Recommended บทที่ 2 พัฒนาการของแนวคิดและทฤษฎีการจัดการ
คุณธรรมและจริยธรรมของผู้บริหาร
สื่อการสอนวิชาทฤษฎีและหลักการบริหารการศึกษา
บทที่ 4 การจัดการองค์การสมัยใหม่
Chapter : 2 Organization Theory (บทที่ 2 ทฤษฎีองค์การ)
บทที่ 1 ความหมายของการบริหารการพัฒนา
การวิเคราะห์ SWOT & TOWS Matrix
บทที่ 2 การเป็นผู้ประกอบการ
การบริหารทรัพยากรมนุษย์สมัยใหม่
บทที่ 7 อำนาจและภาวะผู้นำ
บทที่ 9 การวางผังสถานประกอบการ
Casestudy การศึกษารายกรณี
บันทึกข้อความขออนุญาตประชุมสามัญสภานักเรียนครั้งที่ 1/2560
แบบสอบถาม โครงการบันทึกรักการอ่าน2013
บทที่ 3 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับภาวะผู้นำ
โมเดลและทฤษฎีที่สำคัญเกี่ยวกับการจัดการความรู้ (Km)
Development of management theory
More Related Content บทที่ 2 พัฒนาการของแนวคิดและทฤษฎีการจัดการ
คุณธรรมและจริยธรรมของผู้บริหาร
สื่อการสอนวิชาทฤษฎีและหลักการบริหารการศึกษา
บทที่ 4 การจัดการองค์การสมัยใหม่
Chapter : 2 Organization Theory (บทที่ 2 ทฤษฎีองค์การ)
บทที่ 1 ความหมายของการบริหารการพัฒนา
What's hot (20) การวิเคราะห์ SWOT & TOWS Matrix
บทที่ 2 การเป็นผู้ประกอบการ
การบริหารทรัพยากรมนุษย์สมัยใหม่
บทที่ 7 อำนาจและภาวะผู้นำ
บทที่ 9 การวางผังสถานประกอบการ
Casestudy การศึกษารายกรณี
บันทึกข้อความขออนุญาตประชุมสามัญสภานักเรียนครั้งที่ 1/2560
แบบสอบถาม โครงการบันทึกรักการอ่าน2013
บทที่ 3 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับภาวะผู้นำ
โมเดลและทฤษฎีที่สำคัญเกี่ยวกับการจัดการความรู้ (Km)
Similar to แนวความคิดและทฤษฎีการบริหาร (20)
Development of management theory
Ch1 แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการ
บทที่ การพัฒนาของการบริหารการจัดการ.pptx
ตัวอย่างหนังสือผู้บริหาร2
บทที่ 1 แนวคิดหลักการของการบริหารราชการ
ทฤษฎีการจัดการแบบวิทยาศาสตร์
Ppt บรรยาย 23700 paoเสริมครั้งที่1และ2_edited
องค์การสมัยใหม่ ครั้งที่ 1
Organization&Management part1 2
แนวความคิดและทฤษฎีการบริหาร2. พัฒนาการทางการบริหาร ยุคคลาสสิค (The classical approaches) การบริหารงานเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) หลักการบริหาร (Administrative Principles) องค์การแบบราชการ (Bureaucratic organization) การบริหารเชิงมนุษยสัมพันธ์ (Human resource approaches) การบริหารเชิงปริมาณ (The quantitative or management science approaches) การบริหารสมัยใหม่ (The modern approaches) 3. วิวัฒนาการทางการบริหาร การบริหาร เชิงวิทยาศาสตร์ การจัดการ เชิงบริหาร การบริหาร แบบราชการ นักพฤติกรรม ระยะแรก การศึกษา ที่ฮอว์ธอร์น เคลื่อนไหว มนุษยสัมพันธ์ การบริหาร ศาสตร์ การบริหาร ปฏิบัติการ สารสนเทศ การบริหาร หลักพฤติ - กรรมศาสตร์ 1890 1900 1910 1920 1930 1940 1950 1960 1970 ปัจจุบัน ทัศนะ ดั้งเดิม ทัศนะ เชิงพฤติกรรม ทัศนะ เชิงปริมาณ ทัศนะ ร่วมสมัย ทฤษฎี เชิงระบบ ทฤษฎี ตามสถานการณ์ ทัศนะ ที่เกิดใหม่ 6. พัฒนาการของการบริหาร ; Classical <1909 Max Weber ระบบราชการ เป็นสำนักงาน เอามาจากระบบทหาร เชื่อในระบบสั่งการตามสายบังคับบัญชา ใช้เชือกสีแดงผูกเอกสารแทนแฟ้ม Red Tape Thomas Hobbes เชื่อการปกครองโดยพระมหากษัตริย์ดีที่สุด John Locks เชื่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย 7. Neo