และเก็บค่าผ่านทาง ระยะทางรวม ประมาณ 60 กิโลเมตร และสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์จากที่ดินของ รฟท. ประมาณ 630 ไร่ มูลค่า รวมของโครงการประมาณ 80,000 ล้านบาท ภายใต้อายุสัมปทาน 30 ปี เมนูคอร์รัปชัน118
  • 101. เส้นทางผลประโยชน์ โครงการโฮปเวลล์เกิดขึ้นก่อนการบังคับใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงาน หรือดำ�เนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 การอนุมัติโครงการจึงเป็นไปอย่างรวดเร็วและรวบรัด ทั้งๆ ที่แผนงานยังไม่มีความชัดเจน นอกจากนี้ สัญญาสัมปทานระหว่างรัฐและเอกชนยังหละหลวม โดยเฉพาะการบังคับให้เป็น ไปตามสัญญาและการบอกเลิกสัญญา ซึ่งท้ายที่สุดบริษัท โฮปเวลล์ ไม่สามารถดำ�เนินการก่อสร้าง ได้ตามแผนงาน ยิ่งไปกว่านั้น การบอกเลิกสัญญายังทำ�ให้รัฐต้องจ่ายชดเชยค่าเสียหายให้แก่บริษัท โฮปเวลล์ ด้วย แผนงานก่อสร้างโครงการโฮปเวลล์แบ่งเป็น 5 ระยะ ระยะทางรวมทั้งหมด 60.1 กิโลเมตร ประกอบด้วย ช่วงที่ 1 ยมราช-ดอนเมือง ระยะทาง 18.8 กิโลเมตร ระยะเวลาก่อสร้าง 4 ปี กำ�หนดเสร็จ 5 ธันวาคม 2538 ช่วงที่ 2 ยมราช-หัวลำ�โพง-หัวหมาก และมักกะสัน-แม่น้ำ�เจ้าพระยา ระยะทาง 18.5 กิโลเมตร ระยะเวลาก่อสร้าง 5 ปี กำ�หนดเสร็จ 5 ธันวาคม 2539 ช่วงที่ 3 ดอนเมือง-รังสิต ระยะทาง 7 กิโลเมตร ระยะเวลาก่อสร้าง 6 ปี กำ�หนดเสร็จ 5 ธันวาคม 2540 ช่วงที่ 4 หัวลำ�โพง-วงเวียนใหญ่ และยมราช-บางกอกน้อย ระยะทาง 6.7 กิโลเมตร ระยะ เวลาก่อสร้าง 7 ปี กำ�หนดเสร็จ 5 ธันวาคม 2541 ช่วงที่ 5 วงเวียนใหญ่-โพธินิมิตร และ ตลิ่งชัน-บางกอกน้อย ระยะทาง 9.1 กิโลเมตร ระยะ เวลาก่อสร้าง 8 ปี กำ�หนดเสร็จ 5 ธันวาคม 2542 อย่างไรก็ตาม การก่อสร้างโครงการโฮปเวลล์เป็นไปอย่างล่าช้า เพราะปัญหาสำ�คัญ 2 ประการคือ 1. ปัญหาเรื่องเงินทุน แหล่งเงินกู้ หลักทรัพย์ค้ำ�ประกันสัญญา และ 2. ปัญหาเรื่อง แบบก่อสร้าง เช่น ระยะห่างระหว่างรางรถไฟกับไหล่ทางมีน้อยเกินไป เพราะข้อจำ�กัดของพื้นที่ และไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัยสากล ทั้ง 2 ปัญหาสะท้อนให้เห็นถึงความไม่รอบคอบในการอนุมัติโครงการและการดำ�เนินโครงการ รวมถึงการทุจริต โดยมีรายงานข่าวว่าผู้บริหารบริษัท โฮปเวลล์ ต้องจ่ายเงินสินบนให้แก่ผู้มีอำ�นาจ ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนรัฐบาลหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อให้สามารถดำ�เนินโครงการ ต่อไปได้ แต่ที่สุดแล้วโครงการก็หยุดชะงัก ทิ้งโครงสร้างบางส่วนที่ดำ�เนินการค้างไว้ ในปี 2540 หลังดำ�เนินการก่อสร้าง 6 ปีเศษ โครงการโฮปเวลล์มีความคืบหน้าเพียงร้อยละ 13.77 จากแผนงานที่กำ�หนดไว้ร้อยละ 89.75 วันที่ 30 กันยายน 2540 คณะรัฐมนตรีในสมัย และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 119
  • 102. รัฐบาลชวน หลีกภัย จึงมีมติ ให้บอกเลิกสัญญาสัมปทาน ดังกล่าว และวันที่ 20 มกราคม 2541 กระทรวงคมนาคมจึง บอกเลิกสัญญาสัมปทานอย่าง เป็นทางการ หลังบอกเลิกสัญญา รฟท. ถือว่าโครงสร้างทุกอย่าง เป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟท. และ พยายามนำ�โครงสร้างที่สร้าง เสร็จแล้วมาพัฒนาต่อ โดย จะนำ�โครงสร้างบางส่วนมา ใช้ประโยชน์ในการก่อสร้าง รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง เข้ม ช่วงบางซื่อ-รังสิต เมื่อบริษัท โฮปเวลล์ เห็นว่าการที่ รฟท. เข้ามา ใช้ประโยชน์จากโครงการ ก่อสร้างเดิมนั้น ถือเป็นการ ยึดหรือเวนคืนระบบหรือพื้นที่ สัมปทาน จึงเสนอข้อพิพาทต่อ คณะอนุญาโตตุลาการ เรียกค่า เสียหายจากการยกเลิกสัญญา จากกระทรวงคมนาคมและ รฟท.เป็นเงิน59,000ล้านบาท ก่อนจะมีการแก้ไขข้อพิพาท โดยเรียกร้องค่าชดเชย 28,000 ล้านบาท เพื่อให้กลับคืน สู่สถานะเดิมก่อนทำ�สัญญา สัมปทาน1 1  คำ�สั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ค. 2/2551 สถานะของคดี คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยชี้ขาดเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2551 ว่ากระทรวง คมนาคมและ รฟท. ดำ�เนินการบอกเลิกสัญญาโดยไม่เป็นไปตามขั้นตอนตามที่ระบุใน สัญญาสัมปทาน ทำ�ให้ต้องกลับคืนสู่สถานะเดิม โดยให้จ่ายเงินชดเชยแก่บริษัท โฮปเวลล์ เนื่องจากการบอกเลิกสัญญาไม่เป็นธรรม เป็นเงิน 11,900 ล้านบาท ประกอบด้วย 1. เงินค่าก่อสร้าง 9,000 ล้านบาท 2. เงินค่าตอบแทนจากการใช้ประโยชน์ที่ดินที่บริษัทชำ�ระ ไปแล้ว 2,850 ล้านบาท และ 3. เงินค่าออกหนังสือค้ำ�ประกัน 38.75 ล้านบาท พร้อม ดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี รวมถึงคืนหนังสือค้ำ�ประกันมูลค่า 500 ล้านบาทให้แก่บริษัท ผลกระทบต่อประชาชน • ประชาชนเสียโอกาสจากการขาดระบบคมนาคมขนส่งที่จะช่วยลดปัญหาการจราจร ซึ่งนับจากเวลาที่โครงการควรจะแล้วเสร็จ (ปลายปี 2542) จนถึงปัจจุบัน กินเวลา กว่า 15 ปี • พื้นที่ก่อสร้างโครงการที่ไม่เสร็จสมบูรณ์และขาดการดูแลอาจก่อให้เกิดอันตราย เช่น เมื่อเดือนมีนาคม 2555 เกิดเหตุการณ์ชานชาลาบริเวณวัดเสมียนนารีถล่มลงมาทับ รางรถไฟที่อยู่ด้านล่าง • รฟท. ต้องจ่ายค่าก่อสร้างให้บริษัทโฮปเวลล์ราว 9,000 ล้านบาท และดอกเบี้ยอีก ร้อยละ 7.5 ต่อปี โดยแทบไม่ได้ใช้ประโยชน์จากโครงการก่อสร้าง • กระทรวงคมนาคมต้องเสียงบประมาณอีกประมาณ 200 ล้านบาท เพื่อรื้อถอนเสา ตอม่อโครงการโฮปเวลล์เนื่องจากพื้นที่โครงการซ้ำ�ซ้อนกับโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า สายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต เมนูคอร์รัปชัน120
  • 103. เอกสารอ้างอิง • ช็อก! ชี้ขาดรถไฟพ่าย ‘โฮปเวลล์’, หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ, 11 พฤศจิกายน 2551. • ระทึก!! คานโครงการโฮปเวลล์ถล่ม, หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก, 1 มีนาคม 2555. • เริ่มรื้อถอน ‘โฮปเวลล์’ สร้างรถไฟฟ้าสายสีแดง, ไทยพีบีเอส, 8 พฤษภาคม 2556. • ประสงค์ วิสุทธิ์, ‘ค่าโง่’ โฮปเวลล์-รถดับเพลิง ‘ชั่ว’ ซ้ำ�ซากของนักการเมืองขี้ฉ้อ, หนังสือพิมพ์ มติชน, 14 พฤศจิกายน 2551. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 121
  • 104. บันได 4 ขั้น 01 02 03 04 กระทรวงคมนาคมอนุมัติ โครงการโฮปเวลลอยางรวบรัด ทั้งที่แผนงานยังไมมีความ ชัดเจน และรางสัญญาอยาง หละหลวม โครงการโฮปเวลลมีปญหา ทั้งดานการกอสรางและแหลง เงินทุน ทำใหโครงการลาชา และรัฐบาลชุดตอๆ มาก็ ปลอยปละละเลย โดยไมบังคับ ใหเอกชนปฏิบัติตามสัญญา โครงการโฮปเวลลไมมีทีทา วาจะแลวเสร็จ กระทรวง คมนาคมจึงบอกเลิกสัญญา แตมิไดปฏิบัติตามขั้นตอน จึงถูกเอกชนฟองรอง เรียกคาเสียหาย กระทรวงคมนาคมและ การรถไฟฯ ตองจายเงิน ชดเชยคากอสรางประมาณ 9,000 ลานบาท โครงการโฮปเวลล: ค‹าโง‹เสาตอม‹อ 9,000 ลŒาน 21 โครงการโฮปเวลลเปšนอีกหนึ่งตัวอย‹างของ การรวบรัดทำสัญญา ซึ่งนอกจากทำใหŒโครงการ ตŒองยุติกลางคัน รัฐยังตŒองจ‹ายเง�นชดเชย ค‹าเสียหายใหŒกับเอกชน ป˜ญหาของโครงการโฮปเวลลคือเร�่องเง�นทุน และแบบก‹อสรŒาง ซึ่งเปšนผลมาจากการอนุมัติ โครงการอย‹างไม‹รอบคอบ โดยโครงการ มีความคืบหนŒาเพ�ยง 13.77% จากแผนงาน ที่กำหนดไวŒ 89.75% ในวันที่รัฐบาลบอกเลิก สัญญาสัมปทาน หลังจากนั้น คณะอนุญาโตตุลาการว�นิจฉัยว‹า กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฯ บอกเลิก สัญญาโดยไม‹เปšนไปตามขั้นตอน ทำใหŒตŒอง จ‹ายเง�นชดเชยแก‹บร�ษัทโฮปเวลลเปšนเง�น 1.19 หมื่นลŒานบาท โดยไดŒกลับมาเพ�ยงอนุสาวร�ย เสาตอม‹อเหนือรางรถไฟ ซึ่งตŒองมีตŒนทุน ในการร�้อถอนอีก มูลค‹า ความเสียหาย ค‹าชดเชยค‹าก‹อสรŒาง 9,000ลŒานบาท และดอกเบี้ยอีก 7.5%ต‹อป‚ ค‹าร�้อถอนเสาตอม‹อ 200ลŒานบาท ผลกระทบต‹อ ประชาชน • ประชาชนเสียโอกาสจากการ ขาดระบบคมนาคมขนสง ที่จะชวยลดปญหาการจราจร ซึ�งนับจากเวลาที่โครงการควรจะ แลวเสร็จ (ปลายป 2542) จนถึง ปจจุบัน ก็เปนเวลากวา 15 ป • พื้นที่กอสรางโครงการที่ไมเสร็จ สมบูรณและขาดการดูแลอาจ กอใหเกิดอันตราย ดังเชนเมื่อเดือน มีนาคม 2555 ที่เกิดเหตุการณ ชานชาลาบริเวณวัดเสมียนนารี ถลมลงมาทับรางรถไฟ • กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฯ ตองจายคืนคากอสรางใหบริษัท โฮปเวลลราว 9,000 ลานบาท และดอกเบี้ยอีก 7.5% ตอป • กระทรวงคมนาคมตองเสีย งบประมาณอีกประมาณ 200 ลานบาท เพื่อรื้อถอนเสาตอมอ โครงการ เน��องจากพื้นที่โครงการ ซ้ำซอนกับโครงการกอสราง รถไฟฟาสายสีแดงชวงบางซื่อ- รังสิต และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 123122
  • 105. 20 ประมูลกล้ายาง บนความทุกข์ เกษตรกร ปูมหลัง รัฐบาลภายใต้การนำ�ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีนโยบายให้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำ�เนินโครงการส่งเสริมปลูกยางพารา เพื่อยกระดับรายได้เกษตรกร ระยะที่ 1 พ.ศ. 2547-2549 โดย มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับรายได้และสร้างความมั่นคงให้แก่ เกษตรกร เนวิน ชิดชอบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ในขณะ นั้น ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มโครงการ ระบุว่า เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ จะมีรายได้เพิ่มขึ้นครอบครัวละประมาณ 20,000-34,000 บาท ประเทศไทยจะมีผลผลิตยางเพิ่มขึ้น 220,000 ตันต่อปี ภาครัฐ จะมีรายได้จากค่าธรรมเนียมการส่งออกยางเพิ่มขึ้นประมาณ 198- 308 ล้านบาท โครงการนี้ใช้เงินประมาณ 1,440 ล้านบาท เพื่อผลิตพันธุ์ ยางแจกจ่ายพันธุ์ยางให้แก่เกษตรกร 90 ล้านต้น โดยมีเป้าหมาย ขยายพื้นที่ปลูกยางจำ�นวน 1 ล้านไร่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ กระทรวงเกษตรฯ ได้ให้กรมวิชาการเกษตรดำ�เนิน การประมูลราคาจัดหาผู้รับจ้างผลิตกล้ายาง 90 ล้านต้น ภายใน 3 ปี โดยกำ�หนดราคากลางไว้ที่ 1,440 ล้านบาท และให้ธนาคาร เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดสรรเงินกู้ 5,360 บาทต่อไร่แก่เกษตรกร เพื่อเป็นเงินทุนสำ�หรับการเตรียม พื้นที่เพาะปลูกและดูแลรักษาสวนยาง อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ส่อเค้าว่าน่าจะมีการหาประโยชน์ ร่วมกันระหว่างนักการเมือง ข้าราชการ และบริษัทเอกชน โดย เมนูคอร์รัปชัน124
  • 106. มีความผิดปกติหลายประการ ทั้งการกำ�หนดหลักเกณฑ์คุณสมบัติของผู้เข้าร่วมประมูล การจัด ประมูล และการทำ�สัญญา รวมทั้งพฤติกรรมของข้าราชการระดับสูงในกรมวิชาการเกษตร ซึ่งถูก กล่าวหาว่าปกป้องผลประโยชน์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตร ที่เป็น ผู้ชนะการประมูลผู้รับจ้างผลิตกล้ายาง โดยท้ายที่สุด บริษัทยักษ์ใหญ่ดังกล่าว ถูกครหาว่า ไม่สามารถส่งมอบกล้ายางที่มีคุณภาพได้ตามกำ�หนด ทำ�ให้เกษตรกรได้รับความเสียหาย เส้นทางผลประโยชน์ โครงการนี้ถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีความผิดปกติตั้งแต่ขั้นตอน การกำ�หนดหลักเกณฑ์คุณสมบัติของผู้เข้าร่วมประมูล ซึ่งเอื้อ ประโยชน์แก่บริษัทเอกชนรายใหญ่ที่ไม่มีประสบการณ์ในการ ผลิตกล้ายาง เนื่องจากหลักเกณฑ์คุณสมบัติของผู้เข้าร่วมประมูล ที่กรมวิชาการเกษตรกำ�หนดนั้นกีดกันเกษตรกรรายย่อยและ สหกรณ์การเกษตรซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการเพาะปลูกกล้า ยาง แต่มีเงินทุนจำ�กัด โดยกำ�หนดว่าผู้เข้าร่วมประมูลต้องเป็น นิติบุคคลและมีทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ� 5 ล้านบาท และต้องวาง เงินมัดจำ�สัญญาสูงถึง 72 ล้านบาท รวมทั้งกำ�หนดว่าการประมูล จะต้องมีผู้ชนะเพียงรายเดียวและต้องนำ�ส่งกล้ายางถึง90ล้านต้น หลักเกณฑ์คุณสมบัติดังกล่าวจึงเอื้อประโยชน์แก่บริษัทใหญ่ ที่มีเงินทุนมาก แต่ไม่มีประสบการณ์ในการผลิตกล้ายาง โดย กำ�หนดเพียงว่าผู้เข้าร่วมประมูลต้องมีอาชีพจำ�หน่ายพันธุ์พืช อย่างต่อเนื่องไม่ต่ำ�กว่า 5 ปี แต่ไม่กำ�หนดว่าต้องมีประสบการณ์ ในการผลิตและจำ�หน่ายพันธุ์ยางที่ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการ เกษตร ที่ปรึกษาสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย ตั้งข้อสังเกตว่า บริษัทผู้เข้าร่วมประมูล โดยเฉพาะบริษัทเอกชน รายใหญ่นั้น มีลักษณะเป็นนายหน้าซื้อขายกล้ายางมากกว่าเป็น ผู้รับจ้างผลิตกล้าต้นยางชำ�ถุงตามที่กำ�หนดไว้ในเงื่อนไขการ ประมูล เพราะหลักเกณฑ์คุณสมบัติกำ�หนดว่า ผู้เสนอราคาต้องมี พื้นที่แปลงกล้ายางที่ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตรไม่ต่ำ�กว่า 1,000 ไร่ แปลงกิ่งตายางไม่น้อยกว่า 200 ไร่ และมีต้นกิ่งตายาง พันธุ์ดีตามที่กรมวิชาการเกษตรแนะนำ�ไม่น้อยกว่า 120,000 ต้น แต่กรมวิชาการเกษตรยินยอมให้ผู้เข้าประมูลเช่าแปลงกล้ายาง หรือซื้อกิ่งพันธุ์ที่ขึ้นทะเบียนจากเกษตรกรได้ ที่สำ�คัญการประมูลยังถูกตั้งข้อสงสัยว่าผิดกฎหมายฮั้ว ประมูล เพราะบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่รายหนึ่งมีผลประโยชน์ ร่วมกับบริษัทอีก 2 แห่ง ที่ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติเข้าร่วม ประมูล โดยหนังสือพิมพ์ มติชน ตรวจสอบข้อมูลการจดทะเบียน พบว่า กรรมการบางคนในบริษัททั้ง 3 แห่ง เป็นกรรมการร่วมกัน ในบริษัทอื่นหรือถือหุ้นไขว้กันในบริษัทอื่น ด้วยเหตุดังกล่าว สำ�นักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จึงขอให้สำ�นักงานอัยการ สูงสุดพิจารณาว่าการประมูลผิดจริงหรือไม่ โดยสำ�นักงานอัยการ สูงสุดเห็นว่า การประมูลโครงการนี้ถือเป็นโมฆียะ ซึ่งหมายความ ว่าการประมูลดังกล่าวน่าจะเข้าข่ายผิดกฎหมาย แต่ไม่ร้ายแรง กระทรวงเกษตรฯ สามารถเลือกดำ�เนินการหรือเลิกการทำ� สัญญาได้ ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าการประมูลยังไม่มีการแข่งขันเสนอ ราคาอย่างที่ควรจะเป็น โดยบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่เสนอราคา ประมูลที่ 1,435 ล้านบาท และเป็นเพียงบริษัทเดียวที่เสนอราคา ต่ำ�กว่าราคากลางที่ 1,440 ล้านบาท และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 125
  • 107. สตง.ตั้งข้อสังเกตว่าการประมูลนี้อาจตั้งราคากลางสูงเกินไป จนเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ผู้ชนะการประมูล แม้ว่ากระทรวง เกษตรฯ จะเจรจาต่อรองกับบริษัทเอกชนดังกล่าวและตกลงราคา เหลือ 1,397 ล้านบาท หรือคิดเป็น 15.53 บาทต่อต้น แต่ใน ช่วงเวลาดังกล่าว ราคาตลาดของต้นกล้ายาง (เมื่อรวมต้นทุนค่า ขนส่งแล้ว) อยู่ที่ประมาณ 11-12 บาทเท่านั้น ทั้งนี้ มีรายงาน ข่าวจากหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ ว่า บริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ด้าน การเกษตรทำ�สัญญาซื้อต้นยางชำ�ถุงจากสหกรณ์ผลิตยางพันธุ์ดี ภาคใต้ จำ�กัด เพียงต้นละ 11.50 บาท นั่นเท่ากับว่า บริษัท เอกชนรายนั้นจะได้ประโยชน์จากการเป็นนายหน้าซื้อขายกล้ายาง ประมาณต้นละ 4 บาท ในขั้นตอนการทำ�สัญญา กรมวิชาการเกษตรกำ�หนดการ ส่งมอบต้นยางชำ�ถุงบางส่วน ภายหลังเดือนพฤษภาคมถึงเดือน กรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำ�หรับการปลูกยางพารา ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยในปี 2547 ให้ส่ง มอบกล้ายางทั้งหมด 18 ล้านต้น แบ่งเป็น 1.8 ล้านต้นในเดือน พฤษภาคม 7.2 ล้านต้นในเดือนมิถุนายน 7.2 ล้านต้นในเดือน กรกฎาคม และอีก 1.8 ล้านต้นในเดือนสิงหาคม ที่สำ�คัญคือเมื่อบริษัทที่เป็นผู้ชนะการประมูลส่งมอบกล้ายาง ช้ากว่ากำ�หนด โดยส่งมอบได้เพียง 920,000 ต้นใน 2 เดือน แรก และส่งมอบอีก 9.8 ล้านต้นใน 2 เดือนหลัง แต่กรมวิชาการ เกษตรกลับส่งหนังสือยินยอมให้บริษัทส่งมอบกล้ายางในช่วงครึ่ง แรกของเดือนกันยายน ทั้งที่ตามเงื่อนไขในสัญญา บริษัทควรส่ง หนังสือขอขยายเวลาการส่งมอบและเหตุผลของการส่งมอบล่าช้า ให้กรมวิชาการเกษตรพิจารณา อีกทั้งกรมวิชาการเกษตรอ้าง ว่าการขยายเวลาดังกล่าวเป็นไปตามความต้องการของเกษตรกร และตั้งเงื่อนไขว่าหากกล้ายางล้มตาย บริษัทจะต้องส่งมอบ กล้ายางใหม่เป็นการชดเชย ทั้งที่กรมวิชาการเกษตรควรแนะนำ� เกษตรกรว่าไม่ควรปลูกกล้ายางนอกฤดูฝน นอกจากนี้ แม้ว่าการส่งมอบล่าช้าเป็นการเพิ่มความเสี่ยง ที่กล้ายางจะตาย และเป็นผลเสียต่อเกษตรกร แต่กระทรวง เกษตรฯ กลับกำ�หนดอัตราค่าปรับสำ�หรับการส่งมอบล่าช้าเพียง ร้อยละ 0.01 ของมูลค่ากล้ายางค้างส่งต่อวัน ขณะที่บริษัท ทำ�สัญญาจ้างผู้รับเหมาผลิตกล้าต้นยางชำ�ถุง โดยคิดค่าปรับ ถึงร้อยละ 0.75 ต่อวัน บริษัทยักษ์ใหญ่ดังกล่าวไม่เพียงส่งมอบล่าช้า แต่ยังส่ง ต้นกล้ายางคุณภาพต่ำ�กว่าที่กำ�หนดในสัญญา ดังที่เกษตรกร และหน่วยงานผู้เกี่ยวข้องกับการปลูกยาง1 ให้สัมภาษณ์กับ หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ ว่า ต้นกล้ายางที่บริษัทส่งมอบมีขนาดเล็ก ลำ�ต้นไม่แข็งแรง และไม่มีรากแก้ว ทั้งที่สัญญาระบุว่าต้นกล้าต้อง มีรากแก้วไม่ต่ำ�กว่า 20 เซนติเมตร และบริษัทยังส่งมอบ ‘กล้ายาง ตาสอย’ ซึ่งใช้เวลาเพาะปลูก 3 เดือน ไม่ตรงตามหลักวิชาการ ของกรมวิชาการเกษตร อีกทั้งให้น้ำ�ยางค่อนข้างน้อย โดยปลัด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงพื้นที่ในจังหวัดตรังซึ่งเป็นแหล่ง ผลิตและขายกล้ายางให้บริษัท พบว่า เกษตรกรปลูกยางตาสอย เป็นจำ�นวนมาก และมีคนอ้างตัวว่าเป็นนายหน้าของบริษัทมาซื้อ กล้ายางตาสอยจากแปลงเพาะชำ�ทั้งที่ขึ้นและไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับ กรมวิชาการเกษตร เพื่อส่งกล้ายางให้ทันตามกำ�หนด นอกจากนี้ การรับมอบยังมีปัญหาการตรวจสอบคุณภาพ กล้ายาง เช่น เจ้าหน้าที่สำ�นักงานกองทุนสงเคราะห์สวนยาง (สกย.) จังหวัดอุดรธานี ยอมรับว่า กล้ายางที่บริษัทส่งมอบให้นั้น ไม่มีคุณภาพ แต่ สกย. ต้องลงนามรับ เพราะโครงการนี้เป็น นโยบายของรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ของกรมวิชาการเกษตรลงนาม รับมอบแล้ว แม้เกษตรกรและหน่วยงานต่างๆ ยืนยันว่า กล้ายางจำ�นวน มากล้มตาย เพราะการส่งมอบล่าช้าและกล้ายางไม่มีคุณภาพ แต่ เจ้าหน้าที่ของรัฐเองกลับปกป้องผลประโยชน์ของบริษัทเอกชน มากกว่าภาครัฐและเกษตรกร เช่น ข้าราชการระดับสูงของกรม วิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรฯ อ้างว่า หนึ่ง-ต้นกล้ายางชำ� ถุงที่มีคุณภาพไม่จำ�เป็นต้องมีรากแก้ว ทั้งที่สัญญากำ�หนดว่า ต้นกล้ายางต้องมีรากแก้วไม่ต่ำ�กว่า20เซนติเมตรสอง-โครงการนี้ ไม่มีกล้ายางตาสอย แต่สุดท้ายกรมวิชาการเกษตรก็ได้ตรวจสอบ แปลงเพาะปลูกและอายัดกล้ายางตาสอย และยังมีการอ้างว่าเหตุ ที่กล้ายางล้มตาย ไม่ใช่เพราะบริษัทส่งกล้ายางล่าช้า แต่เนื่องจาก ภัยแล้งและความไม่เชี่ยวชาญในการเพาะปลูกของเกษตรกร 1  เช่น สำ�นักงานกองทุนสงเคราะห์การทำ�สวนยาง ศูนย์ปฏิบัติการสงเคราะห์สวนยาง ในจังหวัดต่างๆ สมาคมสมาพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย ชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนยาง แห่งประเทศไทย เมนูคอร์รัปชัน126
  • 108. พร้อมทั้งของบประมาณจากกระทรวงเกษตรฯ เพื่อชดเชยความ เสียหายให้แก่เกษตรกร แทนที่กรมวิชาการเกษตรจะเรียกร้องให้ บริษัทจ่ายค่าชดเชยความเสียหายอันเกิดจากการดำ�เนินงานล่าช้า สถานะของคดี • เดิมทีสำ�นักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เป็นผู้ตรวจ สอบการทุจริตโครงการส่งเสริมปลูกยางพาราเพื่อยกระดับ รายได้เกษตรกร แต่ภายหลังรัฐประหารปี 2549 ได้โอน ภารกิจดังกล่าวให้คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำ�ที่ก่อ ให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่ง คตส. ชี้มูลความผิด และยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำ�รงตำ�แหน่ง ทางการเมือง และเมื่อ คตส. หมดวาระ คดีนี้จึงถูกโอน มายังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่ง ชาติ (ป.ป.ช.) • คตส. ชี้มูลว่ามีการทำ�ผิดหลายประการเพื่อเอื้อประโยชน์ แก่บริษัทเอกชน และการอนุมัติให้เงินของคณะกรรมการ นโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ขัดต่อ มติของ คชก. ชุดก่อนที่มิให้ช่วยเหลือกิจการยางพาราที่มี มาตรการทางกฎหมายช่วยเหลืออยู่แล้ว โดยการกระทำ� เหล่านี้ผิดตามกฎหมายฮั้วประมูล พ.ร.บ.พนักงานใน องค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 และตามประมวล กฎหมายอาญา • คตส.ฟ้องจำ�เลยทั้งหมด44คนและให้จำ�เลยทั้งหมดร่วมกัน จ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายแก่รัฐเป็นเงิน 1,349 ล้านบาท โดยจำ�เลยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้ 1. ผู้ริเริ่มและผู้รับผิดชอบโครงการ ได้แก่ เนวิน ชิดชอบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ และฉกรรจ์ รักษาวงษ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ซึ่งเสนอให้ใช้ เงินกองทุน คชก. ดำ�เนินโครงการ อันขัดต่อระเบียบ โดยปกปิดข้อมูลที่ควรแจ้งให้รัฐบาลทราบ 2. คณะกรรมการบริหารโครงการและคณะกรรมการ พิจารณาผลประกวดราคา ซึ่งกำ�หนดเงื่อนไขและ คุณสมบัติของผู้เสนอราคาเอื้อประโยชน์แก่บริษัท บางราย และละเลยการตรวจสอบเอกสารและความ เกี่ยวข้องระหว่างผู้ร่วมประมูล 3. บริษัทเอกชนที่เข้าร่วมประมูลทั้ง 3 ราย มีความ สัมพันธ์กันทางธุรกิจ โดยมีการแจ้งหลักฐานเท็จ ในการเข้าร่วมประมูล 4. คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือ เกษตรกร ซึ่งเป็นผู้อนุมัติงบประมาณสำ�หรับการ ซื้อกล้ายาง 1,440 ล้านบาท • อย่างไรก็ตาม สำ�นักงานอัยการสูงสุดไม่ฟ้องคดีนี้ เพราะ เห็นว่าสำ�นวนคดีของ คตส. ยังไม่สมบูรณ์ และสุดท้ายหลัง จาก คตส. ฟ้องคดีนี้เอง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำ�รง ตำ�แหน่งทางการเมืองได้พิพากษายกฟ้องทุกข้อกล่าวหา และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 127
  • 109. ผลกระทบต่อประชาชน ความผิดปกติต่างๆ ในโครงการส่งเสริมปลูกยางพาราเพื่อยกระดับรายได้เกษตรกร ก่อความ เสียหายให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ตามรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ ระบุว่า เกษตรกรต้องเลิกเพาะปลูกพืชชนิดเดิม และต้องกู้เงินจาก ธ.ก.ส. ประมาณ 20,000-30,000 บาท เพื่อเตรียมพื้นที่และดูแลการเพาะปลูก แต่เกษตรกรบางคนได้รายได้ไม่คุ้มค่าการลงทุน เนื่องจาก • เกษตรกรบางคนได้รับกล้ายางคุณภาพต่ำ� เช่น กล้ายางตาสอย ซึ่งแม้ว่าเพาะปลูกแล้ว กล้ายางไม่ตาย แต่ให้น้ำ�ยางน้อยกว่าที่ควรจะเป็น • เกษตรกรบางคนได้รับกล้ายางคุณภาพต่ำ�หรือได้รับกล้ายางล่าช้า และเพาะปลูกแล้วกล้ายาง ตาย โดยในปี 2547 บริษัทผู้ชนะการประมูลส่งมอบกล้ายางเพียง 920,000 ต้น ใน 2 เดือน แรก จากที่กำ�หนดในสัญญา 9 ล้านต้น และส่งมอบได้เพียง 10.72 ล้านต้น จากที่กำ�หนด ไว้ว่าต้องส่งมอบให้ได้ 18 ล้านต้น ในช่วงเวลา 4 เดือน ทั้งนี้ ข้อมูลของกรมวิชาการเกษตรระบุว่า ต้นกล้ายางตายไปถึงร้อยละ 25.92 ของปริมาณ การส่งมอบในช่วง 4 เดือน และในบางพื้นที่มีกล้ายางตายมากกว่าร้อยละ 30 โดยหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ รายงานว่า ศูนย์ปฏิบัติการสงเคราะห์สวนยาง จังหวัดหนองคาย มีกล้ายางตายไปถึง 400,000 ต้น หรือประมาณร้อยละ 40 ของกล้ายางที่ได้รับ สำ�หรับการส่งมอบกล้ายางนอกช่วงเวลาที่กำ�หนดในสัญญา บริษัทได้ส่งมอบกล้ายางอีก 4.7 ล้านต้น แต่กล้ายางตายถึงร้อยละ 31.1 • เกษตรกรบางคนไม่ได้รับกล้ายาง โดยในปี 2547 บริษัทขาดส่งกล้ายางประมาณ 2.58 ล้าน ต้น และเมื่อโครงการสิ้นสุดในปี 2549 บริษัทยังขาดส่งกล้ายางทั้งหมด 16 ล้านต้น ซึ่งมี เกษตรกรประมาณ 30,000 คน ไม่ได้รับกล้ายาง เมนูคอร์รัปชัน128
  • 110. เอกสารอ้างอิง • คำ�ตัดสินศาลฎีกาฯ ยกฟ้อง 44 จำ�เลยคดีทุจริตกล้ายางฯ มติองค์คณะฯ 8 ต่อ 1 ชี้ ‘เนวิน’ ไม่ผิด, มติชนออนไลน์, 21 กันยายน 2552. • ทุจริตกล้ายางล้านไร่ ไร้คนรับผิด?, หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ, 14 มิถุนายน 2548. • นัดชี้ชะตา ‘เนวิน’ คดีทุจริตกล้ายาง (1), ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 14 สิงหาคม 2552. • นัดชี้ชะตา ‘เนวิน’ คดีทุจริตกล้ายาง (2), ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 14 สิงหาคม 2552. • นัดชี้ชะตา ‘เนวิน’ คดีทุจริตกล้ายาง (3), ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 14 สิงหาคม 2552. • ประมูล ‘กล้ายาง’ ฉาว 1,440 ล้าน อัยการสูงสุดฟันธง ‘โมฆียะ’ วัดใจ ‘เนวิน’ กระเตงต่อ...?, มติชนออนไลน์, 13 ตุลาคม 2546. • เปิดโปงทุจริตกล้ายาง: คอร์รัปชันบนความทุกข์ยากของเกษตรกร, หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ, รวมเอกสารข่าวประกวด, สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, 2549. ข่าวทุจริตเชิงสืบสวนยอดเยี่ยม ประจำ�ปี 2548. • ย้อนรอย ‘กล้ายาง’ ฉาว คตส. เล็งเป้าเช็คบิล, มติชนออนไลน์, 15 มกราคม 2550. • สตง. สรุปผลประมูลกล้ายางฉาว, มติชนออนไลน์, 21 มีนาคม 2549. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 129
  • 111. กลŒายางอื้อฉาว: เอื้อประโยชนบร�ษัทเอกชน บนความทุกขของเกษตรกร? 20 โครงการกลŒายางมีวัตถุประสงคเพ�่อยกระดับ รายไดŒและความมั่นคงใหŒแก‹เกษตรกร แต‹ว�ถีทาง ของโครงการนี้ก็ถูกมองว‹าแทบไม‹แตกต‹าง จากโครงการอื่นๆ นั่นก็คือผูŒไดŒรับผลประโยชน แบบเต็มเม็ดเต็มหน‹วยกลับกลายเปšนพ‹อคŒา นักการเมือง และเจŒาหนŒาที่ของรัฐ โครงการกลŒายางถูกว�จารณว‹ามีความผิดปกติ ตั้งแต‹การกำหนดคุณสมบัติของผูŒเขŒาร‹วมประมูล ซึ่งกีดกันผูŒที่มีความเชี่ยวชาญในการปลูกยางพารา ที่สำคัญคือการประมูลถูกตั้งขŒอสงสัยว‹า ผิดกฎหมายว‹าดŒวยความผิดเกี่ยวกับการเสนอ ราคาต‹อหน‹วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 (กฎหมาย ฮั้วประมูล) นอกจากนี้ กรมว�ชาการเกษตร ยังทำสัญญาที่น‹าจะทำใหŒภาครัฐและเกษตรกร เสียเปร�ยบ ทŒายที่สุด เมื่อผูŒชนะการประมูลส‹งมอบกลŒายาง ล‹าชŒาและไม‹มีคุณภาพ ผูŒที่เสียหายก็คือเกษตรกร ผูŒหวังจะไดŒกำไรจากการทำสวนยางตามนโยบาย อันสวยหรูของรัฐบาล สถานะ • นายฉกรรจ รักษาวงษ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ถูกยายเปนรองปลัดกระทรวง เกษตรฯ 01 กรมวิชาการเกษตรกำหนด คุณสมบัติของผูเขาประมูล เอื้อตอบริษัทขนาดใหญ บางราย 02 กรมวิชาการเกษตรกำหนด ราคากลางการประมูล คอนขางสูง และดำเนินการ ประมูลที่น�าจะผิดกฎหมาย ฮั้วประมูล 03 กรมวิชาการเกษตรทำสัญญา ที่น�าจะทำใหภาครัฐและ เกษตรกรเสียเปรียบ โดยกำหนดเวลาสงมอบ กลายางในชวงปลายฤดูฝน ซึ�งไมเหมาะกับการปลูกยาง และกำหนดคาปรับการสงมอบ ลาชาต่ำ 04 กรมวิชาการเกษตรขยายเวลา การสงมอบกลายางและ รับมอบกลายางที่ถูกทักทวง วาไมมีคุณภาพ อีกทั้ง ไมเรียกรองใหมีการจาย คาชดเชยความเสียหาย ใหแกเกษตรกร บันได 4 ขั้น • คณะกรรมการตรวจสอบ การกระทำที่กอใหเกิดความ เสียหายแกรัฐ (คตส.) ชี้มูลวา มีการทำผิดหลายประการเพื่อเอื้อ ประโยชนแกบริษัทเอกชน โดย คตส. ฟองจำเลยทั้งหมด 44 คน และใหจำเลยทั้งหมดรวมกันจาย เงินชดเชยคาเสียหายแกรัฐ เปนเงิน 1,349 ลานบาท • อัยการสั�งไมฟองคดีน�้ เพราะเห็นวาสำนวนคดีของ คตส. ยังไมสมบูรณ สุดทาย หลังจาก คตส. ฟองคดีน�้เอง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของ ผูดำรงตำแหน�งทางการเมือง ก็พิพากษายกฟองทุกขอกลาวหา และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 131130
  • 113. 22 ‘เรือขุดหัวสว่าน’ ซื้อของ แต่ไม่ได้ของ ปูมหลัง กรมเจ้าท่าเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม มีหน้าที่พัฒนาและบำ�รุงรักษาโครงสร้าง พื้นฐาน เพื่อสนับสนุนการขนส่งทางน้ำ� ซึ่งรวมถึงทางน้ำ�ตามธรรมชาติ กรมเจ้าท่าจึงต้องใช้ ‘เรือขุด’ สำ�หรับขุดลอกดิน ตะกอน สันดอน หรือขุดคลองใหม่ เมื่อเดือนกันยายน 2540 คณะรัฐมนตรีสมัยรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เห็นชอบให้ กรมเจ้าท่าดำ�เนินการจัดหาเรือขุดหัวสว่าน ขนาดท่อส่งดิน 28 นิ้ว จำ�นวน 3 ลำ� โดยการจัดจ้าง ต่อเรือขุดหัวสว่านเกิดขึ้นในสมัยที่ จงอาชว์ โพธิสุนทร ดำ�รงตำ�แหน่งอธิบดีกรมเจ้าท่า ซึ่งบริษัท ที่ชนะการประกวดราคาคือ บริษัท เอลลิคอตต์ แมชชีน (Ellicott Machine Corp. International) จากสหรัฐอเมริกา โครงการจัดจ้างต่อเรือขุดใช้เงินกู้จำ�นวน 49.4 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยกรมเจ้าท่าจะแบ่งชำ�ระค่างวดเป็น 6 งวด ตามความก้าวหน้าของงาน ทั้งนี้ เอลลิคอตต์ฯ ต้อง ส่งมอบเรือขุดหัวสว่าน 3 ลำ� ท่อทุ่น และเรือพี่เลี้ยง โดยมีกำ�หนดส่งมอบภายในวันที่ 24 มีนาคม 2542 133
  • 114. เส้นทางผลประโยชน์ การทุจริตในการจัดจ้างต่อเรือขุดหัวสว่าน ประกอบด้วย 1. การตรวจรับงานที่ไม่ตรงตามสัญญา 2 ครั้ง 2. การแก้ไขสัญญาการเบิกจ่ายเงินที่เอื้อประโยชน์แก่บริษัท เอลลิคอตต์ฯ ทำ�ให้รัฐเสีย ผลประโยชน์ ในส่วนของการตรวจรับงานมีการทุจริตครั้งแรกเมื่อคณะกรรมการตรวจรับงานของกรมเจ้าท่า ตรวจรับเครื่องยนต์ขับเครื่องกำ�เนิดไฟฟ้าจากเอลลิคอตต์ฯ ทั้งที่ไม่ใช่เครื่องจักรหลักตามสัญญา และครั้งที่ 2 เมื่อคณะกรรมการฯ ตรวจรับอุปกรณ์ปั๊มขุดและชุดเกียร์จำ�นวน 3 ชุด ทั้งที่ต้องมี การส่งมอบ 6 ชุดตามสัญญา โดยการตรวจรับทั้ง 2 ครั้ง ทำ�ให้กรมเจ้าท่าต้องจ่ายค่างวด ทั้งที่ ไม่ได้งานครบตามสัญญา นอกจากการทุจริตในกระบวนการตรวจรับงาน ยังมีการแก้ไขสัญญาการจัดจ้าง โดยยืดเวลา การส่งมอบเรือขุด จากเดิมกำ�หนดไว้ในเดือนมีนาคม 2542 เป็นเดือนกุมภาพันธ์ 2544 และ เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการเบิกจ่ายเงินที่เอื้อประโยชน์แก่เอลลิคอตต์ฯ กล่าวคือ สัญญาเดิมกำ�หนด ให้เอลลิคอตต์ฯ ต้องส่งมอบเรือขุดมายังไทย แล้วกรมเจ้าท่าจึงจะจ่ายค่างวด 8.9 ล้านดอลลาร์ แต่จงอาชว์ ในฐานะอธิบดีกรมเจ้าท่า ได้แก้ไขสัญญาให้มีการแบ่งจ่ายเงินเป็น 3 งวดย่อย โดยจ่าย ค่างวดประมาณ 4 ล้านดอลลาร์เมื่อมีการส่งมอบท่อทุ่น จากนั้นจ่ายประมาณ 2.67 ล้านดอลลาร์ เมื่อมีการส่งมอบเรือพี่เลี้ยง และจ่ายส่วนที่เหลือเมื่อส่งเรือขุดมายังไทย การตรวจรับงานที่ไม่ตรงตามสัญญา การยืดเวลาส่งมอบเรือขุด และการแก้ไขสัญญาการเบิก จ่ายเงิน ทำ�ให้เอลลิคอตต์ฯ ได้รับเงินค่างวดรวมทั้งสิ้นกว่า 40 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นร้อยละ 78 ของมูลค่าสัญญา ทั้งที่ทางกรมเจ้าท่าได้รับเพียงท่อทุ่นและเรือพี่เลี้ยง โดยที่ยังไม่ได้รับเรือขุด เลย หลังจากนั้น ทางเอลลิคอตต์ฯ ก็ทิ้งงาน ไม่ดำ�เนินการต่อเรือให้แล้วเสร็จ กรมเจ้าท่าจึงบอก เลิกสัญญา และเรียกร้องให้เอลลิคอตต์ฯ ชดใช้ค่าเสียหายเมื่อเดือนมีนาคม 2546 หลังจากถูกบอกเลิกสัญญา เอลลิคอตต์ฯ กลับดำ�เนินการต่อเรือจนแล้วเสร็จ และนำ�ไปขาย ให้ผู้ซื้อในประเทศจีน 2 ลำ� และในประเทศสหรัฐอเมริกา 1 ลำ� เมนูคอร์รัปชัน134
