SlideShare a Scribd company logo
Network Design Essentials
วัตถุประสงค์
 ออกแบบ network
 เข้าใจเกี่ยวกับ networking topologies
 สามารถนำา hubs ไปใช้ในระบบเครือข่าย
ได้อย่างเหมาะสม
 สามารถนำา switches ไปใช้ในระบบเครือ
ข่ายได้อย่างเหมาะสม
 สารถตรวจสอบเมื่อ topologies เกิดการ
เปลี่ยนแปลง
 สามารถเลือกใช้ topology ที่เหมาะสมกัน
Network Design
 การออกแบบระบบเครือข่ายที่ดี:
 เมื่อตามความต้องการสามารถวิเคราะห์เครือ
ข่ายและออกแบบเครือข่ายได้
 สามารถเลือก network topology
 เลือก topology ให้มีความเหมาะสม
Designing a Network Layout
 การจะใช้ Topology ชนิดใดต้องคำานึงถึง
ลักษณะทางกายภาพซึ่งประกอบด้วย
คอมพิวเตอร์,สาย และ อุปกรณ์ อื่นๆ
 การติดต่อจะต้องมีการกำาหนดว่าเป็นเช่นไร
 โดยพื้นฐานของการออกแบบในการเลือกใช้
topology ต้องดูว่าสามารถจัดวางสิ่งต่างๆได้
อย่างไรโดยใช้แปลนและแผนที่
 จะใช้สายชนิดใดขึ้นอยู่กับลักษณะทางกายภาพ
ของ topology
 จะต้องคำานึงถึงการโอนถ่ายข้อมูลระหว่าง
คอมพิวเตอร์ที่ต้องวิ่งผ่านในระบบเครือข่าย
Standard Topologies
การเชื่อมต่อทางกายภาพ (Physical
Topology) หมายถึง การเชื่อมต่อที่มีรูป
ลักษณะที่มองเห็นได้จากภายนอก เช่น การ
เชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องกับ
ฮับ จะทำาให้เราสามารถมองเห็นลักษณะการ
เชื่อมต่อทางกายภาพเป็นแบบ Star, Bus หรือ
Ring ในปัจจุบันมี Topology ที่เป็นมาตรฐาน
ต่างๆดังนี้:
 Bus
 Star

Bus
การเชื่อมต่อชนิดจะใช้สายเคเบิลเพียงเส้นเดียวเป็น
หลักจึงเรียกว่า (Trunk) คอมพิวเตอร์ทั้งหมดจะถูกต่อ
เป็นแนวเส้นตรง เป็นวิธีที่ง่ายและธรรมดาที่สุดของการ
เชื่อมต่อระบบเครือข่าย การเชื่อมต่อเครื่องข่ายแบบ
Bus นี้จะใช้สายประเภท Coaxial ซึ่งสาย Coaxial มี
ทั้งแบบหนาและแบบบางซึ่งสาย Coaxial แบบหนาบน
เครือข่ายจะเรียกว่า 10Bease-5 จะมีความยาวไม่เกิน
500 เมตรใน 1 เซกเมนต์แต่สาย Coaxial แบบบาง
บนเครือข่ายจะเรียกว่า 10Bease-2 จะต้องมีความ
ยาวไม่เกิน 185 เมตรใน 1 เซกเมนต์ ส่วนที่ยาวไม่ถึง
จะเรียกว่า เซกเมนต์ย่อย (Sub Segment)การที่จะ
เข้าใจการสื่อสารในระบบ Bus จะต้องทำาความคุ้นเคย
กับแนวคิด 3 ประการคือ
 การส่งสัญญาณ (Sending of Signal)
Bus Topology Network
Sending the Signal
การส่งสัญญาณไปในระบบเครือข่ายจะเป็นในรูปแบบ
ของสัญญาณไฟฟ้า จะถูกส่งไปยังคอมพิวเตอร์บน
ระบบเครือข่าย แต่จะมีคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวที่
อยู่บนจ่าหน้าเท่านั้นที่ได้รับข้อมูลข่าวสารนั้น
คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นที่ไม่ได้รับการจ่าหน้าถึงจะปฏิเสธ
การรับข้อมูล การส่งข้อมูลจะทำาได้เพียงครั้งละเครื่อง
เท่านั้นเมื่อมีคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายมากขึ้นจะทำาให้
