การสื่อสารข้อมูล
1. ความหมายของการสือ สารข้อ มูล
                   ่


 การสื่อสารข้อมูล หมายถึง การโอนถ่าย (Transmission)
 ข้อมูลหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างต้นทางกับปลาย
 ทาง โดยใช้อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่อง
 คอมพิวเตอร์ ซึ่งมีตัวกลาง เช่น ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์
 สำาหรับควบคุมการส่งและการไหลของข้อมูลจากต้นทาง
 ไปยังปลายทาง นอกจากนี้อาจจะมีผู้รับผิดชอบในการ
 กำาหนดกฎเกณฑ์ในการส่งหรือรับข้อมูลตามรูปแบบที่
 ต้องการ
2. องค์ป ระกอบพืน ฐานของระบบ
                ้
สือ สารข้อ มูล
  ่

1. ผู้ส ่ง หรือ อุป กรณ์ส ่ง ข้อ มูล (Sender)
   ข้อมูลต่างๆ ที่อยู่ต้นทางจะต้องจัดเตรียมนำาเข้าสู่อุปกรณ์
   สำาหรับส่งข้อมูล ซึ่งได้แก่เครื่องพิมพ์ หรืออุปกรณ์
   ควบคุมต่าง ๆ จานไมโครเวฟ จานดาวเทียม ซึ่งข้อมูล
   เหล่านั้นถูกเปลียนให้อยู่ในรูปแบบที่สามารถส่งข้อมูล
                      ่
   นั้นได้ก่อน
2. ผู้ร ับ หรือ อุป กรณ์ร ับ ข้อ มูล (Receiver)
   ข้อมูลที่ถกส่งจากอุปกรณ์ส่งข้อมูลต้นทาง เมื่อไปถึง
                ู
   ปลายทางก็จะมีอุปกรณ์สำาหรับรับข้อมูลเหล่านั้นเพื่อนำา
   ไปใช้ประโยชน์ต่อไป อุปกรณ์เหล่านี้ได้แก่ เครื่องพิมพ์
   คอมพิวเตอร์ จานไมโครเวฟ จานดาวเทียม ฯลฯ
3. โปรโตคอล (Protocol)
   โปรโตคอล คือ กฎระเบียบ หรือวิธการใช้เป็นข้อกำาหนด
                                      ี
   สำาหรับการสื่อสาร เพื่อให้ผู้รับและผู้ส่งเข้าใจกันได้ ซึ่งมี
   หลายชนิดให้เลือกใช้ เช่น TCP/IP, X.25, SDLC เป็นต้น
4. ซอฟต์แ วร์ (Software)
   การส่งข้อมูลผ่านคอมพิวเตอร์จำาเป็นต้องมีโปรแกรม
   สำาหรับดำาเนินการ และควบคุมการส่งข้อมูลเพื่อให้ได้
   ข้อมูลตามที่กำาหนดไว้ ได้แก่ Novell's NetWare UNIX Windows
   NT ฯลฯ
5. ข่า วสาร (Message)
ข้อ มูล (Data) เป็นรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ซึ่งถูกสร้าง
   และจัดเก็บด้วยคอมพิวเตอร์ มีรูปแบบแน่นอน
ข้อ ความ (Text) อยู่ในรูปของเอกสารหรือตัวอักขระ ไม่มี
   รูปแบบที่แน่นอน ชัดเจนนับจำานวนได้คอนข้างยาก และ
   มีความสามารถในการส่งปานกลาง
รูป ภาพ (Image) เป็นข่าวสารที่อยู่ในรูปของภาพกราฟิก
   แบบต่างๆ ซึ่งข้อมูลชนิดนี้จะต้องอาศัยสื่อสำาหรับเก็บ
   และใช้หน่วยความจำาเป็นจำานวนมาก
เสีย ง (Voice) อยู่ในรูปของเสียงพูด เสียงดนตรี หรือเสียง
   อื่น ๆ ข้อมูลชนิดนี้จะกระจัดกระจาย ไม่สามารถวัด
   ขนาดที่แน่นอนได้ การส่งจะทำาได้ด้วยความเร็ว ค่อน
6. ตัว กลาง (Medium)
   เป็นตัวกลางหรือสื่อกลางที่ทำาหน้าที่นำาข่าวสารในรูป
   แบบต่าง ๆ จากผู้ส่งหรืออุปกรณ์ส่งต้นทางไปยังผู้รับ
   หรืออุปกรณ์รับปลายทาง ซึ่งมีหลายรูปแบบได้แก่ สาย
   ไป ขดลวด สายเคเบิล สายไฟเบอร์ออฟติก ตัวกลางอาจ
   จะอยู่ในรูปของคลื่นที่ส่งผ่านทางอากาศ เช่น คลื่น
   ไมโครเวฟ คลื่นดาวเทียม หรือคลื่นวิทยุ เป็นต้น
3. การเชือ มต่อ คอมพิว เตอร์
          ่
สำา หรับ สือ สารข้อ มูล
            ่

 เป็นการเชือมโยงคอมพิวเตอร์ต้นทางเข้ากับ
             ่
 คอมพิวเตอร์ปลายทาง โดยใช้ตัวกลางหรือสื่อกลาง
 สำาหรับเชื่อมต่อ ขึ้นอยู่กับลักษณะของการใช้งาน
 เป็นการเชือมต่อระยะไกลจากคอมพิวเตอร์ต้นทางไปยัง
               ่
 ปลายทาง โดยผ่านเครือข่ายโทรศัพท์สาธารณะ
4. การส่ง สัญ ญาณข้อ มูล (Transmission
Definition)

