SlideShare a Scribd company logo
PHP
จัดทำำโดย
สมำชิกกลุ่มที่ 3 สำขำ
วศ.บ.คพ 1
นำย ปิยะณัฐ แยบคำย
เลขที่ 13
นำย นรินทร์ อินต๊ะเสน
เลขที่ 16
PHP ?
PHP คืออะไร
- PHP แต่เดิมย่อมำจำก “Personal Home Page”
แต่ต่อมำก็เปลี่ยนเป็นย่อมำจำก “PHP Hypertext
Preprocessor”
- PHP เป็นภำษำจำำพวก scripting language คำำ
สั่งต่ำงๆจะเก็บอยู่ในไฟล์ที่เรียกว่ำสคริปต์ (script) และเวลำ
ใช้งำนต้องอำศัยตัวแปลชุดคำำสั่ง ตัวอย่ำงของภำษำสคริปก็
เช่น JavaScript, Perl เป็นต้น
- ลักษณะของ PHP ที่แตกต่ำงจำกภำษำสคริปต์แบ
บอื่นๆ คือ PHP ได้รับกำรพัฒนำและออกแบบมำ เพื่อใช้งำน
ในกำรสร้ำงเอกสำรแบบ HTML โดยสำมำรถ สอดแทรก
หรือแก้ไขเนื้อหำได้โดยอัตโนมัติ
- PHP เป็นภำษำที่เรียกว่ำ Server-Side Script หรือ
HTML-embedded scripting language เป็นเครื่องมือที่
ต้นกำำเนิดและแนวคิด
PHP เกิดในปี 1994 โดย Rasmus Lerdorf
โปรแกรมเมอร์ชำวสหรัฐอเมริกำได้คิดค้นสร้ำง
เครื่องมือที่ใช้ในกำรพัฒนำเว็บส่วนตัวของเขำ โดย
เขำใช้ PHP ในกำรเก็บข้อมูลสถิติผู้เข้ำชมเว็บของ
ตนเอง โดยใช้ข้อดีของภำษำ C และ Perl
ต่อมำ PHP เวอร์ชั่นแรกได้ถูกพัฒนำและเผยแพร่ให้
กับผู้สนใจ
ไปศึกษำในปี ค.ศ. 1995ซึ่งถูกเรียกว่ำ
“Personal Home Page Tool” ซึ่งเป็นที่มำของ
คำำว่ำ PHP นั่นเอง ซึ่งในระยะเวลำนั้น PHP ยังไม่มี
ควำมสำมำรถอะไรที่โดดเด่นมำกมำย Rasmus
Lerdorf
ต้นกำำเนิดและแนวคิด
ปี 1995 Rasmus ได้สร้ำงส่วนติดต่อกับฐำนข้อมูล
ชื่อว่ำ Form Interpreter ( FI ) รวมทั้งสองส่วน
เรียกว่ำ PHP/FI หรือ PHP เวอร์ชั่น 2 ให้มีควำม
สำมำรถจัดกำรเกี่ยวกับแบบฟอร์มข้อมูลที่ถูกสร้ำงมำ
จำกภำษำ HTML และสนับสนุนกำรติดต่อกับโปรแกรม
จัดกำรระบบฐำนข้อมูล mSQL
ปี 1997 PHP ได้มีกำรเปลี่ยนแปลงและถูกพัฒนำจำก
เจ้ำของเดิมคือ Rasmus ซึ่งพัฒนำอยู่คนเดียวมำเป็น
ทีมงำน โดยมีนำย Zeev Suraski และ Andi
Gutmans ชำวอิสรำเอล มำทำำกำรวิเครำะห์พื้นฐำน
ของ PHP/FI ต่อมำก็มีเพิ่มเข้ำมำอีก 3 คน คือ Stig
Bakken, Shane Caraveo และ Jim Winstead ทีม
ต้นกำำเนิดและแนวคิด
ต่อมำในปี 2000 PHP พร้อม Send Scripting
Engine และควำมสำมำรถที่ทำำงำนกับWebserver
ยี่ห้ออื่นได้นอกเหนือจำก Apache ทำำให้ PHP 4 มี
ควำมสมบูรณ์แบบมำกยิ่งขึ้น
PHP เวอร์ชั่นต่อไปคือ PHP 5 เริ่มต้นออกเวอร์ชั่น
ทดสอบ(BETA 1) ตั้งแต่กลำงปี 2003 และพัฒนำเป็น
ตัวเต็มประมำณกลำงปี 2004
ปัจจุบัน(01 June 2007) PHP5 ได้พัฒนำมำถึง
เวอร์ชั่น 5.2.3 แล้ว
โครงสร้ำงและองค์ประกอบ PHP
รูปแบบกำรเขียน PHP เขียนได้ 4 แบบดังตัวอย่ำง ที่
นิยมคือแบบที่ 1 และ 2 แบบที่ 3 ใช้งำนคล้ำยกับ Java
script ส่วนแบบที่ 4 ตัว tag <% จะเหมือนกับ ASP โดย
เมื่อรันจะได้ผลลัพธ์เหมือนกัน และสำมำรถแทรกลงในส่วน
ของภำษำ HTML ส่วนใดก็ได้
1. กำรเขียนโค้ดในรูปแบบภำษำ SGML จะมีรูปแบบดังนี้
   <?
               คำำสั่งในภำษำ PHP ;
   ?>
2. กำรเขียนโค้ดเพื่อใช้ร่วมกับภำษำ XHTML หรือ XML
(แต่สำมำรถใช้ใน HTML แบบปกติได้) จะมีรูปแบบดังนี้
    <?php
                    คำำสั่งในภำษำ PHP ;
     ?>
โครงสร้ำงและองค์ประกอบ PHP
3. กำรเขียนโค้ดในรูปแบบ JavaScript จะมีรูปแบบดังนี้
     <Script Language="php">
                  คำำสั่งในภำษำ PHP ;
     </Script>
4. กำรเขียนโค้ดในรูปแบบ ASP จะมีรูปแบบดังนี้
    <%
            คำำสั่งในภำษำ PHP ;
     %>
โครงสร้ำงและองค์ประกอบ PHP
กำรเขียนสคริปต์ PHP ในรูปแบบใดก็ตำมจะต้องมี
เครื่องหมำย semicolon ( ; ) ลงท้ำยคำำสั่งเสมอเหมือนกับ
กำรเขียนภำษำ C กับภำษำ Perl
print”Welcome to php”;
และคำำสั่งหรือฟังก์ชั่นในภำษำ PHP จะเขียนด้วยตัว
พิมพ์เล็กหรือพิมพ์ใหญ่ก็ได้ ( case-insensitive )
กำรจบ statement หรือสิ้นสุด script เรำจะปิดท้ำย
สคริปต์ด้วยแท็ก ( ?> ) และคำำสั่งสุดท้ำยในสคริปต์นั้นจะ
ลงท้ำยด้วย semicolon ( ; ) หรือไม่ก็ได้เพรำะจะถูกปิด
ด้วยแท็ก ( ?> ) อยู่แล้ว
การเขียน PHP ร่วมกับ HTML
<html>
<head>
<title>ตัวอย่าง 3.4 การใช้ PHP script ร่วมกับ HTML</title>
</head>
<body>
<b>
<?php
print "ขอต้อนรับสู่โลกของ php";
?>
</b>
</body>
</html>
Identification and Data Type
การกำาหนดตัวแปรและชนิดของข้อมูล (Type)
ตัวแปร(Variable)
มีหน้าที่ใช้สำาหรับเก็บค่าตัวเลข ตัวอักษร หรือชุดข้อความ
เพื่อใช้ในการอ้างอิง มีหลักการในการตั้งชื่อดังนี้
1.ชื่อตัวแปรต้องขึ้นต้นด้วยเครื่องหมาย $ (Dollar sign)
จากนั้นต้องตามด้วยอักษรเท่านั้น
2.สามารถนำาตัวอักษรและตัวเลขมาผสมกันเป็นชื่อตัวแปรได้
เช่น $User111
3.ชื่อตัวแปรไม่สามารถเว้นว่างหรือเคาะเว้นวรรคได้
4.ชื่อตัวแปรควรที่จะสื่อความหมายในตัวมันเอง เช่น
$name,$salary
5.ชื่อตัวแปร อักษรตัวเล็กตัวใหญ่นั้นมีความสำาคัญมาก เช่น
$address, $Address และ $ADDRESS ทั้ง 3 ตัวถือว่า
Identification and Data Type
ประเภทของตัวแปร คำาอธิบาย
Integers เก็บข้อมูลตัวเลขที่เป็นจำานวนเต็มเช่น 236, -256
Floating point numbers เก็บข้อมูลตัวเลขที่มีจุดทศนิยมเช่น 1.236, -0.268
Strings เก็บข้อมูลที่เป็นตัวอักษร ข้อความเช่น "Hi", "Hello", "Year 1979"
Arrays เก็บข้อมูลที่เป็นชุด หรือกลุ่มข้อความ
Objects เก็บข้อมูลในลักษณะของการเรียกใช้เป็น Class Object หรือ Function
Type juggling เก็บข้อมูลในลักษณะที่ขึ้นอยู่กับตัว Operator
Identification and Data Type
การใช้งาน
Integers
$a = 567; เป็นจำานวนเต็มบวก
$b = -956; เป็นจำานวนเต็มลบ
$c = 01236; เป็นเลขฐาน 8
$d = 0x12F; เป็นเลขฐาน 16
Floating point numbers
$a = 1.356
$b = 1.3e6
ใช้กำาหนดตัวเลขในรูปแบบทศนิยม และเลขยกกำาลัง ดังเช่น 1.3e6 จะหมายความว่า 1.3 คูณ
10 ยกกำาลัง 6
Identification and Data Type
Strings
การใช้งาน String จะใช้ในการเก็บข้อมุลที่เป็นค่าคงที่ เช่นข้อความต่างๆ ในการ
กำาหนดประเภทของข้อมูล String จะมีรหัสควบคุมดังนี้
รหัสควบคุม คำาอธิบาย
n ใช้สำาหรับขึ้นบรรทัดใหม่
r ใช้สำาหรับให้ตัว Cursor ไปอยู่ต้นบรรทัด
t ใช้ในการเลื่อน Tab
 ใช้ในการพิมพ์เครื่องหมาย 
$ ใช้ในการพิมพ์เครื่องหมาย $
" ใช้ในการพิมพ์เครื่องหมาย "
[0-7]{1,3} ใช้กำาหนดอักขระให้เป็นรหัส ASCII ฐาน 8
x[0-9A-Fa-f]{1,2} ใช้กำาหนดอักขระให้เป็นรหัส ASCII ฐาน 16
Identification and Data Type
ตัวอย่างที่ 1
 
