บทที่ 1
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการศึกษาแบบเรียนรวม
อ.ภัคภร ขันกสิกรรม
ในประเทศไทยได้ให้ความสาคัญกับการศึกษาโดยเด็กทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันให้ได้รับ
การศึกษาขั้นพื้นฐาน รวมถึงเด็กที่มีความต้องการพิเศษจึงต้องจัดการศึกษาแบบเรียนรวมกับเด็ก
ปกติในโรงเรียนปกติทั่วไป เพื่อลดการแบ่งแยกทางสังคมทางศึกษาโดยจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับ
เด็กที่มีความต้องการพิเศษ
ความหมายการศึกษาแบบเรียนรวม
นักวิชาการด้านการศึกษาพิเศษได้ให้ความหมายเกี่ยวกับการศึกษาแบบเรียนรวมไว้ดังนี้
Giangreco อ้างใน Heward (2002) ได้ให้คาจากัดความทางการศึกษาแบบเรียนรวม
หมายถึง ผู้เรียนทุกคนสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนภาครัฐและเป็นหน้าที่ของโรงเรียนที่มีเด็กที่มีความ
ต้องการพิเศษเข้าเรียนโดยจัดหาบริการและการให้การสนับสนุนให้เด็กสามารถเรียนได้เท่าเทียมกัน
กับนักเรียนคนอื่นๆในโรงเรียน โดยที่จัดชั้นเรียนที่มีนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษให้มีสัดส่วนร้อย
ละ 10-12 เรียนกับนักเรียนทั่วไปในอายุเท่ากัน
ผดุง อริยะวิญญู (2542:2) อธิบายความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม หมายถึง การ
จัดการจัดการศึกษาอย่างหนึ่งซึ่งโรงเรียนจัดให้การศึกษาให้กับเด็กทุกคน โดยไม่มีการแบ่งแยกว่า
เด็กคนใดเป็นเด็กปกติหรือคนใดเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ เด็กทุกคนที่ผู้ปกครองพามาเข้า
โรงเรียน ทางโรงเรียนจะต้องรับเด็กไว้ และต้องจัดการศึกษาให้เขาอย่างเหมาะสม รวมไปถึง
การศึกษาที่ไม่แบ่งแยกตั้งแต่ระดับอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษาตลอดจนการดารง
ชีพของคนในสังคม
ชนิศา อภิชาตบุตร (2553:49) ได้ให้ความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม หมายถึง
การศึกษาสาหรับทุกคนโดยรับเข้ามาเรียนกันตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษา และจัดให้มีบริการพิเศษตาม
ความต้องการของแต่ละบุคคล เมื่อสถานศึกษารับเด็กเข้ามาเรียนรวมกับเด็กทั่วไป สถานศึกษาและ
ครูจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบจัดสภาพแวดล้อม การจัดการเรียนการสอน หลักสูตร การประเมินผล
ฯลฯ เพื่อให้ครูสามารถจัดการเรียนการสอนได้ตามความต้องการของผู้เรียนเป็นเฉพาะบุคคล ซึ่งทา
ให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ
จากความหมายข้างต้น พอสรุปได้ว่า การศึกษาแบบเรียนรวม หมายถึง การจัดการศึกษา
สาหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษได้เรียนรวมกับนักเรียนปกติทั่วไปอย่างเท่าเทียมกัน โดยมี
สถานศึกษา ครู บุคลากรทางการศึกษา จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบจัดสภาพแวดล้อม สิ่งอานวยความ
สะดวก สื่อการจัดการเรียนการสอนและบริการทางการศึกษาให้เหมาะสมและสอดคล้องกับศักยภาพ
เฉพาะบุคคลของผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ
2
หลักการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม
นักการศึกษาพิเศษและบุคคลที่เกี่ยวข้องได้ให้หลักการ ปรัชญา ความเชื่อ ในการจัด
การศึกษาแบบเรียนรวมเป็นหลักการแนวคิดที่สะท้อนออกมาดังนี้ ผดุง อารยะวิญญู และวาสนา
เลิศศิลป์ (2551)
1.ความเป็นธรรมในสังคม (Social Justice) เด็กที่มีความต้องการพิเศษเป็นส่วนหนึ่งใน
สังคม เมื่อเด็กทุกคนได้รับการศึกษาในโรงเรียนปกติ เด็กที่มีความต้องการพิเศษควรได้รับการศึกษา
ด้วย หากกีดกันไม่ให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษได้รับการศึกษาในโรงเรียนปกติด้วยแล้ว หลายคนมี
ความเชื่อว่านั่นคือความไม่ยุติธรรมในสังคม ก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายในสังคมตามมาภายหลัง
2.การคืนสู่สภาวะปกติ (Normalization) เป็นการจัดสภาพใดๆเพื่อให้ผู้ที่มีความบกพร่อง
ทางด้านต่างๆ สามารถได้รับบริการเช่นเดียวกับคนปกติ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมในกิจกรรมการกีฬา
ดนตรี ศิลปะ วัฒนธรรมต่างๆ เพื่อให้ผู้ที่มีความบกพร่องดารงชีพอยู่ในสังคมอย่างปกติสุข
3.สภาพแวดล้อมที่มีข้อจากัดน้อยที่สุด (Least Restrictive Environment) หลักสาคัญ
อย่างหนึ่งในการจัดการศึกษาคือการจัดให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษเรียนในสภาพแวดล้อมที่มี
ข้อจากัดน้อยที่สุดจึงเป็นผลดีกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษมากที่สุด โดยเปิดโอกาสให้เด็กปกติและ
ครูได้เข้าใจเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ในความหลากหลายของความเป็นมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันในสังคม
4.การเรียนรู้ (Learning) เด็กทุกคนมีความสามารถเรียนรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กปกติหรือเด็กที่
มีความต้องการพิเศษ ซึ่งในอดีตมีหลายคนเชื่อว่าเด็กที่มีความต้องการพิเศษไม่สามารถเรียนหนังสือ
ได้ที่เห็นได้ชัดเจนคือ เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาสามารถเรียนได้ อาจเรียนสาเร็จในชั้น
ประถมศึกษาหรือระดับชั้นที่สูงขึ้น หากเด็กมีความพร้อมและได้รับการสนับสนุนอย่างถูกต้องและ
จัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับระดับความสามารถของผู้เรียนแต่ละบุคคล
จากหลักการศึกษาแบบเรียนรวม สรุปได้ว่า เด็กที่มีความต้องการพิเศษต้องได้รับการศึกษา
โดยจัดการเรียนการสอน การวัดและประเมินผลให้สอดคล้องกับระดับความสามารถของผู้เรียนแต่ละ
บุคคล ซึ่งการสอนให้จดจาอย่างเดียวไม่ถือว่าเป็นการสอนที่ดีและไม่เป็นการส่งเสริมผู้เรียนอย่างรอบ
ด้าน เนื่องจากการเด็กอาจจะเรียนดีในเฉพาะเนื้อหาที่เรียนแต่ไม่ประสบความสาเร็จในชีวิตการ
ทางานก็ได้ เพราะฉะนั้นการเรียนรู้ควรพิจารณาจากเด็กมีความพึงพอใจในการเรียน ในงานที่ตนเอง
ทา ซึ่งความพึงพอใจอาจมีความแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ดังนั้นโรงเรียนที่จัดการศึกษาแบบเรียน
รวมได้ดี ควรส่งเสริมการเรียนรู้รอบด้านและปรับกระบวนการให้สอดคล้องกับลักษณะผู้เรียนที่มี
ความต้องการพิเศษ
รูปแบบการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม
ในการจัดการเรียนการสอนสาหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษเรียนรวมกับเด็กปกติต้อง
อาศัยรูปแบบการเรียนรวมที่เหมาะสมกับผู้เรียนในชั้นเรียนรวม ซึ่งรูปแบบการเรียนรวมมีหลาย
รูปแบบ โดยที่ ด๊าค (Daeck, 2007) ได้เสนอรูปแบบการเรียนรวมเต็มเวลาไว้ 3 รูปแบบใหญ่ 5
รูปแบบเล็ก ดังนี้
3
1. รูปแบบผู้สอนที่ปรึกษา (Consultant Model) ในรูปแบบนี้ผู้สอนการศึกษาพิเศษจะ
ได้รับมอบหมายให้สอนทักษะแก่ผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ ซึ่งผู้สอนได้สอนผู้เรียนในชั้นเรียนรวม
แล้ว แต่ผู้เรียนยังไม่เกิดทักษะ ดังนั้นผู้สอนการศึกษาพิเศษต้องสอนทักษะเดิมซ้าๆอีก จนกระทั่ง
ผู้เรียนเกิดทักษะนั้น สาหรับรูปแบบผู้สอนที่ปรึกษานั้น ผู้สอนการศึกษาพิเศษจะรับผิดชอบผู้เรียนที่
มีความต้องการพิเศษเป็นจานวนจากัด ผู้สอนปกติและผู้สอนการศึกษาพิเศษต้องมีประชุม
ปรึกษาหารือเกี่ยวกับทักษะของผู้เรียน โดยมีการวางแผนร่วมกัน ซึ่งรูปแบบการทางานเหมาะกับ
โรงเรียนขนาดเล็กที่มีจานวนผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษไม่มากนัก
2. รูปแบบการร่วมทีม ( Teaming Model) ในรูปแบบนี้ผู้สอนการศึกษาพิเศษจะได้รับ
มอบหมายให้รับผิดชอบในการร่วมทีมกับผู้สอนที่สอนชั้นเรียนปกติ เช่น ในสาย ป.4 (ครูที่สอนชั้นป.4
/ 1 และ ป.4 / 2) ผู้สอนการศึกษาพิเศษมีหน้าที่ให้ข้อมูลแก่ผู้สอนชั้นเรียนปกติเกี่ยวกับผู้เรียนที่มี
ความต้องการพิเศษในชั้นเรียนรวม ให้คาแนะนาเกี่ยวกับการปรับวิธีสอนการมอบหมายงาน การ
จัดการด้านพฤติกรรม การปรับวิธีสอบ พร้อมทั้งการวางแผนร่วมกันในการให้ความช่วยเหลือผู้เรียนที่