ประสิทธิภาพในการทำางานของระบบลดลง สิ่งที่มีผลก
ระทบต่อระบบเครือข่ายประเภทนี้คือ
- ความสามารถของHardware เครื่องคอมพิวเตอร์
บนระบบเครือข่าย
- จำานวนรวมของลำาดับชุดคำาสั่งที่รอปฏิบัติ
Bus Communications
 ตัวสิ้นสุดปลายทาง (Terminator)
เมื่อปลายข้างใดข้างหนึ่งของสายเคเบิล
ถูกถอดออก หรือทั้งสองข้างไม่มี
Terminator จะทำาให้ข้อมูลสะท้อนกลับไป
มาทำาให้เครือข่ายล่ม แต่เครื่องยังทำางาน
แบบ stand-alone ได้
Signal Bounce
Terminated Bus Network
Cable Break
Bus Network Expansion
 การขยายระบบเครือข่ายชนิดนี้ มีวิธีการ
ขยายโดยใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่าตัวเชื่อมรูป
ทรงกระบอก(BNC barrel connectors)
เป็นตัวต่อสายเคเบิล 2 ส่วนเข้าด้วยกัน
หรือใช้ Repeater
Star Topology
 Topology แบบนี้จะต้องต่อสายเข้ากับ
จุดศูนย์กลางเรียกว่า Hub หรือ Switch
แต่การต่อแบบนี้จะมีข้อเสียคือเมื่อ
จุดศูนย์กลางล่มระบบทั้งหมดจะล่ม และ
เปลืองสายในการวางระบบแบบนี้ แต่มีข้อดี
คือเมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเสียจะไม่
ส่งผลต่อระบบทั้งหมด
Star Network
Ring Topology
 การส่งสัญญาณจะทำาเป็นรูปวงแหวน เรียก
ว่าToken Passing Tokenจะถูกส่งผ่าน
จากที่คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยัง
คอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งเครื่อง
คอมพิวเตอร์ที่ทำาการส่งจะปรับปรุง Token
โดยการใส่การจ่าหน้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ลง
บนข้อมูล แล้วส่งไปรอบๆวงแหวน ดูเหมือน
ว่า Token จะใช้เวลานานแต่แท้จริงแล้ว
Token ใช้เวลาในการเดินทางด้วย
ความเร็วแสงสามารถเคลื่อนที่ไปใน
Ring Network
Wireless Topologies
 เป็น Topology ที่ไม่ต้องใช้สาย
 Wireless LANs มีจุดศูนย์กลางในการ
ติดต่อสื่อสาร
 Use star topology
 การส่งสัญญาณมาจากจุดศูนย์กลางเพียงที่
เดียว
Hubs
 Active Hub มีหน้าที่รับสัญญาณแล้วทวน
สัญญาณแล้วส่งกระจายออกไป
 Passive Hub เป็นจุดศูนย์กลางในการ
เชื่อมต่อ ขยายขนาดของเครือข่าย
 Hybrid hubs เป็นการใช้ Hub ร่วมกับ
Topology ต่างๆและสายแต่ละชนิดร่วมกัน
ได้
Hub Connection
Switches
 เป็นจุดศูนย์กลาง star topology
network
 จะส่งข้อมูลไปยัง Address ที่ระบุเท่านั้น
 ความแตกต่างของ Hub และ Switch คือ
Switch จะทำางานที่ Layer 2 ส่วนHub จะ
ทำางานที่ Layer 1 และราคาจะสูงกว่า Hub
Provide full bandwidth to each
station on network
Mesh Topology
 เครือข่ายแบบนี้เสนอให้มีการทำาซำ้ากันมาก
และมีความอ่อนตัวสูงคอมพิวเตอร์จะถูก
เชื่อมต่อกับเครื่องอื่นทั้งหมดโดยสายเคเบิล
แยกต่างหาก โครงสร้างแบบนี้จัดให้มีการ
เดินทางของสัญญาณที่ซำ้าซ้อนกันทั่วทั้ง
ระบบเครือข่าย หากสายเคเบิลส่วนใดเสีย
ส่วนอื่นจะทำาหน้าที่แทน ระบบเครือข่าย
