SlideShare a Scribd company logo
หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล
 45




             เหตุการณ์สำคัญในสมัยกลางถึง
                 คริสต์ศตวรรษที่ 20
             
    ระบอบฟิวดัล
                          
                                สงครามครูเสด
                         
                                                             การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ



                                                                                 
                                                                          การสำรวจทางทะเล


         
ลัทธิจักรวรรดินิยม
           เหตุการณ์สำคัญในสมัยกลาง
                                  
                                                                               การปฏิรูปศาสนา
                                 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 20

             
  การปฏิวัติทางภูมิปัญญา
                                                 
                                                              การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์


                                              
                                   การปฏิวัติอุตสาหกรรม


                                 จุดประสงค์การเรียนรู้
                                     ตัวชี้วัดชั้นปี
                                         
การเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรฐกิจ และ
	 วิเคราะห์เหตุการณ์สำคัญต่างๆ ที่ส่งผลต่อ
   การเมืองเข้าสู่โลกสมัยปัจจุบัน (ส 4.2 ม.4-6/2)
46   หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล


                   เหตุการณ์สำคัญในสมัยกลาง
                      ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 20
          
          ประวั ติ ศ าสตร์ ยุ โ รปยุ ค กลาง (The Middle Ages) เริ่ ม ต้ น ตั้ ง แต่ ก ารล่ ม สลายของ
จักรวรรดิโรมันตะวันตกใน ค.ศ. 476 จนถึงประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 15 ในช่วงนี้เป็นช่วงที่
ชนชาติเยอรมันเผ่าต่างๆ ได้รุกรานและอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในยุโรปตะวันตก ซึ่งชนเผ่าเยอรมัน
เหล่านี้ ได้ตั้งอาณาจักรของตนปกครองดินแดนส่วนต่างๆ การที่ชนเผ่าเยอรมันได้เข้ามายึดครอง
ดินแดนของจักรวรรดิโรมันนั้น ได้ทำให้บ้านเมืองและสิ่งก่อสร้างรวมทั้งระบบการปกครองและ
วิทยาการที่เคยเจริญรุ่งเรืองเสื่อมโทรมลงไปอย่างมาก นักประวัติศาสตร์จึงเรียกประวัติศาสตร์  
ยุคนี้ว่า ยุคมืด (The Dark Ages) ในยุคมืดนี้ ได้มีเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์หลาย
เหตุการณ์ที่มีผลต่อสังคมมนุษย์มาจนถึงปัจจุปัน  ดังตัวอย่างต่อไปนี้
          	
           ระบอบฟิวดัล
        
        ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 9 ยุโรปได้เกิดระบบฟิวดัล (Feudalism) หรือระบบศักดินา-
สวามิภักดิ* ซึ่งเป็นระบบที่ครอบคลุมทั้งทางด้านการเมืองการปกครอง สังคม และเศรษฐกิจของ
          ์
ยุโรปยุคกลางในเวลาต่อมา คำว่า Feudalism มาจากคำว่า ฟีฟ (fief) หมายถึง ที่ดินที่เป็นพันธ-
สัญญาระหว่างเจ้านายที่เป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งเจ้าของที่ดินจะเป็นพวกขุนนาง เรียกว่า ลอร์ด
(lord) กับผู้ใช้ประโยชน์ในที่ดิน คือ ข้า หรือ เรียกว่า วัสซัล (vassal) ความสัมพันธ์ในระบบ
ฟิวดัลคือความสัมพันธ์ระหว่างผู้อุปถัมภ์กับผู้ ได้รับการอุปถัมภ์
                                                                 
                                                                 
                                                                 
                                                                 
           ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับขุนนางในระบบฟิวดัล
         คือความสัมพันธ์ระหว่างผู้อุปถัมภ์กับผู้ ได้รับการอุปถัมภ์



        *Mounir A. Farah and Andrea Berens Karls. World History. pp. 298-307.
หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล
 47


        การเกิดระบบฟิวดัลนั้น เริ่มจากกษัตริย์ที่เป็นเจ้านายชั้นสูงของระบบและเป็นเจ้าของที่ดิน
ทั้งราชอาณาจักรจะพระราชทานที่ดินให้กับขุนนางระดับสูงในท้องถิ่น เพื่อให้ขุนนางระดับสูงจงรัก
ภักดีและเป็นการตอบแทนความดีความชอบจากการทำสงคราม ทั้งกษัตริย์และขุนนางจะมีพันธะ
ต่อกัน กล่าวคือขุนนางมีหน้าที่ส่งทหารมาช่วยเมื่อมีสงคราม ส่งภาษีตามระยะเวลาที่กำหนด ส่วน
กษัตริย์มีหน้าที่ให้ความคุ้มครองและความยุติธรรมแก่ขุนนาง ทั้งนี้ขุนนางระดับสูงก็จะนำที่ดินนั้น
มาแบ่งให้กับขุนนางระดับรองลงไป ขุนนางระดับสูงจึงเป็นข้าหรือวัสซัลของกษัตริย์ แต่เป็น        
เจ้านายหรือลอร์ดของขุนนางระดับรองลงไปอีก เพื่อให้ขุนนางระดับรองภักดีและสนับสนุนด้าน
กำลัง ส่วนขุนนางระดับรองรวมทั้งประชาชนที่เป็นข้าติดที่ดินก็จะได้รับการคุ้มครองจากขุนนาง
ระดับสูง จากนั้นขุนนางระดับรองจะนำที่ดินนั้นมาหาผลประโยชน์และปกครองดูแลผู้คนที่จะทำมา
หากินบนที่ดินในเขตแมเนอร์ (manor) ของตน ประชาชนที่อาศัยและทำงานในที่ดินนั้น เรียกว่า
เซิร์ฟ (serf) หรือข้าติดที่ดิน ดังนั้น ระบบนี้จึงเป็นการแบ่งที่ดินลงเป็นทอดๆ จนถึงขุนนางระดับ
ล่างสุด คือ อัศวิน
        ในแต่ละแมเนอร์จะมีศูนย์กลางของแมเนอร์คือปราสาท ซึ่งเป็นที่อยู่ของขุนนางและ
ครอบครัว บริเวณที่ดินโดยรวมเป็นที่ทำมาหากินของชาวนาและเซิร์ฟ ซึ่งรวมกันเป็นหมู่บ้าน มีทั้ง
โรงตีเหล็ก ช่างซ่อมแซมสิ่งของ มีวัดใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา รอบๆ หมู่บ้านจะเป็นพื้นที่
เกษตรกรรม ซึ่งชาวนาและเซิร์ฟจะต้องแบ่งผลผลิตให้เจ้าของที่ดินเป็นค่าตอบแทน ความ
สัมพันธ์หรือข้อตกลงของลอร์ดกับวัสซัลมีตามพิธีกรรมที่เรียกว่า “การแสดงความจงรักภักดี”
(homage) หรือสวามิภักดิ์นั่นเอง
        
          การล่มสลายของระบบฟิวดัล

        การที่ระบบฟิวดัลล่มสลายนั้นเป็นผลจากการขยายตัวทางการค้าและอุตสาหกรรมในยุโรป
โดยเฉพาะในบริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทำให้เกิดชุมชนพาณิชย์อุตสาหกรรมขึ้น ส่งผลให้ชาว
ชนบทละทิ้งที่นาเข้ามาประกอบอาชีพค้าขายหรือประกอบการผลิตสินค้าหัตถกรรมในเขตเมือง
ทำให้สังคมเมืองมีการขยายตัว เกิดเป็นสังคมเมืองขึ้นมาใหม่ ซึ่งผู้คนที่มาอยู่ในเมืองไม่ได้อยู่ใน
ระบบฟิวดัล แต่เป็นกลุ่มคนที่ประกอบอาชีพทางการค้าและอุตสาหกรรม และเมื่อมีประชาชนเพิ่ม
มากขึ้นอย่างรวดเร็ว ชุมชนเมืองขยายตัวเพิ่มมากขึ้น มีเมืองใหม่ๆ เกิดขึ้นทั่วทั้งยุโรปในคริสต์
ศตวรรษที่ 11-12 หัวเมืองในอิตาลี เช่น เมืองเวนิส เมืองเจนัว และเมืองในบริเวณเนเธอร์แลนด์
เป็นเมืองสำคัญทางด้านการค้าและอุตสาหกรรม การค้าทางทะเลมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นโดย
เฉพาะในเขตทะเลเหนือและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมืองที่เกิดขึ้นใหม่นี้มีการจัดการปกครองแบบ
เทศาภิบาล (municipality) มีการเก็บภาษีท้องถิ่นเพื่อที่จะพัฒนาเมืองและมีระบบสร้างความ
48    หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล

ปลอดภัยให้กับเมือง พวกพ่อค้าและพวกช่างมีความมั่งคั่งขึ้น ชนชั้นกลางเหล่านี้เมื่อมีอำนาจมาก
ขึ้นจึงได้หันไปสนับสนุนกษัตริย์ เพื่อให้คุ้มครองกิจการและผลประโยชน์ของตน การฟื้นฟูทาง
เศรษฐกิจมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมและระบอบการเมืองการปกครอง เพราะทำให้ระบอบการ
ปกครองแบบฟิวดัลเริ่มเสื่อมอำนาจลงในช่วงนี้ ขุนนางที่เคยเป็นใหญ่และมีอำนาจอิสระในการ
ปกครองตามระบบแมเนอร์ของตนต้องล่มสลาย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากขุนนางต้องออกไปทำ
สงครามและเสียชีวิตจำนวนมาก และผลจากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ นอกจากจะทำให้
ชนชั้นกลางมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้พวกขุนนางยากจนลง พวกทาสติดที่ดินได้อพยพเข้า
เมืองเป็นจำนวนมาก ทำให้พวกชนชั้นกลาง (bourgeoie) ขึ้นมามีอำนาจแทนที่ขุนนาง สังคมได้
เปลี่ยนค่านิยมจากเรื่องชาติกำเนิดตามชนชั้นมาเป็นฐานะทางเศรษฐกิจของบุคคล พวกขุนนาง
ต้องขายที่ดินให้แก่พวกชนชั้นกลาง ทำให้เกิดการพัฒนาที่ดินให้เป็นเกษตรกรรมเพื่อการค้า โดย
เจ้าของที่ดินยกเลิกวิธีการดั้งเดิมมาให้ชาวนาเช่าที่ดินและจ่ายเงินให้กับเจ้าของแทน ทำให้พันธะ
ตามระบอบฟิวดัลสิ้นสุดลง ระบอบกษัตริย์สามารถดึงอำนาจกลับคืนมาได้ และสถาปนาอำนาจ
การปกครองสูงสุดตามระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้อีกครั้งหนึ่ง ทำให้การปกครองระบบฟิวดัล
ซึ่งมีมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11-13 เริ่มเสื่อมลงในคริสต์ศตวรรษที่ 14 และล่มสลายลงใน
คริสต์ศตวรรษที่ 16

            สงครามครูเสด
         	

           ในสมัยกลางได้เกิดสงครามศาสนาระหว่างชาว
คริสเตียนกับชาวมุสลิมขึ้น ในระหว่าง ค.ศ. 1096-1291
เนื่องจากฝ่ายคริสเตียนต้องการยึดดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของ
ศาสนาคริสต์ คือ ปาเลสไตน์ กลับคืนจากฝ่ายมุสลิม
ทำให้เกิด สงครามครูเสด (Crusades) สงครามใน  
ครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อชาวยุโรปและชาวมุสลิม
ในหลายด้านด้วยกัน
           ฝ่ายคริสเตียนถือว่าดินแดนปาเลสไตน์ที่ซึ่งพระ
เยซูประสูติและเผยแผ่คำสอนเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ที่
จริ ง ดิ น แดนนี้ ถู ก พวกอาหรั บ ยึ ด ครองตั้ ง แต่ ค ริ ส ต์ -
ศตวรรษที่ 7 แล้ว ซึ่งชาวอาหรับส่วนใหญ่ก็นับถือศาสนา
อิ ส ลาม แต่ ก็ ย อมให้ พ วกคริ ส เตี ย นและพวกยิ ว อยู่ ใ น
ปาเลสไตน์ได้ และสามารถปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างเปิด                   กองทัพชาวคริสต์ในสงครามครูเสด
หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล
 49

เผยตราบใดที่ยังจ่ายภาษีและปฏิบัติตามกฎระเบียบการปกครอง ต่อมาในปลายคริสต์ศตวรรษที่
11 พวกเซลจุคเติร์ก (Seljuk Turk) ที่นับถือศาสนาอิสลามได้ยึดครองปาเลสไตน์ ได้ประหารชีวิต
ผู้แสวงบุญชาวคริสต์ รวมทั้งได้ขยายอำนาจเข้ามาในจักรวรรดิโรมันตะวันออกและรบชนะกองทหาร
ของจักรวรรดิแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ในดินแดนอาร์เมเนีย จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ได้
ขอความช่วยเหลือไปยังสันตะปาปาที่จักรวรรดิโรมันตะวันตก สันตะปาปาเออร์บันที่ 2 (Urban II
: ค.ศ. 1088-1099) แห่งกรุงโรมได้ประชุมขุนนางและ
อัศวินทั้งหลายเรียกร้องให้หยุดต่อสู้กันเอง แล้วหันมา
ร่วมมือกันทำสงครามเพื่อแย่งชิงดินแดนศักดิ์สิทธิ์คืน
ซึ่ ง คำเรี ย กร้ อ งนี้ ไ ด้ รั บ การตอบรั บ จากชาวคริ ส ต์ ใ น      
ดินแดนยุโรปตะวันตก ทำให้เกิดสงครามขึ้นและเรียก
สงครามนี้ว่า สงครามครูเสด ที่แปลว่าเครื่องหมาย
กางเขน 
          
            สันตะปาปาเออร์บันที่ 2 ได้ประชุมขุนนางในยุโรป
         ให้ช่วยรบกับมุสลิมเติร์ก ทำให้เกิดสงครามครูเสดขึ้น
                                                           
         สงครามครูเสดเกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อ ค.ศ. 1096 เมื่อกองทัพจากเยอรมัน ฝรั่งเศส และ
อิตาลี ยกทัพจากกรุงคอนสแตนติโนเปิลไปยังดินแดนปาเลสไตน์ สามารถยึดเยรูซาเล็มและ        
ดินแดนปาเลสไตน์ได้ ชาวครูเสดจำนวนหนึ่งได้ตั้งรกรากในซีเรียและปาเลสไตน์ และสถาปนา
เป็นรัฐของตนที่ขึ้นกับจักรวรรดิไบแซนไทน์ หลังจากนั้นมาอีกเกือบ 50 ปี เซลจุคเติร์กได้รุกราน
ดินแดนที่เป็นรัฐของชาวครูเสด สันตะปาปายูจีนัสที่ 4 (Eugenius IV) จึงเรียกร้องให้ชาวคริสต์
ยึดดินแดนคืน จึงเกิดเป็นสงครามครูเสดครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1147-1149) แต่สงครามครั้งนี้ฝ่ายชาว
คริสต์ไม่ประสบความสำเร็จและยกทัพไปไม่ถึงกรุงเยรูซาเล็ม ต่อมาใน ค.ศ. 1187 กองทัพอิสลาม
สามารถยึดครองเยรูซาเล็มได้ กษัตริย์ในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ฝรั่งเศส และอังกฤษได้นำ
ทัพไปยึดดินแดนศักดิ์สิทธิ์กลับคืน จึงเกิดเป็นสงครามครูเสดครั้งที่ 3 แต่ก็ ไม่ประสบความสำเร็จ
เช่ น เคย ต่ อ มาก็ ไ ด้ เ กิ ด สงครามครู เ สดครั้ ง ที่ 4 ใน ค.ศ. 1204 โดยพวกครู เ สดได้ โ จมตี          
กรุงคอนสแตนติโนเปิลที่เป็นคริสเตียนเหมือนตน แทนที่จะยกทัพไปยึดดินแดนปาเลสไตน์ การ
โจมตีกรุงคอนสแตนติโนเปิลครั้งนี้ทำให้กรุงคอนสแตนติโนเปิลเสียหายและเกิดความรู้สึกที่เป็น   
อริระหว่างชาวคริสต์ในนิกายกรีกออร์ธอดอกซ์กับชาวคริสต์ในยุโรปตะวันตก ซึ่งเรียกว่านิกาย
โรมันคาทอลิก ทำให้จักรวรรดิคอนสแตนติโนเปิลอ่อนแอลง จนถูกชาวมุสลิมโจมตีได้ ในเวลา        
ต่อมา
50     หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล

         สงครามครูเสดยุติลงใน ค.ศ. 1291 โดยเมืองอาเคร (Acre) ที่มั่นสุดท้ายของพวกครูเสด
ที่ถูกกองทัพอียิปต์ยึดครอง นับเป็นความล้มเหลวทางทหารของกองทัพยุโรปที่ไม่สามารถยึดครอง
กรุงเยรูซาเล็มและดินแดนปาเลสไตน์จากจักรวรรดิมุสลิมได้ 
         สงครามครูเสดทำให้สังคมยุโรปเปลี่ยนไปจากเดิมเป็นอย่างมาก ผลจากความพ่ายแพ้ ใน
สงครามเพื่อคริสตจักร ทำให้อิทธิพลของศาสนาคริสต์ที่มีต่อวิถีชีวิตของชาวยุโรปลดลง ชาวยุโรป
เริ่มหันมาสนใจชีวิตในโลกปัจจุบัน แสวงหาความสุข ความั่นคง มากกว่าการได้ขึ้นสวรรค์ การได้
เดินทางไกลไปสู้รบกับชนที่นับถือศาสนาอิสลามหลายครั้ง เป็นการเปิดโอกาสให้ชาวยุโรปที่        
เดินทางไปครูเสดได้รู้จักกับสิ่งใหม่ๆ ได้รับอารยธรรมที่แตกต่าง ได้รู้จักกับเครื่องเทศ ผ้า และของ
อื่นๆ จากตะวันออกและมองเห็นลู่ทางในการทำการค้ากับโลกตะวันออก
                                                                                                                        
              การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
          
          การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) เกิดในช่วงเวลาระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 14-16
คื อ ปลายสมั ย กลางถึ ง ต้ น สมั ย ใหม่ ถื อ ว่ า เป็ น จุ ด เชื่ อ มต่ อ (transitional period) ของ
ประวัติศาสตร์สองยุค การฟื้นฟูศิลปวิทยาการเริ่มขึ้นที่นครรัฐต่างๆ บนคาบสมุทรอิตาลี ซึ่งมีความ
มั่งคั่งและร่ำรวยจากการค้าขาย ต่อมาจึงแพร่หลายไปสู่บริเวณอื่นๆ ในยุโรป
          คำว่า Renaissance แปลว่า เกิดใหม่ (rebirth) หมายถึง การนำเอาศิลปวิทยาการของ
กรีกและโรมันมาศึกษาใหม่ ทำให้ศิลปวิทยาการกรีก-โรมันเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง เป็นสมัยที่  
ชาวยุ โ รปเกิ ด ความกระตื อ รื อ ร้ น สนใจอารยธรรมกรี ก -โรมั น จึ ง ถื อ ว่ า เป็ น ยุ ค เจริ ญ รุ่ ง เรื อ งที่         
ชาวยุโรปมีสิทธิและเสรีภาพ ช่วงเวลานี้จึงถือว่าเป็นขบวนการขั้นสุดท้ายที่จะปลดปล่อยยุโรปจาก
สังคมในยุคกลางที่เคยถูกจำกัดโดยกฏเกณฑ์และข้อบังคับของคริสต์ศาสนา
          
              สาเหตุและความเป็นมาของการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
        
        สาเหตุและความเป็นมาของการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ มีดังนี้
        1.	การขยายตัวทางการค้า ทำให้พ่อค้าชาวยุโรปและบรรดาเจ้าผู้ครองนครในนครรัฐ
อิตาลีมีความมั่งคั่งขึ้น เช่น เมืองฟลอเรนซ์ เมืองมิลาน หันมาสนใจศิลปะและวิทยาการความ
เจริญในด้านต่างๆ ประกอบกับที่ตั้งของนครรัฐในอิตาลีเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิโรมันตะวันตก
มาก่อน ทำให้นักปราชญ์และศิลปินต่างๆ ในอิตาลีจึงให้ความสนใจศิลปะและวิทยาการของโรมัน
หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล
 51

        2.	ความเจริ ญ ทางเศรษฐกิ จ และการเกิ ด รั ฐ ชาติ ใ นปลายยุ ค กลาง ทำให้ เ กิ ด การ
เปลี่ยนแปลงหลายด้าน ทั้งด้านองค์กรทางการเมือง องค์กรทางเศรษฐกิจซึ่งต้องใช้ความรู้ความ
สามารถมาบริหารจัดการ แต่การศึกษาแบบเดิมเน้นปรัชญาทางศาสนาและสังคมในระบบฟิวดัล
จึงไม่สามารถตอบสนองความต้องการของสังคมได้ ดังนั้นนักปราชญ์สาขาต่างๆ จึงหันมาศึกษา
อารยธรรมกรีกและโรมัน เช่น นักกฎหมายศึกษากฎหมายโรมันโบราณเพื่อนำมาใช้พิพากษาคดี
ทางการค้า นักรัฐศาสตร์ศึกษาตำราทางการเมือง เพื่อนำมาใช้ในการทูตและความสัมพันธ์ระหว่าง
ประเทศ รวมทั้งนักประวัติศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ ก็ค้นหาความจริงและสนใจ
ศึกษาอารยธรรมกรีก-โรมันเช่นกัน เป็นต้น
        3.	ทัศนคติของชาวยุโรปในช่วงปลายสมัยกลางต่อการดำเนินชีวิตเปลี่ยนแปลงไป
จากเดิม จากการที่เคร่งครัดต่อคำสั่งสอนทางคริสต์ศาสนา มุ่งแสวงหาความสุขในโลกหน้า ใฝ่ใจ
ที่จะหาทางพ้นจากบาป และปฏิบัติทุกอย่างเพื่อเสริมสร้างกุศลให้แก่ตนเอง ได้เปลี่ยนมาเป็นการ
มองโลกในแง่ดี และเบื่อหน่ายกับระเบียบสังคมที่เข้มงวดกวดขันของคริสตจักร รวมทั้งมีอคติต่อ
การกระทำมิชอบของพวกพระ จึงหันไปสนใจผลงานสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ของมนุษยชาติ และเห็น
ว่ามนุษย์สามารถพัฒนาชีวิตตนเองให้ดีและมีคุณค่าขึ้นได้ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวเป็นที่มาของแนวคิด
แบบมนุษยนิยม (humanism) ที่สนใจโลกปัจจุบันมากกว่าหนทางมุ่งหน้าไปสู่สวรรค์ดังเช่นเคย
        4.	การล่มสลายของจักรวรรดิไบแซนไทน์หรือจักรวรรดิโรมันตะวันออก เพราะถูกพวก
มุสลิมเติร์กยึดครองใน ค.ศ. 1453 ทำให้วิทยาการแขนงต่างๆ ที่จักรวรรดิไบแซนไทน์สืบทอดไว้
หลั่งไหลคืนสู่ยุโรปตะวันตก
          
          
          ความเจริญในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
           
           การฟื้ น ฟู ศิ ล ปวิ ท ยาการเป็ น การศึ ก ษาอารยธรรมกรี ก -โรมั น ทั้ ง ด้ า นวรรณกรรม
ประวัติศาสตร์ ศิลปกรรม และวิทยาการด้านต่างๆ โดยให้ความสำคัญของมนุษย์กับการดำเนิน-
ชีวิตในโลกปัจจุบัน ที่เรียกว่า มนุษยนิยม (Humanism) โดยผู้ที่มีความคิดความเชื่อเช่นนี้เรียก
ตนเองว่า นักมนุษยนิยม (humanists) ซึ่งได้พยายามปลดเปลื้องตนเองจากการครอบงำของ      
คริสตจักรและระบบฟิวดัล ลักษณะที่ให้ความสำคัญของความเจริญในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ คือ
ถึ ง แม้ จ ะเป็ น ความสนใจศึ ก ษาความรู้ จ ากอารยธรรมกรี ก -โรมั น แต่ มิ ใ ช่ ก ารลอกเลี ย นแบบ
จุดมุ่งหมายสำคัญ คือ การศึกษาความรู้เพื่อประโยชน์ต่อสังคมและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมา  
ผลงานสำคัญ ได้แก่
52    หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล

         1.	วรรณคดี ป ระเภทคลาสสิ ก นั ก มนุ ษ ยนิ ย มที่ ก ระตุ้ น
จินตนาการของชาวยุโรปให้มาสนใจงานวรรณคดีและปรัชญา ได้รับการ
ยกย่ อ งว่ า เป็ น บิ ด าแห่ ง มนุ ษ ยนิ ย ม คื อ ฟรานเซสโก เพทราร์ ก
(Francesco Petrarca : ค.ศ. 1304-1374) ชาวอิตาลี ผู้ซึ่งชี้ความ
งดงามของภาษาละตินและการใช้ภาษาละตินให้ถูกต้อง ผู้ที่สนใจและ
นิ ย มงานเขี ย นวรรณคดี ป ระเภทคลาสสิ ก จะค้ น คว้ า ศึ ก ษางานของ
ปราชญ์สมัยโรมันตามห้องสมุดของวัดและโบสถ์วิหารในยุโรป แล้วนำ ฟรานเซสโก เพทราร์ ก
มาคัดลอกรวมทั้งนำวรรณคดีและแนวคิดของปรัชญากรีกมาแปลเป็น นักปราชญ์ ชาวอิตาลีที่ได้
                                                                        รับการยกย่องว่าเป็นบิดา
ภาษาละติ น เผยแพร่ทั่วไป นอกจากนี้ยังมีผ ลงานของนิ ค โคโล มา-
                                                                        แห่งลัทธิมนุษยนิยม
เคียเวลลี (Niccolo Machiavelli : ค.ศ. 1469-1527) เรื่องเจ้าผู้ครอง
นคร (The Prince) กล่าวถึงลักษณะการเป็นผู้ปกครองรัฐที่ดี และ
เซอร์ธอมัส มอร์ (Sir Thomas More : ค.ศ. 1478-1536) เขียนเรื่อง
ยูโทเปีย (Utopia) กล่าวถึงเมืองในอุดมคติที่ปราศจากความเลวร้าย
ซึ่งผลงานของนักมนุษยนิยมเหล่านี้นำไปสู่การต่อต้านการปกครองและ
วิธีปฏิบัติของคริสตจักรที่ขัดต่อคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งส่งผลทำให้เกิดการ
ปฏิรูปศาสนาขึ้นใน ค.ศ. 1517 ส่วนงานวรรณกรรมที่เป็นบทละคร         วิ ล เลี ย ม เช็ ก สเปี ย ร์ ผู้
นักประพันธ์ที่สำคัญ คือ วิลเลียม เช็กสเปียร์ (William Shakespeare ประพั น ธ์ บ ทละครโรมิ โ อ
: ค.ศ. 1564-1616) ซึ่งเขียนบทละครที่มีชื่อเสียง คือ โรมิโอและ           และจู เ ลี ย ตและเวนิ ส
                                                                        วานิช
จูเลียต (Romeo and Juliet) และเวนิสวาณิช (The Marchant of
Venice)
         2.	ศิลปกรรม ในยุคกลางศิลปกรรมเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคริสต์ศาสนาโดยเฉพาะ ทำให้
ไม่สามารถถ่ายทอดจินตนาการอย่างเสรีได้ ผลงานส่วนใหญ่จึงขาดชีวิตชีวา แต่ศิลปกรรมในสมัย
ฟื้นฟูศิลปวิทยานิยมงานศิลปะของกรีก-โรมันที่เป็นธรรมชาติ จึงให้ความสนใจความสวยงามใน
สรีระของมนุษย์ มิติของภาพ สี และแสงในงานประติมากรรมและจิตรกรรมให้สมจริง สมดุล
และกลมกลืนสอดคล้องมากขึ้น ศิลปินที่สำคัญ เช่น 
         	 -	 ไมเคิลแอนเจโล บูโอนาร์โรตี (Michelangelo Buonarroti : ค.ศ. 1475-1564)
เป็นศิลปินที่มีผลงานทั้งด้านจิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ผลงานประติมากรรมที่
สำคัญและมีชื่อเสียง คือ รูปสลักเดวิด (David) เป็นชายหนุ่มเปลือยกาย และปิเอตา (Pieta)
หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล
 53

เป็นรูปสลักพระมารดากำลังประคองพระเยซูในอ้อมพระกร ส่วน
ผลงานจิตรกรรมที่มีชื่อเสียง คือ จิตรกรรมฝาผนังที่เขียนไว้บน
เพดานและฝาผนังของโบสถ์ซีสติน (Sistine Chapel) ในมหาวิ
หารเซนต์ปีเตอร์ ที่กรุงโรม ที่มีลักษณะงดงามมาก
        
        
                                                                  
                          รูปสลักเดวิดประติมากรรมที่มีชื่อเสียงของ
                                      ไมเคิลแอนเจโล บูโอนาร์โรตี
         
         	 -	 เลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci : ค.ศ. 1452-1519) เป็นศิลปินที่มี       
ผลงานเป็นเลิศในสาขาต่างๆ ภาพเขียนที่มีชื่อเสียง คือ ภาพอาหารมื้อสุดท้าย (The Last
Supper) ซึ่งเป็น ภาพพระเยซูกับสาวกนั่งที่โต๊ะอาหารก่อนที่พระเยซูจะถูกนำไปตรึงไม้กางเขน
และภาพโมนาลิซ่า (Monalisa) เป็นภาพหญิงสาวที่มีรอยยิ้มปริศนากับบรรยากาศของธรรมชาติ
         	 -	 ราฟาเอล (Raphael : ค.ศ. 1483-1520) เป็นจิตรกรที่วาดภาพเหมือนจริง ภาพที่มี
ชื่อเสียง คือ ภาพพระมารดาและพระบุตร พร้อมด้วยนักบุญจอห์น (Madonna and Child with
St. John)
         
         
         
         
         
