11.  ภูมิอากาศกับมนุษยชาติ     ที่อยู่อาศัยในแต่ละถิ่นภูมิอากาศ/ อิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่ออารยธรรมมนุษย์/ ภูมิอากาศในมหานครทันสมัย10. พลังงานคืออะไร?พลังงานรูปแบบต่างๆ/ การเปลี่ยนรูปและสมดุลพลังงาน/ เชื้อเพลิงฟอสซิลและวิกฤตการณ์พลังงานของโลก/ “My Energy Footprint”12. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรูรั่วของชั้นโอโซน/ภาวะเรือนกระจก/ วัฏจักรคาร์บอนและการเปลี่ยนแปลงจากฝีมือมนุษย์9.  ความร้อน และพลังงานความร้อน  กฎของก๊าซ/ อุณหภูมิกับพลังงานความร้อน/ การแพร่ความร้อน/ พลังงานความร้อนกับการเปลี่ยนสถานะของสาร/ การใช้ประโยชน์จากความร้อน3. มนุษย์กับเทคโนโลยี“My Sci Project”4. The Atmosphereสภาพแวดล้อมที่เคลื่อนไหว/ ความกดอากาศ/ ชั้นบรรยากาศ2. กำเนิดวิทยาการ    และเทคโนโลยี13. Sci Camp: “Is Global Warming?”              Weather Forecasting /Evidences of Human Impact on Global Warming8. การพยากรณ์อากาศ                                 ลมมรสุม/ การเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง - พายุโซนร้อน -ไต้ฝุ่น/การอ่านแผนที่ลมฟ้าอากาศ1. เทคโนโลยี คืออะไร?5. เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยอุณหภูมิ/ การเกิดลม/ความชื้น/ วัฏจักรน้ำ/ การเกิดเมฆ/ มวลอากาศ/ ระบบความกดอากาศ/ แนวปะทะมวลอากาศ/ การเกิดหมอกและฝน7. อิทธิพลดวงอาทิตย์กับระบบภูมิอากาศการเอียงของแกนโลก/ เขตภูมิอากาศของโลก/ น้ำแข็งขั้วโลก/ ฤดูกาล/ แรงโคริโอลิสกับกระแสลมของโลก/ การเกิดคลื่น น้ำขึ้น-น้ำลง/กระแสน้ำอุ่น-กระแสน้ำเย็น6. สถานีตรวจอากาศเทอโมมิเตอร์/ บาโรมิเตอร์/ การวัดทิศทางและความเร็วลม/ รู้จักเมฆชนิดต่างๆ/ การวัดปริมาณน้ำฝน/ ค่าความสกปรกของหยาดฝน/ “Weather Diary”วัฏจักรลมฟ้าอากาศWeather Academyระดับมัธยม ๓  เทอม ๑/๒๕๕๒
“Some are weatherwise, some are otherwise …” Benjamin Franklinวัฏจักรลมฟ้าอากาศ
Our Fluid Environmentรู้จัก สภาพแวดล้อมที่เลื่อนไหล รายล้อมอยู่รอบๆ ตัวเราพื้นผิวดาวเคราะห์โลกของเรานั้นถูกห่อหุ้มคลุมไว้ด้วยชั้นของก๊าซ ที่เรียกว่า “บรรยากาศ” หรือ ATMOSPHERE(แอท-โมส-เฟียร์)
หากปราศจากบรรยากาศ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายจะไม่สามารถอยู่รอดได้ เพราะเราจะถูกเผามอดไหม้ด้วยความร้อนแรงจากดวงอาทิตย์ในยามกลางวัน หรือถูกแช่แข็งจากความหนาวเย็นสุดขั้วในยามค่ำคืนในวันฟ้าโปร่ง เราอาจสามารถมองเห็นชั้นบรรยากาศที่อยู่สูงขึ้นไปถึงราว ๑,๐๐๐ กิโลเมตรได้ ทั้งนี้เพราะราว ๙๙% ของบรรยากาศนั้นสงบนิ่ง ไร้การเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับอวกาศที่อยู่ถัดออกไป
แต่เพียงแค่ระยะความสูงราว ๑๐ กิโลเมตรล่างสุด ที่เรียกว่า TROPOSPHERE(โทร-โพส-เฟียร์) เท่านั้น ที่ชีวิตทั้งหลายสามารถหายใจและดำรงอยู่ได้ ซึ่งเป็นส่วนที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา และเป็นที่กำเนิดของปรากฏการณ์ทั้งหมดที่เรียกว่า “ลมฟ้าอากาศ” หรือ WEATHERComposition of the Atmosphereอ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ ข อ ง บ ร ร ย า ก า ศจากข้อมูลข้างบน สร้างกราฟวงกลมให้ได้ตามอัตราส่วนที่ถูกต้องจากกราฟวงกลมนี้ ก๊าซชนิดใดบ้าง ที่เป็นองค์ประกอบหลักของบรรยากาศ?