      การส่งสัญญาณข้อมูล หมายถึง การส่งข้อมูลหรือ
 ข่าวสารต่างๆ จากอุปกรณ์สำาหรับส่งหรือผู้ส่ง ผ่านทาง
 ตัวกลางหรือสื่อกลางไปยังอุปกรณ์รับหรือผู้รับข้อมูล
 หรือข่าว ซึ่งข้อมูลหรือข่าวสารที่ส่งไปอาจจะอยู่ในรูป
 ของสัญญาณเสียง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือแสงก็ได้
 โดยที่สื่อกลางหรือตัวกลางของสัญญาณนั้นแบ่งเป็น 2
 ชนิด คือชนิดที่สามารถกำาหนดเส้นทางสัญญาณได้ เช่น
 สายเกลียวคู่ (Twisted paire) สายโทรศัพท์ สายโคแอกเชีย
 ล (Coaxial) สายใยแก้วนำาแสง (Fiber Optic) ส่วนตัวกลางอีก
 ชนิดหนึ่งนั้นไม่สามารถกำาหนดเส้นทางของสัญญาณได้
 เช่น สุญญากาศ นำ้า และ ชั้นบรรยากาศ เป็นต้น
แบบของการส่งสัญญาณข้อมูล
  แบ่งได้เป็น 4 รูปแบบดังนี้
การส่ง สัญ ญาณทางเดีย ว (One-Way Transmission หรือ
  Simplex)
- การส่งวิทยุกระจายเสียง การแพร่ภาพโทรทัศน์
การส่ง สัญ ญาณกึ่ง ทางคู่ (Half-Duplex หรือ Either-Way)
- วิทยุสนาม
การส่ง สัญ ญาณทางคู่ (Full-Duplex หรือ Both way
  Transmission)
- การใช้โทรศัพท์
มาตรฐานสากล (International Standards)
 ISO (The International Standards Organization)
  พัฒนามาตรฐานสากลเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมเครือข่าย
 CCITT (The Conseclitive Committee in International)
  พัฒนามาตรฐาน V และ x โดยทีมาตรฐาน v ใช้สำาหรับวงจรโทรศัพท์และ
                                        ่
  โมเด็ม เช่น v29, v34 ส่วนมาตรฐาน x ใช้กับเครือข่ายข้อมูลสาธารณะเช่น
  เครือข่าย x.25 แพ็กเกจสวิตช์ (Package switch) เป็นต้น
 ANSI (The American National Standards Institute)
  พัฒนามาตรฐานเกี่ยวกับการสื่อสารข้อมูลและระบบเครือข่ายมาตรฐาน
  ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการประดิษฐ์ตัวเลขที่ใช้ในการติดต่อสือสาร
                                                               ่
  ข้อมูลและมาตรฐานเทอร์มนัล        ิ
 IEE (The Institute of Electronic Engineers)
  มาตรฐานนี้จะเน้นไปทางด้านอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ไมโคร
  โปรเซสเซอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในไมโครคอมพิวเตอร์ เช่น IEE
  802.3 ซึ่งใช้ระบบ LAN (Local Area Network)
 EIA (The Electronics Industries Association)
6. ลัก ษณะของสัญ ญาณที่ใ ช้ใ นการ
ส่ง สัญ ญาณข้อ มูล

     2 ลัก ษณะดัง นี้
 การส่ง สัญ ญาณแบบอนาลอก (Analog Transmission)
 สัญญาณอนาลอกที่ส่งออกไปนั้นเมื่อระยะห่างออกไป
 สัญญาณก็จะอ่อนลงเรื่อย ๆ -- Amplifier
 - เกิด Noise ขึ้น
 - แก้ไขโดยใช้ Filter
การส่ง สัญ ญาณแบบดิจ ิต อล (Digital Transmission)
 การส่งสัญญาณแบบดิจิตอลจะใช้เมื่อต้องการข้อมูลที่
 ถูกต้องชัดเจนแน่นอน ดังนั้นจึงจำาเป็นต้องสนใจราย
 ละเอียดทุกอย่างที่บรรจุมากับสัญญาณ เมื่อระยะทางใน
 การส่งมากขึ้น สัญญาณดิจิตอลก็จะจางลง ซึ่งสามารถ
 แก้ไขได้โดยรีพีตเตอร์ (Repeater)
7. รหัสที่ใช้สงสัญญาณข้อมูล (Transmission
               ่
Code)

 แบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือ แบบดิจิตอลและแบบอนาลอก
 ตัวอักษร ตัวเลข เสียง และภาพต่าง ๆ ซึ่งข่าวสารเหล่านี้
 จะอยู่ในรูปแบบอนาลอก แต่เมื่อต้องการนำาข้อมูลหรือ
 ข่าวสารเหล่านี้มาใช้กับคอมพิวเตอร์ จะต้องเปลี่ยน
 ข้อมูล หรือข่าวสารเหล่านี้ให้อยู่ในรูปแบบที่
 คอมพิวเตอร์เข้าใจได้เสียก่อน ซึ่งคอมพิวเตอร์จะรับรู้
 ข่าวสารที่เป็นแบบดิจิตอลเท่านั้น นั่นคือการเข้าสู่
 กระบวนการเปลียนข่าวสารแบบอนาลอกให้เป็นข่าวสาร
                  ่
 แบบดิจิตอล
 - ตัวอักษรที่พิมพ์เข้าไปจะต้องมีการเข้ารหัสโดยผ่านตัว
 Encoder ให้อยู่ในรูปของสัญญาณที่สามารถส่งสัญญาณ
 ต่อไปได้เมื่อสัญญาณถูกส่งไปยังเครื่องรับ จากนั้น
 เครื่องรับก็จะตีความสัญญาณที่ส่งมาและผ่านตัว Decodes
8. รูป แบบของรหัส
  รหัสทีใช้ในการสื่อสารข้อมูลโดยทั่วไปจะอยู่ในรูปของไบนารี (Binary) หรือเลขฐานสอง
         ่
  ซึ่งประกอบด้วยเลข 0 กับเลข 1 โดยใช้รหัสทีเป็นเลข 0 แทนการไม่มีสัญญาณไฟและเลข
                                                      ่
  1 แทนการมีสัญญาณไฟ ซึ่งเป็นไปตามหลักการของไฟฟ้าที่มลักษณะมีไฟและไม่มไฟี                      ี
  อยู่ตลอดเวลา เรียกรหัสที่ประกอบด้วย 0 กับ 1 ว่าบิต (Binary Digit) แต่เนื่องจากข้อมูลหรือ
  ข่าวสารทั่วไปประกอบด้วยตัวอักษร ตัวเลขและสัญลักษณ์มากมาย ถ้าจะใช้ 0 กับ 1 เป็น
  รหัสแทนแล้วก็คงจะได้เพียง 2 ตัวเท่านั้น เช่น 0 แทนตัว A และ 1 แทนด้วย B
 รหัส แอสกี (ASCll CODE) American Standard Code for Information Interchange ใช้สำาหรับส่ง
  ข่าวสาร มีขนาด 8 บิต โดยใช้ 7 บิตแรกเข้ารหัสแทนตัวอักษร ส่วนบิตที่ 8 จะเป็นบิต
  ตรวจสอบ (Parity Bit Check) รหัสแอสกีได้รับมาตรฐานของ CCITT หมายเลข 5 เป็นรหัสที่ได้
  รับความนิยมในการสื่อสารข้อมูลอย่างกว้างขวาง เนื่องจากรหัสแอสกีใช้ 7 บิตแรกแทน
  ตัวอักขระ แต่ละบิตจะประกอบด้วยตัวเลข 0 หรือเลข 1 ดังนั้นรหัสแอสกีจะมีรหัสทีแตก             ่
  ต่างกันได้เท่ากับ 27 หรือเท่ากับ 128 ตัวอักขระนั่นเองในจำานวนนี้จะแบ่งเป็นตัวอักษรที่
  พิมพ์ได้ 96 อักขระ และเป็นตัวควบคุม (Control Characters) อีก 32 อักขระ ซึงใช้สำาหรับ
                                                                                   ่
  ควบคุมอุปกรณ์และการ ทำางานต่าง ๆ
 รหัส โบคอต (Baudot Code) เป็นรหัสทีใช้กบระบบโทรเลข และเทเล็กซ์ ซึ่งอยู่ภายใต้
                                            ่     ั
  มาตรฐานของ CCITT หมายเลข 2 เป็นรหัสขนาด 5 บิต สามารถมีรหัสทีแตกต่างกันได้      ่
  เท่ากับ 25 หรือเท่ากับ 32 รูปแบบ ซึงไม่เพียงพอกับจำานวนอักขระทังหมด จึงมีการเพิ่ม
                                       ่                                      ้
  อักขระพิเศษขึ้นอีก 2 ตัว คือ 11111 หรือ LS (Letter Shift Character) เพื่อเปลี่ยนกลุ่มตัวอักษรเป็น
  ตัวพิมพ์เล็ก (Lower case) และ 11011 หรือ FS(Figured Shift Character) สำาหรับเปลี่ยนกลุ่มตัวอักษร
  เป็นตัวพิมพ์ใหญ่ทำาให้มีรหัสเพิ่มขึนอีก 32 ตัว แต่มอักขระซำ้ากับอักขระเดิม 6 ตัว จึง
                                         ้                  ี
  สามารถใช้รหัสได้จริง 58 ตัว อีก 32 ตัว แต่มอักขระซำ้ากับอักขระเดิม 6 เดิม จึงสามารถ
                                                    ี
  ใช้รหัสได้จริง 58 ตัว เนื่องจากรหัสโบคอตมีขนาด 5 บิต ซึงไม่มีบิตตรวจสอบจึงไม่นิยม
                                                                    ่
  นำามาใช้กับคอมพิวเตอร์
 รหัส EBCDIC (Extended Binary Coded Decimal Interchange Code) พัฒนาขึนโดยบริษัท IBM มีขนาด
                                                                            ้
  8 บิตต่อหนึ่งอักขระ โดยใช้บิตที่ 9 เป็น บิตตรวจสอบ ดังนั้นจึงสามารถมีรหัสทีแตกต่าง      ่
9. รหัส แบบของการเชือ มต่อ เพื่อ การ
                      ่
  สือ สารข้อ มูล
    ่
1. การเชื่อ มต่อ แบบจุด ต่อ จุด (Point to Point Line)
เป็นการเชื่อมต่อแบบพืนฐาน โดยต่อจากอุปกรณ์รับหรือส่ง 2 ชุด
                       ้
ใช้สายสือสารเพียงสายเดียวมีความยาวของสายไม่จำากัด เชื่อมต่อ
         ่
สายสื่อสารไว้ตลอดเวลา (Lease Line) ซึ่งสายส่งอาจจะเป็นชนิด
สายส่งทางเดียว (Simplex) สายส่งกึ่งทางคู่ (Half-duplex) หรือสายส่ง
ทางคู่แบบสมบูรณ์ (Full-duplex) ก็ได้ และสามารถส่งสัญญาณข้อมูล
ได้ทั้งแบบซิงโครนัสหรือแบบอซิงโครนัส
2. การเชื่อ มต่อ แบบหลายจุด (Multipoint or Multidrop)
เนื่องจากค่าเช่าช่องทางในการส่งผ่านข้อมูลต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง
การเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุดนั้นสิ้นเปลืองสายสื่อสารมากการส่ง
ข้อมูลไม่ได้ใช้งานตลอดเวลา จึงมีแนวความคิดที่จะใช้สายสื่อสาร
เพียงสายเดียวแต่เชื่อมต่อกับหลายๆ จุด ซึ่งทำาให้ประหยัดค่าใช้
จ่ายได้มากกว่า
การเชื่อมต่อแบบหลายจุดแต่จุดจะมี Buffer ซึ่งเป็นที่พกเก็บข้อมูล
                                                        ั
ชั่วคราวก่อนทำาการส่ง โดยบัฟเฟอร์จะรับข้อมูลมาเก็บเรื่อย ๆ จน
3. การเชื่อ มต่อ เครือ ข่า ยแบบสลับ ช่อ งทางการ
   สื่อ สาร (Switched Network)
         เครือข่ายแบบสลับช่องทางการสื่อสารที่เห็นโดย
   ทั่วไปมี 4 รูปแบบดังนี้
เครือข่ายสื่อสารโทรศัพท์ (The Telephone Network)
เครือข่ายสื่อสารเทลเล็กช์ (The Telex/TWX Network)
เครือข่ายสื่อสารแพคเกตสวิตซ์ซิ่ง (package Switching
   Network)
เครือข่ายสื่อสารสเปเซียลไลซ์ ดิจิตอล (Specialized Digital
   Network)
10. สือ กลางที่ใ ช้ใ นการสือ สาร
        ่                  ่
ข้อ มูล