  • 115. สถานะของคดี เดือนกันยายน 2552 คณะอนุญาโตตุลาการชี้ขาดข้อพิพาท ระหว่างกรมเจ้าท่ากับเอลลิคอตต์ฯ กรณีที่บริษัทผิดสัญญาการ ส่งมอบเรือขุดหัวสว่าน โดยให้เอลลิคอตต์ฯ ชดใช้ค่าเสียหายเป็น เงินประมาณ88ล้านดอลลาร์และเสียค่าปรับอีกราว41ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ส่วนการดำ�เนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 ศาลอุทธรณ์มีคำ�พิพากษาจำ�คุก จงอาชว์ โพธิสุนทร อดีต อธิบดีกรมเจ้าท่า และพวก รวม 5 คน เป็นเวลา 10 ปี ปัจจุบัน คดีอยู่ในชั้นศาลฎีกา เอกสารอ้างอิง • ฉาวรอบใหม่คดีเรือขุดฉาว คณะอนุญาฯ ชี้ขาด บ.เอลลิคอตต์ ต้องใช้ค่าเสียหายอ่วมกว่า 3 พันล้าน, หนังสือพิมพ์ มติชน, 6 กันยายน 2552. • เปิดผลสอบซาก ‘เอลลิคอตต์’ พิสูจน์รัฐเสียหายยับ ‘พันล้าน’, หนังสือพิมพ์ มติชน, 15 มกราคม 2550. • พลิกแฟ้ม ‘14 ปี’ คดีเรือขุด ‘เอลลิคอตต์’, หนังสือพิมพ์ มติชน, 20 กรกฎาคม 2554. • ล่าข้ามโลก ‘เรือขุด’ อัปยศ จาก ‘นิวออร์ลีนส์-โบไห่’, หนังสือพิมพ์ มติชน, 29 มกราคม 2550. • อุทธรณ์จำ�คุก 10 ปี อดีตอธิบดีกรมเจ้าท่า ทุจริตซื้อเรือขุด, หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ, 19 กรกฎาคม 2554. ผลกระทบต่อประชาชน • กรมเจ้าท่าจ่ายค่างวดจ้างต่อเรือขุด 1,555 ล้านบาท แต่ไม่ได้รับมอบเรือขุดแม้แต่ลำ�เดียว ขณะที่เรือพี่เลี้ยงที่เอลลิคอตต์ฯ ส่งมอบก็ไม่ได้ถูกใช้งาน เพราะเรือขุดที่ใช้อยู่มีเรือพี่เลี้ยง ประจำ�อยู่แล้ว สำ�หรับท่อทุ่นและอุปกรณ์อื่นๆ ก็ไม่สามารถใช้งานได้ เพราะมีขนาดต่างจาก อุปกรณ์ที่กรมเจ้าท่าใช้ตามปกติ • หากคำ�นวณเฉพาะเวลาส่งมอบที่ถูกยืดออกไป จากที่กำ�หนดไว้ในเดือนมีนาคม 2542 เป็น เดือนกุมภาพันธ์ 2544 แผนการขุดลอกคูคลองต่ำ�กว่าเป้าหมายราว 1.35 ล้านลูกบาศก์ เมตร หรือคิดเป็นความเสียหายมูลค่ากว่า 25 ล้านบาท และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 135
  • 116. Disch Arge Hose Floatation Operator’s Station บันได 4 ขั้น 01 02 03 04 ตรวจรับงานจากบริษัท เอลลิคอตตฯ ทั้งที่ สงงานไมครบตามสัญญา แกไขสัญญา โดยยืดเวลา การสงมอบเรือขุด และเปลี่ยน เงื่อนไขการเบิกจายเงิน โดยแบงจายคางวดเปน 3 งวดยอย บริษัทเอลลิคอตตฯ ไดรับเงิน คางวดรวม 78% ของมูลคา สัญญา จากนั้นก็ทิ้งงาน โดยสงมอบเพียงทอทุนและ เรือพี่เลี้ยง แตไมไดสงมอบ เรือขุด กรมเจาทาบอกเลิกสัญญา และเรียกรองคาเสียหาย หลังจากนั้น บริษัทเอลลิคอตตฯ กลับตอเรือจนเสร็จ และนำไป ขายใหผูซื้อรายอื่น การจัดจŒางต‹อเร�อข�ดหัวสว‹าน: ทุจร�ตตรวจรับงาน แกŒสัญญาเอื้อเอกชน 22 รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เห็นชอบใหŒ กรมเจŒาท‹าดำเนินการจัดหาเร�อข�ดหัวสว‹าน ขนาดท‹อส‹งดิน 28 นิ�ว จำนวน 3 ลำ โดยบร�ษัท ที่ชนะการประกวดราคาคือบร�ษัทเอลลิคอตตฯ จากประเทศสหรัฐอเมร�กา โครงการจัดจŒาง ต‹อเร�อข�ดใชŒเง�นกูŒประมาณ 2,000 ลŒานบาท โดยบร�ษัทเอลลิคอตตฯ ตŒองส‹งมอบเร�อข�ด หัวสว‹าน 3 ลำ ท‹อทุ‹น และเร�อพ�่เลี้ยง แต‹ทŒายที่สุด ไม‹มีการส‹งมอบเร�อข�ดแมŒแต‹ลำเดียว ขณะที่ กรมเจŒาท‹าจ‹ายเง�นไปแลŒว 1,555 ลŒานบาท ผลกระทบต‹อ ประชาชน • กรมเจาทาจายคางวด จางตอเรือขุด 1,555 ลานบาท แตไมไดรับมอบเรือขุดแมแตลำเดียว • หากคำนวณเฉพาะเวลาสงมอบ ที่ถูกยืดออกไป จากที่กำหนดไว ในเดือนมีนาคม 2542 เปนเดือนกุมภาพันธ 2544 แผนการขุดลอกคูคลองต่ำกวา เปาหมายราว 1.35 ลานลูกบาศกเมตร หรือคิดเปนมูลคากวา 25 ลานบาท สถานะป˜จจ�บัน เดือนกันยายน 2552 คณะอนุญาโต- ตุลาการใหบริษัทเอลลิคอตตฯ ชดใชคาเสียหายเปนเงินประมาณ 88 ลานดอลลารสหรัฐ และคาปรับ อีกราว 41 ลานบาท พรอม ดอกเบี้ยในอัตรา 7.5% ตอป สวนการดำเนินคดีกับเจาหนาที่รัฐ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 ศาลอุทธรณมีคำพิพากษาจำคุก นายจงอาชว โพธิสุนทร อดีตอธิบดีกรมเจาทา กับพวก รวม 5 คน เปนเวลา 10 ป ปจจุบันคดีอยูในชั้นศาลฎีกา Disch Arge Hose Floatation Operator’s Station BoatBoat 1,555ลŒานบาท จ‹ายไป 2,000ลŒานบาท ราคาของ และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 137136
  • 117. 23 GT 200 ไม้ล้างป่าช้าราคาแพง ปูมหลัง สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำ�ให้เกิดความ สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของราชการและประชาชน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม การ ประกอบอาชีพ และวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ รัฐบาลจึงต้องจัดซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือการ ทำ�งานให้กับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ เพื่อใช้จัดการปัญหาความไม่สงบ ซึ่งรวมถึงการจัดซื้อเครื่องตรวจ จับวัตถุระเบิด ‘GT 200’ GT 200 เป็นเครื่องตรวจจับสสารระยะไกลที่ผลิตโดยบริษัท โกลบอล เทคนิคอล จำ�กัด ใน สหราชอาณาจักร โดยบริษัทดังกล่าวอ้างว่า GT 200 สามารถตรวจสอบวัตถุต้องสงสัยต่างๆ ได้ ทั้งระเบิดและยาเสพติด ด้วยเหตุนี้กองทัพบกจึงจัดซื้อเครื่อง GT 200 เพื่อใช้ในการปฏิบัติภารกิจ ค้นหาระเบิดของเจ้าหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะในช่วงปี 2550-2552 ซึ่งเกิดเหตุ วางระเบิดบ่อยครั้ง เมนูคอร์รัปชัน138
  • 118. เส้นทางผลประโยชน์ เหตุระเบิดในจังหวัดชายแดนภาคใต้ช่วงเดือนตุลาคม 2552 นำ�มาซึ่งความเคลือบแคลงสงสัยถึงประสิทธิภาพในการค้นหา ระเบิดของเครื่อง GT 200 โดยในช่วงแรกเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ให้ ความเห็นเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเครื่อง GT 200 ว่าเกิดจาก การที่เครื่องดังกล่าวมีความสัมพันธ์อย่างมากกับสภาพร่างกาย ของผู้ใช้ เนื่องจากเครื่อง GT 200 ใช้ไฟฟ้าสถิตจากผู้ใช้เป็น กลไกหลักในการทำ�งาน หากผู้ใช้อ่อนเพลียย่อมส่งผลกระทบต่อ ความแม่นยำ�ของเครื่องในการค้นหาวัตถุต้องสงสัย การให้เหตุผล เช่นนี้นำ�ไปสู่การตั้งคำ�ถามเกี่ยวกับการทำ�งานของเครื่อง ทั้งจาก นักข่าวและประชาชนผู้สนใจ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ภาครัฐ ทั้งคณะรัฐมนตรี กองทัพ บก รวมถึงสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ยังคงเชื่อมั่นว่าเครื่อง GT 200 สามารถใช้งานได้ จนกระทั่งในเดือนมกราคม 2553 ผู้ เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้ทำ�การตรวจพิสูจน์เครื่อง ADE-651 ซึ่งเป็นเครื่องตรวจหาสสารลักษณะเดียวกันกับเครื่อง GT 200 และพบว่าไม่มีวงจรหรือโปรแกรมใดๆ ภายในอุปกรณ์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่เครื่องจะทำ�งานได้ ผลการทดสอบดังกล่าวทำ�ให้ รัฐบาลอังกฤษแจ้งเตือนประเทศต่างๆ ที่ซื้อเครื่องตรวจหาสสาร ลักษณะนี้ เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า เครื่อง GT 200 ไม่น่า จะใช้ค้นหาวัตถุระเบิดได้ และเสนอให้มีการทดสอบประสิทธิภาพ การทำ�งานของเครื่อง GT 200 ท้ายที่สุดจึงมีการทดสอบโดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2553 พบว่า เครื่อง GT 200 ตรวจพบวัตถุระเบิดเพียง 4 ครั้ง จากการทดสอบ 20 ครั้ง ซึ่งไม่มากไปกว่าการตรวจหาโดยการสุ่ม ผลการทดสอบนี้ทำ�ให้อภิสิทธิ์เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น สั่งยกเลิกการจัดซื้อเครื่อง GT 200 เพิ่มเติม และให้หน่วยงาน ที่ใช้อยู่ทบทวนเรื่องการใช้งาน ผลการทดสอบข้างต้นแสดงให้เห็นถึงปัญหาในการจัดซื้อ เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์โดยมิได้ตรวจสอบการทำ�งานว่ามี ประสิทธิภาพจริงหรือไม่ ส่งผลให้เกิดการใช้งบประมาณอย่าง ไม่คุ้มค่า ทั้งนี้ ในช่วงที่เนคเทคทำ�การทดสอบ หน่วยงานภาครัฐ ได้มีการใช้เครื่อง GT 200 รวมถึงเครื่องตรวจหาสสารลักษณะ เดียวกันอย่าง Alpha 6 รวมกันเกินกว่า 1,000 เครื่อง ซึ่งมีมูลค่า รวมกันหลายร้อยล้านบาท นอกจากปัญหาการจัดซื้อเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์โดย มิได้ตรวจสอบการทำ�งาน วิธีการจัดซื้อก็อาจก่อปัญหาเช่นกัน โดยปกติการจัดซื้อวัสดุ ครุภัณฑ์ หรืออาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ของกองทัพ มักใช้การซื้อโดยวิธีพิเศษ1 ซึ่งในบางกรณีอาจมีความ จำ�เป็น เนื่องจากเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ แต่ในอีก ด้านหนึ่ง การจัดซื้อด้วยวิธีดังกล่าวอาจทำ�ให้หน่วยงานภาครัฐ ได้ของที่ราคาแพงเกินจริง เมื่อเทียบกับการจัดซื้อโดยวิธีประกวด ราคา หรืออาจได้ของที่ไม่ได้คุณภาพตามที่ต้องการ นอกจาก นี้ ความไม่โปร่งใสของการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ ยังเป็นช่องทางให้ เกิดการทุจริต แม้ว่ารัฐบาลจะจัดซื้อเครื่อง GT 200 มาตั้งแต่ปี 2547 แต่การจัดซื้อจำ�นวนมากเกิดขึ้นในช่วงปี 2550-2552 รัฐบาล ได้จัดซื้ออย่างน้อย 14 ครั้ง รวม 627 เครื่อง คิดเป็นมูลค่ากว่า 570 ล้านบาท ซึ่งเป็นการจัดซื้อโดยกรมสรรพาวุธทหารบก 8 ครั้ง รวม 408 เครื่อง คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 370 ล้านบาท หรือเครื่องละประมาณ 900,000 บาท โดยใช้ทั้งงบประมาณ ของกองทัพบกและกองอำ�นวยการรักษาความมั่นคงภายใน ราชอาณาจักร (กอ.รมน.) แม้ว่าการจัดซื้อเครื่องตรวจจับระเบิดทั้งหมดเป็นการจัดซื้อ จากบริษัท เอวิเอ แซทคอม จำ�กัด แต่หน่วยงานต่างๆ กลับจัดซื้อ ด้วยราคาที่ต่างกันมาก โดยกรมศุลกากรจัดซื้อจำ�นวน 6 เครื่อง ราคาเครื่องละประมาณ 430,000 บาท ขณะที่กรมราชองครักษ์ กระทรวงกลาโหม จัดซื้อจำ�นวน 3 เครื่อง แต่ซื้อในราคาสูง 1  ดูภาคผนวก และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 139
  • 119. ถึงเครื่องละ 1.2 ล้านบาท ในช่วงเวลาห่างจากที่กรมศุลกากร จัดซื้อเพียง 3 เดือน ทั้งกรมราชองครักษ์และกองทัพบกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ กระทรวงกลาโหม จัดซื้อเครื่อง GT 200 โดยวิธีพิเศษ ทำ�ให้ราคา สูงกว่าการจัดซื้อของกรมศุลกากร 1-2 เท่า และหากพิจารณา งบประมาณของกระทรวงกลาโหมตั้งแต่หลังรัฐประหารในปี 2549 จะพบว่า งบประมาณของกระทรวงกลาโหมเพิ่มสูงขึ้น เรื่อยๆ จนในปี 2556 สูงถึง 1.8 แสนล้านบาท การจัดซื้อโดย วิธีพิเศษจึงสุ่มเสี่ยงที่จะทำ�ให้เกิดการใช้งบประมาณอย่างไม่คุ้มค่า รวมถึงเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริต ผลกระทบต่อ ประชาชน • การจัดซื้อเครื่องมือที่มิได้มีการตรวจสอบการทำ�งาน ส่งผล ให้เกิดการใช้งบประมาณอย่างไม่คุ้มค่า และในกรณีการ จัดซื้อเครื่อง GT 200 น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งของการสูญเสีย ชีวิตของเจ้าหน้าที่และประชาชน • การจัดซื้อโดยวิธีพิเศษเอื้อให้เกิดการทุจริตและยากต่อการ ตรวจสอบ ภาคผนวก ระเบียบสำ�นักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย การพัสดุ พ.ศ. 2535 ข้อ23การซื้อโดยวิธีพิเศษได้แก่การซื้อครั้งหนึ่ง ซึ่งมีราคาเกิน 100,000 บาท ให้กระทำ�ได้เฉพาะ กรณีหนึ่งกรณีใด ดังต่อไปนี้ (1) เป็นพัสดุที่จะขายทอดตลาดโดยส่วนราชการ หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการ ส่วนท้องถิ่น หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้ มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การระหว่างประเทศหรือหน่วยงานของต่าง ประเทศ (2) เป็นพัสดุที่ต้องซื้อเร่งด่วน หากล่าช้าอาจจะ เสียหายแก่ราชการ (3) เป็นพัสดุเพื่อใช้ในราชการลับ (4) เป็นพัสดุที่มีความต้องการใช้เพิ่มขึ้นใน สถานการณ์ที่จำ�เป็นหรือเร่งด่วน หรือเพื่อประโยชน์ ของส่วนราชการ และจำ�เป็นต้องซื้อเพิ่ม (Repeat Order) (5) เป็นพัสดุที่จำ�เป็นต้องซื้อโดยตรงจากต่าง ประเทศ หรือดำ�เนินการโดยผ่านองค์การระหว่าง ประเทศ (6) เป็นพัสดุที่โดยลักษณะของการใช้งานหรือ มีข้อจำ�กัดทางเทคนิคที่จำ�เป็นต้องระบุยี่ห้อเป็นการ เฉพาะ ซึ่งหมายความรวมถึงอะไหล่ รถประจำ� ตำ�แหน่ง หรือยารักษาโรคที่ไม่ต้องจัดซื้อตามชื่อสามัญ ในบัญชียาหลักแห่งชาติตามข้อ 60 (7) เป็นพัสดุที่เป็นที่ดินและหรือสิ่งก่อสร้างซึ่ง จำ�เป็นต้องซื้อเฉพาะแห่ง (8) เป็นพัสดุที่ได้ดำ�เนินการซื้อโดยวิธีอื่นแล้ว ไม่ได้ผลดี เมนูคอร์รัปชัน140
  • 120. เอกสารอ้างอิง • กรณี GT 200 ทำ�อย่างไรให้งบประมาณกองทัพไทยโปร่งใสยิ่งขึ้น?, เว็บไซต์ Thaipubli- ca, 29 เมษายน 2556. • แฉราคาซื้อ-ขายจีที 200 อดีตถึงปัจจุบัน เป็นงง บริษัทจำ�หน่ายเดียวกัน แตกต่างฟ้า- ดิน, หนังสือพิมพ์ มติชน, 3 กุมภาพันธ์ 2553. • เปิดจีที 200 ไม้ล้างป่าช้าพันล้าน, หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก, รวมเอกสารข่าวประกวด, สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, 2553. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 141
  • 121. 80% ไม‹พบ 20% ความแม‹นยำ ในการตรวจหา วัตถุระเบิด พบ จ‹ายแพงกว‹าทำไม? กำไร กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชัยนาท กรมสรรพาวุธทหารบก กรมราชองครักษ กระทรวงกลาโหม กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง หน�วย: ลานบาท ผลกระทบต‹อ ประชาชน 2548 2549 2550 2551 2552 2553 2554 2555 2556 0.0 20,000 40,000 60,000 80,000 120,000 160,000 140,000 100,000 200,000 180,000 หน�วย: ลานบาท งบประมาณกระทรวงกลาโหม ป‚ 2548-2556 GT200: จัดซื้อพ�เศษ ไม‹โปร‹งใส ตายราคาแพง 23 การจัดซื้อเคร�่อง GT200 เปšนตัวอย‹างของ การจัดซื้อเคร�่องมือโดยมิไดŒตรวจสอบการทำงาน อย‹างรัดกุม ขณะเดียวกันก็ชี้ว‹าว�ธีการจัดซื้อ ของกองทัพอาจมีป˜ญหามาก เนื่องจากกองทัพ มักจัดซื้อโดยว�ธีพ�เศษ ซึ่งอาจทำใหŒไดŒของ ที่ราคาแพงเกินจร�งและไม‹มีคุณภาพ นอกจากนี้ การจัดซื้อโดยว�ธีพ�เศษยังเอื้อใหŒเกิดการทุจร�ต ไดŒโดยง‹าย ช‹วงป‚ 2550-2552 รัฐบาลไทยจัดซื้อเคร�่อง GT200 อย‹างนŒอย 14 ครั้ง โดยกรมศุลกากร จัดซื้อ 6 เคร�่อง เคร�่องละประมาณ 4.3 แสนบาท กรมสรรพาวุธทหารบกจัดซื้อ 408 เคร�่อง เคร�่องละประมาณ 9 แสนบาท และกรมราชองครักษ จัดซื้อ 3 เคร�่อง เคร�่องละ 1.2 ลŒานบาท ทั้งที่ซื้อ จากบร�ษัทเดียวกัน และจัดซื้อหลังจากกรมศุลกากร เพ�ยง 3 เดือน ราคาเคร�่อง GT200 ซึ่งกองทัพซื้อแพงกว‹า กรมศุลกากร น‹าจะสะทŒอนถึงความไม‹โปร‹งใส ของการจัดซื้อโดยว�ธีพ�เศษ ซึ่งในกรณีนี้คือ การจัดซื้อเคร�่องมือที่มีผลต‹อความปลอดภัย ในชีว�ตและทรัพยสินของผูŒคน • การจัดซื้อเครื่องมือที่มิได มีการตรวจสอบการทำงาน สงผลใหเกิดการใชงบประมาณ อยางไมคุมคา และในกรณ� การจัดซื้อเครื่อง GT200 น�าจะเปนสาเหตุหนึ�งของ การสูญเสียชีวิตของเจาหนาที่ และประชาชน • การจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ เอื้อใหเกิดการทุจริต และยากตอการตรวจสอบ 0.2 0.4 0.6 0.8 1.0 1.2 0.0 1.2 0.9 0.4 0.6 และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 143142
  • 122. 24 เงินบริจาคสึนามิ ล่องหน ปูมหลัง 26 ธันวาคม 2547 เกิดเหตุภัยพิบัติคลื่นยักษ์สึนามิบริเวณชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียและ ทะเลอันดามันของประเทศไทย ทำ�ให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็น จำ�นวนมาก โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในจังหวัดพังงา ภูเก็ต กระบี่ ระนอง และตรัง ยอดรวมของผู้เสียชีวิตทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ มีมากกว่า 5,000 คน และมีผู้บาดเจ็บนับหมื่นคน หลังเกิดภัยพิบัติ มีการตั้งศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลและการส่งกลับ (Thai Tsunami Victim Identification: TTVI) โดยมีภารกิจหลักคือการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลของ ผู้เสียชีวิตชาวต่างชาติและส่งกลับประเทศ ซึ่งหลายประเทศทั่วโลกได้ระดมความช่วยเหลือส่งมายัง ประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเงินบริจาคและเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ รวมไปถึงเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ และการแพทย์ เมนูคอร์รัปชัน144
  • 123. เงินบริจาคที่ส่งมายังประเทศไทยมีประมาณ 80 ล้านบาท จุดประสงค์หลักของเงินจำ�นวนนี้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการพิสูจน์ เอกลักษณ์บุคคล แต่ภายหลังปรากฏข้อเท็จจริงว่า เงินจำ�นวนนี้ ไม่ได้ถูกนำ�ไปใช้ตามวัตถุประสงค์ เพราะจากการตรวจสอบบัญชี พบว่า มีเงินหายไปจำ�นวนมาก และจนถึงต้นปี 2556 ก็ยังคง มีศพที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล โดยที่สุสานบ้าน บางมะรวน ตำ�บลบางม่วง อำ�เภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา มีศพที่ ยังไม่ได้รับการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลอีกกว่า 400 ศพ เส้นทางผลประโยชน์ การค้นหาเบาะแสการทุจริตเริ่มขึ้นเมื่อเอกอัครราชทูต ประจำ�ประเทศไทย 7 ประเทศ ได้แก่ ฟินแลนด์ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ สวีเดน สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และ ฝรั่งเศส ร่วมกันทำ�หนังสือลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2549 ถึง พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผู้บัญชาการตำ�รวจแห่งชาติ เพื่อสอบถาม ความคืบหน้าเรื่องการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลของศพที่ค้างอยู่ กว่า 400 ศพ ว่าเหตุใด TTVI จึงไม่ดำ�เนินการพิสูจน์เอกลักษณ์ บุคคลให้แล้วเสร็จ การแกะรอยการใช้เงินบริจาคเริ่มต้นขึ้นโดยเอกอัครราชทูต ประจำ�ประเทศไทย 7 ประเทศ ขอดูหลักฐานการเบิกจ่ายเงิน บริจาคในช่วง 2 ปีหลังเกิดเหตุภัยพิบัติ เนื่องจากมีข่าวว่าเงิน บริจาคกว่าร้อยละ 60 ถูกเบิกจ่ายผิดวัตถุประสงค์ สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำ�ประเทศไทยได้ว่าจ้างบริษัท Baker & McKenzie เป็นผู้ดำ�เนินการตรวจสอบบัญชีเบิกจ่าย พบว่ามีการเบิกจ่ายเงินซื้อสิ่งของที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานพิสูจน์ เอกลักษณ์บุคคล เช่น แก้วไวน์และไวน์ราคาแพง ตู้แช่ไวน์ ลูกกอล์ฟ อุปกรณ์เล่นกอล์ฟ ผ้าอ้อมเด็ก อาหารสุนัข โทรศัพท์ มือถือการเช่ารถที่ไม่ระบุภารกิจการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ไปราชการของเจ้าหน้าที่ในลักษณะซ้ำ�ซ้อนกับที่เคยเบิกจ่าย กับต้นสังกัดไปแล้ว การจัดประชุมนอกสถานที่ที่มีค่าใช้จ่าย สูงกว่าระเบียบของราชการ และการซื้อตั๋วเครื่องบินชั้นธุรกิจ ให้ข้าราชการตำ�รวจชั้นประทวน ยิ่งไปกว่านั้น เอกอัครราชทูตประจำ�ประเทศไทย 7 ประเทศ ยังแจ้งด้วยว่า ศพกว่า 2,000 ศพที่พิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลและ จัดส่งไปยังญาตินั้นจัดส่งผิดเนื่องจากการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล ไม่ถูกต้อง สถานทูตทั้ง 7 แห่ง จึงเรียกร้องให้สำ�นักงานตำ�รวจแห่ง ชาติชี้แจงขั้นตอนการทำ�งานโดยละเอียด เพื่อความโปร่งใส และ ที่สำ�คัญเพื่อให้ศพได้รับการจัดส่งไปยังญาติที่แท้จริง หลังจากปรากฏเป็นข่าว พล.ต.อ.โกวิท จึงมีคำ�สั่งแต่งตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงรวมถึงมีคำ�สั่งย้ายผู้กำ�กับการ กลุ่มงานพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลและการส่งกลับ ไปช่วยราชการ ที่สำ�นักงานนิติวิทยาศาสตร์ตำ�รวจ และสับเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ ชุดใหม่ไปปฏิบัติหน้าที่ในศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล และการส่งกลับแทนเจ้าหน้าที่ชุดเดิม แต่การสืบสวนข้อเท็จจริง ก็ไม่มีความคืบหน้า หลังจาก พล.ต.อ.โกวิท ถูกย้ายไปช่วยราชการที่สำ�นักนายก และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 145
  • 124. ผลกระทบต่อประชาชน • ผู้เสียชีวิตจากเหตุสึนามิกว่า 400 ศพ ไม่ได้รับการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล • ผู้เสียชีวิตจากเหตุสึนามิกว่า 2,000 ศพ ได้รับการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลไม่ถูกต้อง • ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ติดลบ จากการที่เจ้าหน้าที่หาผลประโยชน์จากเงินบริจาคเพื่อ ช่วยเหลือผู้ประสบภัย รัฐมนตรี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รักษาการผู้บัญชาการ ตำ�รวจแห่งชาติ จึงเปลี่ยนผู้รับผิดชอบการตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่เนื่องจากมีเอกสารทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยจำ�นวนมาก ประกอบกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องหลายคนเกษียณอายุราชการ ทำ�ให้การตรวจสอบยังคงไม่มีความคืบหน้าเช่นเดิม สื่อมวลชนจึงร่วมกันกดดันสำ�นักงานตำ�รวจแห่งชาติ จน ในที่สุด พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ จึงมีคำ�สั่งแต่งตั้ง พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำ�รวจแห่งชาติ ทำ�หน้าที่ประธานคณะกรรมการ ตรวจสอบข้อเท็จจริง กระทั่งพบข้อเท็จจริงและมีหลักฐานว่า มีนายตำ�รวจยศ พ.ต.อ. รายหนึ่งซึ่งเคยปฏิบัติงานในศูนย์ ปฏิบัติการฯ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายเงินบริจาค ผิดวัตถุประสงค์ตามที่บริษัท Baker & McKenzie ตรวจพบ เมนูคอร์รัปชัน146
  • 125. เอกสารอ้างอิง • เปิดโปงทุจริตเงินบริจาคสึนามิ, หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก, รวมเอกสารข่าว ประกวด, สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, 2550. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 147
  • 126. หลังจากเอกอัครราชทูตจาก 7 ประเทศร‹วมกัน ทำหนังสือถึงผูŒบัญชาการตำรวจแห‹งชาติ เพ�่อสอบถามความคืบหนŒาเร�่องการพ�สูจน เอกลักษณบุคคลของศพที่คŒางอยู‹กว‹า 400 ศพ ความไม‹ชอบมาพากลของการใชŒเง�นบร�จาค จ�งถูกเปดเผย โดยบร�ษัทตรวจสอบบัญชีพบว‹า มีการเบิกจ‹ายเง�นไปซื้อสิ�งของที่ไม‹เกี่ยวขŒองกับงาน พ�สูจนเอกลักษณบุคคล การเช‹ารถที่ไม‹ระบุภารกิจ การเบิกค‹าใชŒจ‹ายในการเดินทางไปราชการ การจัดประชุมในสถานที่ที่มีค‹าใชŒจ‹ายสูง และการซื้อตั๋วเคร�่องบินชั้นธุรกิจใหŒขŒาราชการ ตำรวจชั้นประทวน ทั้งๆ ที่เง�นดังกล‹าวควรถูกใชŒ ในการพ�สูจนเอกลักษณบุคคลของศพจำนวนมาก ผลการแกะรอยเบาะแสของเง�นบร�จาค โดยบร�ษัท Baker & McKenzie ใชŒพ�สูจน DNA 40% 60%ใชŒผ�ดวัตถุประสงค ผลกระทบต‹อ ประชาชน • กวา 400 ศพ ไมไดรับการพิสูจน เอกลักษณบุคคล • กวา 2,000 ศพ ไดรับการพิสูจน เอกลักษณบุคคลไมถูกตอง • ประเทศไทยมีภาพลักษณติดลบ จากการที่เจาหนาที่หาผลประโยชน จากเงินบริจาคเพื่อชวยเหลือ ผูเคราะหราย เง�นบร�จาคสึนามิ: ใชŒเง�นผิดวัตถุประสงค ศพไม‹ไดŒกลับบŒาน 24 มูลค‹า ความเสียหาย มีรายงานข‹าวว‹าประมาณ 60%ของเง�นบร�จาค 80 ลŒานบาท ถูกเบิกจายผิดวัตถุประสงค และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 149148
  • 127. 25 ค่าโง่พันล้าน ที่ราชพัสดุหมอชิต ปูมหลัง ‘โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต’ เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุ ของกรมธนารักษ์ ในฐานะเจ้าของพื้นที่ ซึ่งมีการทำ�บันทึกข้อตกลง 4 ฝ่าย ระหว่างกรุงเทพมหานคร กรมการขนส่งทางบก บริษัท ขนส่ง จำ�กัด และกรมธนารักษ์ เพื่อพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวเป็นศูนย์กลาง ระบบขนส่งมวลชนทางบก โดยจะก่อสร้างอาคารในลักษณะผสมผสาน ให้เป็นทั้งสถานีขนส่ง อาคารเชิงพาณิชย์ และโรงจอดและซ่อมบำ�รุงรถไฟฟ้า บริษัท ซันเอสเตท จำ�กัด (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท บางกอกเทอร์มินอล จำ�กัด)1 เป็นผู้ ชนะการประมูลของกรมธนารักษ์ โดยเสนอมูลค่าโครงการสูงสุดราว 1.98 หมื่นล้านบาท และจะ ให้ผลตอบแทนแก่กรมธนารักษ์ 550 ล้านบาท ตามสัญญากับกรมธนารักษ์ บริษัท ซันเอสเตท จำ�กัด ต้องพัฒนาพื้นที่ โดยก่อสร้างสถานี ขนส่งบนโรงจอดและซ่อมบำ�รุงรถไฟฟ้า รวมถึงทางยกระดับเชื่อมระหว่างสถานีขนส่งหมอชิตกับ สถานีขนส่งแห่งใหม่ บริเวณถนนกำ�แพงเพชร 2 หรือ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) และ ทางยกระดับเข้าออกสถานีขนส่งหมอชิต ในส่วนของโรงจอดและซ่อมบำ�รุงรถไฟฟ้าซึ่งเกี่ยวข้องกัน กรุงเทพมหานครให้บริษัท ขนส่ง มวลชนกรุงเทพ จำ�กัด (มหาชน) หรือ BTSC ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้า รับผิดชอบการก่อสร้าง ฐานรากเพิ่มเติม เพื่อใช้รองรับอาคารด้านบน ประมาณ 766.6 ล้านบาท โดยบริษัท ซันเอสเตท จำ�กัด จะต้องจ่ายค่าก่อสร้างฐานรากเพิ่มเติมให้แก่ BTSC 1  ในที่นี้จะใช้ชื่อ บริษัท ซันเอสเตท จำ�กัด เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน เมนูคอร์รัปชัน150
  • 128. เส้นทางผลประโยชน์ การแสวงหาผลประโยชน์ในโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต ประกอบไป ด้วยการดำ�เนินการประมูลที่ไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือการ ดำ�เนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.ร่วมทุน) และ การแก้ไขสัญญาเพื่อเอื้อประโยชน์ ต่อเอกชน ดังนี้ ผิดขั้นตอน พ.ร.บ.ร่วมทุน เมื่อเริ่มกระบวนการคัดเลือกเอกชนผู้ดำ�เนินโครงการ กรมธนารักษ์และกระทรวงการคลังมีความเห็นว่า การให้เช่าที่ ราชพัสดุไม่เข้าข่ายที่จะต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ร่วมทุน และได้ ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 ฉบับเดียวมา โดยตลอด2 ทั้งนี้ กรมธนารักษ์ได้ตั้งคณะกรรมการดำ�เนินการ ประมูลโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2537 ก่อนที่คณะกรรมการกฤษฎีกาจะให้ความเห็นว่า การให้เช่าที่ราช พัสดุอยู่ในความหมายของคำ�ว่า ‘กิจการแห่งรัฐ’ และเมื่อโครงการ ดังกล่าวมีวงเงินหรือทรัพย์สินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป จึง ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ร่วมทุน กรมธนารักษ์จึงตั้งคณะกรรมการ เพิ่มเติมเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2538 และ 4 ตุลาคม 2538 เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 13 แห่ง พ.ร.บ.ร่วมทุน3 อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นเมื่อ เดือนมิถุนายน 2544 ว่าโครงการดังกล่าวเริ่มต้นดำ�เนินการตาม พระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 และคัดเลือกผู้ดำ�เนินการ โดยการประมูลตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยวิธีการประมูล จัดให้เช่าที่ราชพัสดุ พ.ศ. 25324 ซึ่งมิได้เป็นไปตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.ร่วมทุน และแม้ว่าจะมีการเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรี พิจารณาอนุมัติในภายหลัง แต่ก็มิได้เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย 2  โครงการที่ดำ�เนินการตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 อยู่ภายใต้การดูแล ของคณะกรรมการที่ราชพัสดุ ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน ต่างจาก การดำ�เนินโครงการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือการดำ�เนิน การในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ซึ่งต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี 3  ดูภาคผนวก 4  ระเบียบดังกล่าวถูกยกเลิก และแทนที่ด้วยระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยวิธีการ ประมูลจัดให้เช่าที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2538 เช่นกัน ดังนั้น สัญญาก่อสร้างและบริหารโครงการดังกล่าวจึง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่มีผลผูกพันต่อกัน ทำ�ให้การดำ�เนิน โครงการต้องยุติ แก้ไขสัญญาเอื้อเอกชน หลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผลการเจรจาเกี่ยวกับ รูปแบบโครงการและผลตอบแทนเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2539 กรมธนารักษ์ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง5 เพื่อพิจารณายกร่าง สัญญาก่อสร้างและบริหารโครงการ และส่งให้สำ�นักงานอัยการ สูงสุดพิจารณา ตามมาตรา 20 แห่ง พ.ร.บ.ร่วมทุน อย่างไรก็ตาม หลังจากสำ�นักงานอัยการสูงสุดพิจารณาร่าง สัญญา กรมธนารักษ์กลับแก้ไขเพิ่มเติมร่างสัญญา พร้อมทั้งร่าง บันทึกประกอบสัญญาขึ้นใหม่ โดยมิได้ส่งให้สำ�นักงานอัยการ สูงสุดพิจารณา การแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นการเอื้อประโยชน์ แก่เอกชน เช่น เรื่องการวางหลักประกันโครงการ ซึ่งร่างสัญญา ฉบับเดิมกำ�หนดให้บริษัทต้องวางหลักประกันร้อยละ 10 ของ มูลค่าโครงการในวันทำ�สัญญา แต่มีการแก้ไขเป็นให้บริษัทวาง หลักประกันในวันส่งมอบพื้นที่ ซึ่งมีผลเสมือนไม่มีการวางหลัก ประกัน กรณีที่กรมธนารักษ์ดำ�เนินการคัดเลือกเอกชนผู้ดำ�เนิน โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิตโดยไม่ปฏิบัติ 5  ประกอบด้วย ผู้แทนกระทรวงการคลัง สำ�นักงานอัยการสูงสุด สำ�นักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกา สำ�นักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำ�นัก งบประมาณ กรมการขนส่งทางบก และบริษัท ขนส่ง จำ�กัด และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 151