Weather Academyในช่วงทศวรรษ 1770 การทดลองของ Joseph Priestley (ซ้าย) ทำให้เชื่อว่าในอากาศมี “สารพลังชีวิต” (phlogiston – โฟล-จิส-ตัน) ที่สิ่งมีชีวิตต้องการ แต่ในทศวรรษต่อมา Antoine Lavoisierนักเคมีชาวฝรั่งเศสพบว่าที่จริงแล้วมันคือก๊าซออกซิเจน
Oxygen (21%) ช่วยในกระบวนการเผาผลาญสารอาหารเพื่อปลดปล่อยพลังงานให้แก่เซลล์ของสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ในโลกองค์ประกอบสำคัญในกระบวนการสันดาป(combustion)                      เชื้อเพลิงต่างๆทำปฏิกิริยากับโลหะต่างๆ เกิด “สนิมโลหะ” (rust – iron oxide)โดยทั่วไป โมเลกุลประกอบด้วย 2 อะตอม ยกเว้น “โอโซน” (Ozone) มี 3 อะตอมNitrogen (78%) ส่วนประกอบสำคัญของกรดอะมิโน ที่ประกอบกันขึ้นเป็นโปรตีน ที่พบอยู่ในสิ่งมีชีวิตArgon, Carbon Dioxide, and other trace gases*ทั้งหมดนี้เป็นองค์ประกอบของ “อากาศแห้ง” (dry air)
แต่ความเป็นจริงนั้น   ในอากาศยังมี    “ไอน้ำ” (watervapor)เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่มีบทบาทอย่างสูงต่อสภาพลมฟ้าอากาศทั่วโลกความสำคัญของบรรยากาศ คือการสร้างเงื่อนไขที่ทำให้โลกเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมแก่การดำรงชีวิต มีออกซิเจนและก๊าซอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
 เก็บกักความร้อนจากดวงอาทิตย์ไว้อย่างพอดีแก่การรักษาน้ำให้อยู่ในสถานะ  ของเหลว ปกป้องสิ่งมีชีวิตให้ปลอดภัยจากอันตรายของรังสีและอุกกาบาตจากนอกโลกLayers of theAtmosphereExosphereชั้ น บ ร ร ย า ก า ศบรรยากาศของโลกแบ่งออกเป็น 4 ชั้น ได้แก่1. Troposphere (โทรโพสเฟียร์)2. Stratosphere(สตราโทสเฟียร์)3. Mesosphere (มีโซสเฟียร์ )4. Thermosphere (เทอร์โมสเฟียร์ )IonosphereTHERMOSPHEREซึ่งแบ่งออกเป็นอีก 2 ชั้น คือIonosphere (ไอโอโนสเฟียร์) และ Exosphere (เอกโซสเฟียร์ )MESOSPHERESTRATOSPHERETROPOSPHERE
Troposphereชั้ น แ ห่ ง ก า ร แ ป ร เ ป ลี่ ย น ข อ ง ล ม ฟ้ า อ า ก า ศ สูงเฉลี่ยจากพื้นผิวโลกขึ้นไปราว12 กิโลเมตร
  ในเขตศูนย์สูตร จะมีความหนาราว 16กม.ขณะที่เขตอบอุ่นจะมีความหนาราว 10   กม. และต่ำกว่า 9กม. บริเวณขั้วโลกเป็นชั้นที่มีปรากฏการณ์ต่างๆ ของลมฟ้า   อากาศที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันเกิดขึ้น   ได้แก่ เมฆ หมอก ฝน หิมะ และพายุต่างๆ   เป็นต้น  อุณหภูมิของบรรยากาศชั้นนี้ จะค่อยๆลด   ลงตามระดับความสูงที่เพิ่มขึ้น  ประมาณ    6.5 องศาเซลเซียส ต่อความสูง 1 กิโลเมตร
Stratosphereชั้ น แ ห่ ง โ อ โ ซ น ผู้ ป ก ป้ อ งอยู่ถัดจากโทรโพสเฟียร์ขึ้นไปจนถึงระดับความสูงประมาณ 50 กม.
อากาศเบาบาง มีความชื้นและฝุ่นละอองเพียงเล็กน้อย
ที่ระดับความสูงประมาณ 25 – 30 กม. มีความเข้มข้นของก๊าซโอโซน (O3) มาก จึงอาจเรียกบรรยากาศชั้นนี้ได้ว่า “โอโซโนสเฟียร์” (Ozonosphere)
ด้านล่างของชั้นนี้จะหนาวเย็น แต่อุณหภูมิจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามความสูง เนื่องจากโอโซนดูดซับพลังงานและรังสี UV จากแสงอาทิตย์ จึงทำให้อากาศอุ่นขึ้น
บรรยากาศชั้นนี้มีความสงบราบเรียบ จึงใช้ประโยชน์ในการคมนาคมทางอากาศMesosphereโ ล่ ห์ ป้ อ ง กั น อุ ก ก า บ า ตอยู่ถัดจากสตราโทสเฟียร์ ที่ระดับ 50 กม. ขึ้นไปจนถึงระดับประมาณ 80 กม.
เมื่อเข้าสู่ชั้นนี้ อุณหภูมิจะเริ่มลดลงอีกครั้ง และลดลงต่ำสุดที่ราว -90 oC เมื่อถึงขอบบนของชั้นนี้
แหล่งกำเนิดปรากฏการณ์ดาวตก คือ อุกกาบาตที่ตกลงสู่โลก ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกเผาไหม้หมดไปในบรรยากาศชั้นนี้
แหล่งกำเนิดปรากฏการณ์เมฆเรืองแสง (Noctilucent Cloud) ซึ่งเกิดจากการสะท้อนแสงของเกล็ดน้ำแข็งในเมฆระดับสูง
Weather Academy
Weather Academy
Thermosphereชั้ น แ ห่ ง อ นุ ภ า ค พ ลั ง ง า น สู งบรรยากาศชั้นนอกสุด อากาศเบาบางมาก ความหนาแน่นเพียง 0.001% หรือ 1 ในแสนเท่าของอากาศที่ระดับน้ำทะเล
เริ่มตั้งแต่ระดับความสูงราว 80 กม. ขึ้นไปจนออกสู่อวกาศภายนอก
โมเลกุลอากาศในชั้นนี้มีความร้อนสูงมาก อุณหภูมิเฉลี่ยสูงถึง 1,800 oCเนื่องจากต้องปะทะกับแสงอาทิตย์โดยตรง
แต่เพราะว่าอากาศเบาบางมาก โมเลกุลอากาศจึงมีจำนวนไม่มากพอที่จะ “ชน” เทอร์โมมิเตอร์ให้อ่านค่าได้สูงกว่า 0 oCชั้นนี้แบ่งออกได้อีก เป็น ๒ ชั้นย่อยIONOSPHERE (ไอโอโนสเฟียร์) ความสูงตั้งแต่ 80กม. ถึงประมาณ    400 – 500 กม.
โมเลกุลก๊าซพลังงานสูงมีสภาพเป็นประจุไฟฟ้า หรือ “อิออน” ช่วยทำหน้าที่สะท้อนคลื่นวิทยุกลับมายังพื้นผิวโลก
แหล่งกำเนิดปรากฏการณ์แสงเหนือ-แสงใต้ (aurora) ที่เกิดจากอนุภาคจากดวงอาทิตย์วิ่งเข้าชนกับอิออนในชั้นนี้ เกิดการเรืองแสงขึ้นEXOSPHERE (เอกโซสเฟียร์ ) เป็นบรรยากาศชั้นนอกสุดที่ห่อหุ้มโลกไว้เจือจางมาก ไม่มีรอยต่อที่ชัดเจนระหว่างบรรยากาศชั้นนี้กับอวกาศ
เป็นระดับชั้นที่ดาวเทียมพยากรณ์อากาศโคจรอยู่รอบโลก
Weather Academy
Weather Academy
Weather Academy
Weather Academy
Weather Academy
Weather Academy
มี น้ำ อยู่บนท้องฟ้า ...                						จริงๆนะ!!
