คํานํา
หนังสือบาลีไวยากรณเปนหลักสําคัญในการศึกษามคธภาษา ทาน
จัดเปนหลักสูตรของเปรียญธรรมตรีอยางหนึ่ง นักศึกษาบาลีชั้นตนตอง
เรียนบาลีไวยากรณใหไดหลักกอน จึงจะเรียนแปลคัมภีรอื่น ๆ ตอไปได
ผูรูหลักบาลีไวยากรณดี ยอมเบาใจในการแปลคัมภีรตาง ๆ เขาใจ
ความไดเร็วและเรียนไดดีกวาผูออนไวยากรณ แตการเรียนนั้น ถาขาด
หนังสืออุปกรณแลว แมทองแบบไดแมนยําก็เขาใจยาก ทําใหเรียนชา
ทั้งเปนการหนักใจของครูผูสอนไมนอย.
กองตํารามหากุฏราชวิทยาลัยไดคํานึงถึงเหตุนี้ จึงไดคิดสราง
เครื่องอุปกรณบาลีทุก ๆ อยางใหครบบริบูรณ เพื่อเปนเครื่องชวยนัก-
ศึกษาใหไดรับความสะดวกในเรื่อง อุปกรณบาลีไวยากรณก็เปนเรื่องหนึ่ง
ที่จะตองจัดพิมพขึ้นใหเสร็จครบบริบูรณโดยเร็ว ไดขอใหพระเปรียญ
ที่ทรงความรูหลายทานชวยรวบรวบและเรียบเรียง เฉพาะในเลมนี้
อธิบายนามตอนตน พระมหาบุญสงค อตฺตคุตฺโต ป.ธ. ๖ วัดราชาธิวาส
เรียบเรียง. อธิบายนามตอนปลาย กติปยศัพท สังขยา พระมหาจันทร
โกสโล ป.ธง ๕ วัดราชธวาส เรียบเรียง. มโนคณะ สัพพนาม พระครู
มงคลวิลาศ (ลัภ โกสโล ป.ธ. ๔) วัดราชาธิวาสเรียบเรียง. อัพยยศัพท
พระมหาพรหมา าณคุตฺโต ป.ธ. ๖ วัดราชาธิวาส เรียบเรียง. และมอบ
ลิขสิทธิสวนที่เรียบเรียงในหนังสือเลมนี้ ใหเปนสมบัติของมหากุฏ-
ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภตอไป.
กองตํารา ฯ ขอแสดงความขอบใจทานผูรวบรวมและเรียบเรียง
หนังสือเลมนี้จนเปนผลสําเร็จไวในที่นี้ดวย.
กองตํารา
มหามกุฏราชวิทยาลัย
๗ กันยายน ๒๔๘๓
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 1
อธิบายนามตอนตน
พระมหาบุญสงค อตฺตคุตฺโต ป.ธ. ๖ วัดราชาธิวาส
เรียบเรียง
บรรดาสภาพทั้งมวล ทั้งที่มีวิญญาณและหาวิญญาณมิได ซึ่งได
อุบัติขึ้นมาในโลก จะเปนคน สัตว ภูเขา ตนไม อยางใดอยางหนึ่ง
ก็ดี เมื่อยังไมมีใครสมมติเรียกชื่อวาอยางหนึ่งอยางนี้ สักแตวามีอยูเทานั้น
ก็ยังไมทราบละเอียดวาคนหรือสัตวเปนตน อีกนัยหนึ่ง สิ่งที่นอมไปในคํา
พูดของภาษาตาง ๆ คืออาจเรียกรูเขาใจกันไดตามความประสงค เรียกวา
"นาม" แปลวา "ชื่อ" หรือหมายความวามีอาการนอมไปในคําพูดของ
ภาษานั้น ๆ ตามแตจะสมมติขึ้น.
ศัพท
สําเนียงก็ดี อักษรที่ใชแทนสําเนียงก็ดี ซึ่งปรากฏเปนถอยคําได
เชน ปุตฺโต บุตร ปฺวา มีปญญา ทกฺโข ขยัน เหลานี้เปนตน
เรียกวา "ศัพท" ถาสําเนียงชนิดใดไมใชถอยคํา คือเปนสําเนียงที่ไม
เปนภาษา ดังคําวา ปุ. ภิ. อู. ห. เหลานี้ และคําที่เปนกิริยาหรือ
แมอยางอื่น ๆ คําชนิดนั้นไมเรียกวาศัพท. คําพูดในภาษามคธแบงออก
เปน ๒ ประเภท คือ สัญชาติศัพทหรือชาติศัพทอยาง ๑, สัญญัติศัพท
อยาง ๑. คําพูดดั้งเดิมอันคนหามูลมิไดวาเนื่องมาจากธาตุอะไร หรือ
ปรุงขึ้นจากธาตุอะไร เปนวาจาที่ใชพูดกันมาแตโบราณ เหมือนคําวา
ก. น้ํา. ข. ฟา. กุ. คําพูด เปนตน เรียกสัญชาติศัพทหรือชาติศัพท.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 2
แมในภาษาไทยก็มีใชเหมือนกัน เชนคําวา ดิน น้ํา ไฟ ลม เปนตน ลวน
เปนคําเดิมทั้งสิ้น. คําพูดผสมซึ่งปรุงขึ้นจากธาตุและปจจัยตาง ๆ สําเร็จ
โดยสาธนวิธีแหงนามกิตกบาง อยางอื่นบาง และบัญญัติวาศัพทนั้นหรือ
คํานั้นเปนชื่อของสิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือหมายความวาอยางนั้นอยางนี้ เหมือน
อยางคําวา ปุริโส บุรุษ (ปุร+อิส) ภิกฺขุ ภิกษุ (ภิกฺข+รู) เปน
อาทิ เรียกสัญญัติศัพท ๆ นี้ในภาษาไทยก็มีใชเหมือนกัน เชนคําวา
โรงเรียน (โรง+เรียน ) รานคา (ราน+คา) เปนตน.
นามศัพท
คํานี้ ก็คือนามและศัพทดังกลาวแลว เปนแตรวมเขาดวยกัน
แปลวาศัพทที่แสดงนามคือชื่อหรือสําเนียงที่แสดงนาม อันหมายความ
วาสําเนียงหรือเสียงที่บงถึงชื่อนั้นเอง เรียกวา นามศัพท ๆ นั้นแบงเปน
๓ อยาง คือ นามนาม ๑ คุณนาม ๑ สัพพนาม ๑.
นามนาม
นามที่เปนชื่อของคน สัตว ที่ สิ่งของ และสภาพตาง ๆ เรียก
นามนาม. มนุษยทุกจําพวกซึ่งมีอวัยวะคลายคลึงกัน รวมเรียกวา
"คน" สัตวมุกจําพวกตางโดยชาง มา โค กระบือ เปนตน เปนสัตวมี
เทาก็ตาม ไมมีเทาก็ตาม มีปกก็ตาม ไมมีปกก็ตาม หรือที่พิเศษนอก
ไปจากนี้ก็ตาม รวมเรียกวา "สัตว" ของอยูเปนที่เชนแผนดินก็ดี ของที่
เนื่องกับแผนดินเชนตนไมหรือเรือนก็ดี หรือสิ่งอื่น ๆ อันนับวาเปนที่
อยูอาศัย รวมเรียกวา "ที่ " สิ่งของทุกประเภทตางโดยเปนเครื่อง
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 3
อุปโภค เชนเสื้อผาหรือเครื่องใชอยางอื่น ๆ เปนตนก็ดี เปนเครื่อง
บริโภคตางโดยขาวน้ําเปนตนก็ดี รวมเรียกวา "สิ่งของ" สภาพหรือ
ธรรมชาติตาง ๆ ตางโดยฌานและสมาบัติเปนตน รวมเรียกวา "สภาพ"
ชื่อของคนเปนตนเหลานี้ เรียกวา "นามนาม" แปลวา "ชื่อของ
สิ่งที่มีชื่อ."
สาธารนาม
นามนามนั้นยังแยกประเภทออกไปอีก คือเปนนามที่ทั่วไปแก
สิ่งอื่นไดอยาง ๑ เปนนามที่ไมทั่วไปอยาง ๑ นามที่ทั่วไปแกคนสัตว
ที่ อื่นได เหมือนคําวา มนุสฺโส มนุษย ติรจฺฉาโน สัตวดิรัจฉาน
นคร เมือง เปนตน เรียก สาธารณนาม แปลวานามที่ทั่วไป หรือชื่อ
ที่ทั่วไปอยาง ๑.
อสาธารณนาม
นามที่ตรงกันขาม คือเปนนามที่ไมทั่วไป เปนนามเจาะจง
เฉพาะอยางหนึ่ง ๆ เหมือนคําวา ทยฺยเทโส ประเทศไทย เอราวโณ
ชางชื่อเอราวัณ พิมฺพิสาโร พระราชานามวาพิมพิสารเปนตน เรียก
อสาธารณนาม แปลวานามที่ไมทั่วไป หรือเปนชื่อที่เฉพาะไมทั่วไป.
หากจะมีคําถามวา คนไทยเปนนามประเภทไหน ? คือเปน
สาธารณนาม หรือ สารธารณนาม เมื่อเปนเชนนี้พึงเฉลยวา ขอนั้น
สุดแลวแตความหมาย ถาประสงคจะใหคนไทยเปนสาธารณนามก็ได
เพราะคนไทยมีทั่วไปในประเทศไทย หากประสงคจะใหคนไทยเปน
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 4
อสาธารณนามก็ได เพราะคนไทยมิไดมีทั่วไปแกคนทั้งโลก มี จีน แขก
ฝรั่ง เปนตน แมคําอื่น ๆ ที่เหมือนกับคํานี้ ก็พึงทราบโดยนัยดังกลาว
แลว.
คุณนาม
ธรรมดานามนามยอมมีลักษณาการประจําอยูทั้งสิ้น และลักษณะ
ของนามนามนั้นยอมมีหลายอยางตาง ๆ กัน เชนคน ยอมมีโง ฉลาด
สูง ต่ํา ดํา ขาว อวน ผอม เปนตน, ตนไม ยอมมีงาม ไมงาม เฉา
สดชื่น เล็ก ใหญ เปนตน, แมถึงสถานที่หรือสิ่งของอื่น ๆ ก็เหมือนกัน
ดวยเหตุนี้ จึงตองมีคําพูดชนิดหนึ่งดังวานั้น สําหรับประกาศลักษณะ
ของนามนามใหเปนที่เขาใจ คือเปนเครื่องชวยใหรูจักนามนามนั้นชัด
เจนขึ้นวา นามนามนั้นมีลักษณะเชนไร เชนคนก็ใหรูวาเปนคนประ-
เภทไหน โงหรือฉลาด ดีหรือชั่วเปนตน เรียกคุณนาม เพราะเปน
นามที่แสดงลักษณะของนามนาม ถามีแตนามนาม ไมมีคําคุณเขาประ
กอบ เมื่อยังไมรูไมเห็นเอง ก็ไมอาจรูคุณลักษณะนั้น ๆ ได เชน ปุริโส
ชาย เราก็รูแตเพียงวาเขาเปนชายหาใชผูหญิงไม ยังมิไดแสดงใหรูคุณ
ลักษณะซึ่งเปนภาวะของเขา ตอมีคุณนามซึ่งแสดงลักษณะประกอบอยู
ดวยดังเชนคําวา ปฺวา ปุริโส บุรุษมีปญญา ดังนี้ เราก็รูลึกซึ้งเขาอีก
วาผูชายที่ไดออกชื่อนั้น เปนคนมีปญญา หาใชคนโงเขลาไม ในกาลบาง
คราวถึงกับตองใชคุณนามเปนเครื่องหมายที่มีชื่อพองกัน ใหตางกันวา
นั่นเปนคนนั้น นี่เปนคนนี้ ซึ่งเรียกวาใหฉายาหรือมีฉายา มีใชทั้งภาษา
ไทยและภาษามคธ ในพากยมคธ เชน มหาปาโล นายปาละใหญ
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 5
จุลฺลปาโล นายปาละนอย กาฬุทายี พระอุทายีดํา โลลุทายี พระ-
อุทายีเลอะเปนตน ในพากยภาษาไทยเชน นายแดงใหญ นายแดงเล็ก
หรือนายแดงเกา นายแดงใหมเปนตน คําที่แสดงลักษณะเหลานี้
ลวนเปนเครื่องหมายคุณนามทั้งสิ้น.
คุณนามแบงเปน ๓
ตามธรรมดาสิ่งทั้งปวง ยอมมีคุณลักษณะประจําอยูทุกชนิด
ดังกลาวแลว แมจะมีเหมือนกันก็จริง แตก็ไมเสมอกันทั้งหมด ยอมมียิ่ง
และหยอนกวากัน ตัวอยาง พระ ก. ฉลาด พระ ข. ฉลาด พระ ค.
ก็ฉลาด เพียงเทานี้แสดงวาเปนพวกฉลาดดวยกัน แตก็ยังยิ่งและหยอน
สมมติวา พระ ก. เปนผูฉลาด แตพระ ข. ยังเฉียบแหลมยิ่งไปกวานั้น
ตองจัดใหพระ ข. เปนผูฉลาดกวาพระ ก. สวนพระ ค เปนผูฉลาดไม
มีตัวจับ คือหาผูเปรียบเสมอมิได เปนยอดเยี่ยมกวาทุก ๆ คน เชนนี้
พระ ค. ตองนับวาฉลาดกวาพระ ก. และพระ ข. จัดเปนฉลาดที่สุด
แมสิ่งของที่ไรวิญญาณก็เหมือนกัน ยอมมีลักษณะแตกตางกันเปนชั้น
สามัญชั้นกลางและดีเยี่ยม โดยอนุมานนี้จึงแบงคุณนามออกเปน ๓ ชั้น
คือ ปกติ ๑ วิเสส ๑ อติวิเสส ๑.
ปกตินั้น ไดแกคําคุณที่แสดงลักษณะสามัญ คือเปนลักษณะ
ธรรมดา ไมยิ่งไมหยอน ไมถึงกับเปนชั้นยอดเยี่ยม ไมมีอุปสัคและ
ปจจัยเพิ่มขางหนาหรือขางหลัง เชน ปณฺฑิโต เปนบัณฑิต ปฺวา
มีปญญา เปนตน.
วิเสสนั้น ไดแกคุณนามที่เปนชั้นปกตินั้นเอง แตมีคําวา "ยิ่ง"
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 6
หรือ "กวา" เพราะมีกําหนด. คําใดมี อติ (ยิ่ง ) อุปสัคนําหนาปกติบาง
มี ตร หรือ อิย อิยิสฺสก ปจจัยตอทายศัพทปกติบาง เชนคําวา
อติปณฺฑิโต เปนบัณฑิตยิ่ง ปณฺฑิตตโร เปนบัณฑิตกวา กนิโย
นอยกวา ปาปยิสฺสโก เปนบาปกวา ดังนี้ เมื่อพบศัพทดังกลาวนั้น
หรือศัพทอื่น ๆ ที่มีรูปเปนอยางเดียวกันกับศัพทเหลานี้ พึงเขาใจวา
ศัพทเหลานั้นเปนพวกวิเสส เพราะแปลกจากชั้นปกติสามัญ แตไมถึง
กับเลิศที่สุด.
อติวิเสสนั้น ไดแกคุณนามที่แสดงลักษณะดีหรือชั่วมากที่สุด
หรือนอยที่สุด เชนดีก็ดีอยางที่สุด ชั่วก็ชั่วอยางที่สุด ไมใชดีหรือชั่ว
ธรรมดา หรือยิ่งกวาสามัญเพียงเล็กนอย สังเกตตามภาษาไทยวา "เกิน
เปรียบ, ยิ่งนัก, ที่สุด" แนบอยูกับศัพทอันแสดงลักษณะนั้น. สังเกต
ตามภาษามคธมีอุปสัคและนิบาต คือ อติวิย (เกินเปรียบ) นําหนา
เชน อติวิยปณฺฑิโต เปนบัณฑิตเกินเปรียบ เปนบัณฑิตยิ่งนัก หรือมี
ตม. อิฏ. ปจจัยแนบหลัง เชน ปาปตโม เปนบาปที่สุด หีนตโม เลว
ที่สุด กนิฏโ นอยที่สุด ดําดังวามานี้ หรือที่ยังไมไดนํามากลาว แตมี
ลักษณะเชนนี้ พึงทราบวาเปนคุณนามชั้นอติวิเสสทั้งสิ้น.
อนึ่ง คุณนามที่ใชเปนคุณบทของนามนามหลายบท จะใชคุณนาม
เพียงบทเดียวก็ได ถาเรียงอยูใกลนามนามที่เปนลิงคใด พึงประกอบให
เหมือนนามนามที่เปนลิงคนั้น. ตัวอยาง อฺาตโก คหปติ วา คหปตานี
วา พอเจาเรือนก็ดี แมเจาเรือนก็ดี ผูมิใชญาติ (สิกขาบทที่ ๗ นิสสัคคิย)
อฺาตโก อยูใกล คหปติ ซึ่งเปน ปุ. แตเปนคุณของ คหปตานี ดวย.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 7
ถานามนามเปนเอกวจนะหลายบทแตรวมคุณกัน ก็ใชคุณนาม
บทเดียวเหมือนกัน แตมักประกอบคุณนามเปนพหุวจนะ ดังคําวา
เอกสฺมึ สมเย นาโถ โมคฺคลฺลานฺจ กสฺสป คิลาเน ทุกฺขิเต
ทิสฺวา โพชฺฌงฺเค สตฺต เทสยิ. ในสมัยหนึ่ง พระโลกนาถเจา ทรง
เห็นทานโมคคัลลานะและทานกัสสปะผูเปนไขไดทุกข จึงทรงแสดง
โพชฌงค ๗ ประการ. (สวดมนต. ๒๓) ในอุทาหรณทั้ง ๒ นั้นควร
สังเกตวา ถาบทนามนามมี วา ศัพทกํากับอยู มักประกอบบทวิเสสนะ
เปนเอกวจนะ ถามี จ ศัพทกํากับอยู มักประกอบบทวิเสสนะเปน
พหุวจนะ ดังอุทาหรณไดแสดงไวแลวนั้น.
สัพพนาม
คํานี้ไดแกนามที่เปนชื่อสําหรับใชแทนนามนาม ซึ่งออกชื่อมา
แลวขางตน เพื่อมิใหเปนการซ้ําซากในเมื่อประสงคจะพูดถึงอีก พึงดู
คําอธิบายที่วาดวยสัพพนามขางหนาเถิด ในที่นี้พึงกําหนดเนื้อความ
โดยยอ ๆ วา สัพพนามนั้นแบงออกเปน ๒ คือ ปุริสสัพพนาม ๑
วิเสสนสัพพนาม ๑, คําแทนชื่อคน, สัตว, ที่, สิ่งของ. โดยตรงเชน
เขา, เจา, ทาน, สู, เอง, มึง, ตามคําสูงและต่ํา จัดเปนปุริสสัพพนาม
คําแทนชื่อโดยความเปนบทวิเสสนะ คือแทนเพียงเพื่อใหรูความแน
นอนและไมแนนอน และเพื่อใหรูระยะใกลหรือไกล เชน ใด, นั้น,
อยางใดอยางหนึ่ง, อื่น, โนน, เปนตน จัดเปนวิเสสนสัพพนาม.
นามศัพทเนื่องถึงกัน
นามนาม คุณนาม และสัพพนาม ทั้ง ๓ นี้ ยอมเกี่ยวเนื่องถึงกัน
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 8
จะขาดเสียแตอยางใดอยางหนึ่งไมได เหมือนโตะ ๓ ขา จะมีเพียงขา
เดียวหรือ ๒ ขา ยอมตั้งใหตรงไมได แมนามศัพททั้ง ๓ ก็เหมือนกัน
จะมีแตนามนามอยางเดียว ก็ไมสําเร็จประโยชนสมมุงหมาย เพราะมี
แตเพียงชื่อหาไดมีลักษณะอาการวาเปนอยางไรไม จึงตองอาศัยนามที่
แสดงลักษณะ เพื่อใหรูวาดีชั่วอยางไร ซึ่งเรียกวาคุณนาม จะมีแต
นามนามกับคุณนามเทานั้น ก็ยังจัดวาเปนการบกพรองไมเพราะหู ใน
เมื่อจะตองออกชื่อบอย ๆ อาจทําใหเคอะเขินก็ได ดวยเหตุนี้ จึงตองมี
สัพพนามไวสําหรับแทนชื่อนามที่ไดออกชื่อมาแลวขางตน ในนาม
และสัพพนามจะเกิดขึ้นไมได นามนามนั้นเหมือนรางกายหรือวัตถุสิ่ง
ของ คุณนามและสัพพนามเหมือนเงา เมื่ออัตภาพรางกายเปนตนไมมี
เงาจะเกิดมีขึ้นไดอยางไร อนึ่ง ยามนามนี้ ยอมมีอํานาจบังคับใหคุณนาม
และสัพพนาม มีลิงค วจนะ วิภัตติ เสมอกับตนซึ่งเปนเจาของประโยค
แตนามนามนั้นอาจกลับเปนคุณหรือกิริยาก็ได ในเมื่อนําไปประกอบ
กับปจจัยบางตัว เชน สหายตา ความเปนแหงบุคคลผูเปนสหาย
ปุตฺติยติ ประพฤติเปนเพียงดังบุตร เปนตน ก็แลพึงสังเกตนามศัพทที่
เกี่ยวเนื่องกัน ดังตอไปนี้ :-
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 9
นามศัพท
เมื่อผูศึกษาเขาใจลักษณะของนามศัพททั้ง ๓ นี้แลว จะตอง
ทราบเครื่องประกอบของนามศัพทอีกตอไป เพราะลําพังแตนามศัพท
ยังใชการใหสําเร็จประโยชนไมได เปนเหมือนรูปหุนที่ขาดคนชัก รูป
หุนจะยักยายแสดงทาทางอยางไร ๆ ยอมเปนไปไมได ตอเมื่อมีคนชักจูง
ยักยายแสดงทาทางเปนเรื่องเปนราวได ถึงนามศัพทก็เหมือนกัน ถา
ขาดเครื่องประกอบแลว ยอมไมอาจยังประโยชนที่ตองการใหสําเร็จได
ตอเมื่อไดประดับดวยเครื่องประกอบ คือพรอมมูลดวยลิงค วจนะ
วิภัตติ แลว จึงเปนการยังประโยชนใหสําเร็จดวยดี.
ลิงค
ธรรมดาสิ่งทั้งปวงยอมมีเพศ คือเครื่องหมายประจําเสมอไป
การใชนามนามก็ดี คุณนามก็ดี สัพพนามก็ดี ในภาษามคธเนื่องดวยลิงค
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 10
โดยตรงคือนามนาม โดยออมคือคุณนามและสัพพนาม และตอง
ประกอบใหมีลิงคเปนอยางเดียวกันนามนาม ในภาษามคธทานแบง
คําพูดเปน ๓ ลิงค คือ ปุลิงค เครื่องหมายที่ไมใชเพศชายและเพศหญิง ๑.
ถึงจะจัดไวเปน ๓ ก็จริง แตถึงดังนั้น เมื่อวาโดยตนเคาแลว ก็มี
เปน ๒ คือ จัดตามกําเนิดอยาง ๑ จัดตามสมมติอยาง ๑. จัดตาม
กําเนิดนั้น ไดแกจัดตามธรรมชาติของภาวะเชน ปุริโส ชาย จัดเปน
ปุลิงค อิตฺถี หญิง จัดเปนอิตถีลิงค กุล สกุล จัดเปนนปุสกลิงค ที่
จัดตามสมมตินั้นคือจัดนอกธรรมชาติของสิ่งนั้นโดยความนิยมอยาง ๑
โดยการันตคือสระที่สุดศัพท ซึ่งขัดกับธรรมชาติอันเปนภาวะของตน
อยาง ๑ เชน ทาโร เมีย คําวาเมีย แทจริงเปนอิตถีลิงค แตสมมติ
ใหเปนปุลิงค ภูมิ แผนดิน ตามธรรมชาติตองเปนนปุสกลิงค เพราะไม
ใชเพศชายหรือหญิง แตสมมติใหเปนอิตถีลิงค แมศัพทอื่น ๆ ซึ่งมี
นัยเหมือนกัน พึงเขาใจตามที่ไดกลาวแลวขางตน. นามนามเปนลิงค
เดียว คือจะเปนลิงคใดลิงคหนึ่งในลิงคทั้ง ๓ เปนไดเฉพาะลิงคเดียว
ก็มี เปน ๒ ลิงค คือจะเปนปุลิงคหรือนปุสกลิงค แตจะเปนอิตถีลิงคไม
ไดก็มี มูลศัพทอันเดียวมีรูปอยางเดียวเปลี่ยนแตสระที่สุดแหงศัพทเปน
ได ๒ ลิงค คือจะเปนปุลิงคหรืออิตถีลิงคก็ได แตจะเปนนปุสกลิงคไม
ได (อุทาหรณตามแบบ) สวนคุณนามและสัพพนามเปนไดทั้ง ๓ ลิงค.
อนึ่ง มีบทบาลีซึ่งเปนคําของพระฎีกาจารย ในมังคลัตทีปนี
ภาค ๒ หนา ๔๒๙ วา ทีฆรชฺชุนา พนฺธ สกุณ วิย รชฺชุหตฺโถ
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 11
ปุริโส เทสนฺตร ตณฺหารชฺชุมา พนฺธ สตฺตสนฺตาน อภิสงฺขาโณ
ภวนฺตร เสิ อาตายาติ ภวเนตฺติ อภิสังขาร ยอมนําสันดานแหงสัตว
ที่ตนผูกไวดวยเชือกคือตัณหาไปสูภพอื่นดวยตัณหานั้น เหมือนบุรุษ
มีเชือกในมือ นํานกที่ตนผูกแลวดวยเชือยาวไปสูประเทศอื่น เหตุนั้น
ตัณหานั่นจึงชื่อวาภวเนตติ. จึงนาจะสันนิษฐานวาศัพทที่เปนลิงคโดย
กําเนิดจะไมสมมติใหเปนลิงคอื่นก็ได คือคงไวตามภาวะเดิม คําวา รชฺชุ
แทจริงก็เปนนปุสกลิงคโดยกําเนิด แตทานสมมติใหเปนอิตถีลิงค สวน
ในอุทาหรณที่ยกมานั้นสอใหเห็นวาหาเปนไปตามสมมติไม คือเปน
รชฺชุนา แจกตามแบบ นปุ. ยุกติอยางไรขอนักบาลีพิจารณาดูเถิด.
วจนะ
สิ่งทั้งปวงที่ผูพูดกลาวถึงมากบางนอยบางเปนธรรมดา เพื่อจะให
ผูฟงเขาใจเนื้อความและจํานวนมากนอย ทาจึงบัญญัติวจนะไวโดยทั่ว
ไปเปน ๒ เวนแตพวก ภควนฺตุ ศัพท แบงเปน ๓ วจนะ ดังกลาว
ขางหนา คําพูดที่มุงหมายเอาของสิ่งเดียวหรือบุคคลผูเดียว เรียกเอก-
วจนะ ถามุงหมายตรงกันขามคือหมายเอาของหลายสิ่งหรือบุคคลหลาย
คนตั้งแต ๒ ขึ้นไปเรียกวาพหุวจนะ เชน ปุริโส ชายคนเดียว เปน
เอกวจนะ ปุริสา ชายหลายคน เปนพหุวจนะ.
การกําหนดรูเอกวจนะและพหุวจนะนี้ ทานใหกําหนดที่สุดของ
ศัพท เพราะที่สุดศัพทนั้นจะบอกใหรูวาเปนวจนะอะไร แตมีศัพท
ที่ทําใหกําหนดยาก เพราะเอกวจนะกับพหุวจนะมีรูปเหมือนกัน เชน
เสฏี อาจเปนได ๒ วจนะ แตมีสังเกตเพื่อใหรูได คือใหกําหนด
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 12
ที่บทวิเสสนะและบทกิริยาอาขยาต หรือกิริยากิตกในประโยคนั้น ๆ
เชน โส เสฏี, เต เสฏี, เสฏี คจฺฉติ, เสฏี คจฺฉนฺติ,
เสฏี คโต, เสฏี คตา เปนตน ก็อาจทราบไดวาเปนวจนะอะไร
เพราะบทวิเสสนะก็ดี บทกิริยาอาขยาตหรือบทกิริยากิตกก็ดี ยอมเปน
เหมือนเครื่องสองวจนะใหชัดเจน ผูศึกษาพึงกําหนดใหดี.
ยังมีวจนะอีก ๒ ประเภท คือทฺวิวจนะและเทฺววจนะ ในวจนะ
ทั้ง ๒ นี้ มีความหมายตางกัน ทฺวิวจนะ หมายความวาสิ่งของหรือ
บุคคลที่พูดถึงนั้นมีเพียง ๒ ไมถึง ๓ แตไมใชเพียง ๑. คําวาเทฺววจนะ
หมายความวาศัพทที่จะแจกดวยวิภัตติเปนได ๒ วจนะคือทั้งเอกวจนะ
และพหุวจนะ เพราะบางศัพทเปนไดแตเอกวจนะ เปนพหุวจนะไมได
เชน อตฺต ศัพท เปนตัวอยาง บางศัพทเปนไดแสดงไวแลวนั้น เชน ปฺจ
เปนตน เชนเดียวกับคําที่วา ทฺวิลิงคเปนได ๒ ลิงค ไตรลิงคเปน
ได ๓ ลิงค.
วจนะนั้นมีลักษณะอาการคบลายสังขยา เพราะตางก็นับจําแนกมี
ความหมายในวัตถุสิ่งของหรือบุคคลใหรูจํานนวามีเทาไร แตวจนะที่
เปนพหุวจนะมีความหมายกวางกวาสังขยา เพราะตั้งแต ๒ ขึ้นไปเปน
พหุวจนะทั้งนั้น มิไดจํากัดจํานวนเทาไร สวนสังขยาแมจะมาก
สักเทาไร ก็มีกําหนดจํานวนวามีเทานั้นเทานี้ รวมความวาพหุวจนะมี
การนับโดยมิไดมีขอบเขตวาเทาไร สังขยามีขอบเขตวามีเทานั้นเทานี้
และวจนะนี้ที่ใชในนามศัพทเมื่อประกอบกับศัพทแลวเปนเครื่องหมาย
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 13
วิภัตติ สวนวจนะในอาขยาตยอมเปนเครื่องหมายบุรุษ อนึ่ง วจนะนั้น
ใชเปนเครื่องหมายความเคารพ เชนผูนอยจะพูดกับผูใหญแมคนเดียว
โดยความเคารพ ทานนิยมใหใชพหุวจนะ มีแตลิงคกับวจนะเทานั้น
ยังไมพอ ตองมีวิภุตติเขาประกอบ วิภัตตินั้นเปนเครื่องหมายใหรู
วจนะไดประการ ๑ นามศัพทจึงจะใชใหสําเร็จประโยชนไดดี.
วิภัตติ
ศัพทนี้ แปลวา แจกหรือจําแนกศัพทใหมีเนื้อความเนื่องถึงกัน
ตามภาษาที่มีทั่วไป ในประเภทศัพทที่ไมใชพวกอัพยยศัพท ลิงคก็ดี
วจนะก็ดี ตองอาศัยวิภัตติชวยอุปภัมภสําหรับกําหนด เพราะในปุลิงคฺ
อิตถีลิงค และนปุสกลิงค ตางก็มีวิธีแจกไมเหมือนกัน อนึ่ง วิภัตติกับ
อายตนิบาตคือคําตอก็หาเหมือนกันไม สิ. อ. โย. เปนตน เรียกวิภัตติ.
ซึ่ง, ดวย,แต, จาก, ของ, เพื่อ, เปนตน เรียกอายตนิบาต บรรดา
ศัพทประกอบดวยวิภัตติทุกเหลา จะมีอายตนิบาตทุกศัพทก็หาไม ตาม
ธรรมดาอายตนิบาตเนื่องจากวิภัตติแหงนามนามและปุริสสัพพนาม อัน
ไดแก ต, ตุมฺห, อมฺห. ศัพท โดยตรง หรือ กึ ศัพทบางคําเทานั้น
นอกจากนี้หามิไม เชนศัพทที่เปนปฐมาวิภัตติไมเนื่องดวยอายตนิบาต
เพราะเปนประธาน ที่เนื่องนั้นตั้งแตทุติยาวิภัตติเปนตนไป และที่ตอง
แปลอายตนิบาตในทุติยาวิภัตติเปนตนก็เฉพาะตัวนามนามและสัพพนาม
สวนคุณนามไมตองแปลออกชื่ออายตนิบาต แตถาคุณยามใชเพิ่มนามก็
ตองแปลดวย สวนปฐมาวิภัตติที่นิยมแปลวา อันวา เปนเพียงสํานวนใน
ภาษาไทยเหน็บเขามาเพื่อมิใหเคอะเขินเทานั้น หากจะไมมีก็ไมเปนการ
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 14
เสียหายอยางไร วิภัตตินั้นวาโดยหมวดมี ๒ หมวด คือ เอกวจนะหมวด ๑
พหุวจนะหมวด ๑ โดยหมูมี ๗ คือ ตั้งแตปฐมาวิภัตติจนถึงสัตตมี-
วิภัตติ.
อนึ่ง คําแปลวิภัตติในนามยังไมสิ้นเชิง เพราะในวากยสัมพันธ
ยังมีเพิ่มเติม เชนทุติยาวิภัตติแปลวา ยัง กะ เฉพาะ ไดอีก พึงดูใน
วายกสัมพันธนั้นเถิด ในวิภัตติ ๗ หมูนั้น ปฐมาวิภัตติยังแบงออกเปน
ลิงคัตถะ กัตตา และวุตตกรรม สําหรับประธานอยาง๑ อาลปนะ
คําสําหรับรองเรียกอยาง ๑ โดยวิธีสัมพันธ พึงรูวา อาลปนะ ก็ไมมี
อายตนิบาต แมเวลาแปลจะมีคําวา แนะ, ดูกอน, ขาแต. ก็เปนเพียง
สํานวนในภาษาไทยเทานั้น หากจะไมใชก็ไมเปนการเสียหายแตอยางใด
วิภัตตินั้นเรียงตามลําดับปูรณสังขยาวาที่ ๑ ที่ ๒ จนถึงที่ ๗ และมีคํา
ใชแทนซึ่งความหมายตรงกัน ดังนี้ :-
ที่ ๑ ปฐมาวิภัตติ = ปจจัตตวจนะ
" ๒ ทุติยา " = อุปโยควจนะ
" ๓ ตติยา " = กรณวจนะ
" ๔ จตุตถี " = สัมปทานวจนะ
" ๕ ปญจมี " = อปาทานวจนะ
" ๖ ฉัฏฐี " = สามีวจนะ
" ๗ สัตตมี " = ภุมมวจนะหรืออธิกรณวจนะ.
ในวากยสัมพันธแสดงถึงวิภัตติเหลานี้วาใชในอรรถตาง ๆ กัน
ผูตองกายทราบความพิสดารพึงตรวจดูในวากยสัมพันธนั้นเถิด.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 15
วิภัตตินามกับวิภัตติอาขยาตเหมือนกันโดยชื่อก็จริง แตมีความ
หมายตางกัน คือวิภัตตินามเมื่อลงที่ทายศัพทเปนเครื่องหมาย ลิงค
วจนะ และอายตนิบาต เพื่อบอกใหรูวาเปนลิงคอะไร วจนะอะไร
และจะใชอายตนิบาตไหนจะเหมาะกัน วิภัตติอาขยาย เมื่อลงที่ทายธาตุ
เปนเครื่องหมาย กาล บท วจนะ บุรุษ วาจก และปจจัย ทั้งนี้
เพื่อสองเนื้อความใหชัดเจนขึ้นกวาปกติ.
การันต
คํานี้ไดแกสระที่สุดอักษรหรือที่สุดศัพท คําวา อะ การันตคือ
สระที่ทายศัพทมีเสียงปรากฏเปน อะ เชน ปุริสะ กุละ เปนตน แม
คําวา อิ การันต จนถึง อู การันตก็นัยนี้ บาลีภาษานิยมวา สระ ตอง
อยูหลังพยัญชนะ ทําใหพยัญชนะตองออกเสียงไปตาม เวลาเขียนเปน
อักษรไทยทุกวันนี้ สระอะเมื่อลงทายพยัญชนะ ไมตองเขียนไว เปน
อันเขาใจกันไดวามีเสียง อะ อยาง ปุริสะ ก็คงมีสระอะอยูหลังนั่นเอง.
ในนามนามและคุณนามนั้นทานจัดการันตตามแบบที่ใชสาธารณะ
ทั่วไปมากนั้น ดังนี้ :-
ปุลิงคมีการันต ๕ คือ อ. อิ. อี. อุ. อู.
อิตถีลิงคมีการันต ๕ คือ อา. อิ. อี. อุ. อู.
นปูสกลิงคมีการันต ๓ คือ อ. อิ. อุ.
โค ศัพท ทานวาเปน โอ การันต ในปุลิงคและนปุลิงค ศัพท
ทั้งหลายวาดวยการันต พึงสังเกตการันตอันพองกันหรือพวกกติปยศัพท
ซึ่งมีการันตพองกันกับสาธารณาการันต พึงพิจารณาวาศัพทไหนเปน
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 16
ลิงคอะไรแจกตามแบบไหน เชน อินฺท ปภา อิทฺธิ หตฺถี มจฺจุ
จมู เหลานี้ ยอมมีวิธีแจกไมเหมือนกันดวยอํานาจลิงคและประเภท
ของศัพท เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นศัพทนั้น ๆ จงใครครวญใหดีวาเปน
ลิงคอะไร เมื่อทราบลิงคก็อาจทราบไดวาแจกตามแบบไหน วิธีแจก
และการเปลี่ยนแปลงวิภัตติในเวลาแจก ทานไดแสดงไวบริบูรณแลว
ผูศึกษาพึงสังเกตดูใหดี เพราะทานอธิบายไวขางทายของแบบแจกใน
การันตนั้น ๆ ถึงวิธีเปลี่ยนวาทําอยางไร เอาการันตคือสระที่สุดศัพท
กับตัววิภัตติเปนอยางไร ก็ชัดเจนทุกแหง เชน ปุริส มี อะ เปนที่สุด
รวบกับ สิ วิภัตติ ทานใหเอาเปน โอ [ อะ+สิ = เอ ] จึงเปน
ปุริโส แมตัวอื่น ๆ ก็เชนนั้น เชน อะ กับ โย ปฐมาวิภัตติเปน อา
[ อะ+ โย=อา ] อะ กับ โย ทุติยาวิภัตติเปน เอ [ อะ+ สิ =โอ ] จึงเปน
ปุริสา ปุริเส เปนตน แมวิภัตติอื่นการันตอื่นในไตรลิงคก็พึงเขาใจ
ตามนี้ โดยดูอธิบายทายแบบแจกในการันตทั้งปวงเถิด.
อิ อี การันตในอิตถีลิงคมีกลเม็ดอยูบาง อันผูศึกษาพึงสังเกต
ใหดี เชน นาริย, โพธิยล ทาสิย เปนตน ผูไมทันพิจารณา
อาจตอบวาเปนสัตตมีวิภัตติอยางเดียวเปนวิภัตติอื่นไมได แทจริงเปน
วิภัตติอื่นก็ได คือเปนทุติยาวิภัตติ ทานใหอุทาหรณไววา ตเถว
ตฺว มหาวีร พุชฺฌสฺสุ ชินโพธิย ขาแตพระมหาวีระ ขอพระองค
จงตรัสรูซึ่งโพธิญาณของพระชินะอยางนั้นทีเดียว จะเห็นไดวา ชินโพธิย
เปนทุติยาวิภัตติ หาใชสัตตมีวิภัตติไม แมศัพทอื่น ๆ ที่ไดยกขึ้น
กลาวแลวก็พึงทราบโดยนัยนี้ ในคัมภีรมูลกัจจายนะ๑
ใหคําอธิบายวา
๑. มูลกจฺจายน. สูตรที่ ๑๒๓. หนา ๒๒๔.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 17
เพราะเอา อ วิภัตติเปน ย จึงสําเร็จรูปเปนเชนนั้น ดังสูตรที่มานั้นวา
อ ยมีโต ปสฺาโต แตหนา อี อันชื่อ ป. เอา อ วิภัตติ
เปน ย ได.
ขอควรสังเกต
การันต วิภัตติ วจนะ มีรูปเหมือนกันก็มี เชน อิ อี อุ อู
ในปุลิงคและอิตถีลิงคตางมีดวยกัน หรือ อ อิ อุ ในนปุสกลิงค
ก็ซ้ํากับปุลิงคทั้งหมด และซ้ํากับอิตถีลิงคบางตัว ขอนี้เมื่อแจกวิภิตติ
แลว ก็มีรูปตางกันออกไปบางเหมือนกันบาง ที่มีรูปตางกัน เปนอัน
เขาใจไดวาเปนการันตในลิงคไหน แตที่มีรูปเหมือนกันควรสังเกต
ศัพทที่เนื่องกันคือคุณนามและวิเสสนะ ถามีกิริยากิตกอยูดวยก็สังเกต
งายขึ้น เพราะกิริยากิตกมี อะ เปนที่สุดโดยมาก เชน กโรนฺต เมื่อ
จะใหเปนปุลิงค ก็เปน กโรนฺโต อิตถีลิงคเปน กโรนฺตี นปุสกลิงค
เปน กโรนฺต นี้แจกดวยปฐมาวิภัตติ เมื่อศัพทนามนามที่มีการันต
เหมือนกันใน ๓ ลิงคเปนปฐมาวิภัตติ เอกวจนะซึ่งมีรูปเหมือนกัน
เชนปุลิงค มุนิ อิตถีลิงค รตฺติ นปุสกลิงค อกฺขิ เมื่อเราเห็นศัพท
เหลานี้แลว ควรสังเกตถึงศัพทคุณนามหรือกิริยากิตก เชนที่ลง อนฺต
ปจจัย ปุลิงคปฐมาวิภัตติเปน อนฺโต เชน กโรนฺโต อิตถีลิงค เปน
อนฺตี เชน กโรนฺตี นปุสกลิงคเปน อนฺต เชน กโรนต เปนตน
หรือจะสังเกตที่สัพพนามก็ได ถามีอยู เพราะสัพพนามมีวิธีแจกวิภัตติ
ในลิงคทั้ง ๓ ตางกัน เฉพาะ ตุมฺห อมฺห เทานั้นที่เปนปุลิงค อิตถี-
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 18
ลิงคแจกอยางเดียวกัน สวนสัพพนามอื่น ๆ มีแบบแจกประจําใหลิงค
เหลานั้น ในประเทศที่มีสัพพนามอยูดวย เปนการงายตอการสันนิษฐาน
ลงไปวาเปนลิงคใดแน เชนมีสัพพนามอยูวา เอโส เอสา เอต ๓ คํานี้
ก็เปนการบอกชัดอยูแลววา เปนลิงคอะไร เอโส เปนปุลิงค ถาเปน
วิเสสนะของศัพทที่มีอิการันตเชน เอโส สมาธิ เราจะรูวา สมาธิ
เปนปุลิงค เพราะ เอโส สัพพนามเปนเครื่องบอก และเมื่อเห็นศัพท
วา ชลฺลิ เปนอิตถีลิงค ในนปุสกลิงคก็เชนเดียวกัน เชน
เอต อกฺขิ เปนตน แมในวิภัตติอื่น ๆ ก็พึงสังเกตตามลิงคโดยวิธีนี้
ก็จะรูไดวาการันตนั้นเปนการันตของลิงคอะไรแน.
สวนวิภัตติ เวลาแจกแลวในลิงคเดียวกันพองกันบาง เชนจุตตถี
ฉัฏฐีวิภัตติ ขอนี้สังเกตอายตนิบาตประจําวิภัตตินั้น ๆ วาอยางไหน
จะเหมาะสมกวา แลวก็แปลอยางวิภัตตินั้น สวนที่ตางลิงคมีรูปเหมือน
กันบาง เชน ปุริสาย กับ กฺาย สุขาย เหลานี้มีรูปเหมือนกัน ขอนี้
เราตองสังเกตและอาศัยความจําหมายไว ในเมื่อพบศัพทเหลานี้ในที่
อื่น ๆ คือเปนวิภัตติอื่นอยู วามีรูปเปนอะไร เปนลิงคใดแน แลวนํา
มาสันนิษฐานขึ้นขาดในที่นี้วา ปุริสาย เปนปุลิงค เปนจตุตถีวิภัตติ
เพราะเอาอะที่สุดของ ปุริส กับ ส จตุตถวีภัตติเปน อาย จึงเปนเชน
นั้น สุขาย ก็เปลี่ยนเชนนั้นเหมือนกัน แต สุข ศัพทเปนปุสกลิงค
เพราะในที่อื่นมีปรากฏอยูดื่นดาด วา สุข สวน กฺาย ยอมรูจาก
ที่มาแหงอื่นวาเปนอิตถีลิงคโดยกําเนิดวาเปน อา การันต อีกอยาง
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 19
หนึ่ง วิธีสังเกตศัพททั้ง ๓ นี้ ถามี คุณนาม สัพพนาม และกิริยา-
กิตกอยูดวยก็จะเขาใจไดงายขึ้น วาเปนลิงคอะไรแน เพราะศัพท
เหลานี้มีแบบแจกคงเดิม.