         
       ภาพวาด โมนาลิซ่า งานจิตรกรรมที่มีชื่อเสียง
 ภาพวาด พระมารดาและพระบุตร พร้อมนักบุญ
         
 ของเลโอนาร์โด ดา วินชี
                 จอห์น งานจิตรกรรมที่มีชื่อเสียงของราฟาแอล
         3.	ด้านวิทยาการความเจริญอื่นๆ ได้แก่
         	 -	 ด้ า นดาราศาสตร์ เป็ น สาขาวิ ช าที่ ช าวยุ โ รปสนใจกั น มากในช่ ว งเวลานี้ นั ก
ดาราศาสตร์ที่สำคัญ คือ คอเปอร์นิคัส (ค.ศ. 1473-1543) ได้เสนอทฤษฎีที่ขัดแย้งกับคำสอนของ
คริสต์ศาสนา โดยระบุว่าโลกไม่ได้แบนและไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล แต่เป็นบริวารที่โคจร
รอบดวงอาทิตย์
54   หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล

        	 -	 ด้านการพิมพ์ ในช่วงสมัยนี้ ได้มีการคิดค้นการพิมพ์ที่ ใช้วิธีการเรียงตัวอักษรได้
สำเร็จเป็นครั้งแรก โดยโยฮัน กูเตนเบิร์ก ( Johannes Gutenburg : ค.ศ. 1400-1468) ชาว
เมืองไมนซ์ (Mainz) ในเยอรมนี ทำให้ราคาหนังสือถูกลงและเผยแพร่ไปได้อย่างกว้างขวาง
        
          ผลของการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ

         ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ศิลปกรรมและวิทยาการต่างๆ ได้เจริญก้าวหน้ามากขึ้นส่งผล
ให้คนยุโรปมีลักษณะ ดังนี้
         1.	ความสนใจในโลกปัจจุบัน ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ชาวยุโรปยังคงนับถือศรัทธาใน
พระเจ้า แต่จากการได้รับอิทธิพลจากแนวคิดแบบมนุษยนิยม ทำให้ชาวยุโรปมีแนวคิดในการ
ดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันให้ดีและสร้างสิ่งต่างๆ เพื่อความสุขและความมั่นคงให้แก่ตน ทั้งหมดนี้
สะท้อนในงานศิลปกรรมต่างๆ ที่สร้างขึ้นเพื่อนสนองความพึงพอใจของตนเอง เช่น สร้างบ้าน
เรือนอย่างวิจิตรสวยงาม การมีรูปปั้นประดับอาคารบ้านเรือน การวาดภาพเหมือนของมนุษย์
เป็นต้น
         2.	ความต้องการแสวงหาความรู้ การที่มนุษย์ต้องการหาความรู้และความสะดวกสบาย
ให้แก่ชีวิต ทำให้ต้องมีการคิดสร้างสรรค์ผลงานและวิทยาการต่างๆ ดังนั้นมนุษย์ในสมัยฟื้นฟู
ศิลปวิทยาการ จึงมีการส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษา การคิคค้น การทดลอง การพิพากษ์
วิจารณ์อย่างมีเหตุผล เป็นผลให้วิทยาการด้านต่างๆ พัฒนามากขึ้น สภาพสังคมของมนุษย์ในสมัย
นี้คือการตื่นตัวในการค้นหาความจริงของโลก ทำให้มนุษย์ต้องการแสวงหาความรู้และสำรวจดิน
แดนต่างๆ อันนำไปสู่การปฏิรูปศาสนา การสำรวจทางทะเล และการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ใน
เวลาต่อมา
          
          
          การสำรวจทางทะล
        	
        การสำรวจทางทะเลของยุโรปเริ่มต้นเมื่อ ค.ศ. 1450-1750 ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้
เคียงกับยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการของยุโรป และต่างก็มีบทบาทสำคัญต่อประวัติศาสตร์ยุโรปในยุค
ใหม่ กล่าวได้ว่า การฟื้นฟูศิลปวิทยาการเป็นพื้นฐานสำคัญทำให้เกิดการสำรวจทางทะเล ซึ่งเป็น
ผลให้ยุโรปเผยแพร่วัฒนธรรมของตนไปสู่ภูมิภาคอื่นๆ ของโลกได้ในเวลาต่อมา
หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล
 55

       
           สาเหตุของการสำรวจทางทะเล
           
         สาเหตุของการสำรวจทางทะเล มีดังนี้
         1.	การมีวิทยาการที่ก้าวหน้า ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ชาวยุโรปได้เริ่มหันมาสนใจ
ศึกษาสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว และผลจากการติดต่อกับโลกตะวันออกในสมัยสงครามครูเสด รวมทั้ง
การขยายตัวของเมืองในระยะเวลาใกล้เคียงกัน ทำให้ชาวยุโรปได้สัมผัสกับอารยธรรมความเจริญ
ของโลกตะวันออกหลายอย่าง โดยเฉพาะทางด้านปรัชญา คณิตศาสตร์ และดาราศาสตร์ ทำให้
ปัญญาชนเริ่มตรวจสอบความรู้ของตนและค้นหาคำตอบให้กับตนเองเกี่ยวกับธรรมชาติรอบตัว    
ซึ่งผลักดันให้ชาวยุโรปหันมาสนใจต่อความลี้ลับของท้องทะเลที่กั้นระหว่างโลกตะวันออกกับโลก
ตะวันตก โดยเฉพาะความรู้ทางภูมิศาสตร์และแผนที่ของโตเลมี (Ptolemy) นักดาราศาสตร์และ      
นักคณิตศาสตร์ชาวกรีก ที่แสดงที่ตั้งของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ดินแดนริมฝั่งทะเลคาบสมุทร  
ไอบีเรีย จนถึงดินแดนฝั่งทะเลตอนเหนือของทวีปแอฟริกา รวมทั้งดินแดนทางด้านตะวันออกที่
เป็นผืนแผ่นดินใหญ่ถึงอินเดียและจีน นอกจากนี้ความรู้ ในการใช้เข็มทิศและการพัฒนารูปทรง
และขนาดของเรือให้แข็งแรงทนทานต่อสภาพลมฟ้าอากาศ สามารถที่จะเดินทางไกลได้ดีขึ้น
ทำให้ชาติตะวันตกหลั่งไหลสู่โลกตะวันออกอย่างกว้างขวาง 
         
         
         
         
         
         
         
         
         
         
                 แผนที่โลกของปโตเลมี มีส่วนสำคัญให้ชาวยุโรปออกสำรวจทางทะเล

      2.	แรงผลักดันทางด้านการค้า เมื่อพวกมุสลิมสามารถยึดครองกรุงคอนสแตนติโนเปิล
และดินแดนจักรวรรดิไบแซนไทน์ได้ทั้งหมดใน ค.ศ. 1453 ทำให้การค้าทางบกระหว่างโลก         
ตะวันออกกับโลกตะวันตกหยุดชะงัก แต่สินค้าต่างๆ จากตะวันออก เช่น ผ้าไหม เครื่องเทศ
56    หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล

ยาต่างๆ ยังเป็นที่ต้องการของตลาดตะวันตก ซึ่งหนทางเดียวที่พ่อค้าจะติดต่อค้าขายได้ก็คือ       
การติดต่อค้าขายทางทะเล ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสำรวจเส้นทางทางทะเล เพื่อหาเส้นทางติดต่อกับ
ดินแดนต่างๆ ทางตะวันออก
          3.	แรงผลักดันทางด้านศาสนา เนื่องจากความคิดของผู้นำชาติต่างๆ ในขณะนั้นเห็น
ว่าการเผยแผ่คริสต์ศาสนาเป็นกุศลอย่างมาก รวมทั้งต้องการแข่งขันกับชาวมุสลิมที่เข้ามาขยาย
อิทธิพลอยู่ ในขณะนั้น จึงสนับสนุนให้มีการค้นหาดินแดนใหม่ๆ และเผยแผ่คริสต์ศาสนาไป    
พร้อมกันด้วย
          4.	อิทธิพลของแนวคิดในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ แนวความคิดในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา
การ ทำให้ชาวยุโรปมุ่งหวังที่จะสร้างชื่อเสียงเกียรติยศและความต้องการที่จะเสี่ยงโชคเพื่อชีวิต      
ที่ดีกว่า ผลักดันให้ชาวยุโรปเกิดความกล้าหาญที่จะเผชิญกับสิ่งต่างๆ รวมทั้งความกระตือรือร้น  
ที่จะแสวงหาความรู้ใหม่ๆ และรักการผจญภัย เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชาวยุโรปกล้าเสี่ยงภัยเดิน
ทางสำรวจมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาล
           
            
            บทบาทของชาติต่างๆ ในการสำรวจทางทะเล
        

            โปรตุเกส
           ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 เจ้าชายเฮนรี นาวิกราช
(Henry the Navigator) พระอนุชาของพระเจ้าจอห์นที่ 1
(John I) แห่งโปรตุเกส ได้จัดตั้งโรงเรียนราชนาวีเพื่อเป็น
ศู น ย์ ก ลางการเรี ย นรู้ เ กี่ ย วกั บ การเดิ น ทางทะเล การใช้
เครื่ อ งมื อ และเทคนิ ค การสร้ า งเรื อ ซึ่ ง ส่ ง ผลให้ ช าว
โปรตุ เ กสสามารถค้ น พบเส้ น ทางเดิ น เรื อ สู่ ดิ น แดนทาง
ตะวันออก ได้แก่
           -	 บาร์ โ ธโลมิ ว ไดแอส (Bartholomeu Dias)
สามารถเดิ น เรื อ เลี ย บชายฝั่ ง ทวี ป แอฟริ ก าผ่ า นแหลม
กู๊ดโฮป (Cape of Good Hope) ได้สำเร็จใน ค.ศ. 1488 
					                                                                 บาร์โธโลมิว ไดแอส
หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล
 57

                                       -	 วัสโก ดา กามา (Vasco da Gama) แล่นเรือตาม
                              เส้นทางสำรวจของไดแอสจนถึงทวีปเอเชีย และสามารถขึ้นฝั่ง
                              ที่เมืองกาลิกัต (Calicut) ของอินเดียได้เมื่อ ค.ศ. 1498 ต่อมา
                              ชาวโปรตุเกสสามารถควบคุมเมืองต่างๆ ทางชายฝั่งตะวันออก
                              ของทวีปแอฟริกาและอินเดียทางชายฝั่งตะวันตก สามารถยึด
                              เมืองกัว (Goa) ในมหาสมุทรอินเดียได้
                              
                              วัสโก ดา กามา


        สเปน
        ค.ศ. 1492 คริ ส โตเฟอร์ โคลั ม บั ส
(Christopher Columbus) ชาวเมื อ งเจนั ว
(ประเทศอิตาลี) ซึ่งมีความเชื่อว่าโลกกลม ได้รับ
การสนั บ สนุ น จากกษั ต ริ ย์ ส เปนให้ เ ดิ น ทางข้ า ม
มหาสมุทรแอตแลนติก เพื่อสำรวจเส้นทางเดินเรือ
ไปประเทศจีน แต่เขาได้พบหมู่เกาะเวสต์อินดีสซึ่ง
เป็นส่วนหนึ่งของทวีปอเมริกาใต้โดยบังเอิญใน ค.ศ.
1492 ซึ่งทำให้สเปนได้ครอบครองดินแดนส่วนใหญ่
ในอเมริกาใต้ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่เงินและทองคำ                  คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส
ในเวลาต่อมา
        คริสต์ศตวรรษที่ 15 เป็นช่วงการแข่งขันอำนาจทางทะเลระหว่างโปรตุเกสและสเปนเพื่อ
หาเส้นทางไปหมู่เกาะอีสต์อินดีส (East Indies) ซึ่งเป็นแหล่งเครื่องเทศและพริกไทย ใน ค.ศ.
1494 สันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 6 (Alexander VI) ได้ ให้สเปนและโปรตุเกสทำสนธิสัญญา
ทอร์เดซียัส (Treaty of Tordesillas) กำหนดเส้นสมมติแบ่งโลกออกเป็น 2 ส่วน โดยสเปนมีสิทธิ
สำรวจและยึดครองดินแดนทางด้านตะวันตกของเส้นเมริเดียนที่ 51 ส่วนโปรตุเกสได้สิทธิทาง
ด้านตะวันออกและนำไปสู่การสร้างจักรวรรดิทางทะเลของโปรตุเกสในเอเชีย
        ในคริตส์ศตวรรษที่ 16 โปรตุเกสได้ขยายอำนาจมาจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเข้า
ยึดครองมะละกา ทำให้บริเวณคาบสมุทรมลายูและหมู่เกาะอินโดนีเซียตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ
โปรตุเกส
        ค.ศ. 1519 เฟอร์ดินันด์ แมกเจลลัน (Ferdinand Magellan) นักเดินเรือชาวโปรตุเกส
โดยความสนับสนุนจากกษัตริย์สเปน ได้เดินทางไปทางทิศตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติก
58   หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล

ผ่านช่องแคบที่ภายหลังตั้งชื่อว่าแมกเจลลันทางตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้ ข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก
มายังทวีปเอเชีย เขาถูกชาวพื้นเมืองฆ่าตายเมื่อพยายามเผยแผ่คริสต์ศาสนาที่เกาะฟิลิปปินส์ แต่
ลูกเรือของเขาสามารถเดินทางกลับสเปนทางมหาสมุทรอินเดียได้สำเร็จใน ค.ศ. 1522 นับเป็นเรือ
ลำแรกที่แล่นรอบโลกได้สำเร็จ
        ในยุคนี้โปรตุเกสและสเปนกลายเป็นชาติที่มีอำนาจ มีความมั่งคั่ง ทำให้หลายชาติทำการ
สำรวจเส้นทางเดินเรือ การแข่งขันอำนาจทางทะเลระหว่างโปรตุเกสกับสเปนยุติลงเมื่อโปรตุเกส
ตกอยู่ภายใต้การปกครองของสเปนในช่วง ค.ศ. 1580-1640

        ฮอลันดา
          เดิมฮอลันดาเคยอยู่ใต้การปกครองของสเปน และทำหน้าที่เป็นพ่อค้าคนกลางในการค้า
เครื่องเทศ จนกระทั่ง ค.ศ. 1581 ได้แยกตัวเป็นอิสระจากสเปน ทำให้สเปนประกาศปิดท่าเรือ
ลิสบอนส่งผลให้ฮอลันดาไม่สามารถซื้อเครื่องเทศได้อีก ฮอลันดาจึงต้องหาเส้นทางทางทะเลเพื่อ
ซื้อเครื่องเทศโดยตรง ในที่สุดกองทัพเรือของฮอลันดาก็สามารถยึดครองอำนาจทางทะเลใน ค.ศ.
1598 และได้จัดตั้งสถานีการค้าในเกาะชวา และจัดตั้งบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา เพื่อ
ควบคุมการค้าเครื่องเทศ 
          ใน ค.ศ. 1605 เรือดุฟเกน (Duyfken) ของฮอลันดา ที่เป็นเรือค้นหาเกาะทองคำที่เชื่อว่า
อยู่ทางทิศใต้และทิศตะวันออกของเกาะชวา ได้ค้นพบทวีปออสเตรเลียเป็นครั้งแรก และเรียก
ทวีปนี้ว่า นิวฮอลแลนด์ (New Holland) แต่ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 อังกฤษได้ครอบครองและ
เรียกทวีปนี้ว่า ออสเตรเลีย ซึ่งมาจาก Australis ในภาษากรีก แปลว่า ดินแดนทางซีกโลกใต้

        อังกฤษ
       ใน ค.ศ. 1588 กองทัพเรือของอังกฤษทำสงครามชนะกองทัพเรืออาร์มาดา (Armada)
ของสเปนที่มีชื่อเสียงได้ ทำให้อังกฤษขยายอิทธิพลสู่ดินแดนตะวันออก สามารถสลายอำนาจทาง
ทะเลของโปรตุเกสและเข้าไปมีอำนาจและอิทธิพลในอินเดีย และเป็นคู่แข่งทางการค้ากับฮอลันดา
ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีเพียงอังกฤษ ฮอลันดา และฝรั่งเศส แข่งขันกันมีอำนาจทางทะเลและ
แสวงหาอาณานิคม ทั้งนี้ ได้มีการทำสงครามกันหลายครั้ง ในที่สุดฮอลันดายังคงมีอำนาจแถบ
มะละกาและควบคุมการค้าเครื่องเทศในหมู่เกาะเครื่องเทศต่อไป จนถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18
อังกฤษกลับเป็นประเทศที่มีแสนยานุภาพกลางทะเลเหนือกว่าทุกชาติ โดยได้อาณานิคมในอินเดีย
อเมริกาเหนือ และทวีปออสเตรเลียทั้งทวีป
หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล
 59


         ผลการสำรวจทางทะเล
               
              ผลการสำรวจทางทะเล มีดังนี้
              1.	อารยธรรมยุโรปเผยแพร่ ไปสู่ดินแดนอื่นๆ ที่ชาวยุโรปเดินทางไปถึง โดยชาวยุโรป
ได้สร้างเมืองและความเจริญต่างๆ เพื่อให้ตนสามารถดำเนินชีวิตได้ตามแบบที่คุ้นเคย จึงเกิดการ
แพร่กระจายวัฒนธรรมตามแบบตะวันตก เช่น ภาษา การแต่งกาย อาหาร ระบบการปกครอง
ศิลปกรรม เช่น การก่อสร้างถนน สะพาน สถานที่ราชการ โบสถ์ วิหาร เป็นต้น
              2. ยุโรปได้รับอารยธรรมจากดินแดนอื่นๆ เช่น วิทยาการของชาวตะวันออก เช่น การ
เดินเรือ ศิลปะจีนที่เน้นความงดงามของธรรมชาติ อารยธรรมของอิสลาม เช่น คณิตศาสตร์ การ
ดื่มชาแบบจีน กาแฟจากตุรกี ยาสูบจากหมู่เกาะเวสต์อินดีส น้ำตาลจากบราซิล และมันฝรั่งจาก
อเมริกาใต้ ได้มีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของชาวยุโรป
              3.	เกิดการแพร่กระจายของพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ ชาวยุโรปได้นำพันธุ์พืชจากถิ่นกำเนิด
ไปยังภูมิภาคอื่นๆ เช่น นำกาแฟจากดินแดนตะวันออกกลางมาปลูกที่เกาะชวา ต่อมาได้แพร่ขยาย
ไปปลูกยังอเมริกาใต้ ต้นยางพาราจากบราซิลมาปลูกที่อินโดนีเซีย มาเลเซีย ต่อมาได้ขยายมาปลูก
ทางภาคใต้ของไทย มันฝรั่งและข้าวโพดจากทวีปอเมริกามาปลูกในยุโรป ปลูกข้าวโอ๊ตและ          
ข้าวโพดในทวีปแอฟริกา หัวผักกาดหวานจากทวีปอเมริกามาปลูกที่จีน และนำสัตว์ต่างๆ ไปยัง
ทวีปอื่น เช่น แกะ ไปแพร่พันธุ์ที่ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ และนำลา ล่อ วัว แพะ มาเลี้ยงใน
อเมริกา เป็นต้น
              4.	เกิดการระบาดของโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งมาพร้อมๆ กับเรือของชาวยุโรป โรคระบาดที่
สำคัญ เช่น โรคหัดและฝีดาษในอเมริกาเหนือ ไข้เหลืองและไข้มาลาเรียที่มีมากในแอฟริกามา  
ระบาดในอเมริกากลางและใต้ เป็นต้น
              5.	ศาสนาคริสต์ ได้แผ่ขยายไปในดินแดนต่างๆ ที่ชาวยุโรปเข้าไปติดต่อค้าขาย หรือ
ดินแดนที่ยุโรปได้เข้ายึดครองจัดตั้งเป็นอาณานิคม ในบางแห่งใช้แบบสันติวิธี โดยบาทหลวงจะทำ
หน้ า ที่ สั่ ง สอนให้ ก ารศึ ก ษากั บ ชาวพื้ น เมื อ งและช่ ว ย
เหลือด้านมนุษยธรรม ในบางแห่งใช้วิธีการรุนแรงบีบ
บั ง คั บ คนพื้ น เมื อ งในบริ เ วณอเมริ ก ากลางและ
อเมริ ก าใต้ ให้ ม าเข้ า รี ต นั บ ถื อ คริ ส ต์ ศ าสนา ทำให้
ศาสนาคริสต์เจริญอย่างมั่นคงในดินแดนทวีปอเมริกา
และดินแดนต่างๆ 
               
                การใช้วิธีการรุนแรงบีบบังคับคนพื้นเมืองให้
                                มาเข้ารีตนับถือคริสต์ศาสนา
60    หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล

        6.	การเปลี่ ย นแปลงระบบเศรษฐกิ จ ของยุ โ รป การขยายตั ว ทางการค้ า ทำให้      
สมาคมอาชีพ (guild) ที่มีมาตั้งแต่สมัยกลางล่มสลายลง การค้นพบดินแดนใหม่ส่งผลให้การค้า
ขยายตัวอย่างรวดเร็ว นำไปสู่การปฏิวัติทางการค้า ประเทศต่างๆ ในตะวันตกต่างใช้นโยบาย       
แข่งขันทางเศรษฐกิจเป็นหลัก บรรดาพ่อค้าและนายทุนรวมตัวกันจัดตั้งบริษัทโดยมีกษัตริย์ให้
การสนับสนุนทำการค้าในนามของประเทศ เช่น บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ บริษัท  
อินเดียตะวันออกของฮอลันดา เป็นต้น ซึ่งทำให้บรรดาพ่อค้าและนายทุนมีฐานะมั่นคงและกลาย
เป็นบุคคลชั้นนำทางการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมในเวลาต่อมา
        
             การปฏิรูปศาสนา
               
            การปฏิรูปศาสนา (Religious Reformation) เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 16 มีสาเหตุ
สำคัญมาจากความเสื่อมความนิยมในผู้นำทางศาสนาและการเกิดแนวคิดใหม่เกี่ยวกับศาสนา
เนื่องจากมีการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและแปลออกเป็น ภาษาต่างๆ เช่น ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส
เยอรมัน ทำให้คริสต์ศาสนิกชนมีความรู้ความเข้าใจใหม่ การปฏิรูปศาสนาจึงเกิดขึ้นในหลายๆ
ประเทศ โดยมีผู้นำการปฏิรูปหลายคนและใช้ชื่อแตกต่างกัน
            การปฏิรูปคริสต์ศาสนา หมายถึง ขบวนการในยุโรปตะวันตกที่ปัจเจกชนและสถาบันต่างๆ
แสดงความเห็นคัดค้านการปฏิบัติที่ ไม่ถูกต้องตามหลักในคัมภีร์ไบเบิล การปฏิรูปเป็นไปอย่าง       
ต่ อ เนื่ อ ง จนในที่ สุ ด คริ ส ต์ ศ าสนาในยุ โ รปได้ แ ตกแยกเป็ น 2 นิ ก าย คื อ โรมั น คาทอลิ ก และ
โปรเตสแตนต์ 
            
          สาเหตุการปฏิรูปศาสนา
         
         สาเหตุการปฏิรูปศาสนา มีดังนี้
         1.	 ประชาชนไม่พอใจสันตะปาปาที่กรุงโรม พระและบาทหลวงที่มีความเป็นอยู่อย่าง
ฟุ่มเฟือย หรูหรา ทั้งยังเรียกเก็บภาษีบำรุงศาสนาสูงขึ้น เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายในคริสตจักรใน       
กรุ ง โรม รวมทั้ ง การซื้ อ ขายตำแหน่ ง ของพวกบาทหลวงและความเสื่ อ มเสี ย ในจริ ย วั ต รของ       
สันตะปาปาที่ครองอำนาจในคริสต์ศตวรรษที่ 15-16
         2.	 เจ้าผู้ครองแคว้นต่างๆ ในยุโรปต้องการเป็นอิสระจากคริสตจักรที่มีสันตะปาปาเป็น       
ผู้ปกครอง และจากจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากสันตะปาปาเข้าไปยุ่งเกี่ยว
และใช้อำนาจทางการเมือง
         3.	 การศึกษาในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ทำให้ชาวยุโรปเห็นว่ามนุษย์สามารถทำความ
เข้าใจคัมภีร์ไบเบิลได้ด้วยตนเองมากกว่าที่จะผ่านพิธีกรรมของศาสนจักร
หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล
 61

        4.	 สันตะปาปาจูเลียสที่ 2 (Julius II) และสันตะปาปาลีโอที่ 1 ต้องการหาเงินในการ
ก่อสร้างมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ที่กรุงโรม จึงส่งคณะสมณทูตมาขาย “ใบไถ่บาป” ในดินแดน
เยอรมนี เนื่องจากเป็นแนวคิดของชาวคริสต์ว่า พระเป็นเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มาช่วยมนุษย์ให้พ้น
จากบาป เรียกว่า การไถ่บาป (redemption) ด้วยการเสียสละพระชนม์ชีพ การไถ่บาปจะเป็นการ
เปิดทางให้มนุษย์ได้รับการอภัยโทษ และกลับมามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ได้
อย่างถูกต้อง
        
         การเริ่มต้นปฏิรูปศาสนา
          
          การปฏิ รู ป ศาสนาเริ่ ม ต้ น ในดิ น แดนเยอรมนี ใ น ค.ศ.
1517 เมื่อมาร์ติน ลูเธอร์ (Martin Luther : ค.ศ. 1483-1546)
นักบวชชาวเยอรมันและเป็นผู้สอนเทววิทยาสายคัมภีร์ (Biblical
Theology) แห่ ง มหาวิ ท ยาลั ย วิ ท เทนบู ร์ ก (Wittenburg) ใน
เยอรมนี ได้เขียนญัตติ 95 ข้อ (Ninety-Five Theses) คัดค้าน
การขายใบไถ่บาปติดไว้หน้ามหาวิหารแห่งเมืองวิทเทนบูร์ก ญัตติ
ของเขาได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางในเยอรมนี แต่ผู้นำ
ของคริสตจักรได้ลงโทษเขา โดยประกาศให้เขาเป็นบุคคลนอก
ศาสนา (การบัพพาชนียกรรม : excommunication) แต่เจ้าชาย
เฟรเดอริก (Friederick the Wise) ผู้ครองแคว้นแซกโซนีได้ให้
ความอุ ป ถั ม ภ์ เ ขาไว้ และให้ เ ขาแปลคั ม ภี ร์ ไ บเบิ ล เป็ น ภาษา  มาร์ติน ลูเธอร์
เยอรมัน ทำให้ความรู้ด้านศาสนาแพร่หลายไปทั่ว นอกจากนี้เขา
ได้ก่อตั้งนิกายลูเธอร์ (Lutheranism) ซึ่งได้แพร่ขยายไปทั่วเยอรมนีและสแกนดิเนเวีย 
          ในสวิตเซอร์แลนด์ได้เกิดการปฏิรูปศาสนาเช่นกัน โดยเริ่มจากอุลริค ชวิงลี (Ulrich
Zwingli : ค.ศ. 1484-1531) ชาวเยอรมัน ไฮริช บูลลิงเจอร์ (Heinrich Bullinger) และจอห์น
คาลวิน หรือกัลแวง (John Calvin : ค.ศ. 1509-1564) ชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งลัทธิคาลวินส์
(นิกายกัลแวง : Calvinism) ที่แพร่หลายในสวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และสกอตแลนด์
          ในอังกฤษ พระเจ้าเฮนรีที่ 8 ทรงขัดแย้งกับสันตะปาปา เรื่องการหย่าขาดกับพระมเหสี
องค์เดิมของพระองค์ คือ พระนางแคเธอรีนแห่งอารากอน (Catherine of Aragon) เพื่ออภิเษก
สมรสใหม่ พระองค์จึงให้อังกฤษแยกตัวทางศาสนาออกจากศาสนจักรที่กรุงโรม โดยแต่งตั้ง       
สังฆราชแห่งแคนเทอร์บิวรี (Archbishop of Canterbury) ขึ้นใหม่ ต่อมาใน ค.ศ. 1563 กษัตริย์
อังกฤษ (สมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบทที่ 1) ทรงประกาศตั้งนิกายอังกฤษหรือนิกายแองกลิคัน
(Anglican Church) โดยกษัตริย์อังกฤษเป็นประมุขของศาสนา นิกายนี้มีลักษณะเด่นคือ การ
ยอมรับและรักษาพิธีกรรมต่างๆ ของนิกายโรมันคาทอลิก แต่ไม่ยอมรับนับถือสันตะปาปาที่กรุงโรม
62    หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล

        ในฝรั่ ง เศส ลั ท ธิ ค าลวิ น ได้ แ พร่ ห ลายในฝรั่ ง เศสในกลุ่ ม ที่ เ รี ย กว่ า พวกอู เ กอโนต์
(Huguenot) ซึ่งถูกรัฐบาลปราบปรามอย่างหนักในคริสต์ศตวรรษที่ 16
        การปฏิรูปได้แพร่ขยายจากเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษ ฮอลแลนด์ และกลุ่มสแกน-
ดิเนเวีย ไปยังประเทศอื่นๆ ในยุโรป และมีการต่อต้านทุกแห่ง การต่อต้านอย่างรุนแรงเกิดขึ้นใน
ฝรั่งเศสและสเปน จนกลายเป็นสงครามศาสนา
        นิ ก ายทางศาสนาที่ เ กิ ด ขึ้ น ใหม่ ใ นคริ ส ต์ ศ ตวรรษที่ 16 นี้ คื อ นิ ก ายโปรเตสแตนต์
(Protestantism) ซึ่งหมายถึงผู้คัดค้าน ซึ่งต่อมาได้แยกเป็นนิกายต่างๆ มากมาย เช่น นิกาย         
ลูเธอร์แรน นิกายรีฟอร์ม นิกายเพรสไบทีเรียน นิกายแองกลิคัน เป็นต้น
        