 2 ประเภท คือ สื่อกลางที่กำาหนดเส้นทางได้ เช่น สาย Coaxial
 สายเกลียวคู่ (Twisted-pair) สาย Fiber Optic และสื่อกลางที่กำาหนด
 เส้นทางไม่ได้ เช่น คลืนวิทยุ คลื่นดาวเทียม คลื่นไมโครเวฟ
                         ่
 เป็นต้น
สาย Coaxial Cable
 นิยมใช้ในระบบการสื่อสารความถี่สูง เช่น สายอากาศของทีวี
 สายชนิดนี้ถูกออกแบบมาให้มีค่าความต้านทาน 75 โอห์มและ
 50 โอห์ม โดยสาย 75 โอห์ม ส่วนใหญ่ใช้กับสายอากาศทีวีและ
 สาย 50 โอห์ม จะนำามาใช้กับการสื่อสารที่เป็นระบบดิจิตอล
 - คุณสมบัติ ประกอบด้วยตัวนำาสองสาย โดยมีสายหนึ่งเป็น
 แกนอยู่ตรงกลางและอีกเส้นเป็นตัวนำาล้อมรอบอยู่อกชั้น มีี
 ขนาดของสาย 0.4 ถึง 1 นิ้ว
 - มี 2 แบบ คือ แบบหนาและแบบบาง แบบหนาจะแข็ง การ
 เดินสายทำาได้ค่อนข้างยาก แต่สามารถส่งสัญญาณได้ไกล
สายคู่บ ิด เกลีย ว ( Twisted-Pair)
  สายมาตรฐานสองเส้นหุ้มด้วยฉนวนแล้วบิดเป็นเกลียว สามารถ
  รับส่งข้อมูลได้ทั้งแบบ อนาลอกและแบบดิจิตอล สายชนิดนี้จะมี
  ขนาด 0.015-0.056 นิ้ว ส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็ว 10 เมกะบิตต่อ
  วินาที ถ้าใช้ส่งสัญญาณแบบอนาลอกจะต้องใช้วงจรขยายหรือ
  แอมพลิฟายเออร์ ทุก ๆ ระยะ 5-6 กม. แต่ถ้าต้องการส่งสัญญาณ
  แบบดิจิตอลจะต้องใช้อปกรณ์ทำาซำ้าสัญญาณ (Repeater) ทุก ๆ
                           ุ
  ระยะ 2-3 กม. การส่งข้อมูลแบบดิจิตอล สัญญาณที่ส่งเป็น
  ลักษณะคลื่นสี่เหลี่ยม สายคู่บิดเกลียวสามารถใช้ส่งข้อมูลได้
  หลายเมกะบิตต่อวินาทีในระยะทางได้ไกลหลายกิโลเมตร
  เนื่องจากสายคู่เกลียว มีราคาไม่แพงมาก ใช้ส่งข้อมูลได้ดี และ
  มีนำ้าหนักเบา นอกจากนั้นยังง่ายต่อการติดตั้ง จึงถูกใช้งาน
  อย่างกว้างขวางตัวอย่างของสายคู่บิดเกลียว คือ สายโทรศัพท์
  สายคู่บิดเกลียวนั้นจะมีอยู่ 2 ชนิดคือ
 สายคู่บิดเกลียวชนิดหุ้มฉนวน (Shielded Twisted Pair : STP) เป็นสาย
  คู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยฉนวนชั้นนอกที่หนาอีกชั้นหนึ่ง เพื่อ
  ป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
สายส่ง แบบ Fiber Optic
เป็นการส่งสัญญาณด้วยใยแก้ว และส่งสัญญาณด้วยแสงมี
 ความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสามารถส่งข้อมูลได้ด้วยเร็ว
 เท่ากับแสง ไม่มีสัญญาณรบกวนจากภายนอก
 - ประกอบด้วยเส้นใยแก้ว 2 ชนิด ชนิดหนึ่งอยู่ตรงแกนกลาง
 อีกชนิดหนึ่งอยู่ด้านนอก โดยที่ใยแก้วทั้ง 2 นี้จะมีดัชนีใน
 การสะท้อนแสงต่างกัน ทำาให้แสงที่ส่งจากปลายด้านหนึ่ง
 ผ่านไปยังอีกด้านหนึ่งได้
14. รูป แบบการประมวลผลแบบกระจาย
 เครือ ข่า ย (Organizational Distributed Processing)


วิธการประมวลผลของเครือข่ายคอมพิวเตอร์มี 3 รูปแบบ คือ
    ี
   1.Terminal-to-Host Processing
   2. File Server Processing
   3. Client/Server

More Related Content

PDF
Week8 TCP/IP and internet
PPT
Data communication
PPTX
หน่วยที่ 2 การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 1
PDF
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
PDF
ใบงานหน่วยที่ 1
PPTX
บทที่3เทคนิคการส่งข้อมูลดิจิตอล
PPTX
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
PDF
การสื่อสารข้อมูล
Week8 TCP/IP and internet
Data communication
หน่วยที่ 2 การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 1
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ใบงานหน่วยที่ 1
บทที่3เทคนิคการส่งข้อมูลดิจิตอล
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
การสื่อสารข้อมูล

What's hot (18)

PPT
Data communication and network
PDF
การติดต่อสื่อสารทางอินเทอร์เน็ต
PPTX
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ม.1
PPT
การสื่อสารข้อมูล!!
PDF
อุปกรณ์เครือข่ายคอมพิวเตอร์
DOC
บทที่ 6. การสื่อสารโทรคมนาคมและเครือข่าย
PPTX
หน่วยที่ 3 อินเทอร์เน็ตและการใช้งาน
PPT
บบที่ 4 การสื่อสารข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์
PDF
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
PPTX
หน่วยที่ 2 การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 2
PDF
PDF
การสื่อสารและระบบเครือข่าย (Communication and Network)
PPT
Data communication and network
PDF
หน่วยที่ 8 การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
PPT
บทที่ 4 การสื่อสารข้อมูลและเครือข่าย
PPT
การสื่อสารบทที่ 3 เทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูล
ODP
การสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูล
Data communication and network
การติดต่อสื่อสารทางอินเทอร์เน็ต
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ม.1
การสื่อสารข้อมูล!!
อุปกรณ์เครือข่ายคอมพิวเตอร์
บทที่ 6. การสื่อสารโทรคมนาคมและเครือข่าย
หน่วยที่ 3 อินเทอร์เน็ตและการใช้งาน
บบที่ 4 การสื่อสารข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
หน่วยที่ 2 การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 2
การสื่อสารและระบบเครือข่าย (Communication and Network)
Data communication and network
หน่วยที่ 8 การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
บทที่ 4 การสื่อสารข้อมูลและเครือข่าย
การสื่อสารบทที่ 3 เทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูล
Ad