อนึ่ง ในปุลิงค อิ อี อารันต ปฐมาวิภัตติ และทุติยาวิภัตติ
พหุวจนะ กับจตุตถีวิภัตติ และฉัฏฐีวิภัตติ เอกวจนะ มักมีรูป
เหมือนกัน เชน เสฏิโน เปนตน ขอนี้ก็มีสิ่งควรสังเกตอยูบาง
คือ คุณนาม สัพพนาม กิริยากิตก มักจะประกอบวิภัตติไดใหเห็น
ปรากฏอยูวาเปนวิภัตติอะไรแน เชน เต เสฏฐิโน หรือ เสฏิโน
กโรนฺตา อยางนี้เปนปฐมาวิภัตติพหุวจนะ ถาเปน เสฏิโน กโรนฺเตฃ
ก็เปนทุติยาวิภัตติพหุวจนะ ถาเปน ตสฺส เสฏิโน หรือ เสฏิโน
กโรนฺตสฺส อยางนี้เปนจตุตถีหรือฉัฏฐีวิภัตติเอกวจนะ ทีนี้จะทราบวา
เปนจตุตถีหรือฉัฏฐีวิภัตติแน ก็ตองอาศัยคําตอของศัพท คืออายตนิบาต
จึงจะเขาใจไดดี วาเปนวิภัตติอะไรแน ถาทางสัมพันธเนื่องกับกิริยา
ก็คงเปนจตุตวิภัตติ ถาเนื่องดวยนามเปนฉัฏฐีวิภัตติ นี้เปนของควร
สังเกตเรื่องจตุตถีกับฉัฏฐีวิภัตติ วาจะเปนอยางไหนแน ตองอาศัยทาง
สัมพันธเปนหลักดวย เรื่องการกําหนด การันต ลิงค วจนะ วิภัตติ
จะแมนยําชํานาญตองอาศัยหลักดังกลาวแลว คือความที่ศัพทเกี่ยวเนื่อง
กันโดยเปน คุณนาม สัพพนาม และกิริยา ตางก็มีรูปและวิธีใชเปน
รูปเดียวกัน เปนเครื่องยืนยันกันไปในตัวเสร็จแลว เมื่อนักศึกษาแปล
และอานหนังสือมากเขา ความชํานาญในเรื่องนี้ คอยทวีมากขึ้นโดย
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 20
ลําดับ ในเบื้องตนไมตองหนักใจวาเปนของยากเลย เพราะความรู
ความเขาในก็คอยมีขึ้นเอง ดวยอาศัยความจดจําสังเกตไปทุกระยะที่ได
ศึกษาเลาเรียนนั้น.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 21
อธิบายนามตอนปลาย
พระจันทร โกสโล ป.ธ. ๕ วัดราชาธิวาส
เรียบเรียง
กติปยศัพท
ศัพทที่จะกลาวตอไปนี้เรียกวา "กติปยศัพท" แปลวา ศัพท
เล็กนอย หรือ "ปกิณณกศัพท" แปลวาศัพทเรี่ยราด ที่เรียกอยางนั้น
เพราะบางพวกก็มีวิธีแจกเฉพาะตน ๆ ศัพทเดียว ไมมีวิธีแจกทั่วไปใน
ศัพทอื่น ซึ่งไดกลาวไวแลวในนามทั้ง ๓ บางพวกก็มีวิธีแจกใชได
ในศัพทอื่นไดบางเล็กนอยไมมากนัก. กติปยศัพท ทานจัดไวใน
บาลีไวยากรณมีเพียง ๑๒ ศัพท คือ อตฺต, พฺรหมฺ, ราช, ภควนฺตุ,
อรหนฺต, ภวนฺต, สตฺถุ, ปตุ, มาตุ, มน, กมฺม, โค.
บรรดาศัพทเหลานี้ บางศัพทก็เปนลิงคเดียว บางศัพทก็เปน
สองลิงค ในที่นี้จะแสดงแบบที่ไมเหมือนกันแบบซึ่งแจกแลวขางตน
เทานั้น ศัพทใดที่เปน ๒ ลิงค แจกไวแตลิงคเดียว พึงเขาใจเถิดวา
อีกลิงคหนึ่งแจกตามการันตที่มีมาแลวในลิงคทั้ง ๓ เหมือนหนึ่ง ราช
ศัพทเปน ๒ ลิงค จะแจกแตแบบที่เปนปุลิงค แบบที่เปนอิตถีลิงคจะ
ไมแจก เพราะ ราช ศัพทในอิตถีงลิงคเปน ราชินี มีวิธีแจกเหมือน อี
การันตในอิตถีลิงคขางตน.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 22
อตฺต (ตน) เปนปุ. แจกอยางนี้
ป. อตฺตา เอา อะ กับ สิ เปน อา แปลวา อันวา ตน
ซึ่ง ตน
ท. อตฺตาน เอา อะ กับ อ เปน อาน แปลวา สู ตน
ยัง ตน
สิ้น ตน
ดวย ตน
โดย ตน
ต. อตฺตนา คงนาไว แปลวา อัน ตน
ตาม ตน
มี ตน
แก ตน
จ. อตฺตโน แปลง ส เปน โน แปลวา เพื่อ ตน
ตอ ตน
แต ตน
ปฺ. อตฺตมา แปลง สฺมา เปน นา แปลวา จาก ตน
กวา ตน
เหตุ ตน
แหง ตน
ฉ. อตฺตโน แปลง ส เปน โน แปลวา ของ ตน
เมื่อ ตน
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 23
ใน ตน
ใกล ตน
ส. อตฺตนิ แปลง สมึ เปน นิ แปลวา ที่ ตน
ครั้นเมื่อ ตน
ในเพราะ ตน
แนะ ตน
อา. อตฺต ลบ สิ เสีย แปลวา ดูกอน ตน
ขาแต ตน
คําแปลอายตนิบาตในบทอื่น ๆ จะไมแปลไว ใหนักศึกษาพึง
เทียบตามนี้.
อตฺต ศัพทนี้เปนเอกวจนะอยางเดียว เมื่อถึงคราวใชเปนพหุ-
วจนะ ตองวาซ้ํากันสองหน หรือเรียกศัพทไวสองศัพท เชนคําวา
อตฺตา อตฺตา แปลวา อันวาตน ๆ ดังนี้ ใชเปนบทประธานของ
กิริยาที่เปนพหุวจนะได แมวิภัตติอื่นก็เหมือนกัน เชนคําวา อตฺตโน
อตฺตโน แปลวา ของตน ๆ อนึ่ง ที่ทานบัญญัติใหวาซ้ํากันสองหน
เชนนั้น ก็เพื่อตองการจะใหเนื้อความหนักแนนเขา หรือเปนเครื่อง
หมายใหรูจํานวนมากก็ได อตฺต ถาคงไวอยางนี้ ก็มีวิธีแจกไดเฉพาะ
ตามที่ปรากฏในแบบนี้เทานั้น ผูแรกศึกษาควรจะวิธีเปลี่ยนวิภัตติและ
การันตใหแมนยํา เพื่อจะไดยึดเปนหลักใหมั่นคง.
อตฺต ยังมี สย ใชแทน แตแปลงเปน สก หรือ ส ได เมื่อ
แปลงแลวนําไปแจกตามแบบ อ การันตในปุลิงคได ใชไดทั้งสอง
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 24
วจนะในวิภัตติทั้ง ๗ หมวด เชน เสหิ แปลวา ของตน ไดในคาถา
ธรรมบทวา เสหิ กมฺเมหิ ทุมฺเมโธ อคฺคิทฑฺโฒว ตปฺปติ คนมี
ปญญาทรามยอมเดือดรอน ดุจถูกไฟไหม เพราะกรรมของตน ดังนี้
แปลงเปน สก ก็มี เมื่อแปลงแลวแจกตามแบบ อ การันตในปุลิงค
ใชไดทั้งสองวจนะดวย สก ที่แปลงมาจาก สย มีที่ใชมากกวา ส.
อตฺต ศัพทนี้มีอยูตามลําพัง ตองแจกอยางศัพทพิเศษดังปรากฏในแบบ
เมื่อเขาสมาสกับศัพทอื่นแลวตองแจกตามแบบ อ การันตในปุลิงค
โดยมาก.
อตฺต ส สก ทั้งสามนี้แปลวาตนเหมือนกัน แตนําไปใชในที่
ตางกันกวางแคบกวากัน อตฺต โดยมากใชเปนบทนามนาม คือเพียง
เปนบทประธานเทานั้น ถึงคราวใชเปน วิกติกตฺตา ก็ใชอยางนามนาม
ไมมีผิดอะไร สวน ส หรือ สก นั้น โดยมากใชเปนบทคุณ เพื่อ
แสดงลักษณะของนามไวราบรัดเขา คือแสดงวา ของสิ่งนั้นตองเปน
ของตนจริง ๆ เมื่อแสดงลักษณะของนามนามบทใด ก็ตองลิงค วจนะ
วิภัตติ เสมอกันกับนามผูเปนเจาของทุกแหงไป.
อตฺต เมื่อติดตอศัพทอื่น ทานใหแปลง ต ที่สุดศัพทเปน ร
สําเร็จรูป อตฺร เชน อตฺรโช แปลวา อันวาบุตรเกิดในตน หรือ
อตฺรช เกิดในตน ทั้งนี้ปรากฏอยูในคาถาธรรมบท ภาค ๖ หนา ๑๙
วา อตฺตนา หิ กต ปาป อตฺรช อตฺตสมฺภว, อภิมตฺภติ ทุมฺเมธ,
วชิร วมฺหย มณึ, ดังนี้เปนหลักอาง.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 25
อตฺต ศัพทนี้ โดยตรงใชแทน กตฺตา ใชเปนคําแทนชื่อของ
คนเหมือนกันสัพพนาม พูดปรารภขึ้นเฉย ๆ โดยไมกลาวถึงมากอน เชน
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนแลเปนที่พึ่งของตน หรืออาจใช
แทน กตฺตา โดยปรารภมากอนก็ได เชนวา ขาพเจาบําเพ็ญประโยชน
ของตนแลว จึงจะบําเพ็ญประโยชนของผูอื่นดังนี้ คําวาของตน เปน
คําแทนชื่อของ กตฺตา ดุจ อมฺห ศัพทในสัพพนาม คือขาพเจา
ดังนี้.
ขอควรจําใน อตฺต ศัพท คือ
๑. เปนไดเฉพาะเอกวจนะอยางเดียว.
๒. เมื่อถึงคราวจําเปนใชเปนพหุวจนะ ตองวาควบกับสองหน
เชน อตฺตโน อตฺตโน แปลวา ของตน ๆ ดังนี้.
๓. ยังมี สย ซึ่งแปลเปน ส หรือ สก ได เมื่อแปลแลวนํา
ไปแจกตามแบบ อ การันตในปุลิงค และเปนไดทั้งสองวจนะ ใช
เปนบทคุณ คือวิเสสนะของบทอื่น ใชแทน อตฺต ศัพท.
พฺรหฺม (พรหม) เปน ปุลิงคแจกอยางนี้
เอก. พหุ.
ป. พฺรหฺมา เอา อะ ที่สุดแหง พฺรหฺมาโน เอา อะ กับ โย เปน
พฺรหฺม กับ สิ อาโน
เปน อา
ทุ. พฺรหฺมาน เอา อะ กับ อ พฺรหฺมาโน เอา อะ กับ โย เปน
เปน อาน อาโน
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 26
พหุ.
ต. พฺรหฺมุนา เอา อะ เปน อุ พฺรหฺเมหิ เอา อะ เปน เอ คง
แลวคง นา ไว หิ ไว
พฺรหฺเมภิ เอา อะ เปน เอ
แปลง หิ เปน ภิ
จ. พฺรหฺมุโน เอา อะ เปน อุ พฺรหฺเมน ทีฆะ อะ เปน อา
แลวแปลง ส แลวคง น ไว
เปน โน
ปฺ. พฺรหฺมุนา เอา อะ เปน อุ พฺรมฺเมหิ เอา อะ เปน เอ คงหิไว
แลวแปลง สฺมา พฺพหฺเมภิ เอา อะ เปน เอ
เปน นา แปลง หิ เปน ภิ
ฉ. พฺรหฺมุโน เอา อะ เปน อุ พฺรหฺมาน ทีฆะ อะ เปน อา
แลวแปลง ส เปน แลวคง น ไว
โน
ส. พฺรหฺมนิ แปลง สฺมึ เปน พฺรหฺเมสุ เอา อะ เปน เอ คน
นิ สุ ไว
อา. พฺรหฺเม เอา สิ อา. เอก- พฺรหฺมาโน เอา อะ กับ โย เปน
วจนะ เปน อา อาโน.
ขอควรจําใน พฺรหฺม ศัพท คือ
๑. แมในศัพทอื่น ๆ สฺมึ วิภัตติ ก็แปลงเปน นิ ได เชนคําวา
จมฺมนิ ในหนัง มุทฺธนิ บนยอด เปนตน.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 27
๒. นา, ส, สฺมา, ส วิภัตติ ๔ ตัวนี้ เมื่อลงแลวตองเอา อะ ที่
สุดแหง พฺรหฺม เปน อุ เสมอไป เฉพาะ ส วิภัตติ ถาไมแปลง
เปน โน ไมตองเอา อะ เปน อุ.
๓. แมมีศัพทอื่นนําหนา เชน "มหาพฺรหฺม" ก็คงแจกอยางนี้
และโดยกําเนิดทานวาเปนชายสิ้น จึงเปน ปุลิงค ไดอยางเดียว.
ราช (พระราช) เปน ทฺวิลิงค ในปุงลิงค แจกอยางนี้
เอก. พหุ.
ป. ราชา เอา อะ กับ สิ เปน ราชาโน เอา อะ กับ โย เปน
อา อาโน
ทุ. ราชาน เอา อะ กับ อ เปน ราชาโน เอา อะ กับ โย เปน
อาน อาโน
ต. รฺา เอา ราช กับ นา เปน ราชูหิ เอา อะ ที่ ราช เปน อุ
รฺา แลวทีฆะ อุ เปน อู
คง หิ ไว
ราชูภิ เอา อะ ที่ ราช เปน อุ
แลวทีฆะ อุ เปน อู
แปลง หิ เปน ภิ
จ. รฺโ ราชิโน เอา ราช รฺ เอา ราช กับ น เปน
กับ ส เปน รฺโ รฺ
ราชิโน ราชูน เอา อะ ที่ราชเปน อุ แลว
ทีฆะ อุ เปน อู คง น ไว
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 28
เอก พหุ.
ปฺ. รฺา เอา ราช กับ สฺมา ราชูหิ เอา อะ ที่ ราช เปน อุ
เปน รฺา แลวทีฆะ อุ เปน อู
คง หิ ไว
ราชูภิ เอา อะ ที่ ราช เปน อุ
แลวทีฆะ อุ เปน อู
แปลง หิ เปน ภิ
ฉ. รฺโ ราชิโน เอา ราช รฺ เอา ราช กับ น เปน
กับ ส เปน รฺโ รฺ
ราชิโน ราชูน เอา อะ ที่ ราช เปน อุ
แลวทีฆะ อุ เปน อู คง
น ไว
ส. รฺเ ราชินิ เอา ราช กับ ราชูสุ เอา อะ ที่ ราช เปน อุ
สฺมึ เปน รฺเ ราชินิ แลวทีฆะ อุ เปน อู คง
สุ ไว
อา. ราช ลบ สิ เสีย ราชาโน เอา อะ กับ โย เปน อาโน
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 29
ศัพทสมาสที่มีราชศัพทเปนที่สุดเหมือนราชา แจกอยางนี้ก็ได
เอก. พหุ.
ป. มหาราช เอา อะ กับ สิ มหาราชโร๑
เอา อะ กับ โย
เปน อาโน
ทุ. มหาราช อ คงไว มหาราเช เอา อะ กับ โย
เปน เอ
ต. มหาราเชน เอา อะ กับ นา มหาราเชหิ เอา อะ เปน เอ
เปน เอน คง หิ ไว
มหาราเชภิ เอา อะ เปน เอ
แปลง หิ เปน ภิ
จ. มหาราชสฺส เอา ส เปน สฺส มหาราชาน น อยูหลัง ทีฆะ
มหาราชาย เอา ส เปน อาย อะ เปน อา คง
มหาราชตฺถ เอา ส เปน ตฺถ น ไว
ปฺ. มหาราชสฺมา คง สฺมา ไว มหาราชเหิ }(เหมือน ต. พหุ.)
มหาราชมฺหา แปลง สฺมา เปน มหาราเชภิ
มฺหา
มหาราชมฺหา แปลง สฺมา เปนอา
ฉ. มหาราชสฺส แปลง ส เปน มหาราชน (เหมือน จ. พหุ.)
สฺส
๑. เปน มหาราชา ก็มี เชน จตฺตาโร เต มหาราช.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 30
เอก. พหุ.
ส. มหาราชสฺมึ คง สฺมึ ไว มหาราเชสุ เอา อะ ที่ มหาราช
มหาราชมฺหิ แปลง สฺมึ เปน เปน เอ แลวคง สุ
มฺหิ ไว
มหาราเช แปลง สฺมึ เปน เอ
อา. มหาราช ลบ สิ เสีย มหาราชาโน (เหมือน ป. พหุ.)
ศัพทเหลานี้แจกเหมือนมหาราช
๑. อนุราช พระราชานอย ๕. เทวราช เทวดาผูพระราชา
๒. อภิราช พระราชายิ่ง ๖. นาคราช นาคผูพระราชา
๓. อุปราช อุปราช ๗. มิคราช เนื้อผูพระราชา
๔. จกฺกวตฺติราช พระราชาจักร- ๘. สุปณฺณณาช ครุฑผูพระราชา
พรรดิ ๙. หสราช หงสผูพระราชา
ราช ศัพท เมื่อเขาสมาสกับศัพทอื่นแลว มีวิธีแจกอยางเดียว
กับ อะ การันตในปุลิงค จะตางกันอยูบางก็แตปฐมาวิภัตติ เอก. เปน
มหาราชา. พหุ. เปน มหาราชโน. อาลปนะ พหุ. มหาราชโน
ที่ตางจาก อะ การันตในปุลิงคเชนนั้น ก็เพราะมีวิธีแจกอยางเดียวกับ
ราช ศัพท นอกนั้นก็เหมือน อะ การันตในปุลิงคทั้งสิ้น. ราช ศัพท ถึง
เขาสมาสแลวก็ตาม จะแจกเหมือนวิธีแจกใน ราช ศัพท ทุกวิภัตติ
ก็ได ทั้งนี้ดวยอิงหลักวิธีแจกใน ราช ศัพท นั่นเอง.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 31
ขอควรจําใน มหาราช ศัพท
๑. ศัพทที่จะนํามาแจกอยาง มหาราช ศัพทได ศัพทนั้นตอง
เปนศัพทสมาส.
๒. ศัพทสมาสนั้นนํามาแจกไว เฉพาะวิเสสนบุพพบท และ
วิเสสนุตตรบท กัมมธารยสมาสเทานั้น นอกนั้นนํามาแจกไมไดเลย.
ภควนฺตุ เปนปุลิงคอยางเดียว แจกอยางนี้
เอก. พหุ.
ป. ภควา เอา นฺตุ กับ สิ ภควนฺตา เอา นฺตุ เปน นฺต
เปน อา เอา โย เปน อา
ภควนฺตา เอา นฺตุ เปน นฺต
เอา โย เปน โอ
ทุ. ภควนฺต เอา นฺตุ เปน นฺต ภควนฺเต เอา นฺตุ เปน นฺต
อ คง อ เอา โย เปน โอ
ภควนฺโต เอา นฺตุ เปน นฺต
เอา โย เปน โอ
ต. ภควตา เอา นฺตุ กับ นา ภควนฺเตหิ เอา นฺตุ เปน นฺต
เปน ตา เอา อะ เปน เอ
แลวคง หิ ไว
ภควนฺเตภิ เอา นฺตุ เปน นฺต
เอา อะ เปน เอ
แปลง หิ เปน ภิ
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 32
เอก. พหุ.
จ. ภควโต เอา นฺตุ กับ ส ภควต เอา นฺตุ กับ น เปน ต
เปน โต ภควนฺตาน เอา นฺตุ เปน นฺต น
อยูหลังทีฆะ อะ เปน
อา คง น ไว
ปฺ. ภควตา เอา นฺตุ กับ สุมา ภควนฺเตหิ
เปน ตา ภควนฺเตภิ (เหมือน ต. พหุ.)
ฉ. ภควโต เอา นฺตุ กับ ส ภควนฺเตสุ เอา นฺตุ เปน นฺต
เปน ติ เอา อะ เปน เอ
คง สุ ไว
อา. ภคว เอา นฺตุ กับ สิ ภควนฺตา
เปน อะ ภควนฺโต (เหมือน ป. พหุ.)
ภควา เอา นฺตุ กับ สิ
เปน อา
ศัพทเหลานี้แจกเหมือน ภควนฺตุ
๑. อายสฺมนฺตุ คนมีอายุ ๔. ชุติมนฺตุ คนมีความโพลง
๒. คุณวนฺตุ คนมีอายุ ๕. ธนวนฺตุ คนมีทรัพย
๓. จกฺขุมนฺตุ คนมีจักษุ ๖. ธิติมนฺตุ คนมีปญญา
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 33
๗. ปฺวนฺตุ คนมีปญญา ๙. พนฺธุมนฺตุ คนมีพวกพอง
๘. ปุฺวนฺตุ คนมีบุญ ๑๐. สติมฺนตุ คนมีสติ
คําวา ภควนฺตา ภควนฺเต ภควนฺโต นั้น มีวิธีใชไมเหมือน
กัน ภควนฺตา ภควนฺเต ใชเปนทฺวิวจนะ สําหรับกลาวถึงคน ๒ คน
ภควนฺโต ใชเปนพหุวจนะ สําหรับกลาวถึงคนมากตั้งแต ๓ ขึ้นไป
ภควนฺตุ ศัพทนี้ทานใชเฉพาะแตปุลิงคอยางเดียว ไมใชในอิตถีลิงค
และนปุสกลิงค. ตามรูปศัพทก็นาจะเปนคุณนาม แจกไดทั้ง ๓ ลิงค
ที่ไมเปนเชนนั้น ก็เพราะ ภควนฺตุ ศัพทนี้ ใชเปนบทแสดงพระ
เกียรติคุณของพระพุทธเจา ซึ่งเปนปุลิงคอยางเดียว จึงไมใชทั่วไป
ในลิงคอื่นซึ่งเปนการลักลั่น ทานจึงจัดเปนบทนามนาม สําหรับ
เปนพระนามของพระพุทธเจา ที่ใชเปนบทแสดงลักษณะของผูอื่น
มีนอย.
ศัพทอื่นนอกจากนี้ มี คุณวนฺตุ ศัพทเปนตน จัดเปนคุณนาม
แท แจกไดทั้ง ๓ ลิงค เฉพาะปุลิงคแจกเหมือน ภควนฺตุ สวน
ลิงคอื่นจะยก คุณวนฺตุ เปนตัวอยาง อิตถีลิงคลง อี ปจจัย เปน
เครื่องหมาย เปน คุณวนฺตี เสร็จแลวนําไปแจกอยางเดียวกับ อี
การันต (นารี) ในอิตถีลิงคทุก ๆ วิภัตติ สวนปุสกลิงคมีแปลก
อยูบางก็คือ ป. เอก. เปน คุณว คุณวนฺต อา. เอก เปน คุณว,
ป.ทุ อา. พหุ. เปน คุณวนฺตานิ นอกนั้นแจกเหมือน ภควนฺตุ ทั้งสิ้น
ที่เปน คุณว เพราะเอา นฺตุ กับ สิ เปน อ. คุณวนฺต เพราะเอา นฺตุ
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 34
เปน นฺต แลวเอา อะ กับ สิ เปน อ. คุณวนฺตานิ เอา นฺตุ เปน นฺต
แลวแปลง โย เปน อานิ นอกจากนี้แจกเหมือน ภควนฺตุ.
อายสฺมนฺตุ ใชเปนไดทั้งบทคุณและนาม ซึ่งเปนคําแทนชื่อ
ดุจ ตุมฺห ศัพท ที่เปนบทคุณแดสงลักษณะของนาม เชน อายสฺมา
อานนฺโท พระอานนทผูมีอายุ ถาใชเปนคําแทนชื่อของนาม ดุจ ตุมฺห
ศัพท เชน อายสฺมา อันวาทานผูมีอายุ ตรงกับภาษาไทยวา ทาน
เพราะฉะนั้น ในบาลีไวยากรณจึงเวน อายสฺมนตุ เสีย ยกเอา
คุณวนฺตุ เปนตัวอยาง.
ขอควรจําใน ภควนฺต ศัพท
๑. ศัพทที่นํามาแจกตาม ภควนฺตุ ได ศัพทนั้นตองประกอบ
ดวย วนฺตุ, มนฺตุ และ อิมนฺต, ตวนฺตุ ปจจัย นอกจากที่กลาว
นี้นํามาแจกตามไมได. เฉพาะ วนฺตุ และ มนฺตุ ปจจัย ใชประกอบ
กับศัพทตางกัน คือ วนฺตุ ใชประกอบกับศัพทที่เปน อ การันต,
มนฺตุ ใชประกอบกับศัพทที่เปน อิ การันต หรือ อุ การันต.
๒. ภควนฺตุ เปนไดเฉพาะปุลิงคอยางเดียว.
๓. ฝายพหุวจนะ ถามีคําวา ตา หรือ เต อยูทายศัพท เชน
คําวา ภควนฺตา, ภควนฺเต ใชเปนทฺวิวจนะ. สวน ภควนฺโต และ
ที่นอกจาก ภควนฺตา, ภควนฺเต ใชเปนพหุวจนะทั้งนั้น.
อรหนฺต (พระอรหันต ) เปนทฺวิลิงค ในปุลิงคแจกเหมือน
ภควนฺตุ แปลกแต ป. เอก. เปน อรหา, อรห เทานั้น. อิตถีลิงค
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 35
ลง อี ปจจัย เปนเครื่องหมายที่ทายศัพท เปน อรหนฺตี แจกอยาง
อี การันต (นารี) ในอิตถีลิงคง อรหา เอา นฺต กับ สิ เปน อา
อรห เอา นฺต กับ สิ เปน อ. ศัพทที่มี นฺต เปนที่สุด ซึ่งเปนศัพท
คุณนาม เชน มหนฺต จะนํามาแจกตามแบบนี้ก็ได แตไมทั่วไป
ทุกวิภัตติ. ถาเปนศัพทนามนาม เชน กมฺมนฺต จะนํามาแจกตาม
แบบนี้ไมไดเลย
ภวนฺต (ผูเจริญ) เปนทฺวิลิงค ในปุลิงคแจกอยางนี้ :-
เอก. พหุ.
ป. ภว เอา นฺต กับ สิ เปน ภวนฺตา เอา โย เปน อา
อ ภวนฺโต เอา โย เปน โอ
ทุ. ภวนฺต คง อ ไว ภวนฺเต เอา อะ กับ โย เปน เอ
ภวนฺโต เอา อะ กับ โย เปน โอ
ต. ภวตา เอา นฺต กับ นา เปน ภวนฺเตภิ เอา อะ เปน เอ
ตา หิ ไว
โภตา เอา นฺต กับ นา เปน ภวนเตภิ เอา นฺต กับ น เปน ต
ตา แลวแปลง ภว แปลง หิ เปน ภิ
เปน โภ
จ. ภวโต เอา นฺต กับ ส เปน โต ภวต เอา นฺต กับ น เปน ต
ภวโต เอา นฺต กับ ส เปน โต ภวนฺตาน น อยูหลัง ทีฆะ อะ
แลวเอา ภว เปน โภ เปน อา คง น ไว
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 36
เอก. พหุ.
ปฺ ภวตา เอา นฺต กับ สฺมา ภวนฺเตหิ, ภวนฺเตภิ (แปลง
เปน ตา เหมือน ต. พหุ.)
โภตา เอา นฺต กับ สฺมา
เปน ตา แลวแปลง
ภว เปน โภ
ฉ. ภวโต, โภโต (แปลงเหมือน ภวต, ภวนฺตาน (แปลงเหมือน
จ. เอก.) จ. พหุ.)
ส. ภวนฺเต เอา สฺมึ กับ อะ เปน ภวนฺเตสุ เอา อะ เปน เอ คง
เอ สุ ไว
อา. โภ แปลง ภวนฺต เปน ภวนฺต, ภวนฺโต (แปลงเหมือน
โภ แลว ลบ สิ ป. พหุ.)
อาลปนะ เสีย โภนฺตา เอา โย เปน อา แลว
โภนฺโต เอา โย เปน โอ
แลวแปลง ภว เปน
โภ.
ศัพทที่มี อนฺต เปนที่สุด บางวิภัตติจะแจกเหมือน อ การันต
ในปุ. นปุ. ก็ได เพราะเปนการงายจึงไมไดแสดงไวในที่นี้. ศัพท
กิริยากิตกประกอบดวย อนฺต ปจจัย แจกเหมือน ภวนฺต ก็ได เชน กร
แปลวา กระทําอยู. หรือจะเอาไปแจกตาม อ การันตใน ปุ. ก็ได
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 37
เชน กโรนฺโต กระทําอยู ดังนี้ ตามแตตองการ.
สตฺถุ (ผูสอน) ปุลิงค แจกอยางนี้ :-
เอก. พหุ.
ป. สตฺถา เอา อุ การันต กับ สตฺถาโร เอา อุ การันต เปน
สิ เปน อา อาร แลว เอา โย
เปน โอ
ทุ. สตฺถาร เอา อุ การันต เปน สตฺถาโร (แปลงเหมือน ป. พหุ.)
อาร คง อ ไว
ต. สตฺถารา เอา อุ การันต เปน สตฺถาเรหิ เอา อุ การันต เปน
อาร แปลง นา เปน อาร เอา อะ เปน เอ
อา คง หิ ไว
สตฺถุนา คง นา ไว สตฺราถาน เอา อุ การันต เปน
อร เอา อะ เปน เอ
แปลง หิ เปน ภิ
จ. สตฺถุ ลบ ส เสีย สตฺถาราน เอา อุ การันต เปน
สตฺถุโน เอา ส เปน โน อาร น อยูหลัง ทีฆะ
อะ เปน อา คง น ไว
ปฺ. สตฺถารา เอา อุ การันต เปน สตฺถาเรหิ, สตฺถาเรภิ (แปลง
อาร เอา สฺมา เปน เหมือน ต. พหุ.)
อา
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 38
เอก. พหุ.
ฉ. สตฺถุ สตฺถุโน (แปลง สตฺถาราน (แปลงเหมือน จ. พหุ.)
เหมือน จ. เอก.)
ส. สตฺถริ เอา อุ การันต เปน สตฺถาเรสุ เอา อุ การันตเปน
อาร รัสสะ อา เปน อาร เอา อะ เปน เอ
อร แปลง สฺมึ เปน คง สุ ไว
อิ
อา. สตฺถา เอา อุ การันต กับ สตฺถาโร (แปลงเหมือน ป. พหุ.)
สิ เปน อา
ศัพทเหลานี้แจกเหมือน สตฺถุ ศัพท
๑. กตฺตุ ผูทํา ๖. เนตุ ผูนําไป
๒. ขตฺตุ ผูขุด ๗. ภตฺตุ ผูเลี้ยง, ผัว
๓. าตุ ผูรู ๘. วตฺตุ ผูกลาว
๔. ทาตุ ผูให ๙. โสตุ ผูฟง
๕. นตฺตุ หลาน ๑๐. หนฺตุ ผูฆา
ขอควรจําใน สตฺถุ ศัพท
๑. ศัพทนามกิตก ซึ่งประกอบดวย ตุ ปจจัย ใชแจกจาม สตฺถุ.
๒. สตฺถุ ศัพท ถาเปน เอกวจนะ เปนพระนามของพระพุทธเจา
เทานั้น ถาเปน พหุวจนะ ตองเปนชื่อของพาหิรคณาจารย เชน
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 39
ครูทั้ง ๖ มีปุราณกัสสปเปนตน ที่เปนพหุวจนะ หมายถึงพระพุทธเจา
ในปางกอนก็มี เพราะตองการเรียกหลายพระองครวมกัน ทั้งนี้จะรูได
เพราะมี อตีเต หรือ ปุพฺเพ เปนตน กํากับอยู.
ปตุ (พอ) เปน ปุลิงค แจกอยางนี้ :-
เอก. พหุ.
ป. ปตา เอา อุ การันต กับ สิ ปตโร เอา อุ การันต เปน
เปน อา อาร อาเทส เปน อร
เอา โย เปน โอ
ทุ. ปตร เอา อุ การันต เปน ปตโร (แปลงเหมือนกัน ป. พหุ.)
อาร อาเทส เปน อร
แลว คง อ ไว
ต. ปตรา เอา อุ การันต เปน ปตเรหิ เอา อุ การันต เปน
อาร อาเทส เปน อร อาร อาเทส เปน อร
แลว เอา นา เปน อา หิ ไว
ปตุนา คง นา ไว ปตเรภิ เอา อุ การันต เปน
อาร อาเทส เปน อร
เอา อะ เปน เอ แปลง
หิ เปน ภิ
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 40
เอก. พหุ.
จ. ปตุ ลบ ส เสีย ปตราน เอา อุ การันต เปน
อาร อาเทส เปน อร
น อยูหลัง ทีฆะ อะ
เปน อา แลว คง น
ไว
ปตุโน เอา ส เปน โน ปตูน น อยูหลัง ทีฆะ อุ
เปน อู คง น ไว
ปฺ. ปตรา เอา อุ การันต เปน ปตเรหิ, ปตเรภิ (แปลงเหมือน
อาร อาเทส เปน อร ต. พหุ.
เอา สฺมา เปน อา
ฉ. ปตุ, ปตุโน (แปลง ปตราน, ปตูน (แปลงเหมือน
เหมือน จ. เอก.) จ. พหุ.)
ส. ปตริ เอา อุ การันต เปน ปตเรสุ เอา อุ การันต เปน
อาร อาเทส เปน อร อา อาเทส เปน อร
แลวเอา สฺมึ เปน อิ เอา อุ เปน เอ คง สุ
ไว
ปตูสุ สุ อยูหลัง ทีฆะ อุ เปน
อู แลว คง สุ ไว
อา. ปตา (แปลงเหมือน ป. เอก.) ปตโร (แปลงเหมือน ป. พุห.)
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 41
สองศัพทนี้แจกเหมือน ปตุ
๑. ภาตุ พี่ชาย, นองชาย
๒. ชามาตุ ลูกเขย
วิธีเปลี่ยนวิภัตติและการันตเหมือน สตฺถุ แปลกแต อาเทส
เปน อร แทน อาร ในวิภัตติทั้งปวง อาลปนะนั้น เมื่อวาตามแบบ
เปนอยางนี้ แตคําพูดและวิธีเขียนหนังสือไมใช ใช ตาต แทน,
เอก. ตาต พหุ. ตาตา ใชไดทั่วไปทั้งเรียกบิดาหรือบุตรเหมือนภาษา
ของเรา คําวา ตาต (พอ) ถาเปนวิภัตติอื่น เปนชื่อของบิดา ถา
เปน อาลปนะ ใชเรียกไดทั้งบิดาทั้งบุตร.
ปตุ ศัพท ถาประกอบกับ โต ปจจัย ตองเอาสระที่สุดของตน
เปน อิ เปน ปติโร แมศัพทอื่นที่คลายคลึงกัน ก็เอาสระที่สุดของตน
เปน อิ ได เชน มาติโต ภาติโต เปนตน. ใช ภาติกา แทน ภาตุ
ไดบาง และแจกตามแบบ อ การันต ใน ปุ. ได.
มาตุ (มารดา) เปนอิตถีลิงค แจกอยางนี้:-
เอก. พหุ.
ป. มาตา เอา อุ การันต กับ สิ มาตโร เอา อุ การันต เปน
เปน อา อาร อาเทส เปน อร
แลว เอา โย เปน โอ
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 42
เอก. พหุ.
ทุ. มาตร เอา อุ การันต เปน มาตโร (แปลเหมือน ป. พหุ.)
อา อาเทส เปน อร
แลว คง อ ไว
ต. มาตรา เอา อุ การันต เปน มาตราหิ เอา อุ การันต เปน
อาร อาเทส เปน อร อาร อาเทส เปน อร
เอา นา เปน อา หิ อยูหลัง ทีฆะ อะ
มาตราภิ แปลงเหมือนกัน ตาง
แตแปลง หิ เปน ภิ
มาตุยา เอา นา เปน ยา มาตูหิ หิ อยูหลัง ทีฆะ อุ เปน
อู คง หิ ไว
มาตูภิ แปลงเหมือนกัน ตาง
แตแปลง หิ เปน ภิ
จ. มาตุ ลบ ส เสีย มาตราน เอา อุ การันต เปน
อาร อาเทส เปน อร
น อยูหลัง ทีฆะ อะ
เปน อา แลว คง น
ไว
มาตุยา เอา ส เปน ยา มาตูน ทีฆะ อุ เปน อู คง น ไว
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 43
เอก. พหุ.
ปฺ. มาตรา เอา อุ การันต เปน มาตาหิ, มาตราภิ
อาร อาเทส เปน อร มาตุหิ, มาตูภิ (แปลงเหมือน
เอา สฺมา เปน อา ต. พหุ.)
ฉ. มาตุ, มาตุยา แปลง มาตราน, มาตูน (แปลงเหมือน
เหมือน จ. เอก. จ. พหุ.)
ส. มาตริ เอา อุ การันต เปน มาตราสุ เอา อุ การันต เปน
อาร อาเทส เปน อร อาร อาเทส เปน อร
แลวเอา สฺมึ เปน อิ สุ อยูหลัง ทีฆะ อะ
เปน อา แลว คง สุ
ไว
มาตูสุ สุ อยูหลัง ทีฆะ อุ เปน
อู แล คง สุ ไว
อา. มาตา (แปลงเหมือน ป. เอก.) มาตโร (แปลงเหมือน ป. พหุ.)
ธีตุ (ธิดา) แจกเหมือน มาตุ.
วิธีเปลี่ยนวิภัตติและการันตเหมือน ปตุ ตางแตแจกตามแบบ
ที่เปนปุลิงคและอิตถีลิงคเทานั้น ในคําพูดและวิธีเขียนหนังสือก็ไมใช
อาลปนะตามแบบนี้ ใช อมฺม แทน เอก. อมฺม หพุ. อมฺมา ใชได
ทั่วไปทั้งมารดาทั้งธิดา เหมือนภาษาของเราโดยนัยที่ไดอธิบายมาแลว
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 44
แตในตัปปุริสสมาส ใชอาลปนะ เปน มาเต, ธีเต, เหมือนคําวา
ติสฺสมาเต, เทวมาเต, เทวธีเต, เปนตัวอยาง.
มโนคณะ๑
ศัพทหมูหนึ่ง ๑๒ ศัพท มี มน ศัพทเปนตน เรียกวา มโนคณะ
เพราะเปนหมูแหง มน ศัพท เปน นามนาม โดยแท การแจกวิภัตติ
ของศัพทเหลานี้ คลายกับวิธีแจก อ การันตในปุลิงคและนปุสกลิงค
แตมีแปลกอยู ๕ วิภัตติ คือ นา (ต.) กับ สฺมา (ปฺ.) เปน อา
ส. ทั้งสอง (จ.กับ ฉ.) เปน โอ, สฺมึ เปน อิน แลวลงตัวอักษร
ใหมคือ ส ซึ่งเรียกวา "ลง ส อาคม" ตอที่ทายศัพทมโนคณะนี้
จึงเปน สา เปน โส เปน สิ ดังจะแจกใหเห็นเปนตัวอยาง.
มน ศัพทเปน ทฺวิลิงค คือเปน ปุลิงค และ นปุสกลิงค
มน ศัพทเปน ปุลิงค แจกอยางนี้.
เอก. ป. มโน
ทุ. มน (มโน) เหมือน อ การันตใน ปุลิงค
ต. มนสา
จ. มนโส
ปฺ. มนสา } ๕ วิภัตตินี้แปลจาก อ การันต ใน ปุลิงค
ฉ. มนโส
ส. มนสิ
๑. มโนคณะ พระครูมงคลวิลาส (ลัภ โกสโล ) วัดราชาธิวาส เรียบเรียง
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 45
มน ศัพทที่เปน นปุสกลิงค แจกอยางนี้ :-
เอก. ป. มน
ทุ. มน เหมือน อ การันตในนปุสกลิงค
ต. มนสา
จ. มนโส
ปฺ. มนสา ๕ วิภัตติ แปลกจาก อ การันต ใน
ฉ. มนโส นปุสกลิงค
ส. มนสิ
มนศัพทบางคราวไมไดแจกวิภัตติตามแบบมโนคณะก็มี ดังเชน
ใน อาทิตตปริยายสูตรวา มนสฺมึป นิพฺพินฺทตฺ นี้แสดงใหเห็นวา
ลง สฺมึ วิภัตติที่มนศัพทเฉย ๆ โดยไมตองลง ส อาคม และเปลี่ยน
สฺมึ เปน อิ ตามแบบมโนคณะ.
สวนศัพทอื่น ในพวกมโนคณะนี้ มี อย (เหล็ก) เปนตนนั้น
เปนปุลิงคทั้งสิ้น และมีวิธีแจกวิภัตติเหมือน มน ศัพทในปุลิงค
นอกจากจากจะเปลี่ยนแปลงในตติยาวิภัตติ จนถึงสัตตมีวิภัตติดัง
กลาวแลว บางคราวก็เอา อ ทุติยาวิภัตติเปน โอ ไดบาง เชนคําวา
อทาเน กุรุเต มโน (แปลวา) ชโน อันวาชน กุรุเต
ยอมทํา มโน ซึ่งใจ อทาเน ในความไมให.
ยโส ลทฺธา น มชฺเชยฺย (แปลวา) ชโน อันวาชน
ลทฺธา ไดแลว ยโส ซึ่งยศ น มชฺเชยฺย ไมพึงเมา.๑
โดยอุทาหรณทั้งสองนี้แสดงใหเห็นวา ศัพทมโนคณะ เมื่อลง
๑. แปลตามนัยอรรถชาดก เลม ๔ หนา ๓๓๖
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 46
อ ทุติยาวิภัตติ เอา อ เปน โอ แตไมตองลง ส อาคม.
ศัพทมโนคณะ เมื่อตอเขาเปนบทสมาสกับศัพทอื่นแลว ตอง
เอาสระที่สุดของตนเปน โอ เหมือนคําวา มโนคโณ หมูแหงมนะ
(ฉ. ตัปปุริสสมาส) เอาสะ อะ ที่ น แหง มน ศัพท เปน โอ.
อโยมย ของที่บุคคลทําดวยเหล็ก (ต. ตัปปุริสสมาส) เอา
สระ อะ ที่ ย แหง อย เปน โอ.
เตโชธาตุ ธาตุคือไฟ (อวธารณ กัมมธารยะ ) เอาสระ อะ
ที่ ช แหง เตช ศัพท เปน โอ.
สิโรรุโห อวัยวะที่งอกบนหัว (ผม) (ส. ตัปปุริสสมาส)
เอาสระ อะ ที่ ร แหง สิร เปน โอ.
อนึ่ง การแจกวิภัตติศัพทมโนคณะที่เขาเปนบทสมาสกับศัพทอื่น
นั้น มิไดแจกตามแบบมโนคณะเหมือนที่กลาวแลวขางตน ทานให
แจกตามการันตและลิงคของศัพทหลังเปนเกณฑ เชน มโนคโณ ก็
ใหกําหนดวา คณ เปนศัพทหลังซึ่งเปน อ การันต เปน ปุลิงค แม
จะเขาเปนบทสมาสกับศัพทพวก มโนคณะ คือ มน ศัพทก็จริง แต
เมื่อถึงคราวแจกวิภัตติ ก็ตองรวมเปนศัพทเดียวกัน คือ เปน มโน-
คณะ แจกตามแบบ อ การันตในปุลิงค เหมือนอยาง ปุริส.
ศัพทมโนคณะทั้งหมด ซึ่งอยูตามลําพัง ยังมิไดตอเขาเปนบท
เดียวกับศัพทอื่นนั้น โดยมากเปน เอาวจนะ อยางเดียว และไม
มี อาลปนะ.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 47
บางคราวศัพทที่มีเสียง อะ เปนที่สุด จะเปนจําพวกศัพทมโนคณะ
หรือมิใชก็ตาม เรียงอยูขางหนา ทานใหเอา นา ตติยาวิภัตติเปน
โส ไดบาง เชน สุตฺตโส พฺยฺชนโส และบางทีก็เอา สฺมา ปฺจมี-
วิภัตติเปน โส ไดบางเหมือนกัน เชน อุรโส ทีฆโส เปนตน.
กมฺม (กรรม) เปนนปุสกลิงค แจกอยางนี้ :-
เอก. พหุ.
ป. กมฺม เอา อะ กับ สิ กมฺมานิ เอา อะ กับ โย เปน
เปน อ อานิ
ทุ. กมฺม คง อ ไว กมฺมานิ (เหมือน ป. พหุ.)
ต. กมฺมุนา เอา อะ เปน อุ คง กมฺเมหิ เอา อะ เปน เอ คง
นา ไว หิ ไว
กมฺเมภิ เอา หิ เปน ภิ
จ. กมฺมุโน เอา อะ เปน อุ กมฺมาน ทีฆะ อะ เปน อา คง
เอา ส เปน โน น ไว
ปฺ. กมฺมุนา เอา อะ เปน อุ กมฺเมหิ
เอา สฺมา เปน นา กมฺเมภิ (เหมือน ต. พหุ.)
ฉ. กมฺมุโน (เหมือน จ. เอก.) กมฺมาน (เหมือน จ. พหุ.)
ส. กมฺมนิ เอา สฺมึ เปน นิ กมฺเมสุ เอา อะ เปน เอ คง สุ ไว
อา. กมฺม ลบ สิ เสีย กมฺมานิ (เหมือน ป. พหุ.)
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 48
กมฺม ศัพทนี้ แจกเหมือน กุล นปุสกลิงคทีเดียวก็ได แตในที่นี้
แปลกอยูแต นา, ส, สฺมา, ส, สฺมึ เทานั้น. กมฺม ศัพทนี้โดยกําเนิด
เปนนปุสกลิงคแท.
โค (โค) สามัญ ไมนิยมวาผูเมีย แจกอยางนี้ :-
เอก. พหุ.
ป. โค ลบ สิ เสีย (คโว) คาโว โย อยูหลัง เอา
โค เปน คว หรือ คาว
ได แลวเอา โย เปน โอ
ทุ. คาว เอา โอ แหง โค คาโว (เหมือน ป. พหุ.)