มีความต้องการพิเศษ
3. รูปแบบการร่วมมือ หรือ การร่วมสอน (Collaborative / Co Teaching Model) ใน
รูปแบบนี้ทั้งผู้สอนการศึกษาพิเศษและผู้สอนชั้นเรียนปกติร่วมมือกันในหลายลักษณะในการสอน
ผู้เรียนทุกคน ทั้งผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษและผู้เรียนปกติในห้องเรียนปกติ ร่วมมือกันรับผิดชอบ
ในการวางแผน การสอน การวัดผลประเมินผล การดูแลทั้งระเบียบวินัยความประพฤติของผู้เรียนโดย
ได้รับบริการด้านการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับวัย ได้รับความช่วยเหลือสิ่งอานวยความสะดวก สื่อ
บริการทางการศึกษาที่จาเป็น ตลอดจนการปรับการเรียนการสอนให้เหมาะสมตามศักยภาพของ
ผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษแต่ละบุคคล ในรูปแบบนี้ผู้สอนเป็นผู้รับผิดชอบจะต้องประชุมกันเพื่อ
วางแผน เพื่อให้การเรียนรวมดาเนินไปด้วยดีซึ่งอาจจาแนกออกเป็นรูปแบบย่อย ๆ ได้ 5 รูปแบบ ดังนี้
3.1 คนหนึ่งสอนคนหนึ่งช่วย (One Teacher-One Supporter) เป็นการสอนโดยมี
ผู้สอน 2 คน ร่วมกันสอนชั้นเดียวกันในเวลาเดียวกัน เนื้อหาเดียวกัน ผู้สอนคนที่เชี่ยวชาญในเนื้อหา
เป็นผู้สอน ส่วนผู้สอนอีกคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญในเนื้อหาน้อยกว่าเป็นผู้คอยให้ความช่วยเหลือผู้เรียนที่มี
ความต้องการพิเศษ ซึ่งผู้เรียนอาจถามผู้สอนคนใดคนหนึ่งก็ได้
3.2 การสอนพร้อม ๆ กัน (Parallel Teaching) เป็นการแบ่งเด็กในหนึ่งห้องเรียน
ออกเป็นกลุ่มไปพร้อม ๆ กัน หลังจากบรรยายเสร็จ ผู้สอนอาจมอบงานให้ผู้เรียนทาไปพร้อม ๆ กัน
และให้ผู้เรียนทางานเป็นกลุ่มไปพร้อม ๆ กัน การสอนแบบนี้เหมาะสาหรับห้องเรียนที่มีจานวนผู้เรียน
ไม่มากนัก ผู้สอนสามารถดูแลผู้เรียนได้อย่างทั่วถึง ผู้สอนสามารถตอบคาถามผู้เรียนได้แทบทุกคน
และอาจอธิบายซ้าหรือสอนซ้าได้ สาหรับผู้เรียนบางคนที่ไม่เข้าใจเนื้อหาบางตอน
3.3 ศูนย์การสอน (Station Teaching) บางครั้งอาจเรียกศูนย์การเรียน (Learning
Centers) ในรูปแบบนี้ผู้สอนจะแบ่งเนื้อหาวิชาออกเป็นตอน ๆ แต่ละตอนจะจัดวางเนื้อหาได้ตาม
แหล่งต่าง ๆ ( Stations) ภายในห้องเรียน ให้นักเรียนตามเวลาที่กาหนด และหมุนเวียนกันจนครบทุก
ศูนย์จึงจะได้เนื้อหาวิชาครบถ้วนตามที่ผู้สอนกาหนด ข้อดีของรูปแบบนี้คือ ผู้สอนอาจใช้เวลาใน
ขณะที่ผู้เรียนคนอื่นกาลังเรียนรู้ด้วยตนเอง มาสอนผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษเป็นรายบุคคล ทาให้
ผู้เรียนได้เข้าถึงในสิ่งที่เรียนมากขึ้น
4
3.4 การสอนทางเลือก (Alternative Teaching Design) ในการสอนแบบนี้จะต้องมี
ผู้สอนอย่างน้อย 2 คน ใน 1 ห้องเรียน ผู้สอนคนแรกจะสอนเนื้อหาวิชาแก่ผู้เรียนทั้งหมดในชั้นเรียน
หลังจากนั้นจึงแบ่งกลุ่มเพื่อทากิจกรรม ผู้สอนคนหนึ่งจะสอนกลุ่มผู้เรียนที่เก่งกว่าเพื่อให้ได้เนื้อหา
และกิจกรรมเชิงลึก ในขณะที่ผู้สอนอีกคนสอนกลุ่มผู้เรียนที่อ่อนกว่า เพื่อให้ผู้เรียนได้เลือกทา
กิจกรรมตามความสามารถของตน ซึ่งการสอนแบบนี้มีข้อดีคือ ผู้เรียนที่เก่งได้เลือกเรียนในสิ่งที่ยาก
ท้าทาย ขณะที่ผู้เรียนที่อ่อนได้เลือกเรียนตามศักยภาพของตน ผู้สอนมีโอกาสสอนซ้าในทักษะเดิม
สาหรับผู้เรียนที่ยังไม่เก่งในทักษะนั้น ๆ ซึ่งเหมาะสาหรับชั้นเรียนวิชาคณิตศาสตร์ หรือวิชาอื่นที่มี
เนื้อหาของวิชายากง่ายตามลาดับ
3.5 การสอนเป็นทีม (Team Teaching) เป็นรูปแบบที่มีผู้สอนมากกว่า 1 คน รวมกัน
สอนห้องเรียนเดียวกันซึ่งเนื้อหาเดียวกัน เป็นการสอนผู้เรียนทั้งห้องเรียนแต่ไม่จาเป็นต้องสอนในเวลา
เดียวกันหากแต่มีผู้สอนมากกว่า 1 คน ในเวลาเดียวกัน ผู้สอนอาจเดินไปรอบ ๆ ห้องและช่วยกันสอน
ผู้เรียนเป็นรายบุคคล โดยเฉพาะผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษที่มีปัญหาในการเรียน
คาร์ทเนอร์และลิปสกี้ (Gartner & Lipsky , 1997 อ้างถึงใน สมพร หวานเสร็จ ,2543) ได้
เสนอรูปแบบการศึกษาแบบเรียนรวมไว้หลายรูปแบบ บางรูปแบบคล้ายกับที่ ด๊าคเสนอไว้ แต่ที่พบข้อ
แตกต่างมี 2 รูปแบบ ดังนี้
1. รูปแบบห้องเสริมวิชาการ (Resource Room Model) เป็นการนาเด็กที่มีความต้องการ
พิเศษสอนในห้องที่จัดไว้ต่างหากเป็นการนาเด็กออกจากห้องเรียน (Pull-out Program) ห้องเสริม
วิชาการเป็นห้องที่มีอุปกรณ์การเรียนการสอน แบบเรียน แบบฝึกที่ครบถ้วน ใช้เป็นห้องเรียนสาหรับ
กลุ่มเฉพาะ ใช้เป็นห้องฝึกทักษะต่าง ๆ เฉพาะกลุ่ม ห้องเสริมวิชาการเป็นรูปแบบการเรียนรวมบาง
เวลา นั่นคือบางเวลาเรียนรวมชั้นเดียวกันกับเด็กปกติ บางเวลามาเรียนในห้องเฉพาะ เพื่อฝึกทักษะ
เฉพาะบางประการ ดังรูปแบบห้องเสริมวิชาการ ของ Lake Bention : Elementary School
ประเทศสหรัฐอเมริกาทีผู้เรียบเรียงได้ไปศึกษาดูงาน
2. รูปแบบผู้ช่วยครู (Teacher-Aid Model) เป็นการจัดให้มีผู้ช่วยครู 1 คน สาหรับ 1
ห้องเรียนปกติ ผู้ช่วยครู ( บางทีอาจเรียนครูผู้ช่วย ) จะเข้าไปนั่งในห้องเรียนขณะที่ครูประจาการ
กาลังสอนอยู่หน้าชั้น ผู้ช่วยครูจะนั่งติดกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษที่ครูผู้ช่วยได้รับมอบหมายให้
ช่วยเหลือ จะมีเด็กที่มีความสามารถพิเศษ 1 – 2 คน ในห้องเรียนรวมเต็มเวลา หน้าที่ของผู้ช่วยครู
คือ คอยอธิบายเพิ่มเติมตามที่ครูสอน ช่วยเรียกเด็กให้กลับมาสนใจบทเรียนหากเด็กเริ่มเสียสมาธิ
ตลอดจนตอบคาถามของเด็กในเนื้อหาวิชาที่เรียน ผู้ช่วยครูอาจไม่มีวุฒิทางการศึกษาก็ได้ อาจเป็น
อาสาสมัครหรือผู้ปกครองก็ได้ แต่ไม่ควรเป็นผู้ปกครองของเด็กที่ผู้ช่วยครูกาลังดูแลอยู่ ผู้ช่วยครู
จะต้องได้รับการอบรมเกี่ยวกับภารกิจที่ต้องปฏิบัติในห้องเรียน รูปแบบผู้ช่วยครู อาจกล่าวได้ว่า การ
จัดการเรียนรวมมีหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบมีลักษณะแตกต่างกันไป แต่ละรูปแบบมีลักษณะเฉพาะ
และมีความเหมาะกับสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป และอาจมีรูปแบบอื่นที่มิได้จากัดอยู่เพียง 8
รูปแบบที่กล่าวมานี้ อย่างไรก็ตามไม่มีรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งที่ดีที่สุดแต่ละรูปแบบเป็นทางเลือกที่คน
พิการ สามารถเลือกเรียนได้ตามความต้องการจาเป็นที่เหมาะสมสาหรับคนพิการแต่ละคนในช่วงเวลา
ใดเวลาหนึ่งเท่านั้น
5
สรุปได้ว่า การจัดการศึกษาแบบเรียนรวมจึงเป็นแนวคิดใหม่ทางการศึกษาที่โรงเรียน
จะต้องจัดการศึกษาให้กับเด็กทุกคน ไม่มีการแบ่งแยกว่าเด็กคนใดเป็นเด็กทั่วไป หรือเด็กคนใดที่มี
ความต้องการพิเศษ โดยโรงเรียนจะต้องจัดการศึกษาให้อย่างเหมาะสมทางเลือกหนึ่งที่ให้โอกาสแก่
บุคคลที่มีความต้องการพิเศษได้พัฒนาศักยภาพทุกด้าน ในระบบของโรงเรียนที่จัดให้การเรียนรวมจึง
มิใช่การศึกษาเฉพาะเด็กที่มีความต้องการพิเศษเท่านั้นหากแต่เป็นการศึกษาเพื่อเด็กทุกคน การ
จัดการเรียนการสอนและการดาเนินการต่างๆจะเป็นการผสมผสานระหว่างหลักการทางการศึกษา
พิเศษ และการศึกษาทั่วไป การเรียนรวมในประเทศไทยแม้ว่าจะได้ดาเนินการไป แต่ก็ยังมีปัญหา
หลากหลายทั้งในการบริหารจัดการ การบริหารหลักสูตร การประเมินความต้องการพิเศษทาง
การศึกษาของผู้เรียน การจัดหาสื่อ สิ่งอานวยความสะดวก การปรับวิธีสอน การปรับวิธีการวัดผล
และการช่วยเหลือด้วยจิตอารี จึงจาเป็นอย่างยิ่งที่จะทาให้การเรียนรวมดาเนินต่อไปได้
กฎหมาย นโยบายและแผนพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีความต้องการพิเศษ
การศึกษาพิเศษของประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากกฎหมาย Individual with Disabilities
Education Improvement Act ปีค.ศ. 2004 และนโยบายปฏิญญาสากลว่าด้วยด้านสิทธิมนุษยชน
The Declaration of Human Right ปีค.ศ. 1948 จากประเทศสหรัฐอเมริกาส่งผลให้ประเทศไทยมี
กฎหมายฉบับแรกที่เกี่ยวข้องกับคนพิการคือ พระราชบัญญัติการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ.
2534 ซึ่งต่อมารัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และฉบับแก้ไขปี พ.ศ.