Weather Academy
Weather Academy
Weather Academy
Weather Academy
Weather Academy
Weather Academy
Weather Academy
Weather Academy
Weather Academy
Weather Academy
Weather Academy
Weather Academy
Weather Academy
Weather Academy
Weather Academy
Weather Academy
Weather Academy
Weather Academy
Weather Academy
Weather Academy
Weather Academy
Weather Academy
Mission 4 : Cloud Detectiveนั  ก  สื  บ  ( เ  ห  นื  อ )  เ  ม  ฆสร้างคอลเลคชั่นภาพถ่ายเมฆด้วยฝีมือของคุณเองใช้กล้องดิจิตัล หรือกล้องติดโทรศัพท์ของคุณ บันทึกภาพเมฆแบบต่างๆ ที่ได้พบสังเกต และพิจารณารูปร่างลักษณะ ความสูงของเมฆ และสภาพอากาศขณะที่พบ (เช่น ความร้อน ความชื้น) รวมถึงการเปลี่ยนแปลงก่อน หรือหลังจากที่พบเมฆนั้น ศึกษาเปรียบเทียบกับข้อมูลใน “คู่มือระบบการจำแนกชนิดเมฆ” เพื่อลองทายชนิดของเมฆที่พบบันทึกภาพถ่าย พร้อมข้อมูล วัน - เวลา และสภาพลมฟ้าอากาศ ลงใน facebookของคุณตลอดเทอมนี้ ลองค้นหาเมฆแบบต่างๆ ให้ได้อย่างน้อย ๕ แบบ
Weather Academy
Weather Academy
Mission 4 # Cloud Detective
Weather Academy
Weather Academy
Weather Academy
Weather Academy
Mission 4 # Cloud Detective
ทฤษฎี กำเนิดเมฆเมฆ คือกลุ่มของหยดน้ำเล็กๆ และผลึกน้ำแข็ง ที่อยู่รวมกันในอากาศ ที่ระดับสูงจากพื้นดินขึ้นไปมาก
เมฆ Cloudsเกิดจากมวลของอากาศบริเวณใกล้พื้นดินมีอุณหภูมิสูง  จึงลอยตัวสูงขึ้น
ในขณะที่ลอยตัวสูงขึ้นในระดับหนึ่งอุณหภูมิของมวลอากาศจะลดลง
ไอน้ำที่มวลอากาศพามาด้วยก็จะมีอุณหภูมิลดลง  และไอน้ำจะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำและก่อตัวเป็นเมฆ
โดยสามารถจัดจำแนกเมฆตาม รูปร่างลักษณะ ออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ1. เมฆคิวมูลัส หรือ เมฆก้อน2. เมฆสเตรตัส หรือ เมฆแผ่น3. เมฆเซอรัส หรือ เมฆริ้ว
เมฆคิวมูลัส (Cumulus) หรือเมฆก้อนมักพบเห็นในยามท้องฟ้าแจ่มใส อากาศดี มองดูเหมือนปุยสำลีลอยอยู่บนฟ้า  มีรูปร่างเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
เมฆสเตรตัส (Stratus) หรือเมฆแผ่ คำว่า “สเตรตัส” ในภาษาละตินแปลว่าเป็นชั้นๆ แต่มักไม่ค่อยเห็นเมฆ สเตรตัสเกิดเป็นชั้นๆตามชื่อ  กลับจะพบเป็นเมฆสีเทาแผ่เป็นแผ่นกว้างใหญ่ บางทีอาจแผ่ไปไกลหลายร้อยกิโลเมตร
เมฆเซอรัส (Cirrus) หรือ เมฆริ้วเป็นริ้วๆ เหมือนขนนก เกิดที่ระดับสูงมาก อุณหภูมิอากาศหนาวจัดจนหยดน้ำกลายเป็นผลึกน้ำแข็งขนาดจิ๋ว บางครั้งอาจเรียกว่า “เมฆหางม้า”  เพราะกระแสลมแรงจัดเบื้องบนพัดจนกลุ่มเมฆกระจายออกเป็นริ้วโค้งๆ  เหมือนกับหางม้า
ในปี ค.ศ. 1903 Luke Howard เภสัชกรชาวอังกฤษจัดระบบการแบ่งกลุ่มเมฆออกเป็น 10 ชนิด
ขึ้นกับการกำเนิดในระดับความสูงที่แตกต่างกันภายในชั้นโทรโพสเฟียร์
เป็นระบบที่นักอุตุนิยมวิทยาใช้อยู่ในปัจจุบันเมฆระดับต่ำ (Low Clouds)มีความสูงประมาณ 500 – 2,000 เมตร ประกอบด้วยอนุภาคน้ำเกือบทั้งหมด ได้แก่1. เมฆสเตรตัส  ลักษณะแผ่ออกเป็นแผ่น  แบนๆ มักมีละอองฝนปรอย (drizzle) ร่วมด้วย เกิดจากการยกตัวขึ้นของอากาศอุ่นที่มีความชื้นสูงหากเกิดใกล้พื้นผิวโลกเรียกว่า “หมอก” (fog)
เมฆระดับต่ำ (Low Clouds)มีความสูงประมาณ 500 – 2,000 เมตร ประกอบด้วยอนุภาคน้ำเกือบทั้งหมด ได้แก่2. เมฆสเตรโตคิวมูลัส  ลักษณะเป็นลอนแผ่ออกเป็นแผ่น กระจายเป็นหย่อมๆ มีสีอ่อนจนถึงเทาเข้ม หากปรากฏขึ้นยามเช้ามักเกิดฝนตกในวันนั้น
เมฆระดับต่ำ (Low Clouds)มีความสูงประมาณ 500 – 2,000 เมตร ประกอบด้วยอนุภาคน้ำเกือบทั้งหมด ได้แก่3. เมฆนิมโบสเตรตัส  ลักษณะเป็นแผ่น หรือเป็นหย่อมๆ มีสีเทาเข้มค่อนข้างดำ หากมีเมฆนี้เกิดขึ้น มักมีฝนพรำๆตกแผ่เป็นบริเวณกว้าง    ต่อเนื่องเป็นเวลานาน3
เมฆระดับปานกลาง (Middle Clouds)ความสูงประมาณ 2,000 – 6,000 เมตร  ประกอบด้วยผลึกน้ำแข็งและอนุภาคน้ำ  ชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่า “อัลโต” (Alto) ได้แก่4. เมฆอัลโตสเตรตัส  เมฆแผ่นบาง โปร่งแสง สีเทาหรือน้ำเงินอ่อน แผ่กระจายคลุมท้องฟ้าเป็นบริเวณกว้าง ทำให้เห็นพระอาทิตย์เหมือนมองผ่านกระจกฝ้า3