เปน อาวุ คง อ ไว
คาวุ เอา โอ แหง โค
เปน อาวุ คง อ ไว โคหิ
ต. คาเวน เอา โอ แหง โค โคภิ คงรูป
เปน อาว แลวเอา คาเวหิ เอา โอ แหง โค เปน คาว
นา เปน เอน แลว เอา อะ เปน เอ
คาเวภิ เอา หิ เปน ภิ บาง
จ. คาวสฺส เอา โอ แหง โค คุนฺน เอา โอ แหง โค เปน อุ
เปน อาว เอา ส แลวซอน น.
เปน สฺส คาวาน เอา โอ แหง โค เปน อาว
ทีฆะ อะ เปน อา คง น ไว
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 49
เอก. พหฺ.
ปฺ. คาวสฺมา เอา โอ แหง โค โคหิ
เปน อาว คง สฺมา ไว โคภิ (เหมือน ต. พหุ.)
คาวมฺหา เอา สฺมา เปน มฺหา
คาวา เอา สมา เปน อา
ฉ. คาวสฺส (เหมือน จ. เอก.) คุนฺน คาวาน (เหมือน จ. พหุ.)
ส. คาวสฺทึ เอา โอ แหง โอ โคสุ คง สุ ไว
เปน อาว คง สฺมึ ไว คาเวสุ เอา โอ แหง โค เปน
คาวมฺหิ เอา โอ แหง โค เปน อาว แลว คง สุ ไว
อาว เอา สฺมึ เปน มฺหิ สุ อยูหลัง เอา อะ
คาเว เอา โอ แหง โค เปน เปน เอ
อาว เอา สฺมึ เปน เอ
อา. คาว เอา โอ แหง โค คาโว (เหมือน ป. พหุ.)
กบ สิ เปน อาว
คําวา โค นี้ เปนคําเรียกรวมทั้งตัวผูและตัวเมีย แตในที่บาง
แหง ที่แหยใหรูวาตัวผูตัวเมียแลว ปุ. เอา โค เปน โคณ แจก
ตาม อ การันต ใน ปุ. (ปุริส) อิตฺ. เปน คาวี แจกตามแบบ อี
การันต อิตฺถี. (นารี).
ศัพท ๖ ศัพท
ศัพททั้งหลาย ๖ คือ ปุม ชาย, สา หมา (ไมนิยมวา
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 50
ผูเมีย) อทฺธา กาลยืดยาว, มฆว ชื่อพระอินทร, ยุว หนุม,
สข เพื่อน, เหลานี้ ไมคอยมีคําใชนัก ถึงใชบางก็เปนบางวิภัตติ
ไมทั่วไป เชน
๑. ปุม เปนปุลิงค มีที่ใชแต ปฐมา วิภัตติ เอาวจนะ เปน
ปุมา เทานั้น.
๒. สา เปนคํากลาง ๆ ไมนิยมวาตัวผูหรือตัวเมีย เหมือน
กับศัพทคือ โค มีที่ใชแต ป. เอก. สา ในปุลิงค เปน สุนข
(แจกตามแบบ อ การันตในปุลิงค ปุริส) ในอิตถีลิงค เปน สุนขี
(แจกตามนี้แจกตามแบบการันตในลิงคนั้น ๆ.
๓. อทฺธา เปนปุลิงค มีที่ใชบางแต เอก. ป. อทฺธา
ทุ. อทฺธาน ต. อทฺธนา จ. ฉ. อทฺธุโน ส. อทฺธาเน เทานั้น
(เหมือน กมฺม โดยมาก).
๔. มฆว เปนปุลิงค (แจกตามแบบ อ การันตฺในปุลิงค ปุริส)
แปลกแต ป. เอก. เปน มฆวา เทานั้น.
๕. ยุว เปนทฺวิลิงค (ปุ. อิต.) ในปุลิงคใชมาแต ป. เอก.
ยุวา ในอิตถีลิงคเปน ยุวตี แจกตามแบบ อีก การันตในลิงคนั้น.
๖. สข เปนทฺวิลิงค (ปุ. อิตฺ.) ใชมากแต ปุ. ป. เอก. สขา
ในอิตถีลิงคเปน สขี แจกตามแบบ อี การันตในลิงคนั้น.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 51
สังขยา
ศัพทที่เปนเครื่องนับนามนาม ชื่อวาสังขยา เพราะเปนคําที่
บงถึงจํานวนของนามนาม ทางภาษาไทยหรือภาษาของชาติอื่น ๆ
นิยมจํานวนเลขของชาตินั้น ๆ เพื่อจะใหรูจํานวนที่นับโดยแนนอน
คําพูดที่ไมมีจํานวนเลขเปนเครื่องนับ จะรูไมไดวาเทาไร เชน พูด
ถึงคนวา คนมีจํานวนนอย ก็ไมรูวามีนอยเทาไร เมื่อจะพูดวาคนมี
จํานวนมาก ก็ไมรูวามากเทาไรเหมือนกัน เปนแตเพียงรูไดวานอย
และมากเทานั้น ที่จะใหรูแนนอนวา คนจํานวนนอยนั้น คือคน ๑ คน
หรือคน ๒ คน และที่วามากนั้นคือจะเปน ๑๐๐ คน หรือ ๑๐๐๐ คนเปนตน
ไมได, เปนแตใหรูเพียงปริมาณเทานั้น เมื่อมีตัวเลขเขาควบคุม จึง
เปนเครื่องบงใหชัดวาจํานวนนอยเทานั้นเทานี้ และจํานวนมากเทานั้น
เทานี้ได ในภาษาบาลีทานก็นิยมการนับเหมือนกัน จึงมีศัพทอยูพวก
หนึ่งตางหายที่เรียกวาสังขยา และสังขยานั้น แปลวานับ คือนับ
นามนามใหรูวามีจํานวนเทาใด ทานจึงจัดสังขยาไวเปน ๒ เรียกวา
ปกติสังขยา ๑ ปูรณสังขยา ๑.
ปกติสังขยา
ปกติสังขยาสําหรับนับนามนามโดยปกติ เชน ๑-๒-๓-๔-๕ เปน
ตน จะนับเวนในระหวางก็ได เชน ๑-๓-๕-๗-๙ เปนตน ซึ่งตรงกับ
คําของภาษาไทยวา คนผูหนึ่ง ถือสมุดสองเลม ดินสอขาวสามแทง
ดินสอฝรั่งสี่แทง กระดาษหาแผน เดินไป เปนตน นี่แสดงวานับโดย
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 52
ลําดับติดกัน ที่นับเวนเสียบางในระหวาง เชน คนผูหนึ่ง ถือ
สมุดสามเลม ดินสอขาวหาแทง ดินสอฝรั่งเจ็ดแทง กระดาษเกาแผน
เดินไป เปนตน การนับเชนนี้เรียกวาปกติสังขยาทั้งนั้น ปกติสังขยา
นั้นเปนคุณนามก็ได เปนนามนามก็ได แตกอนที่จะนับ ผูศึกษาควร
ทองศัพทสังขยาที่มีอยูในบาลีไวยากรณใหจําไดเสียกอน เพราะจะนับ
โดยวิธีใด ๆ ก็ตาม จําเปนตองรูปจักศัพทสังขยา จึงไดมีศัพทสังขยา
ขึ้นอีกแผนกหนึ่ง คือตั้งแต เอก เปนตนไป.
บัดนี้จะกลาวถึงสังขยาคุณนามกอน คือคุณนามนั้น ไมมี
อิสระตามลําพัง ตองอาศัยหรือพึ่งนามนาม คือมีนามนามเปน
หลักเปนเจาของ ถาไมมีนามนามปรากฏอยูแลว ศัพทที่เปนคุณนาม
ก็จะแสดงลักษณะไมถูก เพราะวาคุณนามมีหนาที่แสดงลักษณะของ
นามนาม จึงจําเปนตองมีนามนามปรากฏอยูในที่ ๆ มีคุณนามทุก ๆ
แหง จะเวนเสียไมไดเลยเปนอันขาด จะพูดแตคุณนามอยางเดียว
ไมพูดหมายถึงนามนามลงขางหลังคุณนาม เพื่อบงใหคําพูดชัดขึ้น
เชน คนอวน สัตวผอม ดังนี้ ก็จะรูไดทันที คําวา คน สัตว
นั้นเปนนามนาม อวน ผอม เปนคุณนาม หรือคําพูดใด ๆ ก็ตาม
เมื่อผูฟงฉงนสงสัยยังตองถามถึงนามนามที่เปนเจาของ คําพูดทั้งสิ้น
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 53
นั้นเปนคุณนาม นี้เปนเหตุแสดงใหเห็นชัดเจนวาคุณนามตองมีนามนาม.
แมสังขยาที่จะอธิบายตอไปนี้ ก็เปนคุณนาม จึงเปนทีลักษณะเหมือน
กับนามนามนั่นเอง ถามีแตสังขยาอยางเดียวเชน ๑-๒-๓-๔-๕ ก็
ไมอาจรูวา อะไรที่มีจํานวน ๑-๒-๓-๔-๕ เมื่อเติมนามนามลง เชน
๑ คน ๒ คน เปนตน ก็รูไดวาคนมีจํานวนเทานั้นเทานี้ หรือจะนับ
นามนามอะไรใหเติมนามนามนั้นลงไป.
ปกติสังขยานี้เมื่อจะถือตามคัมภีรศัพทศาสตร ทานแบงเปน ๒
พวก ตั้งแต เอก ถึง จตุ เปนสัพพานามไดดวย ตั้งแต ปฺจ ไป เปน
คุณนามอยางเดียว เมื่อจะถือตามนามศัพทจัดเปน ๓ คือตั้งแต เอก
ถึง จตุ เปนสัพพนาม ๑ ตั้งแต ปฺจ ถึง อฏนวุติ เปนคุณนาม ๑
ตั้งแต เอกูนสต ไป จัดเปนนามนาม ๑ ที่จัดเปนสัพพนาม คุณนาม
นามนามนั้น หมายเฉพาะศัพทสังขยาลวน ๆ แตเมื่อจะประกอบเขา
กับนามนามอื่น ๆ ก็เปนคุณนามทั้งสิ้น. และสังขยานั้นเปนไดสาม
ลิงค เวนไวแตบางจําพวกที่ทานนิยมใหเปนเพียงลิงคเดียว และเปน
เอกวจนะอยางเดียว, ที่เปนสัพพนามก็เปนไดทั้งสามลิงค. คุณนาม
ศัพทใด ถามี อ การันต ในเมื่อจะตองเปนคุณนามของศัพทที่เปนอิตถี-
ลิงค ใหทีฆะ อะ เปน อา แลวแจกตามแบบ อา การันตอิตถีลิงค
(กฺา). สังขยาที่เปนสัพพนามเปนไดทั้งสามลิงคนั้น เชน เอโก
ปุคฺคโล บุคคลคนหนึ่ง เอกา อิตฺถี หญิงคนหนึ่ง เอก กุล
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 54
ตระกูลตระกูลหนึ่ง สวนคําวา ปฺจ ปุริสา บุรุษ ๕ คน ปฺจ
อิตฺถิโย หญิง ๕ คน ปฺจ กุลานิ ตระกูล ๕ ตระกูล ปฺจสตา
ภิกฺขู ภิกษุ ๕๐๐ ปฺจสตา อิตฺถิโย หญิง ๕๐๐ ปฺจสตานิ
ธนานิ ทรัพย ๕๐๐ เปนตน อันเปนสังขยานาม ในเมื่อเขา
สมาสแลวนําหนานามนามอื่น เปนคุณนามได.
การจัดลิงค และ วจนะ
ตั้งแต เอก ถึง จตุ เปนไดทั้ง ๓ ลิงค เอกศัพทสังขยาเปน
เอกวจนะอยางเดียว. ตั้งแต ทฺวิ ถึง จตุ เปนพหุวจนะอยางเดียว
และแจกตามแบบของตน ๆ ตามที่ทานแจกไวแลวในบาลีไวยากรณ.
ตั้งแต ปฺจ ถึง อฏารส จัดเปน ๓ ลิงค แจกอยาง ปฺจ
เหมือนกันทั้ง ๓ ลิงค เปนพหุวจนะอยางเดียว.
ตั้งแต เอกูนวีสติ ถึง อฏนวุติ เปนเอกวจนะอยางเดียว
และเปนอิตถีลิงค แจกตามแบบอิตถีลิงคอื่น ก็คงอยูอยาง
เดิมไมเปลี่ยนไปตาม นามนามที่เปนเจาของสังขยานี้ ตองเปน
พหุวจนะอยางเดียว.
ตั้งแต เอกูนสต เปนตนไป เปนไดทั้ง ๒ วจนะ และเปนได ๒
ลิงค คือ นปุ. และ อิต. คือ ตั้งแต เอกูนสต ไป เปน นปุ.
โกฏิ เปนอิตถีลิงค ที่เปนได ๒ วจนะนั้น คือ ถาปรากฏวา รอย
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 55
พัน หมื่น ฯลฯ จัดเปนเอกวจนะ ถามีศัพทสังขยาตั้งแตสองขึ้น
ไป อยูขางหนึ่ง จัดเปนพหุวจนะ เชน สองรอย สองพัน สองหมื่น
เปนตน.
วิธีแจกวิภัตติของศัพทสังขยา ตั้งแต เอก ถึง จตุ แจกตาม
แบบเฉพาะตน ๆ. ปฺจ ถึง อฏารส แจกอยาง ปฺจ ทั้ง ๓ ลิงค.
ตั้งแต เอกูนวีส ถึง ปฺาส แจกอยาง เอกูนวีส. ในระหวาง
จํานวนนั้น ถาศัพทสังขยาใดมี อิ การันต ก็ใหแจกอยาง อิ การันต
ในอิตถีลิงค (รตฺติ) คือตั้งแต เอกุนวีสติ ถึง อฏตฺตึสติ และตั้ง
แต เอกูนสตฺตติ ถึง อฏนวุติ. ศัพทสังขยาที่มี อี การันต คือตั้ง
แต เอกูนสฏี ถึง อฏสฏี แจกตามแบบ อี การันตในอิตถี-
ลิงค (นารี).
ตั้งแต เอกูนสต ขึ้นไป เวน โกฏิ เปน นปุ. อยางเดียว แจก
ตามแบบ อ การันต นปุ. (กุล)
เอกศัพท
เอก ศัพท ทานนิยมใชสองอยาง ใชเปนสังขยาหนึ่ง ใช
เปนสัพพนามอยางหนึ่ง ที่ใชเปนสังขยานั้น สําหรับนับนามนามที่
เปนจํานวนหนวยเทานั้น และเปนเอกวจนะอยางเดียว เชน จีวร ๑ ผืน
บาตร ๑ ใบ เปนตน ที่เปนสัพพนาม เปนไดทั้งเอกวจนะ และ
พหุวจนะ.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 56
กําหนดวจนะของสังขยา
ตั้งแต ทฺวิ ถึง อฏารส เปนพหุวจนะอยางเดียว.
ตั้งแต เอกูนวีสติ จนถึง อฏนวุติ เปนอิตถีลิงค เอกวจนะ
อยางเดียว.
ตั้งแต เอกูนสต จนถึง โกฏิ เปนเอกวจนะ และพหุวจนะ.
จํานวน ๙๙ ขึ้นไปเปนนามนาม จึงจัดเปนลิงคได ๒ ลิงค
แตเปน นปุ. โดยมาก. เปนอิตถีลิงคเฉพาะ โกฏิ เทานั้น. ๙๙ เมื่อ
ประกอบเปนศัพทสังขยา ก็ตองปรากฏเปน สต อยูขางหลัง เพราะ
ยังขาดอยูหนึ่งที่จะเต็มจํานวน ๑๐๐ ในที่จะเต็มเชนนี้ ทานนิยมใหใช
เอกูน ซึ่งแปลวาหยอนหนึ่งเขามาตอ. ๙๙ ประกอบวา เอกูนสต
รอยหยอนหนึ่ง แมจํานวนอื่น ๆ เมื่อยังขาดอยูเพียงหนึ่งจะครบหรือ
เต็มก็มีนัยนี้ จะอธิบายขางหนา ในที่นี้เพื่อจะแสดงใหรูวา ๙๙ ขึ้นไป
เปนนามนามไดเทานั้น.
ที่เปนเอกวจนะไดนั้น เมื่อคิดดูก็สงสัยวา ทําไมจํานวน
ตั้งรอยตั้งพันยังเปนเอกวจนะได ขอนี้ทานกําหนดวา รอยเดียว
พันเดียว จึงนิยมเปนเอกวจนะ และไมตองใชเอกศัพทลงขางหนา
เชนคําวา สต สหสฺส เปนตน เพราะมีจํานวนเดียวอยางนี้ จึง
จัดเปนเอกวจนะ จะหมายความเปน สองรอย สองพัน เปนตนไมได.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 57
สังขยานามที่เปนพหุวจนะนั้น ทานกําหนดดวยสังขยาที่เปน
พหุวจนะอยูขางหนา ซึ่งเปนเครื่องแสดงใหรูวาไมใชรอยเดียว
พันเดียว เชน สองรอย สองพัน เปนตน และจํานวนพหุวจนะนี้
จึงตองมีศัพทสังขยาชั้นคุณนาม ตั้งแต ทฺวิ ขึ้นไป อยูขางหนา
เหมือนอยาง ปฺจสตสหสฺสานิ นมามิ สิรสา อห วิธีตอ
สังขยาคุณเขากับสังขยานามนั้น จักกลาวขางหนา แตในที่บางแหง
แมถึงสังขยาคุณนามจะอยูขางหนา บอกถึงความเปนพหุวจนะก็จริง
โดยความนิยมของวิธีสมาสกลายไปเปนเอกวจนะได เชน ติสหสฺส
เมื่อปรากฏเชนนี้พึงทราบเถิดวา ทานจัดอยางสมาหารทิคุสมาส.
วิธีแจกวิภัตติ
สังขยาก็ใชวิภัตติทั้ง ๑๔ ของนามนามนั้นเองแจก แตทาน
กําหนดให เพราะทานกําหนดสังขยาไวเปนตอน ๆ บางตอนเปนได
เฉพาะเอกวจนะอยางเดียว บางตอนเปนไดเฉพาะพหุวจนะอยาง
เดียว บางตอนเปนไดทั้งเอกวจนะ ทั้งพหุวจนะ ดังที่ไดแสดงมา
แลวนั้น เมื่อจะลงวิภัตติก็ตองลงใหถูกตามวจนะนั้นอยางใหแยงกัน
ตอนใดที่เปนเอกวจนะอยางเดียว ก็ใชวิภัตติ คือ สิ อ นา ส สฺมา
ส สฺมึ เทานั้น ตอนใดที่เปนไดแตพหุวจนะอยางเดียว ก็ใชวิภัตติ
โย โย หิ น หิ น สุ เทานั้นลง ตอนใดที่เปนไดทั้งสองวจนะ ก็ใช
วิภัตติทั้ง ๑๔ ตัวลงได.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 58
สังขยาที่ทานจัดเปนสัพพนามก็ดี คุณนามก็ดี มีลักษณะเหมือน
วิเสสนะ คือถานามนามเปนลิงควจนะวิภัตติอันใด สังขยาแผนกนี้ตอง
มีลิงค วจนะ วิภัตติ เหมือนนามนาม และเรียงไวขางหนานามนาม
เชน จตฺตาโร สติปฏานา สติปฏฐาน ๔ จตสฺโส อปฺปมฺาโย
อัปปมัญญา ๔ จตฺตาริ อริยสจฺจานิ อริยสัจ ๔ เวนไวแตสังขยา
ที่ทานจัดเปนลิงควิปปลาส และวจนะวิปลาสเทานั้น คือตั้งแต เอกูน-
วีสติ ถึง อฏนวุติ ที่ทานจัดเปนอิตถีลิงคเอกวจนะอยางเดียว แม
จะเขากับลิงคอื่นที่เปนพหุวจนะ ก็ไมเปลี่ยนไปตาม เชน ปฺจตฺตึสาย
ชนาน ลาโภ อุปฺปนฺโน ลาภเกิดขึ้นแลวแกชน ท. ๓๕ ปฺจตฺตึสาย
คงเปนเอกวจนะอิตถีลิงคอยูอยางเดิม ไมเปลี่ยนลิงคแลวจนะไปตาม
บทนาม คือ ชนาน ซึ่งเปนปุลิงคและพหุวจนะ.
สวนสังขยานามนาม เมื่อจะใชบอกนามนามบทใด ก็ใหเอา
นามนามบทนั้นประกอบดวยฉัฏฐีวิภัตติพหุวจนะ เรียงไวขางหนา
สังขยานามนามนั้น ดังนี้ ภิกฺขูน สต รอยแหงภิกษุทั้งหลาย ภิกฺขูน
สหสฺส พันแหงภิกษุทั้งหลาย ซึ่งตรงกับภาษาของเราวา ภิกษุรอยรูป
ภิกษุพันรูป.
สังขยาที่ทานจัดเปนสัพพนามนั้น เวลาใช ใหใชอยางวิเสสน-
สัพพนาม.
สังขยาตั้งแต เอก จนถึง นว แตละศัพทเรียกวาจํานวนหนวย
เหมือนอยางจะนับตามภาษาไทยวา หนวย สิบ รอย พัน หมื่น
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 59
เปนตน แมการใชศัพทสังขยา ก็ตองนับตั้งแตจํานวนหนวยขึ้นไป
ดุจเดียวกัน จักอธิบายเปนศัพท ๆ แตจะไมอธิบายถึงแบบแจกและวิธี
เปลี่ยนวิภัตติไวอีก ใหผูศึกษาพึงดูในแบบบาลีไวยากรณเถิด.
เอก ๑
เอก สังขยาอันเปนเอกวจนะอยางเดียว ทานนิยมใชเปน ๒
คือเปนปกติสังขยาอยาง ๑ เปนสัพพนามอยาง ๑ ที่เปนปกติสังขยา
แจกตามแบบของตน ๆ ที่เปนสัพพนามเปนไดทั้ง ๒ วจนะ และทั้ง ๓
ลิงคแจกตามแบบ ย ศัพท แปลกจาก ย ศัพทเฉพาะในอิตถีลิงค เอก.
จ. ฉ. เปน เอกิสฺสา. ส. เปน เอกิสฺส เทานั้น ที่เปนพหุวจนะใหแปล
วา บางเหลา บางพวก เชน เอเก อาจริยา อาจารย ท. บางพวก
เปนตน.
ทฺวิ ๒
ทฺวิ ศัพทนี้ยังไมไดแจกวิภัตติ จึงถือวาเปนศัพทเดิม และแจก
วิภัตติก็แจกเปนอยางเดียวกันทั้ง ๓ ลิงค เมื่อตอเขากับศัพทสังขยา
ที่เปนจํานวนอื่นก็ดี ตอกับศัพทนามก็ดี แปลง ทฺวิ เปน ทิ ทุ ทฺวา
พา เทฺว และคง ทฺวิ ไวก็มี ทฺวิ เมื่ออยูหนา ทส วีสติ และ ตึส
แปลง ทฺวิ เปน ทฺวา และ พา เชน ทฺวาทส พารส ๑๒, ทฺวาวีสติ
พาวิสติ ๒๒, ทฺวตฺตึส พตฺตึส ๓๒, เมื่อเขากับสังขยาจํานวนที่ยิ่งขึ้นไป
กวา ทส วีสติ และ ตึส คือตั้งแต จตฺตาฬีส ๔๐ จนถึง นวุติ ๙๐
แปลง ทฺวิ เปน ทฺว และ ทฺวา ได เชน เทฺวจตฺตาฬีส ๔๒
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 60
ทฺวาสฏี ๖๒ เทฺวนวุติ ๙๒ เปนตน เมื่อเขากับสังขยานามนาม คง
ทฺวิ ไวตามเดิม เชน ทฺวสต ๒๐๐ เปนตน เมื่อเขากับนามนามคง
ทฺวิ ไวบาง เชน ทฺวิปาทา สัตว ๒ เทา แปลง ทฺวิ เปน ทิ บาง เชน
ทิโช สัตวเกิด ๒ หน (พวกนก) แปลง ทฺวิ เปน ทุ บาง เชน
ทุปฏ วตฺถ ผา ๒ ชั้น (สังฆาฏิ) แตจะถือเปนการแนนอนไมได
เพราะทานจัดการเปลี่ยนแปลงโดยถือเอาความสละสลวยแหงศัพทมาก
กวาอยางอื่น.
อุภ ก็แปลวา ๒ เหมือนอยาง ทฺวิ แตใชนับจํานวนนามนาม
อยางเดียว ไมไดใชเขากันสังขยานาม เชน สต สหสฺส เปนตน
ทั้งมีแบบแจกโดยเฉพาะเหมือนกันทั้ง ๓ ลิงค.
ติ ๓
ติ แจกวิภัตติไดตามแบบของตนเอง ใชตอสังขยาอื่นบาง
ตอกับนามนามบาง แปลง ติ เปน เต บาง คง ติ ไวบาง เมื่อเขา
กับสังขยาจํานวนสิบ แปลง ติ เปน เต เชน เตรส ๑๓ เปนตน
เมื่อเขากับสังขยายาม คง ติ ไว เชน ติสต ๓๐๐ ติสหสฺส ๓๐๐๐
(สมาหารทิคุสมาส) เมื่อเขากับนามศัพท คงเปน ติ หรือแปลงเปน
เต เชน ติโยชนปรม ใหเกิน ๓ โยชน เตวิชฺโช ผูมีวิชชา ๓ เปนตน.
จตุ ๔
จตุ ที่ถูกแปลงไปเปนอยางอื่นบาง ก็ตอเมื่อเปนเศษของสังขยา
อื่นเทานั้น คือแปลง จตุ เปน จุ เชน จุทฺทส นอกนั้นคงเดิม เชน
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 61
จตุปาริสุทฺธิสีล เปนตน.
ตั้งแต ปฺจ ถึง อฏ ไมคอยมีการเปลี่ยนแปลงอะไร จึง
ไมตองอธิบาย.
นว ๙
นว ศัพทนี้ ถาเพงตามศัพทก็มีนัย ๒ อยาง เปนสังขยา
จํานวนนับนามนาม ที่แปลวา ๙ อยางหนึ่ง เปนคุณบทของนามนาม
ที่แปลวาใหมอยางหนึ่ง จะรูไดวาเปนสังขยาหรือเปนนามนั้น จักรู
ที่การแจกวิภัตติของศัพทนั้น นว สังขยาแจกตามแบบ ปฺจ และ
เปนเครื่องนับจํานวนนามนาม และเปนพหุวจนะอยางเดียว สวน
นว ที่เปนคุณนามนั้น เปนเครื่องแสดงลักษณะของนามนาม มี
ลิงค วจนะ วิภัตติ เหมือนนามนาม และจัดเปนเอกวจนะก็ได
เปนพหุวจนะก็ได เพื่อใหศัพทนี้แปลกกัน ทานนิยมไวดังนี้ ถาเปน
สังขยา ทานไมลง ก ตอทาย ปลอยไวเฉย ๆ เชน นวภิกฺขู
ภิกษุ ท. ๙ รูป ถาเปนคุณนาม ทานลง ก ตอทาย นวโกวาท
นวก+โอวาท โอวาทเพื่อภิกษุใหม และ นว ที่เปนคุณนามซึ่งไม
ใชสังขยา ถาเปนคุณของนามนามที่เปนปุลิงค แจกอยาง ปุริส
ถาเปนคุณของนามนามที่เปนนปุสกลิงค แจกอยาง กุล ถาเปนคุณ
ของนามนามที่เปนอิตถีลิงค ตองทีฆะสระที่สุดเปน อา แลวแจกอยาง
กฺา.
สังขยาจํานวนสับ หรือหลักสิบ คือสังขยาจํานวนที่นับตั้งแต
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 62
๑๐ ถึง ๙๐ เรียกวาจํานวนสิบ เมื่อตองการจะทราบวากี่สิบ หรือสิบ
อะไร คือ ๒๐ หรือ ๓๐ เปนตน ใหเอาจํานวนหนวยคูณจํานวน ๑๐
จักรูได เชน ๓๐ เมื่อตั้ง ๑๐ แลวเอา ๓ คูณเปนตน. แตในภาษาบาลี
มีอยูโดยเฉพาะ เชน ทส= ๑๐ วิสติ = ๒๐ ตึสติ = ๓๐ เปนตน.
แตบางศัพทซึ่งนาคิด คือ ทานใหเอา ท ที่ ทส เปน ร ใน
เมื่อตอกับจํานวนเศษของสิบ เชน เตรส ๑๓ เปนตน และใหเอา
ท หรือ ร เปน ฬ ได ในเมื่อ ฉ อันเปนเศษของ ๑๐ คือ ๑๖ ถูก
แปลงเปน โส แลว จึงเปน โสฬส. และบางแหงทานใหลง ติ หลัง
ศัพทเหลานี้ไดบาง คือ วีส ตึส เปน วีสติ ตึสติ และใหเอา
สระที่สุดของ เอก ทฺวิ อฏ (อันเปนเศษของสิบ) เปน อา บาง
จําเปน เอกาทส ทฺวาทส อฏารส (ตามนัยมูลกัจจายนะ หนา
๒๔๘-๒๓๙).
อนึ่ง จํานวนที่ยังขาดอยู ๑ จักเต็มในจํานวน ตั้งแต ๒๐ ขึ้นไป
เชน ๑๙-๒๙-๓๙ เปนตน ทานไมนิยมใชศัพท นว ตอขางหนา
ใหนิยมนับเปนตนวา ยี่สิบหยอนหนึ่ง คือ ๑๙ นั้นเอง ในที่เชนนั้น
ใหใชศัพทวา เอก+อูน = เอกูน ซึ่งแปลวาหยอนหนึ่ง หรือยังขาด
อยูหนึ่งที่จะเต็มในจํานวนนั้น ๆ ไมไดประกอบตามที่นาจะเปนได
เชน ๑๙ เปน นวทส, ๒๙ เปน นววีสติ, ๓๙ เปน นวตฺตึสติ.
ตามที่ทานนิยมตองประกอบดังนี้ ๑๙ เอกูนวีสติ, ๒๙ เอกูนตึสติ,
๓๙ เอกูนจตฺตาฬีส, ฯเป ฯ เอกูนสต.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 63
สังขยาจํานวนรอย (สังขยานาม) วิธีนับทานใหเอาจํานวน ๑๐
คูณจํานวน ๑๐ จึงเปนจํานวน ๑๐๐ คือ ๑๐x๑๐ แลวใหเอาจํานวน
๑๐ นั่นแหลคูณจํานวนที่คูณแลว โดยคูณกันเปนระยะ ๆ เชน
๑๐x๑๐ เปน ๑๐๐ แลวเอา ๑๐๐x๑๐ เปน ๑,๐๐๐ เปนตน, คําวา
๑๐ และ ๑,๐๐๐ เปนตน ฟงดูคลาย ๆ จักมีเอกศัพทในสังขยาเพื่อบอก
จํานวนอยูดวย แตที่แทไมตองใชเอกศัพทเลย เพราะสังขยาจํานวน
เต็มลวน ๆ ที่ไมมีสังขยาคุณตออยูขางหนาแลว เปนเอกวจนะอยาง
เดียว เชน สต สหสฺส เปนตน ดังที่ไดแสดงมาแลว.
สังขยาที่เหลือจากจํานวนเต็ม สังขยาที่เหลือจากจํานวนนั้น
หมายความวา นอกจากจํานวนที่ตั้งเดิมแลว เปนสังขยาที่เหลือ
หรือเศษ คือสังขยาที่ปรากฏในระหวาง และเศษนี้จะเปนสังขยาคุณ
ก็ตาม เปนสังขยานามก็ตาม เรียกวาเศษทั้งนั้น เชน ๑๑๐ ตามคําพูด
ของเราตองเรียกวา รอยสิบ แตตามภาษาบาลี ทานคิดจํานวน ๑๐๐
เปนจํานวนเต็ม จํานวน ๑๐ เปนจํานวนเศษ และเรียกวารอยยิ่งดวย
สิบ แมสังขยาจํานวนอื่น ๆ ก็มีนัยเดียวกัน เชน ๑,๐๐๐-๑๐,๐๐๐-
๑๐๐,๐๐๐ เปนตน ก็เรียกจํานวนเต็ม. จํานวนสังขยาที่ปรากฏใน
ระหวางจํานวนเต็ม เรียกวาเศษ เชน ๑,๗๒๕ จํานวน ๑,๐๐๐ เปน
จํานวนเต็ม, ๗๐๐ ก็ดี ๒๐ ก็ดี เปนจํานวนเศษ, เพราะทาน
กําหนดนับเปนหลัก ๆ และนับตั้งแตขางหลังไปหาขางหนา เมื่อเปน
เชนนี้ เลข ๕ จึงเปนจํานวนหนวย เลข ๒ อยูหลักสิบเทากับ ๒๐ เลข
๗ อยูที่หลักรอย เทากับ ๗๐๐.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 64
วิธีตอจํานวนเศษ
สังขยาที่เหลือจากจํานวนเต็มนั้น เมื่อจะตอเขากับจํานวนเต็ม
ทานใหใช อุตฺตร และ อธิก มาคั่นในระหวางของจํานวนนั้น ๆ
ทุกจํานวนที่เหลือ กําหนดใช อุตฺตร อยูใกลสังขยาคุณ, อธิก อยู
ใกลสังขยานาม. อุตฺตร อธิก ทั้งสองนี้เปนคุณนาม เมื่อใชประกอบ
ตองใหเปนคุณนามของสังขยาที่เปนจํานวนเต็ม (คือสังขยาที่เปนตัว
ประธาน) จะนับนามนามใด ใหเอานามนามนั้น ประกอบวิภัตติลง
ในระหวาง นามนามที่อยูใกลสังขยาคูณ ในประกอบดวยตติยาวิภัตติ
อยางเดียว สวนวจนะนั้นใหถือตามสังขยาคุณ นามนามที่อยูใกล
สังขยานามที่เปนเศษ ใหประกอบดวยตติยาวิภัตติทุก ๆ จํานวน
สวนวจนะก็ใหถือตามสังขยานั้น ๆ และควรถือตัวอยางจาก พุทธศักราช
ที่ทานวางไว แตที่นั้นทานประกอบเปนรูปสมาส แลวลบศัพทเสียบาง
ตามวิธียอสมาส เชน ๒,๔๘๓ ป ปรากฏวา ตฺยาสีติสวจฺฉรุตฺตรจตุ-
สตาธิกานิ เทฺว สวจฺฉรสหสสานิ เมื่อแยกออกใหเปนศัพท ๆ เพื่อ
เห็นงาย ก็เปน ตฺยาสีติยา สวจฺฉเรหิ อุตฺตรานิ จตูหิ สวจฺฉราน
สเหติ อธิกานิ เทฺว สวจฺฉาน สหสฺสานิ แปลวาอันวาพัน ท.
แหงป ท. สอง ยิ่งดวยรอย ท. แหงป ท. สี่ยิ่งดวยป ท. แปลสิบสาม
เราจะเห็นไดวา อุตฺตร อยูใกลสังขยาคุณ คือ ตฺยาสีติยา ๘๓, อธิก
อยูใกลสังขยานาม คือ สเหติ ๑๐๐, อุตฺตร และ อธิก ทั้งสองนี้
ถาตองประกอบสังขยาที่เปนเศษหลาย ๆ ชั้น ตองใชสลับกัน คือ
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 65
อุตฺตร แลว อธิก, แตตองถือวาให อุตฺตร อยูใกลสังขยาคุณ,
อธิก อยูใกลสังขยานาม, และบางคราว อธิก จะอยูในที่ใกลกันก็
ใชได.
วจนะนั้น ถาปรากฏเปนเลข ๑ ขึ้นหนา เปนเอกวจนะอยางเดียว
(แตไมใชเอกศัพท), ถาเลขตั้งแต ๒ ขึ้นไป ขึ้นหนา เปนพหุวจนะ
อยางเดียว, จํานวนเศษไมถือเปนประมาณ เชน ๑,๕๘๔ เชนนี้เปน
เอววจนะ, สังขยาคุณจะรวมกันเปนศัพทเดียว ดังที่แสดงมานั้นก็ได
หรือจะแยกออกเปนจํานวน ๆ ก็ได.
อฑฺฒ ศัพท
สังขยาที่มีจํานวนที่สุดคือจํานวนหลัง ตั้งแต ครึ่งรอย คือ ๕๐
หรือ ครึ่งพัน คือ ๕๐๐ หรือ ครึ่งหมื่น คือ ๕,๐๐๐ เปนตน เพื่อจะ
ใหจํานวนหลังเต็ม ทานนิยมใช อฑฺฒ ศัพท ประกอบ สวนจํานวน
ขางหนานั้นไมจํากัดจํานวน เชน ๑๕๐-๓,๕๐๐-๖,๕๐๐ เปนตน เมื่อ
ประกอบดวย อฑฺฒ ศัพท ก็ตองเพิ่มจํานวนขางหนาขึ้น เชน ๑
ตองเปน ๒,๓ เปน ๔, และ ๖ ก็เปน ๗ เปนตน เพราะ อทฺฒ
แปลวา กึ่ง หรือ ครึ่ง โดยมากมีสังขยาจํานวนหนา ลงปจจัยใน
ปูรณตัทธิต คือ ติย, ถ, , ม, อี, จึงเปนเอกวจนะอยางเดียวตาม
ปูรณตัทธิต. ๑๕๐ ประกอบเปน อฑฺเฒน ทุติย สต=ทิยฑฺฒสต
รอยที่ ๒ ทั้งกึ่ง (หนึ่งรอย กับ ครึ่ง คือ ๑๕๐), ๓,๕๐๐ อฑฺเฒน
จตฺตฺถ สหสฺส=อฑฺฒูฑฺฒสหสฺส พันที่ ๔ ทั้งกึ่ง (สามพันกับ
ครึ่ง คือ ๓,๕๐๐) หรือจะเปน อฑฺฒจตุตฺถาสหสฺส ก็ได. ในแบบ
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 66
ทานวางตัวอยางไวเพียงที่ ๔ ทั้งกึ่ง เมื่อจะประกอบใหมากไปกวานี้
ก็พึงเอา ทฑฺฒ ศัพทประกอบขางหนาสังขยาที่เปนเศษ และโดยมาก
ลงปจจัยในปรูณตัทธิต เชน ๗๕๐ วา อฑฺฒฏม สต รอยที่ ๘ ทั้งกึ่ง,
จํานวนอื่นก็พึงเทียบตามนี้.
สังขยาที่ประกอบดวย อฑฺฒ ศัพทนี้ ถาไมลงปจจัยในปูรณ-
ตัทธิต เปนพหุวจนะได เชน อฑฺฒเตรสานิ ภิกฺขุสตานิ รอยแหง
ภิกษุ ท. ๑๓ ทั้งกึ่ง (๑,๒๕๐) ดังนี้. ผูศึกษาพึงดูในอธิบายปูรณ-
ตัทธิตเถิด.
ปูรณสังขยา
ปูรณสังขยานี้ เปนคุณนามอยางเดียว ใชนับจํานวนนามนาม
ในที่เต็ม คือนับเฉพาะ เชน ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ เปนตน หมายเอาแต
อยางเดียว ที่เดียว หรือคนเดียว จึงไดความสันนิษฐานวา เปน
เอกวจนะอยางเดียว เหมือนอยางวา คนยืนหรือนั่งเปนแถว ๆ สัก
๒๐ คน เมื่อถูกเรียกวา คนที่ ๑๕ จงไป ก็ตองไปไดเพียงคนเดียว
คือคนที่ ๑๕ เทานั้น. ปูรณสังขยานี้ ก็ใชปกติสังขยานั้นเอง แตตอง
ลงปจจัยในปูรณตัทธิต ทําใหแปลกกัน จึงไดมีชื่อเรียกวาปูรณสังขยา
เพราะเรียกตามปจจัยที่ลงปูรณสังขยานี้ ทานไดอธิบายไวปูรณสังขยา
ละเอียดในปูรณติทธิต ผูตองการจงตรวจดูเถิด. สวนการแจกวิภัตติ
และการันตในแบบปรากฏอยูชัดเจนแลว แตมีอยูบางคํา เชน เอกาทสี
จตุทฺทสี ปณฺณรสี อันเปนอิตถีลิงค แจกในปฐมาวิภัตติ ลง
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 67
นิคคหิตอาคมได คือเปน เอกาทสึ จตุทฺทสึ ปณฺณรสึ ตามที่มา
ในมูลกัจจายน สูตรที่ ๓๓๔ หนา ๙๕. นอกนั้นมีในแบบไวยากรณ
ชัดเจนแลว.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 68
สัพพนาม๑
ผูศึกษาเคยทราบในตอนตนมาบางแลววา คํานี้จัดเปนสวนหนึ่ง
ของนามศัพท ซึ่งมีลักษณะใชแทนคํา นามนามทั้งสอง (สาธารณะ
และ อสาธารณะ) หรือขอความตาง ๆ ที่เคยออกชื่อ และเขาใจ
กันอยูแลว ถาเราจะแยกคํา สัพพนาม นี้ออก ก็จะได สพฺพ แปลวา
"ทั้งปวง" คําหนึ่ง, นาม แปลวา "ชื่อ" คําหนึ่ง, เมื่อรวมเขา
เปนสมาส ก็แปลวา "คําที่เปนชื่อทั้งปวง " คือหมายความวาเปน
คําแทนชื่อ เพื่อใหทราบถึง นามนาม ที่เคยกลาวมาแลว, หากไม
มีคําประเภทนี้ไวใช เนื้อความก็ดี คําพูดก็ดี จะซ้ํา ๆ ซาก ๆ จน
นาเบื่อหู ดังจะเห็นไดในประโยคตัวอยางนี้วา "นายดํา ไปหานาย
ขาว นายดําถามนายขาววา ทําไมนายขาวไมไปเที่ยวบานนายดํา
บาง เดี๋ยวนี้ที่บานนายดําสนุกมาก"ดังนี้ ขอใหผูศึกษาสังเกตการ
ใชถอยคําซ้ําซาก เชนนั้น จะขัดหูผูฟง ผูอาน หรือไม ถาเปนจริง
อยางที่วาแลว ควรจะเปลี่ยนถอยคําสํานวนเสียใหม วา "นายดํา
ไปหานายขาว แกถามเขาวา ทําไม คุณไมไปเที่ยวที่บางผมบาง
เดี๋ยวนี้ที่นั้นสนุกมาก" ดังนี้ คําวา แก เขา คุณ ผม นั้น
ทั้ง ๕ คํานี้ปรากฏขึ้นในประโยคตัวอยางขางหลัง เพื่อจะตัดคํานาม
นามที่ซ้ํากันออกเสีย และคงไวที่จําเปน คําชนิดนี้แหละบาลีไวยากรณ
เรียกวา สัพพนาม แตทางฝายภาษาไทย เรียกวาคําแทนชื่อดังกลาว
๑. สัพพนาม พระครูมงคลวิลาส (ลัภ โกสโล) วัดราชาธิวาส เรียบเรียง
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 69
แลว.
ตัวอยางทั้งสองที่ยกขึ้นมาจนอางนั้น ลองนึกเปรียบเทียบดูวามีขอ
แตกตางหรือเหมือนกันอยางไรบาง เมื่อกําหนดถึงใจความโดยเฉพาะ
แลวก็เหมือนกัน แตถาจะมุงฟงถอยคําหรือสํานวนโวหารแลวคงผิด
กันมาก เพราะตัวอยางขางตนมีรุงรังไปดวยคําซ้ํา ๆ ซาก ๆ กลาว
คือจะตองเอยถึงตัว นามนาม คือ นายดํา นายขาว กันเรื่อยไป
จนกวาจะจบเรื่อง, สวนตัวอยางขางปลายนั้น มีคําวา แก เปนตน เขา
มาแทนตัวนามนาม คําซ้ําซากจึงหมดไป นับวาเปนการถูกตองตาม
วิธีภาษาที่นิยมที่ใชกันอยูทั่ว ๆ ไป ฉะนั้น คําสัพพนาม จึงตองมี
หนาที่แทน นามนา ที่ออกชื่อมาแลว เพื่อปองกันคําซ้ําซากอันไม
นาฟง และทานแบงคํานี้ออกเปนสอง คือเปน ปุริสสัพพนาม ๑
วิเสสนสัพพนาม ๑.
ปุริสสัพพนาม
นาจะทําความเขาใจคําวา ปุริส ซึ่งอยูหนาสัพพนามเสียกอน
ศัพทนี้แปลกันวา บุรุษ หรือผูชาย แตในบาลีไวยากรณไมได
หมายความวา เปนคําสําหรับใชผูชายอยางเดียว แมจะเปน
ผูหญิงหรือมิใชก็ตาม คงมีความหมายเชนเดียวกัน คือ ปุริส ยอม
มุงหมายที่จะทําหนาที่แทนตัวนามนามที่ออกชื่อมาแลว และกําลังที่จะ
ออกชื่อกลาวโตตอบกันอยู ทั้งที่เปน คน สัตว ที่ สิ่งของ ฉะนั้น
คําวา ปุริส ในที่นี้ เปนแตเพียงโวหารที่นิยมใชกันอยูในสวนหนึ่ง
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 70
ของบาลีไวยากรณ เพื่อเปนเครื่องหมายสําหรับใชเรียกชื่อศัพท
ประเภทหนึ่งเทานั้น แตความมุงหมายคงมีทั่ว ๆ ไป ดังกลาว
แลว.
อีกนัยหนึ่ง โดยมากสํานวนโวหารของภาษาบาลีที่พูดเปนกลาง ๆ
ไมเจาะจงใคร หรือ คนพวกหนึ่ง พวกใด แตมุงจะกลาวสอนหรือ
ตักเตือนเปนเบื้องหนา ก็มักจะยกคําวา บุรุษ บุคคล ชน สัตว ขึ้น
กลาวเปนประธานแหงเนื้อความนั้น ๆ ตอไปนี้จะยกพระพุทธภาษิตที่มี
เฉพาะแตคําวา ปุริโส หรือบุรุษ เปนประธานขึ้นเปนตัวอยาง พอ
เปนเครื่องพิสูจนเปรียบเทียบ คือ :-
๑. สทฺธา ทุติยา ปุริสสฺส โหติ ศรัทธาเปนเพื่อนสองของบุรุษ.