Similar to การสื่อสารข้อมูล (20)

PPT
Network
PPT
Data communication and network
DOCX
เครือข่ายคอมพิวเตอร์และการสื่อสารข้อมูล
PDF
Communication
PDF
Datacommunication
PDF
Communication
PDF
Communication
PPT
Communication Concept 3
PPT
Computer 1
PDF
PPT
บทที่ 3 หลักการแนวคิดในการสื่อสาร
PPTX
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
PDF
การสื่อสารข้อมูล
PDF
หน่วยที่ 1 เทคโนโลยีสารสนเทศ
PPTX
การสื่อสารข้อมูล
PPT
หน่วยที่ 1 เทคโนโลยีสารสนเทศ
PPT
Data communication and network
PPTX
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ม.5/8
DOC
ใบความรู้ เรื่อง การสื่อสารข้อมูล
PDF
Datacom
Network
Data communication and network
เครือข่ายคอมพิวเตอร์และการสื่อสารข้อมูล
Communication
Datacommunication
Communication
Communication
Communication Concept 3
Computer 1
บทที่ 3 หลักการแนวคิดในการสื่อสาร
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
การสื่อสารข้อมูล
หน่วยที่ 1 เทคโนโลยีสารสนเทศ
การสื่อสารข้อมูล
หน่วยที่ 1 เทคโนโลยีสารสนเทศ
Data communication and network
ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ม.5/8
ใบความรู้ เรื่อง การสื่อสารข้อมูล
Datacom
Ad