2545 ซึ่งได้เพิ่มเติมสิทธิทางการศึกษาคนพิการ โดยมีคาขวัญที่ว่า “คนพิการอยากเรียน ต้องได้
เรียน”ส่งผลให้กฎหมายนโยบายทางการศึกษาพิเศษได้รับการพัฒนาส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง โดยมี
พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 และพระราชบัญญัติการจัด
การศึกษาสาหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบัน
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550
ได้ให้ความสาคัญต่อคนพิการไว้ดังนี้
มาตรา 49 ระบุว่า บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐ
จะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพ หรือผู้
อยู่ในสภาวะยากลาบาก ต้องได้รับสิทธิตามวรรคหนึ่งและการสนับสนุนจากรัฐเพื่อให้ได้รับการศึกษา
โดยทัดเทียมกับบุคคลอื่น การจัดการศึกษาอบรมขององค์กรวิชาชีพหรือเอกชนการศึกษาทางเลือก
ของประชาชน การเรียนรู้ด้วยตนเอง และการเรียนรู้ตลอดชีวิต ย่อมได้รับการคุ้มครองและส่งเสริม
ที่เหมาะสมจากรัฐ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560
ได้ให้ความสาคัญต่อคนพิการไว้ดังนี้
มาตรา ๔ ระบุว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล
ย่อมได้รับความคุ้มครอง ปวงชนชาวไทยย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญเสมอกัน
6
มาตรา ๒๗ ระบุว่า บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความ
คุ้มครอง ตามกฎหมายเท่าเทียมกัน ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
ต่อบุคคล ไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องถิ่นกาเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ
สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา
การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือเหตุอื่น
ใด จะกระทามิได้
มาตรการที่รัฐกาหนดขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิทธิหรือเสรีภาพ
ได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น หรือเพื่อคุ้มครองหรืออานวยความสะดวกให้แก่เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ คน
พิการ หรือผู้ด้อยโอกาส ย่อมไม่ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามวรรคสาม
มาตรา ๗๑ ระบุว่า รัฐพึงเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวอันเป็นองค์ประกอบพื้นฐาน
ที่สาคัญของสังคม จัดให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยอย่างเหมาะสม ส่งเสริมและพัฒนาการสร้างเสริม
สุขภาพเพื่อให้ ประชาชนมีสุขภาพที่แข็งแรงและมีจิตใจเข้มแข็ง รวมตลอดทั้งส่งเสริมและพัฒนาการ
กีฬาให้ไปสู่ความเป็นเลิศ และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน
รัฐพึงส่งเสริมและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นพลเมืองที่ดี มีคุณภาพและความสามารถ
สูงขึ้น รัฐพึงให้ความช่วยเหลือเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ยากไร้ และผู้ด้อยโอกาส
ให้สามารถดารงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ และคุ้มครองป้องกันมิให้บุคคลดังกล่าวถูกใช้ความรุนแรง
หรือปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม รวมตลอดทั้งให้การบาบัด ฟื้นฟูและเยียวยาผู้ถูกกระทาการดังกล่าว
ในการจัดสรรงบประมาณ รัฐพึงคานึงถึงความจาเป็นและความต้องการที่แตกต่างกันของ
เพศ วัย และสภาพของบุคคล ทั้งนี้ เพื่อความเป็นธรรม
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
ได้ให้ความสาคัญทางการศึกษาสาหรับคนพิการไว้ดังนี้
กาหนดให้คนไทยทุกคนมีสิทธิและโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบ
สองปีที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย จากพระราชบัญญัติการศึกษา
ดังกล่าว จึงทาให้รัฐโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบทางการศึกษา ต้องจัดการศึกษาให้แก่เด็กไทย ทั้ง
เด็กปกติ หรือเด็กที่มีความต้องการพิเศษ โดยมีกฎหมาย หรือ พระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้อง สานักงาน
บริหารการศึกษาพิเศษ (2556 : 10 - 15) ได้รวบรวมกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา
พิเศษซึ่งได้กล่าวถึงสิทธิทางการศึกษา
ของคนพิการไว้ดังนี้
มาตรา 10 ระบุว่า การจัดการศึกษาสาหรับบุคคลซึ่งมีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ
สติปัญญาอารมณ์ สังคม การสื่อสารและการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการหรือทุพพลภาพหรือบุคคล
ซึ่งไม่สามารถพึ่งตนเองได้ หรือไม่มีผู้ดูแลหรือด้อยโอกาส ต้องจัดให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิและโอกาส
ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ
การศึกษาสาหรับคนพิการในวรรคสองให้จัดตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการโดยไม่เสีย
ค่าใช้จ่าย และให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิได้รับสิ่งอานวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลือ
อื่นใดทางการศึกษา ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กาหนดในกฎกระทรวง
7
การจัดการศึกษาสาหรับบุคคลซึ่งมีความสามารถพิเศษ ต้องจัดด้วยรูปแบบที่เหมาะสมโดย
คานึงถึงความสามารถของบุคคลนั้น
มาตรา 22 ระบุ หลักการจัดการศึกษา ต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้
และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้
ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ
มาตรา 24 ระบุว่า กระบวนการเรียนรู้ ต้องจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับ
ความสนใจ ความถนัด และความแตกต่างของผู้เรียน
มาตรา 26 ระบุว่าการประเมินผลการเรียนรู้ พิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน
ความประพฤติ สังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรม การทดสอบควบคู่กันไปตามความ
เหมาะสมของแต่ละระดับ และรูปแบบการศึกษา และให้นาผลการประเมินดังกล่าวมาใช้ประกอบ
การพิจารณาในการจัดสรรโอกาสการเข้าศึกษาต่อ โดยใช้วิธีการที่หลากหลาย
พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ พ.ศ. 2551
ได้กล่าวถึงสิทธิทางการศึกษาของคนพิการไว้ดังนี้
มาตรา 3 ระบุว่า “คนพิการ” หมายความว่า บุคคลซึ่งมีข้อจากัดในการปฏิบัติกิจกรรม
ในชีวิตประจาวัน หรือเข้าไปมีส่วนร่วมทางสังคม เนื่องจากมีความบกพร่องทางการเห็น การได้ยิน
การเคลื่อนไหว การสื่อสาร จิตใจ อารมณ์ พฤติกรรม สติปัญญา การเรียนรู้ หรือความบกพร่อง
อื่นใดประกอบกับมีอุปสรรคในด้านต่าง ๆ และมีความต้องการจาเป็นพิเศษทางการศึกษาที่จะต้อง
ได้รับความช่วยเหลือด้านหนึ่งด้านใดเพื่อให้สามารถปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจาวันหรือเข้าไปมีส่วน
ร่วมทางสังคมได้อย่างบุคคลทั่วไป ทั้งนี้ตามประเภทและหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงศึกษาธิการประกาศกาหนด
“ผู้ดูแลคนพิการ” หมายความว่า บิดา มารดา ผู้ปกครอง บุตร สามี ภรรยา ญาติ
พี่น้องหรือบุคคลอื่นใดที่รับดูแลหรือรับอุปการะคนพิการ
“แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล” หมายความว่า แผนซึ่งกาหนดแนวทางการจัด
การศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษของคนพิการ ตลอดจนกาหนดเทคโนโลยี
สิ่งอานวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษาเฉพาะบุคคล
“เทคโนโลยีสิ่งอานวยความสะดวก” หมายความว่า เครื่องมือ อุปกรณ์ ฮาร์ดแวร์
ซอฟแวร์หรือบริการที่ใช้สาหรับคนพิการโดยเฉพาะ หรือที่มีการดัดแปลงหรือปรับใช้ให้ตรงกับความ
ต้องการจาเป็นพิเศษของคนพิการแต่ละบุคคล เพื่อเพิ่ม รักษา คงไว้ หรือพัฒนาความสามารถและ
ศักยภาพที่จะเข้าถึงข้อมูล ข่าวสาร การสื่อสาร รวมถึงกิจกรรมอื่นใดในชีวิตประจาวันเพื่อการ
ดารงชีวิตอิสระ
“ครูการศึกษาพิเศษ” หมายความว่า ครูที่มีวุฒิทางการศึกษาพิเศษสูงกว่าระดับปริญญาตรี
ขึ้นไป และปฏิบัติหน้าที่ในสถานศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน
“การเรียนร่วม” หมายความว่า การจัดให้คนพิการได้เข้าศึกษาในระบบการศึกษาทั่วไปทุก
ระดับและหลากหลายรูปแบบ รวมถึงการจัดการศึกษา ให้สามารถรองรับการเรียนการสอนสาหรับ
คนทุกกลุ่มรวมทั้งคนพิการ
8
“สถานศึกษาเฉพาะความพิการ” หมายความว่า สถานศึกษาของรัฐหรือเอกชนที่จัด
การศึกษาสาหรับคนพิการโดยเฉพาะ ทั้งในลักษณะอยู่ประจา ไป กลับ และรับบริการที่บ้าน
“ศูนย์การศึกษาพิเศษ” หมายความว่า สถานศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษานอกระบบ หรือ
ตามอัธยาศัยแก่คนพิการ ตั้งแต่แรกเกิดหรือแรกพบความพิการจนตลอดชีวิต และจัดการศึกษา
อบรมแก่ผู้ดูแลคนพิการ ครู บุคลากรและชุมชน รวมทั้งการจัดสื่อ เทคโนโลยี สิ่งอานวยความ
สะดวก บริการและความช่วยเหลืออื่นใด ตลอดจนปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กาหนดในประกาศ
กระทรวง
“ศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการ” หมายความว่า สถานศึกษาที่จัดการศึกษานอกระบบ
หรือตามอัธยาศัยแก่คนพิการโดยเฉพาะ โดยหน่วยงานการศึกษานอกโรงเรียน บุคคล ครอบครัว
ชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรวิชาชีพ สถานบันศาสนา สถาน
ประกอบการโรงพยาบาล สถาบันทางการแพทย์ สถานสงเคราะห์และสถาบันทางสังคมอื่นเป็นผู้จัด
ตั้งแต่ระดับการศึกษาปฐมวัย การศึกษาขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษา อุดมศึกษาและหลักสูตรระยะสั้น
มาตรา 5 ระบุว่า คนพิการมีสิทธิทางการศึกษา
(1) ได้รับการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการ จนตลอดชีวิต
พร้อมทั้งได้รับเทคโนโลยี สิ่งอานวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทาง
การศึกษา
(2) เลือกบริการทางการศึกษา ระบบและรูปแบบการศึกษา โดยคานึงถึงความสามารถ
ความสนใจ ความถนัดและความต้องการจาเป็นพิเศษของบุคคลนั้น
(3) ได้รับการศึกษาที่มีมาตรฐานและประกันคุณภาพการศึกษา รวมการจัดทาหลักสูตร
กระบวนการเรียนรู้ การทดสอบ ทางการศึกษาที่เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษ
ของคนพิการแต่ละประเภทและบุคคล
มาตรา 7 ระบุว่าให้สถานศึกษาของรัฐและเอกชนที่จัดการเรียนร่วม สถานศึกษาเอกชน
การกุศล ที่จัดการศึกษาสาหรับคนพิการโดยเฉพาะ และศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการ ที่ได้รับ
การรับรองมาตรฐาน ได้รับเงินอุดหนุนและความช่วยเหลือเป็นพิเศษจากรัฐ
มาตรา 8 ระบุว่า ให้สถานศึกษาในทุกสังกัดจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล โดย
ให้สอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษของคนพิการ และต้องมีการปรับปรุงแผนการจัด
การศึกษาเฉพาะบุคคลอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กาหนดในประการ
กระทรวง
สถานศึกษาในทุกสังกัดและศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการอาจจัดการศึกษาสาหรับคน
พิการทั้งในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ในรูปแบบที่หลากหลายทั้งการเรียนร่วม การ
จัดการศึกษาเฉพาะความพิการ รวมถึงการให้บริการฟื้นฟูสมรรถภาพ การพัฒนาศักยภาพในการ
ดารงชีวิตอิสระ การพัฒนาทักษะพื้นฐานที่จาเป็น การฝึกอาชีพ หรือการบริการอื่นใด
ให้สถานศึกษาในทุกสังกัดจัดสภาพแวดล้อม ระบบสนับสนุนการเรียนการสอน ตลอดจน
บริการเทคโนโลยี สิ่งอานวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา ที่คน
พิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้
9
ให้สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาในทุกสังกัด มีหน้าที่รับคนพิการเข้าศึกษาในสัดส่วนหรือ
จานวนที่เหมาะสม ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกาหนด
สถานศึกษาใดปฏิเสธไม่รับคนพิการเข้าศึกษา ให้ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
ตามกฎหมาย
ให้สถานศึกษาหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนผู้ดูแลคนพิการและประสานความร่วมมือ
จากชุมชนหรือนักวิชาชีพเพื่อให้คนพิการได้รับการศึกษาทุกระดับ หรือบริการทางการศึกษาที่
สอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษของคนพิการ
พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556
มีสาระสาคัญในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการไว้ดังนี้
“คนพิการ” หมายความว่า บุคคลซึ่งมีข้อจากัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิต ประจาวัน
หรือเข้าไปมีส่วนร่วมทางสังคม เนื่องจากมีความบกพร่องทางการเห็น การได้ยิน การเคลื่อนไหว
การสื่อสาร จิตใจ อารมณ์ พฤติกรรม สติปัญญา การเรียนรู้ หรือความบกพร่องอื่นใดประกอบ
กับมีอุปสรรคในด้านต่าง ๆ และมีความต้องการจาเป็นพิเศษทางการศึกษาที่จะต้องได้รับความ
ช่วยเหลือด้านหนึ่งด้านใดเพื่อให้สามารถปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจาวันหรือเข้าไปมีส่วนร่วมทาง
สังคมได้อย่างบุคคลทั่วไป ทั้งนี้ตามประเภทและหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีว่าการพัฒนาสังคมและความ
มั่นคงของมนุษย์ประกาศกาหนด
“การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ” หมายความว่า การเสริมสร้างสมรรถภาพหรือ
ความสามารถของคนพิการให้มีสภาพที่ดีขึ้น หรือคงสมรรถภาพหรือความสามารถที่มีอยู่เดิมให้คงไว้
