Recommended
ลักษณะของข้อมูลที่ดีและการจัดเก็บข้อมูล
งานนำเสนอ การจัดการฐานข้อมุล
บทที่ 1 แนวคิดทั่วไปเกี่ยวกับฐานข้อมูล
การจัดการข้อมูลด้วยระบบการจัดการฐานข้อมูล
นางสาว หัทยา เชื้อสมเกียรติ ม.5 pp
หน่วยที่ 1เรื่อง การจัดการข้อมูล ธนพงษ์ น่านกร ม.5
01 introduction to data mining
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูล
บทที่ 2 ข้อมูลและสารสนเทศ
หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา ปาโจด ม.5
Lecture1 การประมวลผลข้อมูล และฐานข้อมูล
More Related Content
ลักษณะของข้อมูลที่ดีและการจัดเก็บข้อมูล
งานนำเสนอ การจัดการฐานข้อมุล
บทที่ 1 แนวคิดทั่วไปเกี่ยวกับฐานข้อมูล
การจัดการข้อมูลด้วยระบบการจัดการฐานข้อมูล
What's hot (19)
นางสาว หัทยา เชื้อสมเกียรติ ม.5 pp
หน่วยที่ 1เรื่อง การจัดการข้อมูล ธนพงษ์ น่านกร ม.5
01 introduction to data mining
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับฐานข้อมูล
บทที่ 2 ข้อมูลและสารสนเทศ
หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา ปาโจด ม.5
Lecture1 การประมวลผลข้อมูล และฐานข้อมูล
Viewers also liked (9)
Computer Networking System
แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วย3-ม2
Similar to Data processing (20) หน่วยที่1 เรื่อง เทคโนโลยีการสื่อสาร นางสาว สิรินยา ปาโจด ม.5
นางสาวศศิพร สิทธิมงคล ม.5
นางสาว หัทยา เชื้อสมเกียรติ ม.5 pp
More from chukiat008 (20) สาระวิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี ม.3
สาระวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี ม.1
การงานอาชีพและเทคโนโลยี ม.2
การสื่อสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์
Hardware and data information
Data processing5. บทนำ ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ บนโลกนี้มีอยู่มากมายมหาศาล การที่จะจัดการกับข้อมูลเหล่านี้ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการใช้งาน ต้องอาศัยเครื่องมือ กระบวนการ วิธีการต่าง ๆ เพื่อทำการประมวลผลข้อมูลให้ได้สารสนเทศที่ดี มีประโยชน์สามารถจัดเก็บและค้นคืนมาใช้งาน ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ตลอดเวลา การประมวลผลข้อมูล 6. ความหมายของข้อมูลและสารสนเทศ ข้อมูล (Data) หมายถึง ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับคน สัตว์ วัตถุ สิ่งของ หรือลักษณะต่าง ๆ ที่อาจอยู่ในรูปข้อความ ตัวเลข สัญลักษณ์ ภาพ และเสียง หรือผสมผสานกันไป เช่น ชื่อนักศึกษา จำนวนอาจารย์ อายุ เพศ คะแนน รายการสินค้า ฯลฯ การประมวลผลข้อมูล 7. ความหมายของข้อมูลและสารสนเทศ สารสนเทศ (Information) หมายถึง ข่าวสารที่ได้จากการนำข้อมูลมาคำนวณทางสถิติหรือประมวลผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ออกมานั้นจะอยู่ในรูปที่สามารถนำไป ใช้งานได้ทันที การประมวลผลข้อมูล 9. กระบวนการผลิตสารสนเทศ การประมวลผลข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูล (Capturing) การตรวจสอบข้อมูล (Verifying) การจำแนก ( Classifying) การจัดเรียงข้อมูล (Arranging) การคำนวณ (Calculating) การสรุป (Summarizing) 10. กระบวนการผลิตสารสนเทศ การประมวลผลข้อมูล การเรียกใช้ (Retrieving) การเผยแพร่ (Disseminating and Reproducing) การจัดเก็บ (Storing) 12. วิธีการประมวลผลข้อมูล การประมวลผลข้อมูล การประมวลผลแบบกลุ่ม (Batch Processing) การประมวลผลออนไลน์ (Online Processing) วิธีการประมวลผลข้อมูล ในระบบคอมพิวเตอร์ 13. การประมวลผลออนไลน์ (Online Processing) เป็นเทคนิคการประมวลผลแบบสุ่ม จะประมวลผลตามเวลาที่เกิด การประมวลผลออนไลน์นี้จัดว่าเป็นการประมวลผลแบบ Real-Time Processing หมายความว่า จะทำการประมวลผลทันทีโดยไม่ต้องรอรวบรวมข้อมูล รายการจะถูกนำไปประมวลผลและได้ผลลัพธ์ทันที การประมวลผลแบบ Real-Time นี้ จะมีเทอร์มินัลต่อเข้ากับ CPU โดยตรง ข้อมูลจะมีความทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ระบบลักษณะนี้เรียกว่า Online System เช่น การฝาก - ถอนเงินของธนาคารด้วย ATM การประมวลผลข้อมูล 14. การประมวลผลแบบกลุ่ม (Batch Processing) คือ การประมวลผลโดยมีการรวบรวมข้อมูลไว้ช่วงเวลาหนึ่งก่อนทำการประมวลผล การประมวลผลจะทำตามช่วงเวลาที่กำหนดอาจทำทุกวันหรือทุกสิ้นเดือน ผู้ใช้ไม่สามารถเห็นผลลัพธ์ทันทีและไม่สามารถโต้ตอบกับระบบได้ แต่การประมวลผลแบบนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการประมวลผลได้มากกว่าการประมวลผลแบบอื่น ข้อมูลจะเป็นแบบ Transaction file ระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการประมวลผลนี้เรียกว่า Off-line System เช่น ระบบคิดดอกเบี้ยของธนาคาร การคิดค่าน้ำ - ค่าไฟ เป็นต้น การประมวลผลข้อมูล 15. ข้อมูล และสารสนเทศ ข้อมูลที่จะนำมาใช้กับคอมพิวเตอร์ จะต้องมีการแปลงรูปแบบหรือสถานะให้คอมพิวเตอร์เข้าใจได้ รูปแบบหรือสถานะ เรียกว่า สถานะแบบดิจิตอล โดยจะมีเพียง 2 สถานะคือ ปิด ( 0) และ เปิด (1) ซึ่งก็คือ ระบบตัวเลขฐานสอง ( Binary system) การประมวลผลข้อมูล 1 0 17. การแปลความหมาย การประมวลผลข้อมูล Examples from the ASCII Text Code Code binary Character 00110000 0 00110001 1 00110010 2 00110011 3 00110100 4 00110101 5 01000001 A 01000010 B 01000011 C 01000100 D 01000101 E 18. โครงสร้างข้อมูล โครงสร้างข้อมูล แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ โครงสร้างเชิงกายภาพ (Physical Data Structure) หมายถึง วิธีการจัดเก็บข้อมูลในสื่อต่าง ๆ เช่น เทปแม่เหล็ก จานแม่เหล็ก ดิสก์เก็ต เป็นต้น โครงสร้างเชิงตรรกะ (Logical Data Structure) หมายถึง การจัดเก็บข้อมูลและความสัมพันธ์ต่าง ๆ ของข้อมูลในระบบฐานข้อมูล การประมวลผลข้อมูล 19. โครงสร้างเชิงตรรกะ บิต (Bit - Binary Digit) ไบต์ (Byte) ฟีลด์หรือเขตของข้อมูล (Field) เรคอร์ด (Record) ไฟล์หรือแฟ้มตารางข้อมูล (File) ฐานข้อมูล (Database) การประมวลผลข้อมูล 24. แฟ้มข้อมูลหลัก ( Master File ) เป็นแฟ้มข้อมูลที่บรรจุข้อมูลที่เป็นส่วนสำคัญของงาน มักจะเรียงลำดับตามคีย์หลัก เช่นแฟ้มข้อมูลหลักของพนักงาน ใช้ประมวลผลเงินเดือน จะมีรายละเอียดของพนักงานแต่ละคน