แบบนี้มักมีราคาแพงเพราะต้องใช้สาย
จำานวนมาก และส่วนใหญ่ใช้บน WAN
Mesh Topology
Star Bus Topology
Star Ring Topology
ข้อดีข้อเสีย Bus Topology
 ข้อดีคือ ใช้สายเคเบิลอย่างประหยัด สื่อมี
ราคาไม่แพงและง่ายต่อการวางสายเป็น
ระบบอย่างง่ายและเชื่อถือได้ง่ายต่อการ
ขยาย
 ข้อเสีย การทำางานของระบบเครือข่ายจะช้า
หากมีการส่งข้อมูลหนาแน่น ยากที่จะ
แยกแยะปัญหาที่เกิดขึ้น การแตกแยกของ
สายเคเบิลมีผลกระทบต่อผู้ใช้หลายคน
ข้อดีข้อเสีย Ring Topology
 ข้อดีคือ ระบบจัดให้มีเข้าถึงอย่างเท่าเทียม
กันโดยคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง การดำาเนิน
งานของระบบไม่คำานึงว่ามีผู้ใช้จำานวน
เท่าใด
 ข้อเสียคือ ความเสียหายของเครื่อง
คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งจะส่งผลกระทบต่อ
คอมพิวเตอร์ส่วนที่เหลือ ยากที่จะแยกแยะ
ปัญหาที่เกิดขึ้น การปรับโครงสร้างของ
ระบบเครือข่ายจะรบกวนการปฏิบัติงาน
ข้อดีข้อเสีย Star Topology
 ข้อดีคือ ง่ายต่อการปรับปรุงระบบและเพิ่ม
เครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบสามารถตรวจ
สอบและการบริหารจัดการระบบ โดย
ศูนย์กลางได้ ความเสียหายของ
คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อ
ส่วนที่เหลือของระบบ
 ข้อเสีย ถ้าจุดศูนย์รวมของระบบล้มเหลว
ระบบทั้งระบบจะล่ม
ข้อดีข้อเสีย Mesh Topology
 ข้อดีคือ ระบบจัดให้มีการทำาซำ้าเพิ่มมากขึ้น
และมีความเชื่อถือได้ เช่นเดียวกับการง่าย
ต่อการแก้ไข
 ข้อเสีย การจัดตั้งระบบมีราคาแพงเพราะ
ต้องใช้สายเคเบิลจำานวนมาก
แบบฝึกหัด
 การออกแบบเครือข่ายที่ดีต้องคำานึงถึงสิ่งใด
 Topology ที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายใน
ปัจจุบัน
 Hub และ Switch มีการทำางานแตกต่างกัน
หรือไม่อย่างไร
 Topology ชนิดใดมีเสถียรภาพมากที่สุด
เพราะเหตุใด
 สาย Coaxial ใช้กับ Topology ชนิดใด

More Related Content

PPT
อินเตอร์เน็ต
PPT
Mission3
PPT
ภารกิจการเรียนรู้ บทที่ 5 part3 by sirisit jullanan
PPT
ภารกิจการเรียนรู้ บทที่ 5 by sirisit part3
PPT
ระบบเครือข่ายคอมผิวเตอร์
PPTX
ภารกิจการเรียนรู้ บทที่ 5 part3 by sirisit
PPTX
ภารกิจการเรียนรู้ บทที่ 5 by sirisit part3
PDF
เทอม 1 คาบ 11
อินเตอร์เน็ต
Mission3
ภารกิจการเรียนรู้ บทที่ 5 part3 by sirisit jullanan
ภารกิจการเรียนรู้ บทที่ 5 by sirisit part3
ระบบเครือข่ายคอมผิวเตอร์
ภารกิจการเรียนรู้ บทที่ 5 part3 by sirisit
ภารกิจการเรียนรู้ บทที่ 5 by sirisit part3
เทอม 1 คาบ 11

Similar to บทที่2 datacom (20)

PPT
เครือข่ายคอมพิวเตอร์
PDF
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
PDF
Network System
PPT
%B7อข่ายคอมพิวเตอร์77
PPT
%B7อข่ายคอมพิวเตอร์77
PPT
Ch4 communication and network
PDF
เทอม 1 คาบ 10 เครือข่ายคอมพิวเตอร์