$a = "PHPThai.Net"; #กำาหนดตัวแปร a เก็บ
ข้อความ PHPThai.Net
$b = $a "site for You"; #กำาหนดให้ตัวแปร b มี
ค่าเท่ากับตัวแปร a และตามด้วยข้อความ site for
You
echo "$b"; #สั่งให้พิมพ์ค่าในตัวแปร b ออกมา
 
ผลลัพธ์
PHPThai.Net site for You
Identification and Data Type
Arrays
อาเรย์ คือการเก็บข้อมูลในลักษณะของชุดข้อมูล โดยที่แต่ละชุด
สามารถจะมีสมาชิกได้หลายตัว และเราสามารถอ้างถึงสมาชิกใน
อาเรย์นั้นได้โดยใช้เครื่องหมาย _[ . . .] 
อาเรย์ 1 มิติ
$a[0] = "abc"; #กำาหนดให้สมาชิกลำาดับที่ 0 ขอ
งอาเรย์ a เก็บค่า abc
$a[1] = "def"; #กำาหนดให้สมาชิกลำาดับที่ 1 ขอ
งอาเรย์ a เก็บค่า def
$b["asp"] = 13; #กำาหนดให้สมาชิกชื่อ asp ขอ
งอาเรย์ b เก็บค่า 13
อาเรย์หลายมิติ
$a[1][0] = $f; #อาเรย์แบบ 2 มิติ
Identification and Data Type
Object
Object คือการเขียนชุดคำาสั่งที่เรามักใช้งานบ่อยๆ หรือใช้งานในลักษณะพิเศษ เพื่อความ
สะดวกในการทำางานอาจจะอยู่ในรูปแบบของ Class หรือ Function เช่น
 
class asp
{
function do_asp () {
echo "ASPThai.Net";
}
}
 
$bar = new asp;
$bar -> do_asp();
 
จากโค้ดเราได้สร้าง class asp และมีฟังก์ชั่นชื่อ do_asp อยู่ภายในคลาสต่อมาเราได้
สร้าง
ตัวแปร bar ที่เป็นออบเจกต์ที่เกิดจากคลาส asp ($bar = new asp;) ตัวแปร bar ที่เราสร้าง
จากคลาส asp จะมีคุณสมบัติเหมือนคลาส asp คือสามารถใช้ฟังก์ชั่น do_asp ได้
($bar -> do_asp();)
Identification and Data Type
Type juggling
เป็นการเก็บข้อมูลในลักษณะที่ขึ้นกับตัว Operator
เช่น
$asp = 5 + "15 diaw";
 