Classical 1910-1929 Frederick W Taylor เขียนเรื่อง Time and Motion Study ใช้วิชาวิศวกรรมศาสตร์มาช่วยในการบริหาร ใช้หลัก Equal pay for Equal work มองคนเป็น Economic Man ( เศรษฐทรัพย์ ) Taylor วิจัยพบวิธีจัดการตามหลักวิทยาศาสตร์ 3 ประการคือ ใช้คนให้เหมาะกับงาน กำหนดมาตรฐานในการปฏิบัติงาน กำหนดเครื่องมือในการควบคุมงาน 8. Henry L Gant นำแนวคิดของ Taylor มาขยายเครื่องมือควบคุมงาน เรียก Gant Chart Henry Fayol ถือเป็นบิดาของการจัดการยุคใหม่ พบว่าหน่วยธุรกิจทุกแห่งจะมี 6 งาน คือ 1. งานเทคนิค 2. งานการค้า 3. งานการเงิน 4. งานด้านความปลอดภัย 5. งานบัญชี 6. งานจัดการ 9. Humanistic 1930-1950 Elton G Mayo วิจัยเรื่อง Hawthorn Study เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมในการทำงาน แสงสว่าง ความสะอาด พบว่า นายจ้างกับคนงานมักขัดแย้งเสมอ ควรแก้ปัญหา โดยมนุษยสัมพันธ์ 10. Modern System >1951 Luther Gulick & Lyndall Urwick เขียน POSDCORB Chester I Barnard เน้นความสัมพันธ์ไม่เป็นทางการระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง Herbert A Simon สร้างศาสตร์สาขา วิทยาการจัดการ Management Science และ Decision Making Peter F Drucker เขียนการบริหารโดยวัตถุประสงค์ Management by Objective MBO 11. ทฤษฎี X& Y ของ Douglas Macgregor มนุษย์ส่วนใหญ่เกียจคร้าน ชอบหลบหลีกงานเมื่อมีโอกาส ชอบทำตามที่สั่งและผู้ควบคุม ชอบปัดความรับผิดชอบ ชอบความมั่นคงอบอุ่นปลอดภัย ขาดความริเริ่มสร้างสรรค์ มนุษย์ส่วนใหญ่ขยัน ชีวิตมนุษย์คือการทำงาน ทำ พัก และเล่นไปในตัว มีวินัยในตนเอง มีความรับผิดชอบ หวังรางวัลหรือสิ่งตอบแทนเมื่อองค์กรประสบผลสำเร็จ มีความริเริ่มสร้างสรรค์ ทฤษฎี X ทฤษฎี Y 12. 1. ทฤษฎีการจัดการตามหลักวิทยาศาสตร์ ได้มีการพัฒนาแนวความคิดด้านการจัดการ ระบบวิทยาศาสตร์ โดยมีหลักการดังนี้ พัฒนาวิธีการทำงานวิธีที่ดีที่สุด คนงานที่จะเข้ามาทำงานจะต้องผ่านการ คัดเลือก ฝึกหัด สอน และพัฒนาความรู้ความสามารถ มีการร่วมมือกับพนักงาน มีการแบ่งงานและความรับผิดชอบทั้งฝ่ายบริหาร และฝ่ายพนักงาน 13. ทฤษฎีการจัดการแบบดั้งเดิม (Classical Theory) ทฤษฎีการจัดการแบบดั้งเดิม เป็นทฤษฎีที่มุ่งให้ความสนใจและให้ความสำคัญเกี่ยวกับความสำเร็จของงาน โดยไม่สนใจจิตใจของมนุษย์ มองมนุษย์เป็นเครื่องจักร การบริหารงานมีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว พนักงานจึงทำงานอย่างไม่มีอิสระ ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้จึงไม่มีความคิดเห็นที่หลากหลาย และการทำงานขององค์การจะบรรลุเป้าหมายและพนักงานจะปฏิบัติงานได้ดีขึ้นเมื่อมีการข่มขู่ 14. 2. ทฤษฎีทางการบริหาร ได้แบ่งเป็น 5 ประการ หรือหลักการบริหารที่เรียกว่า POCCC ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ การวางแผน (Planning) คือ การกำหนดแนวทางในการปฏิบัติงานไว้ล่วงหน้า การจัดองค์การ (Organizing) คือ เป็นการจัดโครงสร้างของสายการบังคับบัญชา 15. ทฤษฎีทางการบริหาร ( ต่อ ) การสั่งการ (Commanding) คือ การคอยสอดส่องดูแลและ สั่งการให้พนักงานปฏิบัติงานตาม ่ การประสานงาน (Coordinating) คือ การร่วมมือร่วมใจกันทำงานของพนักงานภายในองค์การ การควบคุม (Controlling) คือ การตรวจสอบและติดตามผลการปฏิบัติงาน 17. กิจกรรมทางธุรกิจ 6 กิจกรรม ด้านวิทยาการ การผลิตงานโดยช่างฝีมือ การผลิตในเชิงโรงงาน ด้านการตลาด