เมฆระดับปานกลาง (Middle Clouds)ความสูงประมาณ 2,000 – 6,000 เมตร  ประกอบด้วยผลึกน้ำแข็งและอนุภาคน้ำ  ชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่า “อัลโต” (Alto) ได้แก่5. เมฆอัลโตคิวมูลัสมีสีขาวหรือสีเทา ลักษณะเป็นคลื่นหรือเป็นลอน หากปรากฏในยามเช้าของวันที่ร้อนชื้น มักเกิดพายุฝนฟ้าคะนองขึ้นในวันนั้น3
เมฆระดับสูง (High Clouds)ความสูงประมาณ 6,000 – 10,000 เมตร  ประกอบด้วยผลึกน้ำแข็งเกือบทั้งหมดเพราะอุณหภูมิที่ระดับนี้ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง   มีชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่า “เซอโร”  (Cirro) ได้แก่6. เซอโรสเตรตัส เป็นเมฆแผ่นสีขาว ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์ หรือพระจันทร์ “ทรงกลด” (haloes)
เมฆระดับสูง (High Clouds)ความสูงประมาณ 6,000 – 10,000 เมตร  ประกอบด้วยผลึกน้ำแข็งเกือบทั้งหมดเพราะอุณหภูมิที่ระดับนี้ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง   มีชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่า “เซอโร”  (Cirro) ได้แก่7. เซอโรคิวมูลัส เป็นเมฆสีขาว มีลักษณะคล้ายระลอก หรือฟองคลื่นเล็กๆหรือเกล็ดปลา
เมฆระดับสูง (High Clouds)ความสูงประมาณ 6,000 – 10,000 เมตร  ประกอบด้วยผลึกน้ำแข็งเกือบทั้งหมดเพราะอุณหภูมิที่ระดับนี้ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง   มีชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่า “เซอโร”  (Cirro) ได้แก่8. เซอรัสเมฆสีขาว โปร่งแสง ลักษณะเป็นเส้นๆ ยาวต่อเนื่องกันคล้ายขนนก หรือหางม้า
เมฆก่อตัวในแนวตั้ง (Vertical Development Clouds)ฐานเมฆอยู่ที่ระดับประมาณ 1 กิโลเมตร แต่ยอดเมฆอาจมีความสูงได้มากถึงสุดขอบชั้นโทรโพสเฟียร์ ที่ราว 10 – 12 กิโลเมตร9. คิวมูลัสเมฆก้อน เกิดจากการยกตัวของมวลอากาศอุ่นขึ้นจากพื้นโลก ไอน้ำในอากาศเย็นลงและควบแน่นเป็นหยดเล็กๆ โดยทั่วไปมีอายุสั้น ราว 5 – 40 นาที แต่ก็อาจพัฒนาไปเป็นเมฆฝนได้
เมฆก่อตัวในแนวตั้ง (Vertical Development Clouds)ฐานเมฆอยู่ที่ระดับประมาณ 1 กิโลเมตร แต่ยอดเมฆอาจมีความสูงได้มากถึงสุดขอบชั้นโทรโพสเฟียร์ ที่ราว 10 – 12 กิโลเมตร10. คิวมูโลนิมบัส(cumulonimbus)“นิมบัส” ในภาษาละตินหมายถึง “ฝน” พัฒนามาจากเมฆคิวมูลัส เป็นเมฆพายุฝนฟ้าคะนอง สีเทาเข้มถึงดำ บางครั้งในเขตศูนย์สูตร สามารถก่อตัวขึ้นสูงถึง 15 กม. (เมฆหอคอย) และกระหน่ำฝน 0.9 เมตร ได้ภายในบ่ายเดียว
Mission # 4 มายากล อากาศยกน้ำรินน้ำใส่แก้วจนปริ่ม วางกระดาษแข็งปิดปากไว้ ถือแก้วไว้เหนืออ่าง ค่อยๆ คว่ำแก้วลง น้ำจะยังอยู่ในแก้วบันทึกการทดลอง และร่วมกันวิเคราะห์ว่าทำไม น้ำจึงไม่ไหลออกมา?อากาศมีแรงดันทุกทิศทาง
แรงดันของอากาศในทิศที่ขึ้นสู่ด้านบน มีมากกว่าน้ำหนักของน้ำในแก้ว จึงทำให้น้ำยังคงอยู่ในแก้วได้
ค่อยๆ กดมุมกระดาษเพื่อเปิดปากแก้วให้อากาศเข้า ขณะนี้อากาศจะมีแรงกดลงเช่นเดียวกับแรงดันขึ้น กระดาษจึงหล่นลงและน้ำไหลออกจากแก้วแล้วเมื่อใด ที่มายากลนี้ ไม่ได้ผล?รูปทรงของภาชนะมีผลต่อการทดลองนี้หรือไม่ วัดขนาดของปากแก้วและความสูง ทำการทดลองและเปรียบเทียบผลกับภาชนะรูปทรงต่างๆ กันมายามายากล กระดาษหนัก?เมื่อทุบปลายไม้บรรทัดแรงๆ พบว่ายกกระดาษขึ้นได้ยาก เพราะว่ามี “น้ำหนัก” ของมวลอากาศกดทับลงบนกระดาษเชื่อหรือไม่? แม้สาวนักปีนเขาคนนี้ปลดเป้ลงจากหลังแล้ว แต่ยังคงมีน้ำหนักลึกลับ  กดทับบนไหล่ของเธออยู่ อนุภาคของอากาศประกอบด้วยอะตอมและโมเลกุล   ซึ่งมี “มวล” ดังนั้นอากาศจึงมีมวล และ เพราะว่าอากาศมีมวลจึงมี “ความหนาแน่น”(Density)และ “ความดัน” (Pressure)ในปริมาตรที่เท่ากัน หากโมเลกุลของอากาศ เพิ่มขึ้น หรือ ลดลง   ความหนาแน่นของอากาศจะเป็นอย่างไร?“ความหนาแน่น” หมายถึง สัดส่วนของมวลต่อปริมาตรAir Pressureค ว  า  ม  ดั  น  อ  า  ก  า  ศจากการทดลองที่ผ่านมา (อากาศยกน้ำ/ กระดาษหนัก) เราได้เรียนรู้ว่า  อากาศมีแรงดันทุกทิศทุกทาง
  แรงดันอากาศบนพื้นที่ขนาดต่างๆกัน จะมีค่าไม่เท่ากัน
  ถ้าพื้นที่มาก  แรงดันอากาศที่กระทำต่อพื้นที่จะมีมาก
ความดันอากาศ หรือ ความกดอากาศ หมายถึง แรง    ที่เกิดจากน้ำหนักของแท่งมวลอากาศ (air column)    ที่กดทับลงบน พื้นที่ นั้น แท่งมวลอากาศ จะมีความสูงขึ้นไปตลอดจนสุดขอบ    ของบรรยากาศ