              การปฏิรูปศาสนาของคริสตจักร
        
        เมื่อมีการปฏิรูปศาสนาในดินแดนต่างๆ นักบวชและชาวคริสต์บางคนได้รวมตัวกันต่อต้าน
และปฏิรูปตนเอง รวมทั้งชักชวนให้คริสต์ศาสนิกชนอื่นๆ ทำตาม บางท่านมีผู้เลื่อมใสและยกย่อง
ให้เป็นนักบุญ เช่น บริจิตต์แห่งสวีเดน (Brigitt of Sweden) ฟรังซีสแห่งปาโอลา (Francis of
Paola) ในอิตาลี และพวกปัญญาชนพยายามศึกษาเรื่องศาสนาและเผยแพร่สู่ประชาชน ซึ่งการ
ปฏิรูปดังกล่าวเป็นการปฏิรูปจากคริสต์์ศาสนิกชนเบื้องล่าง แต่เมื่อการปฏิรูปศาสนาลุกลามไป
อย่างรวดเร็ว คริสตจักรจึงได้หาทางยับยั้ง ดังนี้
        1.	 การประชุมสังคายนาแห่งเทรนต์ (Council of Trent) ในระหว่าง ค.ศ. 1545-1547
และ ค.ศ. 1562-1563 เพื่อกำหนดระเบียบวินัยภายในคริสตจักร ยกเลิกการขายใบไถ่บาป และ
ให้ใช้ภาษาพื้นเมืองในการสอนศาสนา
        
        
        
        
        
        
        
        
        
                            การประชุมสังคายนาแห่งเทรนต์ ค.ศ. 1545-1547
หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล
 63

	         2.	การปรับปรุงระเบียบวินัยของนักบวชและตั้งคณะนักบวชเพื่อการปฏิรูป เช่น
คณะเยซูอิต ตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1534 เพื่อจัดตั้งโรงเรียนสอนศาสนาและเผยแผ่ศาสนาไปยังประเทศ
ต่างๆ
       การปฏิรูปศาสนาของคริสตจักรทำให้เกิดมิชชันนารีจำนวนมาก เพื่อเผยแผ่คำสอนของ
โรมันคาทอลิกไปทั่วโลก
       
         ผลของการปฏิรูปการศาสนา
         ผลของการปฏิรูปการศาสนา มีดังนี้
         1.	 คริสตศาสนาแบ่งออกเป็น 2 นิกาย คือ โรมันคาทอลิก มีศูนย์กลางที่กรุงโรม มี      
สันตะปาปาเป็นประมุข และนิกายโปรเตสแตนต์ ซึ่งแยกเป็นนิกายต่างๆ ได้แก่ นิกายลูเธอร์แรน
นิกายคาลวิน นิกายแองกลิคัน เป็นต้น (ส่วนนิกายออร์ทอดอกซ์ แยกตัวไม่ขึ้นกับสันตะปาปา ใน
ค.ศ. 1045 โดยมีสังฆราช ที่เรียกว่า patriarch เป็นประมุข ซึ่งแพร่หลายในกรีซ รัสเซีย         
เซอร์เบีย โรมาเนีย บัลแกเรีย) ทำให้ความเป็นเอกภาพทางศาสนาสิ้นสุดลง
         2.	 เกิดการกระตุ้นให้ศึกษาหลักธรรมทางคริสต์ศาสนามากยิ่งขึ้นในหมู่สามัญชน มีการ
เผยแผ่คริสต์ศาสนาไปยังดินแดนต่างๆ
         3.	 เกิดกระแสชาตินิยมในประเทศต่างๆ เนื่องจากนิกายโปรเตสแตนต์ส่งเสริมวัฒนธรรม
ท้องถิ่น และส่งเสริมให้อำนาจแก่ผู้ปกครองในท้องถิ่นเป็นตัวแทนของพระเจ้าในการปกครอง
ประเทศ
         4.	 เกิดสงครามศาสนาในยุโรปหลายครั้ง ส่งผลให้สถาบันกษัตริย์มีอำนาจเหนือคริสตจักร
ในที่สุด
         
          การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
       	
       การฟื้นฟูศิลปวิทยาการในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14-16 ถือว่าเป็นการเริ่มต้นของการปฏิวัติ
ทางวิทยาศาสตร์ เนื่องจากเป็นผลมาจากความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ การแสวงหาความรู้ ใหม่ด้วย
การสังเกต ทดลอง และการใช้เหตุผล ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ศิลปินที่สำคัญต่างๆ ต่างใช้หลัก
วิชากายวิภาคศาสตร์ เช่น กล้ามเนื้อและโครงสร้างของมนุษย์มาสร้างสรรค์งานศิลปกรรม ทั้ง
งานจิตรกรรมและประติมากรรมที่เน้นสัดส่วนและความงดงามของสรีระของมนุษย์อย่างแท้จริง
ความสนใจในเรื่องการเดินเรือทำให้มนุษย์ในยุโรปสมัยกลางคิดประดิษฐ์เครื่องมือสำหรับการ      
เดินทาง เช่น เลนส์สำหรับกล้องส่องทางไกลและกล้องดูดาว พัฒนาเทคนิคการต่อเรือ เป็นต้น
       จากยุคโบราณถึงยุคกลาง การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และปรัชญาเป็นวิชาแขนงเดียวกัน
นอกจากนี้คริสต์ศาสนายังมีอิทธิพลครอบงำความรู้ด้านต่างๆ ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 จึงมีการแยก
64   หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล

วิชาปรัชญาออกจากวิทยาศาสตร์ ซึ่งในระยะแรกเป็นการศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติ ส่วนปรัชญา
เป็นเรื่องการศึกษาความคิด วิธีการศึกษาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ก็เปลี่ยนไปจากเดิมมาก ซึ่ง
แต่เดิมเป็นความเชื่อตามศาสนาและเชื่อตามนักปราชญ์โบราณ ในยุคนี้ปัญญาชนได้ใช้วิธีสังเกต
คิดประดิษฐ์อุปกรณ์มาช่วยในการสังเกต และใช้การทดลองอย่างมีเหตุผล ทำให้วิทยาศาสตร์
ก้าวหน้ามากขึ้น ช่วยให้การศึกษาคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ มีความลึกซึ้งมากกว่าเดิม นอกจากนี้
ยังทำให้เกิดความรู้ด้านอื่นๆ พัฒนาขึ้นด้วย

        นักวิทยาศาสตร์และผลงาน
        นักวิทยาศาสตร์และผลงานในช่วงนี้ ได้แก่
        1.	นิโคลัส โคเปอร์นิคัส (Nicolus Copernicus :
ค.ศ. 1473-1543) ชาวโปแลนด์ เสนอทฤษฎีว่าดวงอาทิตย์เป็น
ศูนย์กลางของจักรวาล โดยมีดาวเคราะห์รวมทั้งโลกหมุนรอบ
ดวงอาทิ ต ย์ ทฤษฎี ข องเขาล้ ม ล้ า งความเชื่ อ ของคนในสมั ย
โบราณและสมั ย กลางที่ ยึ ด ถื อ ข้ อ สมมติ ฐ านของอริ ส โตเติ ล
(Aristotle) และงานเขียนของโตเลมี (Ptolemy) ที่อธิบายว่า
โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
        
                                                       นิโคลัส โคเปอร์นิคัส
        2.	กาลิเลโอ กาลิเลอิ (Galileo Galilei : ค.ศ. 1564-
1642) ชาวอิตาลีได้ประดิษฐ์กล้องโทรทัศน์ เพื่อสังเกตการโคจรรอบ
ดวงดาว ทำให้นักดาราศาสตร์ได้รับความรู้เกี่ยวกับจักรวาลและการ
เคลื่อนที่ในระบบสุริยจักรวาลตามทฤษฎีของโคเปอร์นิคัส ทฤษฎีของ
กาลิเลโอขัดแย้งกับคริสต์ศาสนา ทำให้ถูกลงโทษจากคริสตจักร
        
                                                        กาลิเลโอ กาลิเลอิ

                                      3.	เซอร์ ฟรานซิส เบคอน (Sir Francis Bacon : ค.ศ.
                              1561-1626) ชาวอั ง กฤษได้ ว างรากฐานการศึ ก ษางานด้ า น
                              วิทยาศาสตร์ จนในที่สุดทำให้มีการจัดตั้งราชบัณฑิตยสมาคม ที่
                              เรียกว่า The Royal Society of London for the Promotion of
                              Natural Knowledge ขึ้นเพื่อส่งเสริมการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์
                              เซอร์ ฟรานซิส เบคอน
หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล
 65


          4.	เรอเน เดส์การ์ส (Rene Descartes : ค.ศ. 1596-
1650) ชาวฝรั่งเศสได้เสนอหลักการใช้เหตุผล และการศึกษาค้นคว้า
วิ จั ย ในการแสวงหาความรู้ แ ละการวิ เ คราะห์ ท างคณิ ต ศาสตร์ ว่ า
สามารถนำมาพิสูจน์และตรวจสอบข้อเท็จจริงได้
          
                                                      เรอเน เดส์การ์ส

                               5.	เซอร์ ไอแซก นิวตัน (Sir Isaac Newton : ค.ศ. 1642-
                        1727) ชาวอังกฤษค้นพบกฎแรงดึงดูด (Law of Universal Attraction)
                        และกฎแห่ ง ความโน้ ม ถ่ ว ง (Law of Gravity) ซึ่ ง เป็ น ผลให้ นั ก
                        วิทยาศาสตร์อธิบายการโคจรของโลกและดาวเคราะห์ต่างๆ ที่หมุนรอบ
                        ดวงอาทิตย์ได้
  เซอร์ ไอแซก นิวตัน
         

         สาเหตุที่ทำให้เกิดการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
         สาเหตุที่ทำให้เกิดการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ มีดังนี้
         1. การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ เป็นผลให้ชาวยุโรปสนใจใฝ่หาความรู้และกระตือรือร้นที่จะ
หาความรู้ใหม่ๆ นอกจากนี้ระบบการพิมพ์ก็ก้าวหน้าขึ้น ทำให้ประชาชนสนใจที่จะศึกษามากขึ้น
         2.	การสำรวจทางทะเลและการค้นพบดินแดนใหม่ๆ ทำให้ชาวยุโรปพบเห็นสิ่งใหม่ๆ
พืชพันธุ์ใหม่ คนต่างเชื้อชาติต่างวัฒนธรรม ทำให้เกิดอยากเรียนรู้เสาะหาข้อเท็จจริงใหม่ๆ ยิ่งขึ้น


         ผลของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
        ผลของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ มีดังนี้
        1.	ทำให้เกิดความรู้ ใหม่แตกแยกออกไปหลายสาขา ทั้งคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์
ฟิสิกส์ พฤกษศาสตร์ และการแพทย์ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในงานต่างๆ
เช่ น การประดิ ษ ฐ์ น าฬิ ก า การคำนวณการยิ ง ปื น ใหญ่ มี ก ารจั ด ตั้ ง ราชบั ณ ฑิ ต ยสถานทาง
วิทยาศาสตร์ที่อังกฤษใน ค.ศ. 1662
66     หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล

        2.	มีอิทธิพลต่อความคิดและความเชื่อของชาวยุโรป ทำให้ชาวยุโรปเชื่อมั่นตนเอง
และเชื่อมั่นในอนาคตว่าจะสามารถนำความสำเร็จมาสู่ชีวิตได้ ทำให้เกิดความปรารถนาที่จะเรียนรู้
และประดิษฐ์สิ่งต่างๆ
        3.	 นำไปสู่การปฏิวัติทางภูมิปัญญา (Intellectual Revolution) ในคริสต์ศตวรรษที
                      ่
18 อี ก ด้ ว ย ซึ่ ง หมายถึ ง ยุ ค ที่ ช าวยุ โ รปกล้ า ใช้ เ หตุ ผ ลแสดงความเห็ น เกี่ ย วกั บ การเมื อ ง               
การปกครอง ตลอดจนเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคเท่าเทียมกัน เกิดนักปรัชญา
ทางการเมืองที่สำคัญ เช่น วอล์แตร์ (Voltaire) และมองเตสกิเออร์ (Montesquicu) ซึ่งเป็น          
พื้นฐานสำคัญทำให้ตะวันตกเข้าสู่ความเจริญในยุคใหม่ คริสต์ศตวรรษที่ 18 จึงได้รับสมญาว่าเป็น
ยุคแห่งความรู้แจ้งหรือยุคภูมิธรรม (The Age of Enlightenment) อันเป็นความคิดพื้นฐานของ
การปกครองระบอบประชาธิปไตยในเวลาต่อมา

              การปฏิวัติอุตสาหกรรม
        
        การปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) หมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงใน
วิธีการผลิตและระบบการผลิต จากเดิมระบบการผลิตมักทำกัน ภายในครอบคัว พ่อค้ามักเป็น
นายทุนซื้อวัตถุดิบแล้วแจกจ่ายให้แต่ละครอบครัวรับมาทำ แล้วพ่อค้าจะรับผลิตภัณฑ์ที่สำเร็จ
แล้วไปขาย คนงานก็จะได้ค่าจ้างเป็นการตอบแทน การผลิตสินค้าเดิมใช้แรงงานคน แรงงานสัตว์
รวมทั้งพลังงานจากธรรมชาติ เครื่องมือแบบง่ายๆ มาเป็นการใช้เครื่องจักรกลแทน เริ่มจากแบบ
ง่ายๆ จนถึงแบบซับซ้อนที่มีกำลังผลิตสูง จนเกิดเป็นการผลิตในระบบโรงงาน (factory system)
การผลิตภายในครอบครัวก็ค่อยๆ หมดไป และผู้คนจำนวนมากตามชนบทต้องอพยพเข้ามาทำงาน
เป็นกรรมกรในโรงงาน
        การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกเกิดในประเทศอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และได้แพร่
ขยายไปยังประเทศตะวันตกอื่นๆ ทั่วโลก การปฏิวัติอุตสาหกรรมนับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่มีผล
กระทบต่อการเมืองการปกครอง สังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของมนุษยชาติทั่วโลก
        
            อังกฤษ : ผู้นำการปฏิวัติอุตสาหกรรม
         
         การปฏิวัติอุตสาหกรรมเริ่มต้นที่อังกฤษเพราะอังกฤษมีปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวทาง
อุตสาหกรรมครบถ้วน คือ มีทุน วัตถุดิบ แรงงาน และตลาดการค้า
         อังกฤษเป็นผู้นำในการปฏิวัติเกษตรกรรม (Agricultural Revolution) โดยนำความรู้ทาง
วิทยาศาสตร์มาปรับปรุงการเกษตรให้พัฒนาขึ้น โดยในคริสต์ศตวรรษที่ 16 อังกฤษนำระบบล้อม
เขตที่ดิน (enclosure system) มาใช้เพื่อเพิ่มผลผลิตทางเกษตรอย่างแพร่หลาย ซึ่งเป็นผลให้
หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล
 67

เจ้าของที่ดินรายใหญ่สามารถรวบรวมที่ดินของตนเป็นผืนใหญ่ และสร้างรั้วล้อมที่ดินของตนเพื่อ
ป้องกันความเสียหายของพืชผลจากการทำลายของคนและสัตว์ นอกจากนี้ยังนำวิทยาการใหม่ๆ
มาใช้ ในการผลิต การปรับปรุงวิธีการทำนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การปฏิวัติเกษตรกรรมนำไปสู่
การปฏิวัติอุตสาหกรรม
            การเกษตรกรรมในอังกฤษได้ผลดีขึ้น ทำให้การค้าขายเจริญรุ่งเรืองขึ้น ประเทศมีความ
มั่งคั่งขึ้นใน ค.ศ. 1694 รัฐบาลจัดตั้งธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ (Bank of England) เพื่อเป็น
แหล่งระดมทุนของรัฐ ทรัพยากรมนุษย์ของอังกฤษก็มีความพร้อมสนับสนุนการปฏิวัติอุตสาหกรรม
เพราะชาวอังกฤษไม่เคร่งครัดต่อการแบ่งแยกชนชั้น เช่น สังคมอื่นๆ ในยุโรป ทั้งยังให้การ
ยอมรับชนทุกชั้นที่สามารถสร้างฐานะเป็นปึกแผ่น ดังนั้นขุนนางอังกฤษจึงไม่รังเกียจที่จะทำการค้า
เช่นเดียวกับคนชั้นกลางที่พยายามยกสถานภาพทางเศรษฐกิจให้เท่าเทียมขุนนาง นอกจากนี้รัฐยัง
ส่งเสริมให้การค้าขยายตัว เช่น มีการออกพระราชบัญญัติสร้างถนน ท่าจอดเรือ และขุดคูคลอง
ต่างๆ เป็นจำนวนมาก เพื่อใช้เป็นเส้นทางคมนาคมทางการค้า มีการยกเลิกการเก็บภาษีผ่านด่าน
และมีนโยบายการค้าแบบเสรี ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้มีการขยายตัวของตลาดการค้าภายในอย่าง
กว้างขวาง
            ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อังกฤษเป็นประเทศผู้นำการปฏิวัติอุตสาหกรรม เนื่องจากในระหว่าง
คริสต์ศตวรรษที่ 17-18 อังกฤษมีอาณานิคมที่อยู่โพ้นทะเลที่เป็นแหล่งวัตถุดิบและตลาดทั้งใน
ทวีปเอเชียและอเมริกา จนในที่สุดการค้าได้กลายเป็นนโยบายหลักของประเทศ เรือรบของอังกฤษ
ทำหน้าที่รักษาเส้นทางทางการค้าทางทะเล และให้ความคุ้มครองแก่เรือพาณิชย์ที่เดินทางไป
ค้าขายทั่วโลก สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยที่ทำให้ชาวอังกฤษคิดค้นประดิษฐ์เครื่องจักรมาใช้ ในโรงงาน
อุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง
            การปฏิวัติอุตสาหกรรมแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ การปฏิวัติอุตสาหกรรมระยะแรกใน
ระหว่าง ค.ศ 1760-1840 เป็นระยะที่มีการประดิษฐ์เครื่องจักรช่วยในการผลิตและการปรับปรุง
โรงงานอุตสาหกรรมให้มีประสิทธิภาพ และการปฏิวัติอุตสาหกรรมระยะที่ 2 ระหว่าง ค.ศ. 1861-
1865 เป็นการปรับปรุงการคมนาคมสื่อสาร ซึ่งเป็นผลมาจากความสำเร็จของอุตสาหกรรมเหล็ก
และเครื่องจักรไอน้ำ
            การปฏิวัติอุตสาหกรรมในระยะแรก คือ การประดิษฐ์เพื่อตอบสนองอุตสาหกรรมการ   
ทอผ้า เช่น ใน ค.ศ. 1733 จอห์น เคย์ (John Kay) แห่งเมืองแลงคาเชียร์ (Lancashire)       
ได้ประดิษฐ์กี่กระตุก (flying shuttle) ซึ่งช่วยให้ช่างทอผ้าสามารถผลิตผ้าได้มากกว่าเดิมถึง 2 เท่า
ค.ศ. 1764 เจมส์ ฮาร์กรีฟส์ (James Hargreaves) สามารถผลิตเครื่องปั่นด้าย (Spinning
Jenny) ได้สำเร็จ ต่อมา ค.ศ. 1769 ริชาร์ด อาร์กไรต์ (Richard Arkwright) ได้ปรับปรุง       
เครื่องปั่นด้ายให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และพัฒนาเป็นเครื่องจักรกลที่ใช้พลังน้ำหมุนแทนพลังคน
68   หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล


เรียกว่า Water Frame ทำให้เกิดโรงงาน
ทอผ้าตามริมฝั่งแม่น้ำทั่วประเทศ มีการ
ขยายตัวทำไร่ฝ้ายในอเมริกา ต่อมาวิตนีย์
(Eli Whitney) สามารถประดิษฐ์เครื่อง
แยกเมล็ดฝ้ายออกจากใย (Cotton Gin)
ได้เมื่อ ค.ศ. 1793 การพัฒนาอุตสาห-
กรรมการทอผ้าของอังกฤษเจริญเติบโต
อย่างต่อเนื่องจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19
                              เครื่องปั่นด้าย (Spinning Jenny) ที่สามารถปั่นได้พร้อมกันได้ทีละหลายเส้น

         การประดิษฐ์ที่พัฒนาควบคู่กับการทอผ้า คือ การประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำ โดยเจมส์ วัตต์
(James Watt) ชาวสกอต ประดิษฐ์ได้ใน ค.ศ. 1769 โดยใช้ขับเคลื่อนเครื่องจักรกลแทนพลังงาน
น้ำ ซึ่งส่งผลให้นำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น เหมืองแร่และการทอผ้า ต่างใช้เครื่องจักรไอน้ำ
เป็นพลังขับเคลื่อนเครื่องจักรกลทั้งสิ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเหล็ก เมื่อมีการพัฒนาเครื่องจักร
กลไอน้ำ ทำให้อุตสาหกรรมเหล็กขยายปริมาณการผลิตได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อเฮนรี คอร์ต
                                                      (Henry Cort) ชาวอังกฤษคิดค้นวิธีการ
                                                      หลอมเหล็กให้มีคุณภาพดีขึ้น ก็ส่งผล
                                                      ให้มีการปรับปรุงคุณ ภาพของปืนใหญ่
                                                      ตลอดจนยุ ท โธปกรณ์ ต่ า งๆ ให้ มี
                                                      ประสิทธิภาพขึ้น
                                                              
                                                                                                      
                                                           เครื่องจักรไอน้ำซึ่งประดิษฐ์
                                                           โดย เจมส์ วัตต์
       
        ต่อมาใน ค.ศ. 1807 ชาวอังกฤษได้ประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมจำหน่ายเครื่องจักร ณ
เมืองลีจ (Liege) ประเทศเบลเยียม ทำให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้นในเบลเยียม แต่อย่างไร
ก็ตาม ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 อังกฤษยังครองความเป็นผู้นำในการปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยใน
ค.ศ. 1851 อังกฤษได้จัดแสดงนิทรรศการครั้งใหญ่ (Great Exhibition) แสดงความก้าวหน้าทาง
เทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเหล็กของอังกฤษ
หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล
 69

       การปฏิวัติอุตสาหกรรมระยะที่ 2 เป็นการปรับปรุงการคมนาคมสื่อสาร ซึ่งเป็นผลมาจาก
ความสำเร็จของอุตสาหกรรมเหล็กและเครื่องจักรไอน้ำ โดยใน ค.ศ. 1804 ริชาร์ด เทรวีทิก
(Richard Trevitick) นำพลังงานไอน้ำมาขับเคลื่อนรถบรรทุก รถจักรไอน้ำจึงมีบทบาทสำคัญใน
อุตสาหกรรมขนส่ง ที่มีชื่อเสียงมาก คือ หัวรถจักรไอน้ำ ชื่อ ร็อกเกต (Rocket) ของจอร์จ สตี-
เฟนสัน (George Stephenson) ทำให้มีการเปิดบริการรถจักรไอน้ำบรรทุกสินค้าเป็นครั้งแรก ต่อ
มามีการดัดแปลงมารับส่งผู้โดยสาร ถือเป็นจุดเริ่มต้นการเข้าสู่ยุคการใช้รถไฟ ซึ่งเป็นผลทำให้
ความเจริญขยายตัวจากเขตเมืองไปสู่ชนบท เปลี่ยนชนบทให้กลายเป็นเมือง นอกจากนี้รถไฟยัง
เป็นพาหนะสำคัญในการลำเลียงกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ และเป็นสิ่งกระตุ้นให้ยุโรป
สนใจกระบวนการปฏิวัติอุตสาหกรรมในคริสต์ศตวรรษที่ 19
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
                       หัวรถจักรไอน้ำถูกดัดแปลงเข้ามาใช้งานในการขนส่ง 
                          เช่น รถไฟ ในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรมระยะที่ 2

        ฝรั่งเศสภายหลังการปฏิวัติใน ค.ศ. 1789 (French Revolution : ค.ศ. 1789) ได้หันมา
สนใจปฏิวัติอุตสาหกรรมเช่นเดียวกับเยอรมนีและสหรัฐอเมริกา และก้าวขึ้นเป็นคู่แข่งกับอังกฤษ
        ส่วนการคมนาคมทางน้ำ ใน ค.ศ. 1807 โรเบิร์ต ฟุลตัน (Robert Fulton) ชาวอเมริกัน
ประสบความสำเร็จในการนำพลังไอน้ำมาใช้กับเรือเพื่อรับส่งผู้โดยสาร ต่อมา ค.ศ. 1840 แซม
มวล คูนาร์ด (Semuel Cunard) เปิดเดินเรือกลไฟแล่นข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกได้ภายใน 14
วัน และมีการปรับปรุงเรือกลไฟให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
        ทางด้านรถยนต์มีการนำพลังไอน้ำมาใช้กับรถสามล้อ ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้มี
การประดิษฐ์เครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน จนถึง ค.ศ. 1857 คาร์ล เบนซ์ (Karl Benz) และ
กอตต์ลีบ เดมเลอร์ (Gottlieb Daimler) สามารถนำเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินมาใช้กับรถยนต์
ทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์เจริญก้าวหน้าขึ้น
70    หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล

        ในยุคนี้ยังได้มีการประดิษฐ์เครื่องพิมพ์แบบลูกกลิ้งขึ้นใช้ ใน ค.ศ. 1812 ทำให้การพิมพ์
พัฒนาได้ปริมาณมากขึ้นและเร็วทันเหตุการณ์ หนังสือพิมพ์จึงแพร่หลาย การเผยแพร่ความรู้และ
ข่าวสารก็แพร่หลายในวงกว้างขึ้น นอกจากนี้ยังมีการริเริ่มระบบไปรษณีย์ในอังกฤษ ใน ค.ศ.
1840 ทำให้การสื่อสารสะดวกรวดเร็วขึ้น ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 แซมมวล มอร์ส (Semuel
Morse) ประดิษฐ์โทรเลขได้สำเร็จเป็นคนแรก ใน ค.ศ. 1837 อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์
(Alexander Graham Bell) ประดิษฐ์โทรศัพท์ได้สำเร็จใน ค.ศ. 1876 และใน ค.ศ. 1901 ก็มีการ
ประดิ ษ ฐ์ วิ ท ยุ โ ทรเลขได้ แ ละส่ ง โทรเลขข้ า มมหาสมุ ท รแอตแลนติ ก ได้ ส ำเร็ จ ธอมั ส แอลวา        
เอดิสัน (Thomas Alva Edison) ชาวอเมริกันประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า เครื่องเล่นจานเสียง และ
กล้องถ่ายภาพยนตร์ได้
        
          ผลของการปฏิวัติอุตสาหกรรม
            
            ผลของการปฏิวัติอุตสาหกรรม มีดังนี้
            1.	ประชากรทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะความ
ก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และทางด้านการแพทย์เจริญก้าวหน้า
ขึ้ น อย่ า งต่ อ เนื่ อ ง รวมทั้ ง ความสมบู ร ณ์ ข องอาหาร ระบบ
สาธารณสุ ข และการดู แ ลสุ ข ภาพอนามั ย การเพิ่ ม ประชากร
อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการอพยพจากชนบทมาหางานทำใน
เมืองจนเกิดปัญหาความแออัดของประชากรในเขตเมือง
            2.	การก่อสร้างอาคารบ้านเรือนและสถาปัตยกรรม
พัฒนาก้าวหน้ามากขึ้น เพราะการพัฒนาอุตสาหกรรมและ                               หอไอเฟล กรุงปารีส 
เทคโนโลยีการก่อสร้าง ทำให้อาคารแข็งแรงขึ้น การออกแบบ                           ประเทศฝรั่งเศส
ก่อสร้างหอไอเฟล (Eiffel Tower) ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
ใน ค.ศ. 1889 ถือเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นการก่อสร้างที่
ทันสมัยของโลก
            3.	เกิดปัญหาสังคมต่างๆ มากมาย เช่น ชุมชนแออัด
การแพร่ ก ระจายของเชื้ อ โรค ปั ญ หาอาชญากรรม การใช้
แรงงานเด็ก การเอารัดเอาเปรียบกัน ทำให้เกิดแนวคิดของ
ลัทธิสังคมนิยม (Socialism) ของคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ที่
เรียกร้องให้กรรมกรรวมพลังกันเพื่อก่อการปฏิวัติโค่นล้มระบบ
ทุนนิยม ทำให้ลัทธิสังคมนิยมมีบทบาทและอิทธิพลมากขึ้น
                             คาร์ล มาร์กซ์
หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล
 71

         4.	เกิดลัทธิเสรีนิยม (liberalism) ซึ่งเป็นพื้นฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตยและ
แนวคิดนี้แพร่หลายกว้างขวางขึ้น ทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ค.ศ. 1776 แอดัม สมิธ (Adam
Smith) ได้พิมพ์งานเขียนชื่อ The Wealth of Nations เพื่อเสนอแนวคิดว่าความมั่งคั่งของ
ประเทศจะเกิดจากระบบการค้าแบบเสรี (laissez faire)
         กล่าวได้ว่า การปฏิวัติอุตสาหกรรมก่อให้เกิดการแบ่งค่ายระหว่างลัทธิทุนนิยมกับลัทธิ
สังคมนิยมอย่างเป็นรูปธรรม ต่อมาใน ค.ศ. 1889 ได้มีการประกาศให้วันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปี
เป็นวันเมย์เดย์หรือวันแรงงานสากล (May Day) นอกจากนี้ยังทำให้เกิดวรรณกรรมแนวสัจนิยม
(Realism) ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่พยายามเสนอเรื่องความเป็นจริงเบื้องหลัง ความสำเร็จ
ของระบบสังคมอุตสาหกรรม ที่ชนชั้นกรรมกรมีชีวิตที่ยากไร้และถูกเอารัดเอาเปรียบ
         5.	การปฏิวัติทางอุตสาหกรรมได้ขยายไปทั่วภูมิภาคต่างๆ ของโลก ทำให้เกิดการ
เปลี่ ย นแปลง ทางด้ า นเศรษฐกิ จ และสั ง คม การเมื อ ง และทำให้ ป ระเทศต่ า งๆ เหล่ า นี้ มี  
“วัฒนธรรมร่วม” ตามตะวันตกไปด้วย
         