$asp จะมีค่าเท่ากับ 20โดยดูจาก Operator เป็น
เครื่องหมาย + ทำาให้ PHP มองค่าทั้ง 2 เป็นตัวเลข
Operators
ตัวดำาเนินการ Operators
ตัวดำาเนินการทางด้านคณิตศาสตร์ Arithmetic
Operators
ตัวดำาเนินการทางด้านการเพิ่มลดค่า
Incrementing/Decrementing
การใช้งาน ชื่อตัวดำาเนินการ ความหมาย
$a + $b บวก หาผลรวมระหว่าง $a กับ $b
$a - $b ลบ หาผลต่างระหว่าง $a กับ $b
$a * $b คูณ หาผลคูณระหว่าง $a กับ $b
$a / $b หาร การหารระหว่าง $a กับ $b
$a % $b หารหาเศษ การหารเพื่อหาเอาเศษ ระหว่าง $a กับ $b
การใช้งาน ชื่อตัวดำาเนินการ ความหมาย
++$a Pre-increment เพิ่มค่าทีละ 1 ก่อน แล้วค่อยให้ค่ากับตัวแปร
$a++ Post-increment ให้ค่ากับตัวแปรก่อนแล้วค่อยเพิ่มค่าทีละ 1
--$a Pre-Decrement ลดค่าทีละ 1 ก่อนแล้วค่อยให้ค่ากับตัวแปร
$a-- Post-Dicrement ให้ค่ากับตัวแปรก่อนแล้วค่อยลดค่าทีละ 1
Operators
ตัวดำาเนินการทางด้านตรรกศาสตร์ Logical Operators
ตัวดำาเนินการทางเปรียบเทียบ Comparison
Operators
การใช้งาน ชื่อตัวดำาเนินการ ความหมาย
$a and $b และ เป็นจริง เมื่อ $a และ $b มีค่าเป็น จริง
$a or $b หรือ เป็นจริง เมื่อ $a หรือ $b มีค่าเป็น จริง
$a xor $b และ เป็นจริง เมื่อ $a และ $b ตัวใดตัวหนึ่งเป็น จริง>
! $a ตรงกันข้าม เป็นจริง เมื่อ $a มีค่าเป็น เท็จ
$a && $b และ เป็นจริง เมื่อ $a และ $b มีค่าเป็น จริง
$a || $b หรือ เป็นจริง เมื่อ $a หรือ $b มีค่าเป็น เท็จ
การใช้งาน ชื่อตัวดำาเนินการ ความหมาย
$a == $bเท่ากับ เป็นจริง เมื่อ $a มีค่าเท่ากับ $b
$a != $b ไม่เท่ากับ เป็นจริง เมื่อ $a มีค่าไม่เท่ากับ $b
$a < $b น้อยกว่า เป็นจริง เมื่อ $a น้อยกว่า $b
$a > $b มากกว่า เป็นจริง เมื่อ $a มีค่ามากกว่า $b
$a <= $bน้อยกว่าหรือเท่ากับ เป็นจริง เมื่อ $a มีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ $b
$a >= $bมากกว่าหรือเท่ากับ เป็นจริง เมื่อ $a มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ $b
Operators
ตัวอย่างการใช้งาน
ตัวอย่างที่ 1
$a =$b = 8+1
$a และ $b จะเท่ากับ 9
ตัวอย่างที่ 2
$a = 2;
$b = 2;
++$a;
$b++;
$a และ $b จะมีค่าเท่ากับ 3 เพราะมีการเพิ่มค่าไปทีละ 1
Control Structure
ตัวควบคุมการทำางาน
                ในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้น
คอมพิวเตอร์จะทำางานโดยเรียงลำาดับลงมาจากบน –
ลงล่าง (Top – Down) แต่ถ้าเราต้องการสั่งให้
คอมพิวเตอร์ทำางานย้อยกลับ หรือมีการทำางานซำ้า เรา
จะต้องมีตัวคอบคุมการทำางานดังนี้
If . . .Else . . .ElseIf
คำาสั่ง If เป็นคำาสั่งสำาหรับกำาหนดให้โปรแกรมทำางาน
อย่างมีเงื่อนไข โดยเริ่มต้นในการตรวจสอบนิพจน์ ว่า
ค่าที่ได้เป็นจริงหรือเท็จ และนำาค่าที่ได้เป็นตัวเลือกว่า
จะกระทำาตามคำาสั่งใด
Control Structure
ตัวอย่างที่ 1 การใช้งาน If ตรวจสอบเงื่อนไขเดียว
<?
$a = 30;
$b = 20;
If ($a > $b) {
echo " a มากกว่า b";
}
?>
 
จากตัวอย่างข้างต้นเป็นการตรวจสอบเงื่อนไขเดียวคือ
ตัวแปรa มากกว่า ตัวแปรb ซึ่งถ้าเป็นจริงตามเงื่อนไขก็
จะพิมพ์คำาว่า " a มากกว่า b" ออกมาแต่ถ้าไม่ตรงก็จะ
ออกจากคำาสั่ง
Control Structure
While
คำาสั่ง while เป็นคำาสั่งในการวนรอบ โดยจะมีการ
ตรวจสอบเงื่อนไขก่อนแล้วค่อยมีการทำางานตามลำาดับ
แต่ถ้าเงื่อนไขไม่เป็นตามที่กำาหนดก็จะออกจากการวน
รอบของ while ทัน
<?
$i = 1;
while ($I <= 10) {
echo $I++;
echo "<br>";
}
?>
จากตัวอย่าง ผลลัพธ์ที่ได้คือ แสดงตัวเลขออกมาตั้งแต่ 1
Control Structure
do . . while
คำาสั่ง do . . while คือคำาสั่งในการวนรอบเช่น
เดียวกัน แต่ต่างกันตรงที่จะมีการทำางานตามคำา
สั่งที่ต้องการก่อน แล้วจึงค่อยตรวจสอบเงื่อนไข
ทีหลัง ซึ่งถ้าเงื่อนไขเป็นตามที่กำาหนด ก็จะวน
รอบขึ้นมาทำางานตามคำาสั่งที่ต้องการใหม่ แต่ถ้า
เงื่อนไขไม่ตรงกับที่กำาหนด ก็จะออกจากการวน
รอบทันที ดังนี้
 
Control Structure
<?
$i = 1;
$total = 0;
do { // เข้าสู่เงื่อนไขของ do
$total = $total + $i; // ให้ $total มีค่าเท่ากับ ตัวเองบวกด้วยค่าของ
$i ซึ่งเริ่มต้นที่ 1
$i ++; // บวกค่าของ $i ไปอีก 1
} while ($i <= 10); // ถ้า $i ยังไม่มากกว่า หรือ เท่ากับ 10 ให้
วนรอบ do อีกครั้ง
 
echo "ผลลัพธ์คือ : ";
echo $total;
?>
ผลลัพธ์ที่ได้คือ 55 จะเห็นได้ว่าการเขียนด้วย do . .
.while จะมีการทำาตามคำาสั่งก่อนที่จะตรวจสอบ
เงื่อนไขซึ่งต่างกับ while ที่ตรวจสอบเงื่อนไขก่อน
 
Control Structure
for
คำาสั่ง for เป็นคำาสั่งในการวนรอบอีกคำาสั่งหนึ่งแต่จะไม่มีการตรวจสอบเงื่อนไข เพียงแต่
ทำาตามคำาสั่งที่กำาหนดไว้แล้วเท่านั้น
 