๒. ทุลฺลโภ ปุริสาชฺโ บุรุษอาชาไนยหาไดยาก.
๓. อปฺปสฺสุตาย ปุริโส บุรุษ ผูสดับแลวนอยนี้ ยอมแก
พลิวทฺโทว ชีรติ เหมือนโคถึก.
๔. หิรินิเสโธ ปุริโส บุรุษผูเกียดกันอกุศลวิตกเสีย ดวย
โกจิ โลกสฺมิ วิชฺชติ ความละอาย นอยคนจะมีในโลก.
อุทาหรณทั้ง ๔ ขอนี้ ผูศึกษาคงจะเห็นไดแลววามีคํา ปุริโส
หรือ บุรุษ เปนตัวประธานแหงเนื้อความนั้น ๆ ถาพิจารณาตาม
พยัญชนะแลว ดูเหมือนกับวา พระพุทธเจาจะทรงสั่งสอนแนะนําเฉพาะ
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 71
แตพวกบุรุษฝายเดียวเทานั้น หาไดเกี่ยวของไปถึงฝายผูหญิงไม แต
ถาใครเขาใจเชนนั้น ก็นับวาเขาใจผิดถนัด เพราะพระพุทธภาษิต
หรือ พุทธศาสนา ยอมประกาศเผยแพรใหทุกคน ไมจํากัดเพศภูมิ
ฐานะและวัย ปฏิบัติตามไดทั้งนั้น ดังที่เราเขาใจกันอยูแลว ฉะนั้น
รวมใจความวา ปุริโส คํานี้เปนสาธารณะโวหารที่นิยมใชอยูในภาษา
บาลีทั่วไป ทั้งที่เปนสวนไวยากรณ และสวนธรรมคําสั่งสอน แม
ในอาขยาตทานก็จัดบุรุษเปน ๓ ตามกิริยาศัพทที่ประกอบดวยวิภัตติ
นั้น ๆ และมีความมุงหมายเปนอยางเดียวกัน ดวยอํานาจความเกี่ยว
ของแหงบุคคลกับคําพูด ที่ใชสนทนาซึ่งกันและกัน ฉะนั้น ปุริส-
สัพพนามนี้ ทานจึงจัดเปน ๓ ตามบุรุษที่กลาวไวในอาขยาต คือ
ต ๑, ตุมฺห ๑, อมฺห ๑.
ต (ปุริสสัพพนาม)
ต ศัพทจัดเปน ปฐมปุริส หรือ ประถมบุรุษ สําหรับใช
แทนชื่อ คน สัตว ที่ สิ่งของ ที่กลาวมาแลว ทานบัญญัติ
แปลเปนไทยวา ทาน เธอ เขา มัน เปนตน เปลี่ยนใหถูกตาม
ฐานะชั้นเชิงของบุคคล แตในภาษาบาลีตองเปลี่ยน ลิงค วจนะ
วิภัตติ ของ ต ปุริสสัพพนาม ใหตรงกับ ลิงค วจนะ วิภัตติ
ของนามนาม ที่ออกชื่อถึง เชนในปฐมาวิภัตติ จะตองเปนไป
อยางนี้.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 72
เอกวจนะ พหุวจนะ
ลิงค ประถมบุรุษ นามนาม ประถมบุรุษ นามนาม
ชโน ชนา
มุนิ มุนโน, มุนี
ปุ. โส กรี เต กริโน, กรี
ครุ ครโว, ครู
วิฺู วิฺุโน, วิฺู
ตารา ตาราโย, ตารา
อีติ อีติโย, อีตี
อิต. สา ธานี ตา ธานิโย, ธานี
ยาคุ ยาคุโย, ยาคู
จมู จมุโย, จมู
ธน ธนานิ
นปุ. ต อจฺจิ ตานิ อจฺจีนิ
มธุ มธูนิ
ตามตัวอยางขางบนนี้จะเห็นไดวา นามนาม มีการันตตางกัน
แต ต ศัพท แจกวิภัตติแลวยังคงรูปอยูอยางเดียว และจะตองตรง
กันเชนนี้ไปทุก ๆวิภัตติ สวนการแจกและการเปลี่ยนแปลงวิภัตตินั้น
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 73
ในแบบบาลีไวยากรณเลมนาม ทานแสดงไวโดยชัดเจนแลว ใหผูศึกษา
พึงกําหนดแจก ต สัพพานาม กับ ตัวนามนามใหตรงกันโดยนัยนี้.
วิธีใช ต ปุริสสสัพพนาม
ไดกลาวมาในเบื้องตนแลววา คํานี้สําหรับใชแทน นามนาม ที่
เคยออกชื่อมาแลว เพื่อจะมิใหมีคําซ้ําซาก ในประโยคคําพูดนั้นๆ
ขอใหผูศึกษาพึงสังเกตอุทาหรณในเลมนามขอ ๘๓ อาจริโย ม ฯ เป ฯ
ชั้นเถิด สวนในภาษาไทยไมไดใชยืนเปนแบบเดียว มียักเยื้องไปตาม
ชั้นเชิงของบุคคล พึงเห็นวิธีใชคําปุริสสัพพนาม ที่เปนประถมบุรุษ
ในภาษาไทย ดังตอไปนี้
ต ประถมบุรุษ แปลเปนไทย ใชตามชื่อของบุคคลที่ออกชื่อถึง๑
คํา ประถมบุรุษ ชั้นบุคคลที่ปุริสสัพพนามนั้นใชแทน
พระองค พระราชา เจานายชั้นสูง
พระ, ธ, (ในคําประพันธ) พระราชา เจานายชั้นสูง
ทาน เจานาย ขุนนางผูใหญ พระสงฆสามเณร
ผูที่นับถือ มีมารดาบิดาเปนตน
เธอ ผูที่ยกยอง
เขา ผูเสมอกัน หรือ ผูที่ไมสนิทสนมกัน
แก คนแก ผูที่ไมใชอยูในเกณฑเคารพนับถือ
มัน สัตวดิรัจฉาน สิ่งของ สถานที่
๑. ดัดแปลงมาจาก สนามไวยากรณ วิจีวิภาค.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 74
ตุมฺห
ศัพทนี้ จัดเปนมัชฌิมปุริส หรือ มัธยมบุรุษ สําหรับใชแทน
ชื่อผูฟง คือผูที่เรากําลังพูดหรือถามกันซึ่ง ๆ หนา ในระหวางที่
สนทนากันอยู จะเปนคนหรือสัตวไมเปนประมาณ เพราะทุก ๆ ภาษา
ไมนิยมออกชื่อผูฟง หรือผูที่เรากําลังพูดอยูดวยนั้นขึ้นกลาวตรง ๆ
จึงตองบัญญัติคําขึ้นคําหนึ่ง สําหรับใชแทนตัวนามที่เปนผูฟงนั้น เพื่อ
กันความเคอะเขินที่จะตองออกนามจริงกันซึ่งหนา ตัวอยางเชน
พระ ก. ถามพระ ข. วา "ทานไปไหนา ? " ดังนี้ คําวา "ทาน"
เปนคําแทนชื่อของพระ ข. ซึ่งเปนผูฟงคําถามของพระ ก. เพราะ
ฉะนั้น พระ ข. จึงตองเปนมัธยมบุรุษ ในภาษาบาลีบัญญัติ ตุมฺห
ศัพทเดียวเทานั้น สําหรับใชแทนชื่อจริงของนามดังกลาวแลว แตถา
จะแปลออกเปนภาษาไทยก็ไดหลายคํา เชน เขา ทาน สู เอ็ง มึง
เปนตน ตามลําดับฐานะชั้นเชิงของนามนามนั้น เพื่อใหเหมาะสมกับ
ความสูงต่ําหรือเสมอกันกับผูพูด และถูกตองตามภาษานิยม พึงดูวิธี
ใชมัธยมบุรุษในภาษาไทย ดังจะนํามาเปนตัวอยางเพื่อเปนทางให
ผูศึกษาเทียบเคียงดู แลวแปลภาษาบาลีออกเปนภาษาไทย ให
ถูกตองตามนิยม อยาใหเปนการเคอะเขินในเมื่อแปลคําแทนชื่อนั้น ๆ
ดังตอไปนี้ :-
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 75
ตุมฺห มัธยมบุรุษ แปลเปนไทย ใชใหถูกตามชั้นของบุคคลผูฟง ๑
คํามัธยมบุรุษ ชั้นผูพูด (อมฺห) ชั้นผูฟง (ตุมฺห)
ใตฝาละอองธุลีพระบาท ผูนอย พระราชา
ใตฝาละอองพระบาท ผูนอย พระราชินี, พระยุพราช
ใตฝาพระบาท ผูนอย เจานายชั้นสูง
ฝาพระบาท เจานายที่เสมอกัน เจานายชั้นรองลงมา
หรือผูนอย
สมเด็จบรมพิตร
พระราชสมภารเจา พระสงฆ พระราชาที่ยกยอง
บพิตรพระราชสมภาร
เจาหรือมหาบพิตร พระสงฆ พระราชาทั่วไป
บพิตร พระสงฆ เจานาย, ขุนนางชั้นสูง
ใตเทากรุณาเจา ผูนอย สมเด็จเจาพระยา
ใตเทากรุณา ผูนอย ขุนนางชั้นสูง, พระ-
ราชคณะ
เธอ ผูใหญ ผูนอยที่ยกยอง
๑. ดัดแปลงมาจาก สยามไวยากรณ วจีวิภาค.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 76
คํา มัธยมบุรุษ ชั้นผูพูด (อมฺห) ชั้นผูฟง (ตุมฺห)
ทาน คนสุภาพทั่วไป, คนสุภาพทั่วไป, พระ
คฤหัสถ, พระสงฆที่ สงฆ ที่มีพรรษามาก
มีพรรษานอยกวา กวา
คุณ คนสุภาพทั่วไป, พระ คนสุภาพทั่วไป, พระ
สงฆมีพรรษามาก สงฆผูมีพรรษานอย
กวา กวา
หลอน ชายที่รัก หญิงที่รัก
สู (โบราณ) ผูใหญ ผูนอย,
เอ็ง แก มึง ผูเปนนาย หรือ ผูนอย, เพื่อนที่ชอบ
ผูใหญกวา เพื่อน พอกัน
ที่ชอบพอกัน
ศัพทนี้จัดเปน อุตฺตมปุริส หรือ อุดมบุรุษ สําหรับใชแทนชื่อ
ผูพูด ภาษาทั่วไปเมื่อพูดจะออกชื่อตนเอง ไมออกชื่อตรง ๆ หาคํา
อื่นมาใชแทน จึงตองบัญญัติคําขึ้นคําหนึ่ง สําหรับใชแทนชื่อผูพูด
เพื่อใหคูสนทนาเขาใจความหมาย เชนตัวอยางวา พระ ก. บอกกับ
พระ ข. วา "วันนี้ผมอาพาธ" คําวา "ผม" เปนคําแทนชื่อของ
พระ ก. ซึ่งเปนตัวผูพูด และเปนอุดมบุรุษ ในภาษาบาลีทานบัญญัติ
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 77
อมฺห ศัพทเดียวเทานั้น สําหรับใชแทนชื่อผูพูด แตถาจะแปลเปน
ภาษาไทยก็ไดหลายคํา เชน ฉัน ขา กู เปนตน ตามลําดับฐานะ
ชั้นเชิงของผูพูดนั้น เพื่อใหเหมาะสมกับความสูงต่ําหรือเสมอกันกับ
ผูฟง ทั้งใหถูกตองตามภาษานิยมดวย พึงดูวิธีใชอุดมบุรุษในภาษา
ไทย ดังตอไปนี้ :-
อมฺห อุดมบุรุษ แปลเปนไทย ใชใหถูกตองตามชั้นของผูพูด
อุดมบุรุษ ผูพูด ผูฟง
ขาพระพุทธเจา ผูนอยทั่วไป พระราชา, เจานายชั้นสูง
เกลากระผม ผูนอยทั่วไป เจานายชั้นรองลงมา
กระหมอนฉัน เจานายผูใหญ หรือ เจานายเสมอกันหรือ
หมอนฉัน ผูเสมอกัน, ขุนนาง ผูนอย
กระหมอม ผูใหญ
อาตมภาพ พระสงฆ พระราชา, เจานาย,
ขุนนาง
เกลากระผม เกลาผม ผูนอยทั่วไป ขุนนางชั้นสูง, พระ
ราชาคณะชั้นสูง
กระผม ขุนนางผูใหญ หรือ พระสงฆ, ขุนนาง เสมอ
ผูเสมอกัน, คนสุภาพ กัน, คนสุภาพ ผูนอย,
ดีฉัน (โบราณ) ผูใหญ พระสงฆผูนอย
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 78
อุดมบุรุษ ผูพูด ผูฟง
อิฉัน ผูนอย (หญิง) ผูใหญ, ไมใชเจานาย
ตู (โบราณ) สามัญ สามัญ
ขา (โบราณ) ผูนอย ผูใหญ
ขา, กู (ไมสุภาพ) ผูเปนนาย, เพื่อนกัน คนใช, เพื่อกัน
เรา (โบราณ) ผูใหญ ผูนอย
เรา ทั่วไปหลายคน ทั่วไปไมใชเจานาย
และขุนนางชั้นสูง
ขาพเจา ขาเจา ทุกชั้น ใชเปนกลางทั่วไป
คําแปลของปุริสสัพพนาม คือ ต ตุมฺห อมฺห ที่กลาวมา
แลวนี้ ยังไมสิ้นเชิง คําพูดของภาษาไทยที่ใชในคําประเภทนี้มีมาก
อาจหมุนเวียนไปตามกาลสมัย และทองถิ่นนั้น ๆ นิยมกัน.
วิธีใช ตุมฺห และ อมฺห
ทั้งสองศัพทนี้ สําหรับใชแทนนามคูสนทนา ดังกลาวแลว และ
จะตองนําไปแจกวิภัตติเสียกอนเหมือนศัพททั้งหลายอื่น แตการแจก
วิภัตตินั้น ก็แจกมีรูปอยางเดียวกันทั้ง ปุลิงค และ อิตถีลิงค ดังที่ทาน
แสดงไวในแบบนามนั้นแลว.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 79
นามนาม ซึ่งเปนคูสนทนา จะเปนลิงคอะไร ตุมฺห อมฺห
ทั้ง ๒ นี้ ก็คงอยูอยางนั้น ไมเปลี่ยนไปตาม และการแปลก็ออกชื่อ
คําแปล ตุมฺห อมฺห นั้นโดยตรงกันวิภัตติของตน พรอมดวยออก
ชื่ออายตนิบาตไปดวย เชน ตฺว อันวา ทาน , ตุมฺหาก แหงทาน
ทั้งหลาย, อห อันวาเรา, อมฺหาก แหงเราทั้งหลาย, เปนตน ไมเหมือน
ต ศัพทที่เปนสัพพนามดวยกัน ซึ่งจะตองใหมี ลิงค วจนะ วิภัตติ
ตรงกันกับตัว นามนาม ที่ออกซึ่งถึง และเปนปุริสสัพพนาม ก็
แปลคลาย ๆ กับ ตุมฺห อมฺห เชน โส อันวา เขา เปนตน ถา
เปนวิเสสนสัพพนาม ก็แปลวา นั้น โดยไมตองออกชื่ออายตนิบาต
แตจะตองโยคตัวนามนามที่กลาวแลวขางตนมาดวย เชน โส นโร
อันวา คนนั้น.
อนึ่ง เฉพาะ ตุมฺห ศัพทนั้น เมื่อคูสนทนาจะแสดงความ
เคารพ ในเมื่อผูพูด เปนผูนอย อีกฝายหนึ่งซึ่งเปนผูฟง เปนผูใหญ
ทางฝายผูพูดตองเรียกนามผูใหญนั้นดวย ตุมฺห ที่เปนพหุวจนะ เชน
ศิษยเขาไปพูดกับอาจารยวา (ตุมฺเห๑
) อปรสฺสป เถรสฺส
คุณ ทสฺเสถ แปลวา ขอทานจงแสดงคุณของพระเถระรูปอื่นอีก และ
โสมทัตไดพูดกับบิดาของเขาวา ตุฒฺเหหิ ราชกุล คนฺตฺวา เอว
อภิกฺกมิตพฺพ แปลวา อันทานไปแลวสูราชสกุล พึงกาวไปขางหนา
อยางนี้.
๑. อุภัยพากยปริวัตน ภาค ๒ ขอ ๕๐๑ ๒. ธมฺมปทฏกถา ๕/๑๑๙
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 80
ทั้ง ๒ อุทาหรณนี้ จะเห็นไดวา ตุมฺเห ก็ดี ตุมฺเหหิ ก็ดี
เปนพหุวจนะสําหรับใชแทนอาจารยคนเดียว และบิดาคนเดียว ใน
ฐานที่ศิษยกับบุตรแสดงความเคารพตอผูใหญของตน และจะไมตอง
ออกชื่อพหุวจนะ วาทั้งหลาย ในเวลาแปลก็ได.
ใช เต เม โว โน อยางไร
เต โว ออกมาจาก ตุมฺห มัธยมบุรุษ, เม โน ออกมาจาก
อมฺห อุตตมบุรุษ. ทั้ง ๔ ศัพทนี้ เมื่อจะเรียงเขาประโยคตองมีบท
อื่นนําหนากอน จึงจะใชได เชน
๑. ปุตฺโต เต วย ปตฺโต บุตร ของทาน ถึงแลว ซึ่งวัย.
๑ ๒ ๔ ๓ ๑ ๒ ๓ ๔
๒. (อห) สตฺต โว ภิกฺขเว อปริหานิเย ธมฺเม เทเสสฺสามิ
๒ ๖ ๗ ๑ ๕ ๔ ๓
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เรา จักแสดง ซึ่งธรรมทั้งหลาย (อัน) ไมเปน
๑ ๒ ๓ ๔
ที่ตั้งแหงความเสื่อม เจ็ดประการ แกเธอทั้งหลาย.
๕ ๖ ๗
๓. นตฺถิ เม สรณ อฺ ที่พึ่ง อยางอื่น ของขาพเจา
๔ ๓ ๑ ๒ ๑ ๒ ๓
ไมมี.
๔
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 81
๔. ธมฺโม โน อุตฺตม สรณ พระธรรม เปนที่พึ่ง (อัน)
๑ ๔ ๓ ๒ ๑ ๒
สูงสุด ของเราทั้งหลาย.
๓ ๔
ตองมีบทอื่นนําหนาเชนนี้ ก็เพราะศัพททั้ง ๘ นี้ เมื่อแจกวิภัตติ
แลว มีรูปเหมือนกับกันศัพทอื่น ซึ่งมีความหมายไปอีกทางหนึ่ง
คือ
เต แปลวา เขาทั้งหลาย, เหลานั้น, เปน ต ศัพท ป. ทุ.
พหุวจนะ.
โว แปลวา โวย เปนนิบาต สักวาเปนเครื่องทําบทใหเต็ม.
โน แปลวา ไม เปนนิบาตบอกปฏิเสธ.
อาศัยเหตุนี้ จึงตองมีบทอื่นนําหนา เต โว มัธยมบุรุษ และ
เม โน อุตตมบุรุษ
วิเสสนสัพพนาม
เฉพาะคําวา "สัพพนาม" คําเดียว ซึ่งเปนสงหนึ่งของ
นามศัพทหนึ่ง ผูศึกษายังจําไดอยูวา "เปนชื่อสําหรับใชแทนนามนาม
ที่ออกชื่อมาแลว เพื่อจะไมใหซ้ํา ๆ ซาก ๆ ซึ่งไมเพราะหู" ดังที่
ทานไดแสดงไวในเลมนามและอัพยยศัพท ขอ ๓๗ นั้นแลว แตใน
ที่นี้ตองเติมคําวา วิเสสนะ เขาขางหนาสัพพนาม อีกคําหนึ่ง จึง
รวมเปนคําเดียวกันเรียกวา วิเสสนสัพพนาม.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 82
วิเสสนสัพพนามนี้ ไมไดเปนคําพูดที่ใชแทนตัวนามนามโดยตรง
ทีเดียว มีลักษณะคลาย ๆ กับคุณนาม แตก็ไมไดเปนคุณนามแม
เพียงโดยปริยาย เมื่อใชประกอบเขากับนามนามตัวใด ก็มุงหมาย
เพื่อใหนามนามตัวนั้นปรากฏแนชัดขึ้น ทั้งเปนการแสดงใหรูความ
ตางกันแหงนามนามนั้นกับนามนามอื่น ซึ่งไดออกชื่อมาแลวดวย ฉะนั้น
เพื่อจะใหทราบความตางกันในขอนี้ จึงสมควรที่จะทําความเขาใจใน
คําวา วิเสสนะ เสียกอน.
วิเสสนะ
คํานี้ ถาแปลเปนภาษาไทย ก็ตองเขียนเปน วิเสสน แปลวา
การแยก การทําใหแตกตาง หรือทําใหจะแจง หมายความวา เปน
คําจําพวกที่ใชประกอบคําอื่น ใหมีเนื้อความแปลพิเศษออกไปโดย
ชัดเจน จัดประเภทออกเปน ๓ คือ เปนคุณ ๑ สัพพนาม ๑ กิริยา
(กิตก) ๑.
๑. วิเสสนะ ที่เปนคุณ เรียก คุณนาม สําหรับประกอบกับ
นามนาม บอกลักษณะของนามนามนั้นใหรูวาดีหรือชั่วอยางไร เชน
เขียว (นีล), ดี (สุนฺทร) , ใหญ (มหนฺต), ฯลฯ แมศัพทสังขยา
ที่เปนคุณนาม ก็สงเคราะหเขาในวิเสสนะประเภทนี้เหมือนกัน ดังที่
ไดอธิบายมาในตอนตนนั้นแลว.
๒. วิเสสนะ ที่เปนสัพพนาม เรียก วิเสสนสัพพนาม สําหรับ
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 83
บอกความกําหนดแนนอนและ ใหรูวานามนามนั้นอยูในที่
ใกลหรือไกล เชน นั้น (ต), นี้ (อิม), อื่น (อฺ) ฯลฯ ซึ่ง
จะไดอธิบายตอไป.
๓. วิเสสนะ ที่เปน กิริยา เรียก กิริยากิตก เฉพาะที่แจก
วิภัตติได และเปนกิริยาที่ทํากอน กิริยาสุดทายในประโยคเดียวกัน
ตัวอยางเชน จูฬปนฺถโก คจฺฉนฺโต สตฺถาร ทิสฺวส อุปสงฺกมิตฺวา
วนฺทิ พระจูฬปนถกกําลังเดินอยู เห็นพระศาสดาแลว เขาไปถวาย
บังคม. คจฺฉนฺโต เปนกิริยากิตก จัดเปนวิเสสนะของนามนาม คือ
จูฬปนฺถโก เพราะเปนกิริยาที่ทํากอน วนฺทิ อันเปนกริยาสุดทาย
ในประโยคนั้น. กิริยากิตกที่ลง อนฺต ปจจัย แจกดวยปฐมาวิภัตติ
ถาอยูหลังตัวประธาน หนากริยาหมายพากย ทางสัมพันธเรียกวา
อัพภันตรกิริยา โดยมากถาเปนวิภัตติอื่นจากปฐมาวิภัตติ และ ฉัฏฐี-
วิภัตติที่เปนกิริยาอนาทร และสัตตมีวิภัตติที่เปนกิริยาลักขณวันตะ
แลว เปนวิเสสนะทั้งสิ้น. วิเสสนะประเภทนี้ สําหรับบอกความเคลื่อน
ไหวของนามนาม ใหรูวานามนามนั้นมีอาการอยางไร เชน เดิน
(คจฺฉนฺต), ยืน (ิต), นั่ง (นิสีทนฺต) เปนตน.
วิเสสนะทั้ง ๓ ประเภทนี้ เมื่อนําไปประกอบกับนามนามบทใด
ตองมี ลิงค วจนะ วิภัตติ เหมือนนามนามบทนั้น พึงเห็นตัวอยาง
ดังตอไปนี้
๑. ธมฺมปทฏกถา ๒/๒๑๘.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 84
วิเสสนะ ภาษาไทย ภาษาบาลี
ภูเขาใหญ มหนฺโต ปพฺพโต ปุ.
ที่เปน คุณนาม ชบาเขียว นีลา ชปา อิต.
สกุลดี สุนฺทร กุล นปุ.
ชายนั้น โส ปุริโส ปุ.
ที่เปน สัพพนาม หญิงนี้ อย อิตฺถี อิต.
ทรัพยอื่น อฺ ธน นปุ.
คนยืน นโร ิโต ปุ.
ที่เปน กิริยา เด็กหญิงเดิน ทาริกา คจฺฉนฺตี อิต.
หญางอก ติณ รุฬิห นปุ.
ตัวอยางขางบนนี้เปนเอกวจนะอยางเดียว และจะเห็นไดวา
วิธีเรียกคําที่เปนวิเสสนะในภาษาไทย กับภาษาบาลีไมเหมือนกัน คือ
ในภาษาไทย วิเสสนะทั้ง ๓ อยาง อยูหลังนามนาม แตในภาษาบาลี
นั้น วิเสสนะที่เปนคุณกับสัพพนาม โดยมากอยูขางหนานามนาม ที่
เปนกิริยา มักจะอยูขางหลังโดยมาก.
อนึ่ง ศัพทนิบาตบางศัพท ซึ่งใชประกอบกับคํากิริยา เพื่อใหมี
เนื้อความแปลไปจากปกติ บางแหงทานเรียกวา คุณของกิริยา ก็
จัดเปน วิเสสนะ ไดเหมือนกัน และเรียกศัพทเหลานั้นวา กิริยาวิเสสน
หรือ กิริยาวิเสสนะ ตัวอยางเชน
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 85
เอว เวทหิ เจาจงวาอยางนี้ เอว แปลวา อยางนี้ เปนศัพท
นิบาต ประกอบเขากับ กิริยา คือ วเทหิ ซึ่งแปลวา เจาจงวา.
ปุนปฺปุน กโรถ พวกทานจงทําบอย ๆ ปุนปฺปุน แปลวา
บอย ๆ เปนศัพทนิบาต ประกอบเขากับกิริยา คือ กโรถ ซึ่งแปล
วา จงทํา.
นิบาตที่เปนกิริยาวิเสสนะ จะตองอยูหนากิริยาเสมอไป.
นามนาม กับ วิเสสนะ
ตัวประธานของวิเสสนนั้น ไดแกศัพทที่เปน นามนาม และ
ปุริสสัพพนาม ซึ่งไดกลาวมาแลวในตอนตน เวลาแปลตองออกชื่อ
อายตนิบาตของวิภัตตินั้น ๆ ดวย สวนตัววิเสสนะ เวลาแปลไมตอง
ออกชื่ออายตนิบาตของวิภัตติ เพราะไดออกชื่อที่บทนามนามแลว และ
บทนามนามกับวิเสสนะนั้นเลา ก็มีลิงค วจนะ วิภัตติ ตรงกัน ดัง
ตัวอยางตอไปนี้ :-
สา อาวุโส เทวี ปริปกฺกคพฺภา อตฺตโน นิวาสนฏานภูต
๓ ๑ ๒ ๔ ๘ ๗
เทวทห คนฺตุกามา ฯลฯ แปลวา ดูกอนผูมีอายุ อันวาพระนางเทวี
๖ ๕ ๑ ๒
พระองคนั้น มีพระครรภแก ใครเพื่อจะเสด็จไป สูกรุงเทวทหะ
๓ ๔ ๕ ๖
เปนที่เคยประทับ ของพระองค
๗ ๘
๑. อุภัยพากยปริวัฒน ภาค ๒ ขอ ๔๔๕.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 86
ทั้งคําไทยและคําบาลี หมายเลข ๗ เปนนาม ปฐมาวิภัตติ มี
ออกชื่อ อายตนิบาต ปฐมาวิภัตติวา "อันวา" แตหมายเลข ๓-๔-๕
จัดเปนวิเสสนะของบทบาท หมายเลข ๖ นั้น ก็เปนนามนาม แตเปน
ทุติยาวิภัตติ แปลออกชื่ออายตนิบาตวา "สู" แตคําหมายเลข ๗
ไมไดแปลออกชื่ออายตนิบาตเลย เพราะเปนคุณหรือวิเสสนะ ของ
คําหมายเลข ๖ อยูแลว. ในวากยสัมพันธ คํานามนามที่ไมไดประกอบ
ปฐมาวิภัตติ และมีบทวิเสสนะกํากับอยูดวย ทานเรียกชื่อสัมพันธ
ตามหลักการสัมพันธ.
วิเสสนสัพพนาม กับ คุณนาม ตางกัน
วิเสสนสัพพนาม สําหรับใหเปนบทวิเสสนะของนามนาม เพื่อ
ใหแปลกจากปกติ และทําใหนามนามนั้นเดนชัดขึ้นอีกดวย ทั้งแสดง
ใหรูวากําหนดแนนอนหรือไม อยูใกลหรืออยูไกล แตจะใชเปนบท
ประธานเหมือนอยางปุริสสัพพนามนั้นไมได มีวิธีแจกวิภัตติอยางหนึ่ง
ตางหาก ไมเหมือนกับคุณนาม ซึ่งจะตองแจกตามแบบนามนาม
เสมอ และถึงแมจะอยูในจําพวก สัพพนาม ดวยกันก็จริง แตหาได
ใชแทนนามนามโดยตรงทีเดียวไม มีลักษณะทาทีคลาย ๆ กับคุณนาม
ดังกลาวแลวขางตน.
สวน คุณนาม นั้น เปนคําสําหรับใชบอกลักษณะดีหรือชั่วเปนตน
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 87
ของนามนาม ใหปรากฏชัดเจนขึ้น เพื่อใหรูวา นามนามนั้นเปน
อยางไร ตัวอยางเชน "บุรุษนั้นดี" คําวา บุรุษ เปนนามนาม เปน
บทประธานในประโยคคําพูดนี้, คําวา "นั้น" เปนวิเสสนสัพพนาม
เพราะเปนคําที่ใชประกอบบทนามนาม คือ บุรุษ ใหเห็นวาอยูไกลจาก
ผูกลาวถึงไปหนอย และกําหนดแนนอนดวยวา เปนบุรุษคนนั้นไมใช
คนอื่น หรือคนนี้ สวนคําวา "ดี" เปนคุณนามโดยตรง เพราะ
แสดงลักษณะบุรุษ ซึ่งเปนนามนาม ใหรูวาเปนบุรุษที่ดี ไมไดเปน
คนชั่ว หรือเปนอยางอื่น ตัวอยางนี้แสดงใหเห็นวา วิเสสนสัพพนาม
กับ คุณนาม นั้นตางกันแลวอยางไร แตลักษณะบางอยางที่เหมือน
กันก็มี เชน ตางก็ตองใชเปนบทประกอบ บอกลักษณะอาการของ
นามนามดวยกัน และตางก็ตองมี ลิงค วจนะ วิภัตติ เปนอยาง
เดียวกันกับ นามนาม ตัวนั้น.
อนิยม กับ นิยม
ทั้งสองคํานี้ ถูกแบงมาจาก วิเสสนสัพพนาม ซึ่งมีความหมาย
ตางกัน และศัพทที่ใชก็ตางกัน ดังตอไปนี้ :-
อนิยม
ศัพทนี้แปลวา ไมกําหนด หรือไมแน สัพพนามที่ใชแทนนามนาม
ที่ไมกําหนดแนนอนลงไปวาเปนสิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือคนนั้นคนนี้ เรียกวา
อนิยม วิเสสนสัพพนาม ไดแกคําตอไปนี้ :-
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 88
ย แปลวา ใด
อฺ " อื่น
อฺตร " คนใดคนหนึ่ง
อฺตม " คนใดคนหนึ่ง
ปร " อื่น
อปร " อื่นอีก
กตร " คนไหน
กตม " คนไหน
เอก " คนหนึ่ง, พวกหนึ่ง
เอกจฺจ " บางคน, บางพวก
สพฺพ " ทั้งปวง
กึ " หรือ, อะไร
อุภย " ทั้งสอง
เปนคําใชแทน หรือ ประกอบ นามนาม โดยไมไดกําหนด
แนนอนลงไปวา สิ่งนั้น สิ่งนี้ หรือ คนนั้น คนนี้ เปนตน เชน
"โย ปุคฺคโล" แปลวา บุคคลใด คําวา "ใด" เปน อนิยม
วิเสสนสัพพนาม ประกอบคําวา บุคคล ใหวิเศษขึ้น แตยังรูไมไดวา
เปนบุคคลนั้น หรือบุคคลนี้ อยูในที่ใกลหรือไกล รูไดแตเพียงวาเปน
นามนามอยางหนึ่ง ซึ่งยกขึ้นกลาววา บุคคล คือ จะเปนบุคคลใด ๆ
ก็ตาม ยอมมีความมุงหมายถึงทั้งหมด ฉะนั้น คําวา "ใด" นี้ จึง
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 89
หาความกําหนดแนนอนลงไปเดียวไมได สวนคําตอไปนอกจาก เอก
กับ กึ มี อฺ เปนตน ก็มีนัยเดียวกัน.
เอก
ถาผูศึกษาตรวจดูในขอ ๗๓-๘๑ เลมนาม และ อัพยยศัพทให
ตลอดถี่ถวน จะเห็นไดวา เอก ศัพทนี้เปนสังขยาก็ได เปนอนิยม-
วิเสสนสัพพนาม ก็ได.
เอก ที่เปนสังขยา เรียกวา สังขยา สําหรับใชเปนเครื่อง
กําหนดนับนามนาม โดยมุงหมายก็เพื่อจะใหทราบจํานวนของนามนาม
วามีเทาไร ฉะนั้น เอกสังขยา จึงตองเปน คุณนาม และเปนได
เฉพาะแต เอกวจนะ อยางเดียว.
เอก ที่เปนอนิยมวิเสสนสัพพนาม เรียกวา เอกสัพพนาม
ไมไดมุงหมายที่จะนับ นามนาม เพื่อใหทราบจํานวน เปนแตเพียงใช
ประกอบเขากับบทนามนาม เพื่อความสละสลวยแหงสํานวนโวหาร
ที่จะกลาวขึ้นในเบื้องตนแหงเรื่องนั้น ๆ ดังจะเห็นไดในเรื่องพระสูตร
ตาง ๆ มักจะขึ้นตนวา (เอวมฺเม สุต), เอก สมย ภควา
สาวตฺถิย วิหารติ แปลวา (ขาพเจาไดฟงมาแลวอยางนี้) สมัยหนึ่ง
พระผูมีพระภาค เสด็จประทับอยูในเมืองสาวัตถี ฯลฯ ดังนี้ คําวา
เอก เปนวิเสสนะ (อนิยมวิเสสนสัพพนาม) ของ สมย แตไมได
มุงหมายที่จะนับ สมัย วา หนึ่งสมัย หรือ สองสมัย ฉะนั้น
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 90
จึงตองแปล เอก สมย วา สมัยหนึ่ง. ถา เอก ศัพทนี้ประกอบ
เขากับคําวา คน หรือ พวก ก็แปลวา คนหนึ่ง หรือ พวกหนึ่ง
ซึ่งผิดกันกับ เอก ที่เปนสังขยา โดยมาก จะตองแปลวา หนึ่งคน
หรือ หนึ่งพวก เปนตน. เอกสัพพนาม นี้ เปนไดทั้งสองวจนะ
เพราะมีความหมายตางกัน ดังกลาวแลว.
กึ
ศัพทนี้ สําหรับใชเปนคําถาม แมจะเปนอนิยมวิเสสนสัพพนาม
ดวยกันก็จริง แตมีวิธีใชพิสดารหลายอยาง ซึ่งตางจากศัพทอื่นๆ
ในประเภทเดียวกัน พึงสังเกตในหัวขอตอไปนี้ :-
๑. การแจกวิภัตติ กึ ศัพท ในปุลิงคทานใหแปลง กึ เปน ก
แลวแจกตามแบบ ย ศัพท ดังนี้ :-
ปุลิงค
เอก. พหุ.
ป. โก เก
ทุ. ก เก
ต. เกน เกหิ
จ. กสฺส เกส เกสาน
ปฺ. กสฺมา กมฺหา เกหิ
ฉ. กสฺส เกส เกสาน
ส. กสฺมึ กมฺหิ เกสุ
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 91
อิตถีลิงค
เอก. พหุ.
ป. กา กา
ทุ. ก กา
ต. กาย กาหิ
จ. กสฺสา กาส กาสาน
ปฺ. กาย กาหิ
ฉ. กสฺสา กาส กาสาน
ส. กสฺส กาสุ
๒. ในนปุสกลิงค ใหคงรูป กึ ไวเฉพาะแตใน ป. ทุ. เอกวจนะ
และในที่บางแหงเอา ก เปน กิ ไดบาง เชนในคําวา ต กิสฺส เหตุ
และคําวา กิสฺมึ วตฺถุสฺมึ. นอกนั้นใหแปลงเปน ก แลวแจกตาม
แบบ ย ศัพท ดังนี้ :-
นปุสกลิงค
เอก. พหุ.
ป. กึ กานิ
ทุ. กึ กานิ
ต. เกน เกหิ
จ. กสฺส (กิสฺส) เกส เกสาห
ปฺ. กสฺมา กมฺหา เกหิ
ฉ. กสฺส (กิสฺส) เกส เกสาน
ส. กสฺมึ (กิสฺมึ) กมฺหิ เกสุ
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 92
๓. กึ ศัพทในปุ. อิต. นั้นแปลได ๒ อยาง คือ ถาประสงค
ใหเปนวิเสสนสัพพนาม ก็แปลวา "ไร" หรือ "อะไร" ตองระบุชื่อ
นามนาม เหมือน ต ศัพทที่เปนวิเสสนสัพพนาม เชน โก รุกฺโข
ตนไม อะไร. กา รชฺชุ เชือก อะไร. ถาประสงคใหเปนประธาน ก็
แปลวา "ใคร" ไมตองระบุนามนาม คือใชตามลําพังตนเอง เหมือน
ต ศัพทที่เปนปุริสสัพพนาม เชน โก ใคร และโดยมากที่แปลวาใคร
นั้น มักใชที่เปนปุลิงค เอกวจนะเปนพื้น.
๔. ที่แจกไดในลิงคทั้งสามนั้น ถาเพิ่ม จิ เขาขางทาย ก็จะมีรูป
เปน โกจิ กาจิ กิฺจิ เปนตน (ผูศึกษาควรฝกหัดแจกใหครบทั้ง ๗
วิภัตติ โดยตอ จิ เขาขางหลังวิภัตตินั้น ๆ ) แปลวา "นัยหนึ่ง"
บาง, "บางคน" หรือ "บางสิ่ง" บาง, และเปนคําใหวาซ้ําสองหน
เหมือนวิธีใชไมยมก (ๆ) ในภาษาไทยเชน "ใคร ๆ" หรือ "ไร ๆ"
บาง, ถาเปนพหุวจนะ แปลวา "บางพวก" หรือ "บางเหลา, เหลา
ไหน" หรือ "เหลาไร" ตัวอยาง เชน :-
เอกวจนะ ปุ. โกจิ กุมาโร แปลวา เด็กชาย บางคน
อิต. กาจิ กุมาริกา " เด็กหญิง บางคน
นปุ. กิฺจิ ธน " ทรัพย บางอยาง
พหุวจนะ. ปุ. เกจิ กุมารา " เด็กชายทั้งหลาย บางพวก
อิต. กาจิ กุมาริกาโย " เด็กชายทั้งหลาย บางพวก
นปุ. กานิจิ ธนานิ " ทรัพยทั้งหลาย บางอยาง
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 93
๕. กึ ศัพทที่มี ย นําหนา มี จิ ตอทาย ถาแจกวิภัตติในลิงค
ทั้งสาม ก็จะสําเร็จรูปดังนี้ :-
ปุลิงค
เอก. พหุ.
ป. โย โกจิ เย เกจิ
ทุ. ยงฺกฺจิ เย เกจิ
ต. เยน เกนจิ เยหิ เกหิจิ
จ. ยสฺส กสฺสจิ เยส เกสฺจิ, เยสาน เกสานฺจิ
ปฺ. ยสฺมา กสฺมาจิ เยหิ เกหิจิ
ฉ. ยสฺส กสฺสจิ เยส เกสฺจิ, เยสาน เกสานฺจิ
ส. ยสฺมึ กสฺมิฺจิ เยสุ เกสุจิ.
อิตถีลิงค
เอก. พหุ.
ป. ยา กาจิ ยา กาจิ
ทุ. ยงฺกฺจิ ยา กาจิ
ต. ยาย กายจิ ยาหิ กาหิจิ
จ. ยสฺสา กสฺสาจิ ยาส กาสฺจิ, ยาสาน กาสานฺจิ
ปฺ. ยาย กายจิ ยาหิ กาหิจิ
ฉ. ยสฺสา กสฺสาจิ ยาส กาสฺจิ, ยาสาน กาสานฺจิ
ส. ยสฺส กสฺสฺจิ ยาสุ กาสุจิ.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 94
นปุสกลิงค
เอก. พหุ.
ป. ยงฺกิฺจิ ยานิ กานิจิ
ทุ. ยงฺกิฺจิ ยานิ กานิจิ
ต. เยน เกนจิ เยหิ เกหิจิ
จ. ยสฺส กสฺสจิ เยส เกสฺจิ, เยสาน เกสานฺจิ
ปฺ. ยสฺมา กสฺมาจิ เยส เกหิจิ
ฉ. ยสฺส กสฺสจิ เยส เกสฺจิ, เยสาน เกสานฺจิ
ส. ยสฺมึ กสฺมิฺจิ เยสุ เกสุจิ
ที่มี  อยูหนา จิ นั้น เอานิคคหิตเปน  ดวยอํานาจ จ อยู
ขางหลัง ตามวิธีสนธิขอ ๓๒ ในอักขรวิธี.
สวนการแปลก็ตางจากที่กลาวมาแลว คือใน ปุ. กับ อิตฺ.
เอกวจนะ ใหแปลวา "คนใดคนหนึ่ง, แหงใดแหงหนึ่ง, อยางใด-
อยางหนึ่ง." พหุวจนะ ใหแปลวา "พวกใดพวกหนึ่ง, เหลาใดเหลา
หนึ่ง " ใน นปุ. ใหแปลวา "อันใดอันหนึ่ง."
จงสังเกตทําความเขาใจตามอุทาหรณในแบบนาม ขอ ๘๗.
๖. กึ ศัพทไมไดเปนอนิยมวิเสสนสัพพนามแตอยางเดียว เปน
นิบาตบอกความถาม เรียกวา ปุจฺฉนตฺถนิบาต ก็มีเหมือนกัน
แปลวา "หรือ" ถาเปนคําถามถึงเหตุ แปลวา "ทําไม" ก็ได
ดังอุทาหรณในแบบนาม ขอ ๘๗.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 95
นิยม
ศัพทนี้แปลวา "กําหนด" คือกลาวชี้ตัว นามนาม ใหปรากฏ
โดยชัดเจนทีเดียว ไมกระจัดกระจายทั่วไปในนามอื่นที่กลาวมาแลว.
สัพพนามพวกนี้ไดแก :-
ต แปลวา "นั้น" สําหรับใชแทน นามนาม ที่หางออกไปพอ
ประมาณ หรือกลาวใหปรากฏชัดวา คนนั้น หรือ สิ่งนั้น, ไมใช
คนอื่น หรือ สิ่งอื่น.
เอต แปลวา "นั่น" สําหรับใชแทน นามนาม ที่ใกลเขามาหนอย
หรือเปนโวหารกลาวซ้ําใหปรากฏเปนครั้งที่สอง.
อิม แปลวา "นี้" สําหรับใชแทน นามนาม ที่ใกลที่สุด หรือ
กลาวใหแนชัดวาเปน คนนี้ หรือ สิ่งนี้, ไมใช คนนั้น คนอื่น
หรือสิ่งนั้น สิ่งอื่น.
อมุ แปลวา "โนน" สําหรับใชแทน นามนาม ที่หางที่สุด.
เพื่อจะใหความเขาใจในตอนนี้ดีขึ้น ผูศึกษาจงเปดดูอุทาหรณ
ในนาม ขอ ๘๓ ซ้ําอีกที แลวจงพยายามตรึกตรอง และกําหนด
หมายเลขที่ทานลงกํากับไวที่ศัพท และคําแปลนั้น ๆ ใหดี ถึงแมวา
ในอุทาหรณเหลานั้นจะมีแตที่ใชกับ ต ศัพทอยางเดียวก็จริง แตเชื่อวา
อาจนํา เอต, อิม, อมุ เขาไปใชแทน และเทียบเคียงกับ ต นั้น
ไดบาง ฉะนั้นในที่นี้จึงไมจําเปนตองเขียนอุทาหรณไวอีก.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 96
สัพพนามทั้งปวงเปลี่ยนรูปได
ผูศึกษาพึงสังเกตในนาม ขอ ๙๓ ใหดี จะเห็นไดวา สัพพนาม
ทั้งหมด ทั้งที่เปนอนิยมและนิยม เมื่อลงปจจัยในอัพยยตัทธิตแลว
ก็กลายรูปไปเปนศัพท อัพยยตัทธิต อีกตอหนึ่ง (ในแบบบาลี
ไวยากรณนาม ทานรวมเรียกวา อัพยยศัพท เพราะรวมอุปสัค
เขาดวย) จะแจกดวยวิภัตติทั้ง ๗ ไมได ไมมีลิงค ไมมีวจนะ แต
จําตองใชศัพทนั้น ๆ ในฐานะที่เปน ตติยาวิภัตติ และ สัตตมีวิภัตติ
แมจะประกอบเขากับนามนาม ที่เปน ลิงคใด วจนะใด ก็ตาม
สัพพนามที่แปรรูปไปเปน อัพยยตัทธิต แลวนั้น ก็ยังคงปรากฏเปน
รูปเดิมอยู คือใชไดทั้ง ๓ ลิงค ๒ วจนะ สวนคําแปลก็ไมละทิ้งจาก
รูปสัพพนามไปไดเลย เชน สพฺพตฺถ าเน กับ สพฺพตฺถ าเนสุ
ก็ยังคงใช สพฺพตฺถ เหมือนกัน ดังจะไดเห็นคําอธิบายที่จะกลาวถึง
อัพยยศัพท ตอไปขางหนา.