PDF
PPT
Network Computer
PPT
คอมม.4บทที่7
PDF
Datacom
PPT
Basic network
PDF
Network
 
PDF
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เบื้องต้น
PDF
03 network
PDF
Network equipment
PDF
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
PPT
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
PDF
Basic Network Thai.pdf
PDF
06 พื้นฐานระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
Network System
%B7อข่ายคอมพิวเตอร์77
%B7อข่ายคอมพิวเตอร์77
Ch4 communication and network
เทอม 1 คาบ 10 เครือข่ายคอมพิวเตอร์
Network Computer
คอมม.4บทที่7
Datacom
Basic network
Network
 
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เบื้องต้น
03 network
Network equipment
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
Basic Network Thai.pdf
06 พื้นฐานระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
Ad

บทที่2 datacom

  • 2. วัตถุประสงค์  ออกแบบ network  เข้าใจเกี่ยวกับ networking topologies  สามารถนำา hubs ไปใช้ในระบบเครือข่าย ได้อย่างเหมาะสม  สามารถนำา switches ไปใช้ในระบบเครือ ข่ายได้อย่างเหมาะสม  สารถตรวจสอบเมื่อ topologies เกิดการ เปลี่ยนแปลง  สามารถเลือกใช้ topology ที่เหมาะสมกัน
  • 3. Network Design  การออกแบบระบบเครือข่ายที่ดี:  เมื่อตามความต้องการสามารถวิเคราะห์เครือ ข่ายและออกแบบเครือข่ายได้  สามารถเลือก network topology  เลือก topology ให้มีความเหมาะสม
  • 4. Designing a Network Layout  การจะใช้ Topology ชนิดใดต้องคำานึงถึง ลักษณะทางกายภาพซึ่งประกอบด้วย คอมพิวเตอร์,สาย และ อุปกรณ์ อื่นๆ  การติดต่อจะต้องมีการกำาหนดว่าเป็นเช่นไร  โดยพื้นฐานของการออกแบบในการเลือกใช้ topology ต้องดูว่าสามารถจัดวางสิ่งต่างๆได้ อย่างไรโดยใช้แปลนและแผนที่  จะใช้สายชนิดใดขึ้นอยู่กับลักษณะทางกายภาพ ของ topology  จะต้องคำานึงถึงการโอนถ่ายข้อมูลระหว่าง คอมพิวเตอร์ที่ต้องวิ่งผ่านในระบบเครือข่าย
  • 5. Standard Topologies การเชื่อมต่อทางกายภาพ (Physical Topology) หมายถึง การเชื่อมต่อที่มีรูป ลักษณะที่มองเห็นได้จากภายนอก เช่น การ เชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องกับ ฮับ จะทำาให้เราสามารถมองเห็นลักษณะการ เชื่อมต่อทางกายภาพเป็นแบบ Star, Bus หรือ Ring ในปัจจุบันมี Topology ที่เป็นมาตรฐาน ต่างๆดังนี้:  Bus  Star 
  • 6. Bus การเชื่อมต่อชนิดจะใช้สายเคเบิลเพียงเส้นเดียวเป็น หลักจึงเรียกว่า (Trunk) คอมพิวเตอร์ทั้งหมดจะถูกต่อ เป็นแนวเส้นตรง เป็นวิธีที่ง่ายและธรรมดาที่สุดของการ เชื่อมต่อระบบเครือข่าย การเชื่อมต่อเครื่องข่ายแบบ Bus นี้จะใช้สายประเภท Coaxial ซึ่งสาย Coaxial มี ทั้งแบบหนาและแบบบางซึ่งสาย Coaxial แบบหนาบน เครือข่ายจะเรียกว่า 10Bease-5 จะมีความยาวไม่เกิน 500 เมตรใน 1 เซกเมนต์แต่สาย Coaxial แบบบาง บนเครือข่ายจะเรียกว่า 10Bease-2 จะต้องมีความ ยาวไม่เกิน 185 เมตรใน 1 เซกเมนต์ ส่วนที่ยาวไม่ถึง จะเรียกว่า เซกเมนต์ย่อย (Sub Segment)การที่จะ เข้าใจการสื่อสารในระบบ Bus จะต้องทำาความคุ้นเคย กับแนวคิด 3 ประการคือ  การส่งสัญญาณ (Sending of Signal)
  • 8. Sending the Signal การส่งสัญญาณไปในระบบเครือข่ายจะเป็นในรูปแบบ ของสัญญาณไฟฟ้า จะถูกส่งไปยังคอมพิวเตอร์บน ระบบเครือข่าย แต่จะมีคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวที่ อยู่บนจ่าหน้าเท่านั้นที่ได้รับข้อมูลข่าวสารนั้น คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นที่ไม่ได้รับการจ่าหน้าถึงจะปฏิเสธ การรับข้อมูล การส่งข้อมูลจะทำาได้เพียงครั้งละเครื่อง เท่านั้นเมื่อมีคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายมากขึ้นจะทำาให้ ประสิทธิภาพในการทำางานของระบบลดลง สิ่งที่มีผลก ระทบต่อระบบเครือข่ายประเภทนี้คือ - ความสามารถของHardware เครื่องคอมพิวเตอร์ บนระบบเครือข่าย - จำานวนรวมของลำาดับชุดคำาสั่งที่รอปฏิบัติ
  • 9. Bus Communications  ตัวสิ้นสุดปลายทาง (Terminator) เมื่อปลายข้างใดข้างหนึ่งของสายเคเบิล ถูกถอดออก หรือทั้งสองข้างไม่มี Terminator จะทำาให้ข้อมูลสะท้อนกลับไป มาทำาให้เครือข่ายล่ม แต่เครื่องยังทำางาน แบบ stand-alone ได้
  • 13. Bus Network Expansion  การขยายระบบเครือข่ายชนิดนี้ มีวิธีการ ขยายโดยใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่าตัวเชื่อมรูป ทรงกระบอก(BNC barrel connectors) เป็นตัวต่อสายเคเบิล 2 ส่วนเข้าด้วยกัน หรือใช้ Repeater
  • 14. Star Topology  Topology แบบนี้จะต้องต่อสายเข้ากับ จุดศูนย์กลางเรียกว่า Hub หรือ Switch แต่การต่อแบบนี้จะมีข้อเสียคือเมื่อ จุดศูนย์กลางล่มระบบทั้งหมดจะล่ม และ เปลืองสายในการวางระบบแบบนี้ แต่มีข้อดี คือเมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเสียจะไม่ ส่งผลต่อระบบทั้งหมด
  • 16. Ring Topology  การส่งสัญญาณจะทำาเป็นรูปวงแหวน เรียก ว่าToken Passing Tokenจะถูกส่งผ่าน จากที่คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยัง คอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งเครื่อง คอมพิวเตอร์ที่ทำาการส่งจะปรับปรุง Token โดยการใส่การจ่าหน้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ลง บนข้อมูล แล้วส่งไปรอบๆวงแหวน ดูเหมือน ว่า Token จะใช้เวลานานแต่แท้จริงแล้ว Token ใช้เวลาในการเดินทางด้วย ความเร็วแสงสามารถเคลื่อนที่ไปใน
  • 18. Wireless Topologies  เป็น Topology ที่ไม่ต้องใช้สาย  Wireless LANs มีจุดศูนย์กลางในการ ติดต่อสื่อสาร  Use star topology  การส่งสัญญาณมาจากจุดศูนย์กลางเพียงที่ เดียว