ตัวอย่างการใช้งานคำาสั่ง for
<?
for ($i = 1; $i <= 10; $i++ ) {
echo "$i <br>";
}
?>
 
ข้อสังเกต : ภายใน for ( . . . )
 
$i = 1; คือการกำาหนดค่าเริ่มต้น
$i <= 10; คือการกำาหนดค่าจุดสิ้นสุด
$i++ คือการกำาหนดให้เพิ่มไปทีละ 1
 
ผลลัพธ์ที่ได้คือ จะมีการวนรอบเพื่อพิมพ์ค่า 1 ถึง 10
Control Structure
break
คำาสั่ง break คือคำาสั่งที่ใช้ในการหลุดออกจากเงื่อนไข หรือจบเงื่อนไขทันทีดัง
ตัวอย่างนี้
 
<?
$i = 0;
while ($I <= 50) {
if ($i ==20) { break; }
echo "$i <br>";
$i++;
}
?>
 
ที่จริงแล้วคำาสั่งนี้จะต้องพิมพ์ค่า 0 ถึง 50 ออกมา แต่เนื่องจากมีการใช้คำาสั่ง if มาตรวจ
เช็คเมื่อถึง 20 ถ้าเป็นจริงก็จะทำาคำาสั่ง break และหยุดการวนรอบทันทีทำาให้
ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาคือ 1 ถึง 19
 
Control Structure
continue
คำาสั่ง continue เป็นคำาสั่งที่ใช้ควบคู่กับคำาสั่งในการวนรอบ โดยเมื่อโปรแกรม
ทำาการรันคำาสั่งนี้ จะทำาการกระโดดไปเริ่มต้นใหม่ทันที ( ใช้กับคำาสั่ง for, while)
 
ตัวอย่าง เป็นการพิมพ์เลขคู่จาก 0 ถึง 50
 
<?
for ($a = 0; $a <= 50; $a++) {
if ($a % 2) { continue }//เป็นเลขคี่กระโดดไปเริ่มต้นใหม่
echo "$a <br>"; //ให้พิมพ์เลขคู่ออกมา
}
?>
Control Structure
switch
คำาสั่ง switch เป็นคำาสั่งในการเลือกเงื่อนไขจำานวนมากๆ ซึ่งจะสะดวกกว่าการใช้คำาสั่ง if
 
ตัวอย่าง
<?
$a = 2;
switch ($a) {
case 0;
echo "a มีค่าเท่ากับ 0";
break;
case 1;
echo "a มีค่าเท่ากับ 1";
break;
case 2;
echo "a มีค่าเท่ากับ 2";
break;
default;
echo "a ไม่มีค่าเท่ากับ 0 ,1 หรือ 2";
}
?>
 
จากตัวอย่างเรากำาหนด ให้ค่าตัวแปร a มีค่าเท่ากับ 2 ดังนั้นการทำางานของคำาสั่งจะอยู่ใน case ที่
2
Control Structure
include ();
คำาสั่ง include() เป็นคำาสั่งในการเรียก PHP Script ที่อยู่ในไฟล์อื่นเข้ามาทำางาน โดยสามารถ
เรียกใช้งานภายใต้คำาสั่งของการวนรอบ ( Loop ) และสามารถที่จะนำามาเปรียบเทียบเงื่อนไข
การทำางานได้
 
ตัวอย่างที่ 1 เรียกใช้คำาสั่ง include() ภายใต้การวนรอบของคำาสั่ง for
 
<?
$fa = array (‘a.inc’, ’b.inc’, ‘c.inc’, ‘d.inc’);
for ($i = 0; $i < count($fa); $++) {
include $fa[$I];
}
?>
จากตัวอย่างแรก จะใช้อาเรย์ fa เป็นตัวเก็บข้อมูลของไฟล์ทั้งหมด 4ไฟล์ จากนั้นจะทำาการวนรอบ
เพื่อเรียกใช้ (include) ทีละไฟล์
Control Structure
require ();
คำาสั่งนี้จะเป็นคำาสั่งในการเรียก PHP Script ที่อยู่ในไฟล์อื่นเข้ามาทำางานซึ่งคล้ายกับ include
เพียงแต่สามารถเรียกใช้ภายใต้คำาสั่งการวนรอบได้ (Loop)
<?
require (‘header.inc’);
?>
The End

More Related Content

PDF
บทที่ 2 พื้นฐานภาษาจาวา
PPT
Java Programming [11/12] : Input and Output Classes
DOC
การเขียนคำสั่งควบคุมขั้นพื้นฐาน
PPTX
Reference :: Java :: เต็ม
PDF
ความรู้เบื้องต้นภาษาจาวา
PPT
การพัฒนาเอกสารออนไลน์ขั้นสูง Lect 09
บทที่ 2 พื้นฐานภาษาจาวา
Java Programming [11/12] : Input and Output Classes
การเขียนคำสั่งควบคุมขั้นพื้นฐาน
Reference :: Java :: เต็ม
ความรู้เบื้องต้นภาษาจาวา
การพัฒนาเอกสารออนไลน์ขั้นสูง Lect 09

Similar to ไฟล์ Presentation ประกอบรายงาน PHP - Know2Pro.co.cc (20)

PDF
ค่าตัวแปรและตัวดำเนินการ [Web-Programming]
PDF
พื้นฐานภาษาจาวา
PDF
งานนำเสนอ1
PPT
Php week 2
PDF
รายงาน PHP - Know2pro.com
PDF
lesson 3
PDF
การสร้างแบบสอบถาม
PDF
งานนำเสนอ1
PDF
งานทำBlog บทที่ 10
PDF
Dw ch05 basic_php
PPT
PHP Tutorial (introduction)
PPTX
Presentation1
PDF
งานทำBlog บทที่ 4
PPT
การพัฒนาเอกสารออนไลน์ขั้นสูง Lect 05
PDF
บทที่ 3 พื้นฐานภาษา Java
PDF
บทที่ 3 พื้นฐานภาษา Java
PPT
PPTX
ตัวแปรพื้นฐานเขียนโปรแกรม
PPT
ภาษาซี
PPTX
การเขียนคำสั่งควบคุมขั้นพื้นฐาน
ค่าตัวแปรและตัวดำเนินการ [Web-Programming]
พื้นฐานภาษาจาวา
งานนำเสนอ1
Php week 2
รายงาน PHP - Know2pro.com
lesson 3
การสร้างแบบสอบถาม
งานนำเสนอ1
งานทำBlog บทที่ 10
Dw ch05 basic_php
PHP Tutorial (introduction)
Presentation1
งานทำBlog บทที่ 4
การพัฒนาเอกสารออนไลน์ขั้นสูง Lect 05
บทที่ 3 พื้นฐานภาษา Java
บทที่ 3 พื้นฐานภาษา Java
ตัวแปรพื้นฐานเขียนโปรแกรม
ภาษาซี
การเขียนคำสั่งควบคุมขั้นพื้นฐาน
Ad

More from Know Mastikate (20)