Measuring Air Pressure“Torricelli’s emptiness” สูญญากาศทอริเซลลี่ก า ร วั ด ค ว า ม ดั น อ า ก า ศลำน้ำความสูง 10ม.ค.ศ.1644 EVANGELISTA TORRICELLI (ลูกศิษย์ของกาลิเลโอ) ประดิษฐ์ “บารอมิเตอร์”      เครื่องแรก และพิสูจน์ว่า อากาศมีความดันเขาตระหนักว่าเป็นเพราะน้ำหนัก หรือ 	“ความดัน” ของอากาศที่กระทำต่อน้ำในอ่าง 	ที่ทำให้น้ำในหลอดแก้วไม่ไหลลงมาเนื่องจากลำน้ำมีความสูงเกินไป ไม่สะดวก      ต่อการใช้งาน ต่อมา เขาจึงเปลี่ยนเป็นใช้ปรอทหลอดแก้วปลายปิดด้านบนอ่างน้ำ
Barometerเ ค รื่ อ ง มื อ วั ด ค ว า ม ก ด อ า ก า ศเติมปรอทลงในหลอดแก้วยาว 1 เมตร จนเต็ม คว่ำปลายด้านเปิดลงในอ่างปรอทระดับปรอทในหลอดแก้วลดต่ำลงอยู่ที่ราว 76 ซม.  	โดยมีด้านบนสุดของปลายปิดเป็นสุญญากาศVacuum สุญญากาศระดับปรอทความดันอากาศกดลงบนผิวปรอทในอ่าง ทำให้ลำปรอทยกค้างอยู่ในหลอดเมื่อความดันอากาศสูงขึ้น ทำให้ลำปรอทถูกยกสูงขึ้น
Mercury Barometerปรอทมีความหนาแน่นมากกว่าน้ำ 13.6 เท่า  ระดับปรอทในบารอมิเตอร์จึงต่ำกว่าระดับน้ำในบารอมิเตอร์ 13.6 เท่าความกดอากาศที่ระดับน้ำทะเล สามารถดันปรอท         ในหลอดแก้วให้สูงได้ถึง 760 มิลลิเมตร (mm.)  เรียกว่า “ความดัน 1 บรรยากาศ”  (atm)บารอมิเตอร์แบบปรอท เป็นแบบที่วัดความดันอากาศได้แม่นยำที่สุดในทางอุตุนิยมวิทยา เรียก   ความดันของอากาศว่า      “ความกดอากาศ”  หน่วยความกดอากาศที่นิยมใช้มีอยู่หลายหน่วย  ได้แก่ มิลลิบาร์   (millibar)นิ้วปรอท (inchHg)มิลลิเมตรปรอท (mmHg) ฯลฯ1 บาร์ เท่ากับ 1,000 มิลลิบาร์
1,013.25 มิลลิบาร์  เท่ากับ 1 บรรยากาศAneroid Barometerแอนิรอยด์บารอมิเตอร์มีหน้าปัดคล้ายนาฬิกา
ทำงานโดยใช้หลักความแตกต่างของความดัน   อากาศของ 2  บริเวณประกอบด้วยตลับโลหะปิดผนึกที่นำอากาศออก   บางส่วน เชื่อมต่อกับกลไกที่แสดงค่าความดันอากาศได้โดยตรงหน่วยมิลลิบาร์หน่วยปอนด์ต่อตร.นิ้ว  เมื่อความดันอากาศภายนอกเพิ่มขึ้นจะดันให้ตลับโลหะยุบตัวลง แต่ถ้าความดันภายนอกลดลง ตลับโลหะจะพองตัวขึ้น  การยุบหรือพองตัวของตลับโลหะจะเชื่อมต่อกับกลไกแสดงค่าความดันอากาศค่าความดันที่ตกลงอย่างรวดเร็วคือแนวโน้ม      ว่าฝนจะตก ในขณะที่ค่าความดันที่เพิ่มขึ้น     คือสัญญาณของอากาศปลอดโปร่ง
Mission 4 : Measuring Air Pressureภ า ร กิ จ วั ด ค ว า ม ก ด อ า ก า ศทดลองสร้างเครื่องมือวัดความกดอากาศด้วยตนเองทำ nature sketch เครื่องมือที่สร้างขึ้นสังเกตและบันทึกการเปลี่ยนแปลงของความกดอากาศและสภาพลมฟ้าอากาศตลอดทั้งวัน เป็นเวลา ๑ สัปดาห์22 มิ.ย. 15.30 น.    ลดลง 2 ขีด       ครึ้มฟ้าครึ้มฝน
Altitude and Density & Pressure of The Airความหนาแน่นและความดันของอากาศที่ระดับความสูงต่างๆที่ระยะความสูงจากพื้นผิวโลกต่างกัน  ความหนาแน่นของอากาศก็จะแตกต่างกัน
เมื่อความสูงเพิ่มขึ้น ความหนาแน่นของอากาศจะลดลง หมายถึงโมเลกุลของก๊าซในบรรยากาศจะอยู่ห่างไกลกันมากกว่า เมื่อเทียบกับ ณ ระดับน้ำทะเล
เมื่อความหนาแน่นของอากาศลดลง ความกดอากาศก็จะลดลงด้วยAltitude and Density & Pressure of The Airความหนาแน่นและความดันของอากาศที่ระดับความสูงต่างๆณ ยอดเขาเอเวอเรสต์ ความสูง8,800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ความหนาแน่นของอากาศรอบตัวลดลงเหลือเพียงราว 1 ใน 4 เท่าของระดับปกติ จะส่งผลอย่างไรต่อร่างกายของนักไต่เขาผู้นี้?อัลติมิเตอร์ (altimeter)เครื่องมือวัดความสูง    โดยใช้หลักการเดียวกับ          แอนิรอยด์บารอมิเตอร์    โดยเฉลี่ยแล้ว ความกดอากาศจะลดลง 1 มิลลิเมตรปรอท       (mmHg) เมื่อความสูงเพิ่มขึ้นประมาณ 11 เมตร        จากระดับน้ำทะเล
มายากล “เสกขวดให้แบนเทน้ำเดือดประมาณครึ่งถ้วยกาแฟใส่ขวดพลาสติกเปล่าปิดฝาจุกให้แน่น จับบริเวณคอขวดด้านบน แกว่งขวดไปมาเบาๆ ให้น้ำร้อนกระจายไปทั่วภายในขวดราว ๑ นาที สังเกตว่ารูปทรงของขวดมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรค่อยๆ หมุนเพื่อเปิดฝา สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นขณะที่ฝาถูกเปิดคว่ำขวดเพื่อเทน้ำร้อนออกจนหมด แล้วรีบปิดฝาอย่างรวดเร็ววางขวดลงบนโต๊ะ ร่ายเวทมนตร์สังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับขวด!