  • 129. ตาม พ.ร.บ.ร่วมทุน รวมถึงแก้ไขสัญญาเพื่อเอื้อเอกชน เมื่อ คณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่าสัญญาการร่วมทุนไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย จึงไม่มีผลผูกพันคู่สัญญา ทำ�ให้โครงการไม่ เกิดขึ้น และกรมธนารักษ์ต้องจ่ายค่าก่อสร้างฐานรากของ โครงการ แทนที่จะเป็นบริษัทเอกชน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและ ประพฤติมิชอบในวงราชการ(ป.ป.ป.)ตรวจสอบพบหลักฐาน ว่ามีการสั่งจ่ายเช็คเงินสดให้แก่อธิบดีกรมธนารักษ์ ในขณะนั้น จำ�นวน 6 ฉบับ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 30 ล้าน บาท โดยเช็คเงินสดฉบับแรก จำ�นวน 10 ล้านบาท ถูก นำ�เข้าบัญชีธนาคารของอธิบดีกรมธนารักษ์เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2538 เช็คเงินสดฉบับที่ 2 จำ�นวน 4 ล้านบาท ถูกนำ�เข้าบัญชีธนาคารของอธิบดีกรมธนารักษ์เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2538 ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่คณะรัฐมนตรีมี มติรับทราบผลการประมูล ขณะที่เช็คที่เหลืออีก 4 ฉบับ ฉบับละ 4 ล้านบาท ถูกสั่งจ่ายในวันเดียวกัน แต่มีการแลก เปลี่ยนหรือนำ�เข้าบัญชีธนาคารของบุคคลอื่นหลายครั้งก่อน จะนำ�เข้าบัญชีธนาคารของอธิบดีกรมธนารักษ์ในช่วงกลาง เดือนธันวาคม 2538 เมื่อสืบที่มาของเช็ค พบว่าผู้สั่งจ่ายเงินทั้งหมดเป็น พนักงานการเงินของบริษัท ทานตะวันธุรกิจ จำ�กัด ซึ่งเป็น บริษัทแม่ของบริษัท ซันเอสเตท จำ�กัด แต่ทั้งอธิบดีกรม ธนารักษ์และผู้บริหารของบริษัท ทานตะวันธุรกิจ จำ�กัด อ้างว่าเช็คเงินสดดังกล่าวเป็นค่าวัตถุมงคลเหรียญรัชกาลที่ 5 รุ่นต่างๆ ดังที่อธิบดีกรมธนารักษ์เคยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อ เดือนมกราคม 2541 ว่า “...เงินนี้ไม่ได้มีใครให้มา (เงิน 16 ล้านบาท6 ) เป็นเรื่องธุรกรรมที่เกี่ยวกับวัตถุโบราณ ขาย พระเครื่องชุดใหญ่มูลค่ากว่า 20 ล้านบาทขึ้นไป ให้กับ บุคคลที่ไม่เปิดเผยชื่อ...” 6  หมายถึงเช็คเงินสดฉบับละ 4 ล้านบาท จำ�นวน 4 ฉบับ ที่มีการแลกเปลี่ยน หรือนำ�เข้าบัญชีธนาคารของบุคคลอื่นหลายครั้ง ก่อนจะนำ�เข้าบัญชีธนาคารของ อธิบดีกรมธนารักษ์ ในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2538 สถานะของคดี การอ้างว่ารับเงินจากการขายทรัพย์สินนั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ในกรณีที่มีการทุจริต แต่ทรัพย์สินบางอย่างไม่มีหลักเกณฑ์การ ประเมินราคาที่ชัดเจน เช่น พระเครื่องหรือโบราณวัตถุ ทำ�ให้ผู้ ทุจริตสามารถอ้างราคาซื้อขายที่สูงเกินจริง ซึ่งส่วนเกินนี้แท้จริง แล้วคือ ‘สินบน’ อย่างไรก็ตาม ในขั้นตอนการสอบสวนข้อเท็จจริง คณะ กรรมการที่กรมธนารักษ์ตั้งขึ้น ประเมินราคาเหรียญประพาส ยุโรป ร.ศ. 116 และเหรียญประพาสมาลา ระหว่าง 100,000- 200,000 บาท ขณะที่เหรียญปราบฮ่อมีราคาระหว่าง 1.5-1.8 ล้านบาท ดังนั้น การอ้างว่าเช็คเงินสดที่ได้รับมาจากการขาย เหรียญรัชกาลที่ 5 จึงไม่น่าเชื่อถือ หลังรวบรวมหลักฐาน ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2542 ป.ป.ป. มีมติชี้มูลความผิดว่า อธิบดีกรมธนารักษ์รับผลประโยชน์ จากบริษัท ซันเอสเตท จำ�กัด และส่งเรื่องให้กระทรวงการคลัง ดำ�เนินการทางวินัยและอาญา ต่อมาวันที่ 2 พฤษภาคม 2543 อนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) กระทรวงการคลัง มี มติให้ลงโทษด้วยการไล่อธิบดีกรมธนารักษ์ออกจากราชการ ฐาน ทุจริตต่อหน้าที่และรับสินบน อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนฝ่ายปราบปรามการทุจริต และประพฤติมิชอบในวงราชการ กองบัญชาการตำ�รวจสอบสวน กลาง มีคำ�สั่งเมื่อเดือนกันยายน 2543 ไม่ดำ�เนินคดีอาญากับ อธิบดีกรมธนารักษ์เช่นเดียวกันกับพนักงานอัยการที่สรุปความเห็น สั่งไม่ฟ้องดำ�เนินคดีเมื่อเดือนพฤศจิกายน2544โดยให้ความเห็น ว่าหลักฐานไม่เพียงพอที่จะเอาผิดได้ นอกจากนี้ ในเดือนมกราคม 2546 คณะกรรมการ ข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) มีมติถอนมติของ อ.ก.พ. โดยระบุว่า อธิบดีกรมธนารักษ์กระทำ�ผิดวินัยไม่ร้ายแรง ให้ลงโทษตัดเงิน เดือน 1 ขั้น ต่อมาอธิบดีกรมธนารักษ์จึงกลับเข้ารับราชการอีก ครั้ง จนกระทั่งเกษียณอายุราชการในตำ�แหน่งที่ปรึกษากระทรวง การคลังเมื่อเดือนกันยายน 2546 เมนูคอร์รัปชัน152
  • 130. ขณะเดียวกัน ข้อพิพาทระหว่างกรมธนารักษ์กับบริษัท ซันเอสเตท จำ�กัด และ BTSC ได้นำ�มาซึ่งการฟ้องร้องเรียก ค่าเสียหายในเวลาต่อมา เนื่องจากสัญญาก่อสร้างและบริหาร โครงการไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่มีผลผูกพัน ทำ�ให้โครงการ ไม่เกิดขึ้น บริษัท ซันเอสเตท จำ�กัด จึงไม่ชำ�ระค่าก่อสร้างฐานราก แก่ BTSC ซึ่งทำ�ให้ BTSC ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากบริษัท ซันเอสเตท จำ�กัด กรมธนารักษ์ และกระทรวงการคลัง ต่อมา ศาลปกครองสูงสุดมีคำ�พิพากษาเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2554 ให้กรมธนารักษ์ชำ�ระค่าก่อสร้างฐานรากแก่ BTSC จำ�นวน 648 ล้านบาท7 พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 (ราว 473 ล้านบาท) ซึ่งกรมธนารักษ์ได้ชำ�ระค่าก่อสร้างดังกล่าว แก่ BTSC เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2555 รวมเป็นเงินประมาณ 1,100 ล้านบาท ผลกระทบต่อ ประชาชน • โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิตล้มเหลว ทำ�ให้ศูนย์กลางระบบขนส่งมวลชนทางบกไม่สามารถเกิดขึ้น ได้จริง • กรมธนารักษ์ต้องจ่าย ‘ค่าโง่’ แทนบริษัทเอกชนเป็นเงิน 1,100 ล้านบาท 7  บริษัท ซันเอสเตท จำ�กัด ชำ�ระค่าก่อสร้างฐานรากบางส่วน (ประมาณ 150 ล้านบาท) แก่ BTSC เอกสารอ้างอิง • เปิดโปง นิพัทธ พุกกะณะสุต รับสินบน 30 ล้าน โครงการหมอชิต 17,000 ล้าน จุดจบแมวเก้าชีวิต, หนังสือพิมพ์ มติชน, รวมเอกสารข่าวประกวด, สมาคมนักข่าว นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, 2543. ภาคผนวก พระราชบัญญัติว่าด้วยการให้ เอกชนเข้าร่วมงาน หรือการ ดำ�เนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 มาตรา 13 “ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการแต่งตั้งคณะ กรรมการคณะหนึ่ง ประกอบด้วย ผู้แทนกระทรวง เจ้าสังกัดซึ่งเป็นข้าราชการประจำ�พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานหน่วยงานอื่นของรัฐหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น แล้วแต่กรณี เป็นประธาน ผู้แทนกระทรวงการ คลัง ผู้แทนสำ�นักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ผู้แทนสำ�นักงานอัยการสูงสุด ผู้แทนสำ�นักงานคณะ กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้แทนสำ�นักงบประมาณ ผู้แทนกระทรวงอื่นอีก สองกระทรวง กระทรวงละหนึ่งคน ผู้ทรงคุณวุฒิ ไม่เกินสามคน เป็นกรรมการ และให้มีผู้แทน หน่วยงานเจ้าของโครงการหนึ่งคนเป็นกรรมการและ เลขานุการ” และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 153
  • 131. 25 บันได 4 ขั้น 01 02 03 04 กรมธนารักษจัดการประมูล และเสนอให ครม. เห็นชอบ กระบวนการคัดเลือกเอกชน ในสวนที่ดำเนินการไปแลว เพื่อใหบริษัท ซันเอสเตท จำกัด ดำเนินโครงการ แกไขสัญญากอสรางและ บริหารโครงการในที่ราชพัสดุ หมอชิต เพื่อเอื้อประโยชน แกเอกชน อธิบดีกรมธนารักษรับเช็ค เงินสดรวม 30 ลานบาท จากผูบริหารบริษัท ซันเอสเตท จำกัด โดยอางวาเปนคาวัตถุมงคล คณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัย วาสัญญาระหวางกรมธนารักษ กับบริษัท ซันเอสเตท จำกัด ไมชอบดวยกฎหมาย ทำให ตองยุติโครงการ 1,100ลŒานบาท กรมธนารักษ จ‹ายไป โดยไม‹ไดŒอะไรเลย ผลกระทบต‹อ ประชาชน • ศูนยกลางระบบขนสงมวลชน ทางบกไมเกิดขึ้น • กรมธนารักษตองจาย ‘คาโง’ แทนบริษัทเอกชนเปนเงิน 1,100 ลานบาท ที่ราชพัสดุหมอชิต: อธิบดีรับเช็ค กรมจ‹ายค‹าโง‹ โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบร�เวณสถานีขนส‹ง หมอชิตของกรมธนารักษ มีข�้นเพ�่อพัฒนา พ�้นที่ดังกล‹าวเปšนศูนยกลางระบบขนส‹งมวลชน ทางบก แต‹อธิบดีกรมธนารักษในขณะนั้น ดำเนินการคัดเลือกเอกชนผูŒดำเนินโครงการ โดยไม‹ปฏิบัติตามกฎหมายร‹วมทุน รวมถึง แกŒไขสัญญาเพ�่อเอื้อเอกชน และมีการรับเช็ค ที่อŒางว‹าเปšนค‹าวัตถุมงคล ทŒายที่สุด คณะกรรมการกฤษฎีกาว�นิจฉัย ว‹าสัญญาระหว‹างกรมธนารักษกับบร�ษัท ซันเอสเตท จำกัด (ผูŒชนะการประมูล) ไม‹ชอบดŒวยกฎหมาย ทำใหŒตŒองยุติโครงการ และกรมธนารักษตŒองจ‹ายค‹าก‹อสรŒางฐานราก ของสถานีขนส‹งบนโรงจอดและซ‹อมบำรุงรถไฟฟ‡า แทนบร�ษัทเอกชนเปšนเง�น 1,100 ลŒานบาท สถานะป˜จจ�บัน ป.ป.ป. มีมติชี้มูลความผิดวา อธิบดีกรมธนารักษในขณะนั้น รับผลประโยชนจากบริษัท ซันเอสเตท จำกัด และสงเรื่องให กระทรวงการคลังดำเนินการ ทางวินัยและทางอาญา ตอมา อ.ก.พ. กระทรวงการคลังมีมติ ใหลงโทษดวยการไลออก จากราชการ ฐานทุจริต ตอหนาที่ และรับสินบน แตพนักงานสอบสวนมีคำสั�ง ไมดำเนินคดีอาญากับ อธิบดีกรมธนารักษ เชนเดียวกันกับพนักงานอัยการ ที่สรุปความเห็นสั�งไมฟองดำเนินคดี สุดทาย ก.พ. มีมติถอนมติของ อ.ก.พ. ทำใหผูถูกกลาวหาไดกลับ เขารับราชการ จนกระทั�งเกษียณ อายุราชการในตำแหน�งที่ปรึกษา กระทรวงการคลัง เง�นสินบน อธิบดีกรมธนารักษ ไดŒรับเช็ค 30ลŒานบาท โดยอางวาเปนคาวัตถุมงคล ทางยกระดับเชื่อม ระหว‹างสถานีขนส‹งหมอชิต กับสถานีขนส‹งแห‹งใหม‹ ค‹าสัมปทาน 550 ลŒานบาท สถานีขนส‹งบนโรงจอด และซ‹อมบำรุงรถไฟฟ‡า ทางยกระดับเขŒาออก สถานีขนส‹งหมอชิต โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุ บร�เวณสถานีขนส‹งหมอชิต และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 155154
  • 132. 26 ฮุบที่ธรณีสงฆ์ เนรมิตสนามกอล์ฟอัลไพน์ ปูมหลัง วันที่ 20 พฤศจิกายน 2512 เนื่อม ชำ�นาญชาติศักดา ทำ�พินัยกรรมยกที่ดิน 2 แปลง เนื้อที่ รวม 924 ไร่ 2 งาน 75 ตารางวา ในอำ�เภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ให้กับวัดธรรมิการาม วรวิหาร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หลัง เนื่อม ชำ�นาญชาติศักดา เสียชีวิตในวันที่ 22 พฤษภาคม 2514 วัดธรรมิการามวรวิหาร จึงครอบครองผลประโยชน์จากที่ดินดังกล่าวโดยการให้เช่าทำ�นา แต่ยังไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ใน ที่ดินให้กับวัด หนังสือ ความจริงกรณีที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ ระบุว่า ในช่วงปี 2529-2532 เจ้าอาวาส วัดธรรมิการามวรวิหารพยายามโอนที่ดินดังกล่าวให้กับมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรม ราชูปถัมภ์ เพื่อให้ง่ายต่อการจำ�หน่าย โดยร่วมมือกับประธานกรรมการผู้จัดการมูลนิธิมหามกุฏฯ ในขณะนั้น ส่งผลให้มูลนิธิ มหามกุฏฯ ได้เป็นผู้จัดการมรดกในวันที่ 11 สิงหาคม 2533 หลังจากนั้นเพียง 10 วัน กรมที่ดินได้จดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่มูลนิธิมหามกุฏฯ จากนั้น มูลนิธิจึงขายที่ดินให้บริษัท อัลไพน์เรียลเอสเตท จำ�กัด และบริษัท อัลไพน์ กอล์ฟแอนด์สปอร์ต คลับ จำ�กัด อันเป็นที่มาของกรณี ‘ฮุบที่ธรณีสงฆ์’ เมนูคอร์รัปชัน156
  • 133. เส้นทางผลประโยชน์ ความพยายามของเจ้าอาวาสวัดธรรมิการามวรวิหาร ในการ โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้กับมูลนิธิมหามกุฏฯ ได้รับการพิจารณา จากสมเด็จพระญาณสังวรและกรมการศาสนาตั้งแต่ปี 2529 ว่า เป็นการทำ�ผิดเจตนารมณ์ของเจ้าของมรดก วันที่ 19 กันยายน 2531 เจ้าอาวาสได้ทำ�หนังสือถึง เสนาะ เทียนทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ซึ่ง กำ�กับดูแลการปฏิบัติราชการของกรมที่ดินเพื่อขอให้พิจารณาการ ได้มาซึ่งที่ดินตามพินัยกรรม โดยเจ้าอาวาสแจ้งว่าวัดไม่มีความ ประสงค์รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน แต่ต้องการขายที่ดินเพื่อนำ� เงินไปจัดตั้งมูลนิธิ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2533 เสนาะ เทียนทอง ใช้อำ�นาจใน ฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย สั่งการไม่อนุญาตให้ วัดธรรมิการามวรวิหารได้มาซึ่งที่ดินทั้ง 2 แปลง และให้เจ้าอาวาส วัดธรรมิการามวรวิหารดำ�เนินการตามข้อ 4 แห่งพินัยกรรม ที่ ระบุให้วัดธรรมิการามวรวิหารมอบอสังหาริมทรัพย์และจำ�นวน เงิน (ถ้ามี) ให้แก่มูลนิธิมหามกุฏฯ ช่วยจัดทำ�ผลประโยชน์ จากหลักฐานของกรมที่ดินนับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2497 ซึ่งเป็นวันประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน จนกระทั่งวันที่ 30 เมษายน 2545 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอนุญาต ให้วัดทั่วประเทศได้มาซึ่งที่ดินจำ�นวน 7,670 แปลง เนื้อที่รวม 187,787 ไร่ 2 งาน 22.1 ตารางวา โดยไม่เคยมีกรณีที่ไม่อนุญาต และในขณะที่เสนาะดำ�รงตำ�แหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง มหาดไทย ก็อนุญาตให้วัดได้มาซึ่งที่ดินตามที่วัดต้องการทุกราย รวมทั้งหมด 410 ราย ยกเว้นวัดธรรมิการามวรวิหารซึ่งเป็นเพียง วัดเดียวในประวัติศาสตร์ของกรมที่ดินที่ไม่ได้รับอนุญาต คำ�สั่งของเสนาะ เทียนทอง จึงเปิดโอกาสให้มูลนิธิมหา มกุฏฯ เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยหลังจากศาลแพ่งมีคำ�สั่งแต่งตั้งมูลนิธิ มหามกุฏฯ เป็นผู้จัดการมรดกในวันที่ 11 สิงหาคม 2533 (วัด ธรรมิการามวรวิหารขอให้ศาลตั้งมูลนิธิมหามกุฏฯ เป็นผู้จัดการ มรดก หลังจากนายแพทย์วิรัช มรรคดวงแก้ว ขอถอนตัวจาก การเป็นผู้จัดการมรดกในวันที่ 1 มิถุนายน 2533) 10 วันต่อมา กรมที่ดินก็โอนที่ดินให้มูลนิธิในฐานะผู้จัดการมรดก จากนั้น มูลนิธิจึงโอนที่ดินให้ตัวเอง แล้วขายที่ดินต่อให้บริษัท อัลไพน์ เรียลเอสเตท จำ�กัด และบริษัท อัลไพน์กอล์ฟแอนด์สปอร์ตคลับ จำ�กัด ในราคา 142 ล้านบาท ประเด็นสำ�คัญอยู่ที่บริษัท อัลไพน์เรียลเอสเตท จำ�กัด และ บริษัท อัลไพน์กอล์ฟแอนด์สปอร์ตคลับ จำ�กัด ก่อตั้งขึ้นก่อนที่ เสนาะจะสั่งการไม่อนุญาตให้วัดธรรมิการามวรวิหารได้มาซึ่งที่ดิน ตามพินัยกรรมโดยมี อุไรวรรณ เทียนทอง ภรรยาของเสนาะ ถือ หุ้นจำ�นวน300,000หุ้นมูลค่า30ล้านบาทและวิทยาเทียนทอง น้องชายของเสนาะ ถือหุ้นจำ�นวน 150,000 หุ้น มูลค่า 15 ล้านบาท ปี 2539 อุไรวรรณ เทียนทอง ถือหุ้นเพิ่มเติมในบริษัทฯ และขออนุญาตสร้างบ้านในที่ดินผืนดังกล่าว รวมทั้งมีการสร้าง สนามกอล์ฟชื่อ ‘อัลไพน์’ ต่อมาในปี 2541 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซื้อสนามกอล์ฟอัลไพน์จากเสนาะ ในราคา 500 ล้านบาท และ ปี 2542-2543 บริษัทฯ ได้โอนที่ดินบางส่วนในส่วนที่มิใช่สนาม กอล์ฟให้แก่ลูกสาวและลูกชายของเสนาะ มูลค่านับร้อยล้านบาท อย่างไรก็ตาม วันที่ 25 ธันวาคม 2543 กรมการศาสนา มีหนังสือถึงสำ�นักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อหารือกรณี ที่ดินผืนดังกล่าว ในประเด็นต่างๆ ดังนี้ 1. เมื่อ เนื่อม ชำ�นาญชาติศักดา ถึงแก่กรรม ที่ดินซึ่งได้ทำ� พินัยกรรมยกกรรมสิทธิ์ให้แก่วัดทั้ง 2 แปลง จะตกเป็นที่ธรณีสงฆ์ โดยทันทีหรือต้องให้รัฐมนตรีสั่งให้วัดได้มาซึ่งที่ดินตามมาตรา84 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินก่อน จึงจะเป็นที่ธรณีสงฆ์ได้ 2.ที่ดินทั้ง 2 แปลงที่ เนื่อม ชำ�นาญชาติศักดา ได้ทำ� พินัยกรรมยกกรรมสิทธิ์ให้แก่วัด ผู้จัดการมรดกจะนำ�ที่ดิน ดังกล่าวไปจำ�หน่าย จ่าย โอน ได้หรือไม่ อย่างไร ทั้งนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นโดยย่อ ดังนี้ “มรดกจะตกทอดไปยังทายาทนับตั้งแต่เจ้ามรดกถึงแก่กรรม และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 157
  • 134. โดยทายาทไม่จำ�ต้องทำ�การเข้าครอบครองหรือเข้ารับมรดก แม้ว่า การได้มาตามพินัยกรรมเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่น นอกจากนิติกรรมก็ตาม และแม้จะยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มา ก็ถือว่าตกเป็นกรรมสิทธิ์ของทายาทแล้ว แต่จะยกเป็นข้อต่อสู้ บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียน สิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้ ในส่วนมาตรา 84 แห่งประมวลกฎหมาย ที่ดินไม่ใช่บทบัญญัติยกเว้นการได้มาดังกล่าว เมื่อที่ดินมรดกตก เป็นกรรมสิทธิ์ของวัดซึ่งเป็นทายาท จึงเป็นที่ธรณีสงฆ์ ซึ่งการโอน ที่ธรณีสงฆ์ต้องทำ�โดยพระราชบัญญัติ “ในกรณีไม่มีผู้จัดการมรดกเหลืออยู่ตามพินัยกรรมแล้ว ผู้ จัดการมรดกที่ศาลแต่งตั้งสามารถทำ�การจัดการจำ�หน่าย จ่าย โอน ทรัพย์ตามพินัยกรรมเท่านั้น โดยจะโอนให้แก่บุคคลอื่นที่ พินัยกรรมมิได้ระบุให้เป็นผู้รับพินัยกรรมไม่ได้ เพราะถือว่าขัด ต่อเจตนารมณ์ของเจ้ามรดก จึงไม่มีผลผูกพันทายาท และจะต้อง รับผิดต่อทายาทด้วย” ต่อมา ประวิทย์ สีห์โสภณ อธิบดีกรมที่ดิน มีคำ�สั่งลงวันที่ 20 ธันวาคม 2544 ให้ยกเลิกโฉนดที่แบ่งแยกที่ดินดังกล่าว และเพิกถอนการจดทะเบียนโอนมรดกระหว่างมูลนิธิมหามกุฏฯ ผู้จัดการมรดก ผู้โอน กับมูลนิธิมหามกุฏฯ ผู้รับโอน และระหว่าง สถานะของคดี วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2553 คณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติให้ที่ดินดังกล่าวตก เป็นกรรมสิทธิ์ของวัดธรรมิการามวรวิหาร ผู้รับพินัยกรรม โดยมี ผลตามกฎหมายทันที และไม่ต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ หรือ ทำ�การรับมรดก หรือเข้าครอบครองที่ดินมรดก ที่ดินผืนดังกล่าวจึงตกเป็นที่ธรณีสงฆ์ตั้งแต่ เนื่อม ชำ�นาญ ชาติศักดา ถึงแก่กรรม การจดทะเบียนโอนขายที่ธรณีสงฆ์จึง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การกระทำ�ของเสนาะ เทียนทอง ที่มีคำ�สั่งไม่อนุญาตให้วัด ได้มาซึ่งที่ดินมรดกทั้ง 2 แปลง จึงเป็นคำ�สั่งที่มิชอบ นอกจากนี้ ยังใช้อำ�นาจโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจให้เจ้าหน้าที่จดทะเบียน มูลนิธิมหามกุฏฯผู้ขายกับบริษัทอัลไพน์เรียลเอสเตทจำ�กัดและ บริษัท อัลไพน์กอล์ฟแอนด์สปอร์ตคลับ จำ�กัด ผู้ซื้อ ขณะที่ผู้มีส่วนได้เสียของเรื่องนี้คือ ประชาชนเจ้าของบ้าน จัดสรรในสนามกอล์ฟ ได้รวมตัวกันร้องอุทธรณ์ แต่กรมที่ดิน มีคำ�สั่งยกอุทธรณ์ จากนั้นจึงส่งคำ�อุทธรณ์ไปยังปลัดกระทรวง มหาดไทย ยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการ แทนปลัดกระทรวงขณะนั้นพิจารณาแล้วเห็นว่าบทบัญญัติมาตรา 84 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน มีลักษณะเป็นกฎหมายพิเศษ ยกเว้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดังนั้นการได้มาซึ่งที่ดิน ของวัดจึงต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี เมื่อปรากฏว่ารัฐมนตรี สั่งไม่อนุญาตให้วัดได้มาซึ่งที่ดินมรดก วัดจึงยังไม่ได้สิทธิในที่ดิน ดังกล่าว อาศัยอำ�นาจตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทาง ปกครอง จึงสั่งเพิกถอนคำ�สั่งอธิบดีกรมที่ดิน ซึ่งถือปฏิบัติตาม ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่าที่ดินนั้นเป็นสมบัติ ของวัดธรรมิการามวรวิหาร (ที่ธรณีสงฆ์) ซึ่งการโอนที่ธรณีสงฆ์ ต้องกระทำ�โดยออกเป็นพระราชบัญญัติ ตามมาตรา 34 แห่ง พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 โอนเปลี่ยนแปลงผู้จัดการมรดก โอนมรดก และโอนขายที่ดิน จึง มีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ มาตรา 148 แต่ความผิดตามมาตรา 157 ขาดอายุความ ซึ่ง อัยการสูงสุดเห็นว่าพยานหลักฐานไม่สมบูรณ์ จึงตั้งคณะทำ�งาน ร่วม แล้วอัยการสูงสุดมีความเห็นว่าคดีขาดอายุความ ไม่เห็นชอบ ในการฟ้องคดีต่อศาล ป.ป.ช. จึงฟ้องคดี เสนาะ เทียนทอง ต่อ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมือง แต่ศาล พิพากษายกฟ้อง เนื่องจากคดีขาดอายุความ ส่วนเจ้าหน้าที่ของ รัฐคนอื่นๆ คดีได้ขาดอายุความไปก่อนแล้ว สำ�หรับการพิจารณาความผิดของยงยุทธ วิชัยดิษฐ ป.ป.ช. ลงมติด้วยเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 เสียง เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน เมนูคอร์รัปชัน158
  • 135. เอกสารอ้างอิง • ชงปลัด มท. เพิกถอนที่ดิน ‘อัลไพน์’, หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์, 2 ตุลาคม 2555. • ‘ถาวร’ อุ้ม 300 ลูกบ้านอัลไพน์, หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ, 24-26 กันยายน 2552. 2555 ชี้มูลความผิดเมื่อครั้งดำ�รงตำ�แหน่งรอง ปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนปลัด กระทรวงมหาดไทย กรณีมีคำ�สั่งเพิกถอนคำ�สั่ง ของอธิบดีกรมที่ดินที่ให้ยกเลิกโฉนดที่ดินที่แบ่ง แยกออกมาจากโฉนดที่ดิน อันเป็นการโอนที่ธรณี สงฆ์โดยมิชอบ ป.ป.ช.เสียงข้างมากเห็นว่าการกระทำ�ดังกล่าว มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ฐานปฏิบัติหน้าที่ ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบาย ของรัฐบาล อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่าง ร้ายแรง และฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตาม พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 และมีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้า พนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดย มิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จากนั้น ป.ป.ช. จึงส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด ดำ�เนินคดีอาญาและส่งเรื่องให้กระทรวงมหาดไทย พิจารณาโทษตามฐานความผิด เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2555 ต่อมา 14 กันยายน 2555 ที่ประชุม คณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) กระทรวงมหาดไทย มีมติให้ลงโทษไล่ยงยุทธออก จากราชการ โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2545 จากนั้นยงยุทธซึ่งดำ�รงตำ�แหน่ง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง มหาดไทยในขณะนั้น จึงลาออกจากตำ�แหน่ง ทางการเมืองวันที่ 1 ตุลาคม 2555 ภาคผนวก ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 84 การได้มาซึ่งที่ดินของวัดวาอาราม วัดบาทหลวง โรมัน คาทอลิก มูลนิธิเกี่ยวกับคริสตจักร หรือมัสยิดอิสลาม ต้อง ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี และให้ได้มาไม่เกิน 50 ไร่ ในกรณีที่เป็นการสมควร รัฐมนตรีจะอนุญาตให้ได้มาซึ่งที่ดิน เกินจำ�นวนที่บัญญัติไว้ในวรรคแรกก็ได้ บทบัญญัติในมาตรานี้ไม่กระทบกระเทือนการได้มาซึ่งที่ดินที่มี อยู่แล้วก่อนวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับ และการได้มาซึ่งที่ดิน ของมัสยิดอิสลามโดยทางบทบัญญัติแห่งศาสนาอิสลามในจังหวัดที่ มีตำ�แหน่งดะโต๊ะยุติธรรม ผลกระทบต่อประชาชน • เดือนตุลาคม 2555 คณะทำ�งานเพื่อพิจารณาเพิกถอนคำ�สั่งของ กระทรวงมหาดไทย มีมติให้กระทรวงมหาดไทยเพิกถอนโฉนด สนามกอล์ฟและหมู่บ้านทั้งหมด ซึ่งกระทรวงมหาดไทยอาจต้อง จ่ายค่าชดเชยกว่า 7,000-8,000 ล้านบาท • ประชาชนที่ซื้อบ้านพร้อมที่ดินในหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในสนามกอล์ฟ อัลไพน์ประมาณ 300 ราย จะได้รับความเดือดร้อน หากมี การเพิกถอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน โดยรายงานข่าวในหนังสือพิมพ์ มติชน ระบุว่า มีบ้านเรือนจำ�นวนไม่น้อยในหมู่บ้านถูกปล่อยทิ้ง และเจ้าของบ้านบางส่วนขายบ้านต่อในราคาขาดทุน และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 159
  • 136. แตเน��องจากที่ดินดังกลาวเปนของ วัด (ที่ธรณ�สงฆ) จึงโอนกรรมสิทธิ์ ใหผูใดไมได เจาอาวาสจึงทำหนังสือ ถึงนายเสนาะ เทียนทอง รมช. มหาดไทยในขณะนั้น ซึ�งกำกับ ดูแลกรมที่ดิน ใหพิจารณาเรื่อง ที่ดินของวัด ซึ�งนายเสนาะก็สั�งการ ไมอนุญาตใหวัดไดที่ดิน เพื่อให สามารถโอนเปนของมูลนิธิ มหามกุฏฯ ได จากนั้น มูลนิธิมหามกุฏฯ ขายที่ดินใหกับบริษัท อัลไพนเรียลเอสเตท จำกัด และบริษัท อัลไพนกอลฟ แอนดสปอรตคลับ จำกัด ซึ�งมีภรรยาและนองชายของ นายเสนาะเปนผูถือหุน ในราคา 142 ลานบาท นอกจากน�้ ในป 2539 บริษัทฯ ไดสรางสนามกอลฟชื่อ ‘อัลไพน’ ซึ�งขายให พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในป 2541 ในราคา 500 ลานบาท และในชวงป 2542-2543 บริษัทฯ ไดจดทะเบียนโอนที่ดินในสวนที่ ไมใชสนามกอลฟใหแกลูกสาว และลูกชายของนายเสนาะ ซึ�งมีมูลคานับรอยลานบาท ผลกระทบต‹อ ประชาชน • คณะทำงานเพื่อพิจารณา เพิกถอนคำสั�งของกระทรวง มหาดไทย มีมติใหกระทรวง มหาดไทยเพิกถอนโฉนด สนามกอลฟและหมูบานทั้งหมด ซึ�งกระทรวงมหาดไทยอาจตอง จายคาชดเชยกวา 7,000-8,000 ลานบาท • ประชาชนที่ซื้อบานพรอม ที่ดินในหมูบานที่ตั้งอยูใน สนามกอลฟอัลไพนประมาณ 300 รายจะไดรับความเดือดรอน หากมีการเพิกถอนกรรมสิทธิ์ ในที่ดิน สถานะ วันที่ 4 กุมภาพันธ 2553 ป.ป.ช. มีมติวาที่ดินดังกลาวตกเปน กรรมสิทธิ์ของวัดธรรมิการามฯ (ที่ธรณ�สงฆ) โดยมีผลทาง กฎหมายทันทีตั้งแตนางเน��อม ถึงแกกรรม การขายที่ธรณ�สงฆ จึงไมชอบดวยกฎหมาย คำสั�งของนายเสนาะ เทียนทอง จึงเปนคำสั�งที่มิชอบ ป.ป.ช. จึงฟองคดีนายเสนาะตอศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผูดำรง ตำแหน�งทางการเมือง แตศาลพิพากษายกฟอง เน��องจากคดีขาดอายุความ สนามกอลฟอัลไพน: ฮุบที่ธรณีสงฆ ทำสนามกอลฟ 26 วันที่ 20 พฤศจ�กายน 2512 นางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา ทำพ�นัยกรรมยกที่ดิน สองแปลง (เนื้อที่ 924 ไร‹) ในจังหวัดปทุมธานี ใหŒกับ วัดธรรมิการามวรว�หาร จังหวัดประจวบคีร�ขันธ ต‹อมาในป‚ 2529 เจŒาอาวาสวัดธรรมิการามฯ ตŒองการขายที่ดินดังกล‹าวเพ�่อนำเง�นไปบำรุงวัด จ�งพยายามโอนที่ดินใหŒเปšนของมูลนิธิมหามกุฏ ราชว�ทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ ซึ่งพ�นัยกรรม ระบุใหŒช‹วยจัดการผลประโยชนใหŒกับวัด อัลไพน วันที่ 12 มิถุนายน 2555 ป.ป.ช. ลงมติชี้มูลความผิด นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ เมื่อครั้งดำรงตำแหน�งรองปลัด กระทรวงมหาดไทย รักษา ราชการแทนปลัด กรณ�มีคำสั�ง เพิกถอนคำสั�งของอธิบดีกรมที่ดิน (ซึ�งสั�งใหยกเลิกโฉนดที่ดินที่แบง แยกออกมาจากโฉนดของ ที่ธรณ�สงฆ) จากนั้น ป.ป.ช. จึงสงเรื่องใหอัยการสูงสุดดำเนิน คดีอาญา และใหกระทรวงมหาดไทย พิจารณาโทษ ซึ�งตอมา ที่ประชุม อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทย มีมติใหไลนายยงยุทธออกจาก ราชการ โดยใหมีผลยอนหลัง ตั้งแตวันที่ 30 กันยายน 2545 นายยงยุทธ ซึ�งในขณะนั้นดำรง ตำแหน�งรองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีวาการกระทรวงมหาดไทย จึงประกาศลาออกจากตำแหน�ง และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 161160
  • 137. 27 นำ�เข้ารถหรู เลี่ยงภาษีหมื่นล้าน ปูมหลัง เหตุการณ์ไฟไหม้รถยนต์ราคาแพง 4 ใน 6 คัน (ราคารวมเกือบ 100 ล้านบาท) บนรถ เทรลเลอร์ขณะขนส่งจากกรุงเทพฯไปยังจังหวัดศรีสะเกษเมื่อวันที่29พฤษภาคม2556ทำ�ให้ข่าว คราวเกี่ยวกับ ‘รถจดประกอบ’ ได้รับความสนใจอีกครั้ง หลังจากผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ ทำ�รายงานพิเศษเรื่องนี้ในปี 2553 รายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ เผยให้เห็นวิธีการหลบเลี่ยงการจ่ายภาษีของขบวนการ นำ�เข้ารถยนต์ราคาแพงครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2553 หลังจากผู้สื่อข่าวได้รับเบาะแสว่า มีรถยนต์ราคาแพงหลายยี่ห้อเข้าคิวรอติดตั้งแก๊ส ซึ่งเมื่อดูจากราคาของรถยนต์แต่ละคัน ทำ�ให้ เกิดข้อสงสัยว่าบรรดาเจ้าของรถยนต์หรูต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายโดยการเปลี่ยนมาใช้แก๊สเป็น เชื้อเพลิงจริงหรือไม่ ที่สำ�คัญ รถยนต์เหล่านั้นใช้แก๊สเป็นเชื้อเพลิงได้จริงหรือไม่ จากการตรวจสอบของผู้สื่อข่าว พบว่า การติดตั้งแก๊สเป็นหนึ่งในขั้นตอนการหลบเลี่ยงการ จ่ายภาษีและการตรวจสอบจากสำ�นักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ซึ่งขณะนั้นมี รถประเภทนี้ในประเทศไทยประมาณ 1,000 คัน เมนูคอร์รัปชัน162