              การปฏิวัติทางภูมิปัญญา
         
         การปฏิ วั ติ ท างภู มิ ปั ญ ญาเป็ น ผลสื บ เนื่ อ งจากการฟื้ น ฟู ศิ ล ปวิ ท ยาการ ซึ่ ง กระตุ้ น ให้          
ชาวยุโรปสนใจศึกษาหาความรู้และค้นหาความจริง ทำให้ยุโรปพ้นจากยุคมืด มีโอกาสแสวงหา
ความรู้วิทยาการแขนงใหม่ที่มีอิสรภาพ และเสรีภาพมากขึ้น ส่งผลให้ชาวยุโรปมีความคิดก้าวหน้า
ทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง เกิดนักคิด นักปรัชญาขึ้นมากมาย ซึ่งอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 17-18
         บุคคลสำคัญที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำในการปฏิวัติทางภูมิปัญญา ได้แก่
         1.	พระเจ้าเฟรเดอริกมหาราชแห่งปรัสเซีย (Frederick the
Great : ค.ศ. 1740-1786) ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของ
กษัตริย์ทรงภูมิธรรม (Enlightened Despotism) ด้วยทรงใช้สติปัญญา
และเหตุผลในการปกครอง ส่งเสริมการอุตสาหกรรมและการค้าเพื่อให้
ประชาชนมี ค วามเป็ น อยู่ ดี ขึ้ น ทรงใช้ ห ลั ก ขั น ติ ธ รรมทางศาสนา
(religious toleration) ให้เสรีภาพแก่ประชาชนในการนับถือศาสนา        
                                และเปิ ด โอกาสให้ ปั ญ ญาชนสามารถแสดง
                                                                                      พระเจ้าเฟรเดอริกมหาราช
                                ความคิดเห็นได้อย่างกว้างขวาง
                                         2. ธอมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes : ค.ศ. 1586-1679)
                                เป็นนักปรัชญาชาวอังกฤษ เขาได้เขียนหนังสือเรื่อง Leviathan ซึ่ง
                                แสดงแนวคิดทางการเมืองว่า สังคมการเมืองที่อยู่อย่างสันติสุขต้อง
                                มอบอำนาจให้ผู้ปกครองทำหน้าที่ปกครองประชาชน ทั้งนี้ประชาชนมี
                                สิทธิเลือกการปกครองที่สอดคล้องกับความต้องการของคนส่วนใหญ่	
       ธอมัส ฮอบส์
72   หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล

         3.	จอห์น ล็อค (John Locke : ค.ศ. 1632-1704) เป็นนัก
ปรั ช ญาชาวอั ง กฤษ เขาได้ เ ขี ย นหนั ง สื อ เรื่ อ ง Two Treatises of
Government ซึ่งเสนอแนวคิดว่ารัฐบาลต้องจัดตั้งโดยความยินยอมของ
ประชาชนและต้องรับผิดชอบความเป็นอยู่ของประชาชน 
         
                                                                            จอห์น ล็อค
                                   
                                   4.	 บารอน เดอ มองเตสกิเออ (Baron de Montesquieu :
                         ค.ศ. 1689-1755) เป็นขุนนางชาวฝรั่งเศสซึ่งต่อมาเป็นราชบัณฑิตของ
                         ราชบัณฑิตยสถานของฝรั่งเศส เขาได้เขียนหนังสือเรื่อง The Spirit of
                         Laws ซึ่งเสนอว่ากฎหมายที่รัฐบาลบัญญัติขึ้นต้องสอดคล้องกับสังคมนั้น
                         (วัฒนธรรม ประเพณี และประวัติศาสตร์ของแต่ละสังคม) เขาชื่นชม
                         ระบอบการปกครองของอังกฤษที่กษัตริย์อยู่ ใต้รัฐธรรมนูญ และแบ่ง
       บารอน เดอ 
      มองเตสกิเออ
       อำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ออกจากกัน
                                   	
         5.	วอลแตร์ (Voltaire : ค.ศ. 1694-1778) นักปรัชญาชาว
ฝรั่งเศส ได้เขียนหนังสือเรื่อง The Philosophical Letters หรือ
Letters on the English ซึ่งได้โจมตีสถาบันและกฎระเบียบต่างๆ
ของฝรั่งเศส และเรียกร้องให้มีการปฏิรูป ในหนังสือเรื่อง Elements
of the Philosophy of Nation, Essay on Universal History และ
เรื่อง The Age of Louis XIV เขาเสนอให้ใช้เหตุผลและสติปัญญา
แก้ ไขปัญหาสังคมและการเมือง
                                               วอลแตร์
                                        6.	ชอง-ชาคส์ รุสโซ (Jean-Jacques Rousseau :
                              ค.ศ. 1712-1778) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส หนังสือที่สำคัญคือ
                              เรื่อง สัญญาประชาคม (The Social Contract) ซึ่งถือว่าเป็นการ
                              วางรากฐานแนวคิดเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยของประชาชน เพราะ
                              มนุษย์เป็นอิสระ ควรจัดตั้งรูปแบบการปกครองที่ให้ประชาชนร่วม
                              ทำ “เจตจำนงร่วม” (General Will) หรือสัญญาประชาคมขึ้นเป็น
                              อำนาจสูงสุด รัฐบาลจึงควรเกิดจากความเห็นร่วมกันของประชาชน
        ชอง-ชาคส์ รุสโซ
หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล
 73

         7.	อดัม สมิธ (Adam Smith : ค.ศ. 1723-1790)
เป็นนักปรัชญาชาวสก๊อต มีผลงานเขียนที่มีชื่อเสียง คือ หนังสือ
เรื่องความมั่งคั่งของชาติ (The Wealth of the Nations) ใน
ค.ศ. 1776 ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อแนวความคิดทางการเมือง
และเศรษฐกิจของยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 หนังสือ
เล่มนี้กล่าวถึงทฤษฎีการค้าเสรี โดยปล่อยให้การค้าเป็นไปตาม
กฎธรรมชาติที่จะสนองความต้องการในเรื่องของอุปสงค์และ                    อดัม สมิธ
อุปทาน (Demand and Supply) ซึ่งรัฐไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการค้าของเอกชน แต่รัฐมีหน้าที่
ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการเอาเปรียบ จัดการศึกษาและบริการสาธารณสุข
         แนวคิดของนักปรัชญาเหล่านี้มุ่งที่จะปฏิรูปสังคมและการเมือง ซึ่งเป็นผลมาจากการ
ปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์นั่นเอง
         
	          ลัทธิจักรวรรดินิยม
       
       ลัทธิจักรวรรดินิยม (Imperialism) หมายถึง ลัทธิการปกครองและการดำเนินนโยบาย
ต่างประเทศของชาติมหาอำนาจ ในการที่จะขยายอิทธิพลเข้าไปปกครอง ครอบงำ และแสวงหา
ผลประโยชน์ในประเทศซึ่งด้อยการพัฒนาหรือในดินแดนที่อ่อนแอกว่า ลัทธิจักรวรรดินิยมมีหลาย
ลักษณะและหลายรูปแบบ ดังนี้
       -	 การได้รับสิทธิพิเศษ (concession) ในด้านเศรษฐกิจและการค้า
       - 	การได้รับสัมปทานในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ
       - 	การได้รับสัมปทานในการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
       - 	การจัดตั้งเขตอิทธิพลที่ประเทศมหาอำนาจควบคุมเศรษฐกิจและการเมือง
       -	 การจัดตั้งเขตเช่า (leasehold) โดยการบังคับเช่าดินแดนและมีอำนาจปกครองเป็น
เอกเทศจากรัฐบาลกลาง
       -	 การจัดตั้งดินแดนในอารักขา (protectorate) โดยยอมให้ประมุขในประเทศนั้นมีสิทธิ
ปกครองตนเองในระดับหนึ่ง
       -	 การผวนกดินแดน (annexation) โดยเข้ า ยึ ด ครองและปกครองโดยตรง ภายหลั ง
สงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ลัทธิจักรวรรดินิยมยังปรากฏในรูปแบบการจัดตั้งดินแดนใน
อาณัติ (mandate) และดินแดนในภาวะทรัสตี (trusteeship) ตามข้อตกลงของสนธิสัญญา
สันติภาพ
74    หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล


          ลัทธิจักรวรรดินิยมในยุโรป
           ในช่ ว งเวลายุ โ รปสมั ย ใหม่ ซึ่ ง เริ่ ม ในปลายคริ ส ต์ ศ ตวรรษที่ 15-19 นั้ น ยุ โ รปมี ก าร
เปลี่ยนแปลงอย่างมากทั้งด้านการค้า วิทยาศาสตร์ และอุตสาหกรรม แต่บรรดาชนชาติอื่นๆ ใน
ทวีปเอเชียและแอฟริกา แม้ชาติที่เป็นเจ้าของอารยธรรมโบราณต่างๆ ยังคงมีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม
ยังคงใช้วิธีการผลิตแบบเก่า ไม่มีการคิดค้นเทคนิคใหม่ๆ ในการผลิต แหล่งอารยธรรม เช่น จีน
อินเดีย อียิปต์ ดินแดนเมโสโปเตเมีย ต่างอยู่กับความคิดความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี ใน
อดีต ไม่มีความกระตือรือร้นที่จะแสวงหาความรู้วิทยาการใหม่ๆ ทั้งจีนและอินเดียก็ตกอยู่ในการ
ปกครองของต่างชาติจึงอ่อนแอลง รวมทั้งการขาดระบบราชการที่มีประสิทธิภาพ จึงขาดความ
แข็งแกร่งที่จะต่อต้านชาวยุโรปที่เดินทางเข้ามาในดินแดนเหล่านี้ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์
ทางการค้า ดินแดนเหล่านี้จึงไม่มีพลังเพียงพอที่จะต้านทานอำนาจอันแข็งแกร่งของชาติยุโรปได้
           สมัยจักรวรรดินิยม เป็นช่วงเวลาในตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งหลายประเทศใน
ยุโรปมีความก้าวหน้าทางการค้า วิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรมและวิทยาการด้านต่างๆ ได้ขยาย
อำนาจและอิทธิพลครอบครองดินแดนในทวีปเอเชียและแอฟริกา สมัยจักรวรรดินิยมเริ่มเสื่อม
สลายลงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ผลกระทบของจักรวรรดินิยมยังคงหลงเหลือสืบต่อมาใน    
ดินแดนส่วนต่างๆ ของโลก
           ลัทธิจักรวรรดินิยมแบ่งออกเป็น 2 ยุค คือ ในช่วงก่อนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นยุค
ลัทธิจักรวรรดินิยมในแบบเก่า คือการใช้อำนาจทางการทหารเข้ายึดครองดินแดนที่อ่อนแอกว่า
แล้วจึงขยายอำนาจทางการเมืองเข้าไป 
           ในช่วงหลังปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นยุคลัทธิจักรวรรดินิยมใหม่ (New Imperialism)
เป็ น ลั ก ษณะของการแสวงหาดิ น แดนโพ้น ทะเล โดยบรรดาประเทศมหาอำนาจต่ า งพยายาม    
แข่งขันกันเข้าไปปกครองหรือมีอิทธิพลในดินแดนเอเชียใต้ บางส่วนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
และอเมริกา การสร้างระบบจักรวรรดินิยมเป็นไปเพื่อสนองนโยบายพาณิชยนิยม (mercantilism)
ที่เจ้าอาณานิคมพยายามเข้าควบคุมประเทศอาณานิคม เพื่อผลกำไรและผลประโยชน์ของตน
เพียงผู้เดียว ลัทธิจักรวรรดินิยมใหม่ จึงหมายถึง การที่ประเทศมหาอำนาจพยายามครอบงำ
ประเทศด้อยพัฒนาโดยการเข้าไปปกครองโดยตรง หรือได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ เหนืออำนาจการ
ควบคุมของประเทศเจ้าของดินแดนนั้นๆ ดังนั้น จึงเริ่มมีการจัดตั้งอาณานิคมในทวีปอเมริกา
เอเชียและแอฟริกา การแข่งขันการแสวงหาอาณานิคมดังกล่าวเป็นไปอย่างต่อเนื่องในระหว่าง          
ค.ศ. 1879-1914 การขยายตั ว ลั ท ธิ จั ก รวรรดิ นิ ย มของประเทศยุ โ รปเป็ น ไปอย่ า งกว้ า งขวาง        
จนบานปลายไปเป็นสาเหตุแห่งความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ เช่น การแย่งชิงดินแดนในแอฟริกา
การแย่งชิงผลประโยชน์จากจีน นอกจากนี้ยังเพิ่มจักรวรรดินิยมใหม่ คือ เยอรมนี อิตาลี และ
สหรัฐอเมริกา เข้าร่วมแสวงหาดินแดนและผลประโยชน์ด้วย
หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล
 75


           สาเหตุที่ทำให้เกิดลัทธิจักรวรรดินิยม
        
        สาเหตุที่ทำให้เกิดลัทธิจักรวรรดินิยม คือ
        1.	ความสำเร็จของการปฏิวัติอุตสาหกรรมของประเทศยุโรป ทำให้เกิดความต้องการ
ยึดครองดินแดนที่มีวัตถุดิบอันเป็นประโยชน์ต่อการอุตสาหกรรม คือ เมื่อสามารถประดิษฐ์
เครื่องจักรมาใช้ ในการทำงาน สามารถผลิตสินค้าได้เป็นจำนวนมากและรวดเร็ว จึงต้องการ
วัตถุดิบป้อนโรงงานมากขึ้น นอกจากนี้เมื่อผลิตสินค้าได้มากก็จำเป็นต้องหาดินแดนที่มีประชากร
มากพอที่จะเป็นแหล่งระบายสินค้าที่ตนผลิตได้เกินความต้องการที่จะใช้บริโภคภายในประเทศของ
ตน พวกพ่อค้าจึงกระตุ้นให้รัฐบาลของตนแสวงหาอาณานิคมไว้เป็นแหล่งวัตถุดิบราคาถูกและ
ตลาดสินค้าสำเร็จรูป
        	 -	 อั ง กฤษ เป็ น ชาติ แ รกที่ ป ระสบความสำเร็ จ ด้ า นการพั ฒ นาอุ ต สาหกรรมและมี
กองทัพที่เข้มแข็ง สามารถขยายอิทธิพลปกป้องและควบคุมเส้นทางการเดินเรือ ดังนั้น อังกฤษจึง
ครอบครองอินเดียซึ่งเป็นดินแดนที่อังกฤษถือว่าเป็น “เพชรยอดมงกุฎของอังกฤษ” รวมทั้งทำ
สงครามฝิ่ น (Opium War ค.ศ. 1839-1842) กั บ จี น เพื่ อ ปกป้ อ งสถานี ก ารค้ า ฝิ่ น ในจี น และ      
ครอบครองเกาะฮ่องกงเพื่อเป็นที่มั่นในเอเชียตะวันออก การที่อังกฤษลงทุนในอินเดียและจีน
เพราะเป็นตลาดใหญ่มีประชากรมาก ซึ่งเหมาะสำหรับการระบายสินค้าสำเร็จรูป
        	 นอกจากนี้อังกฤษยังได้วัตถุดิบสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม เช่น ฝ้ายจากอียิปต์ ยาง
พาราและดีบุกจากมลายู น้ำมันจากตะวันออกกลาง มีการลงทุนทำเหมืองแร่ ในจีน แอฟริกา
ตะวันออกกลาง และอเมริกาใต้ รวมทั้งกรณีนายทุนชาติมหาอำนาจนำเงินไปให้รัฐบาลในดินแดน
ด้อยพัฒนากู้ เมื่อประเทศเหล่านี้ ไม่สามารถชำระเงินคืน นายทุนก็จะเรียกร้องให้รัฐบาลของตน
เข้าแทรกแซง เช่น อังกฤษยึดครองอียิปต์ใน ค.ศ. 1882 เป็นต้น
        	 -	 ฝรั่งเศส เข้ายึดครองแอลเจียร์ (Algiers) ใน ค.ศ. 1830 และต่อมาก็เข้ายึดครอง      
อินโดจีน
        	 -	 รั ส เซี ย ได้ ข ยายอิ ท ธิ พ ลดิ น แดนระหว่ า งแม่ น้ ำ อามู ร์ (Amur) กั บ แม่ น้ ำ อุ ส ซู รี
(Ussuri) และดินแดนในเขตแปซิฟิกใน ค.ศ. 1860 และขยายอำนาจเจ้าสู่เอเชียกลาง
        	 -	 เนเธอร์แลนด์ สามารถครอบครองหมู่เกาะอินเดียตะวันออก (อินโดนีเซีย)
        2.	ความตื่ น ตั ว ในลั ท ธิ ช าติ นิ ย มในคริ ส ต์ ศ ตวรรษที่ 19 ในดิ น แดนต่ า งๆ ในยุ โ รป
ทำให้เกิดความทะเยอทะยานที่จะเป็นชาติมหาอำนาจ จึงเกิดการแข่งขันกันพัฒนาทางด้าน
อุตสาหกรรมและการค้า แสวงหาความร่ำรวยให้แก่ประเทศตน ดังนั้นจึงต้องหาอาณานิคม ซึ่ง
นอกจากเป็นแหล่งวัตถุดิบและแหล่งระบายสินค้าแล้ว ยังหมายถึงศักดิ์ศรีและเกียรติยศของ
มหาอำนาจในยุโรปด้วย รวมทั้งความพยายามมิให้ประเทศคู่แข่งเข้ามายึดครองดินแดนนั้นก่อน
ด้วย เช่น
76    หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล

         	 -	 ฝรั่ ง เศส  พยายามแสวงหาอาณานิ ค มในที่ ต่ า งๆ เพื่ อ กู้ ศั ก ดิ์ ศ รี ข องประเทศที่       
พ่ายแพ้ในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย (ค.ศ. 1870-1871) 
         	 -	 เยอรมนี  เข้ายึดดินแดนแอฟริกา เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่
         	 -	 อิตาลี แสวงหาอาณานิคมในแอฟริกา เพื่อแสดงว่าตนมีศักดิ์ศรีทัดเทียมประเทศ
มหาอำนาจ
         3. เพื่อเผยแผ่คริสต์ศาสนาและอารยธรรมตะวันตก ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ชาว
ตะวันตกหลายคนเชื่อถือในทฤษฎีสังคมของชาร์ลส์ ดาร์วิน (Social Darwinism) ว่าคนขาวมี
อารยธรรมเหนื อ กว่ า คนสี ผิ ว อื่ น ๆ ทำให้ ค นขาวมี สิ ท ธิ อั น ชอบธรรมและมี ภ าระหน้ า ที่ ที่ จ ะเข้ า
ปกครองพวกที่ด้อยกว่าตน เพื่อนำเอาอารยธรรมและคริสต์ศาสนาไปเผยแพร่ อันจะนำความ
เจริญและความสันติสุขมาสู่ดินแดนเหล่านั้น ทฤษฎีนี้แพร่หลายมากในเยอรมนีและมีอิทธิพลต่อ
บรรดาผู้นำของประเทศต่างๆ มีการอ้าง “ภาระหน้าที่ของคนขาว” (The Whiteman’s Burden)
ที่จะนำอารยธรรมไปเผยแพร่ในดินแดนด้อยอารยธรรม
         ในช่ ว งเวลาดั ง กล่ า วจึ ง มี นั ก สอนศาสนา (มิ ช ชั น นารี ) จำนวนมากไปสอนศาสนาใน      
ดินแดนต่างๆ ซึ่งเป็นการช่วยส่งเสริมการแสวงหาอาณานิคมด้วยเช่นกัน เพราะพวกมิชชันนารี
เดินทางลึกเข้าไปในภาคพื้นทวีปซึ่งยังไม่เคยมีชาวตะวันตกสำรวจมาก่อนเลย ทำให้โลกภายนอก
ได้ทราบข่าวความมั่งคั่งของประเทศภายในภาคพื้นทวีป ชักจูงให้ชาวยุโรปเดินทางเข้าไปสำรวจ
ทรัพยากร และเข้ายึดครองในที่สุด
         4.	ความต้องการหาแหล่งระบายพลเมือง กลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 ยุโรปมีประชากร
เพิ่มมากขึ้น บรรดานักการเมืองในประเทศต่างๆ จึงหวังยึดครองอาณานิคมเพื่อระบายพลเมือง
จะเห็นว่าชาวยุโรปพอใจที่จะอพยพไปตั้งถิ่นฐานในสหรัฐอเมริกาและอเมริกาใต้ เพราะมีที่ทำมา
หากินสะดวกและสภาพแวดล้อมไม่แตกต่างจากถิ่นฐานเดิมนัก 
         5.	ความจำเป็นในการรักษาและป้องกันอาณานิคม เมื่อยุโรปมีอาณานิคมกระจายอยู่ใน
ที่ต่างๆ จึงต้องพยายามรักษาอาณานิคมไว้ ดังนั้น ประเทศมหาอำนาจจึงต่างพยายามหาฐานที่มั่น
ทางการทหารทั้งทางบกและทางทะเลที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ เพื่อเป็นฐานทัพคอยคุ้มครองป้องกัน
เส้นทางระหว่างอาณานิคมกับเมืองแม่ เป็นสถานีเติมเชื้อเพลิงและเสบียงอาหารให้แก่กองทหาร
และเพื่อสกัดกั้นชาติอื่นเข้ามาในอาณานิคมของตน เช่น
         อังกฤษตั้งฐานทัพเรือที่สิงคโปร์ เอเดน และอเล็กซานเดรีย และเมื่อถึงกลางคริสต์-
ศตวรรษที่ 19 อังกฤษก็กลายเป็นจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดในโลก อาณานิคมของอังกฤษมีอยู่ในแทบ
ทุกทวีป เช่น แคนาดาในทวีปอเมริกาเหนือ ดินแดนในแอฟริกา อินเดียและฮ่องกงในเอเชีย
ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ในซีกโลกใต้
         สำหรับในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีเพียงประเทศไทยเท่านั้นที่รอดพ้นจากการยึดครอง
ของประเทศอำนาจตะวันตก ส่วนเอเชีย เช่น อินเดียถูกยึดครองทั้งประเทศ จีนแม้ ไม่ตกเป็น
อาณานิคมแต่ก็ต้องยกดินแดนบางส่วนให้ชาติมหาอำนาจครอบครอง และญี่ปุ่นเป็นชาติเดียวที่
ประสบความสำเร็จในการขยายอำนาจตามลัทธิจักรวรรดินิยม
หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล
 77

          ผลของยุคจักรวรรดินิยม
          ผลของยุคจักรวรรดินิยม มีดังนี้
          1.	 สมัยจักรวรรดินิยมเป็นสมัยที่ดินแดนส่วนต่างๆ ของโลกถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ทำให้
โลกก้าวเข้าสู่ยุคสากล ประเทศในทวีปต่างๆ ต่างก็มีการติดต่อกัน ไม่มี ใครอยู่โดดเดี่ยวโดยไม่      
ยุ่งเกี่ยวกับประเทศใดๆ ได้
          2.	 สมัยจักรวรรดินิยมเป็นสมัยที่ชาติยุโรปมีอำนาจสูงสุด มีอิทธิพลครอบคลุมไปทั่วโลก
เนื่องมาจากการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และการปฏิวัติทางอุตสาหกรรม ตลอดจนแสนยานุภาพ
ทางการทหาร ชาวยุ โ รปจึ ง ได้ น ำอารยธรรมของตนไปเผยแพร่ ใ นทุ ก มุ ม โลก ทั้ ง ความรู้ ท าง
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แนวความคิดการปกครองระบอบประชาธิปไตย ความเชื่อมั่นในสิทธิ
และเสรีภาพ การเผยแพร่อารยธรรมตะวันตก เป็นผลให้เกิดแนวโน้มที่จะนำไปสู่อารยธรรมที่
คล้ายคลึงกันไปทั่วโลก
          3.	 ดินแดนที่เป็นอาณานิคมมีความเจริญก้าวหน้าขึ้น เช่น ด้านสาธารณสุขและการแพทย์
ด้านการศึกษาซึ่งชาวยุโรปนำมาสู่ดินแดนอาณานิคม ซึ่งเป็นผลให้ชาวพื้นเมืองเกิดความตื่นตัวที่
จะพัฒนาประเทศชาติของตน
          4.	 ดินแดนที่เป็นอาณานิคมต้องสูญเสียเอกราชและอธิปไตย ต้องสูญเสียทรัพยากรให้
เมืองแม่ ต้องกลายเป็นตลาดระบายสินค้าของชาติมหาอำนาจ ต้องสูญเสียศักดิ์ศรีและความ      
ภาคภู มิ ใ จ ต้ อ งเคารพและเชื่ อ ฟั ง ชาติ ม หาอำนาจที่ เ ข้ า มาปกครองและมี อ ภิ สิ ท ธิ์ เ หนื อ ชาว          
พื้นเมืองมากมาย
          5.	 ชาติมหาอำนาจได้รวมดินแดนอาณานิคมเข้าเป็นส่วนเดียวกัน โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ
ที่แตกต่างกัน ภายหลังที่อาณานิคมได้รับเอกราชก่อให้เกิดปัญหาความแตกแยกในหลายประเทศ
เช่น ชาวมุสลิมในปากีสถานแยกออกมาจากอินเดีย เป็นต้น
          6.	 การแข่งขันกันแสวงหาอาณานิคมในสมัยจักรวรรดินิยม ทำให้เกิดความบาดหมาง       
นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 1
          7.	 โลกในยุคปัจจุบันแม้อาณานิคมส่วนใหญ่ได้รับเอกราชแล้วก็ตามแต่หลายประเทศต้อง
กลับถูกครอบงำโดยลัทธิจักรวรรดินิยมทางเศรษฐกิจแทน เช่น ธนาคารโลก (World Bank) และ
องค์การกองทุนระหว่างประเทศ (International Monetary Fund-IMF) ที่สหรัฐอเมริกาขยาย
อิทธิพลทางการเงินมาสู่ประเทศต่างๆ 
          กล่าวได้ว่า ลัทธิจักรวรรดินิยมยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบัน และมีผลดีทางด้านการสร้างสรรค์
ความเจริญตามแบบโลกตะวันตก และผลไม่ดีคือการเสียทรัพยากรของชาติ เสียผลประโยชน์ที่พึง
ได้ รวมทั้งวัฒนธรรมประเพณีของชาติถูกครอบงำ วิถีชีวิตกลายเป็นชาติตะวันตกไป
78     หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล

         
                          กิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ 1
	    1.	 ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-6 คน ค้นคว้าข้อมูล และทำรายงานในเรื่องต่อไปนี้
	    	 1.1	ระบบฟิวดัล	                            1.2 สงครามครูเสด	          
	    	 1.3	การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ	                 1.4 การสำรวจทางทะเล	     
                                                                          	
	    	 1.5	การปฏิรูปศาสนา	                        1.6 การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
	    	 1.7	การปฏิวัติอุตสาหกรรม	                  1.8 การปฏิวัติทางภูมิปัญญา
	    	 1.9 ลัทธิจักรวรรดินิยม
	    	 โดยให้นักเรียนนำเสนอรายงานในประเด็น สาเหตุ พัฒนาการ และผลกระทบ
	    	 จากนั้นให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมานำเสนอ รายงานผลการค้นคว้าหน้าชั้นเรียน
	    2. ให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายในหัวข้อ “สมัยกลางคืออู่ของอารยธรรมยุโรป” แล้วสรุปความรู้
	    	 ที่ได้รับร่วมกัน




	 1.	 ระบบฟิวดัลคืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรต่อพัฒนาการยุโรปสมัยกลาง
	 2.	 สงครามครูเสดมีความสำคัญอย่างไรต่อพัฒนาการยุโรปสมัยกลาง
	 3.	 เพราะเหตุใดคริสตจักรจึงเป็นศูนย์กลางอำนาจของสังคมยุโรปสมัยกลาง
	 4.	 การฟื้นฟูศิลปวิทยาการมีผลกระทบอย่างไรต่อสังคมตะวันตก
	 5.	 การปฏิวัติวิทยาศาสตร์และการปฏิวัติอุตสาหกรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างไรและมีผล

  	 	 อย่างไร
	 6.	 แนวคิดของนักปรัชญาการเมืองในสมัยการปฏิวัติภูมิปัญญา เช่น ธอมัส ฮ็อบส์ จอห์น

  	 	 ล็อค มองเตสกิเออร์ วอลแตร์ และชอง ชาคส์ รุสโซ แนวคิดของนักปรัชญาการเมือง

  	 	 เหล่านี้มีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
	 7.	 ลั ก ธิ จั ก รวรรดิ นิ ย มในยุ โ รปแบ่ ง ออกเป็ น กี่ ยุ ค แต่ ล ะยุ ค มี พั ฒ นาการอย่ า งไร และ

  	 	 ส่งผลอย่างไรต่อประวัติศาสตร์ยุโรปและประวัติศาสตร์โลก

More Related Content

PPTX
ระบบเศรษฐกิจแบบแมนเนอร์
PPTX
ระบบฟิวดัล
PDF
สงครามเย็น
PDF
พัฒนาการยุโรปสมัยกลาง
PPTX
การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance)
PDF
ตัวอย่างสารบัญ เล่มโปรเจ็ค
PDF
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ(อินเดีย)
PDF
4.4 อารยธรรมสมัยกลาง
ระบบเศรษฐกิจแบบแมนเนอร์
ระบบฟิวดัล
สงครามเย็น
พัฒนาการยุโรปสมัยกลาง
การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance)
ตัวอย่างสารบัญ เล่มโปรเจ็ค
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ(อินเดีย)
4.4 อารยธรรมสมัยกลาง

What's hot (20)