การสื่อสารข้อมูล

  • 2. 1. ความหมายของการสือ สารข้อ มูล ่ การสื่อสารข้อมูล หมายถึง การโอนถ่าย (Transmission) ข้อมูลหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างต้นทางกับปลาย ทาง โดยใช้อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่อง คอมพิวเตอร์ ซึ่งมีตัวกลาง เช่น ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ สำาหรับควบคุมการส่งและการไหลของข้อมูลจากต้นทาง ไปยังปลายทาง นอกจากนี้อาจจะมีผู้รับผิดชอบในการ กำาหนดกฎเกณฑ์ในการส่งหรือรับข้อมูลตามรูปแบบที่ ต้องการ
  • 3. 2. องค์ป ระกอบพืน ฐานของระบบ ้ สือ สารข้อ มูล ่ 1. ผู้ส ่ง หรือ อุป กรณ์ส ่ง ข้อ มูล (Sender) ข้อมูลต่างๆ ที่อยู่ต้นทางจะต้องจัดเตรียมนำาเข้าสู่อุปกรณ์ สำาหรับส่งข้อมูล ซึ่งได้แก่เครื่องพิมพ์ หรืออุปกรณ์ ควบคุมต่าง ๆ จานไมโครเวฟ จานดาวเทียม ซึ่งข้อมูล เหล่านั้นถูกเปลียนให้อยู่ในรูปแบบที่สามารถส่งข้อมูล ่ นั้นได้ก่อน 2. ผู้ร ับ หรือ อุป กรณ์ร ับ ข้อ มูล (Receiver) ข้อมูลที่ถกส่งจากอุปกรณ์ส่งข้อมูลต้นทาง เมื่อไปถึง ู ปลายทางก็จะมีอุปกรณ์สำาหรับรับข้อมูลเหล่านั้นเพื่อนำา ไปใช้ประโยชน์ต่อไป อุปกรณ์เหล่านี้ได้แก่ เครื่องพิมพ์ คอมพิวเตอร์ จานไมโครเวฟ จานดาวเทียม ฯลฯ
  • 4. 3. โปรโตคอล (Protocol) โปรโตคอล คือ กฎระเบียบ หรือวิธการใช้เป็นข้อกำาหนด ี สำาหรับการสื่อสาร เพื่อให้ผู้รับและผู้ส่งเข้าใจกันได้ ซึ่งมี หลายชนิดให้เลือกใช้ เช่น TCP/IP, X.25, SDLC เป็นต้น 4. ซอฟต์แ วร์ (Software) การส่งข้อมูลผ่านคอมพิวเตอร์จำาเป็นต้องมีโปรแกรม สำาหรับดำาเนินการ และควบคุมการส่งข้อมูลเพื่อให้ได้ ข้อมูลตามที่กำาหนดไว้ ได้แก่ Novell's NetWare UNIX Windows NT ฯลฯ
  • 5. 5. ข่า วสาร (Message) ข้อ มูล (Data) เป็นรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ซึ่งถูกสร้าง และจัดเก็บด้วยคอมพิวเตอร์ มีรูปแบบแน่นอน ข้อ ความ (Text) อยู่ในรูปของเอกสารหรือตัวอักขระ ไม่มี รูปแบบที่แน่นอน ชัดเจนนับจำานวนได้คอนข้างยาก และ มีความสามารถในการส่งปานกลาง รูป ภาพ (Image) เป็นข่าวสารที่อยู่ในรูปของภาพกราฟิก แบบต่างๆ ซึ่งข้อมูลชนิดนี้จะต้องอาศัยสื่อสำาหรับเก็บ และใช้หน่วยความจำาเป็นจำานวนมาก เสีย ง (Voice) อยู่ในรูปของเสียงพูด เสียงดนตรี หรือเสียง อื่น ๆ ข้อมูลชนิดนี้จะกระจัดกระจาย ไม่สามารถวัด ขนาดที่แน่นอนได้ การส่งจะทำาได้ด้วยความเร็ว ค่อน
  • 6. 6. ตัว กลาง (Medium) เป็นตัวกลางหรือสื่อกลางที่ทำาหน้าที่นำาข่าวสารในรูป แบบต่าง ๆ จากผู้ส่งหรืออุปกรณ์ส่งต้นทางไปยังผู้รับ หรืออุปกรณ์รับปลายทาง ซึ่งมีหลายรูปแบบได้แก่ สาย ไป ขดลวด สายเคเบิล สายไฟเบอร์ออฟติก ตัวกลางอาจ จะอยู่ในรูปของคลื่นที่ส่งผ่านทางอากาศ เช่น คลื่น ไมโครเวฟ คลื่นดาวเทียม หรือคลื่นวิทยุ เป็นต้น
  • 7. 3. การเชือ มต่อ คอมพิว เตอร์ ่ สำา หรับ สือ สารข้อ มูล ่ เป็นการเชือมโยงคอมพิวเตอร์ต้นทางเข้ากับ ่ คอมพิวเตอร์ปลายทาง โดยใช้ตัวกลางหรือสื่อกลาง สำาหรับเชื่อมต่อ ขึ้นอยู่กับลักษณะของการใช้งาน เป็นการเชือมต่อระยะไกลจากคอมพิวเตอร์ต้นทางไปยัง ่ ปลายทาง โดยผ่านเครือข่ายโทรศัพท์สาธารณะ
  • 8. 4. การส่ง สัญ ญาณข้อ มูล (Transmission Definition) การส่งสัญญาณข้อมูล หมายถึง การส่งข้อมูลหรือ ข่าวสารต่างๆ จากอุปกรณ์สำาหรับส่งหรือผู้ส่ง ผ่านทาง ตัวกลางหรือสื่อกลางไปยังอุปกรณ์รับหรือผู้รับข้อมูล หรือข่าว ซึ่งข้อมูลหรือข่าวสารที่ส่งไปอาจจะอยู่ในรูป ของสัญญาณเสียง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือแสงก็ได้ โดยที่สื่อกลางหรือตัวกลางของสัญญาณนั้นแบ่งเป็น 2 ชนิด คือชนิดที่สามารถกำาหนดเส้นทางสัญญาณได้ เช่น สายเกลียวคู่ (Twisted paire) สายโทรศัพท์ สายโคแอกเชีย ล (Coaxial) สายใยแก้วนำาแสง (Fiber Optic) ส่วนตัวกลางอีก ชนิดหนึ่งนั้นไม่สามารถกำาหนดเส้นทางของสัญญาณได้ เช่น สุญญากาศ นำ้า และ ชั้นบรรยากาศ เป็นต้น
  • 9. แบบของการส่งสัญญาณข้อมูล แบ่งได้เป็น 4 รูปแบบดังนี้ การส่ง สัญ ญาณทางเดีย ว (One-Way Transmission หรือ Simplex) - การส่งวิทยุกระจายเสียง การแพร่ภาพโทรทัศน์ การส่ง สัญ ญาณกึ่ง ทางคู่ (Half-Duplex หรือ Either-Way) - วิทยุสนาม การส่ง สัญ ญาณทางคู่ (Full-Duplex หรือ Both way Transmission) - การใช้โทรศัพท์