  • 138. เส้นทางผลประโยชน์ กระบวนการหลบเลี่ยงการจ่ายภาษีนำ�เข้ารถยนต์เกิดขึ้น หลังจากรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่ใช้พลังงาน ทดแทนในปี 2551 โดยมีการออกระเบียบกรมการขนส่งทาง บกว่า รถประเภทดังกล่าวไม่จำ�เป็นต้องผ่านการตรวจสอบจาก สมอ. เพื่อเอื้อต่อการนำ�เข้ารถ ต่อมาจึงมีการยกเลิกข้อกำ�หนด ในระเบียบว่าต้องเป็นรถยนต์เชิงพาณิชย์ ซึ่งเปิดโอกาสให้มีการ นำ�เข้าชิ้นส่วนรถยนต์ส่วนบุคคลที่ใช้แก๊ส ก่อนจะประกอบเป็นคัน และจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกในฐานะรถจดประกอบ วิธีการของขบวนการนำ�เข้ารถยนต์ เริ่มต้นจากการไป ประมูลรถยนต์มือสองในต่างประเทศ โดยมี 4 ประเทศหลักคือ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และอังกฤษ จากนั้นรถยนต์จะถูกถอด เครื่องยนต์และล้อ ก่อนจะนำ�ชิ้นส่วนใส่ตู้คอนเทนเนอร์ส่งเข้า ประเทศไทยทางเรือ แล้วจึงแจ้งว่าเป็นการนำ�เข้าชิ้นส่วนรถยนต์ เนื่องจากมีประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำ�สินค้าเข้ามา ในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 85) พ.ศ. 2534 ที่ห้ามนำ�เข้ารถยนต์ มือสอง เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมในประเทศ ต่อมา ผู้นำ�เข้าจะขอเอกสารแสดงการเสียภาษีนำ�เข้าชิ้นส่วน รถยนต์ (ใบอินวอยซ์) จากกรมศุลกากร จากนั้นจึงนำ�ชิ้นส่วน รถยนต์มาประกอบ และนำ�ไปประเมินเสียภาษีสรรพสามิตใน อัตราประมาณร้อยละ 30-50 ของราคาประเมิน ซึ่งต่างจากการ แจ้งนำ�เข้ารถยนต์ทั้งคันที่ต้องเสียภาษีศุลกากรร้อยละ 187-328 ของราคารถ (ขึ้นอยู่กับกำ�ลังของเครื่องยนต์) หลังจากนั้นจึงนำ�รถไปเปลี่ยนประเภทเชื้อเพลิงเป็นการใช้ แก๊ส และแจ้งว่าเป็นรถที่ใช้พลังงานทดแทน เพื่อหลีกเลี่ยงการ ตรวจสอบจาก สมอ. ซึ่งมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด และมีค่า ใช้จ่ายถึง 120,000 บาทต่อคัน อีกทั้งใช้เวลาในการตรวจสอบ นานถึง 6 วันต่อคัน ก่อนจะนำ�รถและเอกสารไปยื่นขอทะเบียน รถยนต์ที่กรมการขนส่งทางบกตามต่างจังหวัด หลังจากนั้นจึง ทำ�เรื่องขอเปลี่ยนกลับมาใช้น้ำ�มันเป็นเชื้อเพลิง และจะล้างเล่ม ทะเบียนรถยนต์ซึ่งระบุประเภทของเชื้อเพลิง ด้วยการแจ้งหาย และขอทำ�ใหม่ เพื่อไม่ให้เหลือร่องรอยว่าเป็นรถยนต์ที่ใช้วิธี จดประกอบ ก่อนจะย้ายทะเบียนรถยนต์กลับเข้ากรุงเทพฯ และ นำ�ไปขายในราคาต่ำ�กว่าท้องตลาดประมาณร้อยละ 20-30 ซึ่ง จะทำ�ให้ผู้ขายได้กำ�ไร 5-10 เท่า การรับจดทะเบียนรถจดประกอบทำ�ให้รัฐสูญเสียรายได้ จากภาษีนำ�เข้ารถยนต์ เนื่องจากภาษีนำ�เข้าชิ้นส่วนรถยนต์มี อัตราต่ำ�กว่าภาษีนำ�เข้ารถยนต์มาก กรมการขนส่งทางบกจึง เตรียมออกประกาศไม่รับจดทะเบียนรถจดประกอบ (ขณะนี้อยู่ ในขั้นตอนของคณะกรรมการกฤษฎีกา) เช่นเดียวกับกับกระทรวง พาณิชย์ออกประกาศห้ามนำ�เข้าตัวถังของรถยนต์นั่งและโครงรถ จักรยานยนต์ที่ใช้แล้ว เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555 แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือ การนำ�เข้ารถยนต์ทั้งคัน โดยแจ้ง ราคาต่อกรมศุลกากรต่ำ�กว่าความเป็นจริง ซึ่งแม้กลุ่มผู้นำ�เข้า รถยนต์รายย่อยจะออกมาชี้แจงว่าตนเองทำ�ธุรกิจถูกต้องตาม กฎหมาย แต่ พ.ต.อ. ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม โต้กลับว่าประเทศต้องสูญเสียรายได้หลายหมื่นล้านบาท จาก การนำ�เข้ารถยนต์ราคาแพงในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากผล การตรวจสอบช่วงเดือนมิถุนายน 2554 ถึงเดือนมิถุนายน 2555 พบว่ามีการนำ�เข้ารถที่แจ้งราคาต่ำ�กว่าความเป็นจริงประมาณ 10,000 คัน เหตุการณ์ไฟไหม้รถยนต์ราคาแพง 4 ใน 6 คัน ที่จังหวัด นครราชสีมา เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2556 เป็นตัวจุดประเด็น ที่ทำ�ให้เบื้องลึกเบื้องหลังของรถจดประกอบถูกตีแผ่ เมื่อกรม สอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับคดีนี้เป็นคดีพิเศษเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2556 หลังจากเริ่มตรวจสอบเรื่องนี้ตั้งแต่เดือน กันยายน 2553 จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่า รถทั้ง 6 คัน มีความ ผิดปกติ เช่น มีการติดตั้งถังแก๊ส โดยวิศวกรยืนยันว่ารถทั้ง 6 คัน ไม่สามารถใช้แก๊สเป็นเชื้อเพลิงได้ เนื่องจากใช้เครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 12 สูบ นอกจากนี้ หมายเลขตัวถังยังถูกเปลี่ยนแปลง และหลังเหตุการณ์ไฟไหม้ก็ไม่มีผู้ใดมาแสดงตัวยืนยันความเป็น เจ้าของ และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 163
  • 139. สถานะของคดี ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ระบุว่า จากการตรวจสอบพบว่า ในช่วงปี 2554-2555 มีรถ ต้องสงสัยว่าหลบเลี่ยงภาษีเข้าสู่ระบบการจดทะเบียนของกรมการขนส่งทางบก โดยแจ้งว่าเป็น รถจดประกอบจำ�นวน 5,832 คัน แยกเป็นการแจ้งจดทะเบียนว่าใช้แก๊สเป็นเชื้อเพลิงอย่างเดียว จำ�นวน 2,410 คัน และอีก 3,422 คัน แจ้งว่าใช้เชื้อเพลิงปกติ และจากการตรวจสอบข้อมูลในปี 2556 พบว่า มีการขอแบบการเสียภาษีรถยนต์ของกรมสรรพสามิตจำ�นวนประมาณ 3,000 คัน ซึ่งหากมีการชำ�ระภาษีจะนำ�ไปสู่การจดประกอบ ทำ�ให้ดีเอสไอมีรถยนต์ที่ต้องตรวจสอบอย่างน้อย 8,000 คัน โดยดีเอสไอมีชื่อและที่อยู่ของบริษัทผู้นำ�เข้าและครอบครองรถยนต์ต้องสงสัยทั้งหมด แล้ว และคาดว่าร้อยละ 85 ของรถยนต์ต้องสงสัย เป็นรถยนต์ผิดกฎหมาย นอกจากนี้ แหล่งข่าวจากดีเอสไอให้ข้อมูลกับหนังสือพิมพ์ คมชัดลึก ว่า กลุ่มผู้นำ�เข้ารถยนต์ รายย่อยจะเข้าหาเครือญาตินักการเมืองเพื่อขอความช่วยเหลือช่วยเหลือ อาทิ กลุ่มปากน้ำ� กลุ่ม กำ�แพงเพชร กลุ่มนครปฐม และกลุ่มฝั่งธนบุรี โดยส่งเงินให้ฝ่ายการเมืองประมาณคันละ 1 ล้าน บาท แต่จากการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้นในปัจจุบัน ทำ�ให้ไม่สามารถแจ้งราคารถยนต์ต่อกรม ศุลกากรต่ำ�กว่าความเป็นจริงได้ จำ�นวนเงินจึงลดลงเหลือคันละประมาณ 500,000 บาท ผลกระทบต่อประชาชน • คณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน วุฒิสภา รายงานว่า มี รถยนต์กว่า 10,000 คันต่อปี ที่หลบเลี่ยงภาษี โดยทำ�มาตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปัจจุบัน ทำ�ให้ รัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 50,000-60,000 ล้านบาท • ประชาชนที่ซื้อรถจดประกอบอาจถูกอายัดรถไปตรวจสอบ หรืออาจถูกเก็บภาษีย้อนหลัง และ ไม่มีหลักประกันเรื่องความปลอดภัยในการใช้รถ เมนูคอร์รัปชัน164
  • 140. เอกสารอ้างอิง • แฉแก๊งรถหรู แจ้งติดแก๊ส หลีกเลี่ยงภาษี, หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์, 4 กันยายน 2553. • แฉดาราดังฮิตใช้รถหรูลอบนำ�เข้า, หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์, 8 กันยายน 2553. • แฉรถหรูฉาว-เข้าข่ายฟอกถึง 8 พันคัน, หนังสือพิมพ์ มติชน, 4 มิถุนายน 2556. • เปิดปูมเจ้าพ่อ ‘รถหรู’ เส้นทาง ‘อินวอยซ์ลอย’, หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก, 5 มิถุนายน 2556. • รถเถื่อนเกลื่อนเมือง จุดอ่อน ขรก.-กำ�แพงภาษี?, หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก, 3 มิถุนายน 2556. • รถหรูเลี่ยงภาษี เชื้อร้ายยังไม่ตาย, หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก, 2 มิถุนายน 2556. • ล็อกเป้า 40 บ. นำ�เข้ารถหรูอิงการเมือง เล็งล้างบาง, หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก, 5 มิถุนายน 2556. • เส้นทางไม่ลับ ‘รถหรู’ ไฮโซขาซิ่งชอบของถูก, หนังสือพิมพ์ มติชน, 18 ตุลาคม 2555. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 165
  • 141. เน��องจากการนำเขาชิ้นสวน เสียภาษีนอยกวารถยนตทั้งคันมาก โดยการนำเขาชิ้นสวนเสียภาษี สรรพสามิตหลังจากประกอบ คันประมาณ 30-50% ของราคา ประเมิน ขณะที่การนำเขารถยนต ทั้งคันตองเสียภาษีศุลกากร 187-328% ของราคารถ ทำใหมี ผูนำเขาบางรายนำเขารถยนต ราคาแพงโดยแจงวาเปนการนำเขา ชิ้นสวน ทั้งที่เปนการนำเขา รถยนตที่ถอดชิ้นสวนออกจาก ตัวรถเพียงไมกี่ชิ้น จากนั้นจึงนำมา ประกอบและเปลี่ยนเชื้อเพลิงเปน การใชแกส เพื่อหลีกเลี่ยงการ ตรวจสอบจาก สมอ. กอนจะ จดทะเบียนในฐานะรถจดประกอบ แลวจึงเปลี่ยนเชื้อเพลิงเปน ผลกระทบต‹อ ประชาชน • คณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน วุฒิสภา รายงานวามีรถยนตกวา 1 หมื่นคันตอปที่หลบเลี่ยงภาษี โดยทำมาตั้งแตป 2551 จนถึงปจจุบัน ทำใหรัฐ สูญเสียรายไดประมาณ 5-6 หมื่นลานบาท • ประชาชนที่ซื้อรถจดประกอบ อาจถูกอายัดรถไปตรวจสอบ หรืออาจถูกเก็บภาษียอนหลัง และไมมีหลักประกันเรื่อง ความปลอดภัยในการใชรถ บันได 4 ขั้น 01 ผูนำเขาแจงเท็จวาเปน การนำเขาชิ้นสวนรถยนต 02 นำชิ้นสวนรถยนตมา ประกอบเปนรถ และเสียภาษี สรรพสามิตในอัตราประมาณ 30-50% ของราคาประเมิน 03 หลีกเลี่ยงการตรวจสอบ จาก สมอ. โดยแจงวาเปนรถ ที่ใชพลังงานทดแทน และ นำรถไปจดทะเบียนที่กรมการ ขนสงทางบก 04 ทำเรื่องขอเปลี่ยนมาใชน้ำมัน และทำทะเบียนรถยนตเลม ใหม กอนจะนำไปขายในตลาด รถจดประกอบ: เลี่ยงภาษีหมื่นลŒาน ฟ�นกำไร 5-10 เท‹า 27 ขบวนการรถจดประกอบเกิดข�้นหลังจากรัฐบาล มีนโยบายส‹งเสร�มรถยนตเชิงพาณิชยที่ใชŒพลังงาน ทดแทนในป‚ 2551 ซึ่งมีการออกระเบียบว‹า รถดังกล‹าวไม‹ตŒองผ‹านการตรวจสอบจาก สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรม (สมอ.) ต‹อมามีการยกเลิกขŒอกำหนดว‹า ตŒองเปšนรถยนตเชิงพาณิชย จ�งเปดโอกาส ใหŒมีการนำเขŒาชิ�นส‹วนรถยนตส‹วนบุคคลที่ใชŒแกส เขŒามาประกอบเปšนคัน และจดทะเบียนกับ กรมการขนส‹งทางบกในฐานะรถจดประกอบ นำเขŒาทั้งคัน เสียภาษีศุลกากร 187-328% การใชน้ำมัน ทำทะเบียนเลมใหม เพื่อไมใหมีหลักฐานวาเปนรถที่ใช วิธีจดประกอบ และนำไปขาย ในราคาต่ำกวาทองตลาดประมาณ 20-30% เพราะตนทุนถูกกวา จากการสืบสวนของกรมสอบสวน คดีพิเศษ เชื่อวามีรถจดประกอบ ถึง 85% ที่น�าจะแจงเท็จวาเปน การนำเขาชิ้นสวน ซึ�งทำใหรัฐ สูญเสียภาษีไมต่ำกวา 20,000 ลานบาท ขณะเดียวกันก็เชื่อวา ขบวนการดังกลาวจะเกิดขึ้นไมได ถาไมมีเจาหนาที่ของรัฐ เอื้อประโยชน รถจดประกอบ เสียภาษีสรรพสามิต 30-50% และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 167166
  • 142. 28 สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ เซ็นปุ๊บ อนุมัติปั๊บ ปูมหลัง สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำ�กัด ก่อตั้งในปี 2526 โดยมีหน้าที่รับฝากเงินและให้เงินกู้แก่ สมาชิก รวมถึงให้สวัสดิการอื่นๆ เช่น สวัสดิการกองทุนผู้สูงอายุ เพื่อช่วยแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจ และสังคมของผู้คนในชุมชนการเคหะคลองจั่น ปัจจุบันสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นถือเป็นสหกรณ์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศทั้งในแง่จำ�นวน สมาชิกและมูลค่าสินทรัพย์ โดยรายงานประจำ�ปี 2555 ระบุว่า สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ มีสมาชิก สามัญและสมาชิกสมทบ 52,683 คน และมีสินทรัพย์ราว 21,790 ล้านบาท ในปี 2556 สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ ตรวจสอบพบความผิดปกติในการปล่อยกู้ประมาณ 11,846 ล้านบาท แก่สมาชิกสมทบจำ�นวน 27 ราย ทำ�ให้เกิดความสงสัยว่า ประธานกรรมการ ดำ�เนินการของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ ในช่วงปี 2551-2554 ได้ยักยอกและฉ้อโกงเงินของสหกรณ์ โดยได้อนุมัติการปล่อยเงินกู้อย่างผิดกฎระเบียบ และสมาชิกที่ได้รับเงินกู้ดังกล่าวมีความเชื่อมโยง กับประธานกรรมการดำ�เนินการของสหกรณ์ และมีข้อมูลทางการเงินที่ผิดปกติ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่บางคนของสหกรณ์ยังอาจอำ�พรางการขาดชำ�ระหนี้ของลูกหนี้ โดยสร้างหลักฐานการ ชำ�ระหนี้เท็จ ที่สำ�คัญ กรมส่งเสริมสหกรณ์ซึ่งมีหน้าที่กำ�กับดูแลสหกรณ์ยังบกพร่องต่อหน้าที่ โดยละเลย ในการเข้าไปจัดการแก้ไขปัญหาการปล่อยกู้ ทั้งที่ได้รับรายงานเกี่ยวกับความผิดปกติมาโดยตลอด เมนูคอร์รัปชัน168
  • 143. เส้นทางผลประโยชน์ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ ปล่อยกู้ให้กับสมาชิกสมทบ 27 รายโดยขัดต่อกฎระเบียบ ดัง หมายเหตุงบการเงินประจำ�ปี 2555 ของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และหนังสือที่ ยุทธพงศ์ จรัส เสถียร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่งถึงกรมส่งเสริมสหกรณ์ ระบุไว้ดังนี้ • สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ รับสมาชิกสมทบที่ไม่ได้ถือหุ้นกับสหกรณ์ • สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ ให้สมาชิกสมทบที่ไม่ได้ถือหุ้น กู้เงินในจำ�นวนมากกว่าที่กำ�หนดไว้ใน ระเบียบว่าด้วยการกู้เงินและดอกเบี้ยเงินกู้ • สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ ทำ�สัญญาเงินกู้ โดยยอมให้ผู้กู้บางรายมีหลักทรัพย์ค้ำ�ประกัน ไม่ครอบคลุมมูลหนี้และบางรายไม่มีหลักทรัพย์ค้ำ�ประกันรวมทั้งระบุให้ผู้ค้ำ�ประกันรับผิดชอบ กรณีเกิดความเสียหายในวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท ทั้งที่ระเบียบของสหกรณ์เครดิต ยูเนี่ยนฯ กำ�หนดให้ผู้ค้ำ�ประกันต้องรับผิดชอบความเสียหายโดยไม่จำ�กัดวงเงิน • สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ ไม่ได้บันทึกการพิจารณาและอนุมัติเงินกู้ให้สมาชิกสมทบในรายงาน การประชุมคณะกรรมการดำ�เนินการประจำ�เดือนที่ส่งให้กับกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ด้วยเหตุเหล่านี้ การปล่อยกู้ดังกล่าวจึงถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการยักยอกและฉ้อโกงเงิน ของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ประธานกรรมการดำ�เนินการของสหกรณ์และ พวกพ้อง โดยสำ�นักข่าวไทยพับลิก้าตรวจสอบข้อมูลของสมาชิกสมทบ 27 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็น บริษัทจากกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ และพบความผิดปกติ ดังนี้ • บริษัท 10 แห่ง มีประธานกรรมการดำ�เนินการของสหกรณ์ และญาติคนหนึ่ง เป็นผู้ถือหุ้น ใหญ่ โดยบริษัทกลุ่มนี้กู้เงินจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ 5,274 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ ร้อยละ 50 ของจำ�นวนเงินกู้ของสมาชิกสมทบ 27 ราย โดยประธานกรรมการดำ�เนินการของ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ เป็นผู้อนุมัติสัญญาปล่อยกู้ส่วนใหญ่ • บริษัทบางแห่งมีทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ระยะสั้นและเงินลงทุนระยะยาว ซึ่งไม่สอดคล้อง กับลักษณะกิจการ เช่น บริษัท ปิโตรพลัส เป็นกิจการน้ำ�มันเชื้อเพลิง แต่มีทรัพย์สินส่วนใหญ่ เป็นเงินกู้ระยะสั้น • บริษัท 3 แห่ง ปิดกิจการในช่วงปี 2554-2555 • ลูกหนี้บางรายไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน เช่น กองทุนเพื่อการพัฒนาไม่มีเลขทะเบียนนิติบุคคล ไม่มี รายชื่อกรรมการบริหาร ไม่มีสถานะทางบัญชี และไม่เป็นกองทุนรวมที่ต้องจดทะเบียนกับ สำ�นักงานคณะกรรมการกำ�กับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 169
  • 144. • บริษัท 9 แห่ง มีที่ตั้งเดียวกันกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น สาขา ยู ทาวเวอร์ • บริษัท 25 แห่ง บันทึกมูลค่าหนี้ในงบดุลของบริษัทต่ำ�กว่าจำ�นวนเงินกู้ ที่กู้ยืมจากสหกรณ์ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานบางอย่างที่ชวนให้สงสัยว่าลูกหนี้ค้างชำ�ระดอกเบี้ย เป็นจำ�นวนมาก แต่ข้อเท็จจริงนี้ถูกปกปิดไว้ โดยใบเสร็จการจ่ายดอกเบี้ยของ ลูกหนี้บางรายลงวันที่ 31 ธันวาคม 2554 ซึ่งเป็นวันที่สถาบันการเงินและ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ ปิดทำ�การ1 และรายงานประจำ�ปี 2555 ของสหกรณ์ เครดิตยูเนี่ยนฯ ระบุว่า ลูกหนี้ค้างชำ�ระดอกเบี้ยมากขึ้น โดยในปี 2555 มี ดอกเบี้ยค้างชำ�ระถึงร้อยละ 73.36 ของมูลค่าดอกเบี้ยที่ต้องชำ�ระ ซึ่งเพิ่มขึ้น อย่างก้าวกระโดดจากร้อยละ 5.57 ในปี 2554 นอกจากความผิดปกติเรื่องการปล่อยกู้และการชำ�ระดอกเบี้ยแล้ว หมายเหตุงบการเงินประจำ�ปี 2555 ของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ยังระบุถึง การดำ�เนินการอื่นๆ ของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ ที่เอื้อประโยชน์ต่อประธาน กรรมการดำ�เนินการของสหกรณ์ เช่น • ประธานกรรมการดำ�เนินการของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ เป็นลูกหนี้เงิน ยืมทดรอง 3,298 ล้านบาท โดยไม่ได้ระบุวัตถุประสงค์ในการยืมเงินและ กำ�หนดชำ�ระเงินคืน • สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ ลงทุนในตั๋วสัญญาใช้เงินของสหกรณ์ยูเนี่ยน รัฐประชา จำ�กัด 1,000 ล้านบาท ทั้งที่ในปี 2554 นายทะเบียนสหกรณ์ เห็นชอบวงเงินกู้ยืมไม่เกิน 3.3 ล้านบาท และในปี 2550 สหกรณ์ยูเนี่ยน รัฐประชามีทุนดำ�เนินงานเพียง 830,000 บาท ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ให้สัมภาษณ์ว่า กรมส่งเสริมสหกรณ์ในฐานะนายทะเบียนผู้กำ�กับดูแล บกพร่องต่อหน้าที่ โดย ไม่ดำ�เนินการแก้ไขปัญหา ทั้งที่กรมตรวจบัญชีสหกรณ์พบความผิดปกติในงบ การเงินของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นมาแล้วประมาณ 5 ปี และได้แจ้งให้ กรมส่งเสริมสหกรณ์รับทราบมาโดยตลอด อีกทั้ง ธีระ วงศ์สมุทร อดีตรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงเกษตรก็เคยสั่งการให้ตรวจสอบแล้ว 1  จากการสัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวจากสำ�นักข่าวไทยพับลิก้า เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2556 ผู้สื่อข่าวได้แสดงใบเสร็จ ที่มีความผิดปกติดังกล่าว ผลกระทบต่อ ประชาชน • สมาชิกได้รับเงินปันผลน้อยกว่าที่ควร หากเกิดหนี้เสีย หรืออาจเกิดความ เสียหายมาก หากสหกรณ์มีหนี้เสีย จนถึงขั้นล้มละลาย เพราะมูลค่าเงินกู้ ที่ให้กับสมาชิกสมทบทั้ง 27 ราย คิดเป็นร้อยละ 80 ของเงินกู้ทั้งหมด และคิดเป็นประมาณร้อยละ 54 ของ มูลค่าสินทรัพย์ • การปล่อยกู้ของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ สร้างความวิตกกังวลว่าสหกรณ์อื่น อีกหลายแห่งอาจมีปัญหาทางการเงิน เพราะมีเงินฝากจำ�นวนมากกับ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น โดย มีมูลค่ารวมกันกว่า 8,000 ล้านบาท และสร้างความวิตกกังวลว่าสหกรณ์ อื่นอาจมีปัญหาแบบเดียวกัน เมนูคอร์รัปชัน170
  • 145. เอกสารอ้างอิง • กางบัญชีเงินฝากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ขาใหญ่เป็นสหกรณ์ด้วยกันเอง ยอดรวมกว่า 8 พันล้านบาท, เว็บไซต์ Thaipublica, 20 กรกฎาคม 2556. • เจาะ 27 ลูกหนี้สมทบ ความผิดปกติเงินกู้หมื่นล้าน สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น (1),เว็บไซต์ Thaipublica, 27 พฤษภาคม 2556. • เจาะสัญญาเงินกู้สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ‘ศุภชัย ศรีศุภอักษร’ กู้เอง-เซ็นอนุมัติเอง, เว็บไซต์ Thaipublica, 18 มิถุนายน 2556. • ปปง.-ดีเอสไอ ยึดและอายัดทรัพย์ ‘ศุภชัย ศรีศุภอักษร และพวก’ ยักยอกทรัพย์สหกรณ์ฯ คลองจั่น 12,000 ล้าน, เว็บไซต์ Thaipublica, 11 กรกฎาคม 2556. • เปิดลูกหนี้ 27 ราย สหกรณ์คลองจั่น มูลหนี้กว่า 1 หมื่นล้าน ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำ�ธุรกิจ-กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ชี้พบงบการเงินผิดปกติมา 5 ปีแล้ว, เว็บไซต์ Thaipublica, 16 พฤษภาคม 2556. • ‘ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร’ รมช.เกษตรและสหกรณ์ พร้อมเช็คบิลถ้าแก้ปัญหาสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นไม่คืบ, เว็บไซต์ Thaipublica, 1 มิถุนายน 2556. • สมาชิกสหกรณ์ยูเนี่ยนคลองจั่นหอบเอกสาร 2 ลัง แห่ร้องทุกข์ดีเอสไอ กรณีโดนโกงเงินกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท, ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 30 พฤษภาคม 2556. • สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นป่วน ‘มณฑล กันล้อม’ ฟ้องอาญา-แพ่ง ‘ศุภชัย ศรีศุภอักษร’ อดีตประธานยักยอก 1.2 หมื่นล้าน, เว็บไซต์ Thaipublica, 17 เมษายน 2556. • สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นป่วน ศึกแย่งอำ�นาจบริหาร – เปิดข้อมูลเงินกู้รายเดียว 3 พันล้านให้ ‘ศุภชัย ศรีศุภอักษร’, เว็บไซต์ Thaipublica, 9 เมษายน 2556. • สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำ�กัด, รายงานประจำ�ปี 2555. สถานะของคดี • กองบังคับการปราบปราม สำ�นักงานตำ�รวจแห่งชาติ อยู่ระหว่างสืบสวนคดียักยอกหรือฉ้อโกง ทรัพย์ ตามที่มีการร้องเรียน • ศาลอาญารับฟ้องคดียักยอกทรัพย์ตามที่สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯได้ยื่นฟ้องประธานกรรมการ ดำ�เนินการของสหกรณ์และพวก และศาลแพ่งรับฟ้องคดีเรียกคืนทรัพย์และละเมิด ตามที่ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ ได้ยื่นฟ้องเพื่อเรียกเงินคืนจากจำ�เลย จำ�นวน 12,481 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม จำ�เลยและพวกพยายามใช้อำ�นาจในการบริหารสหกรณ์ และลงมติให้สหกรณ์ ถอนฟ้องตนและพวกไปแล้วบางคดี • กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการยักยอกทรัพย์หรือ ฉ้อโกงทรัพย์ของประธานกรรมการดำ�เนินการของสหกรณ์และพวก ตามที่ ปฏิพันธ์ จันทรภูติ อดีตที่ปรึกษาและสมาชิกสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ เป็นผู้ร้องทุกข์ • วันที่ 10 กรกฎาคม 2556 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และ ดีเอสไอยึดและอายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหา 4 คน ได้แก่ 1. ประธานกรรมการดำ�เนินการ ของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ 2. อดีตรองผู้จัดการสหกรณ์ฝ่ายการเงิน 3. กรรมการสหกรณ์ เครดิตยูเนี่ยนฯ 4. เจ้าหน้าที่สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ ในความผิดฐานผู้ต้องหาร่วมกันยักยอก เงินของสหกรณ์ และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 171
  • 146. สถานะ • ศาลอาญารับฟองคดียักยอก ทรัพย ตามที่สหกรณยื่นฟอง อดีตประธานกรรมการดำเนินการ และพวก • ศาลแพงรับฟองคดีเรียกคืนทรัพย และละเมิด ตามที่สหกรณ ยื่นฟองเพื่อเรียกเงินคืนจากอดีต ประธานกรรมการดำเนินการ 12,481 ลานบาท บันได 3 ขั้น 01 02 03 ประธานกรรมการปลอยกู ใหกับสมาชิกที่ไมไดถือหุน ซึ�งบางรายมีผลประโยชน รวมกับประธานฯ เจาหนาที่ของสหกรณสราง หลักฐานการชำระหน�้เท็จ กรมสงเสริมสหกรณมิไดแกไข ปญหา ทั้งที่ทราบปญหา มากวา 5 ป เร�่องอื้อฉาวสหกรณเครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น: ปล‹อยกูŒหมื่นลŒาน ไรŒหลักประกัน 28 สหกรณเครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นปล‹อยกูŒใหŒกับ สมาชิกสมทบ 27 รายซึ่งไม‹ไดŒถือหุŒนของสหกรณ ประมาณ 11,846 ลŒานบาท หร�อประมาณ 80% ของเง�นกูŒทั้งหมด โดยประธานกรรมการดำเนินการ ของสหกรณฯ ในขณะนั้น และญาติ เปšนผูŒถือหุŒนใหญ‹ ของบร�ษัทผูŒกูŒ 10 แห‹ง ผูŒกูŒบางรายมีหลักทรัพย ค้ำประกันนŒอยกว‹ามูลค‹าหนี้ และบางรายไม‹มี หลักทรัพยค้ำประกันเลย นอกจากนี้ยังมีผูŒกูŒอีก 3 รายที่ปดกิจการไปแลŒว แมŒกรมตรวจบัญชีสหกรณพบความผิดปกติ ในงบการเง�นของสหกรณคลองจั่นมากว‹า 5 ป‚ และแจŒงใหŒกรมส‹งเสร�มสหกรณทราบ แต‹กรมส‹งเสร�มสหกรณกลับไม‹ดำเนินการใดๆ จนกระทั่งเกิดป˜ญหาข�้น ผลกระทบต‹อ ประชาชน • สมาชิกไดรับเงินปนผลนอยกวา ที่ควร หากเกิดหน�้เสีย หรืออาจเกิดความเสียหายมาก หากสหกรณมีหน�้เสียจน ถึงขั้นลมละลาย • สรางความวิตกกังวลวาสหกรณ อื่นอีกหลายแหงอาจมีปญหา ในลักษณะเดียวกัน 50,000 สมาชิกที่ไดŒรับ 20% เง�นกูŒ ราย 27 สมาชิกที่ไดŒรับ 80% เง�นกูŒ ราย และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 173172
  • 148. 29 แป๊ะเจี๊ยะหลักแสน แย่งเก้าอี้นักเรียน ปูมหลัง ความเหลื่อมล้ำ�ทางการศึกษาเป็นปัญหาสำ�คัญในสังคมไทย เพราะคุณภาพของโรงเรียนและ บุคลากรทางการศึกษาที่แตกต่างกันอย่างมาก ทำ�ให้เกิดการแย่งชิงที่นั่งในโรงเรียนที่ ‘มีชื่อ’ และ คุณภาพสูง ‘อาการ’ ของความไม่เท่าเทียมดังกล่าวแสดงออกผ่านการกวดวิชาเพื่อสอบแข่งขันเข้าโรงเรียน ชื่อดัง และการจ่ายเงิน ‘บริจาค’ เพื่อแลกกับสิทธิ์ในการจับจองเก้าอี้ในชั้นเรียน ที่เรียกกันโดยทั่วไป ว่า ‘แป๊ะเจี๊ยะ’ การจ่ายแป๊ะเจี๊ยะของผู้ปกครองเพื่อให้ลูกหลานได้เข้าเรียนนั้นเกิดขึ้นในโรงเรียนที่มีการ แข่งขันสูง ทั้งโรงเรียนรัฐบาลและเอกชน ในสังกัดสำ�นักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำ�นักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ โรงเรียนในสังกัดสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ ในปีการศึกษา 2555 สพฐ. ระบุรายชื่อโรงเรียนในสังกัดที่มีการแข่งขันสูงทั้งหมด 280 แห่ง โดยโรงเรียน A (นามสมมุติ) ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมชื่อดังในกรุงเทพฯ ก็เป็นหนึ่งในสถานศึกษา ที่ได้ก่อให้เกิดวัฒนธรรมการเรียกรับเงินใต้โต๊ะ 175
  • 149. เมนูคอร์รัปชัน เส้นทางผลประโยชน์ โรงเรียน A กำ�หนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกนักเรียนชั้น ม. 3 เพื่อศึกษาต่อชั้น ม. 4 ไว้สูงกว่าโรงเรียนอื่นๆ ทำ�ให้นักเรียนชั้น ม. 3 จำ�นวนมากไม่ผ่านเกณฑ์ดังกล่าว โรงเรียนจึงมี ‘เก้าอี้’ เหลือ สำ�หรับการรับนักเรียนด้วย ‘วิธีพิเศษ’ ซึ่งส่อเค้าไม่โปร่งใส และ เปิดช่องให้มีการเรียกแป๊ะเจี๊ยะ ประกาศ สพฐ. ว่าด้วยการรับนักเรียนในปีการศึกษา 2555 กำ�หนดให้รับนักเรียนชั้น ม. 3 เพื่อเข้าศึกษาต่อชั้น ม. 4 โดยพิจารณาจากผลการเรียนเฉลี่ยและผลคะแนน O-NET แต่ เนื่องจากประกาศของ สพฐ. มิได้กำ�หนดหลักเกณฑ์การคัดเลือก ไว้อย่างชัดเจน ว่าจะต้องใช้ผลการเรียนเฉลี่ยและผลคะแนน O- NET เท่าใด จึงเปิดช่องให้โรงเรียน A กำ�หนดว่านักเรียนชั้น ม. 3 จะต้องได้คะแนนเฉลี่ยสะสมระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (GPAX) ไม่ต่ำ�กว่า 2.5 และคะแนน O-NET ไม่ต่ำ�กว่าร้อยละ 50 ซึ่งเป็น เกณฑ์ที่สูงกว่าโรงเรียนอื่นๆ ทำ�ให้นักเรียนชั้น ม. 3 จำ�นวน 636 คน ผ่านเกณฑ์เข้าเรียนต่อชั้น ม. 4 เพียง 417 คน แผนการรับนักเรียนของโรงเรียน A ระบุว่าจะรับนักเรียน ชั้น ม. 4 จำ�นวน 755 คน โดยคัดเลือกด้วยวิธีสอบเข้า 183 คน ซึ่งเมื่อรวมนักเรียนชั้น ม. 3 ที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือก 417 คน โรงเรียนจึงมีเก้าอี้เหลือสำ�หรับการรับนักเรียนด้วยวิธีพิเศษ อีก 155 ที่นั่ง นักเรียนที่ได้เข้าเรียนด้วยวิธีพิเศษ มีทั้งนักเรียนชั้น ม. 3 ที่ ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกและสอบคัดเลือกไม่ผ่าน และนักเรียน จากโรงเรียนอื่นที่สอบคัดเลือกไม่ผ่าน การรับนักเรียนด้วยวิธี พิเศษโดยไม่มีหลักเกณฑ์แน่ชัด จึงเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริต เรื่องเงินๆ ทองๆ ในโรงเรียน A การทุจริตในวงการศึกษาครั้งนี้ทำ�เป็นขบวนการ โดยมี ผู้เกี่ยวข้องตั้งแต่ผู้บริหาร อาจารย์ ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน การติดต่อเพื่อจ่ายแป๊ะเจี๊ยะแลกกับสิทธิ์ในการจับจองเก้าอี้ ในชั้นเรียนก็ทำ�ได้หลายทางทั้งการติดต่อกับผู้อำ�นวยการโรงเรียน โดยตรง หรือติดต่อกับอาจารย์ที่มีส่วนรู้เห็น ซึ่งได้รับ ‘ส่วนแบ่ง’ จากเงินบริจาคในลักษณะคล้าย‘ค่าหัวคิว’ของนายหน้าขายสินค้า วิธีหลักๆ ในการรับแป๊ะเจี๊ยะของโรงเรียน A คือ ให้ ผู้ปกครองของนักเรียนที่ต้องการเข้าเรียน ‘เสนอ’ จำ�นวนเงิน บริจาค โดยเขียนระบุจำ�นวนเงินในกระดาษ และจ่ายเป็นเงินสด ให้แก่ผู้อำ�นวยการ โดยฝ่ายการเงินอาจ ‘กระซิบ’ บอกผู้ปกครอง ถึงจำ�นวนตัวเลขขั้นต่ำ�ที่ควรเขียนลงไป ซึ่งตัวเลขดังกล่าวคือ 1. นักเรียนชั้น ม. 3 จากโรงเรียนอื่นที่สอบคัดเลือกไม่ผ่าน ต้องจ่ายประมาณ 300,000 บาท 2. นักเรียนชั้น ม. 3 เดิม และได้เกรดต่ำ�กว่า 2.5 ต้องจ่าย ประมาณ 150,000 บาท 3. นักเรียนชั้น ม. 3 เดิม และได้เกรดเกิน 2.5 แต่ได้คะแนน O-NET ไม่ถึงร้อยละ 50 ต้องจ่ายประมาณ 10,000-50,000 บาท ในกรณีโรงเรียน A มีเพียงผู้ปกครองของนักเรียนในกลุ่ม สุดท้ายเท่านั้นที่ได้รับใบเสร็จรับเงินยืนยันว่าเป็นการบริจาคเงิน ให้โรงเรียน ขณะที่ผู้ปกครองสองกลุ่มแรกจ่ายเงินโดยไม่มีใบเสร็จ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของข้อสงสัยที่ว่า น่าจะมีการแสวงหาประโยชน์ จากเงินบริจาคก้อนนี้ 176
  • 150. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ ผลกระทบต่อประชาชน • การเรียกรับแป๊ะเจี๊ยะเป็นการทำ�ลายระบบการคัดเลือกนักเรียนตามความสามารถ • นักเรียนชั้น ม. 3 เดิม ถูกลิดรอนสิทธิ์ในการเรียนต่อ ทั้งที่โรงเรียนยังรับนักเรียนชั้น ม. 3 เดิม ไม่ครบสัดส่วนตามที่ สพฐ. กำ�หนด • การที่เงินบริจาคตกเป็นของผู้ที่อยู่ในกระบวนการทุจริตแทนที่จะเป็นของโรงเรียน ทำ�ให้ โรงเรียนสูญเสียงบประมาณในการปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอน • การรับนักเรียนเพิ่มเพื่อเรียกรับแป๊ะเจี๊ยะ ทำ�ให้จำ�นวนนักเรียนต่อห้องเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่ง ผลกระทบต่อคุณภาพการเรียนการสอน เอกสารอ้างอิง • ประกาศสำ�นักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เรื่อง นโยบายและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการรับนักเรียนสังกัดสำ�นักงานคณะ กรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีการศึกษา 2555 ลงวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2554 • ประกาศสำ�นักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 เรื่อง รายละเอียดการรับนักเรียน ปีการศึกษา 2555 ของโรงเรียนสังกัด สำ�นักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 177