เช่น รหัสพนักงาน ชื่อ - สกุล วันเดือนปีเกิด สถานะ วันเดือนปีเข้าทำงาน แผนก เงินเดือน โบนัส ฯลฯ การประมวลผลข้อมูล 25. แฟ้มข้อมูลรายการ ( Transaction File ) เป็นแฟ้มข้อมูลที่บันทึกรายการเปลี่ยนแปลงของแฟ้มข้อมูลหลัก ซึ่งรายการเหล่านี้นำมาปรับปรุงแฟ้มข้อมูลหลักให้ได้ข้อมูลเป็นปัจจุบันและใช้เป็นแฟ้มข้อมูลที่ให้ข้อมูลได้ระยะหนึ่ง การประมวลผลข้อมูล 26. แฟ้มดรรชนี ( Index file) มีลักษณะเช่นเดียวกับดรรชนีช่วงท้ายของหนังสือ ใช้สำหรับชี้บอกตำแหน่งของระเบียนในแฟ้มข้อมูลหลัก เพื่อช่วยให้การค้นหารวดเร็วมากยิ่งขึ้น ปกติแฟ้มดรรชนีประกอบด้วย 2 entries คือเขตหลัก และตำแหน่งที่ การประมวลผลข้อมูล 27. แฟ้มงาน ( Work File) เป็นแฟ้มข้อมูลที่ถูกสร้างในระหว่างการทำงานของโปรแกรมระบบงาน เมื่อสิ้นสุดการทำงานของโปรแกรม แฟ้มข้อมูลปะเภทนี้จะถูกลบทิ้งทันที เช่น Temp File ที่ถูกสร้างโดย ระบบวินโดว์ เป็นต้น การประมวลผลข้อมูล 28. แฟ้มรายงาน ( Report File) เป็นแฟ้มข้อมูลที่ใช้สำหรับรายงานผลออกทางจอภาพ ( Monitor) หรือทางเครื่องพิมพ์ ( Printer) ซึ่งเราสามารถจัดรูปแบบของรายงานได้ตามต้องการ การประมวลผลข้อมูล 29. แฟ้มสำรอง ( Backup File) เป็นแฟ้มข้อมูลที่คัดลอกข้อมูลจากแฟ้มข้อมูลหลักเพื่อสำรองเก็บไว้เมื่อเกิดปัญหากับแฟ้มข้อมูลหลัก ก็สามารถนำแฟ้มสำรองกลับมาใช้งานได้ ถือว่าเป็นแฟ้มที่มีความสำคัญมากประเภทหนึ่ง การประมวลผลข้อมูล 30. ฐานข้อมูล (Database) ฐานข้อมูล หมายถึง การจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันอย่างมีระบบ ซึ่งผู้ใช้สามารถเรียกใช้ข้อมูลในลักษณะต่าง ๆ กันได้ เช่น การเรียกดูข้อมูล การแก้ไขข้อมูล การเพิ่ม การลบข้อมูล การเรียงลำดับข้อมูล เป็นต้น โดยทั่วไปการจัดเก็บข้อมูลมักจะนำระบบคอมพิวเตอร์มาช่วยในการจัดเก็บฐานข้อมูล เพื่อให้ทันต่อความต้องการใช้และถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ( รวิวรรณ เทนอิสสระ , 2543, หน้า 6) การประมวลผลข้อมูล 32. ประเภทของฐานข้อมูล การประมวลผลข้อมูล ฐานข้อมูลแบบลำดับขั้น ( Hierarchical Databases) ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย (Network Databases) ฐานข้อมูลแบบสัมพันธ์ (Relational Databases) ฐานข้อมูล 33. ฐานข้อมูลแบบลำดับขั้น ( Hierarchical Databases) เป็นโครงสร้างการจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับระเบียนข้อมูล (Record) และความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลเป็นแบบหนึ่งต่อกลุ่ม (one-to-many; 1 : M) หรือความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก กล่าวคือระหว่างระเบียนสองประเภท จะมีข้างหนึ่งเป็นระเบียนแม่เพียงหนึ่งแห่ง และมีหลายด้านเป็นระเบียนลูก การประมวลผลข้อมูล 34. ตัวอย่าง ฐานข้อมูลแบบลำดับขั้น การประมวลผลข้อมูล แผนก รหัสแผนก ชื่อแผนก สถานที่ รหัสพนักงาน ชื่อ รหัสแผนก เงินเดือน พนักงาน โครงการ รหัสโครงการ ชื่อโครงการ สถานที่ Child Record Root / Parent Record 35. ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย (Network Databases) เป็นโครงสร้างข้อมูลที่แสดงความสัมพันธ์ซับซ้อนกว่าแบบลำดับขั้น โดยโครงสร้างประเภทนี้จะมีความสัมพันธ์ในลักษณะอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง โครงสร้างประกอบด้วยข้อมูลประเภทระเบียนและกลุ่มข้อมูลของระเบียนนั้น ๆ เช่นเดียวกับฐานข้อมูลแบบลำดับขั้น และฐานข้อมูลแบบสัมพันธ์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเภทระเบียน เรียกว่า Set Type เหมาะกับความสัมพันธ์แบบหลายต่อหนึ่ง (many-to-one: M:1) หรือหลายต่อหลาย (many-to-many: M:M) ดังนั้นระเบียนลูกจะมาจากต้นกำเนิดได้มากกว่าหนึ่งแห่ง การประมวลผลข้อมูล 37. ฐานข้อมูลแบบสัมพันธ์ (Relational Databases) เป็นโครงสร้างข้อมูลที่แสดงความสัมพันธ์ของข้อมูลในรูปตาราง 2 มิติ ทั้งความสัมพันธ์ของข้อมูลที่อยู่ในตารางเดียวกัน หรือตารางที่มีความเกี่ยวข้องกันด้วย โดยการเชื่อมโยงระหว่างตาราง จะใช้ Attribute ที่มีอยู่ในตารางเป็นตัวเชื่อมโยงข้อมูลกัน แนวคิดรูปแบบฐานข้อมูลแบบสัมพันธ์นี้ เป็นการออกแบบที่ใกล้เคียงกับการรับรู้ของผู้ใช้ เป็นการจัดโครงสร้างในระดับสูงและเป็นที่นิยมกันแพร่หลายมาก การประมวลผลข้อมูล 38. การประมวลผลข้อมูล EMPLOYEE DEPARTMENT EMPNUM EMPNAME SALARY POSITION DEPNO 1001 WARAPORN 16000 PROGRAMMER 10 1002 SIRILUK 20000 CLERK 20 DEPNO DEPNAME LOCATION 10 INFORMATION TECHNOLOGY SILOM 20 ACCOUNTING SUKUMVIT 39. ข้อดีในการใช้ระบบฐานข้อมูล การประมวลผลข้อมูล ลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล ทำให้เกิดข้อมูลถูกต้องตรงกัน การป้องกันและรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูล สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ มีความเป็นอิสระของข้อมูล 40. ระบบการจัดการฐานข้อมูล (Data Base Management System: DBMS) ระบบการจัดการฐานข้อมูล (Data Base Management System: DBMS) หมายถึง ซอฟท์แวร์ที่ใช้จัดการฐานข้อมูล เพื่อช่วยในการสร้างข้อมูล เพิ่มข้อมูล ลบข้อมูล ตลอดจนควบคุมและดูแลระบบฐานข้อมูล เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูล และสามารถนำข้อมูลนั้นมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การประมวลผลข้อมูล 43. หน้าที่ของระบบการจัดการฐานข้อมูล กำหนดและเก็บโครงสร้างฐานข้อมูล (Define and Store Database Structure) การบรรจุข้อมูลจากฐานข้อมูล (Load Database) หมายถึง เมื่อมีการประมวลผลข้อมูลจากโปรแกรมประยุกต์ ระบบการจัดการฐานข้อมูลจะเก็บข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลเพื่อประมวลผลต่อไป เก็บและดูแลข้อมูล (Store and Maintain Data) ประสานงานกับระบบปฏิบัติการ (Operating System) ระบบการจัดการฐานข้อมูลจะประสานงานกับระบบปฏิบัติการในการเรียกใช้ข้อมูล การแก้ไขข้อมูล หรือการออกแบบรายงานที่ต้องการ การประมวลผลข้อมูล 44. หน้าที่ของระบบการจัดการฐานข้อมูล ช่วยควบคุมความปลอดภัย (Security Control) ระบบการจัดการฐานข้อมูลจะควบคุมการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคน เพื่อป้องกันความเสียหายของข้อมูลและระบบ การจัดทำข้อมูลสำรองและการกู้ข้อมูล (Backup and Recovery) กรณีที่มีปัญหากับฐานข้อมูล ระบบการจัดการฐานข้อมูลจะใช้ข้อมูลสำรองในการฟื้นสภาพของระบบให้อยู่ในภาวะปกติ ควบคุมการใช้ข้อมูลพร้อมกันของผู้ใช้ (Concurrency Control) ควบคุมความบูรณภาพของข้อมูล (Integrity Control) ระบบการจัดการฐานข้อมูลจะมีระบบในการฟื้นสภาพข้อมูลให้กลับสู่สภาพที่สมบูรณ์ได้ จัดทำพจนานุกรมข้อมูล (Data Dictionary) การประมวลผลข้อมูล 45. การทำงานด้วยระบบการจัดการฐานข้อมูล การสร้างตาราง เป็นขั้นตอนแรกของการสร้างฐานข้อมูลโดยระบบการจัดการฐานข้อมูล จะสร้างตารางฐานข้อมูลเพื่อกำหนดเป็นโครงสร้างข้อมูลที่จะจัดเก็บ ในการสร้างตารางผู้ใช้จะต้องกำหนดว่าจะเก็บข้อมูลประเภทใดบ้าง โดยกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับเขตข้อมูล ได้แก่ ชื่อ ชนิด และขนาดของเขตข้อมูล เป็นต้น การพิมพ์และแก้ไขข้อมูล ผู้ใช้สามารถกรอกข้อมูลเข้าไปในระบบฐานข้อมูลได้ โดยการกรอกข้อมูลเป็นการพิมพ์ตัวอักษรที่คีย์บอร์ด หรือการกรอกข้อมูลตามชื่อเขตข้อมูลที่ปรากฏ การดูข้อมูลแบบการกรองข้อมูล การดูข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่ในตารางทำให้ได้ข้อมูลมากเกินไป เพราะระบบจะแสดงผลระเบียนข้อมูล ( Record) ทั้งหมดของฐานข้อมูลที่มีอยู่ ดังนั้นระบบการจัดการฐานข้อมูล จึงมีวิธีการดูข้อมูลแบบการกรองข้อมูล (Filter) การประมวลผลข้อมูล 46. การทำงานด้วยระบบการจัดการฐานข้อมูล การจัดเรียงระเบียนข้อมูล ระบบการจัดการฐานข้อมูลมีความสามารถในการจัดเรียงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว โดยการจัดเรียงข้อมูลอาจยึดเขตข้อมูลใดเขตข้อมูลหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งเขตข้อมูลเป็นตัวจัดเรียง เช่น ในตารางข้อมูลหนังสือ ผู้ใช้สามารถจัดเรียงเขตข้อมูลตามลำดับเลขเรียกหนังสือ หรือจัดเรียงเขตข้อมูลของชื่อหนังสือตามลำดับตัวอักษร เป็นต้น การค้นหาข้อมูล ผู้ใช้สามารถสร้างคำสั่งหรือข้อกำหนดที่เหมาะสมในการค้นหาข้อมูลได้ ดังนี้ (1) เจาะจงระเบียนข้อมูลที่ต้องการ (2) สร้างความสัมพันธ์หรือการเชื่อมโยงระหว่างตารางเพื่อทำการเปลี่ยนแปลงระเบียนข้อมูล (3) แสดงรายการย่อยของระเบียนข้อมูล (4) ทำการคำนวณ (5) ลบระเบียนข้อมูล (6) ทำการจัดการข้อมูลอื่น ๆ การประมวลผลข้อมูล 47. การทำงานด้วยระบบการจัดการฐานข้อมูล การสร้างรายงาน ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำงานของระบบการจัดการฐานข้อมูล ไม่จำเป็นต้องปรากฏที่หน้าจอทุกครั้ง เพราะการสร้างรายงานในระบบจัดการฐานข้อมูลส่วนใหญ่จะสร้างจากผลของการค้นหา เป็นการรวบรวมข้อมูลจากความต้องการหรือข้อกำหนดของผู้ใช้ นอกจากนี้รายงานสามารถกำหนดขอบเขตจากรายการของระเบียนข้อมูลเพื่อเจาะจงตามความต้องการ เช่น ใบสั่งซื้อ สามารถสร้างรายงานจากการเลือกข้อมูลและกำหนดการคำนวณโดยอัตโนมัติเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ในขณะที่มีการพิมพ์ เช่น ข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันสามารถนำมาคำนวณหาผลรวมย่อยและผลรวมของใบสั่งซื้อ หรือผลรวมสรุปยอดขาย เป็นต้น การประมวลผลข้อมูล