มายากลมือที่มองไม่เห็นตัดแผ่นอลูมิเนียมเป็นวงกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว ๑๐ เซนติเมตร เจาะรูเล็กๆ ตรงกลางด้วยปลายวงเวียน ตัดแผ่นวงกลมให้เป็รูปเกลียวคล้ายขดยากันยุง ร้อยเส้นด้ายยาว ๑ เมตรกับรูที่เจาะไว้จับปลายอีกด้านหนึ่งของเส้นด้าย ห้อยแผ่นรูปเกลียวไว้เหนือแหล่งความร้อน (เช่น เปลวเทียน หรือ hot plate)ที่ระดับความสูงราว ๑๐ เซนติเมตรสังเกตปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับแผ่นรูปเกลียว คิดว่าเกิดขึ้นจากสาเหตุใด
เกิดอะไรขึ้น เมื่อ อากาศ ร้อน ถ้าคนกลุ่มหนึ่งยืนนิ่ง พวกเขาสามารถยืนอยู่ใกล้กัน และไม่ใช้พื้นที่ว่างมากนัก
 แต่ถ้าคนกลุ่มนี้เริ่มเต้นรำ พวกเขาจะต้องการใช้ที่ว่างมากขึ้น และขนาดของกลุ่มจะเริ่มขยายออก
ในทำนองเดียวกัน เมื่ออากาศร้อนขึ้น โมเลกุลของอากาศมี พลังงาน สูงขึ้นเริ่มเคลื่อนที่มากขึ้น มันจึงต้องการพื้นที่ว่างมากขึ้น อากาศจึงขยายตัว
 สังเกตว่าจำนวนโมเลกุลไม่ได้เพิ่มขึ้น หรือขนาดของโมเลกุลไม่ได้ใหญ่ขึ้น แต่เพราะกลุ่มโมเลกุลต้องการครอบครองพื้นที่ว่างมากขึ้นความร้อน กับความดันอากาศและลมเมื่ออากาศได้รับความร้อน โมเลกุลอากาศมีพลังงานสูงขึ้น
โมเลกุลเคลื่อนที่เร็วขึ้น ต้องการพื้นที่ว่างมากขึ้น เกิดการชนกระแทกกับโมเลกุลอื่นๆ ที่อยู่ใกล้กัน
ทำให้เกิดระยะห่างระหว่างโมเลกุลมากขึ้น ปริมาตรของอากาศจึงขยายตัว
โมเลกุลอากาศร้อนลอยขึ้นสู่ที่สูง ความหนาแน่นของอากาศบริเวณนั้นจึง ลดลง
ทำให้ความดันของอากาศบริเวณนั้น ลดลง
เกิดความแตกต่างของความดันอากาศระหว่างบริเวณนั้น กับพื้นที่ใกล้เคียง
มวลอากาศบริเวณที่มีความดันสูงกว่า ไหลเข้ามาสู่บริเวณที่มีความดันต่ำกว่า
เกิด “กระแสลม”การถ่ายเทความร้อน Heat Transferความร้อน สามารถถ่ายเทจากวัตถุที่ร้อนกว่าไปสู่วัตถุที่เย็นกว่าได้ 3 วิธีการนำความร้อน          (Conductionคอน-ดัค-ชัน)    ถ่ายเทโดยการสัมผัส จากโมเลกุลวัตถุหนึ่งสู่โมเลกุลของอีกวัตถุหนึ่งheat convection  currentการพาความร้อน (Convectionคอน-เว็ค-ชัน) เกิดในของเหลวและก๊าซ โดยขณะโมเลกุลเคลื่อนที่ จะมีการพาความร้อนไปด้วยการแผ่รังสี (Radiationเร-ดิ-เอ-ชัน) ถ่ายเทโดยตรงในรูปของพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ลมWINDลม คืออากาศที่เคลื่อนที่
เกิดขึ้นเนื่องจากอุณหภูมิของอากาศมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งทำให้ความกดอากาศเกิดการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
ซึ่งเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น อากาศขยายตัว ความกดอากาศจะลดลง และเมื่ออุณหภูมิลดลง อากาศหดตัว ความกดอากาศก็จะเพิ่มขึ้น
ลม จะพัดจากบริเวณที่มีความกดอากาศสูง (อุณหภูมิต่ำ) ไปสู่บริเวณที่มีความกดอากาศต่ำ (อุณหภูมิสูง)ลมในท้องถิ่น Local Windsกระแสลมอ่อนที่พัดอยู่ในระยะใกล้ๆ เกิดจากความแตกต่างของระดับความร้อนที่พื้นผิวโลกภายในอาณาบริเวณเล็กๆตอนกลางวัน แผ่นดินดูดความร้อนได้เร็วกว่าน้ำ อากาศอุ่นบนแผ่นดินลอยขึ้น อากาศเย็นจากทะเลไหลเข้าสู่ฝั่งเพื่อแทนที่ เกิด “ลมทะเล”
ตอนกลางคืน แผ่นดินคายความร้อนได้เร็วกว่าน้ำ จึงเย็นกว่า อากาศเย็นจากแผ่นดินไหลออกสู่ทะเล เข้าแทนที่อากาศอุ่นเหนือผิวน้ำที่ลอยขึ้น เกิด “ลมบก”Global Air Convection Currentsวงจรพาความร้อนของอากาศในระดับโลกพื้นผิวโลกได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์ไม่เท่ากัน
ใกล้เขตศูนย์สูตร รังสีจากดวงอาทิตย์ทำมุมตรงเข้าสู่พื้นผิวโลก ได้รับพลังงานมากกว่า
ใกล้ขั้วโลก รังสีจากดวงอาทิตย์ทำมุมเฉียงกับพื้นผิวโลก จึงได้รับพลังงานน้อยกว่าอากาศร้อนที่ลอยตัวอยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรจะแผ่ออกและเย็นลง และจมตัวลงบริเวณละติจูดที่ 30o เหนือ และ ใต้ เส้นศูนย์สูตร
อากาศที่จมลง จะ กด ลงบนพื้นผิวโลก ก่อให้เกิดบริเวณความกดอากาศสูง จากนั้น จะเคลื่อนไปทางเหนือและใต้ เข้าสู่บริเวณความกดอากาศต่ำ
ที่บริเวณละติจูด 60o  เหนือและใต้ อากาศเย็นเคลื่อนที่ออกจากขั้วโลก มาปะทะกับอากาศร้อนจากเขตศูนย์สูตร
อากาศร้อนมีความหนาแน่นน้อยกว่า ถูกบังคับให้ลอยสูงขึ้น ทำให้เกิดบริเวณความกดอากาศต่ำที่พื้นผิว
อากาศนี้จะเย็นและจมลงที่ขั้วโลกเกิดเป็นบริเวณความกดอากาศสูงบริเวณความกดอากาศ    ที่สำคัญของโลก
หากว่า“โลกไม่หมุนลมจะพัดตรงจากขั้วโลกไปสู่เส้นศูนย์สูตรตามแนวเหนือใต้
วงจรการไหลเวียนของอากาศ จะมีเพียง 2 วงจร จากขั้วโลกทั้งสองไปสู่แถบศูนย์สูตร
โดยอากาศร้อนจากแถบศูนย์สูตรจะลอยขึ้นสูง แล้วไหลไปสู่ขั้วโลกที่อากาศเย็นกว่า ขณะที่อากาศเย็นจากขั้วโลกจะไหลมาตามผิวโลกกลับสู่เขตศูนย์สูตรแต่เพราะว่า โลกหมุนทิศการหมุนของโลกขณะที่กระแสลมพัดอยู่เบื้องบน พื้นผิวโลกเบื้องล่างมีการหมุนจากตะวันตกไปสู่ตะวันออก
จึงทำให้กระแสลมเคลื่อนที่เป็นเส้นโค้งโดยมีสาเหตุมาจากการหมุนรอบตัวเองของโลก