  • 151. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน ค‹าแปˆะเจ�๊ยะ สำหรับนักเรียนชั้น ม. 3 จาก โรงเรียนอื่นที่สอบคัดเลือกไมผาน บันได 4 ขั้น 01 02 03 04 แปˆะเจ�๊ยะโรงเร�ยน A: กั๊กเกŒาอี้ เร�ยกรับเง�น 29 โรงเร�ยน A โรงเร�ยนชื่อดังในกรุงเทพฯ กำหนดหลักเกณฑการคัดเลือกนักเร�ยนชั้น ม. 3 เพ�่อศึกษาต‹อชั้น ม. 4 ไวŒสูงกว‹าโรงเร�ยนอื่น ทำใหŒนักเร�ยนชั้น ม. 3 ที่ตŒองการเร�ยนต‹อ ไม‹ผ‹านเกณฑการคัดเลือก โรงเร�ยนจ�งมี ‘เกŒาอี้’ เหลือสำหรับการรับนักเร�ยนดŒวยว�ธี ‘พ�เศษ’ ซึ่งเปดช‹องใหŒมีการเร�ยกรับแปˆะเจ�๊ยะ การทุจร�ตในโรงเร�ยน A ทำเปšนกระบวนการ โดยมีผูŒเกี่ยวขŒองตั้งแต‹ผูŒบร�หาร อาจารย ไปจนถึง เจŒาหนŒาที่ฝ†ายการเง�น การกระทำดังกล‹าวเปšน การนำสิทธิ์ในการเขŒาโรงเร�ยนของรัฐไปแสวงหา ผลประโยชน ทั้งที่การรับนักเร�ยนเขŒาเร�ยนควรมี กติกาที่เปšนธรรม ผลกระทบต‹อ ประชาชน • การเรียกรับแปะเจี๊ยะ เปนการทำลายระบบการคัดเลือก นักเรียนตามความสามารถ • นักเรียนชั้น ม. 3 เดิมถูก ลิดรอนสิทธิ์ในการเรียนตอ ทั้งที่โรงเรียนยังรับนักเรียนชั้น ม. 3 เดิมไมครบสัดสวนตามที่ สพฐ. กำหนด • การที่เงินบริจาคกลายเปน ของผูที่อยูในกระบวนการทุจริต แทนที่จะเปนของโรงเรียน ทำใหโรงเรียนสูญเสียงบประมาณ ในการปรับปรุงและพัฒนา การเรียนการสอน • การรับนักเรียนเพิ�มเพื่อเรียก รับแปะเจี๊ยะ ทำใหจำนวน นักเรียนตอหองเพิ�มขึ้น ซึ�งอาจ สงผลกระทบตอคุณภาพ การเรียนการสอน 417คน ม.3 เดิม ผ‹านเกณฑ กำหนดเกณฑการศึกษาตอชั้น ม. 4 ไวสูง ทำใหมีนักเรียนชั้น ม. 3 ที่ตองการเรียนตอ ไมผานเกณฑการคัดเลือก ไมปฏิบัติตามขอกำหนดเรื่อง สัดสวนการรับนักเรียน ทำใหโรงเรียนมี ‘เกาอี้’ เหลือสำหรับการเรียกรับ ‘แปะเจี๊ยะ’ ใหผูปกครองเสนอเงินบริจาค เพื่อแลกกับสิทธิ์ในการเขาเรียน โดยมีการแนะนำจำนวนเงิน บริจาคขั้นต่ำ ไมออกใบเสร็จรับเงิน เพื่อนำ เงินบริจาคเขากระเปาของผูที่ อยูในกระบวนการทุจริต 300,000 บาท สำหรับนักเรียนชั้น ม. 3 เดิม ที่ไดเกรดต่ำกวา 2.5 150,000 บาท สำหรับนักเรียนชั้น ม. 3 เดิม ที่ไดเกรดเกิน 2.5 แตไดคะแนน O-NET ไมถึง 50% 50,000 บาท 183คน สอบเขŒาไดŒ 155คน จ‹ายแปˆะเจ�๊ยะ 755คน นักเร�ยนชั้น ม.4 ท่ีสามารถรับเขŒาเร�ยน 179178
  • 152. 30 เปลี่ยนอุทยาน ให้เป็นรีสอร์ต ปูมหลัง ช่วงเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา อุทยานแห่งชาติสำ�คัญ 2 แห่ง คือ อุทยานแห่งชาติทับลานและ อุทยานแห่งชาติสิรินาถ ถูกบุกรุกอย่างหนัก โดยกลุ่มธุรกิจและผู้มีฐานะต่างต้องการครอบครอง พื้นที่อุทยานแห่งชาติเพื่อสร้างโรงแรม รีสอร์ต บ้านพักตากอากาศ และสวนเกษตร เนื่องจากพื้นที่ อุทยานแห่งชาติมีความสวยงามทางธรรมชาติและมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง อุทยานแห่งชาติทับลานมีพื้นที่อยู่ในจังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดนครราชสีมา ได้รับการ ประกาศให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติในปี 2524 มีพื้นที่ประมาณ 1.39 ล้านไร่ ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็น อันดับ 2 ของประเทศ นอกจากนี้ อุทยานแห่งชาติทับลานยังเป็นส่วนหนึ่งของป่าดงพญาเย็น- เขาใหญ่ ซึ่งเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ และป่าลานในบริเวณดังกล่าวยังเป็นป่าลานผืนสุดท้าย ของประเทศไทยอีกด้วย ส่วนอุทยานแห่งชาติสิรินาถในจังหวัดภูเก็ต ได้รับการประกาศให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ ในปี 2524 โดยเป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเล มีเนื้อที่ 56,250 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ทางทะเลกว่า 30,000 ไร่ และพื้นที่ทางบกกว่า 10,000 ไร่ เอกลักษณ์ทางธรรมชาติของอุทยานแห่งชาติสิรินาถ มีอยู่หลายอย่าง เช่น มีป่าสนทะเลธรรมชาติ มีแนวปะการังและโขดหินที่สวยงาม ที่สำ�คัญชายหาด บางแห่งเป็นที่วางไข่ของเต่าทะเลและจักจั่นทะเล อย่างไรก็ดี ในช่วงปี 2554-2555 การบุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติทั้ง 2 แห่ง ถูกตรวจสอบ อย่างเข้มข้น ซึ่งพบว่าน่าจะมีนักการเมืองและข้าราชการเกี่ยวข้องกับการทุจริต โดยการรับรองการ ซื้อขายที่ดินในอุทยานแห่งชาติ เมนูคอร์รัปชัน180
  • 153. เส้นทางผลประโยชน์ ความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นเมื่อมีการรับรองการซื้อขาย ที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติโดยนักการเมืองและข้าราชการ ทั้งที่ ไม่มีเอกสารสิทธิ์ิที่ดิน หรือช่วยออกเอกสารสิทธิ์ิโดยมิชอบด้วย กฎหมายให้แก่กลุ่มธุรกิจ ซึ่งต้องการนำ�ที่ดินไปเก็งกำ�ไรขายต่อ สร้างรีสอร์ต และทำ�สวนเกษตร กระบวนการทุจริตและการบุกรุกอุทยานแห่งชาติทับลาน เริ่มโดยกลุ่มธุรกิจประกาศขายที่ดินในเขตอุทยานฯ เมื่อมีการ ตกลงซื้อขาย นักการเมืองและข้าราชการท้องถิ่น เช่น สมาชิกสภา จังหวัด กำ�นัน และนายกองค์การบริหารส่วนตำ�บลได้ออกใบภาษี บำ�รุงท้องที่ (ภ.บ.ท. 5) ให้ผู้ซื้อใช้อ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ดิน โดย จ่ายภาษีเพียงไร่ละ 5 บาทต่อปี ทั้งที่ใบ ภ.บ.ท. 5 ไม่ใช่เอกสาร สิทธิ์ิ แต่ผู้ซื้อบางคนอาจถูกหลอกว่าใบ ภ.บ.ท. 5 เป็นเอกสาร สิทธิ์ิ ทำ�ให้มั่นใจว่าครอบครองที่ดินได้อย่างถูกต้อง เพราะมีการ ทำ�สัญญาการซื้อขายที่ดินในสำ�นักงาน อบต. โดยมีผู้ใหญ่บ้าน และกำ�นันร่วมเป็นพยาน และแม้บางคนจะทราบว่าใบ ภ.บ.ท. 5 ไม่ใช่เอกสารสิทธิ์ิ แต่ก็แอบหวังว่าจะได้รับเอกสารสิทธิ์ิในอนาคต นอกจากนี้ นายหน้าค้าที่ดินบางกลุ่มยังใช้วิธีซื้อสิทธิ์อยู่ อาศัยและทำ�กินจากชาวบ้าน ซึ่งได้รับการผ่อนปรนให้อยู่อาศัย ในพื้นที่อุทยานฯ แต่มิได้รับเอกสารสิทธิ์ิ เพราะชาวบ้านอาศัยอยู่ ในพื้นที่ก่อนประกาศเป็นเขตอุทยานฯ โดยปัจจุบันเหลือชาวบ้าน ครอบครองพื้นที่เพียงร้อยละ 15 ของพื้นที่ทั้งหมด ส่วนกรณีการบุกรุกอุทยานแห่งชาติสิรินาถ กระบวนการ ทุจริตเริ่มโดยเจ้าหน้าที่ของกรมที่ดินบางคนออกเอกสารสิทธิ์ิที่ดิน ในอุทยานฯ ซึ่งขัดกับกฎหมายที่ดิน และเมื่อพนักงานสอบสวน คดี สำ�นักคดีอาญาพิเศษ ตรวจสอบการบุกรุกอุทยานฯ ก็พบว่า กลุ่มผู้มีอิทธิพลและกลุ่มธุรกิจเข้าไปสำ�รวจที่ดินในอุทยานแห่ง ชาติและประกาศขาย เมื่อมีการตกลงซื้อขายและวางเงินมัดจำ� กลุ่มผู้มีอิทธิพลและกลุ่มธุรกิจก็จะเร่งให้เจ้าหน้าที่ของกรมที่ดิน ดำ�เนินการออกเอกสารสิทธิ์ิหรือโฉนด ดำ�รง พิเดช อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และ พันธุ์พืช ให้สัมภาษณ์ว่า เจ้าหน้าที่ของกรมที่ดินทำ�ผิดกฎระเบียบ การออกเอกสารสิทธิ์ิ เพราะชี้แนวเขตในการออกเอกสารสิทธิ์ิใน พื้นที่ป่า โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ของกรมป่าไม้ร่วมรับรอง ที่สำ�คัญ เอกสารสิทธิ์ิและโฉนดที่กลุ่มธุรกิจใช้อ้างในการ ก่อสร้างโรงแรมและรีสอร์ตในอุทยานฯ ออกในปี 2532 และ 2541 แต่การออกเอกสารสิทธิ์ิในพื้นที่ดังกล่าวไม่สามารถทำ�ได้ เพราะกรมป่าไม้เวนคืนที่ดินในเขตอุทยานฯ และจ่ายเงินชดเชย ให้กับประชาชนที่ถือครองเอกสารสิทธิ์ิเพื่อประกาศเป็นเขตป่า สงวนแห่งชาติเขารวก-เขาเมืองไปแล้วตั้งแต่ปี 2507 และต่อมา ในปี 2524 กรมป่าไม้ได้ประกาศให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่ง ของอุทยานแห่งชาติสิรินาถ ซึ่งกฎหมายห้ามมิให้ออกโฉนดที่ดิน การบุกรุกอุทยานแห่งชาติทั้ง 2 แห่ง พบว่า เจ้าหน้าที่ของ กรมอุทยานฯ หรือกรมป่าไม้บางคนมีส่วนสนับสนุนการบุกรุก หรือแม้แต่เป็นผู้บุกรุกเอง เช่น • อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติทับลานคนหนึ่งถูกตรวจสอบ พบว่า ทำ�ไร่ยางพาราในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน • ปี 2543 ศรัณย์ ใจสะอาด อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติ ทับลาน เข้าจับกุมบ้านทะเลหมอกรีสอร์ต ซึ่งบุกรุกพื้นที่ อุทยานฯ และศาลมีคำ�สั่งให้รื้อถอนรีสอร์ต แต่ตัวแทน ผู้ประกอบการบ้านทะเลหมอกรีสอร์ตเข้าพบอธิบดีกรมป่าไม้ ในขณะนั้น เพื่อขอเช่าพื้นที่ประกอบกิจการต่อไป ซึ่ง ทำ�ให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถรื้อถอนได้ ทั้งที่สำ�นักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่สามารถ ให้เช่าได้ • ปี 2554 อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติสิรินาถ รับรองว่าที่ดิน ในอุทยานฯซึ่งโครงการบ้านพักตากอากาศแห่งหนึ่งกำ�ลังขอ ออกโฉนด เป็นที่ดินที่ได้มาโดยชอบตามกฎหมายที่ดิน และ ภายหลังถูกตรวจสอบพบว่า เป็นผู้ลงนามอนุมัติให้องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นสร้างถนนเข้าพื้นที่ป่า และอนุญาตให้ และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 181
  • 154. กลุ่มธุรกิจปักเสาไฟฟ้าใน เขตอุทยาน • หลังจากรับรองการซื้อขาย ที่ดินให้กับกลุ่มธุรกิจ เจ้าหน้าที่ของ อบต. และ เทศบาลยังอนุมัติให้ กลุ่มธุรกิจก่อสร้างบ้าน พักและอาคาร รวมทั้ง สร้างสาธารณูปโภคใน พื้นที่อุทยานฯ ด้วย เช่น ตัดถนนและนำ�ไฟฟ้าเข้า พื้นที่ เป็นต้น นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจ บางกลุ่มยังใช้พื้นที่มากกว่าที่ ระบุในเอกสารสิทธิ์ิ เช่น ตาม รายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ มติชน บริษัท ทรีดอลฟินซ จำ�กัด อ้างกรรมสิทธิ์ที่ดิน ส.ค. 1 จำ�นวน 20 ไร่ ในอุทยาน แห่งชาติสิรินาถแต่กรมอุทยานฯ ตรวจสอบพบว่ามีการขยาย การครอบครองที่ดินประมาณ 200 ไร่ หรือโครงการบ้านพัก ตากอากาศแห่งหนึ่งมีเนื้อที่ ประมาณ 10 ไร่ ทั้งที่เอกสาร สิทธิ์ิ น.ส. 3 ก ระบุว่าสามารถ ใช้ได้พื้นที่ได้ประมาณ 7 ไร่ ผลกระทบต่อประชาชน • การบุกรุกอุทยานแห่งชาติเป็นการถ่ายโอนสมบัติของประชาชนทุกคนไปสู่การ ครอบครองของคนบางกลุ่ม เพื่อใช้ประโยชน์ส่วนตัว • การสร้างรีสอร์ตและโรงแรมในเขตอุทยานแห่งชาติเป็นการทำ�ลายป่าไม้และ สิ่งแวดล้อมอันอุดมสมบูรณ์ ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม • การบุกรุกอุทยานแห่งชาติทับลาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ อาจ ทำ�ให้ป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ถูกจัดเข้าสู่บัญชีมรดกโลกที่อยู่ในภาวะถูกคุกคาม และ อาจถูกถอดถอนจากบัญชีมรดกโลกในที่สุด สถานะของคดี กรณีการบุกรุกอุทยานแห่งชาติทับลาน • กรมอุทยานฯ แจ้งความดำ�เนินคดีกับผู้บุกรุก 429 คดี โดยมี 381 คดี อยู่ในขั้นตอน ของพนักงานสอบสวน และมี 50 คดีที่สิ้นสุดแล้ว ซึ่งศาลสั่งให้รื้อถอนสิ่งก่อสร้าง โดยกรมอุทยานฯ และผู้บุกรุกรื้อถอนแล้ว 27 แห่ง ส่วนอีก 23 แห่ง อยู่ระหว่างการ พิจารณาของศาลปกครอง เพื่อสั่งคุ้มครองหรือให้รื้อถอน • กรมอุทยานฯ ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการทำ�งานของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ ทับลานประมาณ 10 คน ซึ่งรวมถึงอดีตหัวหน้าอุทยานฯ • กรมอุทยานฯ แจ้งความดำ�เนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีส่วนกับการซื้อขายที่ดินและ การอนุญาตแบบการก่อสร้างรีสอร์ตและบ้านพักตากอากาศในเขตอุทยานฯ กรณีการบุกรุกอุทยานแห่งชาติสิรินาถ • ปี 2555 กรมอุทยานฯ ตรวจสอบพบว่า มีโรงแรมและบ้านพัก 14 แห่ง บุกรุก พื้นที่อุทยานแห่งชาติสิรินาถ และแจ้งความดำ�เนินคดีกับผู้บุกรุกทั้ง 14 ราย รวมทั้ง เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีส่วนกับการออกเอกสารสิทธิ์ิและโฉนดโดยมิชอบ พร้อมทั้งส่ง หนังสือให้กรมที่ดินพิจารณาเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ิในเขตอุทยานฯ • ช่วงต้นปี 2556 คดียังอยู่ในขั้นตอนของพนักงานสอบสวน ซึ่งแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วน แรก พนักงานสอบสวนรับผิดชอบดำ�เนินคดีเอง อีกส่วนหนึ่ง พนักงานสอบสวนส่ง เรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำ�เนินคดี เมนูคอร์รัปชัน182
  • 155. ต่อ 2 คดี เพราะเป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งกรมอุทยานฯ กรมป่าไม้ กรมที่ดิน รวมถึงเจ้าหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกี่ยวข้องกับการออกเอกสารสิทธิ์ิ • กรมอุทยานฯ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนอดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติสิรินาถที่ลงนาม อนุมัติให้มีการสร้างถนนและปักเสาไฟฟ้าในเขตอุทยาน และให้เจ้าหน้าที่แจ้งความ ดำ�เนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของ อบต. และหน่วยงานฝ่ายปกครองที่สร้างถนน ประปา และไฟฟ้า รุกล้ำ�ในเขตอุทยาน • เดือนเมษายน 2556กรมอุทยานฯเข้าตรวจสอบพื้นที่ที่มีการออกเอกสารสิทธิ์ิจำ�นวน 3,500 ไร่ พร้อมทั้งขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำ�นักงานป้องกัน และปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ร่วมตรวจสอบการบุกรุก โดย ปปง. ดำ�เนินการ ตรวจสอบเส้นทางการเงินของกลุ่มนายทุนที่บุกรุก และใช้กฎหมายฟอกเงินดำ�เนินคดี กับผู้กระทำ�ผิด เอกสารอ้างอิง อุทยานแห่งชาติทับลาน • 433 รีสอร์ทผุดกลางป่า, หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ, 18 มกราคม 2555. • กระแสแฟชั่น ‘วังน้ำ�เขียว-ทับลาน’ นายหน้าค้าที่ดิน ‘อู้ฟู่’ ในชั่วพริบตา, หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์, 1 กันยายน 2554. • เกียร์ว่าง! สางปัญหาทับลาน-วังน้ำ�เขียว ไม่ตั้งอธิบดีอุทยานฯ รัฐบาลเสียรังวัด, หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์, 7 ธันวาคม 2555. • แกะรอยออก ‘ใบ ภ.บ.ท. 5’ ชนวนนายทุนซื้อที่ดินในเขตป่า, หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ, 22 สิงหาคม 2554. • ครบรอบ 1 ปี ลุยจับรุกป่า ‘ทับลาน’ รื้อถอน 418 คดี โยงใยไปถึง ‘เขาใหญ่’, หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์, 27 กรกฎาคม 2555. • แฉ ‘ปลอด’ เคยหาช่องให้ ‘บ้านทะเลหมอก’ เช่าทับลาน, หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ, 11 สิงหาคม 2555. • ดำ�รงค์เล็งรื้อรีสอร์ททับลาน ‘บ้านทะเลหมอก’ มูลค่า 200 ล้านโดนด้วย, ไทยรัฐออนไลน์, 21 มิถุนายน 2555. • นิติฯ มธ. ออกโรงรณรงค์ไม่เที่ยวรีสอร์ทรุกป่าวังน้ำ�เขียว-ทับลาน, เว็บไซต์ เดลินิวส์, 29 พฤษภาคม 2556. • บี้ฟัน อบต. ที่อนุญาตให้รีสอร์ตรุก พท. ป่า, ไทยรัฐออนไลน์, 22 ธันวาคม 2554. • ย้ายด่วนอธิบดีอุทยานฯ นั่งเก้าอี้ผู้ตรวจเซ่น ‘วังน้ำ�เขียว’, หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์, 7 กันยายน 2554. • เรียก ส.ส. แจงฮุบ ส.ป.ก. วังน้ำ�เขียว อดีต หน. อุทยานฉาว!, ASTV ผู้จัดการรายวัน, 15 สิงหาคม 2554. • ‘อบต.-เทศบาล’ หละหลวม ‘ภ.บ.ท. 5’ ประกาศซื้อ-ขายที่ดิน งาบป่ากันสนุก!, หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์, 5 สิงหาคม 2554. อุทยานแห่งชาติสิรินาถ • ‘6 แปลง’ รุกสิรินาถภูเก็ต ทวงเงิน 4.6 ล้าน ทุบรีสอร์ตทับลาน, หนังสือพิมพ์ มติชน, 18 มกราคม 2556. • กรมอุทยานฯ-ดีเอสไอ-ปปง.ลุยขอคืนที่ดินจากนายทุน, หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการรายวัน, 29 เมษายน 2556. • กรมอุทยานฯ เผยมีหลักฐานเด็ดมัดที่ดินออกเอกสารสิทธิ์ิรุกอุทยานฯ สิรินาถ, เว็บไซต์ เดลินิวส์, 5 กันยายน 2555. • จ่อเพิกถอนโฉนด 11 โรงแรมหรูภูเก็ต รุกที่อุทยานใน 30 วัน, หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ, 16 สิงหาคม 2555. • แจ้งจับ 14 รีสอร์ตรุก ‘สิรินาถ’ ยื่นฟัน จนท. ออกเอกสารสิทธิ์ิ์, หนังสือพิมพ์ มติชน, 26 กันยายน 2555. • แฉ จนท. รัฐเอี่ยวรุกป่าภูเก็ต-ส่ง ปปช. ฟัน, เว็บไซต์ ข่าวสด, 8 กุมภาพันธ์ 2556. • ‘ดำ�รงค์’ แย้มเจ้าของโฉนดที่ดินภูเก็ตชื่อระดับบิ๊ก, กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, 16 สิงหาคม 2555. • ดำ�รงค์ลุยแจ้งจับรีสอร์ทหมื่นล้านรุกอุทยาน 640 ไร่, หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์, 26 กันยายน 2555. • ดีเอสไอลุยฟ้องเอง บุกรุก ‘สิรินาถ’, หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์, 23 มีนาคม 2556. • ปปง. พร้อมใช้ กม. ฟอกเงินสอบนายทุนรุกป่า, กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, 28 กุมภาพันธ์ 2556. • สอบอดีตหัวหน้าอุทยานป่าสิรินาถ, ไอเอ็นเอ็น, 13 มิถุนายน 2555. • อดีต หน. อุทยานฯ สิรินาถรับรองออกโฉนดที่ดินงอกเพิ่มจาก 7 เป็น 10 ไร่ให้ฝรั่ง, เว็บไซต์เดลินิวส์, 14 มีนาคม 2556. • อนุ กมธ. ฟัน ‘พูลแมน’ ผุด รร. รุกหาดในยาง นายกระยองโต้ดำ�รงค์ ลั่นปิดเองท่าเรือ อบจ., หนังสือพิมพ์ มติชน, 12 กันยายน 2555. • อุทยานฯ ไล่รื้อบ้านพัก คัดทัวร์ชั้นดีนอนเต็นท์, หนังสือพิมพ์ มติชน, 27 สิงหาคม 2555. • DSI งัด กม. ฟอกเงินยึดทรัพย์นายทุนรุกป่า, กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, 17 กุมภาพันธ์ 2556. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 183
  • 156. ในกรณ�อุทยานแหงชาติทับลาน นักธุรกิจสามารถซื้อขายที่ดิน ในอุทยานไดอยางผิดกฎหมาย โดยนักการเมืองและขาราชการ ทองถิ�นออกใบภาษีบำรุงทองที่ให ผูซื้อที่ดินเพื่อใชเปนหลักฐาน ในการอางกรรมสิทธิ์ และรับรอง การซื้อขายที่ดินโดยรวมเปนพยาน ในการทำสัญญาซื้อขาย ในกรณ�อุทยานแหงชาติสิรินาถ เจาหนาที่บางรายของกรมที่ดิน ออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินในอุทยาน เพื่อรับรองการอางสิทธิ์ในที่ดิน และการซื้อขายที่ดิน เชื่อกันวาทั้งสองกรณ� เจาหนาที่ บางรายของกรมปาไมหรือ กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช น�าจะมีสวนรูเห็น กับการบุกรุก หรือเปนผูบุกรุก เสียเอง ในขณะที่นักการเมือง และขาราชการทองถิ�นชวยกัน อนุมัติแบบกอสราง พรอมทั้ง ชวยตัดถนนและนำไฟฟาเขา พื้นที่บุกรุก การบุกรุกพ�้นที่ป†ายังคงเปšนป˜ญหาใหญ‹ ของประเทศไทย โดยมักเกิดจากการสมคบ กันระหว‹างผูŒที่ตŒองการบุกรุกกับเจŒาหนŒาที่ของรัฐ การบุกรุกพ�้นที่อุทยานแห‹งชาติทับลานและสิร�นาถ ถูกตรวจสอบอย‹างเขŒมขŒนในช‹วงป‚ 2554-2555 ซึ่งสิ�งที่พบก็ไม‹ต‹างจากที่เคยเกิดข�้นมาแลŒว นั่นก็คือมีการร‹วมมือกันระหว‹างนักการเมือง ขŒาราชการ และนักธุรกิจ ในการถ‹ายโอนที่ดิน อุทยานไปใหŒเศรษฐีและนักธุรกิจ เพ�่อสรŒางร�สอรต โรงแรม และบŒานพักตากอากาศ ผลกระทบต‹อ ประชาชน • การบุกรุกอุทยานแหงชาติ เปนการถายโอนสมบัติของ ประชาชนทุกคน ไปสูการ ครอบครองของคนบางกลุม เพื่อใชประโยชนสวนตัว • การสรางรีสอรตและโรงแรม ในเขตอุทยานแหงชาติ เปนการทำลายปาไมและ สิ�งแวดลอมอันอุดมสมบูรณ ซึ�งทำใหเกิดปญหาสิ�งแวดลอม • การบุกรุกอุทยานแหงชาติ ทับลาน ซึ�งเปนสวนหนึ�งของ ปาดงพญาเย็น-เขาใหญ อาจทำใหปาดงพญาเย็น-เขาใหญ ถูกจัดเขาสูบัญชีมรดกโลก ที่อยูในภาวะถูกคุกคาม และอาจ ถูกถอดถอนจากบัญชีมรดกโลก ในที่สุด บันได 4 ขั้น 01 02 03 04 กลุมนักธุรกิจสำรวจและ ประกาศขายที่ดินในเขต อุทยาน ทั้งที่ตนไมมีสิทธิ์ เมื่อมีคนมาติดตอซื้อที่ดิน นักการเมืองและขาราชการ ที่สมคบกันก็รับรองการซื้อขาย ที่ดินโดยการออกใบภาษีบำรุง ทองที่ เพื่อเปนหลักฐานอาง กรรมสิทธิ์ หรือออกเอกสารสิทธิ์ ทับที่ดินในอุทยาน ขาราชการและนักการเมือง อนุมัติแบบการสรางโรงแรม และบานพักตากอากาศ พรอมทั้งอนุมัติใหตัดถนน และนำไฟฟาเขาพื้นที่อุทยาน นักธุรกิจใชพื้นที่กอสราง โรงแรมมากกวาที่ระบุ ในเอกสารสิทธิ์ รุกที่อุทยานทับลาน-สิร�นาถ: ซื้อขายที่ดินไรŒเอกสารสิทธิ์/ ออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ 30 สถานะ • กรมอุทยานฯ แจงความดำเนินคดี กับผูบุกรุกอุทยานแหงชาติทับลาน 429 คดี โดยมี 381 คดีอยูใน ขั้นตอนของพนักงานสอบสวน และมี 50 คดีที่สิ้นสุดแลว และตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ การทำงานของเจาหนาที่อุทยาน แหงชาติทับลานประมาณ 10 คน ซึ�งรวมถึงอดีตหัวหนาอุทยาน ป 2555 • กรมอุทยานฯ พบวามีโรงแรม และบานพัก 14 แหงบุกรุกที่ดิน ในเขตอุทยานแหงชาติสิรินาถ จึงแจงความดำเนินคดีกับผูบุกรุก ทั้ง 14 ราย พรอมทั้งสงหนังสือ ใหกรมที่ดินพิจารณาเพิกถอน เอกสารสิทธิ์ในพื้นที่อุทยาน และตั้งคณะกรรมการสอบสวน อดีตหัวหนาอุทยานแหงชาติ สิรินาถ ซึ�งลงนามอนุมัติใหมี การสรางถนนและปกเสาไฟฟา ในพื้นที่อุทยาน และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน 185184
  • 157. 31 ผู้พิทักษ์เศรษฐกิจ นอกกฎหมาย ปูมหลัง สังศิต พิริยะรังสรรค์ และคณะ ให้ความหมายของ ‘เศรษฐกิจนอกกฎหมาย’ ว่า หมายถึง กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในบัญชีรายได้ประชาชาติ เป็นกิจกรรมที่ไม่มีการเสียภาษี และกฎหมายไม่ให้การรับรอง โดยกิจกรรมต่างๆ ประกอบด้วย หนึ่ง ธุรกิจผิดกฎหมาย เช่น หวยใต้ดิน บ่อนการพนัน พนันฟุตบอล จับยี่กี การค้ายาเสพติด การปล่อยเงินกู้นอกระบบ และเพศพาณิชย์ สอง การทุจริตทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน เช่น เงินใต้โต๊ะที่นักธุรกิจจ่ายให้กับนักการเมือง และข้าราชการ และส่วยประเภทต่างๆ ที่ตำ�รวจเรียกเก็บจากพ่อค้าและนักธุรกิจ สาม การหลีกเลี่ยงภาษีของธุรกิจเอกชน สี่ ธุรกิจนอกระบบ ซึ่งครอบคลุมผู้ประกอบอาชีพอิสระทั้งในและนอกภาคเกษตรกรรม เช่น มอเตอร์ไซค์รับจ้าง รถตู้โดยสารผิดกฎหมาย สุราพื้นบ้าน ธนาคารหมู่บ้าน กลุ่มออมทรัพย์ต่างๆ รวมถึงหาบเร่แผงลอย1 1  สังศิต พิริยะรังสรรค์, นวลน้อย ตรีรัตน์ และนพนันท์ วรรณเทพสกุล, คอร์รัปชัน: นักการเมือง ข้าราชการ และนักธุรกิจ, กรุงเทพฯ: ศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2547. เมนูคอร์รัปชัน186
  • 158. จากสภาพของธุรกิจนอกกฎหมายเกือบทุกประเภทที่มีลักษณะเป็นความผิดอาญา ตำ�รวจจึง อยู่ในฐานะกำ�กับ ควบคุม และตรวจสอบธุรกิจเหล่านี้ได้ตามกฎหมาย ด้วยเหตุนี้ กฎหมายจึงเอื้อ ให้ตำ�รวจมีโอกาสเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์จากธุรกิจนอกกฎหมายได้ การพนัน แม้จะมีข้อห้ามทางกฎหมาย แต่ด้วยความต้องการของนักพนันที่เพิ่มขึ้นโดยตลอด และ ผลตอบแทนที่สูงกว่าการพนันแบบถูกกฎหมาย ประกอบกับความหลากหลายของการพนันและ เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำ�ให้มีผู้ประกอบการการพนันเป็นจำ�นวนมากทั่วประเทศ ซึ่งคนกลุ่มนี้เอง ที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายที่ทุจริตกับกลุ่มนักพนันที่ต้องการเสี่ยงโชค สังศิตและคณะ ประมาณการว่า ในปี 2544 ตำ�รวจได้รับส่วยจากบ่อนการพนันขั้นต่ำ� 6,670-13,650 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 7.1-9.2 ของผลกำ�ไรของบ่อนการพนันทั่วประเทศ และในปีเดียวกันตำ�รวจได้รับส่วยจากเจ้ามือหวยใต้ดินทั่วประเทศ 10,600-10,800 ล้านบาท ซึ่ง คิดเป็นร้อยละ 2 ของยอดขายหวยใต้ดินทั้งประเทศ นอกจากนี้ ตำ�รวจยังได้รับส่วยจากหวยรายวัน อีกประมาณปีละ 400-500 ล้านบาท และหากตำ�รวจได้รับส่วยจากการพนันประเภทอื่น เช่น การ พนันฟุตบอล หวยหุ้น หวยออมสิน และหวย ธ.ก.ส. ประมาณร้อยละ 2 ของกำ�ไรที่เจ้ามือได้รับ ตำ�รวจจะมีรายได้จากการพนันฟุตบอลปีละ 240-320 ล้านบาท หวยหุ้น 80-96 ล้านบาท หวย ออมสิน 650 ล้านบาท และหวย ธ.ก.ส. 650 ล้านบาท กล่าวโดยสรุป ในปี 2544 ตำ�รวจได้รับส่วยจากธุรกิจการพนันผิดกฎหมายอย่างน้อย 19,000-27,000 ล้านบาท2 2  เพิ่งอ้าง, หน้า 135-136. เส้นทางผลประโยชน์ สังศิตและคณะ ศึกษาการหาผลประโยชน์ของตำ�รวจจากธุรกิจผิดกฎหมาย โดยเจาะจงธุรกิจ ผิดกฎหมาย 4 ประเภท คือ การพนัน การขนส่งมวลชน แรงงานต่างด้าว และธุรกิจบริการทางเพศ และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 187
  • 159. เมนูคอร์รัปชัน การขนส่งมวลชน การทุจริตในระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทยมีที่มาจาก การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของผู้ใช้บริการ จนกระทั่งระบบขนส่ง มวลชนที่มีอยู่เดิมไม่สามารถให้บริการได้อย่างเพียงพอ และ เนื่องจากกฎหมายไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ทำ�ให้ตำ�รวจสามารถแทรกตัวเข้ามาแบ่งปันค่าเช่าทางเศรษฐกิจ จากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องโดยตรง ‘มอเตอร์ไซค์รับจ้าง’ คือผลผลิตชนิดหนึ่งจากการขยายตัว ของเมือง ด้วยราคาค่าโดยสารที่ไม่แพงและมีความคล่องตัว มากกว่า ทำ�ให้ประชาชนจำ�นวนมากเลือกใช้บริการมอเตอร์ไซค์ รับจ้าง โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน ในปี2546หลังรัฐบาลจัดระเบียบมอเตอร์ไซค์รับจ้างพบว่า มีวินที่จดทะเบียนทั่วประเทศประมาณ 9,000 วิน และมีผู้ขับขี่ มอเตอร์ไซค์รับจ้างประมาณ200,000คนโดยผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ รับจ้างต้องจ่าย ‘ค่าวิน’ รวมทั่วประเทศประมาณ 4,100 ล้านบาท ค่าวิน คือส่วยที่ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างต้องจ่ายให้ตำ�รวจ หรือผู้ที่ทำ�งานให้ตำ�รวจ โดยค่าวินทั่วประเทศแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนแรกเป็นของคนคุมวินในกรุงเทพฯประมาณ1,500ล้านบาท ต่อปี ส่วนที่สองเป็นของคนคุมวินในต่างจังหวัด ประมาณ 750 ล้านบาทต่อปี และส่วนที่สามเป็นของตำ�รวจ ประมาณ 1,800 ล้านบาทต่อปี3 อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันส่วยที่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ต้องจ่ายให้แก่ตำ�รวจได้ลดลงไปมาก หลังจากรัฐบาลจัดระเบียบ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง 3  เพิ่งอ้าง, หน้า 138. นอกจากนี้ ‘รถตู้’ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการเดินทาง ในยุคปัจจุบัน ในปี 2546 คาดว่ามีรถตู้ขนส่งมวลชนประมาณ 10,000-10,366 คัน ในจำ�นวนนี้เป็นรถที่จดทะเบียนโดย ถูกกฎหมายหรือ ‘รถป้ายเหลือง’ จำ�นวน 5,566 คัน และรถ ที่วิ่งโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือ ‘รถป้ายดำ�’ ประมาณ 4,300- 4,800 คัน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นรถที่วิ่งโดยถูกกฎหมายหรือผิด กฎหมาย หัวหน้าวินก็จะต้องจ่ายเงินให้กับสถานีตำ�รวจในเส้น ทาง โดยสถานีตำ�รวจที่เป็นพื้นที่ต้นทางและพื้นที่ปลายทาง จะได้รับเงินเดือนละ 10,000 บาท ส่วนสถานีตำ�รวจที่เป็น เส้นทางผ่านจะได้รับเงิน 3,000-5,000 บาทต่อเดือน ตำ�รวจ จราจรกลาง 3,000-5,000 บาทต่อเดือน และตำ�รวจทางด่วน 3,000-5,000 บาทต่อเดือน จากการศึกษาพบว่า ในปี 2545 สถานีตำ�รวจที่ดูแลพื้นที่ ซึ่งเป็นสถานีต้นทางและสถานีปลายทาง จำ�นวน 32 แห่ง จาก เส้นทางทั้งหมด 235 เส้นทาง มีรายได้รวมกันอย่างน้อย 27.36 ล้านบาทต่อปี4 4  เพิ่งอ้าง, หน้า 144-145. 188
  • 160. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ แรงงานต่างด้าว นอกจากกระทรวงแรงงานและกระทรวงสาธารณสุข หน่วย งานที่เกี่ยวข้องกับแรงงานต่างด้าว (ทั้งเข้าเมืองโดยถูกกฎหมาย และผิดกฎหมาย) ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยจำ�นวน 1,162,373 คน5 ก็คือ สำ�นักงานตำ�รวจแห่งชาติ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ ตำ�รวจตรวจคนเข้าเมืองในพื้นที่ ตำ�รวจภูธร ตำ�รวจสันติบาล ตำ�รวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ตำ�รวจน้ำ� ตำ�รวจกองปราบ และ ตำ�รวจตรวจคนเข้าเมืองจากส่วนกลาง จากการศึกษา พบว่าแรงงานต่างด้าวต้องจ่ายเงินให้กับ นายหน้าหรือผู้นำ�ทางรายละ 1,500-2,000 บาท นอกจากนี้ยัง ต้องจ่ายเงินให้ตำ�รวจเพื่อความสะดวกในการเดินทางไปยังสถาน ประกอบการรายละ 5,000 บาท รวมเป็นเงินที่แรงงานต้องจ่าย 6,000-7,000 บาทต่อคน ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการแต่ละราย ก็ต้องจ่ายเงินให้ตำ�รวจ 20,000 บาทต่อเดือน แยกเป็นตำ�รวจ สายสืบ 4,000 บาทต่อเดือน ตำ�รวจสอบสวน 4,000 บาทต่อ เดือน ตำ�รวจตรวจคนเข้าเมือง 4,000 บาทต่อเดือน ตำ�รวจท้องที่ 4,000 บาทต่อเดือน และตำ�รวจสันติบาล 4,000 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ ผู้ประกอบการต้องรวมตัวกันตามขนาดของการ จ้างงาน เพื่อจ่ายเงินให้ตำ�รวจเป็นรายเดือน โดยกลุ่มผู้ประกอบ การขนาดใหญ่จ่าย 100,000 บาทต่อเดือน กลุ่มผู้ประกอบ การขนาดกลางจ่าย 10,000-30,000 บาทต่อเดือน และกลุ่มผู้ ประกอบการขนาดเล็กจ่าย 5,000-10,000 บาทต่อเดือน สังศิตและคณะ ประมาณการว่าผู้ประกอบการที่ใช้แรงงาน ต่างด้าวทั่วประเทศ ต้องจ่ายเงินให้ตำ�รวจประมาณ 1,500- 1,800 ล้านบาทต่อปี6 5  ข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2555 จาก สถานการณ์แรงงานต่างด้าวปี 2555, http:// www.apecthai.org/apec/th/econnews.php?id=834 6  เพิ่งอ้าง, หน้า 149-150. ธุรกิจบริการทางเพศ ผู้ประกอบการรายหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่าธุรกิจอาบอบนวด แต่ละแห่งใช้เงินลงทุนประมาณ 150 ล้านบาท แต่จะคืน ทุนภายใน 2 ปี และมีกำ�ไรมากกว่าร้อยละ 70 ขณะที่ธุรกิจ ประเภทนี้มีผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการเพียง113ราย ทั่วประเทศ7 อีกทั้งกฎหมายไม่มีความไม่ชัดเจน จึงทำ�ให้มี การลักลอบเปิดบริการแฝงในสถานบริการประเภทอื่น ซึ่ง กลายเป็นช่องทางให้เจ้าหน้าที่ของรัฐหาผลประโยชน์ จากการศึกษาพบว่า สถานประกอบการที่มีใบอนุญาต เปิดสถานบริการอาบอบนวดทั่วประเทศต้องจ่ายเงินให้ ตำ�รวจทุกเดือน โดยแบ่งเป็น 3 อัตรา กล่าวคือ สถาน ประกอบการระดับเกรด A จ่ายแห่งละ 2 ล้านบาทต่อเดือน สถานประกอบการระดับเกรด B จ่ายแห่งละ 1 ล้านบาท ต่อเดือน และสถานประกอบการระดับเกรด C จ่ายแห่ง ละ 5 แสนบาทต่อเดือน สังศิตและคณะ ประมาณการว่า ผู้ประกอบการธุรกิจอาบอบนวดทั่วประเทศต้องจ่ายเงินให้ ตำ�รวจอย่างน้อย 500 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ ผู้ประกอบ การยังต้องให้ตำ�รวจใช้บริการฟรีเดือนละ 1-2 ครั้ง ครั้งละ 2-3 คน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายคนละอย่างน้อย 3,500 บาท8 ผาสุก พงษ์ไพจิตร ระบุว่า ผู้ประกอบการรายหนึ่งซึ่ง เป็นเจ้าของอาบอบนวด 6 แห่ง ต้องจ่ายเงินให้ตำ�รวจเดือน ละ 12 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 15-16 ของรายได้สุทธิ ของผู้ประกอบการรายนั้น ขณะที่จ่ายภาษีให้รัฐบาลเพียง เดือนละ 3 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 4 ของรายได้สุทธิ9 นอกจากผู้ประกอบการธุรกิจอาบอบนวดต้องจ่าย ส่วยให้ตำ�รวจแล้ว ยังต้องจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่สำ�นักงานเขต กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อื่นๆ อีกด้วย10 7  เพิ่งอ้าง, หน้า 153. 8  เพิ่งอ้าง, หน้า 154. 9  ผาสุก พงษ์ไพจิตร, การแบ่งรายได้จากผู้หญิงหากิน, หนังสือพิมพ์ มติชน, 27 สิงหาคม 2546, หน้า 6. 10 สังศิต พิริยะรังสรรค์ และคณะ, อ้างแล้ว, หน้า 154. 189