การซื้อ การขาย การแลกเปลี่ยน ด้านการเงิน การหาเงินทุนและสินเชื่อ การใช้อย่างเหมาะสม ด้านการบัญชี การจัดทำสต็อก จัดทำงบดุล บันทึกต้นทุน ด้านสวัสดิการ การป้องกันบุคคลและทรัพย์สิน ด้านการจัดการ การวางแผน การจัดองค์การ การสั่งการ การประสานงาน การควบคุม 18. หลักการทางการบริหารไว้ 14 ข้อ 1. ควรมีการแบ่งงานกันทำตามความถนัดเฉพาะด้าน (Division of Work) 2. อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ (Authority and Responsibility) 3. การมีระเบียบวินัย (Discipline) 4. การมีผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียว (Unity of Command) 19. หลักการทางการบริหารไว้ 14 ข้อ ( ต่อ ) 5. การมีเป้าหมายเดียวกัน (Unity of Direction) 6. ผลประโยชน์ของบุคคลเป็นรองจากผลประโยชน์ของส่วนรวม (Subordination of Individual Interest to the Common Good) 7. การให้ผลตอบแทน (Remuneration) 8. การรวมอำนาจและการกระจายอำนาจ (Centralization and Decentralization) 20. หลักการทางการบริหารไว้ 14 ข้อ ( ต่อ ) 9. สายการบังคับบัญชา (Hierarchy) 10. ความมีระเบียบ (Order) 11. ความเสมอภาค (Equity) 12. ความมั่นคงของงาน (Stability of Staff) 13. ความคิดริเริ่ม (Initiative) 14. ความสามัคคี (Esprit Decorps) 21. 3. ทฤษฎีระบบราชการ (Bureauracy Theory) สายการบังคับบัญชา (Hierarchy) มีการแบ่งงานตามความถนัดเฉพาะด้าน (Division of work) กฎระเบียบ ข้อบังคับ และวิธีการปฏิบัติงาน (Rules Regulation and Procedures) ไม่ยึดหลักความสัมพันธ์ส่วนตัว (Impersonalality) ประชาธิปไตย (Democracy) 22. แนวความคิดและวิธีการของการบริหารแบบมนุษย์สัมพันธ์ (Human Relations) คน งานที่ต้องทำ สำเร็จผล ด้วย ประสิทธิภาพ ผู้บริหาร มุ่งสนใจที่ วิธีทำงาน ปัจจัยการผลิตอื่น ๆ หลักการ จะต้องให้ความสำคัญต่อ คนผู้ทำงาน มากกว่า งาน ที่จะทำให้คนทำ ต้องหาวิธีให้คนมีความพอใจ มีอิสระที่คิดจะริเริ่ม เพื่อสร้างสรรค์ใน ทางต่าง ๆที่เขาควรจะมีสิทธิเลือกวิธีทำงานของตนเองบ้าง หรือนั่น ก็คือฝ่ายจัดการควรจะพิจารณาปรับหรือจัดงานให้เหมาะสม และเป็น ที่พอใจแก่คนที่จะทำงานนั้น มุ่งถึงคนเป็นหลัก 23. แสดงลักษณะธรรมชาติของ “คน” และความสัมพันธ์ ต่อแนวคิดทางการบริหาร คนทุกคน ควรจะมีพฤติกรรม ตามเหตุผลและ ทำงานได้เท่ามาตรฐาน ข . แต่คนทุกคนจะมีพฤติกรรม สืบเนื่องจากความพอใจ หรือเป็นอารมณ์ ที่สามารถลดผลงาน หรือเร่งผลงาน ให้สูงต่ำกว่ามาตรฐานอย่างไรก็ได้ ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับคนผู้ทำงานที่มอบให้ = ระดับผลงานตามเหตุผลหรือมาตรฐาน + พฤติกรรมผัน แปร ไปในทางดี พฤติกรรม ผันแปรไปในทาง ไม่ดี 24. แนวความคิด เกี่ยวกับวิธีการ บริหารสมัยใหม่ การบริหารแบบการตัดสินใจ (Decisional Approach) การบริหารเชิงระบบ (Systems Approach) การบริหารตามสถานการณ์ (Situational Approach) การบริหารเชิงกระบวนการ (Process Approach) 1 4 2 3 25. การบริหาร แบบการตัด สินใจ Decision Approach การบริหารคือการตัดสินใจ องค์การจะถูกถือเสมือน หนึ่งว่าเป็นหน่วย ของการตัดสินใจ ผู้บริหารคือผู้ที่ต้องทำการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ถ้าการตัดสินใจ ณ ทุกหน่วยและทุกจุดของงานต่าง ๆ ที่ต้องมีการตัดสินปัญหานั้นได้กระทำไปอย่างดีที่สุดแล้ว การบริหาร ก็จะเป็นไปโดยได้ผลและปีประสิทธิภาพ การวิเคราะห์ข้อมูลที่สมเหตุสมผล