แรงที่ทำให้ลมมีทิศทางการเคลื่อนที่เปลี่ยนไปนี้เรียกว่า “แรงเฉ” หรือ “แรงโคริโอลิส”เส้นทางกระแสลมที่เป็นจริงเส้นทางกระแสลมหากโลกไม่หมุนเส้นทางกระแสลมที่เป็นจริงGustaveGaspard de Coriolis  (1792 – 1843)
Global Wind Beltsกระแสลมสำคัญบนโลกลมขั้วโลกในซีกโลกเหนือ ลมที่พัดไปทางทิศเหนือหรือใต้จะเบนไปทาง ขวา  ขณะที่ใน ซีกโลกใต้ ลมจะเบนไปทาง ซ้าย
 วงจรการไหลเวียนของอากาศแตกออกเป็น 6 วง แต่ละวงมีรูปแบบการพัดที่แน่นอน
 ชาวเรือใช้ในการเดินเรือมาแต่ครั้งโบราณ
 ระหว่างละติจูดที่ 30 องศาเหนือ และ 30 องศาใต้ ลมที่พัดเข้าหาศูนย์สูตรจะพัดจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก เรียกว่า “ลมสินค้า”
 ในเขตอบอุ่น ลมที่พัดสู่ขั้วโลกจะเบนจากทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออก เรียกว่า “ลมตะวันตก”
  และในเขตขั้วโลก ก็มี “ลมตะวันออกแถบขั้วโลก”ลมตะวันตกลมค้าตะวันออกเฉียงเหนือลมค้าตะวันออกเฉียงเหนือลมตะวันตก
Seasonal Wind ลมประจำฤดูเนื่องจากลมบกและลมทะเลเป็นลมที่พัดอย่างเด่นชัดในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่งในรอบวันจึงเรียกลมนี้ว่า “ลมประจำเวลา”
 แต่นอกจากนี้ ยังมีลมที่พัดอยู่อย่างเด่นชัดในช่วงฤดูใดฤดูหนึ่งในรอบปีเรียกว่า “ลมประจำฤดู”  ชนิดหนึ่งที่ปรากฏในแถบอุษาคเนย์ ได้แก่ “ลมมรสุม”ตำแหน่งการหันมุมแกนโลกและการเกิดฤดูกาลกันยายนซีกโลกฝั่งเหนือเป็นฤดูใบไม้ร่วงมิถุนายนซีกโลกฝั่งเหนือหันสู่ดวงอาทิตย์ เป็นช่วงฤดูร้อนธันวาคมซีกโลกฝั่งเหนือหันออกจากดวงอาทิตย์ เป็นฤดูหนาวกันยายนซีกโลกฝั่งเหนือเป็นฤดูใบไม้ร่วง
Monsoonลมมรสุม มาจากคำว่า Mausim ในภาษาอาหรับ แปลว่า “ฤดูกาล” (season)
  ก่อนนี้ใช้เรียกลมที่เกิดขึ้นในทะเลอาหรับเท่านั้น
 เป็น ลมประจำฤดูกาล เกิดขึ้นจากความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิของแผ่นพื้นทวีปและทะเล ในช่วงฤดูร้อน และฤดูหนาว
 พัดจากพื้นทวีปไปสู่ทะเลเป็นระยะเวลา 6 เดือน และเปลี่ยนกลับไปทิศทางตรงข้ามคือ พัดจากทะเลไปสู่พื้นทวีปเป็นระยะเวลา 6 เดือน ใน ฤดูหนาว อุณหภูมิของดินบนพื้นทวีปเย็นกว่าอุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทร  อากาศเหนือมหาสมุทรมีอุณหภูมิสูงกว่าและลอยตัวขึ้นสู่เบื้องบน  อากาศเหนือพื้นทวีปซึ่งเย็นกว่าจะไหลเข้าไป      แทนที่  ทำให้เกิดลมพัดออก             จากทวีปไปสู่มหาสมุทรใน ฤดูร้อน อุณหภูมิของ      ดินบนภาคพื้นทวีปจะร้อนกว่าอุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทร  ทำให้เกิดลมพัดจาก มหาสมุทรเข้าสู่ฝั่งทวีป
ประเทศไทยอยู่ภายใต้อิทธิพลของลมมรสุม 2  ชนิดคือ ฤ ดู ห น า วฤ ดู ร้ อ นลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้       (Southwest monsoon)ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ      (Northeast monsoon)
Southwest Monsoonลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปสู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
เกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนจึงเรียกว่า  “ลมมรสุมฤดูร้อน”    โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม
ลมมรสุมนี้จะพัดนำมวลอากาศชื้นจากมหาสมุทรอินเดียมาสู่ประเทศไทย  ทำให้มีเมฆมากและฝนตกชุกโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณชายฝั่งทะเลฤ ดู ร้ อ น
Northeast Monsoonลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือเป็นลมมรสุมที่พัดจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือไปสู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้
 เกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาวจึงเรียกว่า    “ลมมรสุมฤดูหนาว”  โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์
ลมมรสุมชนิดนี้จะพัดพานำมวลอากาศเย็นและแห้งแถบประเทศมองโกเลียและจีนนำมาสู่ประเทศไทย  ทำให้ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ มีอากาศหนาวเย็นและแห้งแล้ง  ภาคใต้มีฝนตกชุกฤ ดู ห น า ว
Weather Academy
Measuring The Wind
Measuring The Wind
Measuring The Wind
มายากล สร้างเมฆในขวดเตรียมขวดพลาสติกใสหนึ่งใบ เติมน้ำใส่ขวดเพียงเล็กน้อยเขย่าขวดแรงๆ เพื่อให้ไอน้ำจับตัวกับอากาศในขวดเทน้ำออก รีบปิดฝาขวดให้แน่นใช้มือสองข้างจับขวดให้แน่น บีบขวดอย่างแรง แล้วคลาย สังเกตภายในขวดคว่ำขวดลง เปิดฝา ใส่ควันธูปเข้าไปในขวด ปิดฝาให้แน่นลองบีบขวดอย่างแรงอีกครั้งหนึ่ง คลายแรงบีบ แล้วสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นภายในขวดลองอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเข้าใจ