  • 161. เมนูคอร์รัปชัน ผลกระทบต่อประชาชน กล่าวโดยสรุป ปี 2544 ธุรกิจการพนันในประเทศมีเงินหมุนเวียน 1.5-1.8 ล้านล้านบาท มี มูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น 3.5-4.1 แสนล้านบาท และเป็นรายได้ของตำ�รวจ 19,000-27,000 ล้านบาท ปี 2545 ธุรกิจมอเตอร์ไซค์รับจ้างทั่วประเทศมีเงินหมุนเวียนนอกระบบ 27,600 ล้านบาท เป็นค่าวิน 4,100 ล้านบาท และเป็นรายได้ของตำ�รวจ 1,800 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจรถตู้โดยสาร ทั้งประเทศมีเงินหมุนเวียน 3,300-3,900 ล้านบาท เป็นเงินนอกระบบ 1,700-2,205 ล้านบาท และเป็นรายได้ของตำ�รวจอย่างน้อย 50 ล้านบาท ปี 2544 ในธุรกิจที่ใช้แรงงานต่างด้าว แรงงานและนายจ้างต้องจ่ายเงินให้นายหน้าและตำ�รวจ หน่วยต่างๆ อย่างน้อย 2,200-2,500 ล้านบาทต่อปี เงินจำ�นวนนี้เป็นของตำ�รวจ 1,500-1,800 ล้านบาทต่อปี ปี 2545 ประเทศไทยมีหญิงบริการประมาณ 2 แสนคน ในจำ�นวนนี้เป็นหญิงบริการในอาบ อบนวดประมาณ 30,000 คน หญิงบริการเหล่านี้มีรายได้ 10,000-45,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่ง ในจำ�นวนนี้เป็นรายได้ของตำ�รวจอย่างน้อย 500 ล้านบาทต่อปี ภาพรวมของปี 2544/2545 ตำ�รวจจึงมีรายได้จากธุรกิจทั้ง 4 ประเภท อย่างน้อย 23,000- 31,000 ล้านบาท11 ในนามของ ‘ผู้พิทักษ์เศรษฐกิจนอกกฎหมาย’ 11 เพิ่งอ้าง, หน้า 155-156. 190
  • 162. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ เอกสารอ้างอิง • ผาสุก พงษ์ไพจิตร, การแบ่งรายได้จากผู้หญิงหากิน, หนังสือพิมพ์ มติชน, 27 สิงหาคม 2546. • สถานการณ์แรงงานต่างด้าวปี 2555, http://www.apecthai.org/apec/th/econnews. php?id=834 • สังศิต พิริยะรังสรรค์, นวลน้อย ตรีรัตน์ และนพนันท์ วรรณเทพสกุล, คอร์รัปชัน: นักการเมือง ข้าราชการ และนักธุรกิจ, กรุงเทพฯ: ศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2547. 191
  • 163. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน การพนัน การขนส‹งมวลชน แรงงานต‹างดŒาว และธุรกิจบร�การทางเพศ คือธุรกิจนอกกฎหมาย 4 ประเภทที่สังศิต พ�ร�ยะรังสรรค และคณะพบว‹า มีตำรวจเขŒาไปแสวงหาผลประโยชนมาก การศึกษาดังกล‹าวพบว‹าในป‚ 2544 ตำรวจไดŒรับส‹วยจากธุรกิจการพนันอย‹างนŒอย 19,000-27,000 ลŒานบาท ซึ่งสูงกว‹าธุรกิจอีก 3 ประเภท เฉพาะในกรุงเทพฯ มีเงินหมุนเวียน ในธุรกิจการพนันปละ 1.8-2 แสนลานบาท ซึ�งในจำนวนน�้ เปนการจายสวยใหกับตำรวจ เพื่อแลกกับการเปดบอนประมาณ 5-20% ของรายได หรือคิดเปนเงิน 2,000-8,000 ลานบาท ตำรวจนครบาลรายหนึ�ง ใหขอมูลวา เหตุที่บอนการพนัน ยังมีอยู ไมใชเพราะจับยาก หรือเพราะไมมีขอมูล แตเน��องจาก มีขบวนการจายสวยตั้งแต ระดับลางจนถึงระดับบน โดยแตละพื้นที่จะมีผูรับผิดชอบ โดยตรง ตำรวจชั้นผูนอยจึง ‘ตามน้ำ’ โดย ‘นาย’ จะเปน ผูจัดสรรผลประโยชนใหอีกตอหนึ�ง ธุรกิจการพนันจึงเปนตัวอยางที่ แสดงใหเห็นวาตำรวจไดกลายเปน ผูพิทักษเศรษฐกิจนอกกฎหมาย ตำรวจ: ผูŒพ�ทักษเศรษฐกิจ นอกกฎหมาย 31 1,800 ลŒานบาท/ป‚ การขนส‹ง มวลชน 500 ลŒานบาท/ป‚ ธุรกิจบร�การ ทางเพศ 19,000-27,000 ลŒานบาท/ป‚ การพนัน 1,500-1,800 ลŒานบาท/ป‚ แรงงานต‹างดŒาว 193192
  • 164. 32 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กินรวบครบวงจร ปูมหลัง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ได้รับมอบอำ�นาจการบริหารจัดการท้องถิ่นตั้งแต่ช่วงต้น ทศวรรษ 2540 ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 โดย การกระจายอำ�นาจนี้มุ่งหมายว่า อปท. จะได้รับอิสระในการบริหารงานมากขึ้น สามารถกำ�หนด นโยบายสาธารณะในระดับท้องถิ่นที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่ได้ดียิ่ง ขึ้น ทั้งในด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน สวัสดิการพื้นฐาน และโครงการส่งเสริมคุณภาพชีวิต ปี 2554 ประเทศไทยมี อปท. 7,853 แห่ง แบ่งเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) 75 แห่ง เทศบาล 1,619 แห่ง องค์การบริหารส่วนตำ�บล (อบต.) 6,157 แห่ง และองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษอีก 2 แห่ง คือกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา อปท. ได้รับรายได้สำ�หรับการบริหารจัดการจากส่วนกลางเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2542 อปท. มีรายได้ 97,747 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 13.79 ของรายได้สุทธิของรัฐบาล และในปี 2555 อปท. มีรายได้ 529,978 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 26.77 ของรายได้สุทธิ ของรัฐบาล1 1  ดวงมณี เลาวกุล, การปฏิรูปการกระจายอำ�นาจการคลังสู่ท้องถิ่น, กรุงเทพฯ: เปนไท, 2555. เมนูคอร์รัปชัน194
  • 165. อย่างไรก็ตาม มีการตรวจสอบพบว่า อปท. ทุจริตข้างค่อนมาก โดยเฉพาะการจัดซื้อจัดจ้าง ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การกำ�หนดโครงการและวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง การกำ�หนดราคาในการจัดซื้อจัด จ้าง การทำ�สัญญา และการตรวจรับงาน โดยเจ้าหน้าที่ของ อปท. นักการเมืองท้องถิ่น และกลุ่ม ธุรกิจ ร่วมกันหาผลประโยชน์จากงบประมาณของรัฐ ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะคดีทุจริตของ อบจ. เทศบาล และ อบต. ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคดีที่สำ�นักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบพบ และ เผยแพร่ในรายงานผลการปฏิบัติงานประจำ�ปีงบประมาณ 2550 และ 2551 เส้นทางผลประโยชน์ ขั้นตอนการกำ�หนดโครงการและวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง เจ้าหน้าที่ของ อปท. กำ�หนดโครงการซ้ำ�ซ้อนกับโครงการของหน่วยงานอื่นที่กำ�ลังดำ�เนินงาน หรือดำ�เนินงานเสร็จไปแล้ว เพื่อเอื้อประโยชน์แก่เอกชนคู่สัญญา โดยเอกชนอาจไม่จำ�เป็นต้อง ดำ�เนินการใดๆหรือดำ�เนินการไม่ครบตามสัญญาแต่ได้รับค่าตอบแทนครบตามสัญญาตัวอย่างเช่น • ปี 2545 อบจ.ขอนแก่น ดำ�เนินโครงการขุดลอกลำ�ห้วยกระดูกเสือ ยาว 969 เมตร งบประมาณ580,000บาทโดยจัดจ้างบริษัทเจริญทรัพย์หนองเรือแต่โครงการนี้ถูกตรวจสอบ พบว่าซ้ำ�ซ้อนกับโครงขุดคลองของ อบต.โนนทอง ซึ่งดำ�เนินการเสร็จสิ้นตั้งแต่ปี 2544 โดย บริษัท เจริญทรัพย์หนองเรือ ขุดลอกคลองต่อจากโครงการของ อบต.โนนทอง เพิ่มอีกเพียง 93 เมตร แต่ได้รับค่าตอบแทนครบตามสัญญา ทั้งนี้ สมาชิกของสภา อบจ.ขอนแก่น ผู้เสนอโครงการ ยังถูกตรวจสอบพบว่ามีผลประโยชน์ ร่วมกับบริษัท เจริญทรัพย์หนองเรือ โดยสมาชิกสภา อบจ.ขอนแก่น เป็นภรรยาของกรรมการ ผู้จัดการของบริษัท และเคยถือหุ้นในบริษัท ก่อนจะดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมือง2 สำ�หรับการกำ�หนดวิธีการจัดซื้อจัดจ้างเจ้าหน้าที่ของอปท.หลีกเลี่ยงวิธีการสอบราคาและการ ประกวดราคา โดยใช้วิธีการตกลงราคาแทน ซึ่งง่ายต่อการเอื้อประโยชน์แก่บริษัทผู้ขายและผู้รับจ้าง 2  อรทัย ก๊กผล, ความขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ส่วนรวม: กรณีศึกษาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (Con- flict of Interest), ใน ความขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม, กรุงเทพฯ: สํานักงานคณะกรรมการข้าราชการ พลเรือน, 2546. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 195
  • 166. เมนูคอร์รัปชัน บางราย และเป็นการกีดกันบริษัทอื่น โดยเจ้าหน้าที่มักแบ่ง งบประมาณของโครงการเดียวกันเป็นการจัดซื้อจัดจ้างย่อยๆ เพื่อ ลดวงเงินการจัดซื้อจัดจ้างให้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อครั้ง ซึ่ง ตามกฎระเบียบจะสามารถใช้วิธีการตกลงราคาได้ ทั้งนี้ ในการจัด จ้างดังกล่าว หน่วยงานสามารถตกลงราคากับผู้ขายหรือผู้รับจ้าง ได้โดยตรงโดยไม่ต้องเปิดโอกาสให้รายอื่นเข้าแข่งขัน ตัวอย่างเช่น • ปี 2546 อบต.ขัวเรียง จังหวัดขอนแก่น จัดทำ�โครงการ ก่อสร้างถนน 6 สาย งบประมาณ 395,632 บาท โดยนายก อบต.ขัวเรียง สั่งให้แบ่งการจัดจ้างเป็น 6 โครงการ และใช้ วิธีตกลงราคา ทั้งที่เจ้าหน้าที่พัสดุเสนอให้รวมการจ้างงาน เป็นโครงการเดียวกันและใช้วิธีสอบราคา นอกจากนี้ นายก อบต.ขัวเรียง ยังสั่งให้จ้างบริษัทที่เสนอราคาสูงกว่าบริษัทอื่น โดยไม่ได้ระบุเหตุผล ขั้นตอนการกำ�หนดราคา ในการจัดซื้อจัดจ้าง เจ้าหน้าที่ของ อปท. ดำ�เนินการจัดซื้อจัดจ้างในราคาสูง เกินควร หรือกำ�หนดราคากลางสูงเกินควร ซึ่งเอื้อประโยชน์แก่ ผู้ขายและผู้รับจ้าง โดยผู้ขายและผู้รับจ้างอาจมีผลประโยชน์ร่วม กับเจ้าหน้าที่ของ อปท. หรืออาจแบ่งผลประโยชน์บางส่วนให้กับ เจ้าหน้าที่ที่ร่วมทุจริต ตัวอย่างเช่น • ในปี2547อบต.ไผ่พระจังหวัดพระนครศรีอยุธยาดำ�เนินการ จัดซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างอาคารที่ทำ�การ วงเงิน 2.5 ล้านบาท โดยเจ้าหน้าที่ของ อบต. เลือกใช้วิธีพิเศษ ทั้งที่ไม่จำ�เป็นต้อง จัดซื้อที่ดินที่มีลักษณะเฉพาะ ภายหลังสำ�นักงานการตรวจ เงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบพบว่า อบต.ไผ่พระ ซื้อที่ดิน ของสหกรณ์การเช่าซื้อที่ดินบางไทร จำ�กัด ซึ่งมีนายก อบต. ไผ่พระ ดำ�รงตำ�แหน่งกรรมการในขณะนั้น ในราคา 2.4 ล้าน บาท ซึ่งสูงกว่าราคาประเมินที่ 1.26 ล้านบาท • เทศบาลนครลำ�ปางดำ�เนินการจัดซื้อที่ดินเพื่อกำ�จัดขยะ มูลฝอยประมาณ 260 ไร่ โดยใช้งบประมาณ 24.69 ล้าน บาท หรือประมาณไร่ละ 92,000 บาท แต่ สตง. ตรวจ สอบพบว่า เจ้าของที่ดินได้รับเงินเพียงไร่ละ 30,000 บาท ขณะที่นายหน้าค้าที่ดินกลุ่มหนึ่งได้รับผลประโยชน์ จากส่วนต่าง 60,000 บาท โดยนายหน้าขอซื้อที่ดิน จากเจ้าของที่ดินและขายที่ดินให้คณะกรรมการจัดซื้อ ที่ดิน ซึ่งถือว่าผิดกฎระเบียบของราชการที่กำ�หนดให้คณะ กรรมการจัดซื้อที่ดินต้องติดต่อกับเจ้าของที่ดินโดยตรง อีกทั้งเจ้าหน้าที่ของเทศบาลยังสั่งจ่ายเงินให้แก่นายหน้า ซึ่งขัดกับกฎระเบียบที่กำ�หนดให้ต้องจ่ายเงินกับเจ้าของ ที่ดินโดยตรงอีกเช่นกัน ขั้นตอนการพิจารณา คุณสมบัติของผู้เสนอราคา เจ้าหน้าที่ของ อปท. กำ�หนดเงื่อนไขที่ไม่เปิดโอกาสให้ บุคคลทั่วไปแข่งขันเสนอราคาอย่างเป็นธรรม เช่น • ในปี 2548 อบจ.สกลนคร ได้รับเงินอุดหนุนเพื่อดำ�เนิน โครงการส่งเสริมและพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการศึกษาให้แก่โรงเรียน วงเงิน 43.7 ล้านบาท โดย โครงการนี้ให้โรงเรียนเป็นผู้เลือกซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ และโปรแกรมที่ต้องการ แต่ปลัด อบจ.สกลนคร ส่ง บันทึกเสนอความคิดเห็นให้แต่ละโรงเรียนในเขตพื้นที่ การศึกษา เขต 1 จัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์และโปรแกรม ที่มีคุณลักษณะตามบันทึกดังกล่าว โดยคุณลักษณะของ โปรแกรมคล้ายกับโปรแกรมบทเรียนชุด Edu Pac CAI ของร้านค้าแห่งหนึ่งซึ่งเป็นตัวแทนจำ�หน่ายเพียงผู้เดียว ในจังหวัด • ในปี 2551 สตง. ตรวจสอบพบว่า เทศบาลเมืองตำ�บล ปากแพรก (ปัจจุบันคือเทศบาลเมืองทุ่งสง) จังหวัด นครศรีธรรมราช ดำ�เนินการจัดจ้างงานก่อสร้างระบบ กำ�จัดขยะครบวงจร วงเงิน 15.6 ล้านบาท โดยใช้วิธี 196
  • 167. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ ประกวดราคา แต่กำ�หนดคุณสมบัติผู้เสนอราคาว่า ต้องมี ผลงานการก่อสร้างระบบกำ�จัดมูลฝอย ระบบบำ�บัดน้ำ�เสีย อาคาร และถนนของราชการส่วนท้องถิ่นหรือรัฐวิสาหกิจ มูลค่ารวมกันไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท อันเป็นการกำ�หนด ผลงานเกินกว่าร้อยละ 50 ของวงเงินงบประมาณ ซึ่งขัดกับ กฎระเบียบ และกีดกันผู้รับจ้างบางราย นอกจากนี้ ยังมีกรณีเจ้าหน้าที่ของ อปท. กีดกันผู้เสนอราคา บางราย โดยไม่เผยแพร่ประกาศการจัดซื้อจัดจ้างให้ผู้ขายและ ผู้รับจ้างทราบโดยทั่วกัน หรืออ้างเหตุผลหรือเกณฑ์บางประการ ซึ่งเป็นการตัดสิทธิ์ของผู้เสนอราคาบางราย ทั้งที่ประกาศการ ประกวดราคาไม่ได้กำ�หนดเกณฑ์ดังกล่าว เช่น • อบต.บ้านเหล่า จังหวัดมุกดาหาร จัดซื้อจักรอุตสาหกรรม เป็นเงิน 2.9 ล้านบาท ด้วยการประกวดราคา ซึ่งในปี 2551 สตง. ตรวจสอบพบว่า มีผู้เสนอราคามาอย่างถูกต้อง 4 ราย จาก 11 ราย แต่คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวด ราคารับไว้พิจารณาเพียงรายเดียว โดยอ้างเหตุผลว่าผู้เสนอ ราคารายอื่นมีสำ�นักงานอยู่ไกล จึงไม่สะดวกให้บริการหลัง การขาย บางรายไม่ได้เสนอการจัดอบรม แต่เสนอว่าหาก จักรชำ�รุดจะซ่อมแซมให้ภายใน 2-3 วัน ซึ่งคณะกรรม การฯ เห็นว่านานเกินไป ทั้งที่ประกาศการประกวดราคา มิได้กำ�หนดว่าผู้เสนอราคาต้องจัดอบรม และกำ�หนดว่าต้อง ซ่อมแซมจักรไม่เกิน 15 วัน • เทศบาลเมืองมุกดาหารดำ�เนินการจ้างเหมาก่อสร้างระบบ ระบายน้ำ�และขยายช่องจราจร วงเงิน 10.5 ล้านบาท โดย วิธีประกวดราคา แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้เผยแพร่ประกาศการ ประกวดราคา และยังปลอมหลักฐานการเผยแพร่ประกาศ ราคา ซึ่งในปี 2550 สตง. ตรวจสอบพบว่า ผู้รับจ้างได้จ่าย เงินให้เจ้าหน้าที่ 1 ล้านบาท เป็นค่าตอบแทนสำ�หรับการ ช่วยเหลือให้ได้เป็นคู่สัญญา ในบางกรณีผู้ขายและผู้รับจ้างบางรายกีดกันไม่ให้ผู้อื่นเสนอ ราคา โดยอาจใช้กำ�ลังหรือให้เงินตอบแทน เช่น • ปี 2554 อบจ.สระแก้ว จัดการประมูลเพื่อจ้างปรับปรุง ระบบภูมิทัศน์บริเวณอาคารสำ�นักงาน อบจ. วงเงิน ก่อสร้างประมาณ 10 ล้านบาท โดยกำ�หนดให้ผู้ที่ ต้องการเสนอราคาซื้อเอกสารการประมูลระหว่างวันที่ 8-22 เมษายน แต่ปรากฏว่ามีกลุ่มบุคคลยืนอยู่บริเวณ หน้าสำ�นักงาน อบจ. และอ้างว่าห้างหุ้นส่วนจำ�กัด ส.วิริยะ ซึ่งเจ้าของเป็นญาติของ เสนาะ เทียนทอง ได้ รับจ้างงานนี้แล้ว พร้อมทั้งเสนอเงิน 10,000 บาทให้แก่ เจ้าหน้าที่ของอบจ.เพื่อให้ช่วยกีดกันตัวแทนของบริษัทอื่น ซื้อเอกสารการประมูล ขั้นตอนการทำ�สัญญา และการตรวจรับงาน เจ้าหน้าที่ของ อปท. กำ�หนดเงื่อนไขในสัญญาที่ทำ�ให้ภาค รัฐเสียเปรียบ โดยกำ�หนดให้ส่งมอบสินค้าและงานที่มีคุณภาพ และมูลค่าต่ำ�กว่าค่าตอบแทนที่จ่ายให้แก่ผู้ขายและผู้รับจ้าง หรือโดยตัดทอนงานภายหลังทำ�สัญญา โดยไม่ได้แก้ไขสัญญา เพื่อลดผลตอบแทน นอกจากนี้ คณะกรรมการตรวจรับงานยัง ตรวจรับการส่งงานและอนุมัติให้จ่ายค่าตอบแทน ทั้งที่งานไม่มี คุณภาพหรือไม่ครบตามที่กำ�หนดในสัญญา ตัวอย่างเช่น • ในปี 2549 อบต.กมลา จังหวัดภูเก็ต จัดจ้างโครงการ ก่อสร้างเขื่อนและบูรณะถนน วงเงิน 20 ล้านบาท ต่อมา สตง. ตรวจสอบพบว่า นายก อบต. นำ�แบบรูปรายการ และใบแจ้งประมาณราคาของบริษัทที่ปรึกษาซึ่งไม่มีผู้ลง นามรับผิดชอบ มาใช้เป็นเอกสารแนบท้ายสัญญาแทน เอกสารของฝ่ายโยธาธิการ โดยการกระทำ�ดังกล่าวมีผล ในการลดมูลค่าของการก่อสร้างลงเหลือ 14.6 ล้านบาท อีกทั้งผู้ควบคุมงานและคณะกรรมการตรวจจ้างได้ตรวจ และรับรองงานงวดที่ 2 ตามสัญญา พร้อมทั้งจ่ายเงินให้ผู้รับจ้าง 5 ล้านบาท ทั้งที่ผู้รับจ้างมิได้ก่อสร้างถนน เพราะแขวงการทาง ภูเก็ตได้ก่อสร้างไว้แล้ว นอกจากนี้ อบต.กมลา ยังลดค่าปรับการ 197
  • 168. เมนูคอร์รัปชัน ส่งมอบงานล่าช้า โดยผู้รับจ้างส่งงานเกินเวลาที่กำ�หนดใน สัญญา 208 วัน แต่ อบต. คิดค่าปรับเพียง 55 วัน สถานะของคดี • รายงานผลการปฏิบัติงานประจำ�ปีงบประมาณ 2551 ของ สตง. ระบุว่า การสุ่มตรวจการจัดซื้อ จัดจ้างของหน่วยราชการพบว่ามี อบจ. ร้อยละ 66 เทศบาลร้อยละ 47 และ อบต. ร้อยละ 40 ทำ�ผิดกฎ ระเบียบ ขณะที่มีหน่วยราชการส่วนกลางและส่วน ภูมิภาคที่ทำ�ผิดกฎระเบียบ ร้อยละ 25 • ปี 2552 สำ�นักนายกรัฐมนตรีรายงานต่อคณะ รัฐมนตรีว่า อปท. เป็นหน่วยงานรัฐที่ถูกแจ้งว่ามี การทุจริตมากที่สุด คือ 139 เรื่อง จากทั้งหมด 335 เรื่อง • คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ (ป.ป.ช.) ระบุว่า ในช่วงปี 2544-2552 อปท. เป็นหน่วยงานรัฐที่ถูกกล่าวหาว่ามีการทุจริต มากที่สุดถึง 7,452 เรื่อง โดยมีเจ้าหน้าที่ อปท. ถูกกล่าวหา 13,683 ราย และในปี 2555 ร้อยละ 40 ของคดีที่เข้าสู่การพิจารณาของ ป.ป.ช. เป็นการ ทุจริตของ อปท. ผลกระทบต่อ ประชาชน • การทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างทำ�ให้งบประมาณของภาครัฐ รั่วไหล ประชาชนสูญเสียโอกาสในการได้รับประโยชน์จาก การใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าว • รายงานผลการปฏิบัติงานประจำ�ปีงบประมาณ 2551 ของ สตง. ระบุว่า จากการสุ่มตรวจการจัดซื้อจัดจ้าง อปท. หลาย แห่ง พบว่า มีการทำ�ผิดกฎระเบียบและมีการทุจริต ส่งผลให้ ภาครัฐเสียหายประมาณ 120 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 50 ของมูลค่าความเสียหายทั้งหมดของหน่วยราชการที่ถูก สุ่มตรวจ • ปี 2552 สำ�นักนายกรัฐมนตรีรายงานต่อคณะรัฐมนตรี ว่า การทำ�ผิดกฎระเบียบและการทุจริตของ อปท. ทำ�ให้ เกิดความเสียหายแก่รัฐประมาณ 519 ล้านบาท หรือคิด เป็นร้อยละ 30 ของมูลค่าความเสียหายของหน่วยราชการ ทั้งหมด • ประชาชนได้ใช้บริการสาธารณะที่ไม่มีคุณภาพ เช่น ถนน หรือเขื่อนที่ก่อสร้างได้ไม่ครบตามแบบของฝ่ายโยธาธิการ 198
  • 169. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ เอกสารอ้างอิง • ข่าวการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประจำ�วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน 2552. • แฉทุจริตงาบงบ อปท. ครองแชมป์สูงสุด, หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ, 15 ธันวาคม 2552. • ดวงมณี เลาวกุล, การปฏิรูปการกระจายอำ�นาจการคลังสู่ท้องถิ่น, กรุงเทพฯ: เปนไท, 2555. • ธีรยุทธ์ สำ�ราญทรัพย์, การบริหารงานพัสดุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า, 2551. • ป.ป.ช.-สตง. ล่าทุจริตองค์การปกครองท้องถิ่นผลาญงบแสนล้าน, ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 9 กรกฎาคม 2550. • เปิด 21 นักการเมืองท้องถิ่นกับพวกถูกเชือด ‘คอร์รัปชั่น-รวยผิดปกติ’ อดีตบิ๊ก กทม. เทศบาล อบต. เพียบ, มติชนออนไลน์, 2 กรกฎาคม 2556. • ‘วิชา’ ชี้ทุจริตเชิงนโยบายแพร่สู่ท้องถิ่น คดีโกง 40% มาจาก อปท., มติชนออนไลน์, 20 กรกฎาคม 2555. • สำ�นักงานการตรวจเงินแผ่นดิน, รายงานผลการปฏิบัติงานประจำ�ปีงบประมาณ 2550, 2550. • สำ�นักงานการตรวจเงินแผ่นดิน. รายงานผลการปฏิบัติงานประจำ�ปีงบประมาณ 2551, 2551. • อปท. ครองแชมป์โกงดับเพลิงดุ ปปช. งัด อสส., หนังสือพิมพ์ ไทยโพสต์, 18 สิงหาคม 2553. • อรทัย ก๊กผล, ความขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ส่วนรวม: กรณีศึกษาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (Conflict of Interest), ใน ความขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม, กรุงเทพฯ: สํานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน, 2546. • DSI จับสองลูกน้องนักการเมืองดังคดีฮั้วประมูล อบจ.สระแก้ว 10 ล้าน, ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 24 พฤษภาคม 2554. 199
  • 170. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน สถานะ • รายงานผลการปฏิบัติงาน ประจำปงบประมาณ 2551 ของ สตง. ระบุวา การสุมตรวจ การจัดซื้อจัดจางของหน�วยงาน ราชการ พบวามี อบจ. 66% เทศบาล 47% และ อบต. 40% ทำผิดกฎระเบียบ ซึ�งมากกวา หน�วยราชการสวนกลาง และสวนภูมิภาค ผลกระทบต‹อ ประชาชน • รายงานผลการปฏิบัติงาน ประจำปงบประมาณ 2551 ของ สตง. ระบุวา จากการสุมตรวจ การจัดซื้อจัดจาง อปท. หลายแหง ทำผิดกฎระเบียบและมีการทุจริต ซึ�งทำใหภาครัฐเสียหายประมาณ 120 ลานบาท หรือคิดเปน 50% ของมูลคาความเสียหายทั้งหมด ของหน�วยราชการที่ถูกสุมตรวจ • ประชาชนไดใชบริการสาธารณะ ที่ไมมีคุณภาพ เชน ถนน สะพาน หรือเขื่อน ที่ไมสามารถใชงานได องคกรปกครองส‹วนทŒองถิ�น: ทุจร�ตจัดซื้อจัดจŒาง ครบวงจร 32 ป‚ 2554 ประเทศไทยมีองคกรปกครองส‹วนทŒองถิ�น (อปท.) 7,853 แห‹ง แบ‹งเปšน อบจ. 75 แห‹ง เทศบาล 1,619 แห‹ง อบต. 6,157 แห‹ง และ อปท. รูปแบบพ�เศษอีก 2 แห‹ง (กรุงเทพฯ และเมืองพัทยา) โดย อปท. ทั่วประเทศมีงบประมาณเพ��มข�้น อย‹างต‹อเนื่อง ในป‚ 2555 อปท. มีรายไดŒ 529,978 ลŒานบาท หร�อ 26.77% ของรายไดŒรัฐ อย‹างไรก็ตาม การทุจร�ตเปšนสิ�งที่อยู‹คู‹กับ อปท. หลายแห‹ง โดยเฉพาะในการจัดซื้อจัดจŒาง ซึ่งมีตัวอย‹างของการทุจร�ตในทุกขั้นตอน ตั้งแต‹ตั้งโครงการไปจนถึงตรวจรับงาน 5 รูปแบบ การทุจร�ต 01 02 03 04 อปท. ตั้งโครงการซ้ำซอน กับโครงการของหน�วยงานอื่น หรือตั้งใจทำกิจกรรมไมตรงกับ วัตถุประสงคของโครงการ แตเปนประโยชนตอเอกชน ที่รับงาน เจาหนาที่แบงการจัดซื้อจัดจาง ในโครงการเปนหลายงวด เพื่อใชวิธีตกลงราคา ซึ�งงายตอการทุจริต ตั้งราคาจัดซื้อจัดจางสูงเกินจริง เพื่อเอื้อประโยชนแกเอกชน ที่รับงาน ซึ�งจะแบง ผลประโยชนกลับมาใหกับ เจาหนาที่ในภายหลัง กีดกันผูเสนอราคารายอื่น โดยไมเผยแพรประกาศ การจัดซื้อจัดจาง หรือตัดสิทธิ์ ผูเสนอราคาบางรายอยาง ไมเปนธรรม 05 ทำสัญญาใหภาครัฐเสียเปรียบ และตรวจรับงานทั้งที่งานไมมี คุณภาพหรือไมครบตามสัญญา งบ อปท. • สตง. พบวา อปท. จัดซื้อจัดจาง ผิดกฎระเบียบในแตละขั้นตอน ดังน�้ • การกำหนดโครงการ และวิธีการ 2.65% ของกรณ� ที่ตรวจพบ • การกำหนดราคา 35.34% ของกรณ�ที่ตรวจพบ • การพิจารณาคุณสมบัติ ของผูเสนอราคา 14.79% ของกรณ�ที่ตรวจพบ • การทำสัญญา 36.97% ของกรณ�ที่ตรวจพบ • การตรวจรับงาน 10.25% ของกรณ�ที่ตรวจพบ • ชวงป 2544-2552 อปท. เปนหน�วยงานที่ถูกกลาวหาตอ ป.ป.ช. วามีการทุจริตมากที่สุด (7,452 เรื่อง) โดยเฉพาะเรื่อง การจัดซื้อจัดจาง โดยมีผู ถูกกลาวหา 13,683 คน และ ในป 2555 คดีที่อยูในการพิจารณา ของ ป.ป.ช. เปนคดีการทุจริต ของ อปท. ถึง 40% 201200
  • 171. 33 ทำ�ผิดจ่ายถูก-ทำ�ถูกจ่ายแพง วิบากกรรมแรงงานต่างด้าว ปูมหลัง จากสถิติของสำ�นักบริหารแรงงานต่างด้าว ในเดือนเมษายน 2555 พบว่า มีแรงงานต่างด้าว ได้รับใบอนุญาตทำ�งานทั้งสิ้น 1,752,100 คน ในจำ�นวนนี้มีเพียง 839,913 คน หรือร้อยละ 47.9 ที่ผ่านการเข้าเมืองอย่างถูกกฎหมาย สภาวะแรงงานไทยในช่วงปี 2550-2555 จากการคาดการณ์โดยกระทรวงแรงงาน พบว่า ความต้องการแรงงานระดับล่างจะเพิ่มขึ้นอีก 300,000 คน ขณะที่แรงงานไทยที่จบชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 รองรับได้เพียง 100,000 คนเท่านั้น ทำ�ให้ความต้องการแรงงานต่างด้าวพุ่งสูงขึ้น การ บริหารจัดการด้านแรงงานต่างด้าว ทั้งดำ�เนินการกับกลุ่มที่ลักลอบเข้ามาอย่างผิดกฎหมายและ ควบคุมการเข้าเมืองอย่างถูกกฎหมายจึงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำ�คัญเร่งด่วน รัฐบาลไทยโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ (MOU) ด้านการจ้างแรงงานกับสาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาวเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2545 ต่อมาได้ลงนามกับราชอาณาจักรกัมพูชา เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2546 และลงนามกับสหภาพพม่าเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2546 เมนูคอร์รัปชัน202
  • 172. ต่อมาในช่วงปี 2552-2555 มีการจัดการแรงงานต่างด้าวอย่างเป็นระบบยิ่งขึ้น โดยอนุญาต ให้แรงงานที่เข้ามาโดยผิดกฎหมายสามารถลงทะเบียนแรงงานต่างด้าวและพิสูจน์สัญชาติเพื่อนำ�ไป สู่กระบวนการที่ถูกกฎหมาย (legalization) และผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวทำ�งานในประเทศไทย ต่อไปได้ อย่างไรก็ดี การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวของไทยกลับไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร เนื่องจากกฎระเบียบที่ขาดความยืดหยุ่น และการให้น้ำ�หนักกับความมั่นคงของชาติมากกว่ามิติด้าน เศรษฐกิจและความมั่นคงของมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้น การดำ�เนินการแบบผิดกฎหมายยังมีค่าใช้จ่าย น้อยกว่า รวดเร็วกว่า และเกิดประโยชน์กับทั้งแรงงานต่างด้าว นายจ้าง นายหน้า และในบางกรณี ครอบคลุมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย เส้นทางผลประโยชน์ การนำ�แรงงานต่างด้าวเข้ามาทำ�งานในประเทศไทยอย่าง ถูกกฎหมายตามข้อตกลง (MOU) มีขั้นตอนและค่าใช้จ่ายดังนี้ 1. การแจ้งความต้องการจ้างแรงงาน ต่างด้าว (โควตา) และการยื่นคำ�ร้อง ขอนำ�เข้าแรงงานต่างด้าว 1.1นายจ้างหรือสถานประกอบการแจ้งความต้องการจ้าง แรงงานต่างด้าว ณ สำ�นักจัดหางานกรุงเทพเขตพื้นที่ 1-10 หรือ สำ�นักงานจัดหางานจังหวัดที่คนต่างด้าวจะไปทำ�งาน ช่องทางหาผลประโยชน์:นายจ้างหรือสถานประกอบการ มักแจ้งความต้องการแรงงานต่างด้าวมากกว่าจำ�นวนที่ต้องการ ถ้าได้ตามที่ขอก็อาจนำ�โควตาที่ได้ไปขายต่อให้ผู้ประกอบการ รายอื่น หรือไม่ก็ขอโควตาไว้เฉยๆ แต่ยังใช้แรงงานต่างด้าวแบบ ผิดกฎหมายทั้งหมด เนื่องจากการพิสูจน์ทราบชื่อและเอกลักษณ์ บุคคลแรงงานต่างด้าวเป็นเรื่องที่ทำ�ได้ยาก เพราะหลายคนไม่มี เอกสารจากประเทศของตน และในหลายกรณี การขอโควตา เกินก็เป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายของนายหน้าที่รับดำ�เนินการแทน เพราะค่าใช้จ่ายคิดตามจำ�นวนครั้งที่ยื่นคำ�ร้อง ค่าใช้จ่ายในการดำ�เนินการ: 1,500-5,000 บาท 1.2 เมื่อนายจ้างหรือสถานประกอบการได้รับอนุญาตให้ จ้างแรงงานต่างด้าว กรมการจัดหางานจะออกหนังสือยืนยันการ มีโควตาจ้างแรงงานต่างด้าวให้กับนายจ้างหรือสถานประกอบการ ช่องทางหาผลประโยชน์: ในขั้นตอนนี้ หากผู้ได้รับ อนุญาตได้รับโควตาเกินความต้องการ ผู้นั้นก็อาจนำ�โควตา แรงงานต่างด้าวไปจัดสรรลงในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจอื่นที่ตนเอง เป็นเจ้าของหรือเป็นหุ้นส่วน หรือบางกรณีอาจขายโควตาให้กับ ผู้ประกอบการรายอื่นที่ไม่ได้โควตา ค่าใช้จ่ายในการดำ�เนินการ:ประมาณ 1,000 บาท (แต่หากมีการขายโควตาอาจมีราคาถึงหลักหมื่นบาท) และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 203
  • 173. เมนูคอร์รัปชัน 2. การยื่นคำ�ร้องขอนำ�แรงงานต่างด้าว เข้ามาทำ�งานในประเทศไทย 2.1 นายจ้างหรือสถานประกอบการที่ได้รับโควตาจ้าง แรงงานต่างด้าว ยื่นคำ�ร้องขอนำ�เข้าแรงงานต่างด้าวตาม MOU รวมถึงสำ�เนาหนังสืออนุญาตให้จ้างแรงงานต่างด้าวตามโควตา หนังสือแต่งตั้งให้บริษัทจัดหางานในประเทศต้นทางดำ�เนินการ จัดหาแรงงานและตัวอย่างสัญญาจ้างมาตรฐานต่อกรมการจัดหา งาน กระทรวงแรงงาน 2.2 กรมการจัดหางานตรวจสอบหลักฐานและเสนอต่อ กระทรวงแรงงาน เพื่อออกหนังสือแจ้งให้กระทรวงแรงงานของ ประเทศต้นทางทราบ 2.3 กรมการจัดหางานส่งเอกสารให้กับสถานทูตของ ประเทศต้นทาง เพื่อให้ส่งต่อเอกสารไปยังกระทรวงแรงงานของ ประเทศตน 2.4 เมื่อบริษัทจัดหางานในประเทศต้นทางหาคนงานได้ แล้ว บริษัทจะส่งบัญชีรายชื่อของคนงานให้กระทรวงแรงงาน ของประเทศต้นทางประทับตราและลงนามรับรอง ก่อนจะส่งมา ให้นายจ้างหรือสถานประกอบการของไทยเพื่อดำ�เนินการต่อไป ช่องทางหาผลประโยชน์: ในขั้น 2.1-2.4 จะมีการ ขอใบอนุญาตออกหนังสือไปมาระหว่างหน่วยงานภาครัฐของ ประเทศไทยและประเทศต้นทาง ซึ่งส่วนมากจะดำ�เนินการโดย นายหน้าหรือบริษัทจัดหางานในสองประเทศ ทำ�ให้มีการจ่าย สินบนหรือ ‘ค่าน้ำ�ร้อนน้ำ�ชา’ ในทุกขั้นตอน หลายครั้งนายหน้า หรือบริษัทจัดหางานที่คุ้นเคยกับหน่วยงานภาครัฐอาจดำ�เนินการ แบบรวบรัด ซึ่งเหมาะสำ�หรับนายจ้างที่ต้องการใช้แรงงานต่างด้าว แบบทันท่วงทีและจำ�นวนมากแต่ผู้ประกอบการหรือนายจ้างรายนั้น ก็จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมให้นายหน้าหรือบริษัทจัดหางาน ทำ�ให้เกิดกลุ่มอิทธิพล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศต้นทาง ค่าใช้จ่ายในการดำ�เนินการ: 3,000-9,000 บาท (แตกต่างกันไปตามประเทศต้นทางและความสลับซับซ้อนของ แต่ละกรณี โดยมากเป็นค่าธรรมเนียม แต่การทำ�ถูกกฎหมายก็ยัง มีค่าน้ำ�ร้อนน้ำ�ชาระหว่างการดำ�เนินการเพื่ออำ�นวยความสะดวก) 3. การขอใบอนุญาตทำ�งาน 3.1 เมื่อนายจ้างหรือสถานประกอบการได้รับรายชื่อ แรงงานต่างด้าวที่ผ่านการรับรองอย่างเป็นทางการให้ยื่นรายชื่อ และหนังสือของนายจ้างซึ่งระบุด่านพรมแดนที่คนต่างด้าวจะ เดินทางผ่าน พร้อมคำ�ขออนุญาตทำ�งาน แทนแรงงานต่างด้าว ณ สำ�นักงานจัดหางานจังหวัดที่สถานที่ทำ�งานของแรงงาน ต่างด้าวตั้งอยู่ ส่วนในเขตกรุงเทพฯ ให้ยื่นเอกสาร ณ กองการ จัดระบบการนำ�เข้าแรงงานต่างด้าว พร้อมเอกสารประกอบ 3.2สำ�นักงานจัดหางานจังหวัดส่งบัญชีรายชื่อให้กับกรม การจัดหางาน โดยกรมการจัดหางานจะแจ้งสถานทูตหรือสถาน กงสุลไทยในประเทศต้นทาง รวมถึงสำ�นักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อดำ�เนินการออกวีซ่าและอนุญาตให้พำ�นักอยู่ในประเทศไทย ช่องทางหาผลประโยชน์: ในขั้นตอนนี้การปลอม เอกสารราชการมักเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นจำ�นวนแรงงาน ต่างด้าวที่ได้รับอนุมัติ จำ�นวนที่จะเดินทางไปยังด่านพรมแดน ด่านพรมแดนที่ระบุ และที่สำ�คัญคือขั้นตอนการขอวีซ่ามา ทำ�งานในประเทศไทย ซึ่งบริษัทนายหน้าหรือกลุ่มผู้มีอิทธิพล ในการจัดหาแรงงานจากประเทศต้นทางมักจะเรียกค่าตอบแทน ทำ�ให้ผู้ประกอบการต้องเสียค่าใช้จ่ายให้บริษัทนายหน้าที่รับ ดำ�เนินการขอวีซ่าเข้าประเทศไทยชนิดยากที่จะต่อรอง ขณะเดียวกัน การแจ้งรายชื่อและจำ�นวนแรงงานต่างด้าว กับกรมการจัดหางานก็มักเกิดความคลาดเคลื่อน บ่อยครั้ง มีการเรียกเก็บค่าดำ�เนินการต่างๆ เพิ่มจากค่าธรรมเนียม เพื่อ เป็นการอำ�นวยความสะดวกในการดำ�เนินการทางเอกสารของ ทั้งสองประเทศ ค่าใช้จ่ายในการดำ�เนินการ: 3,000-4,000 บาท 4. การออกใบอนุญาตทำ�งานของ แรงงานต่างด้าว 4.1 บริษัทจัดหางานในประเทศต้นทาง นำ�แรงงาน ต่างด้าวไปยื่นขอรับการตรวจลงตราเข้าประเทศไทย ณ สถาน ทูตหรือสถานกงสุลของไทยที่ตั้งอยู่ ณ ประเทศต้นทาง 204