อนึ่ง เมื่อเราทราบดีแลววา สัพพนาม นั้น สําหรับใชแทน
นามนาม ประกอบเขากับนามนาม หรือโยคตัวนามนามที่กลาวมา
แลว โดยที่จะตองประกอบ สัพพนาม กับ นามนาม ใหมี ลิงค
วจนะ วิภัตติ ตรงกัน. แตวิธีแจกวิภัตตินามศัพททั้งสองนี้ไมเหมือน
กัน ฉะนั้นผูศึกษาใหม ๆ ควรฝกหัดแจกเทียบ สัพพนาม กับ นามนาม
ควบกันไปในคราวเดียว เพื่อปองกันความฟนเฝอ และเพื่อใหเกิด
ความชํานาญในเมื่อถึงคราวฝกหัดการแปล. ในที่นี้จะแจกใน ปุลิงค
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 97
ยกศัพท ย กับ ภิกฺขุ ขึ้นแจกเปรียบเทียบในวาระเดียวกัน พอ
เปนตัวอยาง ดังตอไปนี้ :-
วิภัตติ เอก. พหุ.
สัพพนาม นามนาม สัพพนาม นามนาม
ป. โย ภิกฺขุ เย ภิกฺขโว
ทุ. ย ภิกฺขุ เย ภิกฺขโว
ต. เยน ภิกฺขุนา เยหิ ภิกฺขูหิ
จ. ยสฺส ภิกฺขุสฺส เยส ภิกฺขูน
ปฺ. ยสฺมา ภิกฺขุสฺมา เยหิ ภิกฺขูหิ
ฉ. ยสฺส ภิกฺขุสฺส เยส ภิกฺขูน
ส. ยสฺมึ ภิกฺขุสฺมึ เยสุ ภิกฺขูสุ
ตามรูปแจกเปรียบเทียบขางบนนี้ ผูศึกษาคงเห็นไดแลววา
สัพพนาม กับ นามนาม ตองมี ลิงค วจนะ วิภัตติ ตรงกัน
อยางไร นี่เปนแตเพียงระหวาง ย สัพพนาม กับ นามนาม ที่เปน
อุ การันต คือ ภิกฺขุ ซึ่งอยูในฐานะที่เปน ปุลิงค ดวยกัน. สวน
สัพพนามอื่น และนามที่เปนลิงคอื่น การันตอื่นนั้น ก็พึงฝกหัด
แจกตามแบบเปรียบเทียบนี้ ตามลิงค และการันตนั้น ๆ เถิด.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 98
อัพยยศัพท๑
ศัพทนี้แปลวา "ไมฉิบหายไป" หรือ "ไมเสื่อมสิ้นไป"
ทานบัญญัติใหเปนชื่อของศัพทอีกแผนกหนึ่ง ซึ่งจะแจกดวยวิภัตติ
ทั้ง ๗ หมวด เหมือนนามทั้ง ๓ ตามที่กลาวมาแลวไมได รูปเดิม
เปนมาอยางไร ก็คงไวอยางนั้นไมเปลี่ยนแปลง. ในนามทั้ง ๓ ตามที่
กลาวมาแลว จะมีอยูดวยกันกี่ศัพทก็ตาม ตามลําพึงมูลศัพท ยัง
ไมอํานวยประโยชนใหเต็มที่ ตอเมื่อนํามาปรุงดวยลิงค วจนะ วิภัตติ
ทั้ง ๓ อยางแลว จึงเปลี่ยนแปลงไปดวยวิธีอยางใดอยางหนึ่งกอน
มูลศัพทนั้นจึงจะอํานวยประโยชนใหเต็มที่ตามตองการ ฉะนั้น ลิงค
วจนะ วิภัตติ เครื่องปรุงทั้ง ๓ นี้ จึงจําเปนที่สุดสําหรับมูลศัพทใน
นามทั้ง ๓. สวนศัพทที่จะกลาวตอไปนี้ ไมเปนเชนนั้น มูลศัพทเปนมา
อยางไร เพราะฉะนั้น ทานจึงใหนามบัญญัติวา "อัพยยศัพท" เพราะ
เปนศัพทที่ไมฉิบหายหรือไมเสื่อมสิ้นไปดวยอํานาจวิภัตติ ดังนี้.
อัพยยศัพทแบงเปน ๓ คือ
๑. อุปสัค ๒. นิบาต ๓. ปจจัย
ทั้ง ๓ คํานี้มีหลักเกณฑใชในที่ตาง ๆ กัน ดังตอไปนี้
๑. อัพยยศัพท พระมหาพรหมา าณคุตฺโต ป. ๖ วัดราชาธิวาส เรียบเรียง
อัพยย ออกจากศัพท อ วิ อิ (อ=ไม วิ=ตาง ๆ อิ=ถึง) "ถึงความเปนตาง ๆ
เหมือนอยางนามทั้ง ๓ ไมได."
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 99
๑. อุปสัค
อุปสัคนําหนานามและกิริยาใหวิเศษขึ้น เมื่อนําหนา
นามมีอาการคลายคุณศัพท เมื่อทําหนากิริยามีอาการคลายกับกิริยา-
วิเสสน. คําวานําหนานามและกิริยานั้น พึงเขาใจวา นามไดแก
นามนามและคุณนาม สวนกิริยาหมายเอากิริยาอาขยาตและกิริยา-
กิตก สําหรับสัพพนามใชนําหนาไมไดเลย. เมื่อนําหนานามมีอาการ
คลายกับคุณศัพทนั้น อธิบายวา อุปสัคโดยมากเมื่อนําหนานามแลว
บอกลักษณะของนามนามตัวนั้นใหวิเศษขึ้น มีอาการคลายกับคุณศัพท
ทีเดียว เชน "ราช" แปลวา พระราชา เมื่อเอา อภิ มานําหนา
เขา เปน "อภิราช" แปลวา พระราชยิ่ง คือแสดงลักษณะอาการ
ของนามคือพระราชานั้นวา พระองคทรงเปนผูยิ่งใหญกวาพระราชา
องคอื่น ๆ ดังนี้เปนตน คําวา "ยิ่ง" นั้น มีอาการคลายคุณนาม
จะตางกันก็แตรูปศัพทเทานั้น. สวนที่นําหนากิริยา มีอาการคลาย
กิริยาวิเสสน เชน กมติ=ยอมกาว เมื่อเอา อติ=ลวง มานําหนา
เปน อติกฺมติ แปลวายอมกาวลวง คําวา อติ=ลวง แสดงกิริยาคือ
กมติ=กาว ใหแปลกออกไปจากเดิม, คโต=ไปแลว เมื่อเอา อป=
ปราศ มานําหนาเปน อปคโต=ไปปราศแลว คําวา อป=ปราศ เปน
คําแสดงกิริยาคือ คโต=ไป ใหแปลจากเดิม ดังนี้เปนตน. อุปสัค
ที่ใชนําหนากิริยาดังแสดงมานี้ เปนอุปสัตที่อนุวัตรตามกิริยา แตมี
อุปสัตบางตัว เมื่อนําหนากิริยาแลว ทํากิริยานั้นใหมีเนื้อความผิดแผก
ไปจากเดิม ในที่นี้พึงกําหนดอุปสัคและคําแปลใหไดแมนยําเสียกอน
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 100
อุปสัคมี ๒๐ คือ
อติ ยิ่ง, เกิน, ลวง
อธิ ยิ่ง, ใหญ, ทับ
อนุ นอย, ภายหลัง, ตาม
อป ปราศ, หลีก
อป ใกล, บน
อภิ ยิ่ง,ใหญ, จําเพาะ, ขางหนา
อว หรือ โอ ลง
อา ทั่ว, ยิ่ง, กลับความ
อุ ขึ้น, นอก
อุป เขาไป, ใกล, มั่น
ทุ ชั่ว, ยาก
นิ เขา, ลง (สันสกฤต เปน นิ)
นิ ไมมี, ออก (สันสกฤต เปน นิสฺ)
ป ทั่ว, ขางหนา, กอน, ออก
ปฏิ เฉพาะ, ตอบ, ทวน, กลับ
ปรา กลับความ
ปริ รอบ
วิ วิเศษ, แจง, ตาง
ส พรอม, กับ, ดี
สุ ดี, งาม, งาย
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 101
อุทาหรณการใชอุปสัค
ในอุปสัคทั้ง ๒๐ นั้น คําแปลทุก ๆ ตัวยังไมสิ้นเชิงทีเดียว บาง
ตัวอาจแปลพลิกแพลงไดมากกวานี้ก็มี ถาจะนํามากลาวในที่นี้จักเปน
การฟนเฝอแกผูแรกศึกษา เมื่อศึกษาไปนาน ๆ จนเขาใจแลว ก็จะ
แปลไดหลาย ๆ ทางตามภาษานิยม เพราะฉะนั้น ขอใหผูแรกศึกษา
กําหนดจดจําไวใหแมนยํา เฉพาะคําแปลที่ทานแปลไวนี้ ก็จะถือเอา
หลักไดดี ทั้งจะไดรับประโยชนในการใชอุปสัคนี้ตามความตองการ
ดังอุทาหรณในเลมนาม ขอ ๙๑.
นิ มีอยู ๒ ศัพท ที่แปลวา เขา, ลง, ศัพท ๑ ที่แปลวา ไมมี,
ออก, ศัพท ๑ มีความหมายตางกันดังนี้ :-
นิ ที่แปลวา เขา, ลง, ตรงกับ นิ ในสันสกฤต เวลาใชนําหนา
นามและกิริยา คง นิ ไวเฉย ๆ ไมตองซอนหรือลง ร อาคม เชน
นิมุคฺโค ดํารงแลว นิคจฺฉติ เขาถึง นิกุชฺฌติ งอเขา นิขนติ
ขุดลง นิทหติ ตั้งลง (ฝง) นิวาโส ความเขาอยู.
นิ ที่แปลวา ไมมี, ออก, ตรงกับ นิสฺ ในสันสกฤต เวลาใชมัก
ซอนหรือลง ร อาคม ตามอักขรวิธี เชน นิรนฺตราโย ไมมีอันตราย
นิพฺภโย ไมมีภัย นิกฺขนฺโต ออกแลว นิกฺกฑฺฒติ ยอมคราออก
และ นิ ที่แปลวา ไมมี, ออก นี้ ถาอยูหนา ร หรือ ห จะซอน
หรือลง ร อาคมไมได ในที่เชนนั้นตองทีฆะ เชน นิ+หรณ=นีหรณ
การนําออก นิรโส=นีรโส ไมมีรส นิ+นีโรโค ไมมีโรค
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 102
สวนคําวา นีวรณ ซึ่งแปลวา ธรรมชาติอันกั้น (จิตไมใหบรรลุความ
ดี) นั้น แมจะแยกเปน นิ+วรณ (สสกฤต เปน นิสฺ+วฺฤ ธาตุใน
ความปดความกั้น) นิ ตัวนั้นคงแปลรวมกับธาตุวาปดหรือกั้นเทานั้น.
อุปสัคเบียนธาตุ
บรรดาอุปสัคตามที่วามานี้ บางตัวหาไดแปลตามที่ยกมาเปน
ตัวอยางไม บางตัวเมื่อนําหนาศัพทอื่น จะเปนศัพทนามหรือกิริยา
ก็ตาม ทําใหเนื้อความผิดรูปไปตาง ๆ ความเดิม ทั้งนี้เปนเพราะ
อุปสัคเขาไปตัดความเสีย อาการเชนนี้ทานเรียกวา "อุปสัคเบียนธาตุ"
เชน
ขมติ อดทน เอา นิ นําหนา เปน นิกฺขมติ แปลวา ออก
สวรติ ปด " วิ " " วิวรติ " เปด
โรเธติ ยินดี " วิ " " วิโรเธติ " ยินราย
กมติ กาวไป " ปฏิ " " ปฏิกฺกมติ " ถอยกลับ
ดังนี้เปนตน. เพราะฉะนั้น ผูศึกษาเมื่อเห็นศัพทที่มีอุปสัคเหลานั้น
นําหนาอยู ควรพิจารณารูปศัพทใหดีเสียกอนแลวแปลศัพทนั้น จึง
จะไดเนื้อความตามตองการ ทั้งนี้ เปนเพราะความพลิกแพลงของ
อุปสัค บอกอรรถไปตาง ๆ ตามภาษานิยม เปนของไมแนนอน อาจ
แปลไดหลาย ๆ ทาง ถึงจะพลิกแพลงไปอยางไร ๆ ก็ตาม ขอให
ผูแรกศึกษาจงยึดหลักตามที่ไดแปลไวในแบบใหแมนยํา ก็จะเปนการ
สะดวกในการแปลหนังสือไดดี.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 103
ขอควรจําในอุปสัค
๑. สําหรับนําหนานามและกิริยาใหวิเศษขึ้น.
๒. เมื่อนําหนานามมีอาการคลายคุณศัพท เมื่อนําหนากิริยา
มีอาการคลายกับกิริยาวิเสสน.
๓. นามนั้นทานหมายเอาเฉพาะนามนาม ๑ คุณนาม ๑ สวน
สัพพนามนําหนาไมไดเลย.
๒. นิบาต
เมื่อเพงตามความของศัพทวา นิบาต แปลวา "ตกลง" คือ
ตกลงหรือสําหรับวางไวในระหวางกลางของศัพททั้งหลาย ดังกลาว
มาแลวนั้น ที่วางไวเชนนั้น ความประสงคก็ตองการจะทําบทให
เต็ม และทําเนื้อความใหกระทัดรัดและหนักแนนเขา ความจริง ศัพท
นิบาตทั้งหมดนี้หาไดจํากัดลงในระหวางทุกศัพทไปไม บางศัพทลงใน
เบื้องตนแหงประโยคเชน ยถา ตถา บางศัพทลงในที่สุดประโยคเชน
อิติ และบางศัพท เชน ป อป ว อิว เหลานี้เปนตน หาไดอยู
โดดเดี่ยวตามลําพังไม ตองลงขางทายของศัพทอื่นเสมอไป เชน
"อานนฺทตฺเถโรป แมพระอานนท" หรือ "จกฺกว เพียงดังวาลอ."
ศัพทนิบาตตามที่กลาวมานี้ เมื่อนําไปใชแลว ยอมบอกเนื้อ
ความตาง ๆ กัน เพื่อความไมฟนเฝอและสะดวกในการนํามาใช ทาน
จึงไดแบงไวเปนพวก ๆ แตโดยยอ ซึ่งทานไดยกมาแสดงตามที่ปรากฏ
ในแบบดังตอไปนี้ :-
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 104
นิบาตบอกอาลปนะ
ยคฺเฆ ภนฺเต ภทนฺเต ภเณ อมฺโภ อาวุโส เร อเร เห เช
ทั้ง ๑๐ ศัพท รวมเรียกวา "นิบาตบอกอาลปนะ" ทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น ผูแรกศึกษาพึงกําหนดดวยวา มีหนาที่ใชเปนคําทักทาย
และรองเรียก เหมือนกับวิภัตติแผนกอาลปนะในนามตามที่กลาวแลว
แตนิบาตบอกอาลปนะนี้ ศัพทหนึ่ง ๆ นิยมใชเฉพาะบุคคลเปนพวก ๆ
หาไดสาธารณะทั่วไปแกบุคคลอื่นไม จํากัดใหใชเฉพาะบุคคลตาม
ฐานะสูงและต่ํา ดังอุทราหรณในแบบบาลีไวยากรณ อันทานแสดงไว
อยางชัดเจนแลว.
นิบาตบอกกาล
อถ แปลวา ครั้งนั้น หิยฺโย แปลวา วันวาน
ปาโต " เชา เสวฺ " วันพรุงนี้
ทิวา " วัน สมฺปติ " บัดเดี๋ยวนี้
สาย " เย็น อายตึ " ตอไป
สุเว " ในวัน
ทั้ง ๙ ศัพทนี้ ทางสัมพันธเรียกวากาลสัตตมี.
นิบาตบอกที่
อุทฺธ แปลวา เบื้องบน พหิทฺธา แปลวา ภายนอก
อุปริ " " พาหิรา " "
อโธ " " โอริ " "
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 105
เหฏา แปลวา ภายใต ปาร แปลวา ฝงนอก
อนฺตรา " ระหวาง หุร " โลกอื่น
อนฺโต " ภายใน สมฺมุขา " ตอหนา
ติโร " ภายนอก ปรมฺมุขา " ลับหลัง
พหิ " " รโห " ที่ลับ
ทั้ง ๑๖ ศัพทนี้ ทางสัมพันธรวมเรียกอยางเดียวกันกับอรรถแหง
สัตตมีวิภัตติวา "อาธาร"
นิบาตบอกปริจเฉท
กีว แปลวา เพียงไร ยาวตา แปลวา มีประมาณเพียงใด
ยาว " เพียงใด ตาวตา " มีประมาณเพียงนั้น
ตาว " เพียงนั้น กิตฺตาวตา " มีประมาณเทาใด
ยาวเทว " เพียงใดนั่นเทียว เอตฺตาวตา " มีประมาณเทานั้น
ตาวเทว " เพียงนั้นนั่นเทียว สมนฺตา " รอบคอบ
ทั้ง ๑๐ ศัพทนี้ ทางสัมพันธ มักใชเปนปริจเฉทนัตถะเปนพื้น
ที่เรียก "กิริยาวิเสสนะ"ก็มี
นิบาตบออุปมาอุปไมย
วิย แปลวา ราวกะ เสยฺยถา แปลวา ฉันใด
อิว " เพียงดัง ตถา " ฉันใด
ยถา " ฉันใด เอว " ฉันนั้น
ทั้ง ๖ ศัพทนั้น สําหรับ ตถา และ เอว ทางสันพันธ เรียก
วา "อุปไมยโชดก" นอกนั้นเรียก "อุปมาโชดก."
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 106
นิบาตบอกประการ
เอว แปลวา ดวยประการนั้น
ตถา " ดวยประการนั้น
กถ " ดวยประการไร
ทั้ง ๓ ศัพทนี้ ทางสัมพันธ เรียกวา "ปการตฺถ."
นิบาตบอกปฏิเสธ
น แปลวา ไม เอว แปลวา นั่นเทียว
โน " ไม วินา " เวน
มา " อยา อล " พอ
ว " เทียว
ทั้ง ๗ ศัพทนี้ ทางสัมพันธ เรียกวา "ปฏิเสธนตฺถ"
นิบาตบอกความไดยินเลาลือ
กิร แปลวา ไดยินวา
ขลุ " "
สุท " "
ทั้ง ๓ ศัพทนี้ ทางสัมพันธ เรียกวา "อนุสฺสวนตฺถ."
นิบาตบอกปริกัป
เจ แปลวา หากวา อถ แปลวา ถาวา
ยทิ " ผิวา อปฺเปวนาม " ชื่อแมไฉน
สเจ " ถาวา ยนฺนูน " กระไรหนอ
ทั้ง ๖ ศัพทนี้ ทางสัมพันธ เรียกวา "ปริกปฺปตถ."
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 107
นิบาตบอกความถาม
กึ แปลวา หรือ, อะไร นนุ แปลวา มิใช หรือ
กถ " อยางไร อุทาหุ " หรือวา
กจฺจิ " แลหรือ อาทู " "
นุ " หนอ เสยฺยถีท " อยางไรนี้
ทั้ง ๘ ศัพทนี้ ทางสัมพันธ เรียกวา "ปุจฉนตฺถ."
นิบาตบอกความรับ
อาม แปลวา เออ อามนฺตา แปลวา เออ
ทั้ง ๒ ศัพทนี้ ทางสัมพันธเรียกวา "สมฺปฏิจฺฉนตฺถ."
นิบาตบอกความเตือน
อิงฺฆ แปลวา เชิญเถิด หนฺท แปลวา เอาเถิด
ตคฺฆ " เอาเถิด
ทั้ง ๓ ศัพทนี้ ทางสัมพันธเรียกวา "อุยฺโยชนตฺถ."
นิบาตสําหรับผูกศัพทและประโยคมีอรรถหลายอยาง
จ แปลวา ดวย, อนึ่ง, ก็, จริงอยู ปน แปลวา สวนวา, ก็
วา " หรือ, บาง อป " แม, บาง
หิ " ก็, จริงอยู, เพราะวา อปจ " เออก็
ตุ " สวนวา, ก็ อถวา " อีกอยางหนึ่ง
นิบาตพวกนี้แปลพลิกแพลงไปหลายอยาง จะกําหนดใหแนนอน
ไมได แลวแตประโยคที่ผูกขึ้นจะเปนเหตุหรือผล หรือตองการ
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 108
บงเนื้อความตาง ๆ จะกลาวไวในที่นี้จักเปนการฟนเฝอนัก ผู
ตองการทราบใหละเอียด พึงตรวจดูในเลมวากยสัมพันธ ก็จักเขาใจ
ไดดี.
นิบาตสักวาเปนเครื่องทําบทใหเต็ม
นุ แปลวา หนอ โข แปลวา แล
สุ " สิ วต " หนอ
เว " เวย หเว " เวย
โว " โวย
ทั้ง ๗ ศัพทนี้ ทางสัมพันธ เรียกวา "ปทปูรณ" บาง
"วจนาลงการ" บาง " วจนสิลิฏก" บาง.
นิบาตมีเนื้อความตาง ๆ
อฺทตฺถุ แปลวา โดยแท อิติ แปลวา เพราะเหตุนั้น,
อโถ " อนึ่ง วาดังนี้, ดวย-
อทฺธา " แนแท ประการฉะนี้, ชื่อ
อวสฺส " " อุจฺจ " สูง
อโห " โอ กิฺจาป " แมนอยหนึ่ง
อารา " ไกล กฺวจิ " บาง
อาวี " แจง มิจฺฉา " ผิด
นีจ " ต่ํา มุธา " เปลา
นูน " แน มุสา " เท็จ
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 109
นานา แปลวา ตาง ๆ สกึ แปลวา คราวเดียว
ปจฺฉา " ภายหลัง สตกฺขตฺต " รอยคราว
ปฏาย " ตั้งกอน สทฺธึ " พรอม, กับ
ปภูติ " จําเดิม สณิก " คอย ๆ
ปุน " อีก สย " เอง
ปุนปฺปุน " บอย ๆ สห " กับ
ภิยฺโย " ยิ่ง สาม " เอง
ภิยฺโยโส " โดยยิ่ง
ทั้งหมดนี้ สําหรับ อโถ อนึ่ง, ทางสัมพันธ เรียกวา
"สมฺปณฺฑนตฺถ." อโห โอ ถาใชแสดงความหลากใจหรืออัศจรรย
ทางสัมพันธ เรียกวา "อจฺฉริยตฺถ." ใชแสดงความสังเวช เรียก
วา "สเวคตฺถ." นีจ ต่ํา และ อุจฺจ สูง ทางสัมพันธ เรียกวา
"วิเสสน" เพราะบางแหงใชเปนคุณนาม แจกตามวิภัตตินามได
เชน นีจ กุล สกุลต่ํา อุจฺโจ รุกฺโข ตนไมสูง เปนตน.
ปจฺฉา ภายหลัง ทางสัมพันธ เรียกวา "กาลสัตตมี." ปุนปฺปุน
บอย ๆ ทางสัมพันธ เรียกวา "กิริยาวิเสสน." อิติ แปลวา
เพราะเหตุนั้น ทางสัมพันธ เรียกวา "เหตฺวตฺถ." แปลวา "วา....
ดังนี้" เรียกวา สรูปบาง อาการบาง; แปลวา ดวยประการฉะนี้
เรียกวา "ปการตฺถ" แปลวา "ชื่อวา" เรียกวา "สัญญาโชดก."
สวน สห กับ สทฺธึ ถาเขากับนาม ทางสัมพันธ เรียกวา
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 110
"ทพฺพสมาวาย.' เขากับกิริยา เรียกวา "กิริยาสมวาย." นอกจาก
นี้เรียกวา "กิริยาวิเสสน." ทั้งสิ้น.
๓. ปจจัย
ปจจัยในแผนกอัพยยศัพทนี้ มีหนาที่ลงทายนามศัพทบาง ลง
ทายธาตุบาง, ลงทายนามศัพทใชเปนเครื่องหมายวิภัตติ ลงทายธาตุ
ใชเปนเครื่องหมายกิริยา. ปจจัยแผนกนี้ ตางจากอุปสัคและนิบาตซึ่ง
กลาวมาแลวขางตน ก็คําวา "ปจจัยนั้นลงทายนามศัพท" ก็นาม-
ศัพทหมายเอานามนาม ๑ สัพพนาม ๑ สวนคุณนามจะใชปจจัยแผนกนี้
ลงทายไมไดเลย, ปจจัยในอัพยยศัพทซึ่งจะแสดงตอไปนี้ จํากัดให
ลงทายของนามนามและสัพพนามเทานั้น, พึงกําหนดปจจัยในแผนก
อัพยยศัพทนี้ใหแมนยํา วามีหนาที่ตอทายนามชนิดไหน ใชแทน
วิภัตติอะไรไดบาง และบอกอายตบิบาตวาอยางไร ดังจะไดบรรยาย
ตอไปโดยลําดับ.
ปจจัยในนามแท ๆ มี ๒๒ ตัว
โต, ตฺร, ตฺถ, ห, ธ, ธิ, หึ, ห, หิฺจน, ว, ทา, ทานิ,
รหิ, ธุนา, ทาจน, ชฺช, ชฺชุ, เตฺว, ตุ, ตูน, ตฺวา, ตฺวาน.
เมื่อแบงเปนพวก มี ๔ พวก คือ
๑. โต ปจจัย
สําหรับใชตอทายนามทั้ง ๒ คือ นามนาม ๑ สัพพนาม ๑
เมื่อตอทายนามทั้ง ๒ เขาแลว ใชเปนเครื่องหมายของวิภัตติไว ๒
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 111
คือ ตติยาวิภัตติ ๑ ปญจมีวิภัตติ ๑. ตติยา ใหแปลอายตนิบาตวา
"ขาง" ปญมี ใหแปลอายตนิบาตวา "แต." ดังอุทาหรณ
ตอไปนี้ :-
ศัพทเดิม ปจจัย รูปสําเร็จ แปลวา
สพฺพ โต สพฺพโต แต-ทั้งปวง
อฺ " อฺโต แต-อื่น
อฺตร " อฺตรโต แต-อันใดอันหนึ่ง
อิตร " อิตรโต แต-นอกนี้
เอก " เอกโต ขางเดียว
อุภ " อุภโต สองขาง
ปร " ปรโต ขางอื่น
ต " ตโต แต-นั้น
เอต " เอโต แต-นั้น
อิม " อิโต แต-นี้
อปร " อปรโต ขางอื่นอีก
ปุร " ปุรโต ขางหนา
ปจฺฉ " ปจฺฉโต ขางหลัง
ทกฺขิณ " ทกฺขิณโต ขางขวา
วาม " วามโต ขางซาย
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 112
ศัพทเดิม ปจจัย รูปสําเร็จ แปลวา
ย โต ยโต แต-ใด
อมุ " อมุโต แต-โนน
กตร " กตรโต แต-อะไร
กึ " กุโต แต-ไหน๑
๒. ปจจัย ๙ คือ ตฺร, ตฺถ, ห, ธ, ธิ, หึ, ห, หิฺจน, ว
ใชสําหรับตอทายเฉพาะสัพพนามอยางเดียว เมื่อตอเขาแลวใชเปน
เครื่องหมายสัตตมีวิภัตติ แปลออกสําเนียงอายตนิบาตของสัตตมี-
วิภัตติ ดังอุทาหรณตอไปนี้ :-
ศัพทเดิม ปจจัย รูปสําเร็จ แปลวา
สพฺพ ตรฺ สพฺพตฺร ใน-ทั้งปวง
สพฺพ ตฺถ สพฺพตฺถ ใน-ทั้งปวง
สพฺพ ธิ สพฺพธิ ใน-ทั้งปวง
อฺ ตฺร อฺตฺร ใน-อื่น
อฺ ตฺถ อฺตฺถ ใน-อื่น
ย ตฺถ ยตฺถ ใน-ใด
ย หึ ยหึ ใน-ใด
ย ห ยห ใน-ใด
ต ตฺร ตตฺร ใน-นั้น
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 113
ศัพทเดิม ปจจัย รูปสําเร็จ แปลวา
ต ตฺถ ตตฺถ ใน-นั้น
ต หึ ตหึ ใน-นั้น
ต ห ตห ใน-นั้น
เอต ตฺร อตฺร ใน-นั่น
เอต ตฺถ อตฺถ ใน-นั่น
เอก ตฺร เอกตฺร ใน-เดียว
เอก ตฺถ เอกตฺถ ใน-เดียว
อุภย ตฺร อุภยตฺร ใน-สอง
อุภย ตฺถ อุภยตฺถ ใน-สอง
ย ตฺร ยตฺร ใน-ใด
เอต ตฺถ เอตฺถ ใน-นั่น
ิอิม ธ อิธ ใน-นี้
อิม ห อิห ในนี้
กึ ตฺร กุตฺร๑
ใน-ไหน
กึ ตฺถ กตฺถ ใน-ไหน
กึ หึ กุหึ ใน-ไหน
กึ ห กุห ใน-ไหน
กึ หิฺจน กุหิฺน ใน-ไหน
กึ ว กฺว ใน-ไหน
๑. แปลง กึ เปน กุ เพราะ ตฺร หึ ห หิฺจน ปจจัย. มูลกัจจยานะ หนา ๕๓.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 114
๓. ปจจัยทั้ง ๗ คือ ทา, ทานิ, รหิ, ธุนา, ทาจน, ชฺช, ชฺชุ
พวกนี้สําหรับลงตอทายสัพพนามอยางเดียว เมื่อตอทายเขาแลว ใช
เปนเครื่องหมายสัตตมีวิภัตติ ปจจัยพวกนี้ ทานกําหนดใหลงในกาลคือ
ใหใชเปนเครื่องหมายบอกเวลาอยางเดียว ศัพทที่ประกอบ
ดวยปจจัย ๗ ตัวนี้ ทางสัมพันธเรียกวา [กาลสัตตมี] ทั้งนั้น ดัง
อุทาหรณตอไปนี้ :-
ศัพทเดิม ปจจัย รูปสําเร็จ แปลวา
สพฺพ ทา สพฺพทา ในกาลทั้งปวง
สพฺพ ทา สทา ในกาลทั้งปวง, ทุกเมื่อ
เอก ทา เอกทา ในกาลหนึ่ง, บางที
ย ทา ยทา ในกาลใด, เมื่อใด
ต ทา ตทา ในกาลนั้น, เมื่อนั้น
กึ ทา กทา ในกาลไร, เมื่อไร
กึ ทา กทาจิ ในกาลไหน ๆ , บางคราว
อิม ทานิ อิทานิ ในกาลนี้
อิม รหิ เอตรหิ๑
ในกาลนี้, เดี๋ยวนี้
กึ รหิ กรหจิ ในกาลไหนๆ, บางคราว
อิม ธุนา อธุนา ในกาลนี้, เมื่อกี้
กึ ทาจน กุทาจน ในกาลไหน
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 115
ศัพทเดิม ปจจัย รูปสําเร็จ แปลวา
อิม ชฺช อชฺช ในวันนี้
สมาน ชฺชุ สชฺชุ ในวันมีอยู, วันนี้*
ปร ชฺชุ ปรชฺชุ ในวันอื่น
อปร ชฺชุ อปรชฺชุ ในวันอื่นอีก
เฉพาะที่ลงทาย กึ ศัพท ใช จิ ตอทายไดบาง.
ปจจัยในกิตก ๕ ตัว คือ เตฺว, ตุ, ตูน, ตฺวา, ตฺวาน.
ทั้ง ๕ นี้สําหรับใชลงทายธาตุ เมื่อลงแลวใชเปนเครื่องหมายกิริยา
ปจจัยแผนกนี้เรียกวา "อัพพยะ" เพราะแจกดวยวิภัตติไมได ผู
ศึกษาตองการทราบความพิสดาร พึงคนดูในแผนกกิตกนั้นเถิด.
ปจจัยทั้ง ๕ ตัวนี้ จัดเปนพวกอัพยยะดังกลาวมาแลว บางที
เมื่อพบคําแปลของศัพทวา "กาเตฺว และ กาตุ" อาจเขาใจผิด
เพราะแปลออกสําเนียงอายตนิบาตไดคลายวิภัตติ อีกอยางหนึ่ง
เพื่อความสะดวกในการใชศัพทแผนกนี้ ทานจึงบัญญัติใหใชกาตุ
แทนวิภัตติปฐมาและจตุตถีได ปฐมาวิภัตติใหแปลอายตนิบาตวา
"อันวา" ทางสัมพันธวา "ตฺมตฺถกตฺตา" จตุตถีวิภัตติวา
"เพื่อ" ทางสัมพันธเรียกวา "ตุมตฺถสมฺปทาน" ดังนี้ ถึงปจจัย
เหลานี้จะแปลออกสําเนียงอายตบาตไดก็จริงอยู ถึงดังนั้นรูปเดิม
* มูลกัจจายนะ หนา ๑๔๒-๔๓.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 116
เปนมาอยางไร ก็คงไวอยางนั้น หาไดเปลี่ยนแปลงใหผิดไปจากรูป
เดิมไม เพียงเทานี้ก็เปนอันจัดเขาในจําพวกอัพยยะโดยตรง เพราะ
ตรงกับศัพทเดิมวา "ไมฉิบหาย" หรือ "ไมเสื่อมสิ้นไป " จึงจัด
เปนจําพวกอัพยยศัพทโดยแท.

More Related Content

PDF
1 08+อธิบายบาลีไวยากรณ์+นามและอัพพยศัพท์
PDF
2 22++พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๔
PDF
5 45+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๔
PDF
1 01+บาลีไวยกรณ์+สมัญญาภิธานและสนธิ
PPT
คำในภาษาไทย (1)
DOCX
ชนิดของคำ
PDF
รวบรวมลักษณนามหมวด ก แก้ใหม่2
PPT
คำในภาษาไทย
1 08+อธิบายบาลีไวยากรณ์+นามและอัพพยศัพท์
2 22++พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๔
5 45+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๔
1 01+บาลีไวยกรณ์+สมัญญาภิธานและสนธิ
คำในภาษาไทย (1)
ชนิดของคำ
รวบรวมลักษณนามหมวด ก แก้ใหม่2
คำในภาษาไทย

What's hot (11)

PDF
ใบงานเสียงในภาษาไทย
PPTX
ชนิดของคำ
PDF
คำบาลี สันสกฤตในภาษาไทย
PPT
PDF
ใบความรู้การสร้างคำในภาษาไทย
PPSX
สรรพนาม
PDF
บาลี 41 80
PDF
แบบเรียนชนิดของคำ
DOC
นิราศพระบาท1 52
PDF
บาลี 42 80
ใบงานเสียงในภาษาไทย
ชนิดของคำ
คำบาลี สันสกฤตในภาษาไทย
ใบความรู้การสร้างคำในภาษาไทย
สรรพนาม
บาลี 41 80
แบบเรียนชนิดของคำ
นิราศพระบาท1 52
บาลี 42 80
Ad

Viewers also liked (20)

PDF
บาลี 12 80
PDF
บาลี 22 80
PPTX
Persentacion animada powerpoint
PDF
บาลี 17 80
PDF
บาลี 16 80
PPTX
Iberian linx
PPTX
Our birthdays
PDF
Untitled Presentation
PDF
บาลี 03 80
PDF
บาลี 18 80
PDF
บาลี 11 80
PDF
บาลี 23 80
PPT
P 1b-sintaxis-sintagmas
DOCX
Massage supreme spa
PDF
Graduation Certificate
PDF
บาลี 10 80
PDF
บาลี 29 80
PDF
edJEWcon Chicago: Growth Mindset for Educators & Schools
PDF
บาลี 20 80
PDF
บาลี 15 80
บาลี 12 80
บาลี 22 80
Persentacion animada powerpoint
บาลี 17 80
บาลี 16 80
Iberian linx
Our birthdays
Untitled Presentation
บาลี 03 80
บาลี 18 80
บาลี 11 80
บาลี 23 80
P 1b-sintaxis-sintagmas
Massage supreme spa
Graduation Certificate
บาลี 10 80
บาลี 29 80
edJEWcon Chicago: Growth Mindset for Educators & Schools
บาลี 20 80
บาลี 15 80
Ad

Similar to บาลี 08 80 (20)

PDF
อธิบายนามศัพท์
PDF
1 08+อธิบายบาลีไวยากรณ์+นามและอัพพยศัพท์
PDF
บทที่ 2 นามศัพท์
PDF
ประมวลปัญหาเฉลยบาลี
PDF
บาลี 14 80
PDF
1 14+ประมวลปัญหาและเฉลายบาลีไวยาการณ์+(สำหรับเปรียญธรรมตรี)
PDF
1 14 ประมวลปัญหาและเฉลายบาลีไวยาการณ์ (สำหรับเปรียญธรรมตรี)
PDF
1 14+ประมวลปัญหาและเฉลายบาลีไวยาการณ์+(สำหรับเปรียญธรรมตรี)
PDF
1 14+ประมวลปัญหาและเฉลายบาลีไวยาการณ์+(สำหรับเปรียญธรรมตรี)
PDF
สังเกตบาลีสันสกฤต [โหมดความเข้ากันได้]
PDF
1 01+บาลีไวยกรณ์+สมัญญาภิธานและสนธิ
PDF
บาลี 01 80
PDF
1 01 บาลีไวยกรณ์ สมัญญาภิธานและสนธิ
PDF
1 11+อธิบายบาลีไวยากรณ์+นามกิตก์+และกิริยากิตก์
PDF
1 11+อธิบายบาลีไวยากรณ์+นามกิตก์+และกิริยากิตก์
PDF
นาม และ อัพยยศัพท์
PDF
1 02+บาลีไวยกรณ์+วจีวิภาคที่+2+นามและอัพพยศัพท์
PDF
บาลี 02 80
PDF
1 02+บาลีไวยกรณ์+วจีวิภาคที่+2+นามและอัพพยศัพท์
PDF
1 02 บาลีไวยกรณ์ วจีวิภาคที่ 2 นามและอัพพยศัพท์
อธิบายนามศัพท์
1 08+อธิบายบาลีไวยากรณ์+นามและอัพพยศัพท์
บทที่ 2 นามศัพท์
ประมวลปัญหาเฉลยบาลี
บาลี 14 80
1 14+ประมวลปัญหาและเฉลายบาลีไวยาการณ์+(สำหรับเปรียญธรรมตรี)
1 14 ประมวลปัญหาและเฉลายบาลีไวยาการณ์ (สำหรับเปรียญธรรมตรี)
1 14+ประมวลปัญหาและเฉลายบาลีไวยาการณ์+(สำหรับเปรียญธรรมตรี)
1 14+ประมวลปัญหาและเฉลายบาลีไวยาการณ์+(สำหรับเปรียญธรรมตรี)
สังเกตบาลีสันสกฤต [โหมดความเข้ากันได้]
1 01+บาลีไวยกรณ์+สมัญญาภิธานและสนธิ
บาลี 01 80
1 01 บาลีไวยกรณ์ สมัญญาภิธานและสนธิ
1 11+อธิบายบาลีไวยากรณ์+นามกิตก์+และกิริยากิตก์
1 11+อธิบายบาลีไวยากรณ์+นามกิตก์+และกิริยากิตก์
นาม และ อัพยยศัพท์
1 02+บาลีไวยกรณ์+วจีวิภาคที่+2+นามและอัพพยศัพท์
บาลี 02 80
1 02+บาลีไวยกรณ์+วจีวิภาคที่+2+นามและอัพพยศัพท์
1 02 บาลีไวยกรณ์ วจีวิภาคที่ 2 นามและอัพพยศัพท์

More from Rose Banioki (20)

PDF
Spm ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
PDF
2013ar-Berkshire Hathaway
PDF
Instant tax
PDF
Techinque mutual-fund
PDF
หนังสือความทรงอภิญญา
PDF
Nutritive values of foods
PDF
Thaifood table
PDF
Ipad user guide ios7
PDF
Iphone user guide th
PPS
To myfriends
PPS
The differencebetweenbeachesinindia&greece
PPS
Toilets pierre daspe
PPS
PPS
Pps hollywood dorado_bea
PPS
Photosdutempspass
PPS
Photo mix7
PPS
Photos carlosalbertobau
Spm ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
2013ar-Berkshire Hathaway
Instant tax
Techinque mutual-fund
หนังสือความทรงอภิญญา
Nutritive values of foods
Thaifood table
Ipad user guide ios7
Iphone user guide th
To myfriends
The differencebetweenbeachesinindia&greece
Toilets pierre daspe
Pps hollywood dorado_bea
Photosdutempspass
Photo mix7
Photos carlosalbertobau

บาลี 08 80

  • 1. คํานํา หนังสือบาลีไวยากรณเปนหลักสําคัญในการศึกษามคธภาษา ทาน จัดเปนหลักสูตรของเปรียญธรรมตรีอยางหนึ่ง นักศึกษาบาลีชั้นตนตอง เรียนบาลีไวยากรณใหไดหลักกอน จึงจะเรียนแปลคัมภีรอื่น ๆ ตอไปได ผูรูหลักบาลีไวยากรณดี ยอมเบาใจในการแปลคัมภีรตาง ๆ เขาใจ ความไดเร็วและเรียนไดดีกวาผูออนไวยากรณ แตการเรียนนั้น ถาขาด หนังสืออุปกรณแลว แมทองแบบไดแมนยําก็เขาใจยาก ทําใหเรียนชา ทั้งเปนการหนักใจของครูผูสอนไมนอย. กองตํารามหากุฏราชวิทยาลัยไดคํานึงถึงเหตุนี้ จึงไดคิดสราง เครื่องอุปกรณบาลีทุก ๆ อยางใหครบบริบูรณ เพื่อเปนเครื่องชวยนัก- ศึกษาใหไดรับความสะดวกในเรื่อง อุปกรณบาลีไวยากรณก็เปนเรื่องหนึ่ง ที่จะตองจัดพิมพขึ้นใหเสร็จครบบริบูรณโดยเร็ว ไดขอใหพระเปรียญ ที่ทรงความรูหลายทานชวยรวบรวบและเรียบเรียง เฉพาะในเลมนี้ อธิบายนามตอนตน พระมหาบุญสงค อตฺตคุตฺโต ป.ธ. ๖ วัดราชาธิวาส เรียบเรียง. อธิบายนามตอนปลาย กติปยศัพท สังขยา พระมหาจันทร โกสโล ป.ธง ๕ วัดราชธวาส เรียบเรียง. มโนคณะ สัพพนาม พระครู มงคลวิลาศ (ลัภ โกสโล ป.ธ. ๔) วัดราชาธิวาสเรียบเรียง. อัพยยศัพท พระมหาพรหมา าณคุตฺโต ป.ธ. ๖ วัดราชาธิวาส เรียบเรียง. และมอบ ลิขสิทธิสวนที่เรียบเรียงในหนังสือเลมนี้ ใหเปนสมบัติของมหากุฏ- ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภตอไป. กองตํารา ฯ ขอแสดงความขอบใจทานผูรวบรวมและเรียบเรียง หนังสือเลมนี้จนเปนผลสําเร็จไวในที่นี้ดวย. กองตํารา มหามกุฏราชวิทยาลัย ๗ กันยายน ๒๔๘๓
  • 2. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 1 อธิบายนามตอนตน พระมหาบุญสงค อตฺตคุตฺโต ป.ธ. ๖ วัดราชาธิวาส เรียบเรียง บรรดาสภาพทั้งมวล ทั้งที่มีวิญญาณและหาวิญญาณมิได ซึ่งได อุบัติขึ้นมาในโลก จะเปนคน สัตว ภูเขา ตนไม อยางใดอยางหนึ่ง ก็ดี เมื่อยังไมมีใครสมมติเรียกชื่อวาอยางหนึ่งอยางนี้ สักแตวามีอยูเทานั้น ก็ยังไมทราบละเอียดวาคนหรือสัตวเปนตน อีกนัยหนึ่ง สิ่งที่นอมไปในคํา พูดของภาษาตาง ๆ คืออาจเรียกรูเขาใจกันไดตามความประสงค เรียกวา "นาม" แปลวา "ชื่อ" หรือหมายความวามีอาการนอมไปในคําพูดของ ภาษานั้น ๆ ตามแตจะสมมติขึ้น. ศัพท สําเนียงก็ดี อักษรที่ใชแทนสําเนียงก็ดี ซึ่งปรากฏเปนถอยคําได เชน ปุตฺโต บุตร ปฺวา มีปญญา ทกฺโข ขยัน เหลานี้เปนตน เรียกวา "ศัพท" ถาสําเนียงชนิดใดไมใชถอยคํา คือเปนสําเนียงที่ไม เปนภาษา ดังคําวา ปุ. ภิ. อู. ห. เหลานี้ และคําที่เปนกิริยาหรือ แมอยางอื่น ๆ คําชนิดนั้นไมเรียกวาศัพท. คําพูดในภาษามคธแบงออก เปน ๒ ประเภท คือ สัญชาติศัพทหรือชาติศัพทอยาง ๑, สัญญัติศัพท อยาง ๑. คําพูดดั้งเดิมอันคนหามูลมิไดวาเนื่องมาจากธาตุอะไร หรือ ปรุงขึ้นจากธาตุอะไร เปนวาจาที่ใชพูดกันมาแตโบราณ เหมือนคําวา ก. น้ํา. ข. ฟา. กุ. คําพูด เปนตน เรียกสัญชาติศัพทหรือชาติศัพท.