โดยอาศัยกระบวนการทางการแพทย์ การศาสนา การศึกษา สังคม อาชีพ หรือกระบวนการอื่นใด
เพื่อให้คนพิการได้มีโอกาสทางานหรือดารงชีวิตในสังคมอย่างเต็มศักยภาพ
“การส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิต” หมายความว่า การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ การ
จัดสวัสดิการส่งเสริมและพิทักษ์สิทธิ การสนับสนุนให้คนพิการสามารถดารงชีวิตอิสระ มีศักดิศรีแห่ง
ความเป็นมนุษย์และเสมอภาคกับบุคคลทั่วไป มีส่วนร่วมทางสังคมอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ
ภายใต้สภาพแวดล้อมที่คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้
“ผู้ดูแลคนพิการ” หมายความว่า บิดา มารดา ผู้ปกครอง บุตร สามี ภรรยา ญาติ พี่
น้องหรือบุคคลอื่นใดที่รับดูแลหรือรับอุปการะคนพิการ
“ผู้ช่วยคนพิการ” หมายความว่า บุคคลซึ่งให้ความช่วยเหลือคนพิการ เฉพาะบุคคล
เพื่อให้สามารถกิจวัตรที่สาคัญในการดารงชีวิต ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะกรรมการกาหนด ผู้กระทา
การนั้นจะต้องจัดให้มีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาหรือรักษา ซึ่งสิทธิหรือประโยชน์แก่คนพิการตาม
ความจาเป็นเท่าที่จะกระทาได้
มาตรา 16 ระบุว่า คนพิการที่ได้รับหรือจะได้รับความเสียหายจากการกระทาในลักษณะที่
เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการ ตามมาตรา 15 มีสิทธิร้องขอต่อคณะกรรมการ ให้
มีคาสั่งเพิกถอนการกระทา หรือห้ามมิให้กระทาการนั้นได้ คาสั่งของคณะกรรมการให้เป็นที่สุดการ
ร้องขอตามวรรคหนึ่ง ไม่เป็นการตัดสิทธิผู้ร้องในอันที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดต่อศาลที่มี
10
เขตอานาจ โดยให้ศาลมีอานาจกาหนดค่าเสียหายอย่างอื่น อันมิใช่ตัวเงินให้แก่คนพิการที่ถูกเลือก
ปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมได้และหากการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการนั้นเป็นการกระทาโดย
จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ศาลจะกาหนดค่าเสียหายในเชิงลงโทษให้แก่คนพิการไม่เกิน
สี่เท่าของค่าเสียหายที่แท้จริงด้วยก็ได้ หลักเกณฑ์และวิธีการในการร้องขอและการวินิจฉัยตามวรรค
หนึ่งให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกาหนด
มาตรา 19 ระบุว่า เพื่อประโยชน์ในการได้รับสิทธิตามมาตรา 20 คนพิการอาจยื่นคาขอมี
บัตรประจาตัวคนพิการต่อนายทะเบียนกลางหรือนายทะเบียนจังหวัด ณ สานักงานทะเบียนกลาง
สานักทะเบียนจังหวัด หรือสถานที่อื่นตามระเบียบที่คณะกรรมการกาหนด
ในกรณีที่คนพิการเป็นผู้เยาว์ คนเสมือนไร้ความสามารถหรือคนไร้ความสามารถหรือในกรณี
ที่คนพิการมีสภาพความพิการถึงขั้นไม่สามารถไปยื่นคาขอด้วยตนเองได้ ผู้ปกครอง ผู้พิทักษ์
ผู้อนุบาลหรือผู้ดูแลคนพิการ แล้วแต่กรณี จะยื่นคาขอแทนก็ได้แต่ต้องนาหลักฐานว่าเป็นคนพิการไป
แสดงต่อนายทะเบียนกลางหรือนายทะเบียนจังหวัด แล้วแต่กรณีด้วยการยื่นคาขอมีบัตรประจาตัว
คนพิการและการออกบัตร การกาหนดสิทธิหรือการเปลี่ยนแปลงสิทธิการขอสละสิทธิของคนพิการ
และอายุบัตรประจาตัวคนพิการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการ
กาหนดในระเบียบ
มาตรา 20 ระบุว่า คนพิการมีสิทธิเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้จากสิ่งอานวยความสะดวกอัน
เป็นสาธารณะตลอดจนสวัสดิการและความช่วยเหลืออื่นจากรัฐ ดังต่อไปนี้
(1) การบริการฟื้นฟูสมรรถภาพโดยขบวนการทางการแพทย์ และค่าใช้จ่ายในการ
รักษาพยาบาลค่าอุปกรณ์ เครื่องช่วยความพิการและสื่อส่งเสริมพัฒนาการ เพื่อปรับสภาพทาง
ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม พฤติกรรม สติปัญญา การเรียนรู้ หรือเสริมสร้างสมรรถภาพให้ดี
ขึ้นตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกาหนด
(2) การศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ หรือแผนการศึกษาแห่งชาติตาม
ความเหมาะสมในสถานศึกษาเฉพาะหรือสถานศึกษาทั่วไปหรือการศึกษาทางเลือกหรือการศึกษานอก
ระบบโดยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับสิ่งอานวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลือ
อื่นใดทางการศึกษาสาหรับคนพิการให้การสนับสนุนตามความเหมาะสม
(3) การฟื้นฟูสมรรถภาพด้านอาชีพ การให้บริการที่มีมาตรฐาน การคุ้มครองแรงงาน
มาตรการเพื่อการมีงานทา ตลอดจนได้รับการส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระ และบริการสื่อ สิ่ง
อานวยความสะดวก เทคโนโลยีหรือความช่วยเหลืออื่นใด เพื่อการทางานและประกอบอาชีพของคน
พิการตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานประกาศกาหนด
(4) การยอมรับและมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองอย่างเต็มที่และ
มีประสิทธิภาพบนพื้นฐานแห่งความเท่าเทียมกับบุคคลทั่วไป ตลอดจนได้รับสิ่งอานวยความสะดวก
และบริการต่าง ๆ ที่จาเป็นสาหรับคนพิการ
(5) การช่วยเหลือให้เข้าถึงนโยบาย แผนงาน โครงการ กิจกรรม การพัฒนาและบริการ
อันเป็นสาธารณะ ผลิตภัณฑ์ที่มีความจาเป็นต่อการดารงชีวิต การช่วยเหลือทางกฎหมายและการ
จัดหาทนายความว่าต่างแก้ต่างคดี ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกาหนด
11
(6) ข้อมูลข่าวสาร การสื่อสาร บริการโทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
และเทคโนโลยีสิ่งอานวยความสะดวกเพื่อการสื่อสารสาหรับคนพิการทุกประเภทตลอดจนบริการสื่อ
สาธารณะจากหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐ ตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกาหนดใน
กฎกระทรวง
(7) บริการล่ามภาษามือตามระเบียบที่คณะกรรมการกาหนด
(8) สิทธิที่จะนาสัตว์นาทาง เครื่องมือหรืออุปกรณ์นาทาง หรือเครื่องช่วยความพิการใด ๆ
ติดตัวไปในยานพาหนะหรือสถานที่ใด ๆ เพื่อประโยชน์ในการเดินทางและการได้รับสิ่งอานวยความ
สะดวกอันเป็นสาธารณะ โดยได้รับการยกเว้นค่าบริการ ค่าธรรมเนียม และค่าเช่าเพิ่มเติมสาหรับ
สัตว์ เครื่องมือ อุปกรณ์หรือเครื่องช่วยความพิการดังกล่าว
(9) การจัดสวัสดิการเบี้ยความพิการ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกาหนดใน
ระเบียบ
(10) การปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย การมีผู้ช่วยคนพิการ หรือการจัดให้มีสวัสดิการอื่น
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกาหนดในระเบียบ
ผู้ช่วยคนพิการ ให้มีสิทธิได้รับการลดหย่อนหรือยกเว้นค่าบริการ ค่าธรรมเนียมตาม
ระเบียบที่คณะกรรมการกาหนด คนพิการที่ไม่มีผู้ดูแลคนพิการ มีสิทธิได้รับการจัดสวัสดิการด้านที่
อยู่อาศัยและการเลี้ยงดูจากหน่วยงานของรัฐ ในกรณีที่สถานสงเคราะห์เอกชนจัดที่อยู่อาศัยและ
สวัสดิการให้แล้ว รัฐต้องจัดเงินอุดหนุนให้แก่สถานสงเคราะห์เอกชนนั้น ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ
ทีคณะกรรมการกาหนดในระเบียบ
ผู้ดูและคนพิการมีสิทธิได้รับบริการให้คาปรึกษา แนะนา ฝึกอบรมทักษะ การเลี้ยงดู การ
จัดการศึกษาการส่งเสริมอาชีพและการมีงานทา ตลอดจนความช่วยเหลืออื่นใดเพื่อให้พึ่งตนเองได้
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกาหนดในระเบียบคนพิการและผู้ดูแลคนพิการมีสิทธิได้รับ
การลดหย่อนภาษีหรือยกเว้นภาษี ตามที่กฎหมายกาหนดองค์กรเอกชนที่จัดให้คนพิการได้รับสิทธิ
ประโยชน์ตามมาตรานี้มีสิทธิได้รับการลดหย่อนภาษีหรือยกเว้นภาษีเป็นร้อยละของจานวนเงิน
ค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายกาหนด
นโยบายและยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาสาหรับคนพิการในทศวรรษที่สอง(พ.ศ. 2552-
2561) กระทรวงศึกษาธิการได้ตระหนักถึงความสาคัญและสิทธิของคนพิการในการรับบริการทาง
การศึกษา ตามมาตรา 10 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไข
เพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 และมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาสาหรับคนพิการ พ.ศ.
2551 เพื่อให้คนพิการทุกคนได้รับการพัฒนาเต็มศักยภาพและเพิ่มโอกาสทางการศึกษาและเรียนรู้ให้
คนพิการได้รับการศึกษาอย่างมีคุณภาพ
แผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2560-2564) ได้กาหนดวิสัยทัศน์
ดังนี้ “คนพิการเข้าถึงสิทธิได้จริง ดารงชีวิตอิสระ ในสังคมอยู่เย็นเป็นสุข ร่วมกันอย่างยั่งยืน” ภายใต้
ยุทธศาสตร์แห่งความเท่าเทียมกัน(EQUAL) มาจากการส่งเสริมพลังคนพิการและองค์กรด้านคนพิการ
ให้มีศักยภาพและความเข้มแข็ง(Empowerment) พัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการ ขจัดการเลือก
ปฏิบัติเพื่อให้คนพิการเข้าถึงสิทธิได้จริง(Quality Management) เสริมสร้างความเข้าใจและเจตคติ
12
สร้างสรรค์ต่อคนพิการและความพิการ(Understanding) สร้างสภาพแวดล้อมและบริการสาธารณะที่
ทุกคนเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้(Accessibility) ส่งเสริมบูรณาการเครือข่ายและสร้างการมีส่วนร่วม
เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการอย่างยั่งยืน(Linkage)
สรุปจะเห็นได้ว่าจากกฎหมายทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องทั้งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. 2542 นโยบายละยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาสาหรับคนพิการในทศวรรษที่สอง(พ.ศ.
2552-2561) พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไข
เพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 และ
นโยบายการจัดการศึกษาพิเศษระดับอุดมศึกษา แสดงให้เห็นถึงความสาคัญและความจาเป็นของ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาสาหรับบุคคลที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ ให้ได้รับสิ่ง
อานวยความสะดวก สื่อเทคโนโลยี บริการทางการศึกษาในทุกระดับ เพื่อให้สอดคล้องกับผู้ที่มีความ
ต้องการพิเศษและสามารถปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจาวันหรือเข้าไปมีส่วนร่วมทางสังคมได้
คาถามท้ายบทที่ 1
1. จงบอกความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม
2. อธิบายความเป็นมาของการศึกษาแบบเรียนรวม
3. อธิบายหลักการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม
4. อธิบายรูปแบบการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม
5. จงบอกความสาคัญของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ
เอกสารอ้างอิง
กฎกระทรวง. (2554). กฎกระทรวง พ.ศ. 2554 [ออนไลน์]. แหล่งที่มา :
http://www.pwdsthai.com [22 ก.พ. 2557]
กระทรวงศึกษาธิการ. (2542). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ :
สานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ.
ชนิศา อภิชาตบุตร.(2553). ชุดฝึกอบรมครูการศึกษาพิเศษ. กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์จุฬา
มหาวิทยาลัย
ผดุง อารยะวิญญู และวาสนา เลิศศิลป์. (2551). การเรียนรวม. กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจากัด
เจ.เอ็น.ที.
“พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ พ.ศ. 2551” (5 กุมภาพันธ์ 2551).
ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 125 ตอนที่ 28 ก (5 กุมภาพันธ์ 2551) หน้า 1-13
“พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550” (18 กันยายน 2550).
ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 124 ตอนที่ 61 ก (18 กันยายน 2550) หน้า 8
สมพร หวานเสร็จ. (2543). การจัดการศึกษาแบบเรียนรวม. อุบลราชธานี : อุบลกิจออฟเซท.
สานักงานบริหารการศึกษาพิเศษ. (2556). คู่มือเอกสารศึกษาด้วยตนเองวิชาการศึกษาพิเศษ.
กรุงเทพฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกาธิการ
13
Daeck D.E. (2007). Inclusion Model for a Building Level. retrieved from :
http : // WWW.uni.edu//coe/ Inclusion/ preparing/ Building – levels. Htm
October 15.
Heward, W. (2002). Exceptionl children: An introduction to special education. (7th
ed.). Upper Saddle River , NJ: Merrill/Prentice Hall.
Salend, Spencer J. (2008). Creating Inclusive Classrooms : Effective and reflective
practices. Copyright by Pearson Education, Inc.

More Related Content

PDF
PPTX
Learning style 260658
PPT
การจัดการศึกษาแบบเรียนร่วม
PPT
การจัดการศึกษาแบบเรียนร่วม
PDF
เทคนิคการสอน กระบวนการกลุ่ม
PDF
ภารกิจการเรียนรู้ ครูผู้ช่วย
PPT
งานครูผู้ช่วย
PDF
เรียนรวมบทที่ 3 [1 54]
Learning style 260658
การจัดการศึกษาแบบเรียนร่วม
การจัดการศึกษาแบบเรียนร่วม
เทคนิคการสอน กระบวนการกลุ่ม
ภารกิจการเรียนรู้ ครูผู้ช่วย
งานครูผู้ช่วย
เรียนรวมบทที่ 3 [1 54]

Similar to 1 (20)

PDF
การจัดการเรียนรู้ Stad
PDF
การเรียนรู้แบบร่วมมือ
PDF
การเรียนรู้แบบร่วมมือ
PDF
การจัดการเรียนการสอนแบบซึ้งกันและกัน Neck tie
PDF
บทความการศึกษาเป็นรายบุคคล
PDF
ครูผู้ช่วย
PDF
Chapter4
PDF
Chapter4
PDF
Chapter 4
PPT
ระดับครผู้ช่วย
PDF
ครูผู้ช่วย ภารกิจ
PPT
ระดับครูผู้ช่วยนวัตกรรม
PPT
ระดับครูผู้ช่วยนวัตกรรม
PPTX
ข้อดี ข้อเสีย ของ E learning
PDF
Chapter การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้เ...