  • 174. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 4.2เมื่อแรงงานต่างด้าวได้รับวีซ่าเข้ามาทำ�งานประเทศไทย และผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองจะได้รับการประทับตราอนุญาตให้ อยู่ในราชอาณาจักรไทย 2 ปี จากนั้นนายจ้างจะต้องพาแรงงาน ต่างด้าวไปตรวจสุขภาพภายใน 3 วัน และยื่นคำ�ร้องขอรับ ใบอนุญาตทำ�งานภายในระยะเวลาที่กำ�หนด 4.3 แรงงานต่างด้าวที่ขอใบอนุญาตทำ�งานจะต้องจ่ายค่า ธรรมเนียม (ปีละ 1,800 บาท) ใบอนุญาตทำ�งานตามระยะเวลา ที่แรงงานต่างด้าวขออนุญาตทำ�งาน แต่ไม่เกิน 1 ปี ช่องทางหาผลประโยชน์: ขั้นตอนนี้ค่อนข้างตรงไป ตรงมา แต่เนื่องจากมีหลายขั้นตอน และทุกขั้นตอนมีค่าใช้จ่าย อีกทั้งการดำ�เนินการต้องทำ�ทุกปี ทำ�ให้นายจ้างอาจใช้วิธีให้ นายหน้าไปดำ�เนินการแทน ซึ่งหลายครั้งนายหน้าจะจ่ายเงินให้ กับเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อให้อำ�นวยความสะดวก ค่าใช้จ่ายในการดำ�เนินการ:ประมาณ 5,000 บาท ต่อปี (รวมค่าตรวจลงตรา ค่าตรวจสุขภาพ ค่าต่ออายุใบอนุญาต และอื่นๆ) นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในกระบวนการยื่นคำ�ร้อง ขอใบอนุญาตที่นายหน้าเรียกเก็บจากนายจ้างรายละประมาณ 4,000-5,000 บาท ทำ�ให้ค่าใช้จ่ายในการนำ�แรงงานต่างด้าว เข้ามาทำ�งานโดยถูกกฎหมายอยู่ที่ประมาณ17,500-29,000บาท ต่อคน แตกต่างกันไปตามประเทศต้นทางและธุรกิจที่ดำ�เนินการ ขณะที่แรงงานต่างด้าวในฐานะนักท่องเที่ยวซึ่งเข้ามาทำ�งาน โดยผิดกฎหมาย มีค่าใช้จ่ายประมาณ 3,000-4,000 บาทต่อ คน มิหนำ�ซ้ำ�ระยะเวลาที่ใช้ในการดำ�เนินการก็แตกต่างกันมาก โดยค่าเฉลี่ยของระยะเวลาการขอวีซ่านักท่องเที่ยวอยู่ที่ 1-2 สัปดาห์ ขณะที่กระบวนการนำ�เข้าแรงงานต่างด้าวถูกกฎหมาย อยู่ที่ 3-6 เดือน ด้วยเหตุที่การนำ�เข้าแรงงานต่างด้าวอย่างถูกกฎหมายตาม MOUมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการนำ�เข้าแรงงานต่างด้าวแบบนักท่องเที่ยว กว่า 10 เท่า ทำ�ให้เกิดแรงจูงใจในการหาผลประโยชน์จากทั้งฝ่าย นายจ้าง บริษัทนายหน้า รวมถึงแรงงานต่างด้าวเอง โดยนายจ้าง มีแรงจูงใจเรื่องค่าใช้จ่ายที่ลดลงและมีอำ�นาจต่อรองเหนือแรงงาน ต่างด้าวที่มีสถานะผิดกฎหมาย ขณะที่แรงงานต่างด้าวหากเข้า ประเทศอย่างถูกกฎหมายก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงกว่า ซึ่งรายได้ ที่ได้รับก็ไม่มากพอจะปลดหนี้สินจากการกู้ยืมมาดำ�เนินการ ให้ถูกกฎหมาย หลายรายจึงอยู่ในภาวะจำ�ยอมที่ต้องอยู่อย่าง ละเมิดกฎหมาย ผลกระทบต่อ ประชาชน • นายจ้างที่จ้างแรงงานต่างด้าวแบบถูกกฎหมายต้อง เสียค่าใช้จ่ายและเสียเวลามากกว่าการจ้างแรงงาน ต่างด้าวแบบผิดกฎหมายมาก • แรงงานต่างด้าวหรือนายจ้างถูกเรียกเก็บสินบนโดย ผู้มีอิทธิพลหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ • แรงงานต่างด้าวที่รัฐไม่สามารถดูแลได้มีจำ�นวน มากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคงและปัญหาการ ควบคุมโรคติดต่อ เอกสารอ้างอิง • กรมการจัดหางาน, ขั้นตอนการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว, http://www.doe.go.th/ download/foreign.html • ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ และฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์, การจัดการแรงงานอพยพต่างชาติ ในระยะยาว, โครงการ A Policy Study on the Management of Undocumented Migrant Workers in Thailand, สำ�นักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ, 2539. • สำ�นักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, สถิติเผยแพร่ แรงงานต่างด้าว, http://social.nesdb.go.th/social/Default.aspx?tabid=131 205
  • 175. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน ผลกระทบต‹อ ประชาชน • นายจางที่จางแรงงานตางดาว แบบถูกกฎหมายตองเสียคาใชจาย และเสียเวลามากกวาการจาง แรงงานตางดาวแบบผิดกฎหมาย มาก ทำใหเกิดตนทุนสูง • แรงงานตางดาวหรือนายจาง ถูกเรียกเก็บสินบนโดยผูมี อิทธิพลหรือเจาหนาที่ของรัฐ • ประเทศไทยมีแรงงานตางดาว ที่รัฐไมสามารถดูแลไดมากขึ้น ซึ�งอาจสงผลตอความมั�นคงและ ปญหาการควบคุมโรคติดตอ แรงงานต‹างดŒาว: ทำผิดจ‹ายถูก ทำถูกจ‹ายแพง 32 เดือนเมษายน 2555 มีแรงงานต‹างดŒาวที่ไดŒรับ ใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยทั้งหมด ประมาณ 1.8 ลŒานคน ในจำนวนนี้มีนŒอยกว‹าคร�่ง ที่ผ‹านการเขŒาเมืองโดยถูกกฎหมาย ซึ่งสาเหตุหลัก คือขั้นตอนตามกฎหมายที่ยุ‹งยากและมีค‹าใชŒจ‹ายสูง โดยหากดำเนินการอย‹างถูกกฎหมาย นายจŒาง ตŒองเสียค‹าใชŒจ‹ายมากกว‹าการจŒางแบบผิดกฎหมาย ถึงประมาณ 7 เท‹า (ข�้นอยู‹กับสัญชาติและระยะเวลา รับประกันการจŒางงาน) และอาจตŒองใชŒเวลา มากกว‹า 90 วัน ขณะที่การนำเขŒาแรงงาน แบบผิดกฎหมายใชŒเวลาเพ�ยง 7-14 วันเท‹านั้น นอกจากนี้ ขั้นตอนที่ยุ‹งยากเหล‹านี้ยังเอื้อ ใหŒเจŒาหนŒาที่บางส‹วนเร�ยกรับผลประโยชน เพ�่อแลกกับการอำนวยความสะดวก ในแต‹ละขั้นตอน 1 ค‹าดำเนินการ ในแต‹ละขั้นตอน (ถูกกฎหมาย) ต‹อคน 01 นายจางแจงความตองการจาง แรงงานตางดาว ประมาณ 1,500-5,000 บาท 02 กรมการจัดหางานออกหนังสือ ยืนยันการมีโควตา ประมาณ 1,000 บาท 03 นายจางยื่นคำรองขอนำ แรงงานตางดาวเขามาทำงาน ประมาณ 3,000-9,000 บาท 04 นายจางยื่นขอใบอนุญาต ทำงานแทนแรงงานตางดาว ประมาณ 3,000-4,000 บาท 05 การนำแรงงานตางดาวเขา ประเทศและการออกใบอนุญาต ทำงาน ประมาณ 5,000 บาท และคาใชจาย ‘อื่นๆ’ ประมาณ 4,000-5,000 บาท 17,500-29,000บาท ใชŒเวลา 90-180วัน ถูกกฎหมาย 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 3,000-4,000บาท ใชŒเวลา 7-14วัน ผิดกฎหมาย 207206
  • 176. 33 ‘องค์การค้าคุรุสภา’ งาบจัดซื้อ อุปกรณ์การเรียน ปูมหลัง ‘องค์การค้าของ สกสค.’ หรือ องค์การค้าของคุรุสภาในอดีต เป็นหน่วยงานในสังกัดสำ�นักงาน คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ตาม พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 มีภารกิจหลักคือการหาประโยชน์ ให้แก่ สกสค. และการผลิต จำ�หน่าย และพัฒนาหนังสือ สื่อการเรียนการสอน ตามหลักสูตรของ กระทรวงศึกษาธิการ ปัจจุบัน องค์การค้าของ สกสค. มีร้านศึกษาภัณฑ์พาณิชย์ 9 สาขา มีร้านค้าตัวแทนกระจาย อยู่ทั่วประเทศ มีโรงพิมพ์ 1 แห่ง และโรงงานผลิตอุปกรณ์การศึกษาอีก 2 แห่ง ส่วน สกสค. มี สถานะเป็นนิติบุคคล มีหน้าที่หลักคือการดูแลสวัสดิการของครูและบุคลากรทางการศึกษา ในปี 2554 เกิดเหตุการณ์น้ำ�ท่วมภาคใต้ บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำ�กัด ผู้ดำ�เนิน กิจการสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ได้ติดต่อซื้ออุปกรณ์การเรียนการสอนมูลค่าประมาณ 3.6 ล้านบาทกับองค์การค้าของ สกสค. เพื่อบริจาคให้กับโรงเรียน 158 แห่งในจังหวัดกระบี่ นครศรีธรรมราช และชุมพร อย่างไรก็ตาม การจัดซื้อครั้งนี้กลับเกิดการทุจริตโดยผู้อำ�นวยการ องค์การค้าฯเอง เมนูคอร์รัปชัน208
  • 177. เส้นทางผลประโยชน์ การจัดซื้อครั้งนี้เริ่มต้นจาก สหภพ โสตทิพย์ บรรณาธิการข่าวสังคม-อาชญากรรม สถานี วิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 สั่งซื้ออุปกรณ์การเรียนการสอนกับองค์การค้าฯ โดยทำ�หนังสือ ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2554 ถึง สันติภาพ อินทรพัฒน์ ผู้อำ�นวยการองค์การค้าฯ และอดีตสมาชิก วุฒิสภา จังหวัดน่าน หลังจากได้รับหนังสือ สันติภาพได้อนุมัติการขาย พร้อมทั้งให้ส่วนลดตาม หลักเกณฑ์ปกติของลูกค้าทั่วไป และให้องค์การค้าฯ ดำ�เนินการจัดส่งอุปกรณ์การเรียนการสอน ให้เป็นรายโรงเรียน อย่างไรก็ตาม วันที่ 26 พฤษภาคม 2554 สันติภาพได้แก้ไขรายละเอียดสำ�คัญบางประการใน เอกสารการอนุมัติ โดยเปลี่ยนวิธีการซื้อขายจากเดิมที่ขายให้กับช่อง 3 โดยตรงแล้วให้ส่วนลดตาม หลักเกณฑ์ปกติของลูกค้าทั่วไป เป็นการขายผ่านผู้ประสานการขายและให้ส่วนลดตามหลักเกณฑ์ ของผู้ประสานการขาย แต่ยังคงให้องค์การค้าฯ เป็นผู้จัดส่งอุปกรณ์การเรียนการสอน ซึ่งขัดกับ ระเบียบขององค์การค้าฯ ที่กำ�หนดให้ผู้ประสานการขายต้องรับหน้าที่จัดส่งสินค้าไปยังลูกค้า ต่อมา น้องสาวของสันติภาพ ได้ขอให้องค์การค้าฯ แต่งตั้งตนเป็นผู้ประสานการขายหรือ ตัวแทนขายสินค้าในเขตกรุงเทพฯและพื้นที่ที่น้องสาวของสันติภาพคุ้นเคยแต่การขอเป็นผู้ประสาน การขายมีความผิดปกติในเรื่องวันเวลา กล่าวคือ องค์การค้าฯ ลงทะเบียนรับหนังสือขอเป็น ผู้ประสานการขายในวันที่ 2 มิถุนายน 2554 แต่ในหนังสือกลับลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2554 ยิ่งไปกว่านั้น ในวันที่ 15 มิถุนายน 2554 สันติภาพได้แต่งตั้งน้องสาวเป็นผู้ประสานการขาย แต่สัญญาดังกล่าวมีผลตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2554 ถึงวันที่ 24 พฤษภาคม 2555 ซึ่งเท่ากับ มีผลย้อนไปถึงการสั่งซื้อของช่อง 3 ทั้งนี้ แม้สัญญากำ�หนดให้น้องสาวของสันติภาพจัดหาพาหนะและรับภาระค่าใช้จ่ายในการ จัดส่งสินค้า แต่สุดท้าย องค์การค้าฯ ก็เป็นผู้จัดส่งสินค้าให้กับโรงเรียน และน้องสาวของสันติภาพ ให้องค์การค้าฯ หักค่าขนส่งจากค่าประสานการขาย ต่อมา สำ�นักบริหารการเงินและบัญชีขององค์การค้าฯ ปฏิเสธการจ่ายค่าประสานดังกล่าว เพราะน้องสาวของสันติภาพไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญา และองค์การค้าฯ ไม่มีหลักเกณฑ์เรื่องการหัก ค่าขนส่งสินค้าจากค่าประสานการขาย แต่สันติภาพกลับอนุมัติการจ่ายเงินแก่น้องสาวเป็นกรณี พิเศษ โดยอ้างว่าการขายผ่านผู้ประสานงานเป็นกลยุทธ์การขายที่ลดข้อจำ�กัดในการแข่งขันกับ เอกชน และน้องสาวของสันติภาพก็ยินยอมให้หักค่าขนส่งจากค่าประสานการขาย องค์การค้าฯ จึงมิได้เสียประโยชน์แต่อย่างใด นอกจากนี้ สันติภาพยังให้ใช้วิธีนี้เป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 209
  • 178. เมนูคอร์รัปชัน ผลกระทบต่อประชาชน • การแก้ไขเอกสาร การทำ�สัญญาย้อนหลัง และการปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์บางประการ ทำ�ให้ องค์การค้าฯ ต้องจ่ายค่าประสานการขายเป็นเงิน 1.2 ล้านบาท หรือเกือบร้อยละ 50 ของ มูลค่าการซื้อขาย ทั้งที่องค์การค้าฯ ไม่จำ�เป็นต้องจ้างผู้ประสานงาน อีกทั้งองค์การค้าฯ ต้อง เป็นผู้จัดส่งอุปกรณ์การเรียนการสอนเนื่องจากผู้ประสานการขายไม่ได้จัดส่งสินค้าตามสัญญา • การทุจริตในองค์การค้าฯ ส่งผลเสียต่อสวัสดิการของครูทั่วประเทศ ซึ่งในปี 2553 มีจำ�นวน กว่า 750,000 คน สถานะของคดี • ที่ประชุมคณะกรรมการ สกสค. มีคำ�สั่งย้ายสันติภาพไปช่วยราชการที่สำ�นักงานคณะกรรมการ สกสค. พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง • สำ�นักคดีอาญาพิเศษ 2 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สรุปผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่า สันติภาพกระทำ�การทุจริตเพื่อเอื้อประโยชน์แก่น้องสาว อันเข้าข่ายความผิดต่อตำ�แหน่ง หน้าที่ จากนั้นดีเอสไอได้ส่งผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้กับคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อดำ�เนินการในขั้นต่อไป 210
  • 179. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ เอกสารอ้างอิง • กระบวนการทำ�สัญญาจัดซื้อจัดจ้างของ ‘องค์การค้าคุรุสภา’ ภาคพิเศษ (2) เปิดเอกสาร ช่อง 3 สั่งซื้อตำ�ราเรียน, เว็บไซต์ Thaipublica, 21 ธันวาคม 2554. • เปิดสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง ‘องค์การค้าคุรุสภา’ ภาคพิเศษ, เว็บไซต์ Thaipublica, 12 ธันวาคม 2554. • สำ�นักคดีอาญาพิเศษ 2 กรมสอบสวนคดีพิเศษ, รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณี การร้องเรียนเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างขององค์การค้าของสำ�นักงานคณะกรรมการส่งเสริม สวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.). • สำ�นักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ, สถิติการศึกษาของประเทศไทย ปีการศึกษา 2553, 2555. 211
  • 180. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน หลังจากเหตุการณน้ำท‹วมภาคใตŒในป‚ 2554 ช‹อง 3 ไดŒติดต‹อซื้ออุปกรณการเร�ยนการสอน จากองคการคŒาของสำนักงานคณะกรรมการ ส‹งเสร�มสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากร ทางการศึกษา (สกสค.) หร�อที่รูŒจักกันในชื่อเดิมว‹า องคการคŒาของคุรุสภา เพ�่อบร�จาคใหŒกับโรงเร�ยน ตามปกติ องคการคŒาฯ จะเปšนผูŒขายโดยตรง และจะเปšนผูŒจัดส‹งอุปกรณการเร�ยนการสอน ใหŒกับโรงเร�ยน แต‹ในกรณีนี้ ผอ. องคการคŒาฯ กลับเปลี่ยนเปšนการขายผ‹านผูŒประสานการขาย โดยใหŒส‹วนลดกับผูŒประสานการขาย แต‹ยังคงใหŒ องคการคŒาฯ เปšนผูŒจัดส‹งอุปกรณการเร�ยน การสอนเช‹นเดิม ซึ่งขัดกับระเบียบของ องคการคŒาฯ ในเวลาตอมา นองสาวของ ผอ. ขอใหองคการคาฯ แตงตั้งตน เปนผูประสานการขาย โดยลงนาม ในสัญญาวันที่ 15 มิถุนายน 2554 แตสัญญาดังกลาวกลับมีผล ตั้งแตวันที่ 25 พฤษภาคม 2554 ซึ�งเปนวันที่ชอง 3 ทำหนังสือ สั�งซื้อถึงองคการคาฯ การซื้ออุปกรณการเรียนการสอน เพื่อบริจาคใหกับเด็กนักเรียน ที่ประสบอุทกภัย จึงถูกใชเปน ชองทางในการเอื้อประโยชนใหกับ นองสาวของ ผอ. บันได 2 ขั้น 01 ผอ.องคการคาฯ เปลี่ยนวิธีการ ขายอุปกรณการเรียนการสอน ใหกับชอง 3 จากเดิมที่เปน การขายโดยตรง เปนการขาย ผานผูประสานการขาย จากนั้น จึงแตงตั้งนองสาวของ ผอ. เปนผูประสานการขาย และทำสัญญายอนหลัง 02 ผอ.องคการคาฯ อนุมัติ การจายคาประสานการขาย ใหกับนองสาว ทั้งที่มิไดจัดสง อุปกรณการเรียนการสอน ตามที่กำหนดในสัญญา สถานะ • ที่ประชุมคณะกรรมการ สกสค. มีคำสั�งยาย ผอ. องการคาฯ ไปชวยราชการที่สำนักงาน คณะกรรมการ สกสค. พรอมทั้ง แตงตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ขอเท็จจริง • กรมสอบสวนคดีพิเศษ สรุปผลการตรวจสอบวา ผอ. องคการคาฯ กระทำการทุจริต เพื่อเอื้อประโยชนแกนองสาว และสงผลการตรวจสอบใหกับ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการ ในขั้นตอนตอไป ความเสียหาย การแกไขเอกสาร การทำสัญญา ยอนหลัง และการปรับเปลี่ยน กฎเกณฑบางประการ ทำให องคการคาฯ ตองจายคาประสาน การขายเปนเงิน 1.2 ลานบาท หรือเกือบ 50% ของมูลคา การซื้อขาย ทั้งที่องคการคาฯ ไมจำเปนตองจางผูประสานงาน อีกทั้งองคการคาฯ ตองเปน ผูจัดสงสินคา เน��องจากนองสาว ผอ. มิไดจัดสงสินคาตามสัญญา การทุจริตในองคการคาฯ ทำให องคการคาฯ เสียผลประโยชน ซึ�งสงผลเสียตอสวัสดิการของครู ทั�วประเทศ ซึ�งในป 2553 มีจำนวนกวา 7.5 แสนคน ทุจร�ตองคการคŒาของ สกสค.: ทำสัญญายŒอนหลัง เอื้อประโยชนพ�่นŒอง 34 213212
  • 181. 35 เรื่องลับๆ ของ ท่านผู้พิพากษา ปูมหลัง เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2553 สบโชค สุขารมณ์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการตุลาการ (ก.ต.) เพื่อพิจารณาลงมติกรณีมีผู้ร้องเรียนว่า สมศักดิ์ จันทกุล ผู้พิพากษา ศาลอุทธรณ์ มีพฤติการณ์ฉันชู้สาวกับหญิงที่มีสามีแล้วและเรียกรับผลประโยชน์ โดยที่ประชุม ก.ต. เห็นว่า สมศักดิ์กระทำ�ผิดวินัยร้ายแรงตามที่มีผู้ร้องเรียนจริง จึงมีมติให้ไล่ออกจากราชการ โดย ให้สำ�นักงานศาลยุติธรรมทำ�หนังสือเสนอโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำ�แหน่ง และเรียกคืนเครื่องราช อิสริยาภรณ์ทุกชั้นยศ พร้อมกับพิจารณาเรื่องการดำ�เนินคดีอาญา เมนูคอร์รัปชัน214
  • 182. รายงานการสอบสวน คณะกรรมการสอบสวนเริ่มต้นจากการวินิจฉัยว่า สมศักดิ์ จันทกุล มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาว กับหญิงที่มีสามีแล้วจริงหรือไม่ นาง ก. ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับนางสาว น. คือผู้กล่าวหาว่า สมศักดิ์มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาว กับนางสาว น. โดยนาง ก. ให้การว่า ตนทำ�หน้าที่เป็นเลขานุการของนางสาว น. มีหน้าที่ช่วย จัดทำ�เอกสาร ติดต่องาน และช่วยเลี้ยงบุตรของนางสาว น. ต่อมา เมื่อนาง ก. รับรู้ว่า สมศักดิ์ และนางสาว น. เข้าไปในโรงแรมด้วยกัน จึงนำ�ทะเบียนสมรสของนางสาว น. กับสามี รวมทั้ง สูติบัตรของบุตรนางสาว น. กับสามี ให้สมศักดิ์ดู เนื่องจากสงสารสามีของนางสาว น. และบุตร ก่อนที่ตนจะถูกนางสาว น. ไล่ออกจากงานในสำ�นักงานกฎหมาย ซึ่งมีที่ทำ�การอยู่ภายในอู่รถของ นางสาว น. และสามี กรณีดังกล่าวคณะกรรมการสอบสวนวินิจฉัยว่า สมศักดิ์รู้ว่านางสาว น. มีสามีแล้ว ประกอบ กับแผ่นบันทึกภาพ(ดีวีดี)ของนักสืบที่รับจ้างติดตามพฤติกรรมของนางสาวน.ก็ปรากฏภาพรถของ นางสาว น. โดยมีสมศักดิ์เป็นผู้ขับพาเข้าไปในโรงแรมม่านรูด หลังจากนั้นประมาณ 1 ชั่วโมง รถ คันดังกล่าวจึงออกจากโรงแรม และเมื่อพิจารณาร่วมกับพฤติกรรมที่แสดงถึงความสนิทสนมและ ความไว้วางใจระหว่างสมศักดิ์กับนางสาวน.คณะกรรมการสอบสวนจึงเห็นว่าสมศักดิ์กับนางสาวน. มีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งเกินกว่าในฐานะลูกค้ากับเจ้าของอู่รถ (ตามที่สมศักดิ์ให้ถ้อยคำ�) กรณีสืบเนื่องจากเรื่องชู้สาว คือพฤติการณ์เรียกรับผลประโยชน์จากคู่ความในคดี เพื่อแลก กับการให้ความช่วยเหลือในคดีความ โดยสมศักดิ์ถูกกล่าวหาว่าให้นางสาว น. เป็นผู้ติดต่อในการ เรียกและรับเงินสินบน กรณีดังกล่าวเริ่มต้นจากการที่นางสาว จ. ทนายความ ซึ่งมีสำ�นักงานกฎหมายที่พัทยา รับ ดำ�เนินการขอประกันตัว ‘คาร์ล’ ชาวต่างชาติรายหนึ่ง ซึ่งถูกดำ�เนินคดี 3 คดี โดยนางสาว จ. ยื่น ขอประกันตัว 3-4 ครั้ง แต่ไม่ได้รับอนุญาต คาร์ลจึงต้องการหาทนายความคนใหม่ นางสาว น. ให้ถ้อยคำ�ว่า ได้รับการติดต่อจากนางสาว จ. ให้ช่วยหาทนายความประกันตัวคาร์ล โดยนางสาวน.ตอบตกลงจากนั้นจึงมีการทำ�บันทึกข้อตกลงใจความว่าคาร์ลได้โอนเงินจำ�นวน3.5 ล้านบาท ให้นางสาว จ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการยื่นขอประกันตัวในคดีอาญา 3 คดี ซึ่งนางสาว จ. นำ�เงินจำ�นวนดังกล่าวฝากไว้ในบัญชีออมทรัพย์ของธนาคารแห่งหนึ่งและระบุชื่อหลานของนางสาวน. เป็นเจ้าของบัญชีร่วม โดยหากสามารถดำ�เนินการให้ศาลมีคำ�สั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวได้ทั้ง 3 คดี นางสาว จ. จะร่วมลงลายมือชื่อถอนเงินทั้งหมดให้แก่หลานของนางสาว น. ทันที ต่อมา หลังจากคาร์ลได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ก็มีการถอนเงินจำ�นวน 3.4 ล้านบาท และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 215
  • 183. เมนูคอร์รัปชัน (ก่อนหน้านั้นมีการถอนเงินไปแล้ว 100,000 บาท) จากบัญชี ของนางสาว จ. และหลานของนางสาว น. ก่อนที่เงินจำ�นวนนี้จะ ถูกฝากเข้าบัญชีของนางสาว น. ในเวลาต่อมา จากการสอบสวนของคณะกรรมการ พบว่า ในสำ�นักงาน กฎหมายของนางสาว น. มีภาพถ่ายของสมศักดิ์ในเครื่องแบบ ข้าราชการตุลาการประดับสายสะพายติดไว้อย่างเปิดเผย โดย นางสาว น. รับหน้าที่เป็นผู้ประสานงานด้านคดีให้แก่ลูกความ ทั้งที่ไม่มีความรู้ทางด้านกฎหมายแต่ทำ�บันทึกข้อตกลงรับประกัน ตัวคาร์ลซึ่งเป็นจำ�เลยคดีอาญา 3 คดี ในอัตราค่าจ้างสูงถึง 3.5 ล้านบาท (ซึ่งเป็นค่าจ้างที่สูงผิดปกติสำ�หรับการขอประกัน ตัวจำ�เลยในคดีอนาจารเด็ก ตามความเห็นของคณะกรรมการ สอบสวน) และมีข้อตกลงว่าหากไม่สามารถประกันตัวได้จะ คืนเงินให้ โดยก่อนหน้านั้นไม่มีทนายความคนใดดำ�เนินการ ให้ศาลอนุญาตให้ประกันตัวได้ แสดงว่าต้องมีผู้รู้กฎหมายให้ คำ�ปรึกษาแนะนำ�ทำ�ให้นางสาวน.มั่นใจว่าจะสามารถดำ�เนินการ ให้ศาลอนุญาตให้ประกันตัวได้ และข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่าคาร์ล ได้รับการประกันตัว โดยมีสมศักดิ์เป็นผู้อนุญาตให้ปล่อยตัว ชั่วคราว 2 คดี คณะกรรมการสอบสวนจึงเชื่อว่า สมศักดิ์เป็น ผู้ให้คำ�ปรึกษาแนะนำ�นางสาว น. ในการดำ�เนินการยื่นคำ�ร้องขอ ปล่อยตัวชั่วคราว เมื่อพิจารณาประกอบกับความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับนางสาว น. จึงเชื่อได้ว่า สมศักดิ์เป็นผู้สนับสนุนนางสาว น. ในการเรียก รับผลประโยชน์จากคาร์ล เพื่อให้ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว อัน เกิดจากคำ�สั่งอนุญาตของสมศักดิ์ คณะกรรมการสอบสวนจึงเห็นว่า การกระทำ�ของสมศักดิ์ “เป็นการไม่รักษาความลับของทางราชการมิให้รั่วไหล ไม่ปฏิบัติ หน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเที่ยงธรรม ไม่เคารพและปฏิบัติ ตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดอยู่ในกรอบศีลธรรม จริยธรรม และประเพณีอันดีงามของตุลาการให้เป็นที่เชื่อถือศรัทธาของ บุคคลทั่วไป ยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตำ�แหน่งหน้าที่ของตนแสวงหา ผลประโยชน์อันมิชอบ รับประโยชน์จากบุคคลอันเกี่ยวเนื่อง กับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษา และเป็นการคบหาสมาคม กับบุคคลอื่นซึ่งมีส่วนได้เสียและผลประโยชน์เกี่ยวกับคดีความ อันกระทบกระเทือนต่อความเชื่อถือศรัทธาของบุคคลทั่วไป ในการประสาทความยุติธรรมของผู้พิพากษา ดังนี้ เป็นการ กระทำ�ผิดวินัยฐานไม่รักษาวินัยโดยเคร่งครัด ไม่ปฏิบัติหน้าที่ ราชการด้วยความระมัดระวังมิให้เสียหายแก่ราชการ ด้วยความ ซื่อสัตย์สุจริตและเที่ยงธรรม ไม่รักษาชื่อเสียงมิให้ขึ้นชื่อว่าเป็น ผู้ประพฤติชั่ว และไม่ถือและปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนและ ประเพณีปฏิบัติของทางราชการและจริยธรรมของข้าราชการ ตุลาการตามที่คณะกรรมการตุลาการกำ�หนด ก่อให้เกิดความ เสียหายแก่ศาลยุติธรรมและทางราชการอย่างร้ายแรง” 216
  • 184. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ เอกสารอ้างอิง • สำ�นักงานศาลยุติธรรม, รายงานการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนกรณี นาย สมศักดิ์ จันทกุล ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำ�ผิดวินัยอย่างร้ายแรง, 2553. 217
  • 185. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์เมนูคอร์รัปชัน รายงานการสอบสวนของ คณะกรรมการสอบสวนระบุวา หญิงที่เปนชูสาวดังกลาว ทำขอตกลงรับดำเนินการขอ ประกันตัวชาวตางชาติรายหนึ�ง ซึ�งเปนจำเลยคดีอาญา 3 คดี ในอัตราคาจาง 3.5 ลานบาท ทั้งที่ไมมีความรู ดานกฎหมาย และกอนหนานั้น ไมมีทนายความคนใดดำเนินการ ใหศาลอนุญาตประกันตัวได ภายหลัง จำเลยไดรับการ ประกันตัว โดยมีนายสมศักดิ์ เปนผูอนุญาต 2 คดี นายสมศักดิ์ จันทกุล เปšนหนึ่งใน 17 ผูŒพ�พากษา ที่พŒนจากตำแหน‹งและถูกเร�ยกคืนเคร�่องราช- อิสร�ยาภรณในช‹วงป‚ 2551-2555 หลังจาก ถูกรŒองเร�ยนว‹ามีความสัมพันธฉันชูŒสาวกับหญิง ที่มีสามีแลŒว อันเปšนการประพฤติไม‹อยู‹ในกรอบ ของศีลธรรม และเร�ยกรับผลประโยชนจากคู‹ความ เพ�่อแลกกับการใหŒความช‹วยเหลือในคดีความ ชูŒสาวและเร�ยกรับผลประโยชน: เง�่อนตายของ ท‹านผูŒพ�พากษา 35 2551 2552 2553 2554 2555 0 1 2 3 4 5 6 7 หน�วย: คน ขŒาราชการตุลาการที่พŒนจากตำแหน‹ง ป‚ 2551-2555 คณะกรรมการสอบสวนจึงเชื่อวา นายสมศักดิ์เปนผูสนับสนุน หญิงคนดังกลาวในการเรียกรับ ผลประโยชนจากจำเลยคนดังกลาว คณะกรรมการสอบสวนเห็นวา นายสมศักดิ์ทำความผิด ตอประมวลจริยธรรมขาราชการ ตุลาการ และผิดวินัยตาม พ.ร.บ.ระเบียบขาราชการฝาย ตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2534 จึงเห็นสมควรใหไลออก 219218
  • 187. หน้าที่พลเมืองดี: ติดตาม-ตรวจสอบ- ร้องเรียน-แจ้งเบาะแส กรณีศึกษาทั้ง 35 กรณี เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงกระบวนการการทุจริตและการ หาผลประโยชน์ ซึ่งเกิดขึ้นในองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐส่วนกลาง ท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และยังเกิดขึ้นในโครงการต่างๆ ครอบคลุมเกือบทุกมิติของสังคม ทั้งด้าน เศรษฐกิจ สวัสดิการสังคม การศึกษา และอื่นๆ การลดการทุจริตและการหาผลประโยชน์ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน รวมทั้งภาคประชาชนซึ่งเป็นผู้เสียผลประโยชน์ รัฐธรรมนูญปี 2540 ได้สร้างกลไก ที่ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการดำ�เนินงานของภาครัฐได้โดยตรง เช่น สิทธิการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของภาครัฐ และสิทธิการเข้าชื่อเพื่อถอดถอนผู้ดำ�รง ตำ�แหน่งทางการเมือง กระนั้นก็ตาม ประชาชนยังใช้กลไกการตรวจสอบเหล่านี้ได้ ค่อนข้างจำ�กัด เนื่องจากกฎเกณฑ์การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของภาครัฐยังไม่ถูกนำ�มา ปฏิบัติอย่างจริงจัง และความเกรงกลัวต่ออิทธิพลของผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมือง ข้าราชการ และภาคธุรกิจที่กระทำ�การทุจริต อย่างไรก็ดีประชาชนสามารถใช้กลไกอื่นในการเข้าร่วมตรวจสอบและลดการทุจริต และการหาประโยชน์ในสังคม ได้แก่ 221
  • 188. เมนูคอร์รัปชัน องค์กรภาครัฐที่มีหน้าที่ตรวจสอบการทุจริต โดยประชาชนสามารถแจ้งเบาะแส และร้องเรียนการกระทำ�ทุจริตต่อองค์กรเหล่านี้ให้ใช้อำ�นาจทางกฎหมาย สืบสวนและ ไต่สวนการกระทำ�ผิด องค์กรที่สนับสนุนการปฏิรูปกฎหมายประชาชน โดยประชาชนสามารถขอคำ� ปรึกษาและการช่วยเหลือด้านความรู้ในการเสนอและแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับการทุจริต องค์กรภาคประชาสังคมที่ต่อต้านการทุจริต โดยประชาชนสามารถเข้าร่วมกิจกรรม กับองค์กรเหล่านี้ เพื่อกระตุ้นให้สังคมตระหนักถึงผลเสียของการทุจริตและร่วมกัน ต่อต้านการทุจริต สื่อมวลชน โดยประชาชนสามารถติดตามข่าวเชิงลึกเกี่ยวกับการทุจริต แจ้งเบาะแส และหลักฐานให้สื่อมวลชนนำ�ไปสืบค้นและตรวจสอบต่อ 1_ องค์กรภาครัฐที่มีหน้าที่ ตรวจสอบการทุจริต 1.1 คณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ (ป.ป.ช.) อำ�นาจหน้าที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบ ปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีอำ�นาจ หน้าที่ตรวจสอบ ไต่สวนและวินิจฉัยการก ระทำ�ผิดหรือการกระทำ�ที่น่าสงสัยว่า ผิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐตำ�แหน่งตั้งแต่ผู้ บริหารระดับสูง ข้าราชการตำ�แหน่งตั้งแต่ ผู้อำ�นวยการกองหรือเทียบเท่าขึ้นไป และ ผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมือง โดยการกระ ทำ�ผิดหรือการกระทำ�ที่น่าสงสัยว่าผิด เป็น ได้ทั้งการกระทำ�ความผิดฐานทุจริตต่อ หน้าที่ การกระทำ�ความผิดต่อตำ�แหน่ง หน้าที่ราชการ การกระทำ�ความผิด ต่อตำ�แหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม และ การร่ำ�รวยผิดปกติ ในการไต่สวน ป.ป.ช. มีอำ�นาจเรียก ให้บุคคลใดๆ มาชี้แจงหรือส่งเอกสาร และหลักฐานมาตรวจสอบ รวมทั้งมี อำ�นาจให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ดำ�เนินการที่เป็นประโยชน์ นอกจากนี้ ป.ป.ช. ยังสามารถขอให้ศาลออกหมาย ค้นเพื่อเข้าตรวจสอบสถานที่และยาน พาหนะ เมื่อสรุปสำ�นวนคดี ในกรณีการ กล่าวหาให้ดำ�เนินคดีอาญา ป.ป.ช. จะส่ง สำ�นวนให้อัยการสูงสุด เพื่อสั่งฟ้องคดี ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำ�รง ตำ�แหน่งทางการเมืองหรือจะสั่งฟ้องศาล อาญาฯ เอง ส่วนในกรณีการร้องขอให้ ถอดถอนตำ�แหน่ง ป.ป.ช. จะนำ�ความเห็น เสนอต่อวุฒิสภา เพื่อพิจารณาถอดถอน ช่องทางการมีส่วนร่วมของ ประชาชน ประชาชนสามารถร้องเรียนถึง ป.ป.ช. ผ่านช่องทางดังนี้ 1. ทำ�และส่งหนังสือร้องเรียนต่อ สำ�นักงาน ป.ป.ช. โดยจ่าหน้าซองถึง ‘เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.’ หรือ ‘ตู้ ปณ. 100 เขตดุสิต กทม. 222
  • 189. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ 10300’ 2. โทรแจ้งสายด่วน 1205 3. เข้าร้องทุกข์ กล่าวโทษ ต่อพนักงาน สอบสวน ณ สถานีตำ�รวจ โดย พนักงานสอบสวนจะส่งเรื่องไปยัง สำ�นักงาน ป.ป.ช. เพื่อดำ�เนินการ ต่อไป 4. กรอกแบบร้องเรียนในเว็บไซต์ http://www.nacc.go.th/nacc_ accuse.php ในการร้องเรียน ผู้ร้องเรียนจะต้อง ระบุรายละเอียดเบื้องต้นดังนี้ 1. ระบุชื่อหรือตำ�แหน่ง สังกัด ของ ผู้ถูกกล่าวหา 2. ระบุข้อกล่าวหาการกระทำ�ความ ผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ การกระทำ� ความผิดต่อตำ�แหน่งหน้าที่ หรือ การร่ำ�รวยผิดปกติ 3. ระบุวัน-เวลาพฤติกรรมและขั้นตอน การกระทำ�ความผิดรวมทั้งหลักฐาน และพยาน (เท่าที่มี) และหน่วยงาน ที่ผู้ร้องเรียนได้ร้องเรียนไปแล้ว ก่อนหน้า (ถ้ามี) 4. ระบุชื่อ-สกุล ที่อยู่ หมายเลข โทรศัพท์ และอีเมลของผู้ร้องเรียน ที่ ป.ป.ช. สามารถติดต่อกลับเพื่อ ยืนยันการร้องเรียนและขอทราบ ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมโดยหากผู้ร้องเรียน ต้องการให้สำ�นักงาน ป.ป.ช. ปกปิด ชื่อ-สกุล และที่อยู่ ผู้ร้องเรียนควร ต้องระบุให้ชัดเจนด้วยซึ่งข้อมูลของ ผู้ร้องเรียนจะถูกเก็บเป็นความลับ อย่างที่สุด ในกรณีที่ผู้ร้องเรียนไม่ระบุชื่อ-สกุล จริงสำ�นักงานป.ป.ช.จะถือว่าการร้องเรียน ดังกล่าวเป็น ‘บัตรสนเท่ห์’ และหาก บัตรสนเท่ห์ระบุพยานหลักฐานไม่ชัดเจน เพียงพอ ป.ป.ช. อาจไม่รับร้องเรียนหรือรับ ร้องเรียน แต่สำ�นักงาน ป.ป.ช. จะติดต่อ กลับผ่านทางไปรษณีย์ตามที่อยู่ที่แจ้งมา เท่านั้น ในกรณีที่เป็นการร้องเรียนผู้ดำ�รง ตำ�แหน่งทางการเมือง ผู้ร้องเรียนต้องระบุ ชื่อ-สกุล และลงลายมือชื่อผู้ร้องเรียน และ ผู้ร้องเรียนต้องรับความเสียหายที่เกิดขึ้น จากการร้องเรียนด้วย ข้อมูลสำ�หรับการติดต่อ ที่อยู่: เลขที่ 361 ถนนนนทบุรี ตำ�บล ท่าทราย อำ�เภอเมืองนนทบุรี จังหวัด นนทบุรี 11000 หรือ ตู้ ปณ. 100 เขต ดุสิต กทม. 10300 โทรศัพท์: 0 2528 4800-4 เว็บไซต์: http://www.nacc.go.th 1.2 คณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต ในภาครัฐ (ป.ป.ท.) อำ�นาจหน้าที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) มีหน้าที่ ไต่สวนข้อเท็จจริงและชี้มูลการทุจริตของ เจ้าหน้าที่ของรัฐตำ�แหน่งต่ำ�กว่าผู้บริหาร ระดับสูง และข้าราชการตำ�แหน่งต่ำ�กว่า ผู้อำ�นวยการกอง ซึ่งไม่อยู่ในอำ�นาจของ ป.ป.ช. ในการไต่สวน ป.ป.ท. มีอำ�นาจเรียก บุคคลมาชี้แจงหรือส่งเอกสารหลักฐาน เพื่อตรวจสอบ และสามารถขอให้ศาล ออกหมายค้น เพื่อเข้าไปตรวจสอบ สถานที่และยานพาหนะ เมื่อชี้มูลว่า เจ้าหน้าที่รัฐกระทำ�การทุจริต ป.ป.ท. จะ ส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาโทษ ทางวินัยในกรณีที่มีมูลความผิดทางวินัย หรือส่งเรื่องให้พนักงานอัยการฟ้องคดีใน กรณีที่มีมูลความผิดทางอาญา ช่องทางการมีส่วนร่วมของ ประชาชน ประชาชนสามารถร้องเรียนถึง ป.ป.ท. ผ่านช่องทางดังนี้ 1. ทำ�หนังสือถึงเลขาธิการคณะ กรรมการ ป.ป.ท. 2. โทรแจ้งสายด่วน 1206 (ศูนย์ ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต คอร์รัปชัน) 3. กรอกแบบฟอร์มร้องเรียนใน เว็บไซต์ http://www.pacc.go.th/ pacc_website/index.php/tellme 4. แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงาน สอบสวน ณ สถานีตำ�รวจ โดย พนักงานสอบสวนจะส่งเรื่องไปยัง สำ�นักงาน ป.ป.ท. ในการร้องเรียน ผู้ร้องเรียนจะต้อง ระบุรายละเอียดเบื้องต้นดังนี้ 223