PDF
MK380-SQL ระบบสารสนเทศทางการตลาด - ภาษา SQL
PPT
4121103 การเขียนโปรแกรมและอัลกอริทึ่ม SLIDE 6/7
PPT
4121103 การเขียนโปรแกรมและอัลกอริทึ่ม SLIDE 5/7
PPT
4121103 การเขียนโปรแกรมและอัลกอริทึ่ม SLIDE 4/7
PPT
4121103 การเขียนโปรแกรมและอัลกอริทึ่ม SLIDE 3/7
PPT
4121103 การเขียนโปรแกรมและอัลกอริทึ่ม SLIDE 2/7
PPT
4121103 การเขียนโปรแกรมและอัลกอริทึ่ม SLIDE 1/7
PPT
4121103 การเขียนโปรแกรมและอัลกอริทึ่ม SLIDE 7/7
PDF
การใช้ Turbo C ชุดที่ 13 File IO
PDF
การใช้ Turbo C ชุดที่ 12 structure
PDF
การใช้ Turbo C ชุดที่ 11 function
PDF
การใช้ Turbo C ชุดที่ 10 Pointer
PDF
การใช้ Turbo C ชุดที่ 8 Array
PDF
การใช้ Turbo C ชุดที่ 7 Loop
PDF
การใช้ Turbo C ชุดที่ 6 condition
PDF
การใช้ Turbo C ชุดที่ 5 IO
PDF
การใช้ Turbo C ชุดที่ 3 arithematic
PDF
การใช้ Turbo C ชุดที่ 2 variable
PDF
Cpwk14 screen and sound
PDF
การใช้ Turbo C ชุดที่ 1 Turbo C
MK380-SQL ระบบสารสนเทศทางการตลาด - ภาษา SQL
4121103 การเขียนโปรแกรมและอัลกอริทึ่ม SLIDE 6/7
4121103 การเขียนโปรแกรมและอัลกอริทึ่ม SLIDE 5/7
4121103 การเขียนโปรแกรมและอัลกอริทึ่ม SLIDE 4/7
4121103 การเขียนโปรแกรมและอัลกอริทึ่ม SLIDE 3/7
4121103 การเขียนโปรแกรมและอัลกอริทึ่ม SLIDE 2/7
4121103 การเขียนโปรแกรมและอัลกอริทึ่ม SLIDE 1/7
4121103 การเขียนโปรแกรมและอัลกอริทึ่ม SLIDE 7/7
การใช้ Turbo C ชุดที่ 13 File IO
การใช้ Turbo C ชุดที่ 12 structure
การใช้ Turbo C ชุดที่ 11 function
การใช้ Turbo C ชุดที่ 10 Pointer
การใช้ Turbo C ชุดที่ 8 Array
การใช้ Turbo C ชุดที่ 7 Loop
การใช้ Turbo C ชุดที่ 6 condition
การใช้ Turbo C ชุดที่ 5 IO
การใช้ Turbo C ชุดที่ 3 arithematic
การใช้ Turbo C ชุดที่ 2 variable
Cpwk14 screen and sound
การใช้ Turbo C ชุดที่ 1 Turbo C
Ad