PDF
รูปแบบการสอนบูรณาการ
PPTX
สถานการณ์และแนวทางแก้ไขปัญหาครูพิทยา
PDF
นำเสนอ23สิงหาคม
PDF
บทที่ 4 สื่อการเรียนรู้
การจัดการเรียนรู้ Stad
การเรียนรู้แบบร่วมมือ
การเรียนรู้แบบร่วมมือ
การจัดการเรียนการสอนแบบซึ้งกันและกัน Neck tie
บทความการศึกษาเป็นรายบุคคล
ครูผู้ช่วย
Chapter4
Chapter4
Chapter 4
ระดับครผู้ช่วย
ครูผู้ช่วย ภารกิจ
ระดับครูผู้ช่วยนวัตกรรม
ระดับครูผู้ช่วยนวัตกรรม
ข้อดี ข้อเสีย ของ E learning
Chapter การพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้เ...
รูปแบบการสอนบูรณาการ
สถานการณ์และแนวทางแก้ไขปัญหาครูพิทยา
นำเสนอ23สิงหาคม
บทที่ 4 สื่อการเรียนรู้
Ad

More from Pa'rig Prig (20)

PPTX
Eport2
PDF
ปกแบบประเมิน
PDF
ปูนปลาสเตอร์
PDF
อากาศภาค
PDF
ธรณีภาค
PDF
ชีวภาค
PDF
โลกและจักรวาล
PDF
บทที่ 4 การวาดรูปทรงเรขาคณิต
PDF
บทที่ 3 ทฤษฎีการร่างภาพ
PPTX
Bath room (1)
Eport2
ปกแบบประเมิน
ปูนปลาสเตอร์
อากาศภาค
ธรณีภาค
ชีวภาค
โลกและจักรวาล
บทที่ 4 การวาดรูปทรงเรขาคณิต
บทที่ 3 ทฤษฎีการร่างภาพ
Bath room (1)
Ad

1

  • 1. บทที่ 1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการศึกษาแบบเรียนรวม อ.ภัคภร ขันกสิกรรม ในประเทศไทยได้ให้ความสาคัญกับการศึกษาโดยเด็กทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันให้ได้รับ การศึกษาขั้นพื้นฐาน รวมถึงเด็กที่มีความต้องการพิเศษจึงต้องจัดการศึกษาแบบเรียนรวมกับเด็ก ปกติในโรงเรียนปกติทั่วไป เพื่อลดการแบ่งแยกทางสังคมทางศึกษาโดยจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับ เด็กที่มีความต้องการพิเศษ ความหมายการศึกษาแบบเรียนรวม นักวิชาการด้านการศึกษาพิเศษได้ให้ความหมายเกี่ยวกับการศึกษาแบบเรียนรวมไว้ดังนี้ Giangreco อ้างใน Heward (2002) ได้ให้คาจากัดความทางการศึกษาแบบเรียนรวม หมายถึง ผู้เรียนทุกคนสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนภาครัฐและเป็นหน้าที่ของโรงเรียนที่มีเด็กที่มีความ ต้องการพิเศษเข้าเรียนโดยจัดหาบริการและการให้การสนับสนุนให้เด็กสามารถเรียนได้เท่าเทียมกัน กับนักเรียนคนอื่นๆในโรงเรียน โดยที่จัดชั้นเรียนที่มีนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษให้มีสัดส่วนร้อย ละ 10-12 เรียนกับนักเรียนทั่วไปในอายุเท่ากัน ผดุง อริยะวิญญู (2542:2) อธิบายความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม หมายถึง การ จัดการจัดการศึกษาอย่างหนึ่งซึ่งโรงเรียนจัดให้การศึกษาให้กับเด็กทุกคน โดยไม่มีการแบ่งแยกว่า เด็กคนใดเป็นเด็กปกติหรือคนใดเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ เด็กทุกคนที่ผู้ปกครองพามาเข้า โรงเรียน ทางโรงเรียนจะต้องรับเด็กไว้ และต้องจัดการศึกษาให้เขาอย่างเหมาะสม รวมไปถึง การศึกษาที่ไม่แบ่งแยกตั้งแต่ระดับอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษาตลอดจนการดารง ชีพของคนในสังคม ชนิศา อภิชาตบุตร (2553:49) ได้ให้ความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม หมายถึง การศึกษาสาหรับทุกคนโดยรับเข้ามาเรียนกันตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษา และจัดให้มีบริการพิเศษตาม ความต้องการของแต่ละบุคคล เมื่อสถานศึกษารับเด็กเข้ามาเรียนรวมกับเด็กทั่วไป สถานศึกษาและ ครูจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบจัดสภาพแวดล้อม การจัดการเรียนการสอน หลักสูตร การประเมินผล ฯลฯ เพื่อให้ครูสามารถจัดการเรียนการสอนได้ตามความต้องการของผู้เรียนเป็นเฉพาะบุคคล ซึ่งทา ให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ จากความหมายข้างต้น พอสรุปได้ว่า การศึกษาแบบเรียนรวม หมายถึง การจัดการศึกษา สาหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษได้เรียนรวมกับนักเรียนปกติทั่วไปอย่างเท่าเทียมกัน โดยมี สถานศึกษา ครู บุคลากรทางการศึกษา จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบจัดสภาพแวดล้อม สิ่งอานวยความ สะดวก สื่อการจัดการเรียนการสอนและบริการทางการศึกษาให้เหมาะสมและสอดคล้องกับศักยภาพ เฉพาะบุคคลของผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ
  • 2. 2 หลักการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม นักการศึกษาพิเศษและบุคคลที่เกี่ยวข้องได้ให้หลักการ ปรัชญา ความเชื่อ ในการจัด การศึกษาแบบเรียนรวมเป็นหลักการแนวคิดที่สะท้อนออกมาดังนี้ ผดุง อารยะวิญญู และวาสนา เลิศศิลป์ (2551) 1.ความเป็นธรรมในสังคม (Social Justice) เด็กที่มีความต้องการพิเศษเป็นส่วนหนึ่งใน สังคม เมื่อเด็กทุกคนได้รับการศึกษาในโรงเรียนปกติ เด็กที่มีความต้องการพิเศษควรได้รับการศึกษา ด้วย หากกีดกันไม่ให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษได้รับการศึกษาในโรงเรียนปกติด้วยแล้ว หลายคนมี ความเชื่อว่านั่นคือความไม่ยุติธรรมในสังคม ก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายในสังคมตามมาภายหลัง 2.การคืนสู่สภาวะปกติ (Normalization) เป็นการจัดสภาพใดๆเพื่อให้ผู้ที่มีความบกพร่อง ทางด้านต่างๆ สามารถได้รับบริการเช่นเดียวกับคนปกติ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมในกิจกรรมการกีฬา ดนตรี ศิลปะ วัฒนธรรมต่างๆ เพื่อให้ผู้ที่มีความบกพร่องดารงชีพอยู่ในสังคมอย่างปกติสุข 3.สภาพแวดล้อมที่มีข้อจากัดน้อยที่สุด (Least Restrictive Environment) หลักสาคัญ อย่างหนึ่งในการจัดการศึกษาคือการจัดให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษเรียนในสภาพแวดล้อมที่มี ข้อจากัดน้อยที่สุดจึงเป็นผลดีกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษมากที่สุด โดยเปิดโอกาสให้เด็กปกติและ ครูได้เข้าใจเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ในความหลากหลายของความเป็นมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันในสังคม 4.การเรียนรู้ (Learning) เด็กทุกคนมีความสามารถเรียนรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กปกติหรือเด็กที่ มีความต้องการพิเศษ ซึ่งในอดีตมีหลายคนเชื่อว่าเด็กที่มีความต้องการพิเศษไม่สามารถเรียนหนังสือ ได้ที่เห็นได้ชัดเจนคือ เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาสามารถเรียนได้ อาจเรียนสาเร็จในชั้น ประถมศึกษาหรือระดับชั้นที่สูงขึ้น หากเด็กมีความพร้อมและได้รับการสนับสนุนอย่างถูกต้องและ จัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับระดับความสามารถของผู้เรียนแต่ละบุคคล จากหลักการศึกษาแบบเรียนรวม สรุปได้ว่า เด็กที่มีความต้องการพิเศษต้องได้รับการศึกษา โดยจัดการเรียนการสอน การวัดและประเมินผลให้สอดคล้องกับระดับความสามารถของผู้เรียนแต่ละ บุคคล ซึ่งการสอนให้จดจาอย่างเดียวไม่ถือว่าเป็นการสอนที่ดีและไม่เป็นการส่งเสริมผู้เรียนอย่างรอบ ด้าน เนื่องจากการเด็กอาจจะเรียนดีในเฉพาะเนื้อหาที่เรียนแต่ไม่ประสบความสาเร็จในชีวิตการ ทางานก็ได้ เพราะฉะนั้นการเรียนรู้ควรพิจารณาจากเด็กมีความพึงพอใจในการเรียน ในงานที่ตนเอง ทา ซึ่งความพึงพอใจอาจมีความแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ดังนั้นโรงเรียนที่จัดการศึกษาแบบเรียน รวมได้ดี ควรส่งเสริมการเรียนรู้รอบด้านและปรับกระบวนการให้สอดคล้องกับลักษณะผู้เรียนที่มี ความต้องการพิเศษ รูปแบบการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม ในการจัดการเรียนการสอนสาหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษเรียนรวมกับเด็กปกติต้อง อาศัยรูปแบบการเรียนรวมที่เหมาะสมกับผู้เรียนในชั้นเรียนรวม ซึ่งรูปแบบการเรียนรวมมีหลาย รูปแบบ โดยที่ ด๊าค (Daeck, 2007) ได้เสนอรูปแบบการเรียนรวมเต็มเวลาไว้ 3 รูปแบบใหญ่ 5 รูปแบบเล็ก ดังนี้
  • 3. 3 1. รูปแบบผู้สอนที่ปรึกษา (Consultant Model) ในรูปแบบนี้ผู้สอนการศึกษาพิเศษจะ ได้รับมอบหมายให้สอนทักษะแก่ผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ ซึ่งผู้สอนได้สอนผู้เรียนในชั้นเรียนรวม แล้ว แต่ผู้เรียนยังไม่เกิดทักษะ ดังนั้นผู้สอนการศึกษาพิเศษต้องสอนทักษะเดิมซ้าๆอีก จนกระทั่ง ผู้เรียนเกิดทักษะนั้น สาหรับรูปแบบผู้สอนที่ปรึกษานั้น ผู้สอนการศึกษาพิเศษจะรับผิดชอบผู้เรียนที่ มีความต้องการพิเศษเป็นจานวนจากัด ผู้สอนปกติและผู้สอนการศึกษาพิเศษต้องมีประชุม ปรึกษาหารือเกี่ยวกับทักษะของผู้เรียน โดยมีการวางแผนร่วมกัน ซึ่งรูปแบบการทางานเหมาะกับ โรงเรียนขนาดเล็กที่มีจานวนผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษไม่มากนัก 2. รูปแบบการร่วมทีม ( Teaming Model) ในรูปแบบนี้ผู้สอนการศึกษาพิเศษจะได้รับ มอบหมายให้รับผิดชอบในการร่วมทีมกับผู้สอนที่สอนชั้นเรียนปกติ เช่น ในสาย ป.4 (ครูที่สอนชั้นป.4 / 1 และ ป.4 / 2) ผู้สอนการศึกษาพิเศษมีหน้าที่ให้ข้อมูลแก่ผู้สอนชั้นเรียนปกติเกี่ยวกับผู้เรียนที่มี ความต้องการพิเศษในชั้นเรียนรวม ให้คาแนะนาเกี่ยวกับการปรับวิธีสอนการมอบหมายงาน การ จัดการด้านพฤติกรรม การปรับวิธีสอบ พร้อมทั้งการวางแผนร่วมกันในการให้ความช่วยเหลือผู้เรียนที่ มีความต้องการพิเศษ 3. รูปแบบการร่วมมือ หรือ การร่วมสอน (Collaborative / Co Teaching Model) ใน รูปแบบนี้ทั้งผู้สอนการศึกษาพิเศษและผู้สอนชั้นเรียนปกติร่วมมือกันในหลายลักษณะในการสอน ผู้เรียนทุกคน ทั้งผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษและผู้เรียนปกติในห้องเรียนปกติ ร่วมมือกันรับผิดชอบ ในการวางแผน การสอน การวัดผลประเมินผล การดูแลทั้งระเบียบวินัยความประพฤติของผู้เรียนโดย ได้รับบริการด้านการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับวัย ได้รับความช่วยเหลือสิ่งอานวยความสะดวก สื่อ บริการทางการศึกษาที่จาเป็น ตลอดจนการปรับการเรียนการสอนให้เหมาะสมตามศักยภาพของ ผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษแต่ละบุคคล ในรูปแบบนี้ผู้สอนเป็นผู้รับผิดชอบจะต้องประชุมกันเพื่อ วางแผน เพื่อให้การเรียนรวมดาเนินไปด้วยดีซึ่งอาจจาแนกออกเป็นรูปแบบย่อย ๆ ได้ 5 รูปแบบ ดังนี้ 3.1 คนหนึ่งสอนคนหนึ่งช่วย (One Teacher-One Supporter) เป็นการสอนโดยมี ผู้สอน 2 คน ร่วมกันสอนชั้นเดียวกันในเวลาเดียวกัน เนื้อหาเดียวกัน ผู้สอนคนที่เชี่ยวชาญในเนื้อหา เป็นผู้สอน ส่วนผู้สอนอีกคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญในเนื้อหาน้อยกว่าเป็นผู้คอยให้ความช่วยเหลือผู้เรียนที่มี ความต้องการพิเศษ ซึ่งผู้เรียนอาจถามผู้สอนคนใดคนหนึ่งก็ได้ 3.2 การสอนพร้อม ๆ กัน (Parallel Teaching) เป็นการแบ่งเด็กในหนึ่งห้องเรียน ออกเป็นกลุ่มไปพร้อม ๆ กัน หลังจากบรรยายเสร็จ ผู้สอนอาจมอบงานให้ผู้เรียนทาไปพร้อม ๆ กัน และให้ผู้เรียนทางานเป็นกลุ่มไปพร้อม ๆ กัน การสอนแบบนี้เหมาะสาหรับห้องเรียนที่มีจานวนผู้เรียน ไม่มากนัก ผู้สอนสามารถดูแลผู้เรียนได้อย่างทั่วถึง ผู้สอนสามารถตอบคาถามผู้เรียนได้แทบทุกคน และอาจอธิบายซ้าหรือสอนซ้าได้ สาหรับผู้เรียนบางคนที่ไม่เข้าใจเนื้อหาบางตอน 3.3 ศูนย์การสอน (Station Teaching) บางครั้งอาจเรียกศูนย์การเรียน (Learning Centers) ในรูปแบบนี้ผู้สอนจะแบ่งเนื้อหาวิชาออกเป็นตอน ๆ แต่ละตอนจะจัดวางเนื้อหาได้ตาม แหล่งต่าง ๆ ( Stations) ภายในห้องเรียน ให้นักเรียนตามเวลาที่กาหนด และหมุนเวียนกันจนครบทุก ศูนย์จึงจะได้เนื้อหาวิชาครบถ้วนตามที่ผู้สอนกาหนด ข้อดีของรูปแบบนี้คือ ผู้สอนอาจใช้เวลาใน ขณะที่ผู้เรียนคนอื่นกาลังเรียนรู้ด้วยตนเอง มาสอนผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษเป็นรายบุคคล ทาให้ ผู้เรียนได้เข้าถึงในสิ่งที่เรียนมากขึ้น