โดยได้มีการพิจารณา เปรียบเทียบทางเลือกต่าง ๆ อย่างถูกต้องกับเงื่อนไข ทั้งหลาย จึงย่อมจะช่วยให้เกิดผลดีที่สุด การสร้างรูปแบบ (Models) และการทดสอบวิธีการโดย อาศัยเทคนิคโดยอาศัยเทคนิคเชิงปริมาณ (Quantitative Techniques) จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการ บริหารแบบการตัดสินใจ 26. การบริหาร เชิงระบบ System Approach การบริหารเป็นลักษณะระบบอย่างหนึ่ง มีผู้บริหารมาทำ งานในหน้าที่ต่าง ๆของระบบนี้ ส่วนต่าง ๆของระบบอยู่ในสถานะที่เคลื่อนไหวได้แต่ละส่วน ต่างมีคุณสมบัติและความสามารถเฉพาะเมื่อมารวมเป็นอัน หนึ่งอันเดียวกันจะช่วยเคลื่อนไหวไปสู่เป้าหมายเดียวกัน ส่วนต่าง ๆในองค์กรมีปฏิกิริยากระทบต่อกันเสมอการแสดง ออกหรือการเคลื่อนไหวของแต่ละส่วนย่อมมีผลต่อกัน และกัน ทั้งระบบ ในองค์กรหนึ่งหรือระบบหนึ่งจะประกอบด้วยระบบย่อยต่าง ๆ (Subsystems) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ณ ส่วนใดส่วนหนึ่งของระบบ ย่อม ทำให้มีผลกระทบต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ (Chain of effects) ผู้บริหารจะต้องมององค์การให้ทะลุปรุโปร่งทั้งระบบ และสามารถ กำกับดูแลและจัดการระบบต่าง ๆทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล 27. การบริหารเชิงกระบวนการ (System Approach) หน้าที่ในการบริหารงานต่าง ๆมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันใกล้ชิดเป็นกระบวน การ (Process) ผู้บริหารจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยวิธีกระทำเป็นทีละขั้นตอน (Step by Step) ที่ต่อ เนื่องหมุนเวียนกันไปอย่างเป็นระเบียบโดยไม่ขาดขั้นตอนกัน ส่วนต่างๆของงานบริหารที่เกี่ยวเนื่องต่อกันนั้นจะไม่ขาดตอนจากกัน หากแต่ จะมีความต่อเนื่อง และสอดคล้องกันอย่างมีระเบียบ การบริหารงานตามหน้าที่จะดำเนินไปเป็นวัฏจักรหมุนเวียนเป็นกระบวนการ เรื่อยไป หน้าที่ในการบริหาร องค์การ ข้อมูลย้อนกลับ วางแผน จัดองค์การ จัดคนเข้าทำงาน สั่งการ ควบคุม 30. C.D. Flagle & W.H. Huggins & R.H. Roy การรวมอย่างบูรณาการของส่วนต่างๆที่ปฏิสัมพันธ์กัน โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ตามภารกิจ ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า 1. ความหมายของทฤษฎีระบบ 32. ทฤษฎีระบบ SYSTEM THEORY ระบบในเชิงบริหารหมายถึงองค์ประกอบ หรือปัจจัยต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์กัน และมีส่วนกระทบต่อปัจจัยระหว่างกัน ในการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ 33. 2. ระดับ ระบบมีหลายระดับ ก . ระบบย่อย (Subsystem) ข . ระบบ (System) ค . ระบบใหญ่ (Supra system) 3. ประเภท ก . ระบบปิด - ระบบเปิด ข . ระบบนามธรรม - รูปธรรม 34. 4. สภาวะของระบบ ก . สภาวะสมดุล (Equilibrium) ข . สภาวะไม่สมดุล (Disequilibrium) 5. การทำงานของระบบและการบรรลุวัตถุประสงค์ ก . ผลย้อนกลับ (Feedback) ข . พลังต่อต้านความเสื่อมสลาย (Negative Entropy) ค . ความเท่าเทียมกันในการบรรลุผลสุดท้าย (Equifinality) 38. ปัจจัยนำเข้า (Input) ทรัพยากรทางกายภาพ ทรัพยากรทางการเงิน ทรัพยากรมนุษย์ ทรัพยากรข้อมูล กระบวนการแปรสภาพ - หน้าที่การจัดการ - การปฏิบัติการด้าน เทคโนโลยี - กิจกรรมการผลิต ผลผลิต สินค้าและบริการ กำไรและขาดทุน พฤติกรรมพนักงาน การป้อนกลับเพื่อการกระตุ้นระบบ สิ่งแวดล้อมภายนอก 39. ตัวป้อน - ทรัพยากรมนุษย์ - ทรัพยากรการเงิน - ทรัพยากรวัตถุ - สารสนเทศ กระบวนการ - การเรียนการสอน - การบริหาร - การบริการ ผลผลิต - นักเรียน - อื่น ๆ - ครู สภาพแวดล้อม สภาพแวดล้อม 41. การบริหารเชิงสถานการณ์ (Situational Management Theory) หรือทฤษฎีอุบัติการณ์ (Contingency Theory ) เน้นให้ผู้บริหารพิจารณาความแตกต่างในหน่วยงาน เช่น ความแตกต่างระหว่างบุคคล ความแตกต่างระหว่างระเบียบกฎเกณฑ์ วิธีการ กระบวนการ และการควบคุมงาน ความแตกต่างระหว่างความสัมพันธ์ของบุคคลในองค์กร ความแตกต่างระหว่างเป้าหมายการดำเนินงานขององค์การ ผู้เสนอแนวความคิดคือ Fred E. Fiedler (1967) 42. การบริหารเชิงสถานการณ์ (Situational Management Theory) หรือทฤษฎีอุบัติการณ์ (Contingency Theory ) ถือว่าการบริหารจะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ผู้บริหารจะต้องพยายามวิเคราะห์สถานการณ์ให้ดีที่สุด เป็นการผสมผสานแนวคิดระหว่างระบบปิดและระบบเปิด และยอมรับหลักการของทฤษฎีระหว่างทุกส่วนของระบบ จะต้องสัมพันธ์และมีผลกระทบซึ่งกันและกัน สถานการณ์จะเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจและรูปแบบการบริหารที่เหมาะสม คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความต้องการของบุคคลในหน่วยงานเป็นหลัก มากกว่าที่จะแสวงหาวิธีการอันดีเลิศมาใช้ในการทำงาน โดยใช้ปัจจัยทางด้านจิตวิทยาในการพิจารณาด้วย 43. การบริหาร ตามสถานการณ์ Situation Approach การบริหารยึด “ตัวสถานการณ์” หรือชุดเหตุการณ์ที่ ซึ่งมีอิทธิพล ต่อองค์การมากที่สุด ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง มุ่งเน้นถึงความสำคัญของ “การคิดตามสถานการณ์” (Situational thinking) ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริหารเกิดความเข้า ใจ ได้ว่าภายใต้สถานการณ์เฉพาะนั้นๆ ผู้บริหารควรจะใช้ เทคนิคการบริหารอะไร จึงจะทำให้องค์การสามารถบรรลุ ผลสำเร็จมากที่สุดได้ การบริหารจะไม่ยึดติดกับ แนวคิด ทฤษฎีหรือหลักการใด หลักการหนึ่งโดยเฉพาะ แต่จะเลือกสรรวิธีการที่ดีที่สุด เกิด ประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด ผู้บริหารอาจจะใช้วิธีการ หลาย ๆอย่างผสมผสานกันในการ บริหารไปพร้อม ๆกันทั้งนี้แล้วแต่ “ตัวสถานการณ์” และ ปัจจัยความพร้อมในด้านต่าง ๆ 44. ปัจจัยที่ เกี่ยวข้อง กับการ ปรับการ บริหารตาม สถานการณ์ สภาพแวดล้อมภายนอก วัตถุประสงค์ และกลยุทธ์ เทคนิควิทยาการ โครงสร้าง คน วิธีการบริหาร 56. การจัดการแบบวิทยาศาสตร์ เป็นกระบวนการจัดการที่อาศัยหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ ในการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพ ใช้หลักเหตุผล สามารถพิสูจน์หาข้อเท็จจริงได้ Frederick W. Taylor ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ สร้างแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ ในการหาวิธีการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด แนวคิดของ Taylor คือ มุ่งให้ผู้ปฏิบัติงานใช้ความรู้ความสามารถมากที่สุด การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตโดยพยายามลดต้นทุนและเพิ่มกำไร รวมถึงเพิ่มค่าจ้างให้คนงานที่สามารถเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้น โดยถือหลักของการให้ค่าตอบแทนที่เหมาะสม 57. การจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (2) หลักการจัดการทางวิทยาศาสตร์ อาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์หรือหลักของเหตุผล เพื่อที่จะค้นหาวิธีทำงานที่มีประสิทธิภาพที่สุด กำหนดมาตรฐานของงาน คุณภาพ และปริมาณของผลงานที่ต้องการ โดยวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างงานกับผู้ปฏิบัติ มีการพิจารณาผลตอบแทนในการปฏิบัติงาน ให้สอดคล้องกับความต้องการของผลผลิต 58. การจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (3) ลักษณะที่สำคัญ 4 ประการของการจัดการตามหลักวิทยาศาสตร์ของ Taylor พัฒนาความรู้ในวิธีการทำงานโดยอาศัยหลักวิทยาศาสตร์ ต้องมีการคัดเลือกและพัฒนาคนงาน โดยใช้หลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ : เพื่อให้ได้คนที่เหมาะสมกับงาน ทำให้งานที่ทำมีประสิทธิภาพสูงขึ้น มีการร่วมมือกันอย่างจริงจังในทำงานจากทุกฝ่าย มีการแบ่งงานกันทำตามความเหมาะสม 59. การจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (4) ผลงานที่สำคัญของ Taylor การใช้ระบบค่าตอบแทนรายชิ้น : ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย หลักการเสียเวลา : เป็นการศึกษาเพื่อหาเวลามาตรฐานในการทำงานแต่ละชิ้นว่าควรจะใช้เวลาเท่าใด หลักการทำงานตามแบบวิทยาศาสตร์ : ฝ่ายบริหารควรกำหนดวิธีการและมาตรฐานในการปฏิบัติงานโดยใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถวัดและตรวจสอบได้ 60. การจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (5) หลักการแยกงานด้านการวางแผนออกจากงานปฏิบัติ : งานด้านวางแผนเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหาร งานด้านการปฏิบัติเป็นหน้าที่ของคนงาน หลักการควบคุมโดยฝ่ายจัดการ : ผู้จัดการควรได้รับการฝึกที่ดี สามารถวางแผนและควบคุมการปฏิบัติงานได้ หลักการจัดระเบียบการปฏิบัติงาน : การปฏิบัติงานต้องมีกฎระเบียบ เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ 61. การจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (6) Henry L. Gantt เป็นวิศวกรเครื่องกล ได้ร่วมงานกับ Taylor และร่วมกันสร้างผลงานหลายอย่าง ผลงานของ Gantt ที่สำคัญได้แก่ พัฒนาแผนภูมิบันทึกความก้าวหน้าของงานเทียบเวลา Grant chart หรือ Barchart ต่อมาเรียก PERT (Program Evaluation and Review Technique) ระบบการจูงใจโดยการให้ Bonus โดย Gantt เชื่อว่า คนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของปัญหาด้านการจัดการทั้งหมด 62. การจัดการแบบราชการ Max Weber นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน ศึกษาการทำงานภายในองค์การ และโครงสร้างของสังคมได้แก่ ทหาร รัฐบาล การเมือง และองค์การอื่นๆ Weber ได้เสนอรูปแบบการจัดการที่เรียกว่าระบบราชการ ซึ่งถือเป็นรูปแบบขององค์การในอุดมคติ และเป็นรูปแบบขององค์การที่มีประสิทธิภาพ 63. การจัดการแบบราชการ (2) ระบบราชการ มีลักษณะที่สำคัญ 6 ประการ มีการจัดชั้นตำแหน่งและสายการบังคับบัญชาที่ชัดเจน มีการแบ่งงานกันทำโดยคำนึงถึงความชำนาญเฉพาะอย่าง แต่ละงานมีขอบเขตแน่นอน ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน มีระเบียบกฎเกณฑ์ในการปฏิบัติงาน มีการจัดระบบของการทำงานและมีระเบียบแบบแผนในการปฏิบัติ ไม่นำเอาความสัมพันธ์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องในงาน ทุกคนต้องทำงานโดยยึดหลักของเหตุและผล การเลือกคนเข้าทำงานและการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง จะต้องพิจารณาจากความรู้ความสามารถเป็นเกณฑ์ 