PPT
วิธีการทางประวัติศาสตร์ ม.1
PDF
โครงงานวิชา Is2
PDF
โครงงาน เพาว์เวอร์พอย
PDF
การบริหารจิตและเจริญปัญญา
PDF
หลักฐานในการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ ส16103 ประวัติศาสตร์ ป.6
PDF
เศรษฐกิจพอเพียง
PDF
แบบเสนอโครงร่างโครงงาน
PPT
ระดับของภาษา
PDF
แผนวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
PDF
ใบงานที่ 1 รวมกลุ่มเศรษฐกิจฯ พร้อมเฉลย
PDF
การปฏิวัติทางภูมิปัญญา
PPTX
หน่วยที่ 3 เศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาเศรษฐกิจไทย
PDF
สงครามโลกครั้งที่ 1
DOCX
สารบัญโครงงานคอม
PDF
การปฏิวัติอุตสาหกรรม
PPTX
กำเนิดรัฐชาติ
PPTX
อารยธรรมอินเดีย
PDF
The criticism of art
PDF
สมัยจักรวรรดินิยม
วิธีการทางประวัติศาสตร์ ม.1
โครงงานวิชา Is2
โครงงาน เพาว์เวอร์พอย
การบริหารจิตและเจริญปัญญา
หลักฐานในการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ ส16103 ประวัติศาสตร์ ป.6
เศรษฐกิจพอเพียง
แบบเสนอโครงร่างโครงงาน
ระดับของภาษา
แผนวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
ใบงานที่ 1 รวมกลุ่มเศรษฐกิจฯ พร้อมเฉลย
การปฏิวัติทางภูมิปัญญา
หน่วยที่ 3 เศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาเศรษฐกิจไทย
สงครามโลกครั้งที่ 1
สารบัญโครงงานคอม
การปฏิวัติอุตสาหกรรม
กำเนิดรัฐชาติ
อารยธรรมอินเดีย
The criticism of art
สมัยจักรวรรดินิยม
Ad

Similar to Unit3 เหตุการณ์สำคัญในสมัยกลางถึงคริสต์ศตวรรษที่ 20 (20)

PDF
ประวัติศาสตร์ ม.2
PPTX
เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์สากล
PDF
ประวัติศาสตร์ยุโรป ยุคกลาง เสนอ คุณครูเตือนใจ ไชยศิลป์
PPTX
ประวัติศาสตร์สากล ยุโรปสมัยกลาง
PPT
ประวัติศาสตร์สากล
PDF
Humanities integration_1
PDF
4.1 4.2 อิทธิพล-การเมือง เศรษฐกิจ
PPT
ประวัติศาสตร์สากล
PPTX
อิทธิพลของคริสต์ศาสนาในยุโรปสมัยกลาง
PPTX
ประวัติศาสตร์ตะวันตกสมัยใหม่ เสนอ ครูเตือนใจ ไชยศิลป์
PPTX
อิทธิพลของคริสต์ศาสนาในยุโรปสมัยกลาง ม.6.1
PPT
อารยธรรมยุคกลาง ยุคใหม่(อัพเดท2557)
PPTX
History Europe
PPTX
เหตุการณ์สำคัญในสมัยยุโรปกลาง
PDF
Unit2 การสร้างสรรค์อารยธรรม
PDF
พัฒนาการยุโรป
PDF
Korea
PPT
อารยธรรมจีน
PDF
บทที่ 1.pdf
PPT
ประวัติการศึกษาไทย
ประวัติศาสตร์ ม.2
เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์สากล
ประวัติศาสตร์ยุโรป ยุคกลาง เสนอ คุณครูเตือนใจ ไชยศิลป์
ประวัติศาสตร์สากล ยุโรปสมัยกลาง
ประวัติศาสตร์สากล
Humanities integration_1
4.1 4.2 อิทธิพล-การเมือง เศรษฐกิจ
ประวัติศาสตร์สากล
อิทธิพลของคริสต์ศาสนาในยุโรปสมัยกลาง
ประวัติศาสตร์ตะวันตกสมัยใหม่ เสนอ ครูเตือนใจ ไชยศิลป์
อิทธิพลของคริสต์ศาสนาในยุโรปสมัยกลาง ม.6.1
อารยธรรมยุคกลาง ยุคใหม่(อัพเดท2557)
History Europe
เหตุการณ์สำคัญในสมัยยุโรปกลาง
Unit2 การสร้างสรรค์อารยธรรม
พัฒนาการยุโรป
Korea
อารยธรรมจีน
บทที่ 1.pdf
ประวัติการศึกษาไทย
Ad

More from Princess Chulabhorn's College, Chiang Rai Thailand (20)

PDF
กำแพงเบอร์ลิน
PDF
รายงานนวัตกรรม Social media
PDF
สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์
PDF
พัฒนาการปกครองสมัยรัตนโกสินทร์ (ใช้)
PDF
การฟื้นฟูเศรษฐกิจในสมัยรัชกาลที่ 1
PDF
6การปกครองประเทศสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
PDF
ประวัติศาสตร์ไทย 3
PDF
รวม 5 สาระสัคม
PDF
แบบรายงานการนำเสนอผลงาน
PDF
รวม 5 สาระสัคม
PDF
Statby school 2555_m3_1057012007
PDF
Content statbyschool 2554_m3_1057012007
PDF
Content statbyschool 2553_m3_1057012007
PDF
ผลOnetม.6ปี55ฉบับเต็ม
PDF
แบบนำเสนอผลงานวิชาการ
PDF
การแบ่งภูมิภาค
กำแพงเบอร์ลิน
รายงานนวัตกรรม Social media
สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์
พัฒนาการปกครองสมัยรัตนโกสินทร์ (ใช้)
การฟื้นฟูเศรษฐกิจในสมัยรัชกาลที่ 1
6การปกครองประเทศสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ประวัติศาสตร์ไทย 3
รวม 5 สาระสัคม
แบบรายงานการนำเสนอผลงาน
รวม 5 สาระสัคม
Statby school 2555_m3_1057012007
Content statbyschool 2554_m3_1057012007
Content statbyschool 2553_m3_1057012007
ผลOnetม.6ปี55ฉบับเต็ม
แบบนำเสนอผลงานวิชาการ
การแบ่งภูมิภาค