  • 4. 4 3.4 การสอนทางเลือก (Alternative Teaching Design) ในการสอนแบบนี้จะต้องมี ผู้สอนอย่างน้อย 2 คน ใน 1 ห้องเรียน ผู้สอนคนแรกจะสอนเนื้อหาวิชาแก่ผู้เรียนทั้งหมดในชั้นเรียน หลังจากนั้นจึงแบ่งกลุ่มเพื่อทากิจกรรม ผู้สอนคนหนึ่งจะสอนกลุ่มผู้เรียนที่เก่งกว่าเพื่อให้ได้เนื้อหา และกิจกรรมเชิงลึก ในขณะที่ผู้สอนอีกคนสอนกลุ่มผู้เรียนที่อ่อนกว่า เพื่อให้ผู้เรียนได้เลือกทา กิจกรรมตามความสามารถของตน ซึ่งการสอนแบบนี้มีข้อดีคือ ผู้เรียนที่เก่งได้เลือกเรียนในสิ่งที่ยาก ท้าทาย ขณะที่ผู้เรียนที่อ่อนได้เลือกเรียนตามศักยภาพของตน ผู้สอนมีโอกาสสอนซ้าในทักษะเดิม สาหรับผู้เรียนที่ยังไม่เก่งในทักษะนั้น ๆ ซึ่งเหมาะสาหรับชั้นเรียนวิชาคณิตศาสตร์ หรือวิชาอื่นที่มี เนื้อหาของวิชายากง่ายตามลาดับ 3.5 การสอนเป็นทีม (Team Teaching) เป็นรูปแบบที่มีผู้สอนมากกว่า 1 คน รวมกัน สอนห้องเรียนเดียวกันซึ่งเนื้อหาเดียวกัน เป็นการสอนผู้เรียนทั้งห้องเรียนแต่ไม่จาเป็นต้องสอนในเวลา เดียวกันหากแต่มีผู้สอนมากกว่า 1 คน ในเวลาเดียวกัน ผู้สอนอาจเดินไปรอบ ๆ ห้องและช่วยกันสอน ผู้เรียนเป็นรายบุคคล โดยเฉพาะผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษที่มีปัญหาในการเรียน คาร์ทเนอร์และลิปสกี้ (Gartner & Lipsky , 1997 อ้างถึงใน สมพร หวานเสร็จ ,2543) ได้ เสนอรูปแบบการศึกษาแบบเรียนรวมไว้หลายรูปแบบ บางรูปแบบคล้ายกับที่ ด๊าคเสนอไว้ แต่ที่พบข้อ แตกต่างมี 2 รูปแบบ ดังนี้ 1. รูปแบบห้องเสริมวิชาการ (Resource Room Model) เป็นการนาเด็กที่มีความต้องการ พิเศษสอนในห้องที่จัดไว้ต่างหากเป็นการนาเด็กออกจากห้องเรียน (Pull-out Program) ห้องเสริม วิชาการเป็นห้องที่มีอุปกรณ์การเรียนการสอน แบบเรียน แบบฝึกที่ครบถ้วน ใช้เป็นห้องเรียนสาหรับ กลุ่มเฉพาะ ใช้เป็นห้องฝึกทักษะต่าง ๆ เฉพาะกลุ่ม ห้องเสริมวิชาการเป็นรูปแบบการเรียนรวมบาง เวลา นั่นคือบางเวลาเรียนรวมชั้นเดียวกันกับเด็กปกติ บางเวลามาเรียนในห้องเฉพาะ เพื่อฝึกทักษะ เฉพาะบางประการ ดังรูปแบบห้องเสริมวิชาการ ของ Lake Bention : Elementary School ประเทศสหรัฐอเมริกาทีผู้เรียบเรียงได้ไปศึกษาดูงาน 2. รูปแบบผู้ช่วยครู (Teacher-Aid Model) เป็นการจัดให้มีผู้ช่วยครู 1 คน สาหรับ 1 ห้องเรียนปกติ ผู้ช่วยครู ( บางทีอาจเรียนครูผู้ช่วย ) จะเข้าไปนั่งในห้องเรียนขณะที่ครูประจาการ กาลังสอนอยู่หน้าชั้น ผู้ช่วยครูจะนั่งติดกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษที่ครูผู้ช่วยได้รับมอบหมายให้ ช่วยเหลือ จะมีเด็กที่มีความสามารถพิเศษ 1 – 2 คน ในห้องเรียนรวมเต็มเวลา หน้าที่ของผู้ช่วยครู คือ คอยอธิบายเพิ่มเติมตามที่ครูสอน ช่วยเรียกเด็กให้กลับมาสนใจบทเรียนหากเด็กเริ่มเสียสมาธิ ตลอดจนตอบคาถามของเด็กในเนื้อหาวิชาที่เรียน ผู้ช่วยครูอาจไม่มีวุฒิทางการศึกษาก็ได้ อาจเป็น อาสาสมัครหรือผู้ปกครองก็ได้ แต่ไม่ควรเป็นผู้ปกครองของเด็กที่ผู้ช่วยครูกาลังดูแลอยู่ ผู้ช่วยครู จะต้องได้รับการอบรมเกี่ยวกับภารกิจที่ต้องปฏิบัติในห้องเรียน รูปแบบผู้ช่วยครู อาจกล่าวได้ว่า การ จัดการเรียนรวมมีหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบมีลักษณะแตกต่างกันไป แต่ละรูปแบบมีลักษณะเฉพาะ และมีความเหมาะกับสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป และอาจมีรูปแบบอื่นที่มิได้จากัดอยู่เพียง 8 รูปแบบที่กล่าวมานี้ อย่างไรก็ตามไม่มีรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งที่ดีที่สุดแต่ละรูปแบบเป็นทางเลือกที่คน พิการ สามารถเลือกเรียนได้ตามความต้องการจาเป็นที่เหมาะสมสาหรับคนพิการแต่ละคนในช่วงเวลา ใดเวลาหนึ่งเท่านั้น
  • 5. 5 สรุปได้ว่า การจัดการศึกษาแบบเรียนรวมจึงเป็นแนวคิดใหม่ทางการศึกษาที่โรงเรียน จะต้องจัดการศึกษาให้กับเด็กทุกคน ไม่มีการแบ่งแยกว่าเด็กคนใดเป็นเด็กทั่วไป หรือเด็กคนใดที่มี ความต้องการพิเศษ โดยโรงเรียนจะต้องจัดการศึกษาให้อย่างเหมาะสมทางเลือกหนึ่งที่ให้โอกาสแก่ บุคคลที่มีความต้องการพิเศษได้พัฒนาศักยภาพทุกด้าน ในระบบของโรงเรียนที่จัดให้การเรียนรวมจึง มิใช่การศึกษาเฉพาะเด็กที่มีความต้องการพิเศษเท่านั้นหากแต่เป็นการศึกษาเพื่อเด็กทุกคน การ จัดการเรียนการสอนและการดาเนินการต่างๆจะเป็นการผสมผสานระหว่างหลักการทางการศึกษา พิเศษ และการศึกษาทั่วไป การเรียนรวมในประเทศไทยแม้ว่าจะได้ดาเนินการไป แต่ก็ยังมีปัญหา หลากหลายทั้งในการบริหารจัดการ การบริหารหลักสูตร การประเมินความต้องการพิเศษทาง การศึกษาของผู้เรียน การจัดหาสื่อ สิ่งอานวยความสะดวก การปรับวิธีสอน การปรับวิธีการวัดผล และการช่วยเหลือด้วยจิตอารี จึงจาเป็นอย่างยิ่งที่จะทาให้การเรียนรวมดาเนินต่อไปได้ กฎหมาย นโยบายและแผนพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีความต้องการพิเศษ การศึกษาพิเศษของประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากกฎหมาย Individual with Disabilities Education Improvement Act ปีค.ศ. 2004 และนโยบายปฏิญญาสากลว่าด้วยด้านสิทธิมนุษยชน The Declaration of Human Right ปีค.ศ. 1948 จากประเทศสหรัฐอเมริกาส่งผลให้ประเทศไทยมี กฎหมายฉบับแรกที่เกี่ยวข้องกับคนพิการคือ พระราชบัญญัติการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ. 2534 ซึ่งต่อมารัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และฉบับแก้ไขปี พ.ศ. 2545 ซึ่งได้เพิ่มเติมสิทธิทางการศึกษาคนพิการ โดยมีคาขวัญที่ว่า “คนพิการอยากเรียน ต้องได้ เรียน”ส่งผลให้กฎหมายนโยบายทางการศึกษาพิเศษได้รับการพัฒนาส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง โดยมี พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 และพระราชบัญญัติการจัด การศึกษาสาหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้ให้ความสาคัญต่อคนพิการไว้ดังนี้ มาตรา 49 ระบุว่า บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐ จะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพ หรือผู้ อยู่ในสภาวะยากลาบาก ต้องได้รับสิทธิตามวรรคหนึ่งและการสนับสนุนจากรัฐเพื่อให้ได้รับการศึกษา โดยทัดเทียมกับบุคคลอื่น การจัดการศึกษาอบรมขององค์กรวิชาชีพหรือเอกชนการศึกษาทางเลือก ของประชาชน การเรียนรู้ด้วยตนเอง และการเรียนรู้ตลอดชีวิต ย่อมได้รับการคุ้มครองและส่งเสริม ที่เหมาะสมจากรัฐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ได้ให้ความสาคัญต่อคนพิการไว้ดังนี้ มาตรา ๔ ระบุว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง ปวงชนชาวไทยย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญเสมอกัน
  • 6. 6 มาตรา ๒๗ ระบุว่า บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความ คุ้มครอง ตามกฎหมายเท่าเทียมกัน ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ต่อบุคคล ไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องถิ่นกาเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือเหตุอื่น ใด จะกระทามิได้ มาตรการที่รัฐกาหนดขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิทธิหรือเสรีภาพ ได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น หรือเพื่อคุ้มครองหรืออานวยความสะดวกให้แก่เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ คน พิการ หรือผู้ด้อยโอกาส ย่อมไม่ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามวรรคสาม มาตรา ๗๑ ระบุว่า รัฐพึงเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวอันเป็นองค์ประกอบพื้นฐาน ที่สาคัญของสังคม จัดให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยอย่างเหมาะสม ส่งเสริมและพัฒนาการสร้างเสริม สุขภาพเพื่อให้ ประชาชนมีสุขภาพที่แข็งแรงและมีจิตใจเข้มแข็ง รวมตลอดทั้งส่งเสริมและพัฒนาการ กีฬาให้ไปสู่ความเป็นเลิศ และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน รัฐพึงส่งเสริมและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นพลเมืองที่ดี มีคุณภาพและความสามารถ สูงขึ้น รัฐพึงให้ความช่วยเหลือเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ยากไร้ และผู้ด้อยโอกาส ให้สามารถดารงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ และคุ้มครองป้องกันมิให้บุคคลดังกล่าวถูกใช้ความรุนแรง หรือปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม รวมตลอดทั้งให้การบาบัด ฟื้นฟูและเยียวยาผู้ถูกกระทาการดังกล่าว ในการจัดสรรงบประมาณ รัฐพึงคานึงถึงความจาเป็นและความต้องการที่แตกต่างกันของ เพศ วัย และสภาพของบุคคล ทั้งนี้ เพื่อความเป็นธรรม พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้ให้ความสาคัญทางการศึกษาสาหรับคนพิการไว้ดังนี้ กาหนดให้คนไทยทุกคนมีสิทธิและโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบ สองปีที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย จากพระราชบัญญัติการศึกษา ดังกล่าว จึงทาให้รัฐโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบทางการศึกษา ต้องจัดการศึกษาให้แก่เด็กไทย ทั้ง เด็กปกติ หรือเด็กที่มีความต้องการพิเศษ โดยมีกฎหมาย หรือ พระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้อง สานักงาน บริหารการศึกษาพิเศษ (2556 : 10 - 15) ได้รวบรวมกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา พิเศษซึ่งได้กล่าวถึงสิทธิทางการศึกษา ของคนพิการไว้ดังนี้ มาตรา 10 ระบุว่า การจัดการศึกษาสาหรับบุคคลซึ่งมีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญาอารมณ์ สังคม การสื่อสารและการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการหรือทุพพลภาพหรือบุคคล ซึ่งไม่สามารถพึ่งตนเองได้ หรือไม่มีผู้ดูแลหรือด้อยโอกาส ต้องจัดให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิและโอกาส ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ การศึกษาสาหรับคนพิการในวรรคสองให้จัดตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการโดยไม่เสีย ค่าใช้จ่าย และให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิได้รับสิ่งอานวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลือ อื่นใดทางการศึกษา ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กาหนดในกฎกระทรวง