ทฤษฎี การเกิดเมฆเกิดจากการเย็นตัวลงของอากาศ ทำให้ไอน้ำ                                     (water vapor) ในอากาศ เกิดการ “กลั่นตัว” หรือ “ควบแน่น”                                       (condensation) เป็น “หยาดเมฆ” ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกำเนิดเมฆแตกต่างกันไปตามอุณหภูมิการกลั่นตัว หรือเรียกว่า “จุดน้ำค้าง” (dew point)                                         หยาดเมฆอาจอยู่ในรูปของเหลว หรือผลึกน้ำแข็งหยาดเมฆที่มีขนาดเล็ก เบาพอที่กระแสอากาศสามารถพยุงให้ลอยอยู่ในอากาศได้จนกว่าจะควบแน่นจนมีขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก จึงตกลงสู่พื้นโลกในรูป “หยาดน้ำฟ้า” ได้แก่ ฝน หิมะ และ ลูกเห็บ
ทฤษฎี การเกิดเมฆไอน้ำจะควบแน่นเป็นละอองน้ำได้ จำเป็นต้องมีแกนให้ไอน้ำเกาะ เรียกว่า “แกนการกลั่นตัว” (condensation nuclei – คอนเดนเซชั่น นิวคลีไอ) ซึ่งได้แก่ ฝุ่นละออง ผงเกลือ เขม่าจากโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้นหากอากาศสะอาด ปราศจากฝุ่นละออง (aerosol - แอโรซอล) การกลั่นตัวของไอน้ำจะเกิดขึ้นได้ยากมาก การเคลื่อนที่ของกระแสอากาศมีผลต่อการกำเนิดของเมฆขณะลมสงบ มีการยกตัวเบาบาง มีแนวโน้มที่จะเกิดเมฆแผ่ (stratus)ในภาวะที่มีลมพัดแรง หรือกระแสอากาศยกตัวขึ้นในแนวดิ่งอย่างรุนแรง เมฆจะก่อตัวเป็น “เมฆก้อน” (cumulus) หรือ “เมฆหอคอย” (cumulonimbus)
เมฆที่เกิดจากการพาความร้อนเกิดจากอากาศได้รับความร้อนจากพื้นดิน
ทำให้ความหนาแน่นลดลง จึงลอยสูงขึ้น
อุณหภูมิลดลง ไอน้ำเกิดการควบแน่นเป็นหยดน้ำเล็กๆเมฆที่เกิดจากแนวปะทะของอากาศเกิดจากการชนกัน ระหว่างมวลอากาศร้อน และมวลอากาศเย็น มวลอากาศร้อนถูกยกให้ลอยขึ้นเหนือมวลอากาศเย็นซึ่งมีความหนาแน่นมากกว่าบริเวณที่ชนกันเรียกว่า “แนวปะทะของอากาศ”
Weather Academy

More Related Content

PPTX
งานนำเสนLlอ32
PDF
โลกเเละการเปลี่ยนเเปลง
PDF
กระบวนการเปลี่ยนเเปลงลมฟ้าอากาศ
PDF
การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของโลก
PDF
โลกดาราศาสตร์ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก
PPTX
บทที่ 1 โครงสร้างของโลก
PDF
โลกดาราศาสตร์ เรื่อง ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโลก
PDF
โลกและการเปลี่ยนแปลง
งานนำเสนLlอ32
โลกเเละการเปลี่ยนเเปลง
กระบวนการเปลี่ยนเเปลงลมฟ้าอากาศ
การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของโลก
โลกดาราศาสตร์ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก
บทที่ 1 โครงสร้างของโลก
โลกดาราศาสตร์ เรื่อง ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโลก
โลกและการเปลี่ยนแปลง

What's hot (20)

PDF
Astronomy 03
PDF
สรุป วิชาโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ
DOCX
แบบฝึกหัด เรื่อง ธรณีภาค
PPT
พลังงานใต้พื้นภิภพ
PDF
โลก ดาราศาสตร์ อวกาศ ม.4 เล่ม 1_บทที่ 1 โครงสร้างโลก
PDF
Astronomy 02
PDF
ส่วนประกอบของโลก
PDF
โลกของเรา
PDF
โลกและการเปลี่ยนแปลง
PPTX
โลก ดาราศาสตร์ อวกาศ ม.4 เล่ม 1_บทที่ 2 การแปรสัณฐานของแผ่นธรณี
PDF
Physical geology 1 3
PPT
การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก
PDF
โลกของเรา (The Earth)
PPT
Change e2009 1
PPT
Earth1
PPT
Earth1
PDF
สื่อการสอนเรื่องโลกและการเปลี่ยนแปลง
PDF
อากาศภาค
Astronomy 03
สรุป วิชาโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ
แบบฝึกหัด เรื่อง ธรณีภาค
พลังงานใต้พื้นภิภพ
โลก ดาราศาสตร์ อวกาศ ม.4 เล่ม 1_บทที่ 1 โครงสร้างโลก
Astronomy 02
ส่วนประกอบของโลก
โลกของเรา
โลกและการเปลี่ยนแปลง
โลก ดาราศาสตร์ อวกาศ ม.4 เล่ม 1_บทที่ 2 การแปรสัณฐานของแผ่นธรณี
Physical geology 1 3
การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก
โลกของเรา (The Earth)
Change e2009 1
Earth1
Earth1
สื่อการสอนเรื่องโลกและการเปลี่ยนแปลง
อากาศภาค
Ad

Similar to Weather Academy (20)

PPT
Atmosphere
PDF
องค์ประกอบและการแบ่งชั้นบรรยากาศ
PDF
ทรัพยากรอากาศ2
PDF
ทรัพยากรอากาศ2
PDF
ทรัพยากรอากาศ
PDF
บรรยากาศ(Atmosphere)
DOCX
โครงสร้างบรรยากาศ
PDF
บรรยากาศที่ห่อหุ้มโลก
PPT
บรรยากาศที่ห่อหุ้มโลก
PDF
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง เรียนรู้ชั้นบรรยากาศ
PDF
ชั้นบรรยากาศ
PPT
บรรยากาศ
PPTX
ลมฟ้าอากาศ บรรยากาศ
PDF
การพยากรณ์อากาศ
PDF
แบบฝึกหัดทบทวนก่อนสอบกลางภาค2 ม.1 2 55
PDF
แบบฝึกหัดทบทวนก่อนสอบกลางภาค2 ม.1 2 55
PPTX
ลม ฟ้า อากาศ
PPT
Climate change2009
PDF
Sci31101 cloud
Atmosphere
องค์ประกอบและการแบ่งชั้นบรรยากาศ
ทรัพยากรอากาศ2
ทรัพยากรอากาศ2
ทรัพยากรอากาศ
บรรยากาศ(Atmosphere)
โครงสร้างบรรยากาศ
บรรยากาศที่ห่อหุ้มโลก
บรรยากาศที่ห่อหุ้มโลก
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง เรียนรู้ชั้นบรรยากาศ
ชั้นบรรยากาศ
บรรยากาศ
ลมฟ้าอากาศ บรรยากาศ
การพยากรณ์อากาศ
แบบฝึกหัดทบทวนก่อนสอบกลางภาค2 ม.1 2 55
แบบฝึกหัดทบทวนก่อนสอบกลางภาค2 ม.1 2 55
ลม ฟ้า อากาศ
Climate change2009
Sci31101 cloud
Ad

Weather Academy