Unit3 เหตุการณ์สำคัญในสมัยกลางถึงคริสต์ศตวรรษที่ 20

  • 1. หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล 45 เหตุการณ์สำคัญในสมัยกลางถึง คริสต์ศตวรรษที่ 20 ระบอบฟิวดัล สงครามครูเสด การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ การสำรวจทางทะเล ลัทธิจักรวรรดินิยม เหตุการณ์สำคัญในสมัยกลาง การปฏิรูปศาสนา ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 20 การปฏิวัติทางภูมิปัญญา การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ การปฏิวัติอุตสาหกรรม จุดประสงค์การเรียนรู้ ตัวชี้วัดชั้นปี การเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรฐกิจ และ วิเคราะห์เหตุการณ์สำคัญต่างๆ ที่ส่งผลต่อ การเมืองเข้าสู่โลกสมัยปัจจุบัน (ส 4.2 ม.4-6/2)
  • 2. 46 หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล เหตุการณ์สำคัญในสมัยกลาง ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ประวั ติ ศ าสตร์ ยุ โ รปยุ ค กลาง (The Middle Ages) เริ่ ม ต้ น ตั้ ง แต่ ก ารล่ ม สลายของ จักรวรรดิโรมันตะวันตกใน ค.ศ. 476 จนถึงประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 15 ในช่วงนี้เป็นช่วงที่ ชนชาติเยอรมันเผ่าต่างๆ ได้รุกรานและอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในยุโรปตะวันตก ซึ่งชนเผ่าเยอรมัน เหล่านี้ ได้ตั้งอาณาจักรของตนปกครองดินแดนส่วนต่างๆ การที่ชนเผ่าเยอรมันได้เข้ามายึดครอง ดินแดนของจักรวรรดิโรมันนั้น ได้ทำให้บ้านเมืองและสิ่งก่อสร้างรวมทั้งระบบการปกครองและ วิทยาการที่เคยเจริญรุ่งเรืองเสื่อมโทรมลงไปอย่างมาก นักประวัติศาสตร์จึงเรียกประวัติศาสตร์ ยุคนี้ว่า ยุคมืด (The Dark Ages) ในยุคมืดนี้ ได้มีเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์หลาย เหตุการณ์ที่มีผลต่อสังคมมนุษย์มาจนถึงปัจจุปัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ระบอบฟิวดัล ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 9 ยุโรปได้เกิดระบบฟิวดัล (Feudalism) หรือระบบศักดินา- สวามิภักดิ* ซึ่งเป็นระบบที่ครอบคลุมทั้งทางด้านการเมืองการปกครอง สังคม และเศรษฐกิจของ ์ ยุโรปยุคกลางในเวลาต่อมา คำว่า Feudalism มาจากคำว่า ฟีฟ (fief) หมายถึง ที่ดินที่เป็นพันธ- สัญญาระหว่างเจ้านายที่เป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งเจ้าของที่ดินจะเป็นพวกขุนนาง เรียกว่า ลอร์ด (lord) กับผู้ใช้ประโยชน์ในที่ดิน คือ ข้า หรือ เรียกว่า วัสซัล (vassal) ความสัมพันธ์ในระบบ ฟิวดัลคือความสัมพันธ์ระหว่างผู้อุปถัมภ์กับผู้ ได้รับการอุปถัมภ์ ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับขุนนางในระบบฟิวดัล คือความสัมพันธ์ระหว่างผู้อุปถัมภ์กับผู้ ได้รับการอุปถัมภ์ *Mounir A. Farah and Andrea Berens Karls. World History. pp. 298-307.
  • 3. หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล 47 การเกิดระบบฟิวดัลนั้น เริ่มจากกษัตริย์ที่เป็นเจ้านายชั้นสูงของระบบและเป็นเจ้าของที่ดิน ทั้งราชอาณาจักรจะพระราชทานที่ดินให้กับขุนนางระดับสูงในท้องถิ่น เพื่อให้ขุนนางระดับสูงจงรัก ภักดีและเป็นการตอบแทนความดีความชอบจากการทำสงคราม ทั้งกษัตริย์และขุนนางจะมีพันธะ ต่อกัน กล่าวคือขุนนางมีหน้าที่ส่งทหารมาช่วยเมื่อมีสงคราม ส่งภาษีตามระยะเวลาที่กำหนด ส่วน กษัตริย์มีหน้าที่ให้ความคุ้มครองและความยุติธรรมแก่ขุนนาง ทั้งนี้ขุนนางระดับสูงก็จะนำที่ดินนั้น มาแบ่งให้กับขุนนางระดับรองลงไป ขุนนางระดับสูงจึงเป็นข้าหรือวัสซัลของกษัตริย์ แต่เป็น เจ้านายหรือลอร์ดของขุนนางระดับรองลงไปอีก เพื่อให้ขุนนางระดับรองภักดีและสนับสนุนด้าน กำลัง ส่วนขุนนางระดับรองรวมทั้งประชาชนที่เป็นข้าติดที่ดินก็จะได้รับการคุ้มครองจากขุนนาง ระดับสูง จากนั้นขุนนางระดับรองจะนำที่ดินนั้นมาหาผลประโยชน์และปกครองดูแลผู้คนที่จะทำมา หากินบนที่ดินในเขตแมเนอร์ (manor) ของตน ประชาชนที่อาศัยและทำงานในที่ดินนั้น เรียกว่า เซิร์ฟ (serf) หรือข้าติดที่ดิน ดังนั้น ระบบนี้จึงเป็นการแบ่งที่ดินลงเป็นทอดๆ จนถึงขุนนางระดับ ล่างสุด คือ อัศวิน ในแต่ละแมเนอร์จะมีศูนย์กลางของแมเนอร์คือปราสาท ซึ่งเป็นที่อยู่ของขุนนางและ ครอบครัว บริเวณที่ดินโดยรวมเป็นที่ทำมาหากินของชาวนาและเซิร์ฟ ซึ่งรวมกันเป็นหมู่บ้าน มีทั้ง โรงตีเหล็ก ช่างซ่อมแซมสิ่งของ มีวัดใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา รอบๆ หมู่บ้านจะเป็นพื้นที่ เกษตรกรรม ซึ่งชาวนาและเซิร์ฟจะต้องแบ่งผลผลิตให้เจ้าของที่ดินเป็นค่าตอบแทน ความ สัมพันธ์หรือข้อตกลงของลอร์ดกับวัสซัลมีตามพิธีกรรมที่เรียกว่า “การแสดงความจงรักภักดี” (homage) หรือสวามิภักดิ์นั่นเอง การล่มสลายของระบบฟิวดัล การที่ระบบฟิวดัลล่มสลายนั้นเป็นผลจากการขยายตัวทางการค้าและอุตสาหกรรมในยุโรป โดยเฉพาะในบริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทำให้เกิดชุมชนพาณิชย์อุตสาหกรรมขึ้น ส่งผลให้ชาว ชนบทละทิ้งที่นาเข้ามาประกอบอาชีพค้าขายหรือประกอบการผลิตสินค้าหัตถกรรมในเขตเมือง ทำให้สังคมเมืองมีการขยายตัว เกิดเป็นสังคมเมืองขึ้นมาใหม่ ซึ่งผู้คนที่มาอยู่ในเมืองไม่ได้อยู่ใน ระบบฟิวดัล แต่เป็นกลุ่มคนที่ประกอบอาชีพทางการค้าและอุตสาหกรรม และเมื่อมีประชาชนเพิ่ม มากขึ้นอย่างรวดเร็ว ชุมชนเมืองขยายตัวเพิ่มมากขึ้น มีเมืองใหม่ๆ เกิดขึ้นทั่วทั้งยุโรปในคริสต์ ศตวรรษที่ 11-12 หัวเมืองในอิตาลี เช่น เมืองเวนิส เมืองเจนัว และเมืองในบริเวณเนเธอร์แลนด์ เป็นเมืองสำคัญทางด้านการค้าและอุตสาหกรรม การค้าทางทะเลมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นโดย เฉพาะในเขตทะเลเหนือและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมืองที่เกิดขึ้นใหม่นี้มีการจัดการปกครองแบบ เทศาภิบาล (municipality) มีการเก็บภาษีท้องถิ่นเพื่อที่จะพัฒนาเมืองและมีระบบสร้างความ
  • 4. 48 หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล ปลอดภัยให้กับเมือง พวกพ่อค้าและพวกช่างมีความมั่งคั่งขึ้น ชนชั้นกลางเหล่านี้เมื่อมีอำนาจมาก ขึ้นจึงได้หันไปสนับสนุนกษัตริย์ เพื่อให้คุ้มครองกิจการและผลประโยชน์ของตน การฟื้นฟูทาง เศรษฐกิจมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมและระบอบการเมืองการปกครอง เพราะทำให้ระบอบการ ปกครองแบบฟิวดัลเริ่มเสื่อมอำนาจลงในช่วงนี้ ขุนนางที่เคยเป็นใหญ่และมีอำนาจอิสระในการ ปกครองตามระบบแมเนอร์ของตนต้องล่มสลาย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากขุนนางต้องออกไปทำ สงครามและเสียชีวิตจำนวนมาก และผลจากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ นอกจากจะทำให้ ชนชั้นกลางมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้พวกขุนนางยากจนลง พวกทาสติดที่ดินได้อพยพเข้า เมืองเป็นจำนวนมาก ทำให้พวกชนชั้นกลาง (bourgeoie) ขึ้นมามีอำนาจแทนที่ขุนนาง สังคมได้ เปลี่ยนค่านิยมจากเรื่องชาติกำเนิดตามชนชั้นมาเป็นฐานะทางเศรษฐกิจของบุคคล พวกขุนนาง ต้องขายที่ดินให้แก่พวกชนชั้นกลาง ทำให้เกิดการพัฒนาที่ดินให้เป็นเกษตรกรรมเพื่อการค้า โดย เจ้าของที่ดินยกเลิกวิธีการดั้งเดิมมาให้ชาวนาเช่าที่ดินและจ่ายเงินให้กับเจ้าของแทน ทำให้พันธะ ตามระบอบฟิวดัลสิ้นสุดลง ระบอบกษัตริย์สามารถดึงอำนาจกลับคืนมาได้ และสถาปนาอำนาจ การปกครองสูงสุดตามระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้อีกครั้งหนึ่ง ทำให้การปกครองระบบฟิวดัล ซึ่งมีมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11-13 เริ่มเสื่อมลงในคริสต์ศตวรรษที่ 14 และล่มสลายลงใน คริสต์ศตวรรษที่ 16 สงครามครูเสด ในสมัยกลางได้เกิดสงครามศาสนาระหว่างชาว คริสเตียนกับชาวมุสลิมขึ้น ในระหว่าง ค.ศ. 1096-1291 เนื่องจากฝ่ายคริสเตียนต้องการยึดดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของ ศาสนาคริสต์ คือ ปาเลสไตน์ กลับคืนจากฝ่ายมุสลิม ทำให้เกิด สงครามครูเสด (Crusades) สงครามใน ครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อชาวยุโรปและชาวมุสลิม ในหลายด้านด้วยกัน ฝ่ายคริสเตียนถือว่าดินแดนปาเลสไตน์ที่ซึ่งพระ เยซูประสูติและเผยแผ่คำสอนเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ที่ จริ ง ดิ น แดนนี้ ถู ก พวกอาหรั บ ยึ ด ครองตั้ ง แต่ ค ริ ส ต์ - ศตวรรษที่ 7 แล้ว ซึ่งชาวอาหรับส่วนใหญ่ก็นับถือศาสนา อิ ส ลาม แต่ ก็ ย อมให้ พ วกคริ ส เตี ย นและพวกยิ ว อยู่ ใ น ปาเลสไตน์ได้ และสามารถปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างเปิด กองทัพชาวคริสต์ในสงครามครูเสด
  • 5. หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล 49 เผยตราบใดที่ยังจ่ายภาษีและปฏิบัติตามกฎระเบียบการปกครอง ต่อมาในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 11 พวกเซลจุคเติร์ก (Seljuk Turk) ที่นับถือศาสนาอิสลามได้ยึดครองปาเลสไตน์ ได้ประหารชีวิต ผู้แสวงบุญชาวคริสต์ รวมทั้งได้ขยายอำนาจเข้ามาในจักรวรรดิโรมันตะวันออกและรบชนะกองทหาร ของจักรวรรดิแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ในดินแดนอาร์เมเนีย จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ได้ ขอความช่วยเหลือไปยังสันตะปาปาที่จักรวรรดิโรมันตะวันตก สันตะปาปาเออร์บันที่ 2 (Urban II : ค.ศ. 1088-1099) แห่งกรุงโรมได้ประชุมขุนนางและ อัศวินทั้งหลายเรียกร้องให้หยุดต่อสู้กันเอง แล้วหันมา ร่วมมือกันทำสงครามเพื่อแย่งชิงดินแดนศักดิ์สิทธิ์คืน ซึ่ ง คำเรี ย กร้ อ งนี้ ไ ด้ รั บ การตอบรั บ จากชาวคริ ส ต์ ใ น ดินแดนยุโรปตะวันตก ทำให้เกิดสงครามขึ้นและเรียก สงครามนี้ว่า สงครามครูเสด ที่แปลว่าเครื่องหมาย กางเขน สันตะปาปาเออร์บันที่ 2 ได้ประชุมขุนนางในยุโรป ให้ช่วยรบกับมุสลิมเติร์ก ทำให้เกิดสงครามครูเสดขึ้น สงครามครูเสดเกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อ ค.ศ. 1096 เมื่อกองทัพจากเยอรมัน ฝรั่งเศส และ อิตาลี ยกทัพจากกรุงคอนสแตนติโนเปิลไปยังดินแดนปาเลสไตน์ สามารถยึดเยรูซาเล็มและ ดินแดนปาเลสไตน์ได้ ชาวครูเสดจำนวนหนึ่งได้ตั้งรกรากในซีเรียและปาเลสไตน์ และสถาปนา เป็นรัฐของตนที่ขึ้นกับจักรวรรดิไบแซนไทน์ หลังจากนั้นมาอีกเกือบ 50 ปี เซลจุคเติร์กได้รุกราน ดินแดนที่เป็นรัฐของชาวครูเสด สันตะปาปายูจีนัสที่ 4 (Eugenius IV) จึงเรียกร้องให้ชาวคริสต์ ยึดดินแดนคืน จึงเกิดเป็นสงครามครูเสดครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1147-1149) แต่สงครามครั้งนี้ฝ่ายชาว คริสต์ไม่ประสบความสำเร็จและยกทัพไปไม่ถึงกรุงเยรูซาเล็ม ต่อมาใน ค.ศ. 1187 กองทัพอิสลาม สามารถยึดครองเยรูซาเล็มได้ กษัตริย์ในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ฝรั่งเศส และอังกฤษได้นำ ทัพไปยึดดินแดนศักดิ์สิทธิ์กลับคืน จึงเกิดเป็นสงครามครูเสดครั้งที่ 3 แต่ก็ ไม่ประสบความสำเร็จ เช่ น เคย ต่ อ มาก็ ไ ด้ เ กิ ด สงครามครู เ สดครั้ ง ที่ 4 ใน ค.ศ. 1204 โดยพวกครู เ สดได้ โ จมตี กรุงคอนสแตนติโนเปิลที่เป็นคริสเตียนเหมือนตน แทนที่จะยกทัพไปยึดดินแดนปาเลสไตน์ การ โจมตีกรุงคอนสแตนติโนเปิลครั้งนี้ทำให้กรุงคอนสแตนติโนเปิลเสียหายและเกิดความรู้สึกที่เป็น อริระหว่างชาวคริสต์ในนิกายกรีกออร์ธอดอกซ์กับชาวคริสต์ในยุโรปตะวันตก ซึ่งเรียกว่านิกาย โรมันคาทอลิก ทำให้จักรวรรดิคอนสแตนติโนเปิลอ่อนแอลง จนถูกชาวมุสลิมโจมตีได้ ในเวลา ต่อมา
  • 6. 50 หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล สงครามครูเสดยุติลงใน ค.ศ. 1291 โดยเมืองอาเคร (Acre) ที่มั่นสุดท้ายของพวกครูเสด ที่ถูกกองทัพอียิปต์ยึดครอง นับเป็นความล้มเหลวทางทหารของกองทัพยุโรปที่ไม่สามารถยึดครอง กรุงเยรูซาเล็มและดินแดนปาเลสไตน์จากจักรวรรดิมุสลิมได้ สงครามครูเสดทำให้สังคมยุโรปเปลี่ยนไปจากเดิมเป็นอย่างมาก ผลจากความพ่ายแพ้ ใน สงครามเพื่อคริสตจักร ทำให้อิทธิพลของศาสนาคริสต์ที่มีต่อวิถีชีวิตของชาวยุโรปลดลง ชาวยุโรป เริ่มหันมาสนใจชีวิตในโลกปัจจุบัน แสวงหาความสุข ความั่นคง มากกว่าการได้ขึ้นสวรรค์ การได้ เดินทางไกลไปสู้รบกับชนที่นับถือศาสนาอิสลามหลายครั้ง เป็นการเปิดโอกาสให้ชาวยุโรปที่ เดินทางไปครูเสดได้รู้จักกับสิ่งใหม่ๆ ได้รับอารยธรรมที่แตกต่าง ได้รู้จักกับเครื่องเทศ ผ้า และของ อื่นๆ จากตะวันออกและมองเห็นลู่ทางในการทำการค้ากับโลกตะวันออก การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) เกิดในช่วงเวลาระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 14-16 คื อ ปลายสมั ย กลางถึ ง ต้ น สมั ย ใหม่ ถื อ ว่ า เป็ น จุ ด เชื่ อ มต่ อ (transitional period) ของ ประวัติศาสตร์สองยุค การฟื้นฟูศิลปวิทยาการเริ่มขึ้นที่นครรัฐต่างๆ บนคาบสมุทรอิตาลี ซึ่งมีความ มั่งคั่งและร่ำรวยจากการค้าขาย ต่อมาจึงแพร่หลายไปสู่บริเวณอื่นๆ ในยุโรป คำว่า Renaissance แปลว่า เกิดใหม่ (rebirth) หมายถึง การนำเอาศิลปวิทยาการของ กรีกและโรมันมาศึกษาใหม่ ทำให้ศิลปวิทยาการกรีก-โรมันเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง เป็นสมัยที่ ชาวยุ โ รปเกิ ด ความกระตื อ รื อ ร้ น สนใจอารยธรรมกรี ก -โรมั น จึ ง ถื อ ว่ า เป็ น ยุ ค เจริ ญ รุ่ ง เรื อ งที่ ชาวยุโรปมีสิทธิและเสรีภาพ ช่วงเวลานี้จึงถือว่าเป็นขบวนการขั้นสุดท้ายที่จะปลดปล่อยยุโรปจาก สังคมในยุคกลางที่เคยถูกจำกัดโดยกฏเกณฑ์และข้อบังคับของคริสต์ศาสนา สาเหตุและความเป็นมาของการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ สาเหตุและความเป็นมาของการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ มีดังนี้ 1. การขยายตัวทางการค้า ทำให้พ่อค้าชาวยุโรปและบรรดาเจ้าผู้ครองนครในนครรัฐ อิตาลีมีความมั่งคั่งขึ้น เช่น เมืองฟลอเรนซ์ เมืองมิลาน หันมาสนใจศิลปะและวิทยาการความ เจริญในด้านต่างๆ ประกอบกับที่ตั้งของนครรัฐในอิตาลีเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิโรมันตะวันตก มาก่อน ทำให้นักปราชญ์และศิลปินต่างๆ ในอิตาลีจึงให้ความสนใจศิลปะและวิทยาการของโรมัน
  • 7. หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล 51 2. ความเจริ ญ ทางเศรษฐกิ จ และการเกิ ด รั ฐ ชาติ ใ นปลายยุ ค กลาง ทำให้ เ กิ ด การ เปลี่ยนแปลงหลายด้าน ทั้งด้านองค์กรทางการเมือง องค์กรทางเศรษฐกิจซึ่งต้องใช้ความรู้ความ สามารถมาบริหารจัดการ แต่การศึกษาแบบเดิมเน้นปรัชญาทางศาสนาและสังคมในระบบฟิวดัล จึงไม่สามารถตอบสนองความต้องการของสังคมได้ ดังนั้นนักปราชญ์สาขาต่างๆ จึงหันมาศึกษา อารยธรรมกรีกและโรมัน เช่น นักกฎหมายศึกษากฎหมายโรมันโบราณเพื่อนำมาใช้พิพากษาคดี ทางการค้า นักรัฐศาสตร์ศึกษาตำราทางการเมือง เพื่อนำมาใช้ในการทูตและความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศ รวมทั้งนักประวัติศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ ก็ค้นหาความจริงและสนใจ ศึกษาอารยธรรมกรีก-โรมันเช่นกัน เป็นต้น 3. ทัศนคติของชาวยุโรปในช่วงปลายสมัยกลางต่อการดำเนินชีวิตเปลี่ยนแปลงไป จากเดิม จากการที่เคร่งครัดต่อคำสั่งสอนทางคริสต์ศาสนา มุ่งแสวงหาความสุขในโลกหน้า ใฝ่ใจ ที่จะหาทางพ้นจากบาป และปฏิบัติทุกอย่างเพื่อเสริมสร้างกุศลให้แก่ตนเอง ได้เปลี่ยนมาเป็นการ มองโลกในแง่ดี และเบื่อหน่ายกับระเบียบสังคมที่เข้มงวดกวดขันของคริสตจักร รวมทั้งมีอคติต่อ การกระทำมิชอบของพวกพระ จึงหันไปสนใจผลงานสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ของมนุษยชาติ และเห็น ว่ามนุษย์สามารถพัฒนาชีวิตตนเองให้ดีและมีคุณค่าขึ้นได้ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวเป็นที่มาของแนวคิด แบบมนุษยนิยม (humanism) ที่สนใจโลกปัจจุบันมากกว่าหนทางมุ่งหน้าไปสู่สวรรค์ดังเช่นเคย 4. การล่มสลายของจักรวรรดิไบแซนไทน์หรือจักรวรรดิโรมันตะวันออก เพราะถูกพวก มุสลิมเติร์กยึดครองใน ค.ศ. 1453 ทำให้วิทยาการแขนงต่างๆ ที่จักรวรรดิไบแซนไทน์สืบทอดไว้ หลั่งไหลคืนสู่ยุโรปตะวันตก ความเจริญในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ การฟื้ น ฟู ศิ ล ปวิ ท ยาการเป็ น การศึ ก ษาอารยธรรมกรี ก -โรมั น ทั้ ง ด้ า นวรรณกรรม ประวัติศาสตร์ ศิลปกรรม และวิทยาการด้านต่างๆ โดยให้ความสำคัญของมนุษย์กับการดำเนิน- ชีวิตในโลกปัจจุบัน ที่เรียกว่า มนุษยนิยม (Humanism) โดยผู้ที่มีความคิดความเชื่อเช่นนี้เรียก ตนเองว่า นักมนุษยนิยม (humanists) ซึ่งได้พยายามปลดเปลื้องตนเองจากการครอบงำของ คริสตจักรและระบบฟิวดัล ลักษณะที่ให้ความสำคัญของความเจริญในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ คือ ถึ ง แม้ จ ะเป็ น ความสนใจศึ ก ษาความรู้ จ ากอารยธรรมกรี ก -โรมั น แต่ มิ ใ ช่ ก ารลอกเลี ย นแบบ จุดมุ่งหมายสำคัญ คือ การศึกษาความรู้เพื่อประโยชน์ต่อสังคมและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมา ผลงานสำคัญ ได้แก่
  • 8. 52 หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล 1. วรรณคดี ป ระเภทคลาสสิ ก นั ก มนุ ษ ยนิ ย มที่ ก ระตุ้ น จินตนาการของชาวยุโรปให้มาสนใจงานวรรณคดีและปรัชญา ได้รับการ ยกย่ อ งว่ า เป็ น บิ ด าแห่ ง มนุ ษ ยนิ ย ม คื อ ฟรานเซสโก เพทราร์ ก (Francesco Petrarca : ค.ศ. 1304-1374) ชาวอิตาลี ผู้ซึ่งชี้ความ งดงามของภาษาละตินและการใช้ภาษาละตินให้ถูกต้อง ผู้ที่สนใจและ นิ ย มงานเขี ย นวรรณคดี ป ระเภทคลาสสิ ก จะค้ น คว้ า ศึ ก ษางานของ ปราชญ์สมัยโรมันตามห้องสมุดของวัดและโบสถ์วิหารในยุโรป แล้วนำ ฟรานเซสโก เพทราร์ ก มาคัดลอกรวมทั้งนำวรรณคดีและแนวคิดของปรัชญากรีกมาแปลเป็น นักปราชญ์ ชาวอิตาลีที่ได้ รับการยกย่องว่าเป็นบิดา ภาษาละติ น เผยแพร่ทั่วไป นอกจากนี้ยังมีผ ลงานของนิ ค โคโล มา- แห่งลัทธิมนุษยนิยม เคียเวลลี (Niccolo Machiavelli : ค.ศ. 1469-1527) เรื่องเจ้าผู้ครอง นคร (The Prince) กล่าวถึงลักษณะการเป็นผู้ปกครองรัฐที่ดี และ เซอร์ธอมัส มอร์ (Sir Thomas More : ค.ศ. 1478-1536) เขียนเรื่อง ยูโทเปีย (Utopia) กล่าวถึงเมืองในอุดมคติที่ปราศจากความเลวร้าย ซึ่งผลงานของนักมนุษยนิยมเหล่านี้นำไปสู่การต่อต้านการปกครองและ วิธีปฏิบัติของคริสตจักรที่ขัดต่อคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งส่งผลทำให้เกิดการ ปฏิรูปศาสนาขึ้นใน ค.ศ. 1517 ส่วนงานวรรณกรรมที่เป็นบทละคร วิ ล เลี ย ม เช็ ก สเปี ย ร์ ผู้ นักประพันธ์ที่สำคัญ คือ วิลเลียม เช็กสเปียร์ (William Shakespeare ประพั น ธ์ บ ทละครโรมิ โ อ : ค.ศ. 1564-1616) ซึ่งเขียนบทละครที่มีชื่อเสียง คือ โรมิโอและ และจู เ ลี ย ตและเวนิ ส วานิช จูเลียต (Romeo and Juliet) และเวนิสวาณิช (The Marchant of Venice) 2. ศิลปกรรม ในยุคกลางศิลปกรรมเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคริสต์ศาสนาโดยเฉพาะ ทำให้ ไม่สามารถถ่ายทอดจินตนาการอย่างเสรีได้ ผลงานส่วนใหญ่จึงขาดชีวิตชีวา แต่ศิลปกรรมในสมัย ฟื้นฟูศิลปวิทยานิยมงานศิลปะของกรีก-โรมันที่เป็นธรรมชาติ จึงให้ความสนใจความสวยงามใน สรีระของมนุษย์ มิติของภาพ สี และแสงในงานประติมากรรมและจิตรกรรมให้สมจริง สมดุล และกลมกลืนสอดคล้องมากขึ้น ศิลปินที่สำคัญ เช่น - ไมเคิลแอนเจโล บูโอนาร์โรตี (Michelangelo Buonarroti : ค.ศ. 1475-1564) เป็นศิลปินที่มีผลงานทั้งด้านจิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ผลงานประติมากรรมที่ สำคัญและมีชื่อเสียง คือ รูปสลักเดวิด (David) เป็นชายหนุ่มเปลือยกาย และปิเอตา (Pieta)
  • 9. หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล 53 เป็นรูปสลักพระมารดากำลังประคองพระเยซูในอ้อมพระกร ส่วน ผลงานจิตรกรรมที่มีชื่อเสียง คือ จิตรกรรมฝาผนังที่เขียนไว้บน เพดานและฝาผนังของโบสถ์ซีสติน (Sistine Chapel) ในมหาวิ หารเซนต์ปีเตอร์ ที่กรุงโรม ที่มีลักษณะงดงามมาก รูปสลักเดวิดประติมากรรมที่มีชื่อเสียงของ ไมเคิลแอนเจโล บูโอนาร์โรตี - เลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci : ค.ศ. 1452-1519) เป็นศิลปินที่มี ผลงานเป็นเลิศในสาขาต่างๆ ภาพเขียนที่มีชื่อเสียง คือ ภาพอาหารมื้อสุดท้าย (The Last Supper) ซึ่งเป็น ภาพพระเยซูกับสาวกนั่งที่โต๊ะอาหารก่อนที่พระเยซูจะถูกนำไปตรึงไม้กางเขน และภาพโมนาลิซ่า (Monalisa) เป็นภาพหญิงสาวที่มีรอยยิ้มปริศนากับบรรยากาศของธรรมชาติ - ราฟาเอล (Raphael : ค.ศ. 1483-1520) เป็นจิตรกรที่วาดภาพเหมือนจริง ภาพที่มี ชื่อเสียง คือ ภาพพระมารดาและพระบุตร พร้อมด้วยนักบุญจอห์น (Madonna and Child with St. John) ภาพวาด โมนาลิซ่า งานจิตรกรรมที่มีชื่อเสียง ภาพวาด พระมารดาและพระบุตร พร้อมนักบุญ ของเลโอนาร์โด ดา วินชี จอห์น งานจิตรกรรมที่มีชื่อเสียงของราฟาแอล 3. ด้านวิทยาการความเจริญอื่นๆ ได้แก่ - ด้ า นดาราศาสตร์ เป็ น สาขาวิ ช าที่ ช าวยุ โ รปสนใจกั น มากในช่ ว งเวลานี้ นั ก ดาราศาสตร์ที่สำคัญ คือ คอเปอร์นิคัส (ค.ศ. 1473-1543) ได้เสนอทฤษฎีที่ขัดแย้งกับคำสอนของ คริสต์ศาสนา โดยระบุว่าโลกไม่ได้แบนและไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล แต่เป็นบริวารที่โคจร รอบดวงอาทิตย์
  • 10. 54 หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล - ด้านการพิมพ์ ในช่วงสมัยนี้ ได้มีการคิดค้นการพิมพ์ที่ ใช้วิธีการเรียงตัวอักษรได้ สำเร็จเป็นครั้งแรก โดยโยฮัน กูเตนเบิร์ก ( Johannes Gutenburg : ค.ศ. 1400-1468) ชาว เมืองไมนซ์ (Mainz) ในเยอรมนี ทำให้ราคาหนังสือถูกลงและเผยแพร่ไปได้อย่างกว้างขวาง ผลของการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ศิลปกรรมและวิทยาการต่างๆ ได้เจริญก้าวหน้ามากขึ้นส่งผล ให้คนยุโรปมีลักษณะ ดังนี้ 1. ความสนใจในโลกปัจจุบัน ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ชาวยุโรปยังคงนับถือศรัทธาใน พระเจ้า แต่จากการได้รับอิทธิพลจากแนวคิดแบบมนุษยนิยม ทำให้ชาวยุโรปมีแนวคิดในการ ดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันให้ดีและสร้างสิ่งต่างๆ เพื่อความสุขและความมั่นคงให้แก่ตน ทั้งหมดนี้ สะท้อนในงานศิลปกรรมต่างๆ ที่สร้างขึ้นเพื่อนสนองความพึงพอใจของตนเอง เช่น สร้างบ้าน เรือนอย่างวิจิตรสวยงาม การมีรูปปั้นประดับอาคารบ้านเรือน การวาดภาพเหมือนของมนุษย์ เป็นต้น 2. ความต้องการแสวงหาความรู้ การที่มนุษย์ต้องการหาความรู้และความสะดวกสบาย ให้แก่ชีวิต ทำให้ต้องมีการคิดสร้างสรรค์ผลงานและวิทยาการต่างๆ ดังนั้นมนุษย์ในสมัยฟื้นฟู ศิลปวิทยาการ จึงมีการส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษา การคิคค้น การทดลอง การพิพากษ์ วิจารณ์อย่างมีเหตุผล เป็นผลให้วิทยาการด้านต่างๆ พัฒนามากขึ้น สภาพสังคมของมนุษย์ในสมัย นี้คือการตื่นตัวในการค้นหาความจริงของโลก ทำให้มนุษย์ต้องการแสวงหาความรู้และสำรวจดิน แดนต่างๆ อันนำไปสู่การปฏิรูปศาสนา การสำรวจทางทะเล และการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ใน เวลาต่อมา การสำรวจทางทะล การสำรวจทางทะเลของยุโรปเริ่มต้นเมื่อ ค.ศ. 1450-1750 ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้ เคียงกับยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการของยุโรป และต่างก็มีบทบาทสำคัญต่อประวัติศาสตร์ยุโรปในยุค ใหม่ กล่าวได้ว่า การฟื้นฟูศิลปวิทยาการเป็นพื้นฐานสำคัญทำให้เกิดการสำรวจทางทะเล ซึ่งเป็น ผลให้ยุโรปเผยแพร่วัฒนธรรมของตนไปสู่ภูมิภาคอื่นๆ ของโลกได้ในเวลาต่อมา
  • 11. หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล 55 สาเหตุของการสำรวจทางทะเล สาเหตุของการสำรวจทางทะเล มีดังนี้ 1. การมีวิทยาการที่ก้าวหน้า ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ชาวยุโรปได้เริ่มหันมาสนใจ ศึกษาสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว และผลจากการติดต่อกับโลกตะวันออกในสมัยสงครามครูเสด รวมทั้ง การขยายตัวของเมืองในระยะเวลาใกล้เคียงกัน ทำให้ชาวยุโรปได้สัมผัสกับอารยธรรมความเจริญ ของโลกตะวันออกหลายอย่าง โดยเฉพาะทางด้านปรัชญา คณิตศาสตร์ และดาราศาสตร์ ทำให้ ปัญญาชนเริ่มตรวจสอบความรู้ของตนและค้นหาคำตอบให้กับตนเองเกี่ยวกับธรรมชาติรอบตัว ซึ่งผลักดันให้ชาวยุโรปหันมาสนใจต่อความลี้ลับของท้องทะเลที่กั้นระหว่างโลกตะวันออกกับโลก ตะวันตก โดยเฉพาะความรู้ทางภูมิศาสตร์และแผนที่ของโตเลมี (Ptolemy) นักดาราศาสตร์และ นักคณิตศาสตร์ชาวกรีก ที่แสดงที่ตั้งของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ดินแดนริมฝั่งทะเลคาบสมุทร ไอบีเรีย จนถึงดินแดนฝั่งทะเลตอนเหนือของทวีปแอฟริกา รวมทั้งดินแดนทางด้านตะวันออกที่ เป็นผืนแผ่นดินใหญ่ถึงอินเดียและจีน นอกจากนี้ความรู้ ในการใช้เข็มทิศและการพัฒนารูปทรง และขนาดของเรือให้แข็งแรงทนทานต่อสภาพลมฟ้าอากาศ สามารถที่จะเดินทางไกลได้ดีขึ้น ทำให้ชาติตะวันตกหลั่งไหลสู่โลกตะวันออกอย่างกว้างขวาง แผนที่โลกของปโตเลมี มีส่วนสำคัญให้ชาวยุโรปออกสำรวจทางทะเล 2. แรงผลักดันทางด้านการค้า เมื่อพวกมุสลิมสามารถยึดครองกรุงคอนสแตนติโนเปิล และดินแดนจักรวรรดิไบแซนไทน์ได้ทั้งหมดใน ค.ศ. 1453 ทำให้การค้าทางบกระหว่างโลก ตะวันออกกับโลกตะวันตกหยุดชะงัก แต่สินค้าต่างๆ จากตะวันออก เช่น ผ้าไหม เครื่องเทศ
  • 12. 56 หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล ยาต่างๆ ยังเป็นที่ต้องการของตลาดตะวันตก ซึ่งหนทางเดียวที่พ่อค้าจะติดต่อค้าขายได้ก็คือ การติดต่อค้าขายทางทะเล ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสำรวจเส้นทางทางทะเล เพื่อหาเส้นทางติดต่อกับ ดินแดนต่างๆ ทางตะวันออก 3. แรงผลักดันทางด้านศาสนา เนื่องจากความคิดของผู้นำชาติต่างๆ ในขณะนั้นเห็น ว่าการเผยแผ่คริสต์ศาสนาเป็นกุศลอย่างมาก รวมทั้งต้องการแข่งขันกับชาวมุสลิมที่เข้ามาขยาย อิทธิพลอยู่ ในขณะนั้น จึงสนับสนุนให้มีการค้นหาดินแดนใหม่ๆ และเผยแผ่คริสต์ศาสนาไป พร้อมกันด้วย 4. อิทธิพลของแนวคิดในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ แนวความคิดในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา การ ทำให้ชาวยุโรปมุ่งหวังที่จะสร้างชื่อเสียงเกียรติยศและความต้องการที่จะเสี่ยงโชคเพื่อชีวิต ที่ดีกว่า ผลักดันให้ชาวยุโรปเกิดความกล้าหาญที่จะเผชิญกับสิ่งต่างๆ รวมทั้งความกระตือรือร้น ที่จะแสวงหาความรู้ใหม่ๆ และรักการผจญภัย เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชาวยุโรปกล้าเสี่ยงภัยเดิน ทางสำรวจมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาล บทบาทของชาติต่างๆ ในการสำรวจทางทะเล โปรตุเกส ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 เจ้าชายเฮนรี นาวิกราช (Henry the Navigator) พระอนุชาของพระเจ้าจอห์นที่ 1 (John I) แห่งโปรตุเกส ได้จัดตั้งโรงเรียนราชนาวีเพื่อเป็น ศู น ย์ ก ลางการเรี ย นรู้ เ กี่ ย วกั บ การเดิ น ทางทะเล การใช้ เครื่ อ งมื อ และเทคนิ ค การสร้ า งเรื อ ซึ่ ง ส่ ง ผลให้ ช าว โปรตุ เ กสสามารถค้ น พบเส้ น ทางเดิ น เรื อ สู่ ดิ น แดนทาง ตะวันออก ได้แก่ - บาร์ โ ธโลมิ ว ไดแอส (Bartholomeu Dias) สามารถเดิ น เรื อ เลี ย บชายฝั่ ง ทวี ป แอฟริ ก าผ่ า นแหลม กู๊ดโฮป (Cape of Good Hope) ได้สำเร็จใน ค.ศ. 1488 บาร์โธโลมิว ไดแอส