64. การจัดการแบบราชการ (3) ในปัจจุบัน ระบบราชการ ได้ถูกนำมาใช้ในความหมายเชิงลบ ซึ่งหมายถึง ระบบที่มีกฎเกณฑ์มากและการรัดขั้นตอน ในความเป็นจริงการมีกฎเกณฑ์สำหรับการปฏิบัติงานนั้นเป็นการกำหนดมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับผู้ปฏิบัติงาน ทุกคนต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน และทุกคนต้องทราบกฎข้อบังคับที่มีอยู่ 66. การจัดการตามหลักการบริหาร (2) Fayol แบ่งงานด้านอุตสาหกรรมออกเป็น 6 กลุ่ม ด้านเทคนิค : การผลิตงาน โรงงาน การปรับตัว ด้านการค้า : การซื้อ การขาย และการแลกเปลี่ยน ด้านการคลัง : การจัดหาทุน และการใช้จ่ายทุน ด้านความมั่นคง : การรักษาคุ้มครองทรัพย์สินและบุคลากร ด้านการบัญชี : งานธุรการพัสดุ การงบดุล และสถิติ ด้านการจัดการ : การวางแผน การจัดองค์การ การสั่งการ การประสานงาน และการควบคุม 67. การจัดการตามหลักการบริหาร (3) หลักการบริหารของ Fayol การแบ่งงานกันทำ อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ ระเบียบวินัย เอกภาพในการบังคับบัญชา เอกภาพของการอำนวยการ การถือเอาประโยชน์ส่วนรวมก่อนประโยชน์ส่วนตัว 68. การจัดการตามหลักการบริหาร (4) การให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมและเป็นธรรม การรวมอำนาจ การมีสายการบังคับบัญชาที่ชัดเจน การจัดระเบียบ ความเสมอภาค ความมั่นคงในการทำงาน ความคิดริเริ่ม ความสามัคคี 69. การจัดการตามหลักการบริหาร (5) หลักการการจัดการที่สำคัญของ Fayol การวางแผน (Planning) การจัดองค์กร (Organizing) การบังคับบัญชา (Command) การประสานงาน (Co-ordination) การควบคุม (Control) 70. การจัดการตามหลักการบริหาร (6) Oliver Sheldon ชาวอังกฤษได้พัฒนาความคิดในเรื่องการจัดการและการบริหาร หลักการของ Sheldon แบ่งออกเป็น 3 ประการ การบริหาร (Administration) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายและการประสานงานในหน้าที่ต่างๆ การจัดการ (Management) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายภายในขอบเขตจำกัดซึ่งกำหนดขึ้นโดยฝ่ายบริหาร หน้าที่ในการจัดองค์การ เป็นกระบวนการประสานงานระหว่างบุคคลหรือระหว่างกลุ่มบุคคล 71. การจัดการตามหลักการบริหาร (7) Luther Gulilck และ Lyndall Urwick Gulilck เป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ส่วน Urwick เป็นที่ปรึกษาด้านการจัดการ Gulilck ได้เสนอแนวคิดในการจัดการซึ่งเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหาร จะต้องดำเนินการ POSDCORB 72. การจัดการตามหลักการบริหาร (8) P (Planning) การวางแผน : เป็นการกำหนดสิ่งที่ต้องการและวิธีการให้บรรลุผลตามต้องการ O (Organizing) การจัดองค์การ : เป็นการกำหนดโครงสร้างที่เป็นทางการของอำนาจ S (Staffing) การบริหารงานบุคคล D (Directing) การสั่งการ CO (Co-ordinating) การประสานงาน R (Reporting) การรายงานต่อฝ่ายบริหาร B (Budgeting) การวางแผนการเงิน บัญชีและการควบคุม 73. กลุ่มทฤษฎีการจัดการด้านมนุษยสัมพันธ์ (Human Rlations) แนวคิดนี้มีผลมาจากแนวความคิดทางการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ที่คิดว่ามนุษย์ทำงานเพื่อผลตอบแทน หรือความต้องการในด้านเศรษฐกิจ Elton Mayo เป็นนักสังคมวิทยา ( ปี 1880 – 1949) ชาวออสเตรเลีย และเป็นศาสตราจารย์ด้านการวิจัยอุตสาหกรรมของ Harvard University ได้ทำการศึกษาวิจัย Howthorne study