  • 7. 7 การจัดการศึกษาสาหรับบุคคลซึ่งมีความสามารถพิเศษ ต้องจัดด้วยรูปแบบที่เหมาะสมโดย คานึงถึงความสามารถของบุคคลนั้น มาตรา 22 ระบุ หลักการจัดการศึกษา ต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ มาตรา 24 ระบุว่า กระบวนการเรียนรู้ ต้องจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับ ความสนใจ ความถนัด และความแตกต่างของผู้เรียน มาตรา 26 ระบุว่าการประเมินผลการเรียนรู้ พิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ สังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรม การทดสอบควบคู่กันไปตามความ เหมาะสมของแต่ละระดับ และรูปแบบการศึกษา และให้นาผลการประเมินดังกล่าวมาใช้ประกอบ การพิจารณาในการจัดสรรโอกาสการเข้าศึกษาต่อ โดยใช้วิธีการที่หลากหลาย พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 ได้กล่าวถึงสิทธิทางการศึกษาของคนพิการไว้ดังนี้ มาตรา 3 ระบุว่า “คนพิการ” หมายความว่า บุคคลซึ่งมีข้อจากัดในการปฏิบัติกิจกรรม ในชีวิตประจาวัน หรือเข้าไปมีส่วนร่วมทางสังคม เนื่องจากมีความบกพร่องทางการเห็น การได้ยิน การเคลื่อนไหว การสื่อสาร จิตใจ อารมณ์ พฤติกรรม สติปัญญา การเรียนรู้ หรือความบกพร่อง อื่นใดประกอบกับมีอุปสรรคในด้านต่าง ๆ และมีความต้องการจาเป็นพิเศษทางการศึกษาที่จะต้อง ได้รับความช่วยเหลือด้านหนึ่งด้านใดเพื่อให้สามารถปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจาวันหรือเข้าไปมีส่วน ร่วมทางสังคมได้อย่างบุคคลทั่วไป ทั้งนี้ตามประเภทและหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการประกาศกาหนด “ผู้ดูแลคนพิการ” หมายความว่า บิดา มารดา ผู้ปกครอง บุตร สามี ภรรยา ญาติ พี่น้องหรือบุคคลอื่นใดที่รับดูแลหรือรับอุปการะคนพิการ “แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล” หมายความว่า แผนซึ่งกาหนดแนวทางการจัด การศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษของคนพิการ ตลอดจนกาหนดเทคโนโลยี สิ่งอานวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษาเฉพาะบุคคล “เทคโนโลยีสิ่งอานวยความสะดวก” หมายความว่า เครื่องมือ อุปกรณ์ ฮาร์ดแวร์ ซอฟแวร์หรือบริการที่ใช้สาหรับคนพิการโดยเฉพาะ หรือที่มีการดัดแปลงหรือปรับใช้ให้ตรงกับความ ต้องการจาเป็นพิเศษของคนพิการแต่ละบุคคล เพื่อเพิ่ม รักษา คงไว้ หรือพัฒนาความสามารถและ ศักยภาพที่จะเข้าถึงข้อมูล ข่าวสาร การสื่อสาร รวมถึงกิจกรรมอื่นใดในชีวิตประจาวันเพื่อการ ดารงชีวิตอิสระ “ครูการศึกษาพิเศษ” หมายความว่า ครูที่มีวุฒิทางการศึกษาพิเศษสูงกว่าระดับปริญญาตรี ขึ้นไป และปฏิบัติหน้าที่ในสถานศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน “การเรียนร่วม” หมายความว่า การจัดให้คนพิการได้เข้าศึกษาในระบบการศึกษาทั่วไปทุก ระดับและหลากหลายรูปแบบ รวมถึงการจัดการศึกษา ให้สามารถรองรับการเรียนการสอนสาหรับ คนทุกกลุ่มรวมทั้งคนพิการ
  • 8. 8 “สถานศึกษาเฉพาะความพิการ” หมายความว่า สถานศึกษาของรัฐหรือเอกชนที่จัด การศึกษาสาหรับคนพิการโดยเฉพาะ ทั้งในลักษณะอยู่ประจา ไป กลับ และรับบริการที่บ้าน “ศูนย์การศึกษาพิเศษ” หมายความว่า สถานศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษานอกระบบ หรือ ตามอัธยาศัยแก่คนพิการ ตั้งแต่แรกเกิดหรือแรกพบความพิการจนตลอดชีวิต และจัดการศึกษา อบรมแก่ผู้ดูแลคนพิการ ครู บุคลากรและชุมชน รวมทั้งการจัดสื่อ เทคโนโลยี สิ่งอานวยความ สะดวก บริการและความช่วยเหลืออื่นใด ตลอดจนปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กาหนดในประกาศ กระทรวง “ศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการ” หมายความว่า สถานศึกษาที่จัดการศึกษานอกระบบ หรือตามอัธยาศัยแก่คนพิการโดยเฉพาะ โดยหน่วยงานการศึกษานอกโรงเรียน บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรวิชาชีพ สถานบันศาสนา สถาน ประกอบการโรงพยาบาล สถาบันทางการแพทย์ สถานสงเคราะห์และสถาบันทางสังคมอื่นเป็นผู้จัด ตั้งแต่ระดับการศึกษาปฐมวัย การศึกษาขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษา อุดมศึกษาและหลักสูตรระยะสั้น มาตรา 5 ระบุว่า คนพิการมีสิทธิทางการศึกษา (1) ได้รับการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการ จนตลอดชีวิต พร้อมทั้งได้รับเทคโนโลยี สิ่งอานวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทาง การศึกษา (2) เลือกบริการทางการศึกษา ระบบและรูปแบบการศึกษา โดยคานึงถึงความสามารถ ความสนใจ ความถนัดและความต้องการจาเป็นพิเศษของบุคคลนั้น (3) ได้รับการศึกษาที่มีมาตรฐานและประกันคุณภาพการศึกษา รวมการจัดทาหลักสูตร กระบวนการเรียนรู้ การทดสอบ ทางการศึกษาที่เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษ ของคนพิการแต่ละประเภทและบุคคล มาตรา 7 ระบุว่าให้สถานศึกษาของรัฐและเอกชนที่จัดการเรียนร่วม สถานศึกษาเอกชน การกุศล ที่จัดการศึกษาสาหรับคนพิการโดยเฉพาะ และศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการ ที่ได้รับ การรับรองมาตรฐาน ได้รับเงินอุดหนุนและความช่วยเหลือเป็นพิเศษจากรัฐ มาตรา 8 ระบุว่า ให้สถานศึกษาในทุกสังกัดจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล โดย ให้สอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษของคนพิการ และต้องมีการปรับปรุงแผนการจัด การศึกษาเฉพาะบุคคลอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กาหนดในประการ กระทรวง สถานศึกษาในทุกสังกัดและศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการอาจจัดการศึกษาสาหรับคน พิการทั้งในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ในรูปแบบที่หลากหลายทั้งการเรียนร่วม การ จัดการศึกษาเฉพาะความพิการ รวมถึงการให้บริการฟื้นฟูสมรรถภาพ การพัฒนาศักยภาพในการ ดารงชีวิตอิสระ การพัฒนาทักษะพื้นฐานที่จาเป็น การฝึกอาชีพ หรือการบริการอื่นใด ให้สถานศึกษาในทุกสังกัดจัดสภาพแวดล้อม ระบบสนับสนุนการเรียนการสอน ตลอดจน บริการเทคโนโลยี สิ่งอานวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา ที่คน พิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้
  • 9. 9 ให้สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาในทุกสังกัด มีหน้าที่รับคนพิการเข้าศึกษาในสัดส่วนหรือ จานวนที่เหมาะสม ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกาหนด สถานศึกษาใดปฏิเสธไม่รับคนพิการเข้าศึกษา ให้ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ตามกฎหมาย ให้สถานศึกษาหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนผู้ดูแลคนพิการและประสานความร่วมมือ จากชุมชนหรือนักวิชาชีพเพื่อให้คนพิการได้รับการศึกษาทุกระดับ หรือบริการทางการศึกษาที่ สอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษของคนพิการ พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 มีสาระสาคัญในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการไว้ดังนี้ “คนพิการ” หมายความว่า บุคคลซึ่งมีข้อจากัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิต ประจาวัน หรือเข้าไปมีส่วนร่วมทางสังคม เนื่องจากมีความบกพร่องทางการเห็น การได้ยิน การเคลื่อนไหว การสื่อสาร จิตใจ อารมณ์ พฤติกรรม สติปัญญา การเรียนรู้ หรือความบกพร่องอื่นใดประกอบ กับมีอุปสรรคในด้านต่าง ๆ และมีความต้องการจาเป็นพิเศษทางการศึกษาที่จะต้องได้รับความ ช่วยเหลือด้านหนึ่งด้านใดเพื่อให้สามารถปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจาวันหรือเข้าไปมีส่วนร่วมทาง สังคมได้อย่างบุคคลทั่วไป ทั้งนี้ตามประเภทและหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีว่าการพัฒนาสังคมและความ มั่นคงของมนุษย์ประกาศกาหนด “การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ” หมายความว่า การเสริมสร้างสมรรถภาพหรือ ความสามารถของคนพิการให้มีสภาพที่ดีขึ้น หรือคงสมรรถภาพหรือความสามารถที่มีอยู่เดิมให้คงไว้ โดยอาศัยกระบวนการทางการแพทย์ การศาสนา การศึกษา สังคม อาชีพ หรือกระบวนการอื่นใด เพื่อให้คนพิการได้มีโอกาสทางานหรือดารงชีวิตในสังคมอย่างเต็มศักยภาพ “การส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิต” หมายความว่า การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ การ จัดสวัสดิการส่งเสริมและพิทักษ์สิทธิ การสนับสนุนให้คนพิการสามารถดารงชีวิตอิสระ มีศักดิศรีแห่ง ความเป็นมนุษย์และเสมอภาคกับบุคคลทั่วไป มีส่วนร่วมทางสังคมอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ “ผู้ดูแลคนพิการ” หมายความว่า บิดา มารดา ผู้ปกครอง บุตร สามี ภรรยา ญาติ พี่ น้องหรือบุคคลอื่นใดที่รับดูแลหรือรับอุปการะคนพิการ “ผู้ช่วยคนพิการ” หมายความว่า บุคคลซึ่งให้ความช่วยเหลือคนพิการ เฉพาะบุคคล เพื่อให้สามารถกิจวัตรที่สาคัญในการดารงชีวิต ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะกรรมการกาหนด ผู้กระทา การนั้นจะต้องจัดให้มีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาหรือรักษา ซึ่งสิทธิหรือประโยชน์แก่คนพิการตาม ความจาเป็นเท่าที่จะกระทาได้ มาตรา 16 ระบุว่า คนพิการที่ได้รับหรือจะได้รับความเสียหายจากการกระทาในลักษณะที่ เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการ ตามมาตรา 15 มีสิทธิร้องขอต่อคณะกรรมการ ให้ มีคาสั่งเพิกถอนการกระทา หรือห้ามมิให้กระทาการนั้นได้ คาสั่งของคณะกรรมการให้เป็นที่สุดการ ร้องขอตามวรรคหนึ่ง ไม่เป็นการตัดสิทธิผู้ร้องในอันที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดต่อศาลที่มี