  • 13. หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล 57 - วัสโก ดา กามา (Vasco da Gama) แล่นเรือตาม เส้นทางสำรวจของไดแอสจนถึงทวีปเอเชีย และสามารถขึ้นฝั่ง ที่เมืองกาลิกัต (Calicut) ของอินเดียได้เมื่อ ค.ศ. 1498 ต่อมา ชาวโปรตุเกสสามารถควบคุมเมืองต่างๆ ทางชายฝั่งตะวันออก ของทวีปแอฟริกาและอินเดียทางชายฝั่งตะวันตก สามารถยึด เมืองกัว (Goa) ในมหาสมุทรอินเดียได้ วัสโก ดา กามา สเปน ค.ศ. 1492 คริ ส โตเฟอร์ โคลั ม บั ส (Christopher Columbus) ชาวเมื อ งเจนั ว (ประเทศอิตาลี) ซึ่งมีความเชื่อว่าโลกกลม ได้รับ การสนั บ สนุ น จากกษั ต ริ ย์ ส เปนให้ เ ดิ น ทางข้ า ม มหาสมุทรแอตแลนติก เพื่อสำรวจเส้นทางเดินเรือ ไปประเทศจีน แต่เขาได้พบหมู่เกาะเวสต์อินดีสซึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของทวีปอเมริกาใต้โดยบังเอิญใน ค.ศ. 1492 ซึ่งทำให้สเปนได้ครอบครองดินแดนส่วนใหญ่ ในอเมริกาใต้ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่เงินและทองคำ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ในเวลาต่อมา คริสต์ศตวรรษที่ 15 เป็นช่วงการแข่งขันอำนาจทางทะเลระหว่างโปรตุเกสและสเปนเพื่อ หาเส้นทางไปหมู่เกาะอีสต์อินดีส (East Indies) ซึ่งเป็นแหล่งเครื่องเทศและพริกไทย ใน ค.ศ. 1494 สันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 6 (Alexander VI) ได้ ให้สเปนและโปรตุเกสทำสนธิสัญญา ทอร์เดซียัส (Treaty of Tordesillas) กำหนดเส้นสมมติแบ่งโลกออกเป็น 2 ส่วน โดยสเปนมีสิทธิ สำรวจและยึดครองดินแดนทางด้านตะวันตกของเส้นเมริเดียนที่ 51 ส่วนโปรตุเกสได้สิทธิทาง ด้านตะวันออกและนำไปสู่การสร้างจักรวรรดิทางทะเลของโปรตุเกสในเอเชีย ในคริตส์ศตวรรษที่ 16 โปรตุเกสได้ขยายอำนาจมาจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเข้า ยึดครองมะละกา ทำให้บริเวณคาบสมุทรมลายูและหมู่เกาะอินโดนีเซียตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ โปรตุเกส ค.ศ. 1519 เฟอร์ดินันด์ แมกเจลลัน (Ferdinand Magellan) นักเดินเรือชาวโปรตุเกส โดยความสนับสนุนจากกษัตริย์สเปน ได้เดินทางไปทางทิศตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติก
  • 14. 58 หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล ผ่านช่องแคบที่ภายหลังตั้งชื่อว่าแมกเจลลันทางตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้ ข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก มายังทวีปเอเชีย เขาถูกชาวพื้นเมืองฆ่าตายเมื่อพยายามเผยแผ่คริสต์ศาสนาที่เกาะฟิลิปปินส์ แต่ ลูกเรือของเขาสามารถเดินทางกลับสเปนทางมหาสมุทรอินเดียได้สำเร็จใน ค.ศ. 1522 นับเป็นเรือ ลำแรกที่แล่นรอบโลกได้สำเร็จ ในยุคนี้โปรตุเกสและสเปนกลายเป็นชาติที่มีอำนาจ มีความมั่งคั่ง ทำให้หลายชาติทำการ สำรวจเส้นทางเดินเรือ การแข่งขันอำนาจทางทะเลระหว่างโปรตุเกสกับสเปนยุติลงเมื่อโปรตุเกส ตกอยู่ภายใต้การปกครองของสเปนในช่วง ค.ศ. 1580-1640 ฮอลันดา เดิมฮอลันดาเคยอยู่ใต้การปกครองของสเปน และทำหน้าที่เป็นพ่อค้าคนกลางในการค้า เครื่องเทศ จนกระทั่ง ค.ศ. 1581 ได้แยกตัวเป็นอิสระจากสเปน ทำให้สเปนประกาศปิดท่าเรือ ลิสบอนส่งผลให้ฮอลันดาไม่สามารถซื้อเครื่องเทศได้อีก ฮอลันดาจึงต้องหาเส้นทางทางทะเลเพื่อ ซื้อเครื่องเทศโดยตรง ในที่สุดกองทัพเรือของฮอลันดาก็สามารถยึดครองอำนาจทางทะเลใน ค.ศ. 1598 และได้จัดตั้งสถานีการค้าในเกาะชวา และจัดตั้งบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา เพื่อ ควบคุมการค้าเครื่องเทศ ใน ค.ศ. 1605 เรือดุฟเกน (Duyfken) ของฮอลันดา ที่เป็นเรือค้นหาเกาะทองคำที่เชื่อว่า อยู่ทางทิศใต้และทิศตะวันออกของเกาะชวา ได้ค้นพบทวีปออสเตรเลียเป็นครั้งแรก และเรียก ทวีปนี้ว่า นิวฮอลแลนด์ (New Holland) แต่ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 อังกฤษได้ครอบครองและ เรียกทวีปนี้ว่า ออสเตรเลีย ซึ่งมาจาก Australis ในภาษากรีก แปลว่า ดินแดนทางซีกโลกใต้ อังกฤษ ใน ค.ศ. 1588 กองทัพเรือของอังกฤษทำสงครามชนะกองทัพเรืออาร์มาดา (Armada) ของสเปนที่มีชื่อเสียงได้ ทำให้อังกฤษขยายอิทธิพลสู่ดินแดนตะวันออก สามารถสลายอำนาจทาง ทะเลของโปรตุเกสและเข้าไปมีอำนาจและอิทธิพลในอินเดีย และเป็นคู่แข่งทางการค้ากับฮอลันดา ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีเพียงอังกฤษ ฮอลันดา และฝรั่งเศส แข่งขันกันมีอำนาจทางทะเลและ แสวงหาอาณานิคม ทั้งนี้ ได้มีการทำสงครามกันหลายครั้ง ในที่สุดฮอลันดายังคงมีอำนาจแถบ มะละกาและควบคุมการค้าเครื่องเทศในหมู่เกาะเครื่องเทศต่อไป จนถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 อังกฤษกลับเป็นประเทศที่มีแสนยานุภาพกลางทะเลเหนือกว่าทุกชาติ โดยได้อาณานิคมในอินเดีย อเมริกาเหนือ และทวีปออสเตรเลียทั้งทวีป
  • 15. หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล 59 ผลการสำรวจทางทะเล ผลการสำรวจทางทะเล มีดังนี้ 1. อารยธรรมยุโรปเผยแพร่ ไปสู่ดินแดนอื่นๆ ที่ชาวยุโรปเดินทางไปถึง โดยชาวยุโรป ได้สร้างเมืองและความเจริญต่างๆ เพื่อให้ตนสามารถดำเนินชีวิตได้ตามแบบที่คุ้นเคย จึงเกิดการ แพร่กระจายวัฒนธรรมตามแบบตะวันตก เช่น ภาษา การแต่งกาย อาหาร ระบบการปกครอง ศิลปกรรม เช่น การก่อสร้างถนน สะพาน สถานที่ราชการ โบสถ์ วิหาร เป็นต้น 2. ยุโรปได้รับอารยธรรมจากดินแดนอื่นๆ เช่น วิทยาการของชาวตะวันออก เช่น การ เดินเรือ ศิลปะจีนที่เน้นความงดงามของธรรมชาติ อารยธรรมของอิสลาม เช่น คณิตศาสตร์ การ ดื่มชาแบบจีน กาแฟจากตุรกี ยาสูบจากหมู่เกาะเวสต์อินดีส น้ำตาลจากบราซิล และมันฝรั่งจาก อเมริกาใต้ ได้มีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของชาวยุโรป 3. เกิดการแพร่กระจายของพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ ชาวยุโรปได้นำพันธุ์พืชจากถิ่นกำเนิด ไปยังภูมิภาคอื่นๆ เช่น นำกาแฟจากดินแดนตะวันออกกลางมาปลูกที่เกาะชวา ต่อมาได้แพร่ขยาย ไปปลูกยังอเมริกาใต้ ต้นยางพาราจากบราซิลมาปลูกที่อินโดนีเซีย มาเลเซีย ต่อมาได้ขยายมาปลูก ทางภาคใต้ของไทย มันฝรั่งและข้าวโพดจากทวีปอเมริกามาปลูกในยุโรป ปลูกข้าวโอ๊ตและ ข้าวโพดในทวีปแอฟริกา หัวผักกาดหวานจากทวีปอเมริกามาปลูกที่จีน และนำสัตว์ต่างๆ ไปยัง ทวีปอื่น เช่น แกะ ไปแพร่พันธุ์ที่ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ และนำลา ล่อ วัว แพะ มาเลี้ยงใน อเมริกา เป็นต้น 4. เกิดการระบาดของโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งมาพร้อมๆ กับเรือของชาวยุโรป โรคระบาดที่ สำคัญ เช่น โรคหัดและฝีดาษในอเมริกาเหนือ ไข้เหลืองและไข้มาลาเรียที่มีมากในแอฟริกามา ระบาดในอเมริกากลางและใต้ เป็นต้น 5. ศาสนาคริสต์ ได้แผ่ขยายไปในดินแดนต่างๆ ที่ชาวยุโรปเข้าไปติดต่อค้าขาย หรือ ดินแดนที่ยุโรปได้เข้ายึดครองจัดตั้งเป็นอาณานิคม ในบางแห่งใช้แบบสันติวิธี โดยบาทหลวงจะทำ หน้ า ที่ สั่ ง สอนให้ ก ารศึ ก ษากั บ ชาวพื้ น เมื อ งและช่ ว ย เหลือด้านมนุษยธรรม ในบางแห่งใช้วิธีการรุนแรงบีบ บั ง คั บ คนพื้ น เมื อ งในบริ เ วณอเมริ ก ากลางและ อเมริ ก าใต้ ให้ ม าเข้ า รี ต นั บ ถื อ คริ ส ต์ ศ าสนา ทำให้ ศาสนาคริสต์เจริญอย่างมั่นคงในดินแดนทวีปอเมริกา และดินแดนต่างๆ การใช้วิธีการรุนแรงบีบบังคับคนพื้นเมืองให้ มาเข้ารีตนับถือคริสต์ศาสนา
  • 16. 60 หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล 6. การเปลี่ ย นแปลงระบบเศรษฐกิ จ ของยุ โ รป การขยายตั ว ทางการค้ า ทำให้ สมาคมอาชีพ (guild) ที่มีมาตั้งแต่สมัยกลางล่มสลายลง การค้นพบดินแดนใหม่ส่งผลให้การค้า ขยายตัวอย่างรวดเร็ว นำไปสู่การปฏิวัติทางการค้า ประเทศต่างๆ ในตะวันตกต่างใช้นโยบาย แข่งขันทางเศรษฐกิจเป็นหลัก บรรดาพ่อค้าและนายทุนรวมตัวกันจัดตั้งบริษัทโดยมีกษัตริย์ให้ การสนับสนุนทำการค้าในนามของประเทศ เช่น บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ บริษัท อินเดียตะวันออกของฮอลันดา เป็นต้น ซึ่งทำให้บรรดาพ่อค้าและนายทุนมีฐานะมั่นคงและกลาย เป็นบุคคลชั้นนำทางการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมในเวลาต่อมา การปฏิรูปศาสนา การปฏิรูปศาสนา (Religious Reformation) เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 16 มีสาเหตุ สำคัญมาจากความเสื่อมความนิยมในผู้นำทางศาสนาและการเกิดแนวคิดใหม่เกี่ยวกับศาสนา เนื่องจากมีการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและแปลออกเป็น ภาษาต่างๆ เช่น ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ทำให้คริสต์ศาสนิกชนมีความรู้ความเข้าใจใหม่ การปฏิรูปศาสนาจึงเกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศ โดยมีผู้นำการปฏิรูปหลายคนและใช้ชื่อแตกต่างกัน การปฏิรูปคริสต์ศาสนา หมายถึง ขบวนการในยุโรปตะวันตกที่ปัจเจกชนและสถาบันต่างๆ แสดงความเห็นคัดค้านการปฏิบัติที่ ไม่ถูกต้องตามหลักในคัมภีร์ไบเบิล การปฏิรูปเป็นไปอย่าง ต่ อ เนื่ อ ง จนในที่ สุ ด คริ ส ต์ ศ าสนาในยุ โ รปได้ แ ตกแยกเป็ น 2 นิ ก าย คื อ โรมั น คาทอลิ ก และ โปรเตสแตนต์ สาเหตุการปฏิรูปศาสนา สาเหตุการปฏิรูปศาสนา มีดังนี้ 1. ประชาชนไม่พอใจสันตะปาปาที่กรุงโรม พระและบาทหลวงที่มีความเป็นอยู่อย่าง ฟุ่มเฟือย หรูหรา ทั้งยังเรียกเก็บภาษีบำรุงศาสนาสูงขึ้น เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายในคริสตจักรใน กรุ ง โรม รวมทั้ ง การซื้ อ ขายตำแหน่ ง ของพวกบาทหลวงและความเสื่ อ มเสี ย ในจริ ย วั ต รของ สันตะปาปาที่ครองอำนาจในคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 2. เจ้าผู้ครองแคว้นต่างๆ ในยุโรปต้องการเป็นอิสระจากคริสตจักรที่มีสันตะปาปาเป็น ผู้ปกครอง และจากจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากสันตะปาปาเข้าไปยุ่งเกี่ยว และใช้อำนาจทางการเมือง 3. การศึกษาในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ทำให้ชาวยุโรปเห็นว่ามนุษย์สามารถทำความ เข้าใจคัมภีร์ไบเบิลได้ด้วยตนเองมากกว่าที่จะผ่านพิธีกรรมของศาสนจักร
  • 17. หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล 61 4. สันตะปาปาจูเลียสที่ 2 (Julius II) และสันตะปาปาลีโอที่ 1 ต้องการหาเงินในการ ก่อสร้างมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ที่กรุงโรม จึงส่งคณะสมณทูตมาขาย “ใบไถ่บาป” ในดินแดน เยอรมนี เนื่องจากเป็นแนวคิดของชาวคริสต์ว่า พระเป็นเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มาช่วยมนุษย์ให้พ้น จากบาป เรียกว่า การไถ่บาป (redemption) ด้วยการเสียสละพระชนม์ชีพ การไถ่บาปจะเป็นการ เปิดทางให้มนุษย์ได้รับการอภัยโทษ และกลับมามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ได้ อย่างถูกต้อง การเริ่มต้นปฏิรูปศาสนา การปฏิ รู ป ศาสนาเริ่ ม ต้ น ในดิ น แดนเยอรมนี ใ น ค.ศ. 1517 เมื่อมาร์ติน ลูเธอร์ (Martin Luther : ค.ศ. 1483-1546) นักบวชชาวเยอรมันและเป็นผู้สอนเทววิทยาสายคัมภีร์ (Biblical Theology) แห่ ง มหาวิ ท ยาลั ย วิ ท เทนบู ร์ ก (Wittenburg) ใน เยอรมนี ได้เขียนญัตติ 95 ข้อ (Ninety-Five Theses) คัดค้าน การขายใบไถ่บาปติดไว้หน้ามหาวิหารแห่งเมืองวิทเทนบูร์ก ญัตติ ของเขาได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางในเยอรมนี แต่ผู้นำ ของคริสตจักรได้ลงโทษเขา โดยประกาศให้เขาเป็นบุคคลนอก ศาสนา (การบัพพาชนียกรรม : excommunication) แต่เจ้าชาย เฟรเดอริก (Friederick the Wise) ผู้ครองแคว้นแซกโซนีได้ให้ ความอุ ป ถั ม ภ์ เ ขาไว้ และให้ เ ขาแปลคั ม ภี ร์ ไ บเบิ ล เป็ น ภาษา มาร์ติน ลูเธอร์ เยอรมัน ทำให้ความรู้ด้านศาสนาแพร่หลายไปทั่ว นอกจากนี้เขา ได้ก่อตั้งนิกายลูเธอร์ (Lutheranism) ซึ่งได้แพร่ขยายไปทั่วเยอรมนีและสแกนดิเนเวีย ในสวิตเซอร์แลนด์ได้เกิดการปฏิรูปศาสนาเช่นกัน โดยเริ่มจากอุลริค ชวิงลี (Ulrich Zwingli : ค.ศ. 1484-1531) ชาวเยอรมัน ไฮริช บูลลิงเจอร์ (Heinrich Bullinger) และจอห์น คาลวิน หรือกัลแวง (John Calvin : ค.ศ. 1509-1564) ชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งลัทธิคาลวินส์ (นิกายกัลแวง : Calvinism) ที่แพร่หลายในสวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และสกอตแลนด์ ในอังกฤษ พระเจ้าเฮนรีที่ 8 ทรงขัดแย้งกับสันตะปาปา เรื่องการหย่าขาดกับพระมเหสี องค์เดิมของพระองค์ คือ พระนางแคเธอรีนแห่งอารากอน (Catherine of Aragon) เพื่ออภิเษก สมรสใหม่ พระองค์จึงให้อังกฤษแยกตัวทางศาสนาออกจากศาสนจักรที่กรุงโรม โดยแต่งตั้ง สังฆราชแห่งแคนเทอร์บิวรี (Archbishop of Canterbury) ขึ้นใหม่ ต่อมาใน ค.ศ. 1563 กษัตริย์ อังกฤษ (สมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบทที่ 1) ทรงประกาศตั้งนิกายอังกฤษหรือนิกายแองกลิคัน (Anglican Church) โดยกษัตริย์อังกฤษเป็นประมุขของศาสนา นิกายนี้มีลักษณะเด่นคือ การ ยอมรับและรักษาพิธีกรรมต่างๆ ของนิกายโรมันคาทอลิก แต่ไม่ยอมรับนับถือสันตะปาปาที่กรุงโรม
  • 18. 62 หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล ในฝรั่ ง เศส ลั ท ธิ ค าลวิ น ได้ แ พร่ ห ลายในฝรั่ ง เศสในกลุ่ ม ที่ เ รี ย กว่ า พวกอู เ กอโนต์ (Huguenot) ซึ่งถูกรัฐบาลปราบปรามอย่างหนักในคริสต์ศตวรรษที่ 16 การปฏิรูปได้แพร่ขยายจากเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษ ฮอลแลนด์ และกลุ่มสแกน- ดิเนเวีย ไปยังประเทศอื่นๆ ในยุโรป และมีการต่อต้านทุกแห่ง การต่อต้านอย่างรุนแรงเกิดขึ้นใน ฝรั่งเศสและสเปน จนกลายเป็นสงครามศาสนา นิ ก ายทางศาสนาที่ เ กิ ด ขึ้ น ใหม่ ใ นคริ ส ต์ ศ ตวรรษที่ 16 นี้ คื อ นิ ก ายโปรเตสแตนต์ (Protestantism) ซึ่งหมายถึงผู้คัดค้าน ซึ่งต่อมาได้แยกเป็นนิกายต่างๆ มากมาย เช่น นิกาย ลูเธอร์แรน นิกายรีฟอร์ม นิกายเพรสไบทีเรียน นิกายแองกลิคัน เป็นต้น การปฏิรูปศาสนาของคริสตจักร เมื่อมีการปฏิรูปศาสนาในดินแดนต่างๆ นักบวชและชาวคริสต์บางคนได้รวมตัวกันต่อต้าน และปฏิรูปตนเอง รวมทั้งชักชวนให้คริสต์ศาสนิกชนอื่นๆ ทำตาม บางท่านมีผู้เลื่อมใสและยกย่อง ให้เป็นนักบุญ เช่น บริจิตต์แห่งสวีเดน (Brigitt of Sweden) ฟรังซีสแห่งปาโอลา (Francis of Paola) ในอิตาลี และพวกปัญญาชนพยายามศึกษาเรื่องศาสนาและเผยแพร่สู่ประชาชน ซึ่งการ ปฏิรูปดังกล่าวเป็นการปฏิรูปจากคริสต์์ศาสนิกชนเบื้องล่าง แต่เมื่อการปฏิรูปศาสนาลุกลามไป อย่างรวดเร็ว คริสตจักรจึงได้หาทางยับยั้ง ดังนี้ 1. การประชุมสังคายนาแห่งเทรนต์ (Council of Trent) ในระหว่าง ค.ศ. 1545-1547 และ ค.ศ. 1562-1563 เพื่อกำหนดระเบียบวินัยภายในคริสตจักร ยกเลิกการขายใบไถ่บาป และ ให้ใช้ภาษาพื้นเมืองในการสอนศาสนา การประชุมสังคายนาแห่งเทรนต์ ค.ศ. 1545-1547
  • 19. หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล 63 2. การปรับปรุงระเบียบวินัยของนักบวชและตั้งคณะนักบวชเพื่อการปฏิรูป เช่น คณะเยซูอิต ตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1534 เพื่อจัดตั้งโรงเรียนสอนศาสนาและเผยแผ่ศาสนาไปยังประเทศ ต่างๆ การปฏิรูปศาสนาของคริสตจักรทำให้เกิดมิชชันนารีจำนวนมาก เพื่อเผยแผ่คำสอนของ โรมันคาทอลิกไปทั่วโลก ผลของการปฏิรูปการศาสนา ผลของการปฏิรูปการศาสนา มีดังนี้ 1. คริสตศาสนาแบ่งออกเป็น 2 นิกาย คือ โรมันคาทอลิก มีศูนย์กลางที่กรุงโรม มี สันตะปาปาเป็นประมุข และนิกายโปรเตสแตนต์ ซึ่งแยกเป็นนิกายต่างๆ ได้แก่ นิกายลูเธอร์แรน นิกายคาลวิน นิกายแองกลิคัน เป็นต้น (ส่วนนิกายออร์ทอดอกซ์ แยกตัวไม่ขึ้นกับสันตะปาปา ใน ค.ศ. 1045 โดยมีสังฆราช ที่เรียกว่า patriarch เป็นประมุข ซึ่งแพร่หลายในกรีซ รัสเซีย เซอร์เบีย โรมาเนีย บัลแกเรีย) ทำให้ความเป็นเอกภาพทางศาสนาสิ้นสุดลง 2. เกิดการกระตุ้นให้ศึกษาหลักธรรมทางคริสต์ศาสนามากยิ่งขึ้นในหมู่สามัญชน มีการ เผยแผ่คริสต์ศาสนาไปยังดินแดนต่างๆ 3. เกิดกระแสชาตินิยมในประเทศต่างๆ เนื่องจากนิกายโปรเตสแตนต์ส่งเสริมวัฒนธรรม ท้องถิ่น และส่งเสริมให้อำนาจแก่ผู้ปกครองในท้องถิ่นเป็นตัวแทนของพระเจ้าในการปกครอง ประเทศ 4. เกิดสงครามศาสนาในยุโรปหลายครั้ง ส่งผลให้สถาบันกษัตริย์มีอำนาจเหนือคริสตจักร ในที่สุด การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ การฟื้นฟูศิลปวิทยาการในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14-16 ถือว่าเป็นการเริ่มต้นของการปฏิวัติ ทางวิทยาศาสตร์ เนื่องจากเป็นผลมาจากความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ การแสวงหาความรู้ ใหม่ด้วย การสังเกต ทดลอง และการใช้เหตุผล ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ศิลปินที่สำคัญต่างๆ ต่างใช้หลัก วิชากายวิภาคศาสตร์ เช่น กล้ามเนื้อและโครงสร้างของมนุษย์มาสร้างสรรค์งานศิลปกรรม ทั้ง งานจิตรกรรมและประติมากรรมที่เน้นสัดส่วนและความงดงามของสรีระของมนุษย์อย่างแท้จริง ความสนใจในเรื่องการเดินเรือทำให้มนุษย์ในยุโรปสมัยกลางคิดประดิษฐ์เครื่องมือสำหรับการ เดินทาง เช่น เลนส์สำหรับกล้องส่องทางไกลและกล้องดูดาว พัฒนาเทคนิคการต่อเรือ เป็นต้น จากยุคโบราณถึงยุคกลาง การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และปรัชญาเป็นวิชาแขนงเดียวกัน นอกจากนี้คริสต์ศาสนายังมีอิทธิพลครอบงำความรู้ด้านต่างๆ ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 จึงมีการแยก
  • 20. 64 หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล วิชาปรัชญาออกจากวิทยาศาสตร์ ซึ่งในระยะแรกเป็นการศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติ ส่วนปรัชญา เป็นเรื่องการศึกษาความคิด วิธีการศึกษาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ก็เปลี่ยนไปจากเดิมมาก ซึ่ง แต่เดิมเป็นความเชื่อตามศาสนาและเชื่อตามนักปราชญ์โบราณ ในยุคนี้ปัญญาชนได้ใช้วิธีสังเกต คิดประดิษฐ์อุปกรณ์มาช่วยในการสังเกต และใช้การทดลองอย่างมีเหตุผล ทำให้วิทยาศาสตร์ ก้าวหน้ามากขึ้น ช่วยให้การศึกษาคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ มีความลึกซึ้งมากกว่าเดิม นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดความรู้ด้านอื่นๆ พัฒนาขึ้นด้วย นักวิทยาศาสตร์และผลงาน นักวิทยาศาสตร์และผลงานในช่วงนี้ ได้แก่ 1. นิโคลัส โคเปอร์นิคัส (Nicolus Copernicus : ค.ศ. 1473-1543) ชาวโปแลนด์ เสนอทฤษฎีว่าดวงอาทิตย์เป็น ศูนย์กลางของจักรวาล โดยมีดาวเคราะห์รวมทั้งโลกหมุนรอบ ดวงอาทิ ต ย์ ทฤษฎี ข องเขาล้ ม ล้ า งความเชื่ อ ของคนในสมั ย โบราณและสมั ย กลางที่ ยึ ด ถื อ ข้ อ สมมติ ฐ านของอริ ส โตเติ ล (Aristotle) และงานเขียนของโตเลมี (Ptolemy) ที่อธิบายว่า โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล นิโคลัส โคเปอร์นิคัส 2. กาลิเลโอ กาลิเลอิ (Galileo Galilei : ค.ศ. 1564- 1642) ชาวอิตาลีได้ประดิษฐ์กล้องโทรทัศน์ เพื่อสังเกตการโคจรรอบ ดวงดาว ทำให้นักดาราศาสตร์ได้รับความรู้เกี่ยวกับจักรวาลและการ เคลื่อนที่ในระบบสุริยจักรวาลตามทฤษฎีของโคเปอร์นิคัส ทฤษฎีของ กาลิเลโอขัดแย้งกับคริสต์ศาสนา ทำให้ถูกลงโทษจากคริสตจักร กาลิเลโอ กาลิเลอิ 3. เซอร์ ฟรานซิส เบคอน (Sir Francis Bacon : ค.ศ. 1561-1626) ชาวอั ง กฤษได้ ว างรากฐานการศึ ก ษางานด้ า น วิทยาศาสตร์ จนในที่สุดทำให้มีการจัดตั้งราชบัณฑิตยสมาคม ที่ เรียกว่า The Royal Society of London for the Promotion of Natural Knowledge ขึ้นเพื่อส่งเสริมการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ เซอร์ ฟรานซิส เบคอน
  • 21. หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล 65 4. เรอเน เดส์การ์ส (Rene Descartes : ค.ศ. 1596- 1650) ชาวฝรั่งเศสได้เสนอหลักการใช้เหตุผล และการศึกษาค้นคว้า วิ จั ย ในการแสวงหาความรู้ แ ละการวิ เ คราะห์ ท างคณิ ต ศาสตร์ ว่ า สามารถนำมาพิสูจน์และตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ เรอเน เดส์การ์ส 5. เซอร์ ไอแซก นิวตัน (Sir Isaac Newton : ค.ศ. 1642- 1727) ชาวอังกฤษค้นพบกฎแรงดึงดูด (Law of Universal Attraction) และกฎแห่ ง ความโน้ ม ถ่ ว ง (Law of Gravity) ซึ่ ง เป็ น ผลให้ นั ก วิทยาศาสตร์อธิบายการโคจรของโลกและดาวเคราะห์ต่างๆ ที่หมุนรอบ ดวงอาทิตย์ได้ เซอร์ ไอแซก นิวตัน สาเหตุที่ทำให้เกิดการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ สาเหตุที่ทำให้เกิดการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ มีดังนี้ 1. การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ เป็นผลให้ชาวยุโรปสนใจใฝ่หาความรู้และกระตือรือร้นที่จะ หาความรู้ใหม่ๆ นอกจากนี้ระบบการพิมพ์ก็ก้าวหน้าขึ้น ทำให้ประชาชนสนใจที่จะศึกษามากขึ้น 2. การสำรวจทางทะเลและการค้นพบดินแดนใหม่ๆ ทำให้ชาวยุโรปพบเห็นสิ่งใหม่ๆ พืชพันธุ์ใหม่ คนต่างเชื้อชาติต่างวัฒนธรรม ทำให้เกิดอยากเรียนรู้เสาะหาข้อเท็จจริงใหม่ๆ ยิ่งขึ้น ผลของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ ผลของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ มีดังนี้ 1. ทำให้เกิดความรู้ ใหม่แตกแยกออกไปหลายสาขา ทั้งคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ พฤกษศาสตร์ และการแพทย์ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในงานต่างๆ เช่ น การประดิ ษ ฐ์ น าฬิ ก า การคำนวณการยิ ง ปื น ใหญ่ มี ก ารจั ด ตั้ ง ราชบั ณ ฑิ ต ยสถานทาง วิทยาศาสตร์ที่อังกฤษใน ค.ศ. 1662
  • 22. 66 หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล 2. มีอิทธิพลต่อความคิดและความเชื่อของชาวยุโรป ทำให้ชาวยุโรปเชื่อมั่นตนเอง และเชื่อมั่นในอนาคตว่าจะสามารถนำความสำเร็จมาสู่ชีวิตได้ ทำให้เกิดความปรารถนาที่จะเรียนรู้ และประดิษฐ์สิ่งต่างๆ 3. นำไปสู่การปฏิวัติทางภูมิปัญญา (Intellectual Revolution) ในคริสต์ศตวรรษที ่ 18 อี ก ด้ ว ย ซึ่ ง หมายถึ ง ยุ ค ที่ ช าวยุ โ รปกล้ า ใช้ เ หตุ ผ ลแสดงความเห็ น เกี่ ย วกั บ การเมื อ ง การปกครอง ตลอดจนเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคเท่าเทียมกัน เกิดนักปรัชญา ทางการเมืองที่สำคัญ เช่น วอล์แตร์ (Voltaire) และมองเตสกิเออร์ (Montesquicu) ซึ่งเป็น พื้นฐานสำคัญทำให้ตะวันตกเข้าสู่ความเจริญในยุคใหม่ คริสต์ศตวรรษที่ 18 จึงได้รับสมญาว่าเป็น ยุคแห่งความรู้แจ้งหรือยุคภูมิธรรม (The Age of Enlightenment) อันเป็นความคิดพื้นฐานของ การปกครองระบอบประชาธิปไตยในเวลาต่อมา การปฏิวัติอุตสาหกรรม การปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) หมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงใน วิธีการผลิตและระบบการผลิต จากเดิมระบบการผลิตมักทำกัน ภายในครอบคัว พ่อค้ามักเป็น นายทุนซื้อวัตถุดิบแล้วแจกจ่ายให้แต่ละครอบครัวรับมาทำ แล้วพ่อค้าจะรับผลิตภัณฑ์ที่สำเร็จ แล้วไปขาย คนงานก็จะได้ค่าจ้างเป็นการตอบแทน การผลิตสินค้าเดิมใช้แรงงานคน แรงงานสัตว์ รวมทั้งพลังงานจากธรรมชาติ เครื่องมือแบบง่ายๆ มาเป็นการใช้เครื่องจักรกลแทน เริ่มจากแบบ ง่ายๆ จนถึงแบบซับซ้อนที่มีกำลังผลิตสูง จนเกิดเป็นการผลิตในระบบโรงงาน (factory system) การผลิตภายในครอบครัวก็ค่อยๆ หมดไป และผู้คนจำนวนมากตามชนบทต้องอพยพเข้ามาทำงาน เป็นกรรมกรในโรงงาน การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกเกิดในประเทศอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และได้แพร่ ขยายไปยังประเทศตะวันตกอื่นๆ ทั่วโลก การปฏิวัติอุตสาหกรรมนับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่มีผล กระทบต่อการเมืองการปกครอง สังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของมนุษยชาติทั่วโลก อังกฤษ : ผู้นำการปฏิวัติอุตสาหกรรม การปฏิวัติอุตสาหกรรมเริ่มต้นที่อังกฤษเพราะอังกฤษมีปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวทาง อุตสาหกรรมครบถ้วน คือ มีทุน วัตถุดิบ แรงงาน และตลาดการค้า อังกฤษเป็นผู้นำในการปฏิวัติเกษตรกรรม (Agricultural Revolution) โดยนำความรู้ทาง วิทยาศาสตร์มาปรับปรุงการเกษตรให้พัฒนาขึ้น โดยในคริสต์ศตวรรษที่ 16 อังกฤษนำระบบล้อม เขตที่ดิน (enclosure system) มาใช้เพื่อเพิ่มผลผลิตทางเกษตรอย่างแพร่หลาย ซึ่งเป็นผลให้
  • 23. หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล 67 เจ้าของที่ดินรายใหญ่สามารถรวบรวมที่ดินของตนเป็นผืนใหญ่ และสร้างรั้วล้อมที่ดินของตนเพื่อ ป้องกันความเสียหายของพืชผลจากการทำลายของคนและสัตว์ นอกจากนี้ยังนำวิทยาการใหม่ๆ มาใช้ ในการผลิต การปรับปรุงวิธีการทำนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การปฏิวัติเกษตรกรรมนำไปสู่ การปฏิวัติอุตสาหกรรม การเกษตรกรรมในอังกฤษได้ผลดีขึ้น ทำให้การค้าขายเจริญรุ่งเรืองขึ้น ประเทศมีความ มั่งคั่งขึ้นใน ค.ศ. 1694 รัฐบาลจัดตั้งธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ (Bank of England) เพื่อเป็น แหล่งระดมทุนของรัฐ ทรัพยากรมนุษย์ของอังกฤษก็มีความพร้อมสนับสนุนการปฏิวัติอุตสาหกรรม เพราะชาวอังกฤษไม่เคร่งครัดต่อการแบ่งแยกชนชั้น เช่น สังคมอื่นๆ ในยุโรป ทั้งยังให้การ ยอมรับชนทุกชั้นที่สามารถสร้างฐานะเป็นปึกแผ่น ดังนั้นขุนนางอังกฤษจึงไม่รังเกียจที่จะทำการค้า เช่นเดียวกับคนชั้นกลางที่พยายามยกสถานภาพทางเศรษฐกิจให้เท่าเทียมขุนนาง นอกจากนี้รัฐยัง ส่งเสริมให้การค้าขยายตัว เช่น มีการออกพระราชบัญญัติสร้างถนน ท่าจอดเรือ และขุดคูคลอง ต่างๆ เป็นจำนวนมาก เพื่อใช้เป็นเส้นทางคมนาคมทางการค้า มีการยกเลิกการเก็บภาษีผ่านด่าน และมีนโยบายการค้าแบบเสรี ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้มีการขยายตัวของตลาดการค้าภายในอย่าง กว้างขวาง ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อังกฤษเป็นประเทศผู้นำการปฏิวัติอุตสาหกรรม เนื่องจากในระหว่าง คริสต์ศตวรรษที่ 17-18 อังกฤษมีอาณานิคมที่อยู่โพ้นทะเลที่เป็นแหล่งวัตถุดิบและตลาดทั้งใน ทวีปเอเชียและอเมริกา จนในที่สุดการค้าได้กลายเป็นนโยบายหลักของประเทศ เรือรบของอังกฤษ ทำหน้าที่รักษาเส้นทางทางการค้าทางทะเล และให้ความคุ้มครองแก่เรือพาณิชย์ที่เดินทางไป ค้าขายทั่วโลก สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยที่ทำให้ชาวอังกฤษคิดค้นประดิษฐ์เครื่องจักรมาใช้ ในโรงงาน อุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง การปฏิวัติอุตสาหกรรมแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ การปฏิวัติอุตสาหกรรมระยะแรกใน ระหว่าง ค.ศ 1760-1840 เป็นระยะที่มีการประดิษฐ์เครื่องจักรช่วยในการผลิตและการปรับปรุง โรงงานอุตสาหกรรมให้มีประสิทธิภาพ และการปฏิวัติอุตสาหกรรมระยะที่ 2 ระหว่าง ค.ศ. 1861- 1865 เป็นการปรับปรุงการคมนาคมสื่อสาร ซึ่งเป็นผลมาจากความสำเร็จของอุตสาหกรรมเหล็ก และเครื่องจักรไอน้ำ การปฏิวัติอุตสาหกรรมในระยะแรก คือ การประดิษฐ์เพื่อตอบสนองอุตสาหกรรมการ ทอผ้า เช่น ใน ค.ศ. 1733 จอห์น เคย์ (John Kay) แห่งเมืองแลงคาเชียร์ (Lancashire) ได้ประดิษฐ์กี่กระตุก (flying shuttle) ซึ่งช่วยให้ช่างทอผ้าสามารถผลิตผ้าได้มากกว่าเดิมถึง 2 เท่า ค.ศ. 1764 เจมส์ ฮาร์กรีฟส์ (James Hargreaves) สามารถผลิตเครื่องปั่นด้าย (Spinning Jenny) ได้สำเร็จ ต่อมา ค.ศ. 1769 ริชาร์ด อาร์กไรต์ (Richard Arkwright) ได้ปรับปรุง เครื่องปั่นด้ายให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และพัฒนาเป็นเครื่องจักรกลที่ใช้พลังน้ำหมุนแทนพลังคน