ไฟล์ Presentation ประกอบรายงาน PHP - Know2Pro.co.cc

  • 1. PHP จัดทำำโดย สมำชิกกลุ่มที่ 3 สำขำ วศ.บ.คพ 1 นำย ปิยะณัฐ แยบคำย เลขที่ 13 นำย นรินทร์ อินต๊ะเสน เลขที่ 16
  • 2. PHP ? PHP คืออะไร - PHP แต่เดิมย่อมำจำก “Personal Home Page” แต่ต่อมำก็เปลี่ยนเป็นย่อมำจำก “PHP Hypertext Preprocessor” - PHP เป็นภำษำจำำพวก scripting language คำำ สั่งต่ำงๆจะเก็บอยู่ในไฟล์ที่เรียกว่ำสคริปต์ (script) และเวลำ ใช้งำนต้องอำศัยตัวแปลชุดคำำสั่ง ตัวอย่ำงของภำษำสคริปก็ เช่น JavaScript, Perl เป็นต้น - ลักษณะของ PHP ที่แตกต่ำงจำกภำษำสคริปต์แบ บอื่นๆ คือ PHP ได้รับกำรพัฒนำและออกแบบมำ เพื่อใช้งำน ในกำรสร้ำงเอกสำรแบบ HTML โดยสำมำรถ สอดแทรก หรือแก้ไขเนื้อหำได้โดยอัตโนมัติ - PHP เป็นภำษำที่เรียกว่ำ Server-Side Script หรือ HTML-embedded scripting language เป็นเครื่องมือที่
  • 3. ต้นกำำเนิดและแนวคิด PHP เกิดในปี 1994 โดย Rasmus Lerdorf โปรแกรมเมอร์ชำวสหรัฐอเมริกำได้คิดค้นสร้ำง เครื่องมือที่ใช้ในกำรพัฒนำเว็บส่วนตัวของเขำ โดย เขำใช้ PHP ในกำรเก็บข้อมูลสถิติผู้เข้ำชมเว็บของ ตนเอง โดยใช้ข้อดีของภำษำ C และ Perl ต่อมำ PHP เวอร์ชั่นแรกได้ถูกพัฒนำและเผยแพร่ให้ กับผู้สนใจ ไปศึกษำในปี ค.ศ. 1995ซึ่งถูกเรียกว่ำ “Personal Home Page Tool” ซึ่งเป็นที่มำของ คำำว่ำ PHP นั่นเอง ซึ่งในระยะเวลำนั้น PHP ยังไม่มี ควำมสำมำรถอะไรที่โดดเด่นมำกมำย Rasmus Lerdorf
  • 4. ต้นกำำเนิดและแนวคิด ปี 1995 Rasmus ได้สร้ำงส่วนติดต่อกับฐำนข้อมูล ชื่อว่ำ Form Interpreter ( FI ) รวมทั้งสองส่วน เรียกว่ำ PHP/FI หรือ PHP เวอร์ชั่น 2 ให้มีควำม สำมำรถจัดกำรเกี่ยวกับแบบฟอร์มข้อมูลที่ถูกสร้ำงมำ จำกภำษำ HTML และสนับสนุนกำรติดต่อกับโปรแกรม จัดกำรระบบฐำนข้อมูล mSQL ปี 1997 PHP ได้มีกำรเปลี่ยนแปลงและถูกพัฒนำจำก เจ้ำของเดิมคือ Rasmus ซึ่งพัฒนำอยู่คนเดียวมำเป็น ทีมงำน โดยมีนำย Zeev Suraski และ Andi Gutmans ชำวอิสรำเอล มำทำำกำรวิเครำะห์พื้นฐำน ของ PHP/FI ต่อมำก็มีเพิ่มเข้ำมำอีก 3 คน คือ Stig Bakken, Shane Caraveo และ Jim Winstead ทีม
  • 5. ต้นกำำเนิดและแนวคิด ต่อมำในปี 2000 PHP พร้อม Send Scripting Engine และควำมสำมำรถที่ทำำงำนกับWebserver ยี่ห้ออื่นได้นอกเหนือจำก Apache ทำำให้ PHP 4 มี ควำมสมบูรณ์แบบมำกยิ่งขึ้น PHP เวอร์ชั่นต่อไปคือ PHP 5 เริ่มต้นออกเวอร์ชั่น ทดสอบ(BETA 1) ตั้งแต่กลำงปี 2003 และพัฒนำเป็น ตัวเต็มประมำณกลำงปี 2004 ปัจจุบัน(01 June 2007) PHP5 ได้พัฒนำมำถึง เวอร์ชั่น 5.2.3 แล้ว
  • 6. โครงสร้ำงและองค์ประกอบ PHP รูปแบบกำรเขียน PHP เขียนได้ 4 แบบดังตัวอย่ำง ที่ นิยมคือแบบที่ 1 และ 2 แบบที่ 3 ใช้งำนคล้ำยกับ Java script ส่วนแบบที่ 4 ตัว tag <% จะเหมือนกับ ASP โดย เมื่อรันจะได้ผลลัพธ์เหมือนกัน และสำมำรถแทรกลงในส่วน ของภำษำ HTML ส่วนใดก็ได้ 1. กำรเขียนโค้ดในรูปแบบภำษำ SGML จะมีรูปแบบดังนี้    <?                คำำสั่งในภำษำ PHP ;    ?> 2. กำรเขียนโค้ดเพื่อใช้ร่วมกับภำษำ XHTML หรือ XML (แต่สำมำรถใช้ใน HTML แบบปกติได้) จะมีรูปแบบดังนี้     <?php                     คำำสั่งในภำษำ PHP ;      ?>
  • 7. โครงสร้ำงและองค์ประกอบ PHP 3. กำรเขียนโค้ดในรูปแบบ JavaScript จะมีรูปแบบดังนี้      <Script Language="php">                   คำำสั่งในภำษำ PHP ;      </Script> 4. กำรเขียนโค้ดในรูปแบบ ASP จะมีรูปแบบดังนี้     <%             คำำสั่งในภำษำ PHP ;      %>
  • 8. โครงสร้ำงและองค์ประกอบ PHP กำรเขียนสคริปต์ PHP ในรูปแบบใดก็ตำมจะต้องมี เครื่องหมำย semicolon ( ; ) ลงท้ำยคำำสั่งเสมอเหมือนกับ กำรเขียนภำษำ C กับภำษำ Perl print”Welcome to php”; และคำำสั่งหรือฟังก์ชั่นในภำษำ PHP จะเขียนด้วยตัว พิมพ์เล็กหรือพิมพ์ใหญ่ก็ได้ ( case-insensitive ) กำรจบ statement หรือสิ้นสุด script เรำจะปิดท้ำย สคริปต์ด้วยแท็ก ( ?> ) และคำำสั่งสุดท้ำยในสคริปต์นั้นจะ ลงท้ำยด้วย semicolon ( ; ) หรือไม่ก็ได้เพรำะจะถูกปิด ด้วยแท็ก ( ?> ) อยู่แล้ว
  • 9. การเขียน PHP ร่วมกับ HTML <html> <head> <title>ตัวอย่าง 3.4 การใช้ PHP script ร่วมกับ HTML</title> </head> <body> <b> <?php print "ขอต้อนรับสู่โลกของ php"; ?> </b> </body> </html>
  • 10. Identification and Data Type การกำาหนดตัวแปรและชนิดของข้อมูล (Type) ตัวแปร(Variable) มีหน้าที่ใช้สำาหรับเก็บค่าตัวเลข ตัวอักษร หรือชุดข้อความ เพื่อใช้ในการอ้างอิง มีหลักการในการตั้งชื่อดังนี้ 1.ชื่อตัวแปรต้องขึ้นต้นด้วยเครื่องหมาย $ (Dollar sign) จากนั้นต้องตามด้วยอักษรเท่านั้น 2.สามารถนำาตัวอักษรและตัวเลขมาผสมกันเป็นชื่อตัวแปรได้ เช่น $User111 3.ชื่อตัวแปรไม่สามารถเว้นว่างหรือเคาะเว้นวรรคได้ 4.ชื่อตัวแปรควรที่จะสื่อความหมายในตัวมันเอง เช่น $name,$salary 5.ชื่อตัวแปร อักษรตัวเล็กตัวใหญ่นั้นมีความสำาคัญมาก เช่น $address, $Address และ $ADDRESS ทั้ง 3 ตัวถือว่า