  • 10. มาตรฐานสากล (International Standards)  ISO (The International Standards Organization) พัฒนามาตรฐานสากลเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมเครือข่าย  CCITT (The Conseclitive Committee in International) พัฒนามาตรฐาน V และ x โดยทีมาตรฐาน v ใช้สำาหรับวงจรโทรศัพท์และ ่ โมเด็ม เช่น v29, v34 ส่วนมาตรฐาน x ใช้กับเครือข่ายข้อมูลสาธารณะเช่น เครือข่าย x.25 แพ็กเกจสวิตช์ (Package switch) เป็นต้น  ANSI (The American National Standards Institute) พัฒนามาตรฐานเกี่ยวกับการสื่อสารข้อมูลและระบบเครือข่ายมาตรฐาน ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการประดิษฐ์ตัวเลขที่ใช้ในการติดต่อสือสาร ่ ข้อมูลและมาตรฐานเทอร์มนัล ิ  IEE (The Institute of Electronic Engineers) มาตรฐานนี้จะเน้นไปทางด้านอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ไมโคร โปรเซสเซอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในไมโครคอมพิวเตอร์ เช่น IEE 802.3 ซึ่งใช้ระบบ LAN (Local Area Network)  EIA (The Electronics Industries Association)
  • 11. 6. ลัก ษณะของสัญ ญาณที่ใ ช้ใ นการ ส่ง สัญ ญาณข้อ มูล 2 ลัก ษณะดัง นี้ การส่ง สัญ ญาณแบบอนาลอก (Analog Transmission) สัญญาณอนาลอกที่ส่งออกไปนั้นเมื่อระยะห่างออกไป สัญญาณก็จะอ่อนลงเรื่อย ๆ -- Amplifier - เกิด Noise ขึ้น - แก้ไขโดยใช้ Filter
  • 12. การส่ง สัญ ญาณแบบดิจ ิต อล (Digital Transmission) การส่งสัญญาณแบบดิจิตอลจะใช้เมื่อต้องการข้อมูลที่ ถูกต้องชัดเจนแน่นอน ดังนั้นจึงจำาเป็นต้องสนใจราย ละเอียดทุกอย่างที่บรรจุมากับสัญญาณ เมื่อระยะทางใน การส่งมากขึ้น สัญญาณดิจิตอลก็จะจางลง ซึ่งสามารถ แก้ไขได้โดยรีพีตเตอร์ (Repeater)
  • 13. 7. รหัสที่ใช้สงสัญญาณข้อมูล (Transmission ่ Code) แบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือ แบบดิจิตอลและแบบอนาลอก ตัวอักษร ตัวเลข เสียง และภาพต่าง ๆ ซึ่งข่าวสารเหล่านี้ จะอยู่ในรูปแบบอนาลอก แต่เมื่อต้องการนำาข้อมูลหรือ ข่าวสารเหล่านี้มาใช้กับคอมพิวเตอร์ จะต้องเปลี่ยน ข้อมูล หรือข่าวสารเหล่านี้ให้อยู่ในรูปแบบที่ คอมพิวเตอร์เข้าใจได้เสียก่อน ซึ่งคอมพิวเตอร์จะรับรู้ ข่าวสารที่เป็นแบบดิจิตอลเท่านั้น นั่นคือการเข้าสู่ กระบวนการเปลียนข่าวสารแบบอนาลอกให้เป็นข่าวสาร ่ แบบดิจิตอล - ตัวอักษรที่พิมพ์เข้าไปจะต้องมีการเข้ารหัสโดยผ่านตัว Encoder ให้อยู่ในรูปของสัญญาณที่สามารถส่งสัญญาณ ต่อไปได้เมื่อสัญญาณถูกส่งไปยังเครื่องรับ จากนั้น เครื่องรับก็จะตีความสัญญาณที่ส่งมาและผ่านตัว Decodes
  • 14. 8. รูป แบบของรหัส รหัสทีใช้ในการสื่อสารข้อมูลโดยทั่วไปจะอยู่ในรูปของไบนารี (Binary) หรือเลขฐานสอง ่ ซึ่งประกอบด้วยเลข 0 กับเลข 1 โดยใช้รหัสทีเป็นเลข 0 แทนการไม่มีสัญญาณไฟและเลข ่ 1 แทนการมีสัญญาณไฟ ซึ่งเป็นไปตามหลักการของไฟฟ้าที่มลักษณะมีไฟและไม่มไฟี ี อยู่ตลอดเวลา เรียกรหัสที่ประกอบด้วย 0 กับ 1 ว่าบิต (Binary Digit) แต่เนื่องจากข้อมูลหรือ ข่าวสารทั่วไปประกอบด้วยตัวอักษร ตัวเลขและสัญลักษณ์มากมาย ถ้าจะใช้ 0 กับ 1 เป็น รหัสแทนแล้วก็คงจะได้เพียง 2 ตัวเท่านั้น เช่น 0 แทนตัว A และ 1 แทนด้วย B  รหัส แอสกี (ASCll CODE) American Standard Code for Information Interchange ใช้สำาหรับส่ง ข่าวสาร มีขนาด 8 บิต โดยใช้ 7 บิตแรกเข้ารหัสแทนตัวอักษร ส่วนบิตที่ 8 จะเป็นบิต ตรวจสอบ (Parity Bit Check) รหัสแอสกีได้รับมาตรฐานของ CCITT หมายเลข 5 เป็นรหัสที่ได้ รับความนิยมในการสื่อสารข้อมูลอย่างกว้างขวาง เนื่องจากรหัสแอสกีใช้ 7 บิตแรกแทน ตัวอักขระ แต่ละบิตจะประกอบด้วยตัวเลข 0 หรือเลข 1 ดังนั้นรหัสแอสกีจะมีรหัสทีแตก ่ ต่างกันได้เท่ากับ 27 หรือเท่ากับ 128 ตัวอักขระนั่นเองในจำานวนนี้จะแบ่งเป็นตัวอักษรที่ พิมพ์ได้ 96 อักขระ และเป็นตัวควบคุม (Control Characters) อีก 32 อักขระ ซึงใช้สำาหรับ ่ ควบคุมอุปกรณ์และการ ทำางานต่าง ๆ  รหัส โบคอต (Baudot Code) เป็นรหัสทีใช้กบระบบโทรเลข และเทเล็กซ์ ซึ่งอยู่ภายใต้ ่ ั มาตรฐานของ CCITT หมายเลข 2 เป็นรหัสขนาด 5 บิต สามารถมีรหัสทีแตกต่างกันได้ ่ เท่ากับ 25 หรือเท่ากับ 32 รูปแบบ ซึงไม่เพียงพอกับจำานวนอักขระทังหมด จึงมีการเพิ่ม ่ ้ อักขระพิเศษขึ้นอีก 2 ตัว คือ 11111 หรือ LS (Letter Shift Character) เพื่อเปลี่ยนกลุ่มตัวอักษรเป็น ตัวพิมพ์เล็ก (Lower case) และ 11011 หรือ FS(Figured Shift Character) สำาหรับเปลี่ยนกลุ่มตัวอักษร เป็นตัวพิมพ์ใหญ่ทำาให้มีรหัสเพิ่มขึนอีก 32 ตัว แต่มอักขระซำ้ากับอักขระเดิม 6 ตัว จึง ้ ี สามารถใช้รหัสได้จริง 58 ตัว อีก 32 ตัว แต่มอักขระซำ้ากับอักขระเดิม 6 เดิม จึงสามารถ ี ใช้รหัสได้จริง 58 ตัว เนื่องจากรหัสโบคอตมีขนาด 5 บิต ซึงไม่มีบิตตรวจสอบจึงไม่นิยม ่ นำามาใช้กับคอมพิวเตอร์  รหัส EBCDIC (Extended Binary Coded Decimal Interchange Code) พัฒนาขึนโดยบริษัท IBM มีขนาด ้ 8 บิตต่อหนึ่งอักขระ โดยใช้บิตที่ 9 เป็น บิตตรวจสอบ ดังนั้นจึงสามารถมีรหัสทีแตกต่าง ่
  • 15. 9. รหัส แบบของการเชือ มต่อ เพื่อ การ ่ สือ สารข้อ มูล ่ 1. การเชื่อ มต่อ แบบจุด ต่อ จุด (Point to Point Line) เป็นการเชื่อมต่อแบบพืนฐาน โดยต่อจากอุปกรณ์รับหรือส่ง 2 ชุด ้ ใช้สายสือสารเพียงสายเดียวมีความยาวของสายไม่จำากัด เชื่อมต่อ ่ สายสื่อสารไว้ตลอดเวลา (Lease Line) ซึ่งสายส่งอาจจะเป็นชนิด สายส่งทางเดียว (Simplex) สายส่งกึ่งทางคู่ (Half-duplex) หรือสายส่ง ทางคู่แบบสมบูรณ์ (Full-duplex) ก็ได้ และสามารถส่งสัญญาณข้อมูล ได้ทั้งแบบซิงโครนัสหรือแบบอซิงโครนัส 2. การเชื่อ มต่อ แบบหลายจุด (Multipoint or Multidrop) เนื่องจากค่าเช่าช่องทางในการส่งผ่านข้อมูลต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง การเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุดนั้นสิ้นเปลืองสายสื่อสารมากการส่ง ข้อมูลไม่ได้ใช้งานตลอดเวลา จึงมีแนวความคิดที่จะใช้สายสื่อสาร เพียงสายเดียวแต่เชื่อมต่อกับหลายๆ จุด ซึ่งทำาให้ประหยัดค่าใช้ จ่ายได้มากกว่า การเชื่อมต่อแบบหลายจุดแต่จุดจะมี Buffer ซึ่งเป็นที่พกเก็บข้อมูล ั ชั่วคราวก่อนทำาการส่ง โดยบัฟเฟอร์จะรับข้อมูลมาเก็บเรื่อย ๆ จน
  • 16. 3. การเชื่อ มต่อ เครือ ข่า ยแบบสลับ ช่อ งทางการ สื่อ สาร (Switched Network) เครือข่ายแบบสลับช่องทางการสื่อสารที่เห็นโดย ทั่วไปมี 4 รูปแบบดังนี้ เครือข่ายสื่อสารโทรศัพท์ (The Telephone Network) เครือข่ายสื่อสารเทลเล็กช์ (The Telex/TWX Network) เครือข่ายสื่อสารแพคเกตสวิตซ์ซิ่ง (package Switching Network) เครือข่ายสื่อสารสเปเซียลไลซ์ ดิจิตอล (Specialized Digital Network)
  • 17. 10. สือ กลางที่ใ ช้ใ นการสือ สาร ่ ่ ข้อ มูล 2 ประเภท คือ สื่อกลางที่กำาหนดเส้นทางได้ เช่น สาย Coaxial สายเกลียวคู่ (Twisted-pair) สาย Fiber Optic และสื่อกลางที่กำาหนด เส้นทางไม่ได้ เช่น คลืนวิทยุ คลื่นดาวเทียม คลื่นไมโครเวฟ ่ เป็นต้น สาย Coaxial Cable นิยมใช้ในระบบการสื่อสารความถี่สูง เช่น สายอากาศของทีวี สายชนิดนี้ถูกออกแบบมาให้มีค่าความต้านทาน 75 โอห์มและ 50 โอห์ม โดยสาย 75 โอห์ม ส่วนใหญ่ใช้กับสายอากาศทีวีและ สาย 50 โอห์ม จะนำามาใช้กับการสื่อสารที่เป็นระบบดิจิตอล - คุณสมบัติ ประกอบด้วยตัวนำาสองสาย โดยมีสายหนึ่งเป็น แกนอยู่ตรงกลางและอีกเส้นเป็นตัวนำาล้อมรอบอยู่อกชั้น มีี ขนาดของสาย 0.4 ถึง 1 นิ้ว - มี 2 แบบ คือ แบบหนาและแบบบาง แบบหนาจะแข็ง การ เดินสายทำาได้ค่อนข้างยาก แต่สามารถส่งสัญญาณได้ไกล
  • 18. สายคู่บ ิด เกลีย ว ( Twisted-Pair) สายมาตรฐานสองเส้นหุ้มด้วยฉนวนแล้วบิดเป็นเกลียว สามารถ รับส่งข้อมูลได้ทั้งแบบ อนาลอกและแบบดิจิตอล สายชนิดนี้จะมี ขนาด 0.015-0.056 นิ้ว ส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็ว 10 เมกะบิตต่อ วินาที ถ้าใช้ส่งสัญญาณแบบอนาลอกจะต้องใช้วงจรขยายหรือ แอมพลิฟายเออร์ ทุก ๆ ระยะ 5-6 กม. แต่ถ้าต้องการส่งสัญญาณ แบบดิจิตอลจะต้องใช้อปกรณ์ทำาซำ้าสัญญาณ (Repeater) ทุก ๆ ุ ระยะ 2-3 กม. การส่งข้อมูลแบบดิจิตอล สัญญาณที่ส่งเป็น ลักษณะคลื่นสี่เหลี่ยม สายคู่บิดเกลียวสามารถใช้ส่งข้อมูลได้ หลายเมกะบิตต่อวินาทีในระยะทางได้ไกลหลายกิโลเมตร เนื่องจากสายคู่เกลียว มีราคาไม่แพงมาก ใช้ส่งข้อมูลได้ดี และ มีนำ้าหนักเบา นอกจากนั้นยังง่ายต่อการติดตั้ง จึงถูกใช้งาน อย่างกว้างขวางตัวอย่างของสายคู่บิดเกลียว คือ สายโทรศัพท์ สายคู่บิดเกลียวนั้นจะมีอยู่ 2 ชนิดคือ  สายคู่บิดเกลียวชนิดหุ้มฉนวน (Shielded Twisted Pair : STP) เป็นสาย คู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยฉนวนชั้นนอกที่หนาอีกชั้นหนึ่ง เพื่อ ป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
  • 19. สายส่ง แบบ Fiber Optic เป็นการส่งสัญญาณด้วยใยแก้ว และส่งสัญญาณด้วยแสงมี ความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสามารถส่งข้อมูลได้ด้วยเร็ว เท่ากับแสง ไม่มีสัญญาณรบกวนจากภายนอก - ประกอบด้วยเส้นใยแก้ว 2 ชนิด ชนิดหนึ่งอยู่ตรงแกนกลาง อีกชนิดหนึ่งอยู่ด้านนอก โดยที่ใยแก้วทั้ง 2 นี้จะมีดัชนีใน การสะท้อนแสงต่างกัน ทำาให้แสงที่ส่งจากปลายด้านหนึ่ง ผ่านไปยังอีกด้านหนึ่งได้
  • 20. 14. รูป แบบการประมวลผลแบบกระจาย เครือ ข่า ย (Organizational Distributed Processing) วิธการประมวลผลของเครือข่ายคอมพิวเตอร์มี 3 รูปแบบ คือ ี 1.Terminal-to-Host Processing 2. File Server Processing 3. Client/Server