ซึ่งเป็นการศึกษาวิจัยเชิงทดลองในบริษัท Western Electric โดยทดลองตามสภาพแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อการทำงานของพนักงาน 74. กลุ่มทฤษฎีการจัดการด้านมนุษยสัมพันธ์ (2) การทดลองแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ระยะที่ 1 : ทำการทดลองใช้สภาพของห้องทดสอบ ศึกษาถึงผลกระทบของสภาพแวดล้อมของการทำงานที่มีต่อผลผลิต โดยการทดสอบผลกระทบของแสงสว่างในการทำงานที่มีต่อคนงานว่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อปริมาณของผลผลิตอย่างไร ผลการวิจัยพบว่า ไม่ว่าจะเพิ่มหรือลดแสงสว่างภายในห้องอย่างไร ผลผลิตก็ยังเพิ่มขึ้น 75. กลุ่มทฤษฎีการจัดการด้านมนุษยสัมพันธ์ ( 3 ) ระยะที่ 2 : ทำการทดลองกับตัวแปรอื่นๆ เช่น มีอาหารเช้าให้คนงาน มีชั่วโมงการหยุดพัก ให้มาทำงานในเช้าวันเสาร์ ลดหรือเพิ่มชั่วโมงการทำงาน และวิธีการจ่ายค่าตอบแทน ผลการวิจัยพบว่า ตัวแปรข้างต้นมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการทำงาน แต่ไม่มากนัก ทำให้เกิดความคิดใหม่ๆ ในเรื่องความสามารถในการรับรู้ การแปลความหมายและท่าทีในการทำงานของคนงาน 76. กลุ่มทฤษฎีการจัดการด้านมนุษยสัมพันธ์ ( 4 ) การวิจัยต่อจากนั้น ได้ใช้เทคนิคการสัมภาษณ์คนงานทุกแผนกในบริษัทประมาณ 2 , 000 คน พร้อมสังเกตการทำงานของคนงานเกี่ยวกับเหตุผลที่ทำให้คนงานทำงานมากขึ้น ทำให้องค์การมีผลผลิตมากขึ้น ผลการวิจัยพบว่า เมื่อพนักงานรู้สึกว่าได้รับความสนใจจากบุคคลอื่น จะทำให้มีความกระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้น ขวัญและกำลังใจในการทำงานเป็นสิ่งสำคัญมาก ทั้งนี้เพราะพนักงานมีชีวิตจิตใจ ไม่สามารถซื้อหาด้วยเงินอย่างเดียว 77. กลุ่มทฤษฎีการจัดการด้านมนุษยสัมพันธ์ ( 5 ) ประสิทธิภาพการทำงานมิได้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่ดีเท่านั้น แต่ยังขึ้นกับมนุษยสัมพันธ์ที่ดีภายในองค์การด้วย กลุ่มทำงานจะเป็นผู้กำหนดคุณลักษณะของสมาชิก แบบวิธีการของกลุ่มตลอดจนความสำเร็จหรือความล้มเหลวขององค์การในสัดส่วนที่กลุ่มยอมรับได้ โดยอาศัยความสัมพันธ์เชิงอำนาจของกลุ่ม เมื่อพนักงานในระดับสูงสามารถจูงใจด้านจิตใจ จะมีความสำคัญมากกว่าการจูงใจด้วยเงิน 78. กลุ่มทฤษฎีการจัดการด้านมนุษยสัมพันธ์ ( 6 ) Abraham Maslow : ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการ ความต้องการทางร่างกาย ความต้องการความปลอดภัย ความต้องการด้านสังคม ความต้องการยกย่อง ความต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต 80. กลุ่มทฤษฎีการจัดการด้านมนุษยสัมพันธ์ (8) ลักษณะที่สำคัญของทฤษฎี X พนักงานต้องการทำงานให้น้อยที่สุด ดังนั้นผู้บริหารต้องคอยควบคุม สั่งการ หรือลงโทษเพื่อให้บุคคลทำงาน พนักงานขาดความทะเยอทะยาน และไม่ต้องการรับผิดชอบอะไร โดยทั่วไปพนักงานจะต่อต้านการเปลี่ยนแปลง เพราะเกรงว่าตนเองจะเดือดร้อนหรือต้องการทำงานหนักกว่าเดิม 81. กลุ่มทฤษฎีการจัดการด้านมนุษยสัมพันธ์ (9) ลักษณะที่สำคัญของทฤษฎี Y ชอบทำงาน มีความคิดริเริ่ม ในการแก้ปัญหาในการทำงานเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมาย พนักงานมีความเต็มใจที่จะเสาะแสวงหางานมาทำ และมีความรับผิดชอบ พนักงานจะยอมรับจุดมุ่งหมายขององค์การ เพื่อที่จะใช้ความพยายามในการทำงานให้สำเร็จ และบรรลุเป้าหมายขององค์การ พนักงานมีศักยภาพที่สามารถพัฒนาตนเองได้ และขณะนี้ยังไม่ได้ใช้ความสามารถที่มีอยู่อย่างเต็มที่