  • 19. Hubs  Active Hub มีหน้าที่รับสัญญาณแล้วทวน สัญญาณแล้วส่งกระจายออกไป  Passive Hub เป็นจุดศูนย์กลางในการ เชื่อมต่อ ขยายขนาดของเครือข่าย  Hybrid hubs เป็นการใช้ Hub ร่วมกับ Topology ต่างๆและสายแต่ละชนิดร่วมกัน ได้
  • 21. Switches  เป็นจุดศูนย์กลาง star topology network  จะส่งข้อมูลไปยัง Address ที่ระบุเท่านั้น  ความแตกต่างของ Hub และ Switch คือ Switch จะทำางานที่ Layer 2 ส่วนHub จะ ทำางานที่ Layer 1 และราคาจะสูงกว่า Hub Provide full bandwidth to each station on network
  • 22. Mesh Topology  เครือข่ายแบบนี้เสนอให้มีการทำาซำ้ากันมาก และมีความอ่อนตัวสูงคอมพิวเตอร์จะถูก เชื่อมต่อกับเครื่องอื่นทั้งหมดโดยสายเคเบิล แยกต่างหาก โครงสร้างแบบนี้จัดให้มีการ เดินทางของสัญญาณที่ซำ้าซ้อนกันทั่วทั้ง ระบบเครือข่าย หากสายเคเบิลส่วนใดเสีย ส่วนอื่นจะทำาหน้าที่แทน ระบบเครือข่าย แบบนี้มักมีราคาแพงเพราะต้องใช้สาย จำานวนมาก และส่วนใหญ่ใช้บน WAN
  • 26. ข้อดีข้อเสีย Bus Topology  ข้อดีคือ ใช้สายเคเบิลอย่างประหยัด สื่อมี ราคาไม่แพงและง่ายต่อการวางสายเป็น ระบบอย่างง่ายและเชื่อถือได้ง่ายต่อการ ขยาย  ข้อเสีย การทำางานของระบบเครือข่ายจะช้า หากมีการส่งข้อมูลหนาแน่น ยากที่จะ แยกแยะปัญหาที่เกิดขึ้น การแตกแยกของ สายเคเบิลมีผลกระทบต่อผู้ใช้หลายคน
  • 27. ข้อดีข้อเสีย Ring Topology  ข้อดีคือ ระบบจัดให้มีเข้าถึงอย่างเท่าเทียม กันโดยคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง การดำาเนิน งานของระบบไม่คำานึงว่ามีผู้ใช้จำานวน เท่าใด  ข้อเสียคือ ความเสียหายของเครื่อง คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งจะส่งผลกระทบต่อ คอมพิวเตอร์ส่วนที่เหลือ ยากที่จะแยกแยะ ปัญหาที่เกิดขึ้น การปรับโครงสร้างของ ระบบเครือข่ายจะรบกวนการปฏิบัติงาน
  • 28. ข้อดีข้อเสีย Star Topology  ข้อดีคือ ง่ายต่อการปรับปรุงระบบและเพิ่ม เครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบสามารถตรวจ สอบและการบริหารจัดการระบบ โดย ศูนย์กลางได้ ความเสียหายของ คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อ ส่วนที่เหลือของระบบ  ข้อเสีย ถ้าจุดศูนย์รวมของระบบล้มเหลว ระบบทั้งระบบจะล่ม
  • 29. ข้อดีข้อเสีย Mesh Topology  ข้อดีคือ ระบบจัดให้มีการทำาซำ้าเพิ่มมากขึ้น และมีความเชื่อถือได้ เช่นเดียวกับการง่าย ต่อการแก้ไข  ข้อเสีย การจัดตั้งระบบมีราคาแพงเพราะ ต้องใช้สายเคเบิลจำานวนมาก
  • 30. แบบฝึกหัด  การออกแบบเครือข่ายที่ดีต้องคำานึงถึงสิ่งใด  Topology ที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายใน ปัจจุบัน  Hub และ Switch มีการทำางานแตกต่างกัน หรือไม่อย่างไร  Topology ชนิดใดมีเสถียรภาพมากที่สุด เพราะเหตุใด  สาย Coaxial ใช้กับ Topology ชนิดใด