  • 3. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 2 แมในภาษาไทยก็มีใชเหมือนกัน เชนคําวา ดิน น้ํา ไฟ ลม เปนตน ลวน เปนคําเดิมทั้งสิ้น. คําพูดผสมซึ่งปรุงขึ้นจากธาตุและปจจัยตาง ๆ สําเร็จ โดยสาธนวิธีแหงนามกิตกบาง อยางอื่นบาง และบัญญัติวาศัพทนั้นหรือ คํานั้นเปนชื่อของสิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือหมายความวาอยางนั้นอยางนี้ เหมือน อยางคําวา ปุริโส บุรุษ (ปุร+อิส) ภิกฺขุ ภิกษุ (ภิกฺข+รู) เปน อาทิ เรียกสัญญัติศัพท ๆ นี้ในภาษาไทยก็มีใชเหมือนกัน เชนคําวา โรงเรียน (โรง+เรียน ) รานคา (ราน+คา) เปนตน. นามศัพท คํานี้ ก็คือนามและศัพทดังกลาวแลว เปนแตรวมเขาดวยกัน แปลวาศัพทที่แสดงนามคือชื่อหรือสําเนียงที่แสดงนาม อันหมายความ วาสําเนียงหรือเสียงที่บงถึงชื่อนั้นเอง เรียกวา นามศัพท ๆ นั้นแบงเปน ๓ อยาง คือ นามนาม ๑ คุณนาม ๑ สัพพนาม ๑. นามนาม นามที่เปนชื่อของคน สัตว ที่ สิ่งของ และสภาพตาง ๆ เรียก นามนาม. มนุษยทุกจําพวกซึ่งมีอวัยวะคลายคลึงกัน รวมเรียกวา "คน" สัตวมุกจําพวกตางโดยชาง มา โค กระบือ เปนตน เปนสัตวมี เทาก็ตาม ไมมีเทาก็ตาม มีปกก็ตาม ไมมีปกก็ตาม หรือที่พิเศษนอก ไปจากนี้ก็ตาม รวมเรียกวา "สัตว" ของอยูเปนที่เชนแผนดินก็ดี ของที่ เนื่องกับแผนดินเชนตนไมหรือเรือนก็ดี หรือสิ่งอื่น ๆ อันนับวาเปนที่ อยูอาศัย รวมเรียกวา "ที่ " สิ่งของทุกประเภทตางโดยเปนเครื่อง
  • 4. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 3 อุปโภค เชนเสื้อผาหรือเครื่องใชอยางอื่น ๆ เปนตนก็ดี เปนเครื่อง บริโภคตางโดยขาวน้ําเปนตนก็ดี รวมเรียกวา "สิ่งของ" สภาพหรือ ธรรมชาติตาง ๆ ตางโดยฌานและสมาบัติเปนตน รวมเรียกวา "สภาพ" ชื่อของคนเปนตนเหลานี้ เรียกวา "นามนาม" แปลวา "ชื่อของ สิ่งที่มีชื่อ." สาธารนาม นามนามนั้นยังแยกประเภทออกไปอีก คือเปนนามที่ทั่วไปแก สิ่งอื่นไดอยาง ๑ เปนนามที่ไมทั่วไปอยาง ๑ นามที่ทั่วไปแกคนสัตว ที่ อื่นได เหมือนคําวา มนุสฺโส มนุษย ติรจฺฉาโน สัตวดิรัจฉาน นคร เมือง เปนตน เรียก สาธารณนาม แปลวานามที่ทั่วไป หรือชื่อ ที่ทั่วไปอยาง ๑. อสาธารณนาม นามที่ตรงกันขาม คือเปนนามที่ไมทั่วไป เปนนามเจาะจง เฉพาะอยางหนึ่ง ๆ เหมือนคําวา ทยฺยเทโส ประเทศไทย เอราวโณ ชางชื่อเอราวัณ พิมฺพิสาโร พระราชานามวาพิมพิสารเปนตน เรียก อสาธารณนาม แปลวานามที่ไมทั่วไป หรือเปนชื่อที่เฉพาะไมทั่วไป. หากจะมีคําถามวา คนไทยเปนนามประเภทไหน ? คือเปน สาธารณนาม หรือ สารธารณนาม เมื่อเปนเชนนี้พึงเฉลยวา ขอนั้น สุดแลวแตความหมาย ถาประสงคจะใหคนไทยเปนสาธารณนามก็ได เพราะคนไทยมีทั่วไปในประเทศไทย หากประสงคจะใหคนไทยเปน
  • 5. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 4 อสาธารณนามก็ได เพราะคนไทยมิไดมีทั่วไปแกคนทั้งโลก มี จีน แขก ฝรั่ง เปนตน แมคําอื่น ๆ ที่เหมือนกับคํานี้ ก็พึงทราบโดยนัยดังกลาว แลว. คุณนาม ธรรมดานามนามยอมมีลักษณาการประจําอยูทั้งสิ้น และลักษณะ ของนามนามนั้นยอมมีหลายอยางตาง ๆ กัน เชนคน ยอมมีโง ฉลาด สูง ต่ํา ดํา ขาว อวน ผอม เปนตน, ตนไม ยอมมีงาม ไมงาม เฉา สดชื่น เล็ก ใหญ เปนตน, แมถึงสถานที่หรือสิ่งของอื่น ๆ ก็เหมือนกัน ดวยเหตุนี้ จึงตองมีคําพูดชนิดหนึ่งดังวานั้น สําหรับประกาศลักษณะ ของนามนามใหเปนที่เขาใจ คือเปนเครื่องชวยใหรูจักนามนามนั้นชัด เจนขึ้นวา นามนามนั้นมีลักษณะเชนไร เชนคนก็ใหรูวาเปนคนประ- เภทไหน โงหรือฉลาด ดีหรือชั่วเปนตน เรียกคุณนาม เพราะเปน นามที่แสดงลักษณะของนามนาม ถามีแตนามนาม ไมมีคําคุณเขาประ กอบ เมื่อยังไมรูไมเห็นเอง ก็ไมอาจรูคุณลักษณะนั้น ๆ ได เชน ปุริโส ชาย เราก็รูแตเพียงวาเขาเปนชายหาใชผูหญิงไม ยังมิไดแสดงใหรูคุณ ลักษณะซึ่งเปนภาวะของเขา ตอมีคุณนามซึ่งแสดงลักษณะประกอบอยู ดวยดังเชนคําวา ปฺวา ปุริโส บุรุษมีปญญา ดังนี้ เราก็รูลึกซึ้งเขาอีก วาผูชายที่ไดออกชื่อนั้น เปนคนมีปญญา หาใชคนโงเขลาไม ในกาลบาง คราวถึงกับตองใชคุณนามเปนเครื่องหมายที่มีชื่อพองกัน ใหตางกันวา นั่นเปนคนนั้น นี่เปนคนนี้ ซึ่งเรียกวาใหฉายาหรือมีฉายา มีใชทั้งภาษา ไทยและภาษามคธ ในพากยมคธ เชน มหาปาโล นายปาละใหญ
  • 6. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 5 จุลฺลปาโล นายปาละนอย กาฬุทายี พระอุทายีดํา โลลุทายี พระ- อุทายีเลอะเปนตน ในพากยภาษาไทยเชน นายแดงใหญ นายแดงเล็ก หรือนายแดงเกา นายแดงใหมเปนตน คําที่แสดงลักษณะเหลานี้ ลวนเปนเครื่องหมายคุณนามทั้งสิ้น. คุณนามแบงเปน ๓ ตามธรรมดาสิ่งทั้งปวง ยอมมีคุณลักษณะประจําอยูทุกชนิด ดังกลาวแลว แมจะมีเหมือนกันก็จริง แตก็ไมเสมอกันทั้งหมด ยอมมียิ่ง และหยอนกวากัน ตัวอยาง พระ ก. ฉลาด พระ ข. ฉลาด พระ ค. ก็ฉลาด เพียงเทานี้แสดงวาเปนพวกฉลาดดวยกัน แตก็ยังยิ่งและหยอน สมมติวา พระ ก. เปนผูฉลาด แตพระ ข. ยังเฉียบแหลมยิ่งไปกวานั้น ตองจัดใหพระ ข. เปนผูฉลาดกวาพระ ก. สวนพระ ค เปนผูฉลาดไม มีตัวจับ คือหาผูเปรียบเสมอมิได เปนยอดเยี่ยมกวาทุก ๆ คน เชนนี้ พระ ค. ตองนับวาฉลาดกวาพระ ก. และพระ ข. จัดเปนฉลาดที่สุด แมสิ่งของที่ไรวิญญาณก็เหมือนกัน ยอมมีลักษณะแตกตางกันเปนชั้น สามัญชั้นกลางและดีเยี่ยม โดยอนุมานนี้จึงแบงคุณนามออกเปน ๓ ชั้น คือ ปกติ ๑ วิเสส ๑ อติวิเสส ๑. ปกตินั้น ไดแกคําคุณที่แสดงลักษณะสามัญ คือเปนลักษณะ ธรรมดา ไมยิ่งไมหยอน ไมถึงกับเปนชั้นยอดเยี่ยม ไมมีอุปสัคและ ปจจัยเพิ่มขางหนาหรือขางหลัง เชน ปณฺฑิโต เปนบัณฑิต ปฺวา มีปญญา เปนตน. วิเสสนั้น ไดแกคุณนามที่เปนชั้นปกตินั้นเอง แตมีคําวา "ยิ่ง"
  • 7. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 6 หรือ "กวา" เพราะมีกําหนด. คําใดมี อติ (ยิ่ง ) อุปสัคนําหนาปกติบาง มี ตร หรือ อิย อิยิสฺสก ปจจัยตอทายศัพทปกติบาง เชนคําวา อติปณฺฑิโต เปนบัณฑิตยิ่ง ปณฺฑิตตโร เปนบัณฑิตกวา กนิโย นอยกวา ปาปยิสฺสโก เปนบาปกวา ดังนี้ เมื่อพบศัพทดังกลาวนั้น หรือศัพทอื่น ๆ ที่มีรูปเปนอยางเดียวกันกับศัพทเหลานี้ พึงเขาใจวา ศัพทเหลานั้นเปนพวกวิเสส เพราะแปลกจากชั้นปกติสามัญ แตไมถึง กับเลิศที่สุด. อติวิเสสนั้น ไดแกคุณนามที่แสดงลักษณะดีหรือชั่วมากที่สุด หรือนอยที่สุด เชนดีก็ดีอยางที่สุด ชั่วก็ชั่วอยางที่สุด ไมใชดีหรือชั่ว ธรรมดา หรือยิ่งกวาสามัญเพียงเล็กนอย สังเกตตามภาษาไทยวา "เกิน เปรียบ, ยิ่งนัก, ที่สุด" แนบอยูกับศัพทอันแสดงลักษณะนั้น. สังเกต ตามภาษามคธมีอุปสัคและนิบาต คือ อติวิย (เกินเปรียบ) นําหนา เชน อติวิยปณฺฑิโต เปนบัณฑิตเกินเปรียบ เปนบัณฑิตยิ่งนัก หรือมี ตม. อิฏ. ปจจัยแนบหลัง เชน ปาปตโม เปนบาปที่สุด หีนตโม เลว ที่สุด กนิฏโ นอยที่สุด ดําดังวามานี้ หรือที่ยังไมไดนํามากลาว แตมี ลักษณะเชนนี้ พึงทราบวาเปนคุณนามชั้นอติวิเสสทั้งสิ้น. อนึ่ง คุณนามที่ใชเปนคุณบทของนามนามหลายบท จะใชคุณนาม เพียงบทเดียวก็ได ถาเรียงอยูใกลนามนามที่เปนลิงคใด พึงประกอบให เหมือนนามนามที่เปนลิงคนั้น. ตัวอยาง อฺาตโก คหปติ วา คหปตานี วา พอเจาเรือนก็ดี แมเจาเรือนก็ดี ผูมิใชญาติ (สิกขาบทที่ ๗ นิสสัคคิย) อฺาตโก อยูใกล คหปติ ซึ่งเปน ปุ. แตเปนคุณของ คหปตานี ดวย.
  • 8. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 7 ถานามนามเปนเอกวจนะหลายบทแตรวมคุณกัน ก็ใชคุณนาม บทเดียวเหมือนกัน แตมักประกอบคุณนามเปนพหุวจนะ ดังคําวา เอกสฺมึ สมเย นาโถ โมคฺคลฺลานฺจ กสฺสป คิลาเน ทุกฺขิเต ทิสฺวา โพชฺฌงฺเค สตฺต เทสยิ. ในสมัยหนึ่ง พระโลกนาถเจา ทรง เห็นทานโมคคัลลานะและทานกัสสปะผูเปนไขไดทุกข จึงทรงแสดง โพชฌงค ๗ ประการ. (สวดมนต. ๒๓) ในอุทาหรณทั้ง ๒ นั้นควร สังเกตวา ถาบทนามนามมี วา ศัพทกํากับอยู มักประกอบบทวิเสสนะ เปนเอกวจนะ ถามี จ ศัพทกํากับอยู มักประกอบบทวิเสสนะเปน พหุวจนะ ดังอุทาหรณไดแสดงไวแลวนั้น. สัพพนาม คํานี้ไดแกนามที่เปนชื่อสําหรับใชแทนนามนาม ซึ่งออกชื่อมา แลวขางตน เพื่อมิใหเปนการซ้ําซากในเมื่อประสงคจะพูดถึงอีก พึงดู คําอธิบายที่วาดวยสัพพนามขางหนาเถิด ในที่นี้พึงกําหนดเนื้อความ โดยยอ ๆ วา สัพพนามนั้นแบงออกเปน ๒ คือ ปุริสสัพพนาม ๑ วิเสสนสัพพนาม ๑, คําแทนชื่อคน, สัตว, ที่, สิ่งของ. โดยตรงเชน เขา, เจา, ทาน, สู, เอง, มึง, ตามคําสูงและต่ํา จัดเปนปุริสสัพพนาม คําแทนชื่อโดยความเปนบทวิเสสนะ คือแทนเพียงเพื่อใหรูความแน นอนและไมแนนอน และเพื่อใหรูระยะใกลหรือไกล เชน ใด, นั้น, อยางใดอยางหนึ่ง, อื่น, โนน, เปนตน จัดเปนวิเสสนสัพพนาม. นามศัพทเนื่องถึงกัน นามนาม คุณนาม และสัพพนาม ทั้ง ๓ นี้ ยอมเกี่ยวเนื่องถึงกัน
  • 9. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 8 จะขาดเสียแตอยางใดอยางหนึ่งไมได เหมือนโตะ ๓ ขา จะมีเพียงขา เดียวหรือ ๒ ขา ยอมตั้งใหตรงไมได แมนามศัพททั้ง ๓ ก็เหมือนกัน จะมีแตนามนามอยางเดียว ก็ไมสําเร็จประโยชนสมมุงหมาย เพราะมี แตเพียงชื่อหาไดมีลักษณะอาการวาเปนอยางไรไม จึงตองอาศัยนามที่ แสดงลักษณะ เพื่อใหรูวาดีชั่วอยางไร ซึ่งเรียกวาคุณนาม จะมีแต นามนามกับคุณนามเทานั้น ก็ยังจัดวาเปนการบกพรองไมเพราะหู ใน เมื่อจะตองออกชื่อบอย ๆ อาจทําใหเคอะเขินก็ได ดวยเหตุนี้ จึงตองมี สัพพนามไวสําหรับแทนชื่อนามที่ไดออกชื่อมาแลวขางตน ในนาม และสัพพนามจะเกิดขึ้นไมได นามนามนั้นเหมือนรางกายหรือวัตถุสิ่ง ของ คุณนามและสัพพนามเหมือนเงา เมื่ออัตภาพรางกายเปนตนไมมี เงาจะเกิดมีขึ้นไดอยางไร อนึ่ง ยามนามนี้ ยอมมีอํานาจบังคับใหคุณนาม และสัพพนาม มีลิงค วจนะ วิภัตติ เสมอกับตนซึ่งเปนเจาของประโยค แตนามนามนั้นอาจกลับเปนคุณหรือกิริยาก็ได ในเมื่อนําไปประกอบ กับปจจัยบางตัว เชน สหายตา ความเปนแหงบุคคลผูเปนสหาย ปุตฺติยติ ประพฤติเปนเพียงดังบุตร เปนตน ก็แลพึงสังเกตนามศัพทที่ เกี่ยวเนื่องกัน ดังตอไปนี้ :-
  • 10. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 9 นามศัพท เมื่อผูศึกษาเขาใจลักษณะของนามศัพททั้ง ๓ นี้แลว จะตอง ทราบเครื่องประกอบของนามศัพทอีกตอไป เพราะลําพังแตนามศัพท ยังใชการใหสําเร็จประโยชนไมได เปนเหมือนรูปหุนที่ขาดคนชัก รูป หุนจะยักยายแสดงทาทางอยางไร ๆ ยอมเปนไปไมได ตอเมื่อมีคนชักจูง ยักยายแสดงทาทางเปนเรื่องเปนราวได ถึงนามศัพทก็เหมือนกัน ถา ขาดเครื่องประกอบแลว ยอมไมอาจยังประโยชนที่ตองการใหสําเร็จได ตอเมื่อไดประดับดวยเครื่องประกอบ คือพรอมมูลดวยลิงค วจนะ วิภัตติ แลว จึงเปนการยังประโยชนใหสําเร็จดวยดี. ลิงค ธรรมดาสิ่งทั้งปวงยอมมีเพศ คือเครื่องหมายประจําเสมอไป การใชนามนามก็ดี คุณนามก็ดี สัพพนามก็ดี ในภาษามคธเนื่องดวยลิงค
  • 11. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 10 โดยตรงคือนามนาม โดยออมคือคุณนามและสัพพนาม และตอง ประกอบใหมีลิงคเปนอยางเดียวกันนามนาม ในภาษามคธทานแบง คําพูดเปน ๓ ลิงค คือ ปุลิงค เครื่องหมายที่ไมใชเพศชายและเพศหญิง ๑. ถึงจะจัดไวเปน ๓ ก็จริง แตถึงดังนั้น เมื่อวาโดยตนเคาแลว ก็มี เปน ๒ คือ จัดตามกําเนิดอยาง ๑ จัดตามสมมติอยาง ๑. จัดตาม กําเนิดนั้น ไดแกจัดตามธรรมชาติของภาวะเชน ปุริโส ชาย จัดเปน ปุลิงค อิตฺถี หญิง จัดเปนอิตถีลิงค กุล สกุล จัดเปนนปุสกลิงค ที่ จัดตามสมมตินั้นคือจัดนอกธรรมชาติของสิ่งนั้นโดยความนิยมอยาง ๑ โดยการันตคือสระที่สุดศัพท ซึ่งขัดกับธรรมชาติอันเปนภาวะของตน อยาง ๑ เชน ทาโร เมีย คําวาเมีย แทจริงเปนอิตถีลิงค แตสมมติ ใหเปนปุลิงค ภูมิ แผนดิน ตามธรรมชาติตองเปนนปุสกลิงค เพราะไม ใชเพศชายหรือหญิง แตสมมติใหเปนอิตถีลิงค แมศัพทอื่น ๆ ซึ่งมี นัยเหมือนกัน พึงเขาใจตามที่ไดกลาวแลวขางตน. นามนามเปนลิงค เดียว คือจะเปนลิงคใดลิงคหนึ่งในลิงคทั้ง ๓ เปนไดเฉพาะลิงคเดียว ก็มี เปน ๒ ลิงค คือจะเปนปุลิงคหรือนปุสกลิงค แตจะเปนอิตถีลิงคไม ไดก็มี มูลศัพทอันเดียวมีรูปอยางเดียวเปลี่ยนแตสระที่สุดแหงศัพทเปน ได ๒ ลิงค คือจะเปนปุลิงคหรืออิตถีลิงคก็ได แตจะเปนนปุสกลิงคไม ได (อุทาหรณตามแบบ) สวนคุณนามและสัพพนามเปนไดทั้ง ๓ ลิงค. อนึ่ง มีบทบาลีซึ่งเปนคําของพระฎีกาจารย ในมังคลัตทีปนี ภาค ๒ หนา ๔๒๙ วา ทีฆรชฺชุนา พนฺธ สกุณ วิย รชฺชุหตฺโถ
  • 12. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 11 ปุริโส เทสนฺตร ตณฺหารชฺชุมา พนฺธ สตฺตสนฺตาน อภิสงฺขาโณ ภวนฺตร เสิ อาตายาติ ภวเนตฺติ อภิสังขาร ยอมนําสันดานแหงสัตว ที่ตนผูกไวดวยเชือกคือตัณหาไปสูภพอื่นดวยตัณหานั้น เหมือนบุรุษ มีเชือกในมือ นํานกที่ตนผูกแลวดวยเชือยาวไปสูประเทศอื่น เหตุนั้น ตัณหานั่นจึงชื่อวาภวเนตติ. จึงนาจะสันนิษฐานวาศัพทที่เปนลิงคโดย กําเนิดจะไมสมมติใหเปนลิงคอื่นก็ได คือคงไวตามภาวะเดิม คําวา รชฺชุ แทจริงก็เปนนปุสกลิงคโดยกําเนิด แตทานสมมติใหเปนอิตถีลิงค สวน ในอุทาหรณที่ยกมานั้นสอใหเห็นวาหาเปนไปตามสมมติไม คือเปน รชฺชุนา แจกตามแบบ นปุ. ยุกติอยางไรขอนักบาลีพิจารณาดูเถิด. วจนะ สิ่งทั้งปวงที่ผูพูดกลาวถึงมากบางนอยบางเปนธรรมดา เพื่อจะให ผูฟงเขาใจเนื้อความและจํานวนมากนอย ทาจึงบัญญัติวจนะไวโดยทั่ว ไปเปน ๒ เวนแตพวก ภควนฺตุ ศัพท แบงเปน ๓ วจนะ ดังกลาว ขางหนา คําพูดที่มุงหมายเอาของสิ่งเดียวหรือบุคคลผูเดียว เรียกเอก- วจนะ ถามุงหมายตรงกันขามคือหมายเอาของหลายสิ่งหรือบุคคลหลาย คนตั้งแต ๒ ขึ้นไปเรียกวาพหุวจนะ เชน ปุริโส ชายคนเดียว เปน เอกวจนะ ปุริสา ชายหลายคน เปนพหุวจนะ. การกําหนดรูเอกวจนะและพหุวจนะนี้ ทานใหกําหนดที่สุดของ ศัพท เพราะที่สุดศัพทนั้นจะบอกใหรูวาเปนวจนะอะไร แตมีศัพท ที่ทําใหกําหนดยาก เพราะเอกวจนะกับพหุวจนะมีรูปเหมือนกัน เชน เสฏี อาจเปนได ๒ วจนะ แตมีสังเกตเพื่อใหรูได คือใหกําหนด
  • 13. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 12 ที่บทวิเสสนะและบทกิริยาอาขยาต หรือกิริยากิตกในประโยคนั้น ๆ เชน โส เสฏี, เต เสฏี, เสฏี คจฺฉติ, เสฏี คจฺฉนฺติ, เสฏี คโต, เสฏี คตา เปนตน ก็อาจทราบไดวาเปนวจนะอะไร เพราะบทวิเสสนะก็ดี บทกิริยาอาขยาตหรือบทกิริยากิตกก็ดี ยอมเปน เหมือนเครื่องสองวจนะใหชัดเจน ผูศึกษาพึงกําหนดใหดี. ยังมีวจนะอีก ๒ ประเภท คือทฺวิวจนะและเทฺววจนะ ในวจนะ ทั้ง ๒ นี้ มีความหมายตางกัน ทฺวิวจนะ หมายความวาสิ่งของหรือ บุคคลที่พูดถึงนั้นมีเพียง ๒ ไมถึง ๓ แตไมใชเพียง ๑. คําวาเทฺววจนะ หมายความวาศัพทที่จะแจกดวยวิภัตติเปนได ๒ วจนะคือทั้งเอกวจนะ และพหุวจนะ เพราะบางศัพทเปนไดแตเอกวจนะ เปนพหุวจนะไมได เชน อตฺต ศัพท เปนตัวอยาง บางศัพทเปนไดแสดงไวแลวนั้น เชน ปฺจ เปนตน เชนเดียวกับคําที่วา ทฺวิลิงคเปนได ๒ ลิงค ไตรลิงคเปน ได ๓ ลิงค. วจนะนั้นมีลักษณะอาการคบลายสังขยา เพราะตางก็นับจําแนกมี ความหมายในวัตถุสิ่งของหรือบุคคลใหรูจํานนวามีเทาไร แตวจนะที่ เปนพหุวจนะมีความหมายกวางกวาสังขยา เพราะตั้งแต ๒ ขึ้นไปเปน พหุวจนะทั้งนั้น มิไดจํากัดจํานวนเทาไร สวนสังขยาแมจะมาก สักเทาไร ก็มีกําหนดจํานวนวามีเทานั้นเทานี้ รวมความวาพหุวจนะมี การนับโดยมิไดมีขอบเขตวาเทาไร สังขยามีขอบเขตวามีเทานั้นเทานี้ และวจนะนี้ที่ใชในนามศัพทเมื่อประกอบกับศัพทแลวเปนเครื่องหมาย
  • 14. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 13 วิภัตติ สวนวจนะในอาขยาตยอมเปนเครื่องหมายบุรุษ อนึ่ง วจนะนั้น ใชเปนเครื่องหมายความเคารพ เชนผูนอยจะพูดกับผูใหญแมคนเดียว โดยความเคารพ ทานนิยมใหใชพหุวจนะ มีแตลิงคกับวจนะเทานั้น ยังไมพอ ตองมีวิภุตติเขาประกอบ วิภัตตินั้นเปนเครื่องหมายใหรู วจนะไดประการ ๑ นามศัพทจึงจะใชใหสําเร็จประโยชนไดดี. วิภัตติ ศัพทนี้ แปลวา แจกหรือจําแนกศัพทใหมีเนื้อความเนื่องถึงกัน ตามภาษาที่มีทั่วไป ในประเภทศัพทที่ไมใชพวกอัพยยศัพท ลิงคก็ดี วจนะก็ดี ตองอาศัยวิภัตติชวยอุปภัมภสําหรับกําหนด เพราะในปุลิงคฺ อิตถีลิงค และนปุสกลิงค ตางก็มีวิธีแจกไมเหมือนกัน อนึ่ง วิภัตติกับ อายตนิบาตคือคําตอก็หาเหมือนกันไม สิ. อ. โย. เปนตน เรียกวิภัตติ. ซึ่ง, ดวย,แต, จาก, ของ, เพื่อ, เปนตน เรียกอายตนิบาต บรรดา ศัพทประกอบดวยวิภัตติทุกเหลา จะมีอายตนิบาตทุกศัพทก็หาไม ตาม ธรรมดาอายตนิบาตเนื่องจากวิภัตติแหงนามนามและปุริสสัพพนาม อัน ไดแก ต, ตุมฺห, อมฺห. ศัพท โดยตรง หรือ กึ ศัพทบางคําเทานั้น นอกจากนี้หามิไม เชนศัพทที่เปนปฐมาวิภัตติไมเนื่องดวยอายตนิบาต เพราะเปนประธาน ที่เนื่องนั้นตั้งแตทุติยาวิภัตติเปนตนไป และที่ตอง แปลอายตนิบาตในทุติยาวิภัตติเปนตนก็เฉพาะตัวนามนามและสัพพนาม สวนคุณนามไมตองแปลออกชื่ออายตนิบาต แตถาคุณยามใชเพิ่มนามก็ ตองแปลดวย สวนปฐมาวิภัตติที่นิยมแปลวา อันวา เปนเพียงสํานวนใน ภาษาไทยเหน็บเขามาเพื่อมิใหเคอะเขินเทานั้น หากจะไมมีก็ไมเปนการ
  • 15. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 14 เสียหายอยางไร วิภัตตินั้นวาโดยหมวดมี ๒ หมวด คือ เอกวจนะหมวด ๑ พหุวจนะหมวด ๑ โดยหมูมี ๗ คือ ตั้งแตปฐมาวิภัตติจนถึงสัตตมี- วิภัตติ. อนึ่ง คําแปลวิภัตติในนามยังไมสิ้นเชิง เพราะในวากยสัมพันธ ยังมีเพิ่มเติม เชนทุติยาวิภัตติแปลวา ยัง กะ เฉพาะ ไดอีก พึงดูใน วายกสัมพันธนั้นเถิด ในวิภัตติ ๗ หมูนั้น ปฐมาวิภัตติยังแบงออกเปน ลิงคัตถะ กัตตา และวุตตกรรม สําหรับประธานอยาง๑ อาลปนะ คําสําหรับรองเรียกอยาง ๑ โดยวิธีสัมพันธ พึงรูวา อาลปนะ ก็ไมมี อายตนิบาต แมเวลาแปลจะมีคําวา แนะ, ดูกอน, ขาแต. ก็เปนเพียง สํานวนในภาษาไทยเทานั้น หากจะไมใชก็ไมเปนการเสียหายแตอยางใด วิภัตตินั้นเรียงตามลําดับปูรณสังขยาวาที่ ๑ ที่ ๒ จนถึงที่ ๗ และมีคํา ใชแทนซึ่งความหมายตรงกัน ดังนี้ :- ที่ ๑ ปฐมาวิภัตติ = ปจจัตตวจนะ " ๒ ทุติยา " = อุปโยควจนะ " ๓ ตติยา " = กรณวจนะ " ๔ จตุตถี " = สัมปทานวจนะ " ๕ ปญจมี " = อปาทานวจนะ " ๖ ฉัฏฐี " = สามีวจนะ " ๗ สัตตมี " = ภุมมวจนะหรืออธิกรณวจนะ. ในวากยสัมพันธแสดงถึงวิภัตติเหลานี้วาใชในอรรถตาง ๆ กัน ผูตองกายทราบความพิสดารพึงตรวจดูในวากยสัมพันธนั้นเถิด.
  • 16. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 15 วิภัตตินามกับวิภัตติอาขยาตเหมือนกันโดยชื่อก็จริง แตมีความ หมายตางกัน คือวิภัตตินามเมื่อลงที่ทายศัพทเปนเครื่องหมาย ลิงค วจนะ และอายตนิบาต เพื่อบอกใหรูวาเปนลิงคอะไร วจนะอะไร และจะใชอายตนิบาตไหนจะเหมาะกัน วิภัตติอาขยาย เมื่อลงที่ทายธาตุ เปนเครื่องหมาย กาล บท วจนะ บุรุษ วาจก และปจจัย ทั้งนี้ เพื่อสองเนื้อความใหชัดเจนขึ้นกวาปกติ. การันต คํานี้ไดแกสระที่สุดอักษรหรือที่สุดศัพท คําวา อะ การันตคือ สระที่ทายศัพทมีเสียงปรากฏเปน อะ เชน ปุริสะ กุละ เปนตน แม คําวา อิ การันต จนถึง อู การันตก็นัยนี้ บาลีภาษานิยมวา สระ ตอง อยูหลังพยัญชนะ ทําใหพยัญชนะตองออกเสียงไปตาม เวลาเขียนเปน อักษรไทยทุกวันนี้ สระอะเมื่อลงทายพยัญชนะ ไมตองเขียนไว เปน อันเขาใจกันไดวามีเสียง อะ อยาง ปุริสะ ก็คงมีสระอะอยูหลังนั่นเอง. ในนามนามและคุณนามนั้นทานจัดการันตตามแบบที่ใชสาธารณะ ทั่วไปมากนั้น ดังนี้ :- ปุลิงคมีการันต ๕ คือ อ. อิ. อี. อุ. อู. อิตถีลิงคมีการันต ๕ คือ อา. อิ. อี. อุ. อู. นปูสกลิงคมีการันต ๓ คือ อ. อิ. อุ. โค ศัพท ทานวาเปน โอ การันต ในปุลิงคและนปุลิงค ศัพท ทั้งหลายวาดวยการันต พึงสังเกตการันตอันพองกันหรือพวกกติปยศัพท ซึ่งมีการันตพองกันกับสาธารณาการันต พึงพิจารณาวาศัพทไหนเปน
  • 17. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 16 ลิงคอะไรแจกตามแบบไหน เชน อินฺท ปภา อิทฺธิ หตฺถี มจฺจุ จมู เหลานี้ ยอมมีวิธีแจกไมเหมือนกันดวยอํานาจลิงคและประเภท ของศัพท เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นศัพทนั้น ๆ จงใครครวญใหดีวาเปน ลิงคอะไร เมื่อทราบลิงคก็อาจทราบไดวาแจกตามแบบไหน วิธีแจก และการเปลี่ยนแปลงวิภัตติในเวลาแจก ทานไดแสดงไวบริบูรณแลว ผูศึกษาพึงสังเกตดูใหดี เพราะทานอธิบายไวขางทายของแบบแจกใน การันตนั้น ๆ ถึงวิธีเปลี่ยนวาทําอยางไร เอาการันตคือสระที่สุดศัพท กับตัววิภัตติเปนอยางไร ก็ชัดเจนทุกแหง เชน ปุริส มี อะ เปนที่สุด รวบกับ สิ วิภัตติ ทานใหเอาเปน โอ [ อะ+สิ = เอ ] จึงเปน ปุริโส แมตัวอื่น ๆ ก็เชนนั้น เชน อะ กับ โย ปฐมาวิภัตติเปน อา [ อะ+ โย=อา ] อะ กับ โย ทุติยาวิภัตติเปน เอ [ อะ+ สิ =โอ ] จึงเปน ปุริสา ปุริเส เปนตน แมวิภัตติอื่นการันตอื่นในไตรลิงคก็พึงเขาใจ ตามนี้ โดยดูอธิบายทายแบบแจกในการันตทั้งปวงเถิด. อิ อี การันตในอิตถีลิงคมีกลเม็ดอยูบาง อันผูศึกษาพึงสังเกต ใหดี เชน นาริย, โพธิยล ทาสิย เปนตน ผูไมทันพิจารณา อาจตอบวาเปนสัตตมีวิภัตติอยางเดียวเปนวิภัตติอื่นไมได แทจริงเปน วิภัตติอื่นก็ได คือเปนทุติยาวิภัตติ ทานใหอุทาหรณไววา ตเถว ตฺว มหาวีร พุชฺฌสฺสุ ชินโพธิย ขาแตพระมหาวีระ ขอพระองค จงตรัสรูซึ่งโพธิญาณของพระชินะอยางนั้นทีเดียว จะเห็นไดวา ชินโพธิย เปนทุติยาวิภัตติ หาใชสัตตมีวิภัตติไม แมศัพทอื่น ๆ ที่ไดยกขึ้น กลาวแลวก็พึงทราบโดยนัยนี้ ในคัมภีรมูลกัจจายนะ๑ ใหคําอธิบายวา ๑. มูลกจฺจายน. สูตรที่ ๑๒๓. หนา ๒๒๔.
  • 18. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 17 เพราะเอา อ วิภัตติเปน ย จึงสําเร็จรูปเปนเชนนั้น ดังสูตรที่มานั้นวา อ ยมีโต ปสฺาโต แตหนา อี อันชื่อ ป. เอา อ วิภัตติ เปน ย ได. ขอควรสังเกต การันต วิภัตติ วจนะ มีรูปเหมือนกันก็มี เชน อิ อี อุ อู ในปุลิงคและอิตถีลิงคตางมีดวยกัน หรือ อ อิ อุ ในนปุสกลิงค ก็ซ้ํากับปุลิงคทั้งหมด และซ้ํากับอิตถีลิงคบางตัว ขอนี้เมื่อแจกวิภิตติ แลว ก็มีรูปตางกันออกไปบางเหมือนกันบาง ที่มีรูปตางกัน เปนอัน เขาใจไดวาเปนการันตในลิงคไหน แตที่มีรูปเหมือนกันควรสังเกต ศัพทที่เนื่องกันคือคุณนามและวิเสสนะ ถามีกิริยากิตกอยูดวยก็สังเกต งายขึ้น เพราะกิริยากิตกมี อะ เปนที่สุดโดยมาก เชน กโรนฺต เมื่อ จะใหเปนปุลิงค ก็เปน กโรนฺโต อิตถีลิงคเปน กโรนฺตี นปุสกลิงค เปน กโรนฺต นี้แจกดวยปฐมาวิภัตติ เมื่อศัพทนามนามที่มีการันต เหมือนกันใน ๓ ลิงคเปนปฐมาวิภัตติ เอกวจนะซึ่งมีรูปเหมือนกัน เชนปุลิงค มุนิ อิตถีลิงค รตฺติ นปุสกลิงค อกฺขิ เมื่อเราเห็นศัพท เหลานี้แลว ควรสังเกตถึงศัพทคุณนามหรือกิริยากิตก เชนที่ลง อนฺต ปจจัย ปุลิงคปฐมาวิภัตติเปน อนฺโต เชน กโรนฺโต อิตถีลิงค เปน อนฺตี เชน กโรนฺตี นปุสกลิงคเปน อนฺต เชน กโรนต เปนตน หรือจะสังเกตที่สัพพนามก็ได ถามีอยู เพราะสัพพนามมีวิธีแจกวิภัตติ ในลิงคทั้ง ๓ ตางกัน เฉพาะ ตุมฺห อมฺห เทานั้นที่เปนปุลิงค อิตถี-
  • 19. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 18 ลิงคแจกอยางเดียวกัน สวนสัพพนามอื่น ๆ มีแบบแจกประจําใหลิงค เหลานั้น ในประเทศที่มีสัพพนามอยูดวย เปนการงายตอการสันนิษฐาน ลงไปวาเปนลิงคใดแน เชนมีสัพพนามอยูวา เอโส เอสา เอต ๓ คํานี้ ก็เปนการบอกชัดอยูแลววา เปนลิงคอะไร เอโส เปนปุลิงค ถาเปน วิเสสนะของศัพทที่มีอิการันตเชน เอโส สมาธิ เราจะรูวา สมาธิ เปนปุลิงค เพราะ เอโส สัพพนามเปนเครื่องบอก และเมื่อเห็นศัพท วา ชลฺลิ เปนอิตถีลิงค ในนปุสกลิงคก็เชนเดียวกัน เชน เอต อกฺขิ เปนตน แมในวิภัตติอื่น ๆ ก็พึงสังเกตตามลิงคโดยวิธีนี้ ก็จะรูไดวาการันตนั้นเปนการันตของลิงคอะไรแน. สวนวิภัตติ เวลาแจกแลวในลิงคเดียวกันพองกันบาง เชนจุตตถี ฉัฏฐีวิภัตติ ขอนี้สังเกตอายตนิบาตประจําวิภัตตินั้น ๆ วาอยางไหน จะเหมาะสมกวา แลวก็แปลอยางวิภัตตินั้น สวนที่ตางลิงคมีรูปเหมือน กันบาง เชน ปุริสาย กับ กฺาย สุขาย เหลานี้มีรูปเหมือนกัน ขอนี้ เราตองสังเกตและอาศัยความจําหมายไว ในเมื่อพบศัพทเหลานี้ในที่ อื่น ๆ คือเปนวิภัตติอื่นอยู วามีรูปเปนอะไร เปนลิงคใดแน แลวนํา มาสันนิษฐานขึ้นขาดในที่นี้วา ปุริสาย เปนปุลิงค เปนจตุตถีวิภัตติ เพราะเอาอะที่สุดของ ปุริส กับ ส จตุตถวีภัตติเปน อาย จึงเปนเชน นั้น สุขาย ก็เปลี่ยนเชนนั้นเหมือนกัน แต สุข ศัพทเปนปุสกลิงค เพราะในที่อื่นมีปรากฏอยูดื่นดาด วา สุข สวน กฺาย ยอมรูจาก ที่มาแหงอื่นวาเปนอิตถีลิงคโดยกําเนิดวาเปน อา การันต อีกอยาง
  • 20. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 19 หนึ่ง วิธีสังเกตศัพททั้ง ๓ นี้ ถามี คุณนาม สัพพนาม และกิริยา- กิตกอยูดวยก็จะเขาใจไดงายขึ้น วาเปนลิงคอะไรแน เพราะศัพท เหลานี้มีแบบแจกคงเดิม. อนึ่ง ในปุลิงค อิ อี อารันต ปฐมาวิภัตติ และทุติยาวิภัตติ พหุวจนะ กับจตุตถีวิภัตติ และฉัฏฐีวิภัตติ เอกวจนะ มักมีรูป เหมือนกัน เชน เสฏิโน เปนตน ขอนี้ก็มีสิ่งควรสังเกตอยูบาง คือ คุณนาม สัพพนาม กิริยากิตก มักจะประกอบวิภัตติไดใหเห็น ปรากฏอยูวาเปนวิภัตติอะไรแน เชน เต เสฏฐิโน หรือ เสฏิโน กโรนฺตา อยางนี้เปนปฐมาวิภัตติพหุวจนะ ถาเปน เสฏิโน กโรนฺเตฃ ก็เปนทุติยาวิภัตติพหุวจนะ ถาเปน ตสฺส เสฏิโน หรือ เสฏิโน กโรนฺตสฺส อยางนี้เปนจตุตถีหรือฉัฏฐีวิภัตติเอกวจนะ ทีนี้จะทราบวา เปนจตุตถีหรือฉัฏฐีวิภัตติแน ก็ตองอาศัยคําตอของศัพท คืออายตนิบาต จึงจะเขาใจไดดี วาเปนวิภัตติอะไรแน ถาทางสัมพันธเนื่องกับกิริยา ก็คงเปนจตุตวิภัตติ ถาเนื่องดวยนามเปนฉัฏฐีวิภัตติ นี้เปนของควร สังเกตเรื่องจตุตถีกับฉัฏฐีวิภัตติ วาจะเปนอยางไหนแน ตองอาศัยทาง สัมพันธเปนหลักดวย เรื่องการกําหนด การันต ลิงค วจนะ วิภัตติ จะแมนยําชํานาญตองอาศัยหลักดังกลาวแลว คือความที่ศัพทเกี่ยวเนื่อง กันโดยเปน คุณนาม สัพพนาม และกิริยา ตางก็มีรูปและวิธีใชเปน รูปเดียวกัน เปนเครื่องยืนยันกันไปในตัวเสร็จแลว เมื่อนักศึกษาแปล และอานหนังสือมากเขา ความชํานาญในเรื่องนี้ คอยทวีมากขึ้นโดย
  • 21. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 20 ลําดับ ในเบื้องตนไมตองหนักใจวาเปนของยากเลย เพราะความรู ความเขาในก็คอยมีขึ้นเอง ดวยอาศัยความจดจําสังเกตไปทุกระยะที่ได ศึกษาเลาเรียนนั้น.
  • 22. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 21 อธิบายนามตอนปลาย พระจันทร โกสโล ป.ธ. ๕ วัดราชาธิวาส เรียบเรียง กติปยศัพท ศัพทที่จะกลาวตอไปนี้เรียกวา "กติปยศัพท" แปลวา ศัพท เล็กนอย หรือ "ปกิณณกศัพท" แปลวาศัพทเรี่ยราด ที่เรียกอยางนั้น เพราะบางพวกก็มีวิธีแจกเฉพาะตน ๆ ศัพทเดียว ไมมีวิธีแจกทั่วไปใน ศัพทอื่น ซึ่งไดกลาวไวแลวในนามทั้ง ๓ บางพวกก็มีวิธีแจกใชได ในศัพทอื่นไดบางเล็กนอยไมมากนัก. กติปยศัพท ทานจัดไวใน บาลีไวยากรณมีเพียง ๑๒ ศัพท คือ อตฺต, พฺรหมฺ, ราช, ภควนฺตุ, อรหนฺต, ภวนฺต, สตฺถุ, ปตุ, มาตุ, มน, กมฺม, โค. บรรดาศัพทเหลานี้ บางศัพทก็เปนลิงคเดียว บางศัพทก็เปน สองลิงค ในที่นี้จะแสดงแบบที่ไมเหมือนกันแบบซึ่งแจกแลวขางตน เทานั้น ศัพทใดที่เปน ๒ ลิงค แจกไวแตลิงคเดียว พึงเขาใจเถิดวา อีกลิงคหนึ่งแจกตามการันตที่มีมาแลวในลิงคทั้ง ๓ เหมือนหนึ่ง ราช ศัพทเปน ๒ ลิงค จะแจกแตแบบที่เปนปุลิงค แบบที่เปนอิตถีลิงคจะ ไมแจก เพราะ ราช ศัพทในอิตถีงลิงคเปน ราชินี มีวิธีแจกเหมือน อี การันตในอิตถีลิงคขางตน.