  • 190. เมนูคอร์รัปชัน 1. ระบุชื่อหรือตำ�แหน่ง สังกัด ของ ผู้ถูกกล่าวหา 2. ระบุข้อกล่าวหาการกระทำ�ความผิด ฐานทุจริตต่อหน้าที่ การกระทำ� ความผิดต่อตำ�แหน่งหน้าที่ ราชการ หรือการกระทำ�ความผิด ต่อตำ�แหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม 3. ระบุวัน-เวลาพฤติกรรมและขั้นตอน การกระทำ�ความผิดรวมทั้งหลักฐาน และพยาน (เท่าที่มี) และหน่วยงาน ที่ผู้ร้องเรียนได้ร้องเรียนไปแล้ว ก่อนหน้า (ถ้ามี) 4. ระบุชื่อ-สกุล ที่อยู่ หมายเลข โทรศัพท์ และอีเมลของผู้ร้องเรียน ที่ ป.ป.ท. สามารถติดต่อกลับเพื่อ ยืนยันการร้องเรียนและขอทราบ ข้อเท็จจริงเพิ่มเติม โดยหากผู้ร้อง เรียนต้องการให้สำ�นักงาน ป.ป.ท. ปกปิดชื่อ-สกุล และที่อยู่ ผู้ร้องเรียน ควรต้องระบุให้ชัดเจนด้วยซึ่งข้อมูล ของผู้ร้องเรียนจะถูกเก็บเป็นความลับ อย่างที่สุด ในกรณีที่ผู้ร้องเรียนไม่ระบุชื่อ-สกุลจริง สำ�นักงาน ป.ป.ท. จะถือว่าการร้องเรียน ดังกล่าวเป็น ‘บัตรสนเท่ห์’ และสำ�นักงาน ป.ป.ท. จะติดต่อกลับผู้ร้องเรียนผ่านทาง ไปรษณีย์ตามที่อยู่ที่แจ้งมา ข้อมูลสำ�หรับการติดต่อ ที่อยู่: 99/31 หมู่ 4 อาคารซอฟต์แวร์ พาร์ค ถนนแจ้งวัฒนะ ตําบลคลองเกลือ อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120 โทรศัพท์: 0 2502 8285-6 เว็บไซต์: http://www.pacc.go.th 1.3 สำ�นักงานการตรวจ เงินแผ่นดิน (สตง.) อำ�นาจหน้าที่ สำ�นักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มีหน้าที่ตรวจสอบการเงินแผ่นดิน โดยตรวจสอบความถูกต้องในการรับจ่าย เงินและทรัพย์สินของหน่วยงานภาครัฐ ตรวจสอบความถูกต้องในการจัดเก็บภาษี ค่าธรรมเนียม และรายได้อื่นของหน่วยงาน ภาครัฐ ตรวจสอบความถูกต้องของรายงาน การเงินประจำ�ปีและงบแสดงฐานะการเงิน แผ่นดินและที่สำ�คัญตรวจสอบความถูกต้อง ของการจัดซื้อจัดจ้าง โดยเฉพาะกรณีที่มี เหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการทุจริต ช่องทางการมีส่วนร่วมของ ประชาชน สตง. เปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมกัน ตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ โดย สตง. ได้จัดทำ�ฐานข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง ของหน่วยงานภาครัฐที่เว็บไซต์ http:// procurement-oag.in.th/ เพื่อเผยแพร่ ให้ประชาชนทราบว่าหน่วยงานภาครัฐ ได้ทำ�สัญญาจัดซื้อจัดจ้างกับผู้ขายและผู้ รับจ้างรายใด และการจัดซื้อจัดจ้างมีมูลค่า เท่าใด โดยประชาชนสามารถนำ�ข้อมูล เหล่านี้มาตรวจสอบความถูกต้องของ การจัดซื้อจัดจ้างและการดำ�เนินงานของ หน่วยงานภาครัฐ ประชาชนสามารถร้องเรียนกรณี การทุจริตหรือน่าสงสัยว่าจะทุจริตได้ ผ่านช่องทางดังนี้ 1. ทำ�และส่งหนังสือพร้อมหลักฐานไป ยังสำ�นักงานของ สตง. 2. แจ้งรายละเอียดที่เว็บไซต์ http:// www.oag.go.th/internet/Call/ CallServlet ในการร้องเรียน ผู้ร้องเรียนต้องแจ้ง รายละเอียดเบื้องต้นดังนี้ 1. ระบุชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตำ�แหน่ง หน่วยงานรัฐ ช่วงเวลา สถานที่ ขั้นตอน และพฤติกรรมของการ กระทำ�ผิด 2. ระบุชื่อ ที่อยู่ และข้อมูลอื่นของ ผู้ร้องเรียน ที่ สตง. สามารถติดต่อ กลับได้ ข้อมูลสำ�หรับการติดต่อ ที่อยู่: ถนนพระรามที่ 6 เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทรศัพท์: 0 2271 8000 เว็บไซต์: http://www.oag.go.th/ 1.4 สำ�นักงานป้องกันและ ปราบปรามการฟอกเงิน (สำ�นักงาน ปปง.) อำ�นาจหน้าที่ สำ�นักงานป้องกันและปราบปราม 224
  • 191. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ การฟอกเงิน (สำ�นักงาน ปปง.) มีหน้าที่ ตรวจสอบและยับยั้งการกระทำ�ผิดฐาน ฟอกเงิน หรือการทำ�ธุรกรรมทางธุรกิจ และทางการเงินที่พยายามปกปิดแหล่ง ที่มาของเงินและทรัพย์สิน ซึ่งเกี่ยวข้อง กับความผิดทางกฎหมายดังต่อไปนี้ • ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด • ความผิดเกี่ยวกับการอนาจารหญิง และเด็ก และการพรากเด็กและผู้เยาว์ • ความผิดเกี่ยวกับการค้าประเวณี • ความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกง ประชาชน • ความผิดเกี่ยวกับการยักยอกหรือ ฉ้อโกงหรือประทุษร้ายต่อทรัพย์ • ความผิดเกี่ยวกับการทุจริตต่อ ตําแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความ ผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม • ความผิดเกี่ยวกับการกรรโชก หรือ รีดเอาทรัพย์ที่กระทําโดยอ้างอํานาจ อั้งยี่หรือซ่องโจร • ความผิดเกี่ยวกับการลักลอบหนี ศุลกากร • ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย • ความผิดเกี่ยวกับการเป็นผู้จัดให้มี การเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีจํานวนผู้เข้าเล่นแต่ละครั้งเกิน กว่า 100 คน หรือมีวงเงินในการ กระทําความผิดรวมกันมีมูลค่าเกิน กว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป • ความผิดเกี่ยวกับการเป็นสมาชิก อั้งยี่หรือการมีส่วนร่วมในองค์กร อาชญากรรม • ความผิดเกี่ยวกับการรับของโจร • ความผิดเกี่ยวกับการปลอมหรือการ แปลงเงินตรา ดวงตรา แสตมป์ และตั๋ว • ความผิดเกี่ยวกับการปลอมหรือการ ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของสินค้า • ความผิดเกี่ยวกับการปลอมเอกสาร สิทธิบัตรอิเล็กทรอนิกส์หรือหนังสือ- เดินทาง • ความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ หรือสิ่งแวดล้อม โดยการใช้ ยึดถือ หรือครอบครองทรัพยากรธรรมชาติ หรือกระบวนการแสวงหาประโยชน์ จากทรัพยากรธรรมชาติ โดยมีลักษณะ เป็นการค้า • ความผิดเกี่ยวกับการประทุษร้ายต่อ ชีวิตหรือร่างกายจนเป็นเหตุให้เกิด อันตรายสาหัส • ความผิดเกี่ยวกับการหน่วงเหนี่ยวหรือ กักขังผู้อื่นเพื่อเรียกรับผลประโยชน์ • ความผิดเกี่ยวกับการลักทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง หรือยักยอก • ความผิดเกี่ยวกับการกระทําอันเป็น โจรสลัด • ความผิดเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ • ความผิดเกี่ยวกับอาวุธที่อาจนําไปใช้ ในการสงคราม ในการตรวจสอบ สำ�นักงาน ปปง. มีอำ�นาจเรียกให้บุคคลใดๆ (รวมทั้งส่วน ราชการและสถาบันการเงิน) มาชี้แจงและ ส่งเอกสารหรือหลักฐานใดมาเพื่อตรวจ สอบ และมีอำ�นาจเข้าไปตรวจสอบใน เคหสถาน สถานที่ หรือยานพาหนะ ที่ มีเหตุอันควรสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการ ฟอกเงิน โดยไม่ต้องมีหมายค้น (ถ้ามี เหตุรีบด่วน) ช่องทางการมีส่วนร่วมของ ประชาชน ประชาชนสามารถร้องเรียนถึง ปปง. ผ่านช่องทางดังนี้ 1. ทำ�และส่งหนังสือถึงสำ�นักงาน ปปง. 2. โทรแจ้งสายด่วน 1710 3. กรอกแบบฟอร์มการร้องเรียนที่ เว็บไซต์ http://www.amlo.go.th/ ในการร้องเรียน ผู้ร้องเรียนต้องแจ้ง รายละเอียดเบื้องต้นดังนี้ 1. ระบุชื่อและรายละเอียดของผู้ กระทำ�ผิด 2. ระบุช่วงเวลา สถานที่ ขั้นตอน และ พฤติกรรมของการกระทำ�ผิด 3. ระบุชื่อ-สกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ของผู้ร้องเรียน โครงการสายลับ ปปง. สำ�นักงาน ปปง. จัดทำ�โครงการ ‘สายลับ ปปง.’ เพื่อเป็นช่องทางให้ ประชาชนได้มีส่วนร่วมกับ ปปง. ในการ ลดการทุจริตฐานฟอกเงิน โดยสายลับ จะช่วยสืบค้นและแจ้งเบาะแสให้ ปปง. ด้วยการส่งรายละเอียดเป็นเอกสารหรือ ด้วยวาจา ว่าใคร ทำ�ผิดอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไหร่ 225
  • 192. เมนูคอร์รัปชัน ทั้งนี้ สำ�นักงาน ปปง. จะจัดฝึก อบรมการดำ�เนินการของสายลับและ เผยแพร่ข้อมูลและกิจกรรมของสำ�นักงาน ปปง. ให้แก่สายลับ นอกจากนี้ สำ�นักงาน ปปง. จะปกปิดข้อมูลส่วนตัวของสายลับ และให้ความคุ้มครองเมื่อได้รับการข่มขู่ หรือคุกคาม ประชาชนสามารถสมัครเป็น สายลับ ปปง. ผ่านช่องทางดังนี้ 1. สมัครทางไปรษณีย์ 1.1. ผู้สมัครส่งชื่อ-สกุล และที่อยู่ ไปยังสำ�นักงาน ปปง. แล้ว ปปง. จะส่งใบสมัครสายลับ กลับไปทางไปรษณีย์ตามที่อยู่ ที่ผู้สมัครแจ้งไว้ 1.2. ผู้สมัครกรอกใบสมัครและ พิมพ์ลายนิ้วมือ และส่ง ใบสมัครพร้อมแนบสำ�เนา บัตรประชาชนและสำ�เนา ทะเบียนบ้าน กลับไปยัง สำ�นักงาน ปปง. เพื่อบันทึก ลงในฐานข้อมูล 1.3. สำ�นัก ปปง. จัดส่งหมายเลข รหัสสายลับ 2. สมัครด้วยระบบออนไลน์ที่เว็บไซต์ http://www.amcis.amlo.go.th/ AMLO/web/General/index.jsp ข้อมูลสำ�หรับการติดต่อ ที่อยู่: เลขที่ 422 ถนนพญาไท แขวง วังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 โทรศัพท์: 0 2219 3600 โทรสาร: 0 2219 3700 เว็บไซต์: http://www.amlo.go.th 1.5 กรมสอบสวนคดี พิเศษ (ดีเอสไอ) อำ�นาจหน้าที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีหน้าที่ป้องกัน ปราบปราม สืบสวนและ สอบสวนคดีความผิดทางอาญาที่มีความ ซับซ้อนและทำ�อย่างเป็นระบบ ซึ่งจำ�เป็น ต้องมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเป็นผู้ดำ�เนิน การสืบสวนและสอบสวน คดีความผิด ทางอาญาที่มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อ ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมของสังคม ความมั่นคงทางการเมืองและเศรษฐกิจ ของประเทศ และความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศ หรือคดีความผิดทางอาญาที่มี ผู้ทรงอิทธิพล พนักงานฝ่ายปกครอง หรือ ตำ�รวจชั้นผู้ใหญ่ ให้การสนับสนุน โดย กฎหมายและระเบียบการสอบสวนคดี พิเศษได้กำ�หนดคดีอาญาเบื้องต้นที่อยู่ใน ขอบเขตอำ�นาจของดีเอสไอ ดังนี้ • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ แข่งขันทางการค้า • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ ธนาคารพาณิชย์ • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ ประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ เล่นแชร์ • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย ความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อ หน่วยงานของรัฐ • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ คุ้มครองแบบผังภูมิของวงจรรวม • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ คุ้มครองผู้บริโภค • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย เครื่องหมายการค้า • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยเงิน ตรา • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ ชดเชยค่าภาษีอากร สินค้าส่งออกที่ ผลิตในราชอาณาจักร • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการ เงิน • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย ธนาคารแห่งประเทศไทย • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย บริษัทมหาชนจำ�กัด • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย ลิขสิทธิ์ • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ 226
  • 193. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ ส่งเสริมการลงทุน • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย การส่งเสริมและรักษาคุณภาพ สิ่งแวดล้อม • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย สิทธิบัตร • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ • คดีความผิดตามประมวลรัษฎากร • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย ศุลกากร • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยภาษี สรรพสามิต • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยสุรา • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย ยาสูบ • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย ประกันวินาศภัย • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย ประกันชีวิต • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ ซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วย การกระทำ�ความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ • คดีความผิดตามประมวลกฎหมาย ที่ดิน • คดีความผิดตามประมวลกฎหมาย ว่าด้วยป่าไม้ • คดีความผิดตามประมวลกฎหมาย ว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ • คดีความผิดตามประมวลกฎหมาย ว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ • คดีความผิดตามประมวลกฎหมาย ว่าด้วยสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการ ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยแร่ • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจ สถาบันการเงิน • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยเครื่อง สำ�อาง • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุ อันตราย • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยยา • คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอาหาร • คดีความผิดทางอาญาอื่นที่คณะ กรรมการคดีพิเศษมีมติคะแนนเสียง ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ให้เห็นชอบให้รับ เป็นคดีพิเศษ ในการสืบสวนและสอบสวน ดีเอสไอ มีอำ�นาจเรียกให้บุคคลใดๆ (รวมทั้งส่วน ราชการและสถาบันการเงิน) มาชี้แจงและ ส่งเอกสารหรือหลักฐานใดมาเพื่อตรวจสอบ และมีอำ�นาจเข้าไปตรวจสอบในเคหสถาน สถานที่ หรือยานพาหนะ รวมทั้งอาจขอให้ หน่วยงานของรัฐอื่นช่วยเหลือดำ�เนินการ บางประการอันเป็นประโยชน์ต่อการ สอบสวน ช่องทางการมีส่วนร่วมของ ประชาชน ประชาชนสามารถร้องเรียนถึงกรม สอบสวนคดีพิเศษ ผ่านช่องทางดังนี้ 1. เข้าแจ้งคำ�ร้องเรียนด้วยตนเอง 2. ทำ�และส่งหนังสือร้องเรียนให้กรม สอบสวนคดีพิเศษ 3. โทรแจ้งสายด่วน 1202 หรือ ศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายแก่ ประชาชน 0 2831 9888 ต่อ 3101 4. กรอกแบบฟอร์มร้องเรียนที่ เว็บไซต์ http://www.dsi.go.th/ index.php?option=com_ complain&Itemid=46&lang=th ในการร้องเรียน ผู้ร้องเรียนต้องแจ้ง รายละเอียดเบื้องต้นดังนี้ 1. ระบุสถานที่ ช่วงเวลา และ พฤติกรรมการกระทำ�ผิด รวมทั้ง ข้อมูลของผู้กระทำ�ผิด (ถ้ามี) 2. ระบุความเสียหายที่เกิดขึ้นจาก พฤติกรรมการกระทำ�ผิด และ หน่วยงานที่ผู้ร้องเรียนได้แจ้ง ร้องเรียนไปแล้ว 3. ระบุหลักฐานและพยานอื่นที่เป็น ประโยชน์ในการสอบสวน (ถ้ามี) 4. ระบุชื่อ-สกุล ที่อยู่ และข้อมูลอื่น ของผู้ร้องเรียน ที่ดีเอสไอสามารถ ติดต่อกลับ เช่น หมายเลขโทรศัพท์ มือถือ ผู้สนใจสามารถดูตัวอย่างแบบ คำ�ร้องได้จากคู่มือบริการประชาชน ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ เว็บไซต์: http://www.dsi.go.th/index. 227
  • 194. เมนูคอร์รัปชัน php?option=com_conte nt&view=article&id=5746 %3A2012-11-28-07-21- 07&catid=221%3A2012-02-27- 04-37-30&Itemid=144&lang=th ข้อมูลสำ�หรับการติดต่อ ที่อยู่: เลขที่ 128 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์: 0 2831 9888 โทรสาร: 0 2975 9888 เว็บไซต์: http://www.dsi.go.th 2_ องค์กรที่สนับสนุน การปฏิรูปกฎหมาย โดยประชาชน องค์กรที่สนับสนุนการปฏิรูปกฎหมายโดยประชาชน มีหน้าที่ให้คำ�ปรึกษาและ การสนับสนุนด้านความรู้แก่ภาคประชาชนที่ต้องการดำ�เนินการแก้ไขกฎหมาย และ องค์กรฯ ยังช่วยเปิดพื้นที่และประสานให้ภาคประชาชนได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในการร่างกฎหมายและรวมตัวเข้าชื่อร้องต่อประธานรัฐสภา เพื่อให้รัฐสภาพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติ องค์กรที่สนับสนุนการปฏิรูปกฎหมายจึงเป็นหนึ่งในกลไกการมีส่วนร่วมของ ประชาชนในการลดการทุจริต โดยประชาชนสามารถนำ�แนวคิดการลดการทุจริตแลก เปลี่ยนกับผู้อื่นผ่านองค์กรฯ และขอความรู้ด้านกฎหมายจากองค์กรฯ สำ�หรับการปฏิรูป กฎหมายที่เกี่ยวกับการลดการทุจริต ตัวอย่างขององค์กรประเภทนี้ เช่น 2.1 คณะกรรมการปฏิรูป กฎหมาย (คปก.) อำ�นาจหน้าที่ คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) มีอำ�นาจหน้าที่สำ�รวจและ ศึกษากฎหมายเพื่อวางกรอบการปฏิรูป กฎหมายของประเทศให้เป็นไปตาม เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และเสนอ แนะร่างกฎหมายที่ปฏิรูปต่อคณะรัฐมนตรี และรัฐสภา รวมทั้งสนับสนุนการปฏิรูป กฎหมายโดยประชาชนด้วยการให้คำ� ปรึกษา และสนับสนุนการดำ�เนินการ ในการร่างกฎหมายของประชาชนผู้มีสิทธิ เลือกตั้ง ช่องทางการมีส่วนร่วมของ ประชาชน ประชาชนสามารถขอคำ�ปรึกษา และการสนับสนุนการปฏิรูปกฎหมาย เพื่อลดการทุจริตจาก คปก. โดย สำ�นักงาน คปก. จะให้รายละเอียด ในเรื่องหลักการ วิธีการร่างกฎหมายใหม่ และขั้นตอนการเสนอกฎหมาย ขั้นตอนการขอคำ�ปรึกษา ประชาชน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งหรือผู้แทนองค์กรเอกชน ต้องกรอกแบบคำ�ขอที่เรียกว่า คปก.ขช. 1 โดยระบุชื่อ-สกุล ที่อยู่ ข้อมูลส่วนตัว รายละเอียดของเรื่องที่ต้องการปรึกษา และช่องทางที่สะดวกในการติดต่อกลับ และให้คำ�ปรึกษา เช่น จดหมาย โทรสาร อีเมล โดยผู้ขอคำ�ปรึกษาสามารถส่ง 228
  • 195. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ แบบคำ�ขอด้วยตนเอง ทางจดหมาย หรือ โทรสาร สำ�หรับการขอรับการสนับสนุนการ ร่างกฎหมายใหม่ สำ�นักงาน คปก. จะเข้า ร่วมในการจัดทำ�ร่างกฎหมายพร้อมทั้งให้ ข้อเสนอแนะ ในกรณีที่ คปก. เห็นว่าการ ร่างกฎหมายดังกล่าวมีความจำ�เป็น ต้องหาข้อมูลหรือองค์ความรู้เพิ่มเติม คปก. จะสนับสนุนการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม นอกจากนี้สำ�งานคปก.จะช่วยประสานงาน กับหน่วยงานอื่น เพื่อสนับสนุนการ เข้าชื่อเสนอกฎหมายและช่วยเผยแพร่ ร่างกฎหมายต่อสื่อสารสาธารณะ ขั้นตอนการขอการสนับสนุนการ ร่างกฎหมายใหม่ ประชาชนผู้มีสิทธิ เลือกตั้งจำ�นวนไม่น้อยกว่า 5 คน หรือ ผู้แทนองค์กรเอกชน ซึ่งได้รับคำ�ปรึกษา และดำ�เนินการตามคำ�ปรึกษาแล้วแต่งตั้ง ตัวแทนจำ�นวนไม่น้อยกว่า 2 คน กรอก และยื่นคำ�ขอตามแบบ คปก.ขช. 2 พร้อม ยื่นคำ�ขอด้วยตนเอง หรือทางจดหมาย หรือโทรสารโดยผู้ขอต้องระบุรายละเอียด ดังนี้ 1. รายชื่อประชาชนที่ขอรับการ สนับสนุนการร่างกฎหมาย 2. สภาพปัญหาและความจำ�เป็นใน การปรับปรุงและพัฒนากฎหมาย 3. สรุปสาระสำ�คัญและหลักการ ของกฎหมายที่ต้องการเสนอให้ ปรับปรุงและแก้ไข 4. ผลการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องในการ ร่างกฎหมายนั้น (ถ้ามี) 5. เอกสารอื่นใดที่จะเป็นประโยชน์ต่อ การร่างกฎหมาย (ถ้ามี) 6. ทั้งนี้ ประชาชนสามารถดูตัวอย่าง แบบคำ�ขอคปก.ขช.1และคปก.ขช.2 ได้ที่เว็บไซต์ http://www.prd.go.th/ ewt_dl_link.php?nid=33085 ข้อมูลสำ�หรับการติดต่อ ที่อยู่: 99 หมู่ 4 อาคารซอฟต์แวร์พาร์ค ชั้น 19 ถนนแจ้งวัฒนะ ตำ�บลคลองเกลือ อำ�เภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120 โทรศัพท์: 0 2502 6000 ต่อ 8282 โทรสาร: 0 2502 6000 ต่อ 8274 เว็บไซต์: http://www.lrct.go.th/ 2.2 โครงการอินเทอร์เน็ต เพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) พันธกิจและหน้าที่ ‘โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมาย ประชาชน’ จัดตั้งขึ้นเพื่อให้ประชาชนมี ส่วนร่วมในการเสนอและแก้ไขกฎหมาย เว็บไซต์ของโครงการเปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วน ของสังคมสามารถแสดงความคิดเห็นใน ประเด็นต่างๆ และการแก้กฎหมายที่ เกี่ยวข้อง รวมทั้งมีการจัดทำ�แบบสำ�รวจ ความคิดเห็น (โพล) เพื่อสะท้อนความ ต้องการของประชาชน หากประเด็นใดได้รับความสนใจ มาก คณะทำ�งานโครงการฯ จะติดต่อหา หน่วยงานหรือกลุ่มบุคคลมาช่วยพัฒนา ประเด็นดังกล่าว และเปิดให้ทุกคนช่วยกัน เสนอแนะแก้ไข ก่อนจะจัดทำ�เป็นร่าง กฎหมายที่สมบูรณ์เมื่อร่างกฎหมายฉบับ ประชาชนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้ที่เห็นด้วย สามารถเข้าชื่อเพื่อผลักดันร่างกฎหมาย เข้าสู่รัฐสภาได้ โดยการพิมพ์แบบฟอร์ม การเข้าชื่อ กรอกรายละเอียด ลงนาม แนบสำ�เนาบัตรประชาชนและสำ�เนา ทะเบียนบ้าน แล้วส่งไปรษณีย์ไปที่ตู้ ปณ. 55 ปณฝ. สุทธิสาร กรุงเทพฯ 10321 ทั้งนี้ ประชาชนสามารถเสนอ มาตรการการลดปัญหาทุจริตทางเว็บไซต์ ได้ หรือติดต่อสำ�นักงานโครงการได้ โดยตรง ข้อมูลสำ�หรับการติดต่อ ที่อยู่:409ชั้น1อาคารมูลนิธิอาสาสมัคร เพื่อสังคม ซอยโรหิตสุข ถนนรัชดา 14 เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ โทรศัพท์: 0 2276 3676 โทรสาร: 0 2690 2712 อีเมล: ilaw@ilaw.or.th เว็บไซต์: http://ilaw.or.th/ 229
  • 196. เมนูคอร์รัปชัน 3_ องค์กรภาคประชาสังคม เพื่อต่อต้านการทุจริต องค์กรภาคประชาสังคมเพื่อต่อต้านการทุจริตเป็นการรวมตัวของประชาชนบางกลุ่ม และหน่วยงานเอกชนบางแห่ง ซึ่งตระหนักว่าการลดการทุจริตไม่สามารถพึ่งกลไกการ ตรวจสอบของภาครัฐเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของทุกฝ่าย ในสังคม องค์กรภาคประชาสังคมจึงถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อดำ�เนินกิจกรรมให้ประชาชน เกิดจิตสำ�นึกและความตระหนักรู้ถึงผลเสียจากการทุจริตและช่วยกันต่อต้านการทุจริต ประชาชนสามารถเข้ามีส่วนร่วมในการลดการทุจริตได้โดยการเข้าร่วมและสนับสนุน กิจกรรมขององค์กรเหล่านี้ ตัวอย่างขององค์กรเหล่านี้ เช่น 3.1 องค์กรเพื่อความ โปร่งใสในประเทศไทย พันธกิจและหน้าที่ องค์กรเพื่อความโปร่งใสใน ประเทศไทยมีพันธกิจเสริมสร้างความ โปร่งใสให้เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยจัด กิจกรรมต่างๆ ร่วมกับประชาชน องค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน สื่อมวลชน และ องค์กรภาคประชาสังคมอื่นๆ เพื่อสร้าง ความตระหนักรู้และสร้างการมีส่วนร่วม ตัวอย่างกิจกรรมขององค์กร เช่น รายการ วิทยุ ‘เรารักประเทศไทยโปร่งใส’ ทาง FM 99.5 MHz ทุกวันเสาร์ เวลา 07.00- 09.00 น. ชมรมเยาวชนเพื่อความโปร่งใส ค่ายอบรมผู้นำ�เยาวชน การประกวด เรียงความเยาวชนการประกวดข่าวทุจริต เชิงสืบสวนยอดเยี่ยม การสร้างฐานข้อมูล เพื่อความโปร่งใสและการจัดทำ�หลักสูตร และกิจกรรม ‘โตไปไม่โกง’ (http:// growinggood.org/) ข้อมูลสำ�หรับการติดต่อ ที่อยู่:118อาคารสยามบรมราชกุมารีชั้น 15 สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ถนนเสรีไทย แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ 10240 โทรศัพท์: 0 2377 7206, 0 2378 1284, 0 2374 7399 และ 0 2727 3501-5 เว็บไซต์: http://www.transparency- thailand.org/thai/ 3.2 มูลนิธิองค์กรต่อต้าน คอร์รัปชัน (ประเทศไทย) พันธกิจและหน้าที่ ‘มูลนิธิองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน’ หรือเดิมชื่อว่า ภาคีเครือข่ายต่อต้าน คอร์รัปชัน เป็นองค์กรที่เกิดขึ้นจาก รวมตัวของภาคเอกชนและหน่วยงาน รัฐ 23 แห่ง นำ�โดยสภาหอการค้า แห่งประเทศไทย มูลนิธิองค์กรต่อต้าน คอร์รัปชันดำ�เนินยุทธศาสตร์ 3 ประการ เพื่อลดการทุจริตและสร้างความโปร่งใส กล่าวคือ ‘ปลูกฝัง ป้องกัน และเปิดโปง’ ตัวอย่างการดำ�เนินการและกิจกรรมใน แต่ละด้านของมูลนิธิฯ เช่น • ด้านการปลูกฝังจิตสำ�นัก เช่น จัด 230
  • 197. และเส้นทางการแสวงหาผลประโยชน์ กิจรรมผลิตภาพยนตร์สารคดี เพื่อ ปลูกจิตสำ�นึกให้กระทำ�ในสิ่งที่ถูกต้อง และปฏิเสธไม่ยอมรับการโกงหรือ คอร์รัปชัน • ด้านการป้องกัน เช่น เคลื่อนไหว เรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเผยราคา กลางในการจัดซื้อจัดจ้างทุกประเภท และจัดให้มีการประกวดราคาทาง อิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้เกิดความ โปร่งใส รวมทั้งติดตามและเผยแพร่ ข้อมูลงบประมาณโครงการระบบการ บริหารจัดการน้ำ�และเพื่อเฝ้าระวัง ไม่ให้เกิดการทุจริต นอกจากนี้ ยังมี โครงการ ‘หมาเฝ้าบ้าน’ โดยอบรม หลักกฎหมาย วิธีการตรวจสอบและ การให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ให้อาสาสมัคร สามารถทำ�หน้าที่เฝ้าระวังการทุจริต แจ้งเบาะแส และร่วมกันเปิดโปง โดย โครงการนี้ยังปลูกจิตสำ�นึกให้คนใน ชุมชนดูแลชุมชนของตนเอง • ด้านการเปิดโปง เช่น เสนอให้สมาชิก ขององค์กรไม่สนับสนุนหรือทำ�ธุรกิจ กับผู้ที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการ ทุจริต และอยู่ระหว่างดำ�เนินการ โครงการรวบรวมข้อมูลพฤติกรรม การทุจริตของหน่วยงานภาครัฐเพื่อ เปิดโปงและนำ�ไปสู่การปรับปรุงกฎ ระเบียบ ผ่านคณะกรรมการพัฒนา ระบบราชการ (ก.พ.ร.) ประชาชนที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม หรือต้องการแจ้งเบาะแสการทุจริต สามารถติดต่อมูลนิธิองค์กรต่อต้าน คอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ได้โดยตรง ข้อมูลสำ�หรับการติดต่อ ที่อยู่: 150 ถนนราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 โทรศัพท์: 0 2622 1860-76 ต่อ 543- 545 เว็บไซต์: http://www.anticorruption. in.th/ และ https://www.facebook. com/ACT.AntiCorruptionThailand 4_ สื่อมวลชน สื่อมวลชนเป็นอีกช่องทางสำ�หรับประชาชนที่ต้องการมีส่วน ร่วมในการตรวจสอบการกระทำ�ทุจริต โดยประชาชนสามารถติดตาม ข่าวสาร แจ้งข้อมูล เบาะแส และหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ การทุจริตให้สื่อมวลชนนำ�ไปค้นหาหลักฐานเพิ่มเติมและสอบถาม ต่อหน่วยงานภาครัฐและผู้อื่นที่เกี่ยวข้อง โดยผู้แจ้งไม่จำ�เป็นต้องเปิด เผยข้อมูลส่วนบุคคล ทำ�ให้ความเสี่ยงที่จะถูกทำ�ร้ายลดลง ปัจจุบันสื่อมวลชนบางแห่งมีพันธกิจในการทำ�ข่าวเชิงสืบสวน สอบสวน หรือ ‘ข่าวเจาะ’ ซึ่งมีลักษณะการสืบสวนและการค้นหา ข้อมูลหลักฐานเชิงลึกอันเป็นการติดตามและตรวจสอบการทำ�งาน ของภาครัฐ โดยเฉพาะกรณีที่น่าสงสัยว่ามีการทุจริต ตัวอย่างองค์กร เหล่านี้ เช่น 4.1 สำ�นักข่าวอิศรา มีความโดดเด่นในการทำ�ข่าวชุมชน ข่าวนโยบายสาธารณะ ข่าวภาคใต้ และ ข่าวสืบสวนที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต ข้อมูลสำ�หรับการติดต่อ ที่อยู่: 538/1 ถนนสามเสน แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 โทรศัพท์: 0 2241 3160 โทรสาร: 0 2241 3161 เว็บไซต์: www.isranews.org 231
  • 198. ศูนย์สาธารณประโยชน์และประชาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ มูลนิธิองค์กรเพื่อความโปร่งใส ในประเทศไทย เมนูคอร์รัปชัน 4.2 สำ�นักข่าวไทยพับลิก้า มีความโดดเด่นในการทำ�ข่าวด้าน เศรษฐกิจและนโยบายสาธารณะ การ ตรวจสอบความโปร่งใสขององค์กรทั้ง ภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงการเสนอ ประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืน ข้อมูลสำ�หรับการติดต่อ ที่อยู่: 62 รามอินทรา 5 แยก 3 แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพฯ 10220 โทรศัพท์: 0 2970 6998 อีเมล: info@thaipublica.org เว็บไซต์: http://thaipublica.org/ 4.3 ศูนย์ข้อมูล & ข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง (TCIJ) มีความโดดเด่นในการทำ�ข่าวที่เกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของพลเมือง และข่าว สืบสวนในประเด็นต่างๆ โดยเฉพาะการทุจริต นอกจากนี้ ศูนย์ข่าว TCIJ ยังเปิดโอกาส ให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการผลิตข่าวเพื่อเผยแพร่ในเว็บไซต์ ข้อมูลสำ�หรับการติดต่อ ที่อยู่: 1371 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทรศัพท์: 0 2278 7904 อีเมล: info@tcijthai.com เว็บไซต์: http://www.tcijthai.com/tcijthai/ 232
  • 199. COVERDESIGN:ANTIZEPTIC ออรเดิรฟ : เร�ยกน้ำย‹อย สมารทการด / ชุมชนพอเพ�ยง / นมโรงเร�ยน / ซานติกŒาผับ โครงการช‹วยเหลือแรงงานผูŒประสบอุทกภัย / สายสืบกรมศุลกากร เทศกาลภาพยนตรนานาชาติกรุงเทพฯ จานหลัก : อิ�มเต็มคำ จำนำขŒาว / โควตานำเขŒากากถั่วเหลือง / บอรด ปตท. EIA โรงไฟฟ‡าบางคลŒา / แอรพอรตลิงค / ดิวตี้ฟร�สุวรรณภูมิ / ลานจอดรถสุวรรณภูมิ บŒานเอื้ออาทร / รุกที่อุทยานทับลาน-สิร�นาถ / โครงการบำบัดน้ำเสียคลองด‹าน กระทรวงสาธารณสุขทุจร�ตยา / ส.ป.ก. 4-01 / กลŒายางพารา / โฮปเวลล เปบพ�สดาร : สากกะเบือยันเร�อข�ด เร�อข�ดหัวสว‹าน / GT 200 / เง�นบร�จาคสึนามิ สปส. เช‹าระบบคอมพ�วเตอร / โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุหมอชิต สนามกอลฟอัลไพน / รถจดประกอบเลี่ยงภาษี / สหกรณเครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ของหวาน : ทานง‹าย อร‹อยทุกมื้อ แปˆะเจ�๊ยะโรงเร�ยน / ส‹วยตำรวจ / การจัดซื้อจัดจŒางขององคกรปกครองส‹วนทŒองถิ�น หัวคิวแรงงานต‹างดŒาว / จัดซื้ออุปกรณการเร�ยน คดีชูŒสาวและการเร�ยกรับผลประโยชนของผูŒพ�พากษา ราคา 195 บาท ศูนยสาธารณประโยชนและประชาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบร�หารศาสตร มูลนิธิองคกร เพ�่อความโปร‹งใส ในประเทศไทย