  • 10. 10 เขตอานาจ โดยให้ศาลมีอานาจกาหนดค่าเสียหายอย่างอื่น อันมิใช่ตัวเงินให้แก่คนพิการที่ถูกเลือก ปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมได้และหากการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการนั้นเป็นการกระทาโดย จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ศาลจะกาหนดค่าเสียหายในเชิงลงโทษให้แก่คนพิการไม่เกิน สี่เท่าของค่าเสียหายที่แท้จริงด้วยก็ได้ หลักเกณฑ์และวิธีการในการร้องขอและการวินิจฉัยตามวรรค หนึ่งให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกาหนด มาตรา 19 ระบุว่า เพื่อประโยชน์ในการได้รับสิทธิตามมาตรา 20 คนพิการอาจยื่นคาขอมี บัตรประจาตัวคนพิการต่อนายทะเบียนกลางหรือนายทะเบียนจังหวัด ณ สานักงานทะเบียนกลาง สานักทะเบียนจังหวัด หรือสถานที่อื่นตามระเบียบที่คณะกรรมการกาหนด ในกรณีที่คนพิการเป็นผู้เยาว์ คนเสมือนไร้ความสามารถหรือคนไร้ความสามารถหรือในกรณี ที่คนพิการมีสภาพความพิการถึงขั้นไม่สามารถไปยื่นคาขอด้วยตนเองได้ ผู้ปกครอง ผู้พิทักษ์ ผู้อนุบาลหรือผู้ดูแลคนพิการ แล้วแต่กรณี จะยื่นคาขอแทนก็ได้แต่ต้องนาหลักฐานว่าเป็นคนพิการไป แสดงต่อนายทะเบียนกลางหรือนายทะเบียนจังหวัด แล้วแต่กรณีด้วยการยื่นคาขอมีบัตรประจาตัว คนพิการและการออกบัตร การกาหนดสิทธิหรือการเปลี่ยนแปลงสิทธิการขอสละสิทธิของคนพิการ และอายุบัตรประจาตัวคนพิการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการ กาหนดในระเบียบ มาตรา 20 ระบุว่า คนพิการมีสิทธิเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้จากสิ่งอานวยความสะดวกอัน เป็นสาธารณะตลอดจนสวัสดิการและความช่วยเหลืออื่นจากรัฐ ดังต่อไปนี้ (1) การบริการฟื้นฟูสมรรถภาพโดยขบวนการทางการแพทย์ และค่าใช้จ่ายในการ รักษาพยาบาลค่าอุปกรณ์ เครื่องช่วยความพิการและสื่อส่งเสริมพัฒนาการ เพื่อปรับสภาพทาง ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม พฤติกรรม สติปัญญา การเรียนรู้ หรือเสริมสร้างสมรรถภาพให้ดี ขึ้นตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกาหนด (2) การศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ หรือแผนการศึกษาแห่งชาติตาม ความเหมาะสมในสถานศึกษาเฉพาะหรือสถานศึกษาทั่วไปหรือการศึกษาทางเลือกหรือการศึกษานอก ระบบโดยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับสิ่งอานวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลือ อื่นใดทางการศึกษาสาหรับคนพิการให้การสนับสนุนตามความเหมาะสม (3) การฟื้นฟูสมรรถภาพด้านอาชีพ การให้บริการที่มีมาตรฐาน การคุ้มครองแรงงาน มาตรการเพื่อการมีงานทา ตลอดจนได้รับการส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระ และบริการสื่อ สิ่ง อานวยความสะดวก เทคโนโลยีหรือความช่วยเหลืออื่นใด เพื่อการทางานและประกอบอาชีพของคน พิการตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานประกาศกาหนด (4) การยอมรับและมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองอย่างเต็มที่และ มีประสิทธิภาพบนพื้นฐานแห่งความเท่าเทียมกับบุคคลทั่วไป ตลอดจนได้รับสิ่งอานวยความสะดวก และบริการต่าง ๆ ที่จาเป็นสาหรับคนพิการ (5) การช่วยเหลือให้เข้าถึงนโยบาย แผนงาน โครงการ กิจกรรม การพัฒนาและบริการ อันเป็นสาธารณะ ผลิตภัณฑ์ที่มีความจาเป็นต่อการดารงชีวิต การช่วยเหลือทางกฎหมายและการ จัดหาทนายความว่าต่างแก้ต่างคดี ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกาหนด
  • 11. 11 (6) ข้อมูลข่าวสาร การสื่อสาร บริการโทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และเทคโนโลยีสิ่งอานวยความสะดวกเพื่อการสื่อสารสาหรับคนพิการทุกประเภทตลอดจนบริการสื่อ สาธารณะจากหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกาหนดใน กฎกระทรวง (7) บริการล่ามภาษามือตามระเบียบที่คณะกรรมการกาหนด (8) สิทธิที่จะนาสัตว์นาทาง เครื่องมือหรืออุปกรณ์นาทาง หรือเครื่องช่วยความพิการใด ๆ ติดตัวไปในยานพาหนะหรือสถานที่ใด ๆ เพื่อประโยชน์ในการเดินทางและการได้รับสิ่งอานวยความ สะดวกอันเป็นสาธารณะ โดยได้รับการยกเว้นค่าบริการ ค่าธรรมเนียม และค่าเช่าเพิ่มเติมสาหรับ สัตว์ เครื่องมือ อุปกรณ์หรือเครื่องช่วยความพิการดังกล่าว (9) การจัดสวัสดิการเบี้ยความพิการ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกาหนดใน ระเบียบ (10) การปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย การมีผู้ช่วยคนพิการ หรือการจัดให้มีสวัสดิการอื่น ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกาหนดในระเบียบ ผู้ช่วยคนพิการ ให้มีสิทธิได้รับการลดหย่อนหรือยกเว้นค่าบริการ ค่าธรรมเนียมตาม ระเบียบที่คณะกรรมการกาหนด คนพิการที่ไม่มีผู้ดูแลคนพิการ มีสิทธิได้รับการจัดสวัสดิการด้านที่ อยู่อาศัยและการเลี้ยงดูจากหน่วยงานของรัฐ ในกรณีที่สถานสงเคราะห์เอกชนจัดที่อยู่อาศัยและ สวัสดิการให้แล้ว รัฐต้องจัดเงินอุดหนุนให้แก่สถานสงเคราะห์เอกชนนั้น ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ทีคณะกรรมการกาหนดในระเบียบ ผู้ดูและคนพิการมีสิทธิได้รับบริการให้คาปรึกษา แนะนา ฝึกอบรมทักษะ การเลี้ยงดู การ จัดการศึกษาการส่งเสริมอาชีพและการมีงานทา ตลอดจนความช่วยเหลืออื่นใดเพื่อให้พึ่งตนเองได้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกาหนดในระเบียบคนพิการและผู้ดูแลคนพิการมีสิทธิได้รับ การลดหย่อนภาษีหรือยกเว้นภาษี ตามที่กฎหมายกาหนดองค์กรเอกชนที่จัดให้คนพิการได้รับสิทธิ ประโยชน์ตามมาตรานี้มีสิทธิได้รับการลดหย่อนภาษีหรือยกเว้นภาษีเป็นร้อยละของจานวนเงิน ค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายกาหนด นโยบายและยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาสาหรับคนพิการในทศวรรษที่สอง(พ.ศ. 2552- 2561) กระทรวงศึกษาธิการได้ตระหนักถึงความสาคัญและสิทธิของคนพิการในการรับบริการทาง การศึกษา ตามมาตรา 10 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไข เพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 และมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาสาหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 เพื่อให้คนพิการทุกคนได้รับการพัฒนาเต็มศักยภาพและเพิ่มโอกาสทางการศึกษาและเรียนรู้ให้ คนพิการได้รับการศึกษาอย่างมีคุณภาพ แผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2560-2564) ได้กาหนดวิสัยทัศน์ ดังนี้ “คนพิการเข้าถึงสิทธิได้จริง ดารงชีวิตอิสระ ในสังคมอยู่เย็นเป็นสุข ร่วมกันอย่างยั่งยืน” ภายใต้ ยุทธศาสตร์แห่งความเท่าเทียมกัน(EQUAL) มาจากการส่งเสริมพลังคนพิการและองค์กรด้านคนพิการ ให้มีศักยภาพและความเข้มแข็ง(Empowerment) พัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการ ขจัดการเลือก ปฏิบัติเพื่อให้คนพิการเข้าถึงสิทธิได้จริง(Quality Management) เสริมสร้างความเข้าใจและเจตคติ
  • 12. 12 สร้างสรรค์ต่อคนพิการและความพิการ(Understanding) สร้างสภาพแวดล้อมและบริการสาธารณะที่ ทุกคนเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้(Accessibility) ส่งเสริมบูรณาการเครือข่ายและสร้างการมีส่วนร่วม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการอย่างยั่งยืน(Linkage) สรุปจะเห็นได้ว่าจากกฎหมายทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องทั้งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 นโยบายละยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาสาหรับคนพิการในทศวรรษที่สอง(พ.ศ. 2552-2561) พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไข เพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 และ นโยบายการจัดการศึกษาพิเศษระดับอุดมศึกษา แสดงให้เห็นถึงความสาคัญและความจาเป็นของ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาสาหรับบุคคลที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ ให้ได้รับสิ่ง อานวยความสะดวก สื่อเทคโนโลยี บริการทางการศึกษาในทุกระดับ เพื่อให้สอดคล้องกับผู้ที่มีความ ต้องการพิเศษและสามารถปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจาวันหรือเข้าไปมีส่วนร่วมทางสังคมได้ คาถามท้ายบทที่ 1 1. จงบอกความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม 2. อธิบายความเป็นมาของการศึกษาแบบเรียนรวม 3. อธิบายหลักการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม 4. อธิบายรูปแบบการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม 5. จงบอกความสาคัญของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ เอกสารอ้างอิง กฎกระทรวง. (2554). กฎกระทรวง พ.ศ. 2554 [ออนไลน์]. แหล่งที่มา : http://www.pwdsthai.com [22 ก.พ. 2557] กระทรวงศึกษาธิการ. (2542). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ : สานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ. ชนิศา อภิชาตบุตร.(2553). ชุดฝึกอบรมครูการศึกษาพิเศษ. กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์จุฬา มหาวิทยาลัย ผดุง อารยะวิญญู และวาสนา เลิศศิลป์. (2551). การเรียนรวม. กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจากัด เจ.เอ็น.ที. “พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ พ.ศ. 2551” (5 กุมภาพันธ์ 2551). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 125 ตอนที่ 28 ก (5 กุมภาพันธ์ 2551) หน้า 1-13 “พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550” (18 กันยายน 2550). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 124 ตอนที่ 61 ก (18 กันยายน 2550) หน้า 8 สมพร หวานเสร็จ. (2543). การจัดการศึกษาแบบเรียนรวม. อุบลราชธานี : อุบลกิจออฟเซท. สานักงานบริหารการศึกษาพิเศษ. (2556). คู่มือเอกสารศึกษาด้วยตนเองวิชาการศึกษาพิเศษ. กรุงเทพฯ : สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกาธิการ
  • 13. 13 Daeck D.E. (2007). Inclusion Model for a Building Level. retrieved from : http : // WWW.uni.edu//coe/ Inclusion/ preparing/ Building – levels. Htm October 15. Heward, W. (2002). Exceptionl children: An introduction to special education. (7th ed.). Upper Saddle River , NJ: Merrill/Prentice Hall. Salend, Spencer J. (2008). Creating Inclusive Classrooms : Effective and reflective practices. Copyright by Pearson Education, Inc.