  • 23. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 22 อตฺต (ตน) เปนปุ. แจกอยางนี้ ป. อตฺตา เอา อะ กับ สิ เปน อา แปลวา อันวา ตน ซึ่ง ตน ท. อตฺตาน เอา อะ กับ อ เปน อาน แปลวา สู ตน ยัง ตน สิ้น ตน ดวย ตน โดย ตน ต. อตฺตนา คงนาไว แปลวา อัน ตน ตาม ตน มี ตน แก ตน จ. อตฺตโน แปลง ส เปน โน แปลวา เพื่อ ตน ตอ ตน แต ตน ปฺ. อตฺตมา แปลง สฺมา เปน นา แปลวา จาก ตน กวา ตน เหตุ ตน แหง ตน ฉ. อตฺตโน แปลง ส เปน โน แปลวา ของ ตน เมื่อ ตน
  • 24. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 23 ใน ตน ใกล ตน ส. อตฺตนิ แปลง สมึ เปน นิ แปลวา ที่ ตน ครั้นเมื่อ ตน ในเพราะ ตน แนะ ตน อา. อตฺต ลบ สิ เสีย แปลวา ดูกอน ตน ขาแต ตน คําแปลอายตนิบาตในบทอื่น ๆ จะไมแปลไว ใหนักศึกษาพึง เทียบตามนี้. อตฺต ศัพทนี้เปนเอกวจนะอยางเดียว เมื่อถึงคราวใชเปนพหุ- วจนะ ตองวาซ้ํากันสองหน หรือเรียกศัพทไวสองศัพท เชนคําวา อตฺตา อตฺตา แปลวา อันวาตน ๆ ดังนี้ ใชเปนบทประธานของ กิริยาที่เปนพหุวจนะได แมวิภัตติอื่นก็เหมือนกัน เชนคําวา อตฺตโน อตฺตโน แปลวา ของตน ๆ อนึ่ง ที่ทานบัญญัติใหวาซ้ํากันสองหน เชนนั้น ก็เพื่อตองการจะใหเนื้อความหนักแนนเขา หรือเปนเครื่อง หมายใหรูจํานวนมากก็ได อตฺต ถาคงไวอยางนี้ ก็มีวิธีแจกไดเฉพาะ ตามที่ปรากฏในแบบนี้เทานั้น ผูแรกศึกษาควรจะวิธีเปลี่ยนวิภัตติและ การันตใหแมนยํา เพื่อจะไดยึดเปนหลักใหมั่นคง. อตฺต ยังมี สย ใชแทน แตแปลงเปน สก หรือ ส ได เมื่อ แปลงแลวนําไปแจกตามแบบ อ การันตในปุลิงคได ใชไดทั้งสอง
  • 25. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 24 วจนะในวิภัตติทั้ง ๗ หมวด เชน เสหิ แปลวา ของตน ไดในคาถา ธรรมบทวา เสหิ กมฺเมหิ ทุมฺเมโธ อคฺคิทฑฺโฒว ตปฺปติ คนมี ปญญาทรามยอมเดือดรอน ดุจถูกไฟไหม เพราะกรรมของตน ดังนี้ แปลงเปน สก ก็มี เมื่อแปลงแลวแจกตามแบบ อ การันตในปุลิงค ใชไดทั้งสองวจนะดวย สก ที่แปลงมาจาก สย มีที่ใชมากกวา ส. อตฺต ศัพทนี้มีอยูตามลําพัง ตองแจกอยางศัพทพิเศษดังปรากฏในแบบ เมื่อเขาสมาสกับศัพทอื่นแลวตองแจกตามแบบ อ การันตในปุลิงค โดยมาก. อตฺต ส สก ทั้งสามนี้แปลวาตนเหมือนกัน แตนําไปใชในที่ ตางกันกวางแคบกวากัน อตฺต โดยมากใชเปนบทนามนาม คือเพียง เปนบทประธานเทานั้น ถึงคราวใชเปน วิกติกตฺตา ก็ใชอยางนามนาม ไมมีผิดอะไร สวน ส หรือ สก นั้น โดยมากใชเปนบทคุณ เพื่อ แสดงลักษณะของนามไวราบรัดเขา คือแสดงวา ของสิ่งนั้นตองเปน ของตนจริง ๆ เมื่อแสดงลักษณะของนามนามบทใด ก็ตองลิงค วจนะ วิภัตติ เสมอกันกับนามผูเปนเจาของทุกแหงไป. อตฺต เมื่อติดตอศัพทอื่น ทานใหแปลง ต ที่สุดศัพทเปน ร สําเร็จรูป อตฺร เชน อตฺรโช แปลวา อันวาบุตรเกิดในตน หรือ อตฺรช เกิดในตน ทั้งนี้ปรากฏอยูในคาถาธรรมบท ภาค ๖ หนา ๑๙ วา อตฺตนา หิ กต ปาป อตฺรช อตฺตสมฺภว, อภิมตฺภติ ทุมฺเมธ, วชิร วมฺหย มณึ, ดังนี้เปนหลักอาง.
  • 26. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 25 อตฺต ศัพทนี้ โดยตรงใชแทน กตฺตา ใชเปนคําแทนชื่อของ คนเหมือนกันสัพพนาม พูดปรารภขึ้นเฉย ๆ โดยไมกลาวถึงมากอน เชน อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนแลเปนที่พึ่งของตน หรืออาจใช แทน กตฺตา โดยปรารภมากอนก็ได เชนวา ขาพเจาบําเพ็ญประโยชน ของตนแลว จึงจะบําเพ็ญประโยชนของผูอื่นดังนี้ คําวาของตน เปน คําแทนชื่อของ กตฺตา ดุจ อมฺห ศัพทในสัพพนาม คือขาพเจา ดังนี้. ขอควรจําใน อตฺต ศัพท คือ ๑. เปนไดเฉพาะเอกวจนะอยางเดียว. ๒. เมื่อถึงคราวจําเปนใชเปนพหุวจนะ ตองวาควบกับสองหน เชน อตฺตโน อตฺตโน แปลวา ของตน ๆ ดังนี้. ๓. ยังมี สย ซึ่งแปลเปน ส หรือ สก ได เมื่อแปลแลวนํา ไปแจกตามแบบ อ การันตในปุลิงค และเปนไดทั้งสองวจนะ ใช เปนบทคุณ คือวิเสสนะของบทอื่น ใชแทน อตฺต ศัพท. พฺรหฺม (พรหม) เปน ปุลิงคแจกอยางนี้ เอก. พหุ. ป. พฺรหฺมา เอา อะ ที่สุดแหง พฺรหฺมาโน เอา อะ กับ โย เปน พฺรหฺม กับ สิ อาโน เปน อา ทุ. พฺรหฺมาน เอา อะ กับ อ พฺรหฺมาโน เอา อะ กับ โย เปน เปน อาน อาโน
  • 27. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 26 พหุ. ต. พฺรหฺมุนา เอา อะ เปน อุ พฺรหฺเมหิ เอา อะ เปน เอ คง แลวคง นา ไว หิ ไว พฺรหฺเมภิ เอา อะ เปน เอ แปลง หิ เปน ภิ จ. พฺรหฺมุโน เอา อะ เปน อุ พฺรหฺเมน ทีฆะ อะ เปน อา แลวแปลง ส แลวคง น ไว เปน โน ปฺ. พฺรหฺมุนา เอา อะ เปน อุ พฺรมฺเมหิ เอา อะ เปน เอ คงหิไว แลวแปลง สฺมา พฺพหฺเมภิ เอา อะ เปน เอ เปน นา แปลง หิ เปน ภิ ฉ. พฺรหฺมุโน เอา อะ เปน อุ พฺรหฺมาน ทีฆะ อะ เปน อา แลวแปลง ส เปน แลวคง น ไว โน ส. พฺรหฺมนิ แปลง สฺมึ เปน พฺรหฺเมสุ เอา อะ เปน เอ คน นิ สุ ไว อา. พฺรหฺเม เอา สิ อา. เอก- พฺรหฺมาโน เอา อะ กับ โย เปน วจนะ เปน อา อาโน. ขอควรจําใน พฺรหฺม ศัพท คือ ๑. แมในศัพทอื่น ๆ สฺมึ วิภัตติ ก็แปลงเปน นิ ได เชนคําวา จมฺมนิ ในหนัง มุทฺธนิ บนยอด เปนตน.
  • 28. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 27 ๒. นา, ส, สฺมา, ส วิภัตติ ๔ ตัวนี้ เมื่อลงแลวตองเอา อะ ที่ สุดแหง พฺรหฺม เปน อุ เสมอไป เฉพาะ ส วิภัตติ ถาไมแปลง เปน โน ไมตองเอา อะ เปน อุ. ๓. แมมีศัพทอื่นนําหนา เชน "มหาพฺรหฺม" ก็คงแจกอยางนี้ และโดยกําเนิดทานวาเปนชายสิ้น จึงเปน ปุลิงค ไดอยางเดียว. ราช (พระราช) เปน ทฺวิลิงค ในปุงลิงค แจกอยางนี้ เอก. พหุ. ป. ราชา เอา อะ กับ สิ เปน ราชาโน เอา อะ กับ โย เปน อา อาโน ทุ. ราชาน เอา อะ กับ อ เปน ราชาโน เอา อะ กับ โย เปน อาน อาโน ต. รฺา เอา ราช กับ นา เปน ราชูหิ เอา อะ ที่ ราช เปน อุ รฺา แลวทีฆะ อุ เปน อู คง หิ ไว ราชูภิ เอา อะ ที่ ราช เปน อุ แลวทีฆะ อุ เปน อู แปลง หิ เปน ภิ จ. รฺโ ราชิโน เอา ราช รฺ เอา ราช กับ น เปน กับ ส เปน รฺโ รฺ ราชิโน ราชูน เอา อะ ที่ราชเปน อุ แลว ทีฆะ อุ เปน อู คง น ไว
  • 29. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 28 เอก พหุ. ปฺ. รฺา เอา ราช กับ สฺมา ราชูหิ เอา อะ ที่ ราช เปน อุ เปน รฺา แลวทีฆะ อุ เปน อู คง หิ ไว ราชูภิ เอา อะ ที่ ราช เปน อุ แลวทีฆะ อุ เปน อู แปลง หิ เปน ภิ ฉ. รฺโ ราชิโน เอา ราช รฺ เอา ราช กับ น เปน กับ ส เปน รฺโ รฺ ราชิโน ราชูน เอา อะ ที่ ราช เปน อุ แลวทีฆะ อุ เปน อู คง น ไว ส. รฺเ ราชินิ เอา ราช กับ ราชูสุ เอา อะ ที่ ราช เปน อุ สฺมึ เปน รฺเ ราชินิ แลวทีฆะ อุ เปน อู คง สุ ไว อา. ราช ลบ สิ เสีย ราชาโน เอา อะ กับ โย เปน อาโน
  • 30. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 29 ศัพทสมาสที่มีราชศัพทเปนที่สุดเหมือนราชา แจกอยางนี้ก็ได เอก. พหุ. ป. มหาราช เอา อะ กับ สิ มหาราชโร๑ เอา อะ กับ โย เปน อาโน ทุ. มหาราช อ คงไว มหาราเช เอา อะ กับ โย เปน เอ ต. มหาราเชน เอา อะ กับ นา มหาราเชหิ เอา อะ เปน เอ เปน เอน คง หิ ไว มหาราเชภิ เอา อะ เปน เอ แปลง หิ เปน ภิ จ. มหาราชสฺส เอา ส เปน สฺส มหาราชาน น อยูหลัง ทีฆะ มหาราชาย เอา ส เปน อาย อะ เปน อา คง มหาราชตฺถ เอา ส เปน ตฺถ น ไว ปฺ. มหาราชสฺมา คง สฺมา ไว มหาราชเหิ }(เหมือน ต. พหุ.) มหาราชมฺหา แปลง สฺมา เปน มหาราเชภิ มฺหา มหาราชมฺหา แปลง สฺมา เปนอา ฉ. มหาราชสฺส แปลง ส เปน มหาราชน (เหมือน จ. พหุ.) สฺส ๑. เปน มหาราชา ก็มี เชน จตฺตาโร เต มหาราช.
  • 31. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 30 เอก. พหุ. ส. มหาราชสฺมึ คง สฺมึ ไว มหาราเชสุ เอา อะ ที่ มหาราช มหาราชมฺหิ แปลง สฺมึ เปน เปน เอ แลวคง สุ มฺหิ ไว มหาราเช แปลง สฺมึ เปน เอ อา. มหาราช ลบ สิ เสีย มหาราชาโน (เหมือน ป. พหุ.) ศัพทเหลานี้แจกเหมือนมหาราช ๑. อนุราช พระราชานอย ๕. เทวราช เทวดาผูพระราชา ๒. อภิราช พระราชายิ่ง ๖. นาคราช นาคผูพระราชา ๓. อุปราช อุปราช ๗. มิคราช เนื้อผูพระราชา ๔. จกฺกวตฺติราช พระราชาจักร- ๘. สุปณฺณณาช ครุฑผูพระราชา พรรดิ ๙. หสราช หงสผูพระราชา ราช ศัพท เมื่อเขาสมาสกับศัพทอื่นแลว มีวิธีแจกอยางเดียว กับ อะ การันตในปุลิงค จะตางกันอยูบางก็แตปฐมาวิภัตติ เอก. เปน มหาราชา. พหุ. เปน มหาราชโน. อาลปนะ พหุ. มหาราชโน ที่ตางจาก อะ การันตในปุลิงคเชนนั้น ก็เพราะมีวิธีแจกอยางเดียวกับ ราช ศัพท นอกนั้นก็เหมือน อะ การันตในปุลิงคทั้งสิ้น. ราช ศัพท ถึง เขาสมาสแลวก็ตาม จะแจกเหมือนวิธีแจกใน ราช ศัพท ทุกวิภัตติ ก็ได ทั้งนี้ดวยอิงหลักวิธีแจกใน ราช ศัพท นั่นเอง.
  • 32. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 31 ขอควรจําใน มหาราช ศัพท ๑. ศัพทที่จะนํามาแจกอยาง มหาราช ศัพทได ศัพทนั้นตอง เปนศัพทสมาส. ๒. ศัพทสมาสนั้นนํามาแจกไว เฉพาะวิเสสนบุพพบท และ วิเสสนุตตรบท กัมมธารยสมาสเทานั้น นอกนั้นนํามาแจกไมไดเลย. ภควนฺตุ เปนปุลิงคอยางเดียว แจกอยางนี้ เอก. พหุ. ป. ภควา เอา นฺตุ กับ สิ ภควนฺตา เอา นฺตุ เปน นฺต เปน อา เอา โย เปน อา ภควนฺตา เอา นฺตุ เปน นฺต เอา โย เปน โอ ทุ. ภควนฺต เอา นฺตุ เปน นฺต ภควนฺเต เอา นฺตุ เปน นฺต อ คง อ เอา โย เปน โอ ภควนฺโต เอา นฺตุ เปน นฺต เอา โย เปน โอ ต. ภควตา เอา นฺตุ กับ นา ภควนฺเตหิ เอา นฺตุ เปน นฺต เปน ตา เอา อะ เปน เอ แลวคง หิ ไว ภควนฺเตภิ เอา นฺตุ เปน นฺต เอา อะ เปน เอ แปลง หิ เปน ภิ
  • 33. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 32 เอก. พหุ. จ. ภควโต เอา นฺตุ กับ ส ภควต เอา นฺตุ กับ น เปน ต เปน โต ภควนฺตาน เอา นฺตุ เปน นฺต น อยูหลังทีฆะ อะ เปน อา คง น ไว ปฺ. ภควตา เอา นฺตุ กับ สุมา ภควนฺเตหิ เปน ตา ภควนฺเตภิ (เหมือน ต. พหุ.) ฉ. ภควโต เอา นฺตุ กับ ส ภควนฺเตสุ เอา นฺตุ เปน นฺต เปน ติ เอา อะ เปน เอ คง สุ ไว อา. ภคว เอา นฺตุ กับ สิ ภควนฺตา เปน อะ ภควนฺโต (เหมือน ป. พหุ.) ภควา เอา นฺตุ กับ สิ เปน อา ศัพทเหลานี้แจกเหมือน ภควนฺตุ ๑. อายสฺมนฺตุ คนมีอายุ ๔. ชุติมนฺตุ คนมีความโพลง ๒. คุณวนฺตุ คนมีอายุ ๕. ธนวนฺตุ คนมีทรัพย ๓. จกฺขุมนฺตุ คนมีจักษุ ๖. ธิติมนฺตุ คนมีปญญา
  • 34. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 33 ๗. ปฺวนฺตุ คนมีปญญา ๙. พนฺธุมนฺตุ คนมีพวกพอง ๘. ปุฺวนฺตุ คนมีบุญ ๑๐. สติมฺนตุ คนมีสติ คําวา ภควนฺตา ภควนฺเต ภควนฺโต นั้น มีวิธีใชไมเหมือน กัน ภควนฺตา ภควนฺเต ใชเปนทฺวิวจนะ สําหรับกลาวถึงคน ๒ คน ภควนฺโต ใชเปนพหุวจนะ สําหรับกลาวถึงคนมากตั้งแต ๓ ขึ้นไป ภควนฺตุ ศัพทนี้ทานใชเฉพาะแตปุลิงคอยางเดียว ไมใชในอิตถีลิงค และนปุสกลิงค. ตามรูปศัพทก็นาจะเปนคุณนาม แจกไดทั้ง ๓ ลิงค ที่ไมเปนเชนนั้น ก็เพราะ ภควนฺตุ ศัพทนี้ ใชเปนบทแสดงพระ เกียรติคุณของพระพุทธเจา ซึ่งเปนปุลิงคอยางเดียว จึงไมใชทั่วไป ในลิงคอื่นซึ่งเปนการลักลั่น ทานจึงจัดเปนบทนามนาม สําหรับ เปนพระนามของพระพุทธเจา ที่ใชเปนบทแสดงลักษณะของผูอื่น มีนอย. ศัพทอื่นนอกจากนี้ มี คุณวนฺตุ ศัพทเปนตน จัดเปนคุณนาม แท แจกไดทั้ง ๓ ลิงค เฉพาะปุลิงคแจกเหมือน ภควนฺตุ สวน ลิงคอื่นจะยก คุณวนฺตุ เปนตัวอยาง อิตถีลิงคลง อี ปจจัย เปน เครื่องหมาย เปน คุณวนฺตี เสร็จแลวนําไปแจกอยางเดียวกับ อี การันต (นารี) ในอิตถีลิงคทุก ๆ วิภัตติ สวนปุสกลิงคมีแปลก อยูบางก็คือ ป. เอก. เปน คุณว คุณวนฺต อา. เอก เปน คุณว, ป.ทุ อา. พหุ. เปน คุณวนฺตานิ นอกนั้นแจกเหมือน ภควนฺตุ ทั้งสิ้น ที่เปน คุณว เพราะเอา นฺตุ กับ สิ เปน อ. คุณวนฺต เพราะเอา นฺตุ
  • 35. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 34 เปน นฺต แลวเอา อะ กับ สิ เปน อ. คุณวนฺตานิ เอา นฺตุ เปน นฺต แลวแปลง โย เปน อานิ นอกจากนี้แจกเหมือน ภควนฺตุ. อายสฺมนฺตุ ใชเปนไดทั้งบทคุณและนาม ซึ่งเปนคําแทนชื่อ ดุจ ตุมฺห ศัพท ที่เปนบทคุณแดสงลักษณะของนาม เชน อายสฺมา อานนฺโท พระอานนทผูมีอายุ ถาใชเปนคําแทนชื่อของนาม ดุจ ตุมฺห ศัพท เชน อายสฺมา อันวาทานผูมีอายุ ตรงกับภาษาไทยวา ทาน เพราะฉะนั้น ในบาลีไวยากรณจึงเวน อายสฺมนตุ เสีย ยกเอา คุณวนฺตุ เปนตัวอยาง. ขอควรจําใน ภควนฺต ศัพท ๑. ศัพทที่นํามาแจกตาม ภควนฺตุ ได ศัพทนั้นตองประกอบ ดวย วนฺตุ, มนฺตุ และ อิมนฺต, ตวนฺตุ ปจจัย นอกจากที่กลาว นี้นํามาแจกตามไมได. เฉพาะ วนฺตุ และ มนฺตุ ปจจัย ใชประกอบ กับศัพทตางกัน คือ วนฺตุ ใชประกอบกับศัพทที่เปน อ การันต, มนฺตุ ใชประกอบกับศัพทที่เปน อิ การันต หรือ อุ การันต. ๒. ภควนฺตุ เปนไดเฉพาะปุลิงคอยางเดียว. ๓. ฝายพหุวจนะ ถามีคําวา ตา หรือ เต อยูทายศัพท เชน คําวา ภควนฺตา, ภควนฺเต ใชเปนทฺวิวจนะ. สวน ภควนฺโต และ ที่นอกจาก ภควนฺตา, ภควนฺเต ใชเปนพหุวจนะทั้งนั้น. อรหนฺต (พระอรหันต ) เปนทฺวิลิงค ในปุลิงคแจกเหมือน ภควนฺตุ แปลกแต ป. เอก. เปน อรหา, อรห เทานั้น. อิตถีลิงค
  • 36. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 35 ลง อี ปจจัย เปนเครื่องหมายที่ทายศัพท เปน อรหนฺตี แจกอยาง อี การันต (นารี) ในอิตถีลิงคง อรหา เอา นฺต กับ สิ เปน อา อรห เอา นฺต กับ สิ เปน อ. ศัพทที่มี นฺต เปนที่สุด ซึ่งเปนศัพท คุณนาม เชน มหนฺต จะนํามาแจกตามแบบนี้ก็ได แตไมทั่วไป ทุกวิภัตติ. ถาเปนศัพทนามนาม เชน กมฺมนฺต จะนํามาแจกตาม แบบนี้ไมไดเลย ภวนฺต (ผูเจริญ) เปนทฺวิลิงค ในปุลิงคแจกอยางนี้ :- เอก. พหุ. ป. ภว เอา นฺต กับ สิ เปน ภวนฺตา เอา โย เปน อา อ ภวนฺโต เอา โย เปน โอ ทุ. ภวนฺต คง อ ไว ภวนฺเต เอา อะ กับ โย เปน เอ ภวนฺโต เอา อะ กับ โย เปน โอ ต. ภวตา เอา นฺต กับ นา เปน ภวนฺเตภิ เอา อะ เปน เอ ตา หิ ไว โภตา เอา นฺต กับ นา เปน ภวนเตภิ เอา นฺต กับ น เปน ต ตา แลวแปลง ภว แปลง หิ เปน ภิ เปน โภ จ. ภวโต เอา นฺต กับ ส เปน โต ภวต เอา นฺต กับ น เปน ต ภวโต เอา นฺต กับ ส เปน โต ภวนฺตาน น อยูหลัง ทีฆะ อะ แลวเอา ภว เปน โภ เปน อา คง น ไว
  • 37. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 36 เอก. พหุ. ปฺ ภวตา เอา นฺต กับ สฺมา ภวนฺเตหิ, ภวนฺเตภิ (แปลง เปน ตา เหมือน ต. พหุ.) โภตา เอา นฺต กับ สฺมา เปน ตา แลวแปลง ภว เปน โภ ฉ. ภวโต, โภโต (แปลงเหมือน ภวต, ภวนฺตาน (แปลงเหมือน จ. เอก.) จ. พหุ.) ส. ภวนฺเต เอา สฺมึ กับ อะ เปน ภวนฺเตสุ เอา อะ เปน เอ คง เอ สุ ไว อา. โภ แปลง ภวนฺต เปน ภวนฺต, ภวนฺโต (แปลงเหมือน โภ แลว ลบ สิ ป. พหุ.) อาลปนะ เสีย โภนฺตา เอา โย เปน อา แลว โภนฺโต เอา โย เปน โอ แลวแปลง ภว เปน โภ. ศัพทที่มี อนฺต เปนที่สุด บางวิภัตติจะแจกเหมือน อ การันต ในปุ. นปุ. ก็ได เพราะเปนการงายจึงไมไดแสดงไวในที่นี้. ศัพท กิริยากิตกประกอบดวย อนฺต ปจจัย แจกเหมือน ภวนฺต ก็ได เชน กร แปลวา กระทําอยู. หรือจะเอาไปแจกตาม อ การันตใน ปุ. ก็ได
  • 38. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 37 เชน กโรนฺโต กระทําอยู ดังนี้ ตามแตตองการ. สตฺถุ (ผูสอน) ปุลิงค แจกอยางนี้ :- เอก. พหุ. ป. สตฺถา เอา อุ การันต กับ สตฺถาโร เอา อุ การันต เปน สิ เปน อา อาร แลว เอา โย เปน โอ ทุ. สตฺถาร เอา อุ การันต เปน สตฺถาโร (แปลงเหมือน ป. พหุ.) อาร คง อ ไว ต. สตฺถารา เอา อุ การันต เปน สตฺถาเรหิ เอา อุ การันต เปน อาร แปลง นา เปน อาร เอา อะ เปน เอ อา คง หิ ไว สตฺถุนา คง นา ไว สตฺราถาน เอา อุ การันต เปน อร เอา อะ เปน เอ แปลง หิ เปน ภิ จ. สตฺถุ ลบ ส เสีย สตฺถาราน เอา อุ การันต เปน สตฺถุโน เอา ส เปน โน อาร น อยูหลัง ทีฆะ อะ เปน อา คง น ไว ปฺ. สตฺถารา เอา อุ การันต เปน สตฺถาเรหิ, สตฺถาเรภิ (แปลง อาร เอา สฺมา เปน เหมือน ต. พหุ.) อา
  • 39. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 38 เอก. พหุ. ฉ. สตฺถุ สตฺถุโน (แปลง สตฺถาราน (แปลงเหมือน จ. พหุ.) เหมือน จ. เอก.) ส. สตฺถริ เอา อุ การันต เปน สตฺถาเรสุ เอา อุ การันตเปน อาร รัสสะ อา เปน อาร เอา อะ เปน เอ อร แปลง สฺมึ เปน คง สุ ไว อิ อา. สตฺถา เอา อุ การันต กับ สตฺถาโร (แปลงเหมือน ป. พหุ.) สิ เปน อา ศัพทเหลานี้แจกเหมือน สตฺถุ ศัพท ๑. กตฺตุ ผูทํา ๖. เนตุ ผูนําไป ๒. ขตฺตุ ผูขุด ๗. ภตฺตุ ผูเลี้ยง, ผัว ๓. าตุ ผูรู ๘. วตฺตุ ผูกลาว ๔. ทาตุ ผูให ๙. โสตุ ผูฟง ๕. นตฺตุ หลาน ๑๐. หนฺตุ ผูฆา ขอควรจําใน สตฺถุ ศัพท ๑. ศัพทนามกิตก ซึ่งประกอบดวย ตุ ปจจัย ใชแจกจาม สตฺถุ. ๒. สตฺถุ ศัพท ถาเปน เอกวจนะ เปนพระนามของพระพุทธเจา เทานั้น ถาเปน พหุวจนะ ตองเปนชื่อของพาหิรคณาจารย เชน
  • 40. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 39 ครูทั้ง ๖ มีปุราณกัสสปเปนตน ที่เปนพหุวจนะ หมายถึงพระพุทธเจา ในปางกอนก็มี เพราะตองการเรียกหลายพระองครวมกัน ทั้งนี้จะรูได เพราะมี อตีเต หรือ ปุพฺเพ เปนตน กํากับอยู. ปตุ (พอ) เปน ปุลิงค แจกอยางนี้ :- เอก. พหุ. ป. ปตา เอา อุ การันต กับ สิ ปตโร เอา อุ การันต เปน เปน อา อาร อาเทส เปน อร เอา โย เปน โอ ทุ. ปตร เอา อุ การันต เปน ปตโร (แปลงเหมือนกัน ป. พหุ.) อาร อาเทส เปน อร แลว คง อ ไว ต. ปตรา เอา อุ การันต เปน ปตเรหิ เอา อุ การันต เปน อาร อาเทส เปน อร อาร อาเทส เปน อร แลว เอา นา เปน อา หิ ไว ปตุนา คง นา ไว ปตเรภิ เอา อุ การันต เปน อาร อาเทส เปน อร เอา อะ เปน เอ แปลง หิ เปน ภิ
  • 41. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 40 เอก. พหุ. จ. ปตุ ลบ ส เสีย ปตราน เอา อุ การันต เปน อาร อาเทส เปน อร น อยูหลัง ทีฆะ อะ เปน อา แลว คง น ไว ปตุโน เอา ส เปน โน ปตูน น อยูหลัง ทีฆะ อุ เปน อู คง น ไว ปฺ. ปตรา เอา อุ การันต เปน ปตเรหิ, ปตเรภิ (แปลงเหมือน อาร อาเทส เปน อร ต. พหุ. เอา สฺมา เปน อา ฉ. ปตุ, ปตุโน (แปลง ปตราน, ปตูน (แปลงเหมือน เหมือน จ. เอก.) จ. พหุ.) ส. ปตริ เอา อุ การันต เปน ปตเรสุ เอา อุ การันต เปน อาร อาเทส เปน อร อา อาเทส เปน อร แลวเอา สฺมึ เปน อิ เอา อุ เปน เอ คง สุ ไว ปตูสุ สุ อยูหลัง ทีฆะ อุ เปน อู แลว คง สุ ไว อา. ปตา (แปลงเหมือน ป. เอก.) ปตโร (แปลงเหมือน ป. พุห.)
  • 42. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 41 สองศัพทนี้แจกเหมือน ปตุ ๑. ภาตุ พี่ชาย, นองชาย ๒. ชามาตุ ลูกเขย วิธีเปลี่ยนวิภัตติและการันตเหมือน สตฺถุ แปลกแต อาเทส เปน อร แทน อาร ในวิภัตติทั้งปวง อาลปนะนั้น เมื่อวาตามแบบ เปนอยางนี้ แตคําพูดและวิธีเขียนหนังสือไมใช ใช ตาต แทน, เอก. ตาต พหุ. ตาตา ใชไดทั่วไปทั้งเรียกบิดาหรือบุตรเหมือนภาษา ของเรา คําวา ตาต (พอ) ถาเปนวิภัตติอื่น เปนชื่อของบิดา ถา เปน อาลปนะ ใชเรียกไดทั้งบิดาทั้งบุตร. ปตุ ศัพท ถาประกอบกับ โต ปจจัย ตองเอาสระที่สุดของตน เปน อิ เปน ปติโร แมศัพทอื่นที่คลายคลึงกัน ก็เอาสระที่สุดของตน เปน อิ ได เชน มาติโต ภาติโต เปนตน. ใช ภาติกา แทน ภาตุ ไดบาง และแจกตามแบบ อ การันต ใน ปุ. ได. มาตุ (มารดา) เปนอิตถีลิงค แจกอยางนี้:- เอก. พหุ. ป. มาตา เอา อุ การันต กับ สิ มาตโร เอา อุ การันต เปน เปน อา อาร อาเทส เปน อร แลว เอา โย เปน โอ
  • 43. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 42 เอก. พหุ. ทุ. มาตร เอา อุ การันต เปน มาตโร (แปลเหมือน ป. พหุ.) อา อาเทส เปน อร แลว คง อ ไว ต. มาตรา เอา อุ การันต เปน มาตราหิ เอา อุ การันต เปน อาร อาเทส เปน อร อาร อาเทส เปน อร เอา นา เปน อา หิ อยูหลัง ทีฆะ อะ มาตราภิ แปลงเหมือนกัน ตาง แตแปลง หิ เปน ภิ มาตุยา เอา นา เปน ยา มาตูหิ หิ อยูหลัง ทีฆะ อุ เปน อู คง หิ ไว มาตูภิ แปลงเหมือนกัน ตาง แตแปลง หิ เปน ภิ จ. มาตุ ลบ ส เสีย มาตราน เอา อุ การันต เปน อาร อาเทส เปน อร น อยูหลัง ทีฆะ อะ เปน อา แลว คง น ไว มาตุยา เอา ส เปน ยา มาตูน ทีฆะ อุ เปน อู คง น ไว
  • 44. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 43 เอก. พหุ. ปฺ. มาตรา เอา อุ การันต เปน มาตาหิ, มาตราภิ อาร อาเทส เปน อร มาตุหิ, มาตูภิ (แปลงเหมือน เอา สฺมา เปน อา ต. พหุ.) ฉ. มาตุ, มาตุยา แปลง มาตราน, มาตูน (แปลงเหมือน เหมือน จ. เอก. จ. พหุ.) ส. มาตริ เอา อุ การันต เปน มาตราสุ เอา อุ การันต เปน อาร อาเทส เปน อร อาร อาเทส เปน อร แลวเอา สฺมึ เปน อิ สุ อยูหลัง ทีฆะ อะ เปน อา แลว คง สุ ไว มาตูสุ สุ อยูหลัง ทีฆะ อุ เปน อู แล คง สุ ไว อา. มาตา (แปลงเหมือน ป. เอก.) มาตโร (แปลงเหมือน ป. พหุ.) ธีตุ (ธิดา) แจกเหมือน มาตุ. วิธีเปลี่ยนวิภัตติและการันตเหมือน ปตุ ตางแตแจกตามแบบ ที่เปนปุลิงคและอิตถีลิงคเทานั้น ในคําพูดและวิธีเขียนหนังสือก็ไมใช อาลปนะตามแบบนี้ ใช อมฺม แทน เอก. อมฺม หพุ. อมฺมา ใชได ทั่วไปทั้งมารดาทั้งธิดา เหมือนภาษาของเราโดยนัยที่ไดอธิบายมาแลว
  • 45. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 44 แตในตัปปุริสสมาส ใชอาลปนะ เปน มาเต, ธีเต, เหมือนคําวา ติสฺสมาเต, เทวมาเต, เทวธีเต, เปนตัวอยาง. มโนคณะ๑ ศัพทหมูหนึ่ง ๑๒ ศัพท มี มน ศัพทเปนตน เรียกวา มโนคณะ เพราะเปนหมูแหง มน ศัพท เปน นามนาม โดยแท การแจกวิภัตติ ของศัพทเหลานี้ คลายกับวิธีแจก อ การันตในปุลิงคและนปุสกลิงค แตมีแปลกอยู ๕ วิภัตติ คือ นา (ต.) กับ สฺมา (ปฺ.) เปน อา ส. ทั้งสอง (จ.กับ ฉ.) เปน โอ, สฺมึ เปน อิน แลวลงตัวอักษร ใหมคือ ส ซึ่งเรียกวา "ลง ส อาคม" ตอที่ทายศัพทมโนคณะนี้ จึงเปน สา เปน โส เปน สิ ดังจะแจกใหเห็นเปนตัวอยาง. มน ศัพทเปน ทฺวิลิงค คือเปน ปุลิงค และ นปุสกลิงค มน ศัพทเปน ปุลิงค แจกอยางนี้. เอก. ป. มโน ทุ. มน (มโน) เหมือน อ การันตใน ปุลิงค ต. มนสา จ. มนโส ปฺ. มนสา } ๕ วิภัตตินี้แปลจาก อ การันต ใน ปุลิงค ฉ. มนโส ส. มนสิ ๑. มโนคณะ พระครูมงคลวิลาส (ลัภ โกสโล ) วัดราชาธิวาส เรียบเรียง
  • 46. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 45 มน ศัพทที่เปน นปุสกลิงค แจกอยางนี้ :- เอก. ป. มน ทุ. มน เหมือน อ การันตในนปุสกลิงค ต. มนสา จ. มนโส ปฺ. มนสา ๕ วิภัตติ แปลกจาก อ การันต ใน ฉ. มนโส นปุสกลิงค ส. มนสิ มนศัพทบางคราวไมไดแจกวิภัตติตามแบบมโนคณะก็มี ดังเชน ใน อาทิตตปริยายสูตรวา มนสฺมึป นิพฺพินฺทตฺ นี้แสดงใหเห็นวา ลง สฺมึ วิภัตติที่มนศัพทเฉย ๆ โดยไมตองลง ส อาคม และเปลี่ยน สฺมึ เปน อิ ตามแบบมโนคณะ. สวนศัพทอื่น ในพวกมโนคณะนี้ มี อย (เหล็ก) เปนตนนั้น เปนปุลิงคทั้งสิ้น และมีวิธีแจกวิภัตติเหมือน มน ศัพทในปุลิงค นอกจากจากจะเปลี่ยนแปลงในตติยาวิภัตติ จนถึงสัตตมีวิภัตติดัง กลาวแลว บางคราวก็เอา อ ทุติยาวิภัตติเปน โอ ไดบาง เชนคําวา อทาเน กุรุเต มโน (แปลวา) ชโน อันวาชน กุรุเต ยอมทํา มโน ซึ่งใจ อทาเน ในความไมให. ยโส ลทฺธา น มชฺเชยฺย (แปลวา) ชโน อันวาชน ลทฺธา ไดแลว ยโส ซึ่งยศ น มชฺเชยฺย ไมพึงเมา.๑ โดยอุทาหรณทั้งสองนี้แสดงใหเห็นวา ศัพทมโนคณะ เมื่อลง ๑. แปลตามนัยอรรถชาดก เลม ๔ หนา ๓๓๖
  • 47. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 46 อ ทุติยาวิภัตติ เอา อ เปน โอ แตไมตองลง ส อาคม. ศัพทมโนคณะ เมื่อตอเขาเปนบทสมาสกับศัพทอื่นแลว ตอง เอาสระที่สุดของตนเปน โอ เหมือนคําวา มโนคโณ หมูแหงมนะ (ฉ. ตัปปุริสสมาส) เอาสะ อะ ที่ น แหง มน ศัพท เปน โอ. อโยมย ของที่บุคคลทําดวยเหล็ก (ต. ตัปปุริสสมาส) เอา สระ อะ ที่ ย แหง อย เปน โอ. เตโชธาตุ ธาตุคือไฟ (อวธารณ กัมมธารยะ ) เอาสระ อะ ที่ ช แหง เตช ศัพท เปน โอ. สิโรรุโห อวัยวะที่งอกบนหัว (ผม) (ส. ตัปปุริสสมาส) เอาสระ อะ ที่ ร แหง สิร เปน โอ. อนึ่ง การแจกวิภัตติศัพทมโนคณะที่เขาเปนบทสมาสกับศัพทอื่น นั้น มิไดแจกตามแบบมโนคณะเหมือนที่กลาวแลวขางตน ทานให แจกตามการันตและลิงคของศัพทหลังเปนเกณฑ เชน มโนคโณ ก็ ใหกําหนดวา คณ เปนศัพทหลังซึ่งเปน อ การันต เปน ปุลิงค แม จะเขาเปนบทสมาสกับศัพทพวก มโนคณะ คือ มน ศัพทก็จริง แต เมื่อถึงคราวแจกวิภัตติ ก็ตองรวมเปนศัพทเดียวกัน คือ เปน มโน- คณะ แจกตามแบบ อ การันตในปุลิงค เหมือนอยาง ปุริส. ศัพทมโนคณะทั้งหมด ซึ่งอยูตามลําพัง ยังมิไดตอเขาเปนบท เดียวกับศัพทอื่นนั้น โดยมากเปน เอาวจนะ อยางเดียว และไม มี อาลปนะ.
  • 48. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 47 บางคราวศัพทที่มีเสียง อะ เปนที่สุด จะเปนจําพวกศัพทมโนคณะ หรือมิใชก็ตาม เรียงอยูขางหนา ทานใหเอา นา ตติยาวิภัตติเปน โส ไดบาง เชน สุตฺตโส พฺยฺชนโส และบางทีก็เอา สฺมา ปฺจมี- วิภัตติเปน โส ไดบางเหมือนกัน เชน อุรโส ทีฆโส เปนตน. กมฺม (กรรม) เปนนปุสกลิงค แจกอยางนี้ :- เอก. พหุ. ป. กมฺม เอา อะ กับ สิ กมฺมานิ เอา อะ กับ โย เปน เปน อ อานิ ทุ. กมฺม คง อ ไว กมฺมานิ (เหมือน ป. พหุ.) ต. กมฺมุนา เอา อะ เปน อุ คง กมฺเมหิ เอา อะ เปน เอ คง นา ไว หิ ไว กมฺเมภิ เอา หิ เปน ภิ จ. กมฺมุโน เอา อะ เปน อุ กมฺมาน ทีฆะ อะ เปน อา คง เอา ส เปน โน น ไว ปฺ. กมฺมุนา เอา อะ เปน อุ กมฺเมหิ เอา สฺมา เปน นา กมฺเมภิ (เหมือน ต. พหุ.) ฉ. กมฺมุโน (เหมือน จ. เอก.) กมฺมาน (เหมือน จ. พหุ.) ส. กมฺมนิ เอา สฺมึ เปน นิ กมฺเมสุ เอา อะ เปน เอ คง สุ ไว อา. กมฺม ลบ สิ เสีย กมฺมานิ (เหมือน ป. พหุ.)
  • 49. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 48 กมฺม ศัพทนี้ แจกเหมือน กุล นปุสกลิงคทีเดียวก็ได แตในที่นี้ แปลกอยูแต นา, ส, สฺมา, ส, สฺมึ เทานั้น. กมฺม ศัพทนี้โดยกําเนิด เปนนปุสกลิงคแท. โค (โค) สามัญ ไมนิยมวาผูเมีย แจกอยางนี้ :- เอก. พหุ. ป. โค ลบ สิ เสีย (คโว) คาโว โย อยูหลัง เอา โค เปน คว หรือ คาว ได แลวเอา โย เปน โอ ทุ. คาว เอา โอ แหง โค คาโว (เหมือน ป. พหุ.) เปน อาวุ คง อ ไว คาวุ เอา โอ แหง โค เปน อาวุ คง อ ไว โคหิ ต. คาเวน เอา โอ แหง โค โคภิ คงรูป เปน อาว แลวเอา คาเวหิ เอา โอ แหง โค เปน คาว นา เปน เอน แลว เอา อะ เปน เอ คาเวภิ เอา หิ เปน ภิ บาง จ. คาวสฺส เอา โอ แหง โค คุนฺน เอา โอ แหง โค เปน อุ เปน อาว เอา ส แลวซอน น. เปน สฺส คาวาน เอา โอ แหง โค เปน อาว ทีฆะ อะ เปน อา คง น ไว
  • 50. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 49 เอก. พหฺ. ปฺ. คาวสฺมา เอา โอ แหง โค โคหิ เปน อาว คง สฺมา ไว โคภิ (เหมือน ต. พหุ.) คาวมฺหา เอา สฺมา เปน มฺหา คาวา เอา สมา เปน อา ฉ. คาวสฺส (เหมือน จ. เอก.) คุนฺน คาวาน (เหมือน จ. พหุ.) ส. คาวสฺทึ เอา โอ แหง โอ โคสุ คง สุ ไว เปน อาว คง สฺมึ ไว คาเวสุ เอา โอ แหง โค เปน คาวมฺหิ เอา โอ แหง โค เปน อาว แลว คง สุ ไว อาว เอา สฺมึ เปน มฺหิ สุ อยูหลัง เอา อะ คาเว เอา โอ แหง โค เปน เปน เอ อาว เอา สฺมึ เปน เอ อา. คาว เอา โอ แหง โค คาโว (เหมือน ป. พหุ.) กบ สิ เปน อาว คําวา โค นี้ เปนคําเรียกรวมทั้งตัวผูและตัวเมีย แตในที่บาง แหง ที่แหยใหรูวาตัวผูตัวเมียแลว ปุ. เอา โค เปน โคณ แจก ตาม อ การันต ใน ปุ. (ปุริส) อิตฺ. เปน คาวี แจกตามแบบ อี การันต อิตฺถี. (นารี). ศัพท ๖ ศัพท ศัพททั้งหลาย ๖ คือ ปุม ชาย, สา หมา (ไมนิยมวา
  • 51. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 50 ผูเมีย) อทฺธา กาลยืดยาว, มฆว ชื่อพระอินทร, ยุว หนุม, สข เพื่อน, เหลานี้ ไมคอยมีคําใชนัก ถึงใชบางก็เปนบางวิภัตติ ไมทั่วไป เชน ๑. ปุม เปนปุลิงค มีที่ใชแต ปฐมา วิภัตติ เอาวจนะ เปน ปุมา เทานั้น. ๒. สา เปนคํากลาง ๆ ไมนิยมวาตัวผูหรือตัวเมีย เหมือน กับศัพทคือ โค มีที่ใชแต ป. เอก. สา ในปุลิงค เปน สุนข (แจกตามแบบ อ การันตในปุลิงค ปุริส) ในอิตถีลิงค เปน สุนขี (แจกตามนี้แจกตามแบบการันตในลิงคนั้น ๆ. ๓. อทฺธา เปนปุลิงค มีที่ใชบางแต เอก. ป. อทฺธา ทุ. อทฺธาน ต. อทฺธนา จ. ฉ. อทฺธุโน ส. อทฺธาเน เทานั้น (เหมือน กมฺม โดยมาก). ๔. มฆว เปนปุลิงค (แจกตามแบบ อ การันตฺในปุลิงค ปุริส) แปลกแต ป. เอก. เปน มฆวา เทานั้น. ๕. ยุว เปนทฺวิลิงค (ปุ. อิต.) ในปุลิงคใชมาแต ป. เอก. ยุวา ในอิตถีลิงคเปน ยุวตี แจกตามแบบ อีก การันตในลิงคนั้น. ๖. สข เปนทฺวิลิงค (ปุ. อิตฺ.) ใชมากแต ปุ. ป. เอก. สขา ในอิตถีลิงคเปน สขี แจกตามแบบ อี การันตในลิงคนั้น.