  • 11. Identification and Data Type ประเภทของตัวแปร คำาอธิบาย Integers เก็บข้อมูลตัวเลขที่เป็นจำานวนเต็มเช่น 236, -256 Floating point numbers เก็บข้อมูลตัวเลขที่มีจุดทศนิยมเช่น 1.236, -0.268 Strings เก็บข้อมูลที่เป็นตัวอักษร ข้อความเช่น "Hi", "Hello", "Year 1979" Arrays เก็บข้อมูลที่เป็นชุด หรือกลุ่มข้อความ Objects เก็บข้อมูลในลักษณะของการเรียกใช้เป็น Class Object หรือ Function Type juggling เก็บข้อมูลในลักษณะที่ขึ้นอยู่กับตัว Operator
  • 12. Identification and Data Type การใช้งาน Integers $a = 567; เป็นจำานวนเต็มบวก $b = -956; เป็นจำานวนเต็มลบ $c = 01236; เป็นเลขฐาน 8 $d = 0x12F; เป็นเลขฐาน 16 Floating point numbers $a = 1.356 $b = 1.3e6 ใช้กำาหนดตัวเลขในรูปแบบทศนิยม และเลขยกกำาลัง ดังเช่น 1.3e6 จะหมายความว่า 1.3 คูณ 10 ยกกำาลัง 6
  • 13. Identification and Data Type Strings การใช้งาน String จะใช้ในการเก็บข้อมุลที่เป็นค่าคงที่ เช่นข้อความต่างๆ ในการ กำาหนดประเภทของข้อมูล String จะมีรหัสควบคุมดังนี้ รหัสควบคุม คำาอธิบาย n ใช้สำาหรับขึ้นบรรทัดใหม่ r ใช้สำาหรับให้ตัว Cursor ไปอยู่ต้นบรรทัด t ใช้ในการเลื่อน Tab ใช้ในการพิมพ์เครื่องหมาย $ ใช้ในการพิมพ์เครื่องหมาย $ " ใช้ในการพิมพ์เครื่องหมาย " [0-7]{1,3} ใช้กำาหนดอักขระให้เป็นรหัส ASCII ฐาน 8 x[0-9A-Fa-f]{1,2} ใช้กำาหนดอักขระให้เป็นรหัส ASCII ฐาน 16
  • 14. Identification and Data Type ตัวอย่างที่ 1   $a = "PHPThai.Net"; #กำาหนดตัวแปร a เก็บ ข้อความ PHPThai.Net $b = $a "site for You"; #กำาหนดให้ตัวแปร b มี ค่าเท่ากับตัวแปร a และตามด้วยข้อความ site for You echo "$b"; #สั่งให้พิมพ์ค่าในตัวแปร b ออกมา   ผลลัพธ์ PHPThai.Net site for You
  • 15. Identification and Data Type Arrays อาเรย์ คือการเก็บข้อมูลในลักษณะของชุดข้อมูล โดยที่แต่ละชุด สามารถจะมีสมาชิกได้หลายตัว และเราสามารถอ้างถึงสมาชิกใน อาเรย์นั้นได้โดยใช้เครื่องหมาย _[ . . .]  อาเรย์ 1 มิติ $a[0] = "abc"; #กำาหนดให้สมาชิกลำาดับที่ 0 ขอ งอาเรย์ a เก็บค่า abc $a[1] = "def"; #กำาหนดให้สมาชิกลำาดับที่ 1 ขอ งอาเรย์ a เก็บค่า def $b["asp"] = 13; #กำาหนดให้สมาชิกชื่อ asp ขอ งอาเรย์ b เก็บค่า 13 อาเรย์หลายมิติ $a[1][0] = $f; #อาเรย์แบบ 2 มิติ
  • 16. Identification and Data Type Object Object คือการเขียนชุดคำาสั่งที่เรามักใช้งานบ่อยๆ หรือใช้งานในลักษณะพิเศษ เพื่อความ สะดวกในการทำางานอาจจะอยู่ในรูปแบบของ Class หรือ Function เช่น   class asp { function do_asp () { echo "ASPThai.Net"; } }   $bar = new asp; $bar -> do_asp();   จากโค้ดเราได้สร้าง class asp และมีฟังก์ชั่นชื่อ do_asp อยู่ภายในคลาสต่อมาเราได้ สร้าง ตัวแปร bar ที่เป็นออบเจกต์ที่เกิดจากคลาส asp ($bar = new asp;) ตัวแปร bar ที่เราสร้าง จากคลาส asp จะมีคุณสมบัติเหมือนคลาส asp คือสามารถใช้ฟังก์ชั่น do_asp ได้ ($bar -> do_asp();)
  • 17. Identification and Data Type Type juggling เป็นการเก็บข้อมูลในลักษณะที่ขึ้นกับตัว Operator เช่น $asp = 5 + "15 diaw";   $asp จะมีค่าเท่ากับ 20โดยดูจาก Operator เป็น เครื่องหมาย + ทำาให้ PHP มองค่าทั้ง 2 เป็นตัวเลข
  • 18. Operators ตัวดำาเนินการ Operators ตัวดำาเนินการทางด้านคณิตศาสตร์ Arithmetic Operators ตัวดำาเนินการทางด้านการเพิ่มลดค่า Incrementing/Decrementing การใช้งาน ชื่อตัวดำาเนินการ ความหมาย $a + $b บวก หาผลรวมระหว่าง $a กับ $b $a - $b ลบ หาผลต่างระหว่าง $a กับ $b $a * $b คูณ หาผลคูณระหว่าง $a กับ $b $a / $b หาร การหารระหว่าง $a กับ $b $a % $b หารหาเศษ การหารเพื่อหาเอาเศษ ระหว่าง $a กับ $b การใช้งาน ชื่อตัวดำาเนินการ ความหมาย ++$a Pre-increment เพิ่มค่าทีละ 1 ก่อน แล้วค่อยให้ค่ากับตัวแปร $a++ Post-increment ให้ค่ากับตัวแปรก่อนแล้วค่อยเพิ่มค่าทีละ 1 --$a Pre-Decrement ลดค่าทีละ 1 ก่อนแล้วค่อยให้ค่ากับตัวแปร $a-- Post-Dicrement ให้ค่ากับตัวแปรก่อนแล้วค่อยลดค่าทีละ 1
  • 19. Operators ตัวดำาเนินการทางด้านตรรกศาสตร์ Logical Operators ตัวดำาเนินการทางเปรียบเทียบ Comparison Operators การใช้งาน ชื่อตัวดำาเนินการ ความหมาย $a and $b และ เป็นจริง เมื่อ $a และ $b มีค่าเป็น จริง $a or $b หรือ เป็นจริง เมื่อ $a หรือ $b มีค่าเป็น จริง $a xor $b และ เป็นจริง เมื่อ $a และ $b ตัวใดตัวหนึ่งเป็น จริง> ! $a ตรงกันข้าม เป็นจริง เมื่อ $a มีค่าเป็น เท็จ $a && $b และ เป็นจริง เมื่อ $a และ $b มีค่าเป็น จริง $a || $b หรือ เป็นจริง เมื่อ $a หรือ $b มีค่าเป็น เท็จ การใช้งาน ชื่อตัวดำาเนินการ ความหมาย $a == $bเท่ากับ เป็นจริง เมื่อ $a มีค่าเท่ากับ $b $a != $b ไม่เท่ากับ เป็นจริง เมื่อ $a มีค่าไม่เท่ากับ $b $a < $b น้อยกว่า เป็นจริง เมื่อ $a น้อยกว่า $b $a > $b มากกว่า เป็นจริง เมื่อ $a มีค่ามากกว่า $b $a <= $bน้อยกว่าหรือเท่ากับ เป็นจริง เมื่อ $a มีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ $b $a >= $bมากกว่าหรือเท่ากับ เป็นจริง เมื่อ $a มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ $b
  • 20. Operators ตัวอย่างการใช้งาน ตัวอย่างที่ 1 $a =$b = 8+1 $a และ $b จะเท่ากับ 9 ตัวอย่างที่ 2 $a = 2; $b = 2; ++$a; $b++; $a และ $b จะมีค่าเท่ากับ 3 เพราะมีการเพิ่มค่าไปทีละ 1
  • 21. Control Structure ตัวควบคุมการทำางาน                 ในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้น คอมพิวเตอร์จะทำางานโดยเรียงลำาดับลงมาจากบน – ลงล่าง (Top – Down) แต่ถ้าเราต้องการสั่งให้ คอมพิวเตอร์ทำางานย้อยกลับ หรือมีการทำางานซำ้า เรา จะต้องมีตัวคอบคุมการทำางานดังนี้ If . . .Else . . .ElseIf คำาสั่ง If เป็นคำาสั่งสำาหรับกำาหนดให้โปรแกรมทำางาน อย่างมีเงื่อนไข โดยเริ่มต้นในการตรวจสอบนิพจน์ ว่า ค่าที่ได้เป็นจริงหรือเท็จ และนำาค่าที่ได้เป็นตัวเลือกว่า จะกระทำาตามคำาสั่งใด
  • 22. Control Structure ตัวอย่างที่ 1 การใช้งาน If ตรวจสอบเงื่อนไขเดียว <? $a = 30; $b = 20; If ($a > $b) { echo " a มากกว่า b"; } ?>   จากตัวอย่างข้างต้นเป็นการตรวจสอบเงื่อนไขเดียวคือ ตัวแปรa มากกว่า ตัวแปรb ซึ่งถ้าเป็นจริงตามเงื่อนไขก็ จะพิมพ์คำาว่า " a มากกว่า b" ออกมาแต่ถ้าไม่ตรงก็จะ ออกจากคำาสั่ง
  • 23. Control Structure While คำาสั่ง while เป็นคำาสั่งในการวนรอบ โดยจะมีการ ตรวจสอบเงื่อนไขก่อนแล้วค่อยมีการทำางานตามลำาดับ แต่ถ้าเงื่อนไขไม่เป็นตามที่กำาหนดก็จะออกจากการวน รอบของ while ทัน <? $i = 1; while ($I <= 10) { echo $I++; echo "<br>"; } ?> จากตัวอย่าง ผลลัพธ์ที่ได้คือ แสดงตัวเลขออกมาตั้งแต่ 1
  • 24. Control Structure do . . while คำาสั่ง do . . while คือคำาสั่งในการวนรอบเช่น เดียวกัน แต่ต่างกันตรงที่จะมีการทำางานตามคำา สั่งที่ต้องการก่อน แล้วจึงค่อยตรวจสอบเงื่อนไข ทีหลัง ซึ่งถ้าเงื่อนไขเป็นตามที่กำาหนด ก็จะวน รอบขึ้นมาทำางานตามคำาสั่งที่ต้องการใหม่ แต่ถ้า เงื่อนไขไม่ตรงกับที่กำาหนด ก็จะออกจากการวน รอบทันที ดังนี้  
  • 25. Control Structure <? $i = 1; $total = 0; do { // เข้าสู่เงื่อนไขของ do $total = $total + $i; // ให้ $total มีค่าเท่ากับ ตัวเองบวกด้วยค่าของ $i ซึ่งเริ่มต้นที่ 1 $i ++; // บวกค่าของ $i ไปอีก 1 } while ($i <= 10); // ถ้า $i ยังไม่มากกว่า หรือ เท่ากับ 10 ให้ วนรอบ do อีกครั้ง   echo "ผลลัพธ์คือ : "; echo $total; ?> ผลลัพธ์ที่ได้คือ 55 จะเห็นได้ว่าการเขียนด้วย do . . .while จะมีการทำาตามคำาสั่งก่อนที่จะตรวจสอบ เงื่อนไขซึ่งต่างกับ while ที่ตรวจสอบเงื่อนไขก่อน  
  • 26. Control Structure for คำาสั่ง for เป็นคำาสั่งในการวนรอบอีกคำาสั่งหนึ่งแต่จะไม่มีการตรวจสอบเงื่อนไข เพียงแต่ ทำาตามคำาสั่งที่กำาหนดไว้แล้วเท่านั้น   ตัวอย่างการใช้งานคำาสั่ง for <? for ($i = 1; $i <= 10; $i++ ) { echo "$i <br>"; } ?>   ข้อสังเกต : ภายใน for ( . . . )   $i = 1; คือการกำาหนดค่าเริ่มต้น $i <= 10; คือการกำาหนดค่าจุดสิ้นสุด $i++ คือการกำาหนดให้เพิ่มไปทีละ 1   ผลลัพธ์ที่ได้คือ จะมีการวนรอบเพื่อพิมพ์ค่า 1 ถึง 10
  • 27. Control Structure break คำาสั่ง break คือคำาสั่งที่ใช้ในการหลุดออกจากเงื่อนไข หรือจบเงื่อนไขทันทีดัง ตัวอย่างนี้   <? $i = 0; while ($I <= 50) { if ($i ==20) { break; } echo "$i <br>"; $i++; } ?>   ที่จริงแล้วคำาสั่งนี้จะต้องพิมพ์ค่า 0 ถึง 50 ออกมา แต่เนื่องจากมีการใช้คำาสั่ง if มาตรวจ เช็คเมื่อถึง 20 ถ้าเป็นจริงก็จะทำาคำาสั่ง break และหยุดการวนรอบทันทีทำาให้ ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาคือ 1 ถึง 19  
  • 28. Control Structure continue คำาสั่ง continue เป็นคำาสั่งที่ใช้ควบคู่กับคำาสั่งในการวนรอบ โดยเมื่อโปรแกรม ทำาการรันคำาสั่งนี้ จะทำาการกระโดดไปเริ่มต้นใหม่ทันที ( ใช้กับคำาสั่ง for, while)   ตัวอย่าง เป็นการพิมพ์เลขคู่จาก 0 ถึง 50   <? for ($a = 0; $a <= 50; $a++) { if ($a % 2) { continue }//เป็นเลขคี่กระโดดไปเริ่มต้นใหม่ echo "$a <br>"; //ให้พิมพ์เลขคู่ออกมา } ?>
  • 29. Control Structure switch คำาสั่ง switch เป็นคำาสั่งในการเลือกเงื่อนไขจำานวนมากๆ ซึ่งจะสะดวกกว่าการใช้คำาสั่ง if   ตัวอย่าง <? $a = 2; switch ($a) { case 0; echo "a มีค่าเท่ากับ 0"; break; case 1; echo "a มีค่าเท่ากับ 1"; break; case 2; echo "a มีค่าเท่ากับ 2"; break; default; echo "a ไม่มีค่าเท่ากับ 0 ,1 หรือ 2"; } ?>   จากตัวอย่างเรากำาหนด ให้ค่าตัวแปร a มีค่าเท่ากับ 2 ดังนั้นการทำางานของคำาสั่งจะอยู่ใน case ที่ 2
  • 30. Control Structure include (); คำาสั่ง include() เป็นคำาสั่งในการเรียก PHP Script ที่อยู่ในไฟล์อื่นเข้ามาทำางาน โดยสามารถ เรียกใช้งานภายใต้คำาสั่งของการวนรอบ ( Loop ) และสามารถที่จะนำามาเปรียบเทียบเงื่อนไข การทำางานได้   ตัวอย่างที่ 1 เรียกใช้คำาสั่ง include() ภายใต้การวนรอบของคำาสั่ง for   <? $fa = array (‘a.inc’, ’b.inc’, ‘c.inc’, ‘d.inc’); for ($i = 0; $i < count($fa); $++) { include $fa[$I]; } ?> จากตัวอย่างแรก จะใช้อาเรย์ fa เป็นตัวเก็บข้อมูลของไฟล์ทั้งหมด 4ไฟล์ จากนั้นจะทำาการวนรอบ เพื่อเรียกใช้ (include) ทีละไฟล์
  • 31. Control Structure require (); คำาสั่งนี้จะเป็นคำาสั่งในการเรียก PHP Script ที่อยู่ในไฟล์อื่นเข้ามาทำางานซึ่งคล้ายกับ include เพียงแต่สามารถเรียกใช้ภายใต้คำาสั่งการวนรอบได้ (Loop) <? require (‘header.inc’); ?>