  • 24. 68 หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล เรียกว่า Water Frame ทำให้เกิดโรงงาน ทอผ้าตามริมฝั่งแม่น้ำทั่วประเทศ มีการ ขยายตัวทำไร่ฝ้ายในอเมริกา ต่อมาวิตนีย์ (Eli Whitney) สามารถประดิษฐ์เครื่อง แยกเมล็ดฝ้ายออกจากใย (Cotton Gin) ได้เมื่อ ค.ศ. 1793 การพัฒนาอุตสาห- กรรมการทอผ้าของอังกฤษเจริญเติบโต อย่างต่อเนื่องจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เครื่องปั่นด้าย (Spinning Jenny) ที่สามารถปั่นได้พร้อมกันได้ทีละหลายเส้น การประดิษฐ์ที่พัฒนาควบคู่กับการทอผ้า คือ การประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำ โดยเจมส์ วัตต์ (James Watt) ชาวสกอต ประดิษฐ์ได้ใน ค.ศ. 1769 โดยใช้ขับเคลื่อนเครื่องจักรกลแทนพลังงาน น้ำ ซึ่งส่งผลให้นำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น เหมืองแร่และการทอผ้า ต่างใช้เครื่องจักรไอน้ำ เป็นพลังขับเคลื่อนเครื่องจักรกลทั้งสิ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเหล็ก เมื่อมีการพัฒนาเครื่องจักร กลไอน้ำ ทำให้อุตสาหกรรมเหล็กขยายปริมาณการผลิตได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อเฮนรี คอร์ต (Henry Cort) ชาวอังกฤษคิดค้นวิธีการ หลอมเหล็กให้มีคุณภาพดีขึ้น ก็ส่งผล ให้มีการปรับปรุงคุณ ภาพของปืนใหญ่ ตลอดจนยุ ท โธปกรณ์ ต่ า งๆ ให้ มี ประสิทธิภาพขึ้น เครื่องจักรไอน้ำซึ่งประดิษฐ์ โดย เจมส์ วัตต์ ต่อมาใน ค.ศ. 1807 ชาวอังกฤษได้ประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมจำหน่ายเครื่องจักร ณ เมืองลีจ (Liege) ประเทศเบลเยียม ทำให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้นในเบลเยียม แต่อย่างไร ก็ตาม ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 อังกฤษยังครองความเป็นผู้นำในการปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยใน ค.ศ. 1851 อังกฤษได้จัดแสดงนิทรรศการครั้งใหญ่ (Great Exhibition) แสดงความก้าวหน้าทาง เทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเหล็กของอังกฤษ
  • 25. หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล 69 การปฏิวัติอุตสาหกรรมระยะที่ 2 เป็นการปรับปรุงการคมนาคมสื่อสาร ซึ่งเป็นผลมาจาก ความสำเร็จของอุตสาหกรรมเหล็กและเครื่องจักรไอน้ำ โดยใน ค.ศ. 1804 ริชาร์ด เทรวีทิก (Richard Trevitick) นำพลังงานไอน้ำมาขับเคลื่อนรถบรรทุก รถจักรไอน้ำจึงมีบทบาทสำคัญใน อุตสาหกรรมขนส่ง ที่มีชื่อเสียงมาก คือ หัวรถจักรไอน้ำ ชื่อ ร็อกเกต (Rocket) ของจอร์จ สตี- เฟนสัน (George Stephenson) ทำให้มีการเปิดบริการรถจักรไอน้ำบรรทุกสินค้าเป็นครั้งแรก ต่อ มามีการดัดแปลงมารับส่งผู้โดยสาร ถือเป็นจุดเริ่มต้นการเข้าสู่ยุคการใช้รถไฟ ซึ่งเป็นผลทำให้ ความเจริญขยายตัวจากเขตเมืองไปสู่ชนบท เปลี่ยนชนบทให้กลายเป็นเมือง นอกจากนี้รถไฟยัง เป็นพาหนะสำคัญในการลำเลียงกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ และเป็นสิ่งกระตุ้นให้ยุโรป สนใจกระบวนการปฏิวัติอุตสาหกรรมในคริสต์ศตวรรษที่ 19 หัวรถจักรไอน้ำถูกดัดแปลงเข้ามาใช้งานในการขนส่ง เช่น รถไฟ ในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรมระยะที่ 2 ฝรั่งเศสภายหลังการปฏิวัติใน ค.ศ. 1789 (French Revolution : ค.ศ. 1789) ได้หันมา สนใจปฏิวัติอุตสาหกรรมเช่นเดียวกับเยอรมนีและสหรัฐอเมริกา และก้าวขึ้นเป็นคู่แข่งกับอังกฤษ ส่วนการคมนาคมทางน้ำ ใน ค.ศ. 1807 โรเบิร์ต ฟุลตัน (Robert Fulton) ชาวอเมริกัน ประสบความสำเร็จในการนำพลังไอน้ำมาใช้กับเรือเพื่อรับส่งผู้โดยสาร ต่อมา ค.ศ. 1840 แซม มวล คูนาร์ด (Semuel Cunard) เปิดเดินเรือกลไฟแล่นข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกได้ภายใน 14 วัน และมีการปรับปรุงเรือกลไฟให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทางด้านรถยนต์มีการนำพลังไอน้ำมาใช้กับรถสามล้อ ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้มี การประดิษฐ์เครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน จนถึง ค.ศ. 1857 คาร์ล เบนซ์ (Karl Benz) และ กอตต์ลีบ เดมเลอร์ (Gottlieb Daimler) สามารถนำเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินมาใช้กับรถยนต์ ทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์เจริญก้าวหน้าขึ้น
  • 26. 70 หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล ในยุคนี้ยังได้มีการประดิษฐ์เครื่องพิมพ์แบบลูกกลิ้งขึ้นใช้ ใน ค.ศ. 1812 ทำให้การพิมพ์ พัฒนาได้ปริมาณมากขึ้นและเร็วทันเหตุการณ์ หนังสือพิมพ์จึงแพร่หลาย การเผยแพร่ความรู้และ ข่าวสารก็แพร่หลายในวงกว้างขึ้น นอกจากนี้ยังมีการริเริ่มระบบไปรษณีย์ในอังกฤษ ใน ค.ศ. 1840 ทำให้การสื่อสารสะดวกรวดเร็วขึ้น ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 แซมมวล มอร์ส (Semuel Morse) ประดิษฐ์โทรเลขได้สำเร็จเป็นคนแรก ใน ค.ศ. 1837 อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ (Alexander Graham Bell) ประดิษฐ์โทรศัพท์ได้สำเร็จใน ค.ศ. 1876 และใน ค.ศ. 1901 ก็มีการ ประดิ ษ ฐ์ วิ ท ยุ โ ทรเลขได้ แ ละส่ ง โทรเลขข้ า มมหาสมุ ท รแอตแลนติ ก ได้ ส ำเร็ จ ธอมั ส แอลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) ชาวอเมริกันประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า เครื่องเล่นจานเสียง และ กล้องถ่ายภาพยนตร์ได้ ผลของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ผลของการปฏิวัติอุตสาหกรรม มีดังนี้ 1. ประชากรทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะความ ก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และทางด้านการแพทย์เจริญก้าวหน้า ขึ้ น อย่ า งต่ อ เนื่ อ ง รวมทั้ ง ความสมบู ร ณ์ ข องอาหาร ระบบ สาธารณสุ ข และการดู แ ลสุ ข ภาพอนามั ย การเพิ่ ม ประชากร อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการอพยพจากชนบทมาหางานทำใน เมืองจนเกิดปัญหาความแออัดของประชากรในเขตเมือง 2. การก่อสร้างอาคารบ้านเรือนและสถาปัตยกรรม พัฒนาก้าวหน้ามากขึ้น เพราะการพัฒนาอุตสาหกรรมและ หอไอเฟล กรุงปารีส เทคโนโลยีการก่อสร้าง ทำให้อาคารแข็งแรงขึ้น การออกแบบ ประเทศฝรั่งเศส ก่อสร้างหอไอเฟล (Eiffel Tower) ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ใน ค.ศ. 1889 ถือเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นการก่อสร้างที่ ทันสมัยของโลก 3. เกิดปัญหาสังคมต่างๆ มากมาย เช่น ชุมชนแออัด การแพร่ ก ระจายของเชื้ อ โรค ปั ญ หาอาชญากรรม การใช้ แรงงานเด็ก การเอารัดเอาเปรียบกัน ทำให้เกิดแนวคิดของ ลัทธิสังคมนิยม (Socialism) ของคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ที่ เรียกร้องให้กรรมกรรวมพลังกันเพื่อก่อการปฏิวัติโค่นล้มระบบ ทุนนิยม ทำให้ลัทธิสังคมนิยมมีบทบาทและอิทธิพลมากขึ้น คาร์ล มาร์กซ์
  • 27. หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล 71 4. เกิดลัทธิเสรีนิยม (liberalism) ซึ่งเป็นพื้นฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตยและ แนวคิดนี้แพร่หลายกว้างขวางขึ้น ทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ค.ศ. 1776 แอดัม สมิธ (Adam Smith) ได้พิมพ์งานเขียนชื่อ The Wealth of Nations เพื่อเสนอแนวคิดว่าความมั่งคั่งของ ประเทศจะเกิดจากระบบการค้าแบบเสรี (laissez faire) กล่าวได้ว่า การปฏิวัติอุตสาหกรรมก่อให้เกิดการแบ่งค่ายระหว่างลัทธิทุนนิยมกับลัทธิ สังคมนิยมอย่างเป็นรูปธรรม ต่อมาใน ค.ศ. 1889 ได้มีการประกาศให้วันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันเมย์เดย์หรือวันแรงงานสากล (May Day) นอกจากนี้ยังทำให้เกิดวรรณกรรมแนวสัจนิยม (Realism) ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่พยายามเสนอเรื่องความเป็นจริงเบื้องหลัง ความสำเร็จ ของระบบสังคมอุตสาหกรรม ที่ชนชั้นกรรมกรมีชีวิตที่ยากไร้และถูกเอารัดเอาเปรียบ 5. การปฏิวัติทางอุตสาหกรรมได้ขยายไปทั่วภูมิภาคต่างๆ ของโลก ทำให้เกิดการ เปลี่ ย นแปลง ทางด้ า นเศรษฐกิ จ และสั ง คม การเมื อ ง และทำให้ ป ระเทศต่ า งๆ เหล่ า นี้ มี “วัฒนธรรมร่วม” ตามตะวันตกไปด้วย การปฏิวัติทางภูมิปัญญา การปฏิ วั ติ ท างภู มิ ปั ญ ญาเป็ น ผลสื บ เนื่ อ งจากการฟื้ น ฟู ศิ ล ปวิ ท ยาการ ซึ่ ง กระตุ้ น ให้ ชาวยุโรปสนใจศึกษาหาความรู้และค้นหาความจริง ทำให้ยุโรปพ้นจากยุคมืด มีโอกาสแสวงหา ความรู้วิทยาการแขนงใหม่ที่มีอิสรภาพ และเสรีภาพมากขึ้น ส่งผลให้ชาวยุโรปมีความคิดก้าวหน้า ทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง เกิดนักคิด นักปรัชญาขึ้นมากมาย ซึ่งอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 17-18 บุคคลสำคัญที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำในการปฏิวัติทางภูมิปัญญา ได้แก่ 1. พระเจ้าเฟรเดอริกมหาราชแห่งปรัสเซีย (Frederick the Great : ค.ศ. 1740-1786) ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของ กษัตริย์ทรงภูมิธรรม (Enlightened Despotism) ด้วยทรงใช้สติปัญญา และเหตุผลในการปกครอง ส่งเสริมการอุตสาหกรรมและการค้าเพื่อให้ ประชาชนมี ค วามเป็ น อยู่ ดี ขึ้ น ทรงใช้ ห ลั ก ขั น ติ ธ รรมทางศาสนา (religious toleration) ให้เสรีภาพแก่ประชาชนในการนับถือศาสนา และเปิ ด โอกาสให้ ปั ญ ญาชนสามารถแสดง พระเจ้าเฟรเดอริกมหาราช ความคิดเห็นได้อย่างกว้างขวาง 2. ธอมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes : ค.ศ. 1586-1679) เป็นนักปรัชญาชาวอังกฤษ เขาได้เขียนหนังสือเรื่อง Leviathan ซึ่ง แสดงแนวคิดทางการเมืองว่า สังคมการเมืองที่อยู่อย่างสันติสุขต้อง มอบอำนาจให้ผู้ปกครองทำหน้าที่ปกครองประชาชน ทั้งนี้ประชาชนมี สิทธิเลือกการปกครองที่สอดคล้องกับความต้องการของคนส่วนใหญ่ ธอมัส ฮอบส์
  • 28. 72 หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล 3. จอห์น ล็อค (John Locke : ค.ศ. 1632-1704) เป็นนัก ปรั ช ญาชาวอั ง กฤษ เขาได้ เ ขี ย นหนั ง สื อ เรื่ อ ง Two Treatises of Government ซึ่งเสนอแนวคิดว่ารัฐบาลต้องจัดตั้งโดยความยินยอมของ ประชาชนและต้องรับผิดชอบความเป็นอยู่ของประชาชน จอห์น ล็อค 4. บารอน เดอ มองเตสกิเออ (Baron de Montesquieu : ค.ศ. 1689-1755) เป็นขุนนางชาวฝรั่งเศสซึ่งต่อมาเป็นราชบัณฑิตของ ราชบัณฑิตยสถานของฝรั่งเศส เขาได้เขียนหนังสือเรื่อง The Spirit of Laws ซึ่งเสนอว่ากฎหมายที่รัฐบาลบัญญัติขึ้นต้องสอดคล้องกับสังคมนั้น (วัฒนธรรม ประเพณี และประวัติศาสตร์ของแต่ละสังคม) เขาชื่นชม ระบอบการปกครองของอังกฤษที่กษัตริย์อยู่ ใต้รัฐธรรมนูญ และแบ่ง บารอน เดอ มองเตสกิเออ อำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ออกจากกัน 5. วอลแตร์ (Voltaire : ค.ศ. 1694-1778) นักปรัชญาชาว ฝรั่งเศส ได้เขียนหนังสือเรื่อง The Philosophical Letters หรือ Letters on the English ซึ่งได้โจมตีสถาบันและกฎระเบียบต่างๆ ของฝรั่งเศส และเรียกร้องให้มีการปฏิรูป ในหนังสือเรื่อง Elements of the Philosophy of Nation, Essay on Universal History และ เรื่อง The Age of Louis XIV เขาเสนอให้ใช้เหตุผลและสติปัญญา แก้ ไขปัญหาสังคมและการเมือง วอลแตร์ 6. ชอง-ชาคส์ รุสโซ (Jean-Jacques Rousseau : ค.ศ. 1712-1778) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส หนังสือที่สำคัญคือ เรื่อง สัญญาประชาคม (The Social Contract) ซึ่งถือว่าเป็นการ วางรากฐานแนวคิดเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยของประชาชน เพราะ มนุษย์เป็นอิสระ ควรจัดตั้งรูปแบบการปกครองที่ให้ประชาชนร่วม ทำ “เจตจำนงร่วม” (General Will) หรือสัญญาประชาคมขึ้นเป็น อำนาจสูงสุด รัฐบาลจึงควรเกิดจากความเห็นร่วมกันของประชาชน ชอง-ชาคส์ รุสโซ
  • 29. หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล 73 7. อดัม สมิธ (Adam Smith : ค.ศ. 1723-1790) เป็นนักปรัชญาชาวสก๊อต มีผลงานเขียนที่มีชื่อเสียง คือ หนังสือ เรื่องความมั่งคั่งของชาติ (The Wealth of the Nations) ใน ค.ศ. 1776 ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อแนวความคิดทางการเมือง และเศรษฐกิจของยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 หนังสือ เล่มนี้กล่าวถึงทฤษฎีการค้าเสรี โดยปล่อยให้การค้าเป็นไปตาม กฎธรรมชาติที่จะสนองความต้องการในเรื่องของอุปสงค์และ อดัม สมิธ อุปทาน (Demand and Supply) ซึ่งรัฐไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการค้าของเอกชน แต่รัฐมีหน้าที่ ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการเอาเปรียบ จัดการศึกษาและบริการสาธารณสุข แนวคิดของนักปรัชญาเหล่านี้มุ่งที่จะปฏิรูปสังคมและการเมือง ซึ่งเป็นผลมาจากการ ปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์นั่นเอง ลัทธิจักรวรรดินิยม ลัทธิจักรวรรดินิยม (Imperialism) หมายถึง ลัทธิการปกครองและการดำเนินนโยบาย ต่างประเทศของชาติมหาอำนาจ ในการที่จะขยายอิทธิพลเข้าไปปกครอง ครอบงำ และแสวงหา ผลประโยชน์ในประเทศซึ่งด้อยการพัฒนาหรือในดินแดนที่อ่อนแอกว่า ลัทธิจักรวรรดินิยมมีหลาย ลักษณะและหลายรูปแบบ ดังนี้ - การได้รับสิทธิพิเศษ (concession) ในด้านเศรษฐกิจและการค้า - การได้รับสัมปทานในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ - การได้รับสัมปทานในการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ - การจัดตั้งเขตอิทธิพลที่ประเทศมหาอำนาจควบคุมเศรษฐกิจและการเมือง - การจัดตั้งเขตเช่า (leasehold) โดยการบังคับเช่าดินแดนและมีอำนาจปกครองเป็น เอกเทศจากรัฐบาลกลาง - การจัดตั้งดินแดนในอารักขา (protectorate) โดยยอมให้ประมุขในประเทศนั้นมีสิทธิ ปกครองตนเองในระดับหนึ่ง - การผวนกดินแดน (annexation) โดยเข้ า ยึ ด ครองและปกครองโดยตรง ภายหลั ง สงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ลัทธิจักรวรรดินิยมยังปรากฏในรูปแบบการจัดตั้งดินแดนใน อาณัติ (mandate) และดินแดนในภาวะทรัสตี (trusteeship) ตามข้อตกลงของสนธิสัญญา สันติภาพ
  • 30. 74 หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล ลัทธิจักรวรรดินิยมในยุโรป ในช่ ว งเวลายุ โ รปสมั ย ใหม่ ซึ่ ง เริ่ ม ในปลายคริ ส ต์ ศ ตวรรษที่ 15-19 นั้ น ยุ โ รปมี ก าร เปลี่ยนแปลงอย่างมากทั้งด้านการค้า วิทยาศาสตร์ และอุตสาหกรรม แต่บรรดาชนชาติอื่นๆ ใน ทวีปเอเชียและแอฟริกา แม้ชาติที่เป็นเจ้าของอารยธรรมโบราณต่างๆ ยังคงมีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ยังคงใช้วิธีการผลิตแบบเก่า ไม่มีการคิดค้นเทคนิคใหม่ๆ ในการผลิต แหล่งอารยธรรม เช่น จีน อินเดีย อียิปต์ ดินแดนเมโสโปเตเมีย ต่างอยู่กับความคิดความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี ใน อดีต ไม่มีความกระตือรือร้นที่จะแสวงหาความรู้วิทยาการใหม่ๆ ทั้งจีนและอินเดียก็ตกอยู่ในการ ปกครองของต่างชาติจึงอ่อนแอลง รวมทั้งการขาดระบบราชการที่มีประสิทธิภาพ จึงขาดความ แข็งแกร่งที่จะต่อต้านชาวยุโรปที่เดินทางเข้ามาในดินแดนเหล่านี้ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ทางการค้า ดินแดนเหล่านี้จึงไม่มีพลังเพียงพอที่จะต้านทานอำนาจอันแข็งแกร่งของชาติยุโรปได้ สมัยจักรวรรดินิยม เป็นช่วงเวลาในตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งหลายประเทศใน ยุโรปมีความก้าวหน้าทางการค้า วิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรมและวิทยาการด้านต่างๆ ได้ขยาย อำนาจและอิทธิพลครอบครองดินแดนในทวีปเอเชียและแอฟริกา สมัยจักรวรรดินิยมเริ่มเสื่อม สลายลงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ผลกระทบของจักรวรรดินิยมยังคงหลงเหลือสืบต่อมาใน ดินแดนส่วนต่างๆ ของโลก ลัทธิจักรวรรดินิยมแบ่งออกเป็น 2 ยุค คือ ในช่วงก่อนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นยุค ลัทธิจักรวรรดินิยมในแบบเก่า คือการใช้อำนาจทางการทหารเข้ายึดครองดินแดนที่อ่อนแอกว่า แล้วจึงขยายอำนาจทางการเมืองเข้าไป ในช่วงหลังปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นยุคลัทธิจักรวรรดินิยมใหม่ (New Imperialism) เป็ น ลั ก ษณะของการแสวงหาดิ น แดนโพ้น ทะเล โดยบรรดาประเทศมหาอำนาจต่ า งพยายาม แข่งขันกันเข้าไปปกครองหรือมีอิทธิพลในดินแดนเอเชียใต้ บางส่วนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอเมริกา การสร้างระบบจักรวรรดินิยมเป็นไปเพื่อสนองนโยบายพาณิชยนิยม (mercantilism) ที่เจ้าอาณานิคมพยายามเข้าควบคุมประเทศอาณานิคม เพื่อผลกำไรและผลประโยชน์ของตน เพียงผู้เดียว ลัทธิจักรวรรดินิยมใหม่ จึงหมายถึง การที่ประเทศมหาอำนาจพยายามครอบงำ ประเทศด้อยพัฒนาโดยการเข้าไปปกครองโดยตรง หรือได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ เหนืออำนาจการ ควบคุมของประเทศเจ้าของดินแดนนั้นๆ ดังนั้น จึงเริ่มมีการจัดตั้งอาณานิคมในทวีปอเมริกา เอเชียและแอฟริกา การแข่งขันการแสวงหาอาณานิคมดังกล่าวเป็นไปอย่างต่อเนื่องในระหว่าง ค.ศ. 1879-1914 การขยายตั ว ลั ท ธิ จั ก รวรรดิ นิ ย มของประเทศยุ โ รปเป็ น ไปอย่ า งกว้ า งขวาง จนบานปลายไปเป็นสาเหตุแห่งความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ เช่น การแย่งชิงดินแดนในแอฟริกา การแย่งชิงผลประโยชน์จากจีน นอกจากนี้ยังเพิ่มจักรวรรดินิยมใหม่ คือ เยอรมนี อิตาลี และ สหรัฐอเมริกา เข้าร่วมแสวงหาดินแดนและผลประโยชน์ด้วย
  • 31. หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล 75 สาเหตุที่ทำให้เกิดลัทธิจักรวรรดินิยม สาเหตุที่ทำให้เกิดลัทธิจักรวรรดินิยม คือ 1. ความสำเร็จของการปฏิวัติอุตสาหกรรมของประเทศยุโรป ทำให้เกิดความต้องการ ยึดครองดินแดนที่มีวัตถุดิบอันเป็นประโยชน์ต่อการอุตสาหกรรม คือ เมื่อสามารถประดิษฐ์ เครื่องจักรมาใช้ ในการทำงาน สามารถผลิตสินค้าได้เป็นจำนวนมากและรวดเร็ว จึงต้องการ วัตถุดิบป้อนโรงงานมากขึ้น นอกจากนี้เมื่อผลิตสินค้าได้มากก็จำเป็นต้องหาดินแดนที่มีประชากร มากพอที่จะเป็นแหล่งระบายสินค้าที่ตนผลิตได้เกินความต้องการที่จะใช้บริโภคภายในประเทศของ ตน พวกพ่อค้าจึงกระตุ้นให้รัฐบาลของตนแสวงหาอาณานิคมไว้เป็นแหล่งวัตถุดิบราคาถูกและ ตลาดสินค้าสำเร็จรูป - อั ง กฤษ เป็ น ชาติ แ รกที่ ป ระสบความสำเร็ จ ด้ า นการพั ฒ นาอุ ต สาหกรรมและมี กองทัพที่เข้มแข็ง สามารถขยายอิทธิพลปกป้องและควบคุมเส้นทางการเดินเรือ ดังนั้น อังกฤษจึง ครอบครองอินเดียซึ่งเป็นดินแดนที่อังกฤษถือว่าเป็น “เพชรยอดมงกุฎของอังกฤษ” รวมทั้งทำ สงครามฝิ่ น (Opium War ค.ศ. 1839-1842) กั บ จี น เพื่ อ ปกป้ อ งสถานี ก ารค้ า ฝิ่ น ในจี น และ ครอบครองเกาะฮ่องกงเพื่อเป็นที่มั่นในเอเชียตะวันออก การที่อังกฤษลงทุนในอินเดียและจีน เพราะเป็นตลาดใหญ่มีประชากรมาก ซึ่งเหมาะสำหรับการระบายสินค้าสำเร็จรูป นอกจากนี้อังกฤษยังได้วัตถุดิบสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม เช่น ฝ้ายจากอียิปต์ ยาง พาราและดีบุกจากมลายู น้ำมันจากตะวันออกกลาง มีการลงทุนทำเหมืองแร่ ในจีน แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกาใต้ รวมทั้งกรณีนายทุนชาติมหาอำนาจนำเงินไปให้รัฐบาลในดินแดน ด้อยพัฒนากู้ เมื่อประเทศเหล่านี้ ไม่สามารถชำระเงินคืน นายทุนก็จะเรียกร้องให้รัฐบาลของตน เข้าแทรกแซง เช่น อังกฤษยึดครองอียิปต์ใน ค.ศ. 1882 เป็นต้น - ฝรั่งเศส เข้ายึดครองแอลเจียร์ (Algiers) ใน ค.ศ. 1830 และต่อมาก็เข้ายึดครอง อินโดจีน - รั ส เซี ย ได้ ข ยายอิ ท ธิ พ ลดิ น แดนระหว่ า งแม่ น้ ำ อามู ร์ (Amur) กั บ แม่ น้ ำ อุ ส ซู รี (Ussuri) และดินแดนในเขตแปซิฟิกใน ค.ศ. 1860 และขยายอำนาจเจ้าสู่เอเชียกลาง - เนเธอร์แลนด์ สามารถครอบครองหมู่เกาะอินเดียตะวันออก (อินโดนีเซีย) 2. ความตื่ น ตั ว ในลั ท ธิ ช าติ นิ ย มในคริ ส ต์ ศ ตวรรษที่ 19 ในดิ น แดนต่ า งๆ ในยุ โ รป ทำให้เกิดความทะเยอทะยานที่จะเป็นชาติมหาอำนาจ จึงเกิดการแข่งขันกันพัฒนาทางด้าน อุตสาหกรรมและการค้า แสวงหาความร่ำรวยให้แก่ประเทศตน ดังนั้นจึงต้องหาอาณานิคม ซึ่ง นอกจากเป็นแหล่งวัตถุดิบและแหล่งระบายสินค้าแล้ว ยังหมายถึงศักดิ์ศรีและเกียรติยศของ มหาอำนาจในยุโรปด้วย รวมทั้งความพยายามมิให้ประเทศคู่แข่งเข้ามายึดครองดินแดนนั้นก่อน ด้วย เช่น
  • 32. 76 หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล - ฝรั่ ง เศส พยายามแสวงหาอาณานิ ค มในที่ ต่ า งๆ เพื่ อ กู้ ศั ก ดิ์ ศ รี ข องประเทศที่ พ่ายแพ้ในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย (ค.ศ. 1870-1871) - เยอรมนี เข้ายึดดินแดนแอฟริกา เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ - อิตาลี แสวงหาอาณานิคมในแอฟริกา เพื่อแสดงว่าตนมีศักดิ์ศรีทัดเทียมประเทศ มหาอำนาจ 3. เพื่อเผยแผ่คริสต์ศาสนาและอารยธรรมตะวันตก ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ชาว ตะวันตกหลายคนเชื่อถือในทฤษฎีสังคมของชาร์ลส์ ดาร์วิน (Social Darwinism) ว่าคนขาวมี อารยธรรมเหนื อ กว่ า คนสี ผิ ว อื่ น ๆ ทำให้ ค นขาวมี สิ ท ธิ อั น ชอบธรรมและมี ภ าระหน้ า ที่ ที่ จ ะเข้ า ปกครองพวกที่ด้อยกว่าตน เพื่อนำเอาอารยธรรมและคริสต์ศาสนาไปเผยแพร่ อันจะนำความ เจริญและความสันติสุขมาสู่ดินแดนเหล่านั้น ทฤษฎีนี้แพร่หลายมากในเยอรมนีและมีอิทธิพลต่อ บรรดาผู้นำของประเทศต่างๆ มีการอ้าง “ภาระหน้าที่ของคนขาว” (The Whiteman’s Burden) ที่จะนำอารยธรรมไปเผยแพร่ในดินแดนด้อยอารยธรรม ในช่ ว งเวลาดั ง กล่ า วจึ ง มี นั ก สอนศาสนา (มิ ช ชั น นารี ) จำนวนมากไปสอนศาสนาใน ดินแดนต่างๆ ซึ่งเป็นการช่วยส่งเสริมการแสวงหาอาณานิคมด้วยเช่นกัน เพราะพวกมิชชันนารี เดินทางลึกเข้าไปในภาคพื้นทวีปซึ่งยังไม่เคยมีชาวตะวันตกสำรวจมาก่อนเลย ทำให้โลกภายนอก ได้ทราบข่าวความมั่งคั่งของประเทศภายในภาคพื้นทวีป ชักจูงให้ชาวยุโรปเดินทางเข้าไปสำรวจ ทรัพยากร และเข้ายึดครองในที่สุด 4. ความต้องการหาแหล่งระบายพลเมือง กลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 ยุโรปมีประชากร เพิ่มมากขึ้น บรรดานักการเมืองในประเทศต่างๆ จึงหวังยึดครองอาณานิคมเพื่อระบายพลเมือง จะเห็นว่าชาวยุโรปพอใจที่จะอพยพไปตั้งถิ่นฐานในสหรัฐอเมริกาและอเมริกาใต้ เพราะมีที่ทำมา หากินสะดวกและสภาพแวดล้อมไม่แตกต่างจากถิ่นฐานเดิมนัก 5. ความจำเป็นในการรักษาและป้องกันอาณานิคม เมื่อยุโรปมีอาณานิคมกระจายอยู่ใน ที่ต่างๆ จึงต้องพยายามรักษาอาณานิคมไว้ ดังนั้น ประเทศมหาอำนาจจึงต่างพยายามหาฐานที่มั่น ทางการทหารทั้งทางบกและทางทะเลที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ เพื่อเป็นฐานทัพคอยคุ้มครองป้องกัน เส้นทางระหว่างอาณานิคมกับเมืองแม่ เป็นสถานีเติมเชื้อเพลิงและเสบียงอาหารให้แก่กองทหาร และเพื่อสกัดกั้นชาติอื่นเข้ามาในอาณานิคมของตน เช่น อังกฤษตั้งฐานทัพเรือที่สิงคโปร์ เอเดน และอเล็กซานเดรีย และเมื่อถึงกลางคริสต์- ศตวรรษที่ 19 อังกฤษก็กลายเป็นจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดในโลก อาณานิคมของอังกฤษมีอยู่ในแทบ ทุกทวีป เช่น แคนาดาในทวีปอเมริกาเหนือ ดินแดนในแอฟริกา อินเดียและฮ่องกงในเอเชีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ในซีกโลกใต้ สำหรับในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีเพียงประเทศไทยเท่านั้นที่รอดพ้นจากการยึดครอง ของประเทศอำนาจตะวันตก ส่วนเอเชีย เช่น อินเดียถูกยึดครองทั้งประเทศ จีนแม้ ไม่ตกเป็น อาณานิคมแต่ก็ต้องยกดินแดนบางส่วนให้ชาติมหาอำนาจครอบครอง และญี่ปุ่นเป็นชาติเดียวที่ ประสบความสำเร็จในการขยายอำนาจตามลัทธิจักรวรรดินิยม
  • 33. หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล 77 ผลของยุคจักรวรรดินิยม ผลของยุคจักรวรรดินิยม มีดังนี้ 1. สมัยจักรวรรดินิยมเป็นสมัยที่ดินแดนส่วนต่างๆ ของโลกถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ทำให้ โลกก้าวเข้าสู่ยุคสากล ประเทศในทวีปต่างๆ ต่างก็มีการติดต่อกัน ไม่มี ใครอยู่โดดเดี่ยวโดยไม่ ยุ่งเกี่ยวกับประเทศใดๆ ได้ 2. สมัยจักรวรรดินิยมเป็นสมัยที่ชาติยุโรปมีอำนาจสูงสุด มีอิทธิพลครอบคลุมไปทั่วโลก เนื่องมาจากการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และการปฏิวัติทางอุตสาหกรรม ตลอดจนแสนยานุภาพ ทางการทหาร ชาวยุ โ รปจึ ง ได้ น ำอารยธรรมของตนไปเผยแพร่ ใ นทุ ก มุ ม โลก ทั้ ง ความรู้ ท าง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แนวความคิดการปกครองระบอบประชาธิปไตย ความเชื่อมั่นในสิทธิ และเสรีภาพ การเผยแพร่อารยธรรมตะวันตก เป็นผลให้เกิดแนวโน้มที่จะนำไปสู่อารยธรรมที่ คล้ายคลึงกันไปทั่วโลก 3. ดินแดนที่เป็นอาณานิคมมีความเจริญก้าวหน้าขึ้น เช่น ด้านสาธารณสุขและการแพทย์ ด้านการศึกษาซึ่งชาวยุโรปนำมาสู่ดินแดนอาณานิคม ซึ่งเป็นผลให้ชาวพื้นเมืองเกิดความตื่นตัวที่ จะพัฒนาประเทศชาติของตน 4. ดินแดนที่เป็นอาณานิคมต้องสูญเสียเอกราชและอธิปไตย ต้องสูญเสียทรัพยากรให้ เมืองแม่ ต้องกลายเป็นตลาดระบายสินค้าของชาติมหาอำนาจ ต้องสูญเสียศักดิ์ศรีและความ ภาคภู มิ ใ จ ต้ อ งเคารพและเชื่ อ ฟั ง ชาติ ม หาอำนาจที่ เ ข้ า มาปกครองและมี อ ภิ สิ ท ธิ์ เ หนื อ ชาว พื้นเมืองมากมาย 5. ชาติมหาอำนาจได้รวมดินแดนอาณานิคมเข้าเป็นส่วนเดียวกัน โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ ที่แตกต่างกัน ภายหลังที่อาณานิคมได้รับเอกราชก่อให้เกิดปัญหาความแตกแยกในหลายประเทศ เช่น ชาวมุสลิมในปากีสถานแยกออกมาจากอินเดีย เป็นต้น 6. การแข่งขันกันแสวงหาอาณานิคมในสมัยจักรวรรดินิยม ทำให้เกิดความบาดหมาง นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 7. โลกในยุคปัจจุบันแม้อาณานิคมส่วนใหญ่ได้รับเอกราชแล้วก็ตามแต่หลายประเทศต้อง กลับถูกครอบงำโดยลัทธิจักรวรรดินิยมทางเศรษฐกิจแทน เช่น ธนาคารโลก (World Bank) และ องค์การกองทุนระหว่างประเทศ (International Monetary Fund-IMF) ที่สหรัฐอเมริกาขยาย อิทธิพลทางการเงินมาสู่ประเทศต่างๆ กล่าวได้ว่า ลัทธิจักรวรรดินิยมยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบัน และมีผลดีทางด้านการสร้างสรรค์ ความเจริญตามแบบโลกตะวันตก และผลไม่ดีคือการเสียทรัพยากรของชาติ เสียผลประโยชน์ที่พึง ได้ รวมทั้งวัฒนธรรมประเพณีของชาติถูกครอบงำ วิถีชีวิตกลายเป็นชาติตะวันตกไป
  • 34. 78 หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.4-6 ประวัติศาสตร์สากล กิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ 1 1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-6 คน ค้นคว้าข้อมูล และทำรายงานในเรื่องต่อไปนี้ 1.1 ระบบฟิวดัล 1.2 สงครามครูเสด 1.3 การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ 1.4 การสำรวจทางทะเล 1.5 การปฏิรูปศาสนา 1.6 การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ 1.7 การปฏิวัติอุตสาหกรรม 1.8 การปฏิวัติทางภูมิปัญญา 1.9 ลัทธิจักรวรรดินิยม โดยให้นักเรียนนำเสนอรายงานในประเด็น สาเหตุ พัฒนาการ และผลกระทบ จากนั้นให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมานำเสนอ รายงานผลการค้นคว้าหน้าชั้นเรียน 2. ให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายในหัวข้อ “สมัยกลางคืออู่ของอารยธรรมยุโรป” แล้วสรุปความรู้ ที่ได้รับร่วมกัน 1. ระบบฟิวดัลคืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรต่อพัฒนาการยุโรปสมัยกลาง 2. สงครามครูเสดมีความสำคัญอย่างไรต่อพัฒนาการยุโรปสมัยกลาง 3. เพราะเหตุใดคริสตจักรจึงเป็นศูนย์กลางอำนาจของสังคมยุโรปสมัยกลาง 4. การฟื้นฟูศิลปวิทยาการมีผลกระทบอย่างไรต่อสังคมตะวันตก 5. การปฏิวัติวิทยาศาสตร์และการปฏิวัติอุตสาหกรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างไรและมีผล อย่างไร 6. แนวคิดของนักปรัชญาการเมืองในสมัยการปฏิวัติภูมิปัญญา เช่น ธอมัส ฮ็อบส์ จอห์น ล็อค มองเตสกิเออร์ วอลแตร์ และชอง ชาคส์ รุสโซ แนวคิดของนักปรัชญาการเมือง เหล่านี้มีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไรบ้าง 7. ลั ก ธิ จั ก รวรรดิ นิ ย มในยุ โ รปแบ่ ง ออกเป็ น กี่ ยุ ค แต่ ล ะยุ ค มี พั ฒ นาการอย่ า งไร และ ส่งผลอย่างไรต่อประวัติศาสตร์ยุโรปและประวัติศาสตร์โลก