  • 52. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 51 สังขยา ศัพทที่เปนเครื่องนับนามนาม ชื่อวาสังขยา เพราะเปนคําที่ บงถึงจํานวนของนามนาม ทางภาษาไทยหรือภาษาของชาติอื่น ๆ นิยมจํานวนเลขของชาตินั้น ๆ เพื่อจะใหรูจํานวนที่นับโดยแนนอน คําพูดที่ไมมีจํานวนเลขเปนเครื่องนับ จะรูไมไดวาเทาไร เชน พูด ถึงคนวา คนมีจํานวนนอย ก็ไมรูวามีนอยเทาไร เมื่อจะพูดวาคนมี จํานวนมาก ก็ไมรูวามากเทาไรเหมือนกัน เปนแตเพียงรูไดวานอย และมากเทานั้น ที่จะใหรูแนนอนวา คนจํานวนนอยนั้น คือคน ๑ คน หรือคน ๒ คน และที่วามากนั้นคือจะเปน ๑๐๐ คน หรือ ๑๐๐๐ คนเปนตน ไมได, เปนแตใหรูเพียงปริมาณเทานั้น เมื่อมีตัวเลขเขาควบคุม จึง เปนเครื่องบงใหชัดวาจํานวนนอยเทานั้นเทานี้ และจํานวนมากเทานั้น เทานี้ได ในภาษาบาลีทานก็นิยมการนับเหมือนกัน จึงมีศัพทอยูพวก หนึ่งตางหายที่เรียกวาสังขยา และสังขยานั้น แปลวานับ คือนับ นามนามใหรูวามีจํานวนเทาใด ทานจึงจัดสังขยาไวเปน ๒ เรียกวา ปกติสังขยา ๑ ปูรณสังขยา ๑. ปกติสังขยา ปกติสังขยาสําหรับนับนามนามโดยปกติ เชน ๑-๒-๓-๔-๕ เปน ตน จะนับเวนในระหวางก็ได เชน ๑-๓-๕-๗-๙ เปนตน ซึ่งตรงกับ คําของภาษาไทยวา คนผูหนึ่ง ถือสมุดสองเลม ดินสอขาวสามแทง ดินสอฝรั่งสี่แทง กระดาษหาแผน เดินไป เปนตน นี่แสดงวานับโดย
  • 53. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 52 ลําดับติดกัน ที่นับเวนเสียบางในระหวาง เชน คนผูหนึ่ง ถือ สมุดสามเลม ดินสอขาวหาแทง ดินสอฝรั่งเจ็ดแทง กระดาษเกาแผน เดินไป เปนตน การนับเชนนี้เรียกวาปกติสังขยาทั้งนั้น ปกติสังขยา นั้นเปนคุณนามก็ได เปนนามนามก็ได แตกอนที่จะนับ ผูศึกษาควร ทองศัพทสังขยาที่มีอยูในบาลีไวยากรณใหจําไดเสียกอน เพราะจะนับ โดยวิธีใด ๆ ก็ตาม จําเปนตองรูปจักศัพทสังขยา จึงไดมีศัพทสังขยา ขึ้นอีกแผนกหนึ่ง คือตั้งแต เอก เปนตนไป. บัดนี้จะกลาวถึงสังขยาคุณนามกอน คือคุณนามนั้น ไมมี อิสระตามลําพัง ตองอาศัยหรือพึ่งนามนาม คือมีนามนามเปน หลักเปนเจาของ ถาไมมีนามนามปรากฏอยูแลว ศัพทที่เปนคุณนาม ก็จะแสดงลักษณะไมถูก เพราะวาคุณนามมีหนาที่แสดงลักษณะของ นามนาม จึงจําเปนตองมีนามนามปรากฏอยูในที่ ๆ มีคุณนามทุก ๆ แหง จะเวนเสียไมไดเลยเปนอันขาด จะพูดแตคุณนามอยางเดียว ไมพูดหมายถึงนามนามลงขางหลังคุณนาม เพื่อบงใหคําพูดชัดขึ้น เชน คนอวน สัตวผอม ดังนี้ ก็จะรูไดทันที คําวา คน สัตว นั้นเปนนามนาม อวน ผอม เปนคุณนาม หรือคําพูดใด ๆ ก็ตาม เมื่อผูฟงฉงนสงสัยยังตองถามถึงนามนามที่เปนเจาของ คําพูดทั้งสิ้น
  • 54. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 53 นั้นเปนคุณนาม นี้เปนเหตุแสดงใหเห็นชัดเจนวาคุณนามตองมีนามนาม. แมสังขยาที่จะอธิบายตอไปนี้ ก็เปนคุณนาม จึงเปนทีลักษณะเหมือน กับนามนามนั่นเอง ถามีแตสังขยาอยางเดียวเชน ๑-๒-๓-๔-๕ ก็ ไมอาจรูวา อะไรที่มีจํานวน ๑-๒-๓-๔-๕ เมื่อเติมนามนามลง เชน ๑ คน ๒ คน เปนตน ก็รูไดวาคนมีจํานวนเทานั้นเทานี้ หรือจะนับ นามนามอะไรใหเติมนามนามนั้นลงไป. ปกติสังขยานี้เมื่อจะถือตามคัมภีรศัพทศาสตร ทานแบงเปน ๒ พวก ตั้งแต เอก ถึง จตุ เปนสัพพานามไดดวย ตั้งแต ปฺจ ไป เปน คุณนามอยางเดียว เมื่อจะถือตามนามศัพทจัดเปน ๓ คือตั้งแต เอก ถึง จตุ เปนสัพพนาม ๑ ตั้งแต ปฺจ ถึง อฏนวุติ เปนคุณนาม ๑ ตั้งแต เอกูนสต ไป จัดเปนนามนาม ๑ ที่จัดเปนสัพพนาม คุณนาม นามนามนั้น หมายเฉพาะศัพทสังขยาลวน ๆ แตเมื่อจะประกอบเขา กับนามนามอื่น ๆ ก็เปนคุณนามทั้งสิ้น. และสังขยานั้นเปนไดสาม ลิงค เวนไวแตบางจําพวกที่ทานนิยมใหเปนเพียงลิงคเดียว และเปน เอกวจนะอยางเดียว, ที่เปนสัพพนามก็เปนไดทั้งสามลิงค. คุณนาม ศัพทใด ถามี อ การันต ในเมื่อจะตองเปนคุณนามของศัพทที่เปนอิตถี- ลิงค ใหทีฆะ อะ เปน อา แลวแจกตามแบบ อา การันตอิตถีลิงค (กฺา). สังขยาที่เปนสัพพนามเปนไดทั้งสามลิงคนั้น เชน เอโก ปุคฺคโล บุคคลคนหนึ่ง เอกา อิตฺถี หญิงคนหนึ่ง เอก กุล
  • 55. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 54 ตระกูลตระกูลหนึ่ง สวนคําวา ปฺจ ปุริสา บุรุษ ๕ คน ปฺจ อิตฺถิโย หญิง ๕ คน ปฺจ กุลานิ ตระกูล ๕ ตระกูล ปฺจสตา ภิกฺขู ภิกษุ ๕๐๐ ปฺจสตา อิตฺถิโย หญิง ๕๐๐ ปฺจสตานิ ธนานิ ทรัพย ๕๐๐ เปนตน อันเปนสังขยานาม ในเมื่อเขา สมาสแลวนําหนานามนามอื่น เปนคุณนามได. การจัดลิงค และ วจนะ ตั้งแต เอก ถึง จตุ เปนไดทั้ง ๓ ลิงค เอกศัพทสังขยาเปน เอกวจนะอยางเดียว. ตั้งแต ทฺวิ ถึง จตุ เปนพหุวจนะอยางเดียว และแจกตามแบบของตน ๆ ตามที่ทานแจกไวแลวในบาลีไวยากรณ. ตั้งแต ปฺจ ถึง อฏารส จัดเปน ๓ ลิงค แจกอยาง ปฺจ เหมือนกันทั้ง ๓ ลิงค เปนพหุวจนะอยางเดียว. ตั้งแต เอกูนวีสติ ถึง อฏนวุติ เปนเอกวจนะอยางเดียว และเปนอิตถีลิงค แจกตามแบบอิตถีลิงคอื่น ก็คงอยูอยาง เดิมไมเปลี่ยนไปตาม นามนามที่เปนเจาของสังขยานี้ ตองเปน พหุวจนะอยางเดียว. ตั้งแต เอกูนสต เปนตนไป เปนไดทั้ง ๒ วจนะ และเปนได ๒ ลิงค คือ นปุ. และ อิต. คือ ตั้งแต เอกูนสต ไป เปน นปุ. โกฏิ เปนอิตถีลิงค ที่เปนได ๒ วจนะนั้น คือ ถาปรากฏวา รอย
  • 56. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 55 พัน หมื่น ฯลฯ จัดเปนเอกวจนะ ถามีศัพทสังขยาตั้งแตสองขึ้น ไป อยูขางหนึ่ง จัดเปนพหุวจนะ เชน สองรอย สองพัน สองหมื่น เปนตน. วิธีแจกวิภัตติของศัพทสังขยา ตั้งแต เอก ถึง จตุ แจกตาม แบบเฉพาะตน ๆ. ปฺจ ถึง อฏารส แจกอยาง ปฺจ ทั้ง ๓ ลิงค. ตั้งแต เอกูนวีส ถึง ปฺาส แจกอยาง เอกูนวีส. ในระหวาง จํานวนนั้น ถาศัพทสังขยาใดมี อิ การันต ก็ใหแจกอยาง อิ การันต ในอิตถีลิงค (รตฺติ) คือตั้งแต เอกุนวีสติ ถึง อฏตฺตึสติ และตั้ง แต เอกูนสตฺตติ ถึง อฏนวุติ. ศัพทสังขยาที่มี อี การันต คือตั้ง แต เอกูนสฏี ถึง อฏสฏี แจกตามแบบ อี การันตในอิตถี- ลิงค (นารี). ตั้งแต เอกูนสต ขึ้นไป เวน โกฏิ เปน นปุ. อยางเดียว แจก ตามแบบ อ การันต นปุ. (กุล) เอกศัพท เอก ศัพท ทานนิยมใชสองอยาง ใชเปนสังขยาหนึ่ง ใช เปนสัพพนามอยางหนึ่ง ที่ใชเปนสังขยานั้น สําหรับนับนามนามที่ เปนจํานวนหนวยเทานั้น และเปนเอกวจนะอยางเดียว เชน จีวร ๑ ผืน บาตร ๑ ใบ เปนตน ที่เปนสัพพนาม เปนไดทั้งเอกวจนะ และ พหุวจนะ.
  • 57. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 56 กําหนดวจนะของสังขยา ตั้งแต ทฺวิ ถึง อฏารส เปนพหุวจนะอยางเดียว. ตั้งแต เอกูนวีสติ จนถึง อฏนวุติ เปนอิตถีลิงค เอกวจนะ อยางเดียว. ตั้งแต เอกูนสต จนถึง โกฏิ เปนเอกวจนะ และพหุวจนะ. จํานวน ๙๙ ขึ้นไปเปนนามนาม จึงจัดเปนลิงคได ๒ ลิงค แตเปน นปุ. โดยมาก. เปนอิตถีลิงคเฉพาะ โกฏิ เทานั้น. ๙๙ เมื่อ ประกอบเปนศัพทสังขยา ก็ตองปรากฏเปน สต อยูขางหลัง เพราะ ยังขาดอยูหนึ่งที่จะเต็มจํานวน ๑๐๐ ในที่จะเต็มเชนนี้ ทานนิยมใหใช เอกูน ซึ่งแปลวาหยอนหนึ่งเขามาตอ. ๙๙ ประกอบวา เอกูนสต รอยหยอนหนึ่ง แมจํานวนอื่น ๆ เมื่อยังขาดอยูเพียงหนึ่งจะครบหรือ เต็มก็มีนัยนี้ จะอธิบายขางหนา ในที่นี้เพื่อจะแสดงใหรูวา ๙๙ ขึ้นไป เปนนามนามไดเทานั้น. ที่เปนเอกวจนะไดนั้น เมื่อคิดดูก็สงสัยวา ทําไมจํานวน ตั้งรอยตั้งพันยังเปนเอกวจนะได ขอนี้ทานกําหนดวา รอยเดียว พันเดียว จึงนิยมเปนเอกวจนะ และไมตองใชเอกศัพทลงขางหนา เชนคําวา สต สหสฺส เปนตน เพราะมีจํานวนเดียวอยางนี้ จึง จัดเปนเอกวจนะ จะหมายความเปน สองรอย สองพัน เปนตนไมได.
  • 58. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 57 สังขยานามที่เปนพหุวจนะนั้น ทานกําหนดดวยสังขยาที่เปน พหุวจนะอยูขางหนา ซึ่งเปนเครื่องแสดงใหรูวาไมใชรอยเดียว พันเดียว เชน สองรอย สองพัน เปนตน และจํานวนพหุวจนะนี้ จึงตองมีศัพทสังขยาชั้นคุณนาม ตั้งแต ทฺวิ ขึ้นไป อยูขางหนา เหมือนอยาง ปฺจสตสหสฺสานิ นมามิ สิรสา อห วิธีตอ สังขยาคุณเขากับสังขยานามนั้น จักกลาวขางหนา แตในที่บางแหง แมถึงสังขยาคุณนามจะอยูขางหนา บอกถึงความเปนพหุวจนะก็จริง โดยความนิยมของวิธีสมาสกลายไปเปนเอกวจนะได เชน ติสหสฺส เมื่อปรากฏเชนนี้พึงทราบเถิดวา ทานจัดอยางสมาหารทิคุสมาส. วิธีแจกวิภัตติ สังขยาก็ใชวิภัตติทั้ง ๑๔ ของนามนามนั้นเองแจก แตทาน กําหนดให เพราะทานกําหนดสังขยาไวเปนตอน ๆ บางตอนเปนได เฉพาะเอกวจนะอยางเดียว บางตอนเปนไดเฉพาะพหุวจนะอยาง เดียว บางตอนเปนไดทั้งเอกวจนะ ทั้งพหุวจนะ ดังที่ไดแสดงมา แลวนั้น เมื่อจะลงวิภัตติก็ตองลงใหถูกตามวจนะนั้นอยางใหแยงกัน ตอนใดที่เปนเอกวจนะอยางเดียว ก็ใชวิภัตติ คือ สิ อ นา ส สฺมา ส สฺมึ เทานั้น ตอนใดที่เปนไดแตพหุวจนะอยางเดียว ก็ใชวิภัตติ โย โย หิ น หิ น สุ เทานั้นลง ตอนใดที่เปนไดทั้งสองวจนะ ก็ใช วิภัตติทั้ง ๑๔ ตัวลงได.
  • 59. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 58 สังขยาที่ทานจัดเปนสัพพนามก็ดี คุณนามก็ดี มีลักษณะเหมือน วิเสสนะ คือถานามนามเปนลิงควจนะวิภัตติอันใด สังขยาแผนกนี้ตอง มีลิงค วจนะ วิภัตติ เหมือนนามนาม และเรียงไวขางหนานามนาม เชน จตฺตาโร สติปฏานา สติปฏฐาน ๔ จตสฺโส อปฺปมฺาโย อัปปมัญญา ๔ จตฺตาริ อริยสจฺจานิ อริยสัจ ๔ เวนไวแตสังขยา ที่ทานจัดเปนลิงควิปปลาส และวจนะวิปลาสเทานั้น คือตั้งแต เอกูน- วีสติ ถึง อฏนวุติ ที่ทานจัดเปนอิตถีลิงคเอกวจนะอยางเดียว แม จะเขากับลิงคอื่นที่เปนพหุวจนะ ก็ไมเปลี่ยนไปตาม เชน ปฺจตฺตึสาย ชนาน ลาโภ อุปฺปนฺโน ลาภเกิดขึ้นแลวแกชน ท. ๓๕ ปฺจตฺตึสาย คงเปนเอกวจนะอิตถีลิงคอยูอยางเดิม ไมเปลี่ยนลิงคแลวจนะไปตาม บทนาม คือ ชนาน ซึ่งเปนปุลิงคและพหุวจนะ. สวนสังขยานามนาม เมื่อจะใชบอกนามนามบทใด ก็ใหเอา นามนามบทนั้นประกอบดวยฉัฏฐีวิภัตติพหุวจนะ เรียงไวขางหนา สังขยานามนามนั้น ดังนี้ ภิกฺขูน สต รอยแหงภิกษุทั้งหลาย ภิกฺขูน สหสฺส พันแหงภิกษุทั้งหลาย ซึ่งตรงกับภาษาของเราวา ภิกษุรอยรูป ภิกษุพันรูป. สังขยาที่ทานจัดเปนสัพพนามนั้น เวลาใช ใหใชอยางวิเสสน- สัพพนาม. สังขยาตั้งแต เอก จนถึง นว แตละศัพทเรียกวาจํานวนหนวย เหมือนอยางจะนับตามภาษาไทยวา หนวย สิบ รอย พัน หมื่น
  • 60. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 59 เปนตน แมการใชศัพทสังขยา ก็ตองนับตั้งแตจํานวนหนวยขึ้นไป ดุจเดียวกัน จักอธิบายเปนศัพท ๆ แตจะไมอธิบายถึงแบบแจกและวิธี เปลี่ยนวิภัตติไวอีก ใหผูศึกษาพึงดูในแบบบาลีไวยากรณเถิด. เอก ๑ เอก สังขยาอันเปนเอกวจนะอยางเดียว ทานนิยมใชเปน ๒ คือเปนปกติสังขยาอยาง ๑ เปนสัพพนามอยาง ๑ ที่เปนปกติสังขยา แจกตามแบบของตน ๆ ที่เปนสัพพนามเปนไดทั้ง ๒ วจนะ และทั้ง ๓ ลิงคแจกตามแบบ ย ศัพท แปลกจาก ย ศัพทเฉพาะในอิตถีลิงค เอก. จ. ฉ. เปน เอกิสฺสา. ส. เปน เอกิสฺส เทานั้น ที่เปนพหุวจนะใหแปล วา บางเหลา บางพวก เชน เอเก อาจริยา อาจารย ท. บางพวก เปนตน. ทฺวิ ๒ ทฺวิ ศัพทนี้ยังไมไดแจกวิภัตติ จึงถือวาเปนศัพทเดิม และแจก วิภัตติก็แจกเปนอยางเดียวกันทั้ง ๓ ลิงค เมื่อตอเขากับศัพทสังขยา ที่เปนจํานวนอื่นก็ดี ตอกับศัพทนามก็ดี แปลง ทฺวิ เปน ทิ ทุ ทฺวา พา เทฺว และคง ทฺวิ ไวก็มี ทฺวิ เมื่ออยูหนา ทส วีสติ และ ตึส แปลง ทฺวิ เปน ทฺวา และ พา เชน ทฺวาทส พารส ๑๒, ทฺวาวีสติ พาวิสติ ๒๒, ทฺวตฺตึส พตฺตึส ๓๒, เมื่อเขากับสังขยาจํานวนที่ยิ่งขึ้นไป กวา ทส วีสติ และ ตึส คือตั้งแต จตฺตาฬีส ๔๐ จนถึง นวุติ ๙๐ แปลง ทฺวิ เปน ทฺว และ ทฺวา ได เชน เทฺวจตฺตาฬีส ๔๒
  • 61. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 60 ทฺวาสฏี ๖๒ เทฺวนวุติ ๙๒ เปนตน เมื่อเขากับสังขยานามนาม คง ทฺวิ ไวตามเดิม เชน ทฺวสต ๒๐๐ เปนตน เมื่อเขากับนามนามคง ทฺวิ ไวบาง เชน ทฺวิปาทา สัตว ๒ เทา แปลง ทฺวิ เปน ทิ บาง เชน ทิโช สัตวเกิด ๒ หน (พวกนก) แปลง ทฺวิ เปน ทุ บาง เชน ทุปฏ วตฺถ ผา ๒ ชั้น (สังฆาฏิ) แตจะถือเปนการแนนอนไมได เพราะทานจัดการเปลี่ยนแปลงโดยถือเอาความสละสลวยแหงศัพทมาก กวาอยางอื่น. อุภ ก็แปลวา ๒ เหมือนอยาง ทฺวิ แตใชนับจํานวนนามนาม อยางเดียว ไมไดใชเขากันสังขยานาม เชน สต สหสฺส เปนตน ทั้งมีแบบแจกโดยเฉพาะเหมือนกันทั้ง ๓ ลิงค. ติ ๓ ติ แจกวิภัตติไดตามแบบของตนเอง ใชตอสังขยาอื่นบาง ตอกับนามนามบาง แปลง ติ เปน เต บาง คง ติ ไวบาง เมื่อเขา กับสังขยาจํานวนสิบ แปลง ติ เปน เต เชน เตรส ๑๓ เปนตน เมื่อเขากับสังขยายาม คง ติ ไว เชน ติสต ๓๐๐ ติสหสฺส ๓๐๐๐ (สมาหารทิคุสมาส) เมื่อเขากับนามศัพท คงเปน ติ หรือแปลงเปน เต เชน ติโยชนปรม ใหเกิน ๓ โยชน เตวิชฺโช ผูมีวิชชา ๓ เปนตน. จตุ ๔ จตุ ที่ถูกแปลงไปเปนอยางอื่นบาง ก็ตอเมื่อเปนเศษของสังขยา อื่นเทานั้น คือแปลง จตุ เปน จุ เชน จุทฺทส นอกนั้นคงเดิม เชน
  • 62. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 61 จตุปาริสุทฺธิสีล เปนตน. ตั้งแต ปฺจ ถึง อฏ ไมคอยมีการเปลี่ยนแปลงอะไร จึง ไมตองอธิบาย. นว ๙ นว ศัพทนี้ ถาเพงตามศัพทก็มีนัย ๒ อยาง เปนสังขยา จํานวนนับนามนาม ที่แปลวา ๙ อยางหนึ่ง เปนคุณบทของนามนาม ที่แปลวาใหมอยางหนึ่ง จะรูไดวาเปนสังขยาหรือเปนนามนั้น จักรู ที่การแจกวิภัตติของศัพทนั้น นว สังขยาแจกตามแบบ ปฺจ และ เปนเครื่องนับจํานวนนามนาม และเปนพหุวจนะอยางเดียว สวน นว ที่เปนคุณนามนั้น เปนเครื่องแสดงลักษณะของนามนาม มี ลิงค วจนะ วิภัตติ เหมือนนามนาม และจัดเปนเอกวจนะก็ได เปนพหุวจนะก็ได เพื่อใหศัพทนี้แปลกกัน ทานนิยมไวดังนี้ ถาเปน สังขยา ทานไมลง ก ตอทาย ปลอยไวเฉย ๆ เชน นวภิกฺขู ภิกษุ ท. ๙ รูป ถาเปนคุณนาม ทานลง ก ตอทาย นวโกวาท นวก+โอวาท โอวาทเพื่อภิกษุใหม และ นว ที่เปนคุณนามซึ่งไม ใชสังขยา ถาเปนคุณของนามนามที่เปนปุลิงค แจกอยาง ปุริส ถาเปนคุณของนามนามที่เปนนปุสกลิงค แจกอยาง กุล ถาเปนคุณ ของนามนามที่เปนอิตถีลิงค ตองทีฆะสระที่สุดเปน อา แลวแจกอยาง กฺา. สังขยาจํานวนสับ หรือหลักสิบ คือสังขยาจํานวนที่นับตั้งแต
  • 63. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 62 ๑๐ ถึง ๙๐ เรียกวาจํานวนสิบ เมื่อตองการจะทราบวากี่สิบ หรือสิบ อะไร คือ ๒๐ หรือ ๓๐ เปนตน ใหเอาจํานวนหนวยคูณจํานวน ๑๐ จักรูได เชน ๓๐ เมื่อตั้ง ๑๐ แลวเอา ๓ คูณเปนตน. แตในภาษาบาลี มีอยูโดยเฉพาะ เชน ทส= ๑๐ วิสติ = ๒๐ ตึสติ = ๓๐ เปนตน. แตบางศัพทซึ่งนาคิด คือ ทานใหเอา ท ที่ ทส เปน ร ใน เมื่อตอกับจํานวนเศษของสิบ เชน เตรส ๑๓ เปนตน และใหเอา ท หรือ ร เปน ฬ ได ในเมื่อ ฉ อันเปนเศษของ ๑๐ คือ ๑๖ ถูก แปลงเปน โส แลว จึงเปน โสฬส. และบางแหงทานใหลง ติ หลัง ศัพทเหลานี้ไดบาง คือ วีส ตึส เปน วีสติ ตึสติ และใหเอา สระที่สุดของ เอก ทฺวิ อฏ (อันเปนเศษของสิบ) เปน อา บาง จําเปน เอกาทส ทฺวาทส อฏารส (ตามนัยมูลกัจจายนะ หนา ๒๔๘-๒๓๙). อนึ่ง จํานวนที่ยังขาดอยู ๑ จักเต็มในจํานวน ตั้งแต ๒๐ ขึ้นไป เชน ๑๙-๒๙-๓๙ เปนตน ทานไมนิยมใชศัพท นว ตอขางหนา ใหนิยมนับเปนตนวา ยี่สิบหยอนหนึ่ง คือ ๑๙ นั้นเอง ในที่เชนนั้น ใหใชศัพทวา เอก+อูน = เอกูน ซึ่งแปลวาหยอนหนึ่ง หรือยังขาด อยูหนึ่งที่จะเต็มในจํานวนนั้น ๆ ไมไดประกอบตามที่นาจะเปนได เชน ๑๙ เปน นวทส, ๒๙ เปน นววีสติ, ๓๙ เปน นวตฺตึสติ. ตามที่ทานนิยมตองประกอบดังนี้ ๑๙ เอกูนวีสติ, ๒๙ เอกูนตึสติ, ๓๙ เอกูนจตฺตาฬีส, ฯเป ฯ เอกูนสต.
  • 64. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 63 สังขยาจํานวนรอย (สังขยานาม) วิธีนับทานใหเอาจํานวน ๑๐ คูณจํานวน ๑๐ จึงเปนจํานวน ๑๐๐ คือ ๑๐x๑๐ แลวใหเอาจํานวน ๑๐ นั่นแหลคูณจํานวนที่คูณแลว โดยคูณกันเปนระยะ ๆ เชน ๑๐x๑๐ เปน ๑๐๐ แลวเอา ๑๐๐x๑๐ เปน ๑,๐๐๐ เปนตน, คําวา ๑๐ และ ๑,๐๐๐ เปนตน ฟงดูคลาย ๆ จักมีเอกศัพทในสังขยาเพื่อบอก จํานวนอยูดวย แตที่แทไมตองใชเอกศัพทเลย เพราะสังขยาจํานวน เต็มลวน ๆ ที่ไมมีสังขยาคุณตออยูขางหนาแลว เปนเอกวจนะอยาง เดียว เชน สต สหสฺส เปนตน ดังที่ไดแสดงมาแลว. สังขยาที่เหลือจากจํานวนเต็ม สังขยาที่เหลือจากจํานวนนั้น หมายความวา นอกจากจํานวนที่ตั้งเดิมแลว เปนสังขยาที่เหลือ หรือเศษ คือสังขยาที่ปรากฏในระหวาง และเศษนี้จะเปนสังขยาคุณ ก็ตาม เปนสังขยานามก็ตาม เรียกวาเศษทั้งนั้น เชน ๑๑๐ ตามคําพูด ของเราตองเรียกวา รอยสิบ แตตามภาษาบาลี ทานคิดจํานวน ๑๐๐ เปนจํานวนเต็ม จํานวน ๑๐ เปนจํานวนเศษ และเรียกวารอยยิ่งดวย สิบ แมสังขยาจํานวนอื่น ๆ ก็มีนัยเดียวกัน เชน ๑,๐๐๐-๑๐,๐๐๐- ๑๐๐,๐๐๐ เปนตน ก็เรียกจํานวนเต็ม. จํานวนสังขยาที่ปรากฏใน ระหวางจํานวนเต็ม เรียกวาเศษ เชน ๑,๗๒๕ จํานวน ๑,๐๐๐ เปน จํานวนเต็ม, ๗๐๐ ก็ดี ๒๐ ก็ดี เปนจํานวนเศษ, เพราะทาน กําหนดนับเปนหลัก ๆ และนับตั้งแตขางหลังไปหาขางหนา เมื่อเปน เชนนี้ เลข ๕ จึงเปนจํานวนหนวย เลข ๒ อยูหลักสิบเทากับ ๒๐ เลข ๗ อยูที่หลักรอย เทากับ ๗๐๐.
  • 65. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 64 วิธีตอจํานวนเศษ สังขยาที่เหลือจากจํานวนเต็มนั้น เมื่อจะตอเขากับจํานวนเต็ม ทานใหใช อุตฺตร และ อธิก มาคั่นในระหวางของจํานวนนั้น ๆ ทุกจํานวนที่เหลือ กําหนดใช อุตฺตร อยูใกลสังขยาคุณ, อธิก อยู ใกลสังขยานาม. อุตฺตร อธิก ทั้งสองนี้เปนคุณนาม เมื่อใชประกอบ ตองใหเปนคุณนามของสังขยาที่เปนจํานวนเต็ม (คือสังขยาที่เปนตัว ประธาน) จะนับนามนามใด ใหเอานามนามนั้น ประกอบวิภัตติลง ในระหวาง นามนามที่อยูใกลสังขยาคูณ ในประกอบดวยตติยาวิภัตติ อยางเดียว สวนวจนะนั้นใหถือตามสังขยาคุณ นามนามที่อยูใกล สังขยานามที่เปนเศษ ใหประกอบดวยตติยาวิภัตติทุก ๆ จํานวน สวนวจนะก็ใหถือตามสังขยานั้น ๆ และควรถือตัวอยางจาก พุทธศักราช ที่ทานวางไว แตที่นั้นทานประกอบเปนรูปสมาส แลวลบศัพทเสียบาง ตามวิธียอสมาส เชน ๒,๔๘๓ ป ปรากฏวา ตฺยาสีติสวจฺฉรุตฺตรจตุ- สตาธิกานิ เทฺว สวจฺฉรสหสสานิ เมื่อแยกออกใหเปนศัพท ๆ เพื่อ เห็นงาย ก็เปน ตฺยาสีติยา สวจฺฉเรหิ อุตฺตรานิ จตูหิ สวจฺฉราน สเหติ อธิกานิ เทฺว สวจฺฉาน สหสฺสานิ แปลวาอันวาพัน ท. แหงป ท. สอง ยิ่งดวยรอย ท. แหงป ท. สี่ยิ่งดวยป ท. แปลสิบสาม เราจะเห็นไดวา อุตฺตร อยูใกลสังขยาคุณ คือ ตฺยาสีติยา ๘๓, อธิก อยูใกลสังขยานาม คือ สเหติ ๑๐๐, อุตฺตร และ อธิก ทั้งสองนี้ ถาตองประกอบสังขยาที่เปนเศษหลาย ๆ ชั้น ตองใชสลับกัน คือ
  • 66. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 65 อุตฺตร แลว อธิก, แตตองถือวาให อุตฺตร อยูใกลสังขยาคุณ, อธิก อยูใกลสังขยานาม, และบางคราว อธิก จะอยูในที่ใกลกันก็ ใชได. วจนะนั้น ถาปรากฏเปนเลข ๑ ขึ้นหนา เปนเอกวจนะอยางเดียว (แตไมใชเอกศัพท), ถาเลขตั้งแต ๒ ขึ้นไป ขึ้นหนา เปนพหุวจนะ อยางเดียว, จํานวนเศษไมถือเปนประมาณ เชน ๑,๕๘๔ เชนนี้เปน เอววจนะ, สังขยาคุณจะรวมกันเปนศัพทเดียว ดังที่แสดงมานั้นก็ได หรือจะแยกออกเปนจํานวน ๆ ก็ได. อฑฺฒ ศัพท สังขยาที่มีจํานวนที่สุดคือจํานวนหลัง ตั้งแต ครึ่งรอย คือ ๕๐ หรือ ครึ่งพัน คือ ๕๐๐ หรือ ครึ่งหมื่น คือ ๕,๐๐๐ เปนตน เพื่อจะ ใหจํานวนหลังเต็ม ทานนิยมใช อฑฺฒ ศัพท ประกอบ สวนจํานวน ขางหนานั้นไมจํากัดจํานวน เชน ๑๕๐-๓,๕๐๐-๖,๕๐๐ เปนตน เมื่อ ประกอบดวย อฑฺฒ ศัพท ก็ตองเพิ่มจํานวนขางหนาขึ้น เชน ๑ ตองเปน ๒,๓ เปน ๔, และ ๖ ก็เปน ๗ เปนตน เพราะ อทฺฒ แปลวา กึ่ง หรือ ครึ่ง โดยมากมีสังขยาจํานวนหนา ลงปจจัยใน ปูรณตัทธิต คือ ติย, ถ, , ม, อี, จึงเปนเอกวจนะอยางเดียวตาม ปูรณตัทธิต. ๑๕๐ ประกอบเปน อฑฺเฒน ทุติย สต=ทิยฑฺฒสต รอยที่ ๒ ทั้งกึ่ง (หนึ่งรอย กับ ครึ่ง คือ ๑๕๐), ๓,๕๐๐ อฑฺเฒน จตฺตฺถ สหสฺส=อฑฺฒูฑฺฒสหสฺส พันที่ ๔ ทั้งกึ่ง (สามพันกับ ครึ่ง คือ ๓,๕๐๐) หรือจะเปน อฑฺฒจตุตฺถาสหสฺส ก็ได. ในแบบ
  • 67. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 66 ทานวางตัวอยางไวเพียงที่ ๔ ทั้งกึ่ง เมื่อจะประกอบใหมากไปกวานี้ ก็พึงเอา ทฑฺฒ ศัพทประกอบขางหนาสังขยาที่เปนเศษ และโดยมาก ลงปจจัยในปรูณตัทธิต เชน ๗๕๐ วา อฑฺฒฏม สต รอยที่ ๘ ทั้งกึ่ง, จํานวนอื่นก็พึงเทียบตามนี้. สังขยาที่ประกอบดวย อฑฺฒ ศัพทนี้ ถาไมลงปจจัยในปูรณ- ตัทธิต เปนพหุวจนะได เชน อฑฺฒเตรสานิ ภิกฺขุสตานิ รอยแหง ภิกษุ ท. ๑๓ ทั้งกึ่ง (๑,๒๕๐) ดังนี้. ผูศึกษาพึงดูในอธิบายปูรณ- ตัทธิตเถิด. ปูรณสังขยา ปูรณสังขยานี้ เปนคุณนามอยางเดียว ใชนับจํานวนนามนาม ในที่เต็ม คือนับเฉพาะ เชน ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ เปนตน หมายเอาแต อยางเดียว ที่เดียว หรือคนเดียว จึงไดความสันนิษฐานวา เปน เอกวจนะอยางเดียว เหมือนอยางวา คนยืนหรือนั่งเปนแถว ๆ สัก ๒๐ คน เมื่อถูกเรียกวา คนที่ ๑๕ จงไป ก็ตองไปไดเพียงคนเดียว คือคนที่ ๑๕ เทานั้น. ปูรณสังขยานี้ ก็ใชปกติสังขยานั้นเอง แตตอง ลงปจจัยในปูรณตัทธิต ทําใหแปลกกัน จึงไดมีชื่อเรียกวาปูรณสังขยา เพราะเรียกตามปจจัยที่ลงปูรณสังขยานี้ ทานไดอธิบายไวปูรณสังขยา ละเอียดในปูรณติทธิต ผูตองการจงตรวจดูเถิด. สวนการแจกวิภัตติ และการันตในแบบปรากฏอยูชัดเจนแลว แตมีอยูบางคํา เชน เอกาทสี จตุทฺทสี ปณฺณรสี อันเปนอิตถีลิงค แจกในปฐมาวิภัตติ ลง
  • 68. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 67 นิคคหิตอาคมได คือเปน เอกาทสึ จตุทฺทสึ ปณฺณรสึ ตามที่มา ในมูลกัจจายน สูตรที่ ๓๓๔ หนา ๙๕. นอกนั้นมีในแบบไวยากรณ ชัดเจนแลว.
  • 69. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 68 สัพพนาม๑ ผูศึกษาเคยทราบในตอนตนมาบางแลววา คํานี้จัดเปนสวนหนึ่ง ของนามศัพท ซึ่งมีลักษณะใชแทนคํา นามนามทั้งสอง (สาธารณะ และ อสาธารณะ) หรือขอความตาง ๆ ที่เคยออกชื่อ และเขาใจ กันอยูแลว ถาเราจะแยกคํา สัพพนาม นี้ออก ก็จะได สพฺพ แปลวา "ทั้งปวง" คําหนึ่ง, นาม แปลวา "ชื่อ" คําหนึ่ง, เมื่อรวมเขา เปนสมาส ก็แปลวา "คําที่เปนชื่อทั้งปวง " คือหมายความวาเปน คําแทนชื่อ เพื่อใหทราบถึง นามนาม ที่เคยกลาวมาแลว, หากไม มีคําประเภทนี้ไวใช เนื้อความก็ดี คําพูดก็ดี จะซ้ํา ๆ ซาก ๆ จน นาเบื่อหู ดังจะเห็นไดในประโยคตัวอยางนี้วา "นายดํา ไปหานาย ขาว นายดําถามนายขาววา ทําไมนายขาวไมไปเที่ยวบานนายดํา บาง เดี๋ยวนี้ที่บานนายดําสนุกมาก"ดังนี้ ขอใหผูศึกษาสังเกตการ ใชถอยคําซ้ําซาก เชนนั้น จะขัดหูผูฟง ผูอาน หรือไม ถาเปนจริง อยางที่วาแลว ควรจะเปลี่ยนถอยคําสํานวนเสียใหม วา "นายดํา ไปหานายขาว แกถามเขาวา ทําไม คุณไมไปเที่ยวที่บางผมบาง เดี๋ยวนี้ที่นั้นสนุกมาก" ดังนี้ คําวา แก เขา คุณ ผม นั้น ทั้ง ๕ คํานี้ปรากฏขึ้นในประโยคตัวอยางขางหลัง เพื่อจะตัดคํานาม นามที่ซ้ํากันออกเสีย และคงไวที่จําเปน คําชนิดนี้แหละบาลีไวยากรณ เรียกวา สัพพนาม แตทางฝายภาษาไทย เรียกวาคําแทนชื่อดังกลาว ๑. สัพพนาม พระครูมงคลวิลาส (ลัภ โกสโล) วัดราชาธิวาส เรียบเรียง
  • 70. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 69 แลว. ตัวอยางทั้งสองที่ยกขึ้นมาจนอางนั้น ลองนึกเปรียบเทียบดูวามีขอ แตกตางหรือเหมือนกันอยางไรบาง เมื่อกําหนดถึงใจความโดยเฉพาะ แลวก็เหมือนกัน แตถาจะมุงฟงถอยคําหรือสํานวนโวหารแลวคงผิด กันมาก เพราะตัวอยางขางตนมีรุงรังไปดวยคําซ้ํา ๆ ซาก ๆ กลาว คือจะตองเอยถึงตัว นามนาม คือ นายดํา นายขาว กันเรื่อยไป จนกวาจะจบเรื่อง, สวนตัวอยางขางปลายนั้น มีคําวา แก เปนตน เขา มาแทนตัวนามนาม คําซ้ําซากจึงหมดไป นับวาเปนการถูกตองตาม วิธีภาษาที่นิยมที่ใชกันอยูทั่ว ๆ ไป ฉะนั้น คําสัพพนาม จึงตองมี หนาที่แทน นามนา ที่ออกชื่อมาแลว เพื่อปองกันคําซ้ําซากอันไม นาฟง และทานแบงคํานี้ออกเปนสอง คือเปน ปุริสสัพพนาม ๑ วิเสสนสัพพนาม ๑. ปุริสสัพพนาม นาจะทําความเขาใจคําวา ปุริส ซึ่งอยูหนาสัพพนามเสียกอน ศัพทนี้แปลกันวา บุรุษ หรือผูชาย แตในบาลีไวยากรณไมได หมายความวา เปนคําสําหรับใชผูชายอยางเดียว แมจะเปน ผูหญิงหรือมิใชก็ตาม คงมีความหมายเชนเดียวกัน คือ ปุริส ยอม มุงหมายที่จะทําหนาที่แทนตัวนามนามที่ออกชื่อมาแลว และกําลังที่จะ ออกชื่อกลาวโตตอบกันอยู ทั้งที่เปน คน สัตว ที่ สิ่งของ ฉะนั้น คําวา ปุริส ในที่นี้ เปนแตเพียงโวหารที่นิยมใชกันอยูในสวนหนึ่ง
  • 71. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 70 ของบาลีไวยากรณ เพื่อเปนเครื่องหมายสําหรับใชเรียกชื่อศัพท ประเภทหนึ่งเทานั้น แตความมุงหมายคงมีทั่ว ๆ ไป ดังกลาว แลว. อีกนัยหนึ่ง โดยมากสํานวนโวหารของภาษาบาลีที่พูดเปนกลาง ๆ ไมเจาะจงใคร หรือ คนพวกหนึ่ง พวกใด แตมุงจะกลาวสอนหรือ ตักเตือนเปนเบื้องหนา ก็มักจะยกคําวา บุรุษ บุคคล ชน สัตว ขึ้น กลาวเปนประธานแหงเนื้อความนั้น ๆ ตอไปนี้จะยกพระพุทธภาษิตที่มี เฉพาะแตคําวา ปุริโส หรือบุรุษ เปนประธานขึ้นเปนตัวอยาง พอ เปนเครื่องพิสูจนเปรียบเทียบ คือ :- ๑. สทฺธา ทุติยา ปุริสสฺส โหติ ศรัทธาเปนเพื่อนสองของบุรุษ. ๒. ทุลฺลโภ ปุริสาชฺโ บุรุษอาชาไนยหาไดยาก. ๓. อปฺปสฺสุตาย ปุริโส บุรุษ ผูสดับแลวนอยนี้ ยอมแก พลิวทฺโทว ชีรติ เหมือนโคถึก. ๔. หิรินิเสโธ ปุริโส บุรุษผูเกียดกันอกุศลวิตกเสีย ดวย โกจิ โลกสฺมิ วิชฺชติ ความละอาย นอยคนจะมีในโลก. อุทาหรณทั้ง ๔ ขอนี้ ผูศึกษาคงจะเห็นไดแลววามีคํา ปุริโส หรือ บุรุษ เปนตัวประธานแหงเนื้อความนั้น ๆ ถาพิจารณาตาม พยัญชนะแลว ดูเหมือนกับวา พระพุทธเจาจะทรงสั่งสอนแนะนําเฉพาะ
  • 72. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 71 แตพวกบุรุษฝายเดียวเทานั้น หาไดเกี่ยวของไปถึงฝายผูหญิงไม แต ถาใครเขาใจเชนนั้น ก็นับวาเขาใจผิดถนัด เพราะพระพุทธภาษิต หรือ พุทธศาสนา ยอมประกาศเผยแพรใหทุกคน ไมจํากัดเพศภูมิ ฐานะและวัย ปฏิบัติตามไดทั้งนั้น ดังที่เราเขาใจกันอยูแลว ฉะนั้น รวมใจความวา ปุริโส คํานี้เปนสาธารณะโวหารที่นิยมใชอยูในภาษา บาลีทั่วไป ทั้งที่เปนสวนไวยากรณ และสวนธรรมคําสั่งสอน แม ในอาขยาตทานก็จัดบุรุษเปน ๓ ตามกิริยาศัพทที่ประกอบดวยวิภัตติ นั้น ๆ และมีความมุงหมายเปนอยางเดียวกัน ดวยอํานาจความเกี่ยว ของแหงบุคคลกับคําพูด ที่ใชสนทนาซึ่งกันและกัน ฉะนั้น ปุริส- สัพพนามนี้ ทานจึงจัดเปน ๓ ตามบุรุษที่กลาวไวในอาขยาต คือ ต ๑, ตุมฺห ๑, อมฺห ๑. ต (ปุริสสัพพนาม) ต ศัพทจัดเปน ปฐมปุริส หรือ ประถมบุรุษ สําหรับใช แทนชื่อ คน สัตว ที่ สิ่งของ ที่กลาวมาแลว ทานบัญญัติ แปลเปนไทยวา ทาน เธอ เขา มัน เปนตน เปลี่ยนใหถูกตาม ฐานะชั้นเชิงของบุคคล แตในภาษาบาลีตองเปลี่ยน ลิงค วจนะ วิภัตติ ของ ต ปุริสสัพพนาม ใหตรงกับ ลิงค วจนะ วิภัตติ ของนามนาม ที่ออกชื่อถึง เชนในปฐมาวิภัตติ จะตองเปนไป อยางนี้.
  • 73. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 72 เอกวจนะ พหุวจนะ ลิงค ประถมบุรุษ นามนาม ประถมบุรุษ นามนาม ชโน ชนา มุนิ มุนโน, มุนี ปุ. โส กรี เต กริโน, กรี ครุ ครโว, ครู วิฺู วิฺุโน, วิฺู ตารา ตาราโย, ตารา อีติ อีติโย, อีตี อิต. สา ธานี ตา ธานิโย, ธานี ยาคุ ยาคุโย, ยาคู จมู จมุโย, จมู ธน ธนานิ นปุ. ต อจฺจิ ตานิ อจฺจีนิ มธุ มธูนิ ตามตัวอยางขางบนนี้จะเห็นไดวา นามนาม มีการันตตางกัน แต ต ศัพท แจกวิภัตติแลวยังคงรูปอยูอยางเดียว และจะตองตรง กันเชนนี้ไปทุก ๆวิภัตติ สวนการแจกและการเปลี่ยนแปลงวิภัตตินั้น
  • 74. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 73 ในแบบบาลีไวยากรณเลมนาม ทานแสดงไวโดยชัดเจนแลว ใหผูศึกษา พึงกําหนดแจก ต สัพพานาม กับ ตัวนามนามใหตรงกันโดยนัยนี้. วิธีใช ต ปุริสสสัพพนาม ไดกลาวมาในเบื้องตนแลววา คํานี้สําหรับใชแทน นามนาม ที่ เคยออกชื่อมาแลว เพื่อจะมิใหมีคําซ้ําซาก ในประโยคคําพูดนั้นๆ ขอใหผูศึกษาพึงสังเกตอุทาหรณในเลมนามขอ ๘๓ อาจริโย ม ฯ เป ฯ ชั้นเถิด สวนในภาษาไทยไมไดใชยืนเปนแบบเดียว มียักเยื้องไปตาม ชั้นเชิงของบุคคล พึงเห็นวิธีใชคําปุริสสัพพนาม ที่เปนประถมบุรุษ ในภาษาไทย ดังตอไปนี้ ต ประถมบุรุษ แปลเปนไทย ใชตามชื่อของบุคคลที่ออกชื่อถึง๑ คํา ประถมบุรุษ ชั้นบุคคลที่ปุริสสัพพนามนั้นใชแทน พระองค พระราชา เจานายชั้นสูง พระ, ธ, (ในคําประพันธ) พระราชา เจานายชั้นสูง ทาน เจานาย ขุนนางผูใหญ พระสงฆสามเณร ผูที่นับถือ มีมารดาบิดาเปนตน เธอ ผูที่ยกยอง เขา ผูเสมอกัน หรือ ผูที่ไมสนิทสนมกัน แก คนแก ผูที่ไมใชอยูในเกณฑเคารพนับถือ มัน สัตวดิรัจฉาน สิ่งของ สถานที่ ๑. ดัดแปลงมาจาก สนามไวยากรณ วิจีวิภาค.
  • 75. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 74 ตุมฺห ศัพทนี้ จัดเปนมัชฌิมปุริส หรือ มัธยมบุรุษ สําหรับใชแทน ชื่อผูฟง คือผูที่เรากําลังพูดหรือถามกันซึ่ง ๆ หนา ในระหวางที่ สนทนากันอยู จะเปนคนหรือสัตวไมเปนประมาณ เพราะทุก ๆ ภาษา ไมนิยมออกชื่อผูฟง หรือผูที่เรากําลังพูดอยูดวยนั้นขึ้นกลาวตรง ๆ จึงตองบัญญัติคําขึ้นคําหนึ่ง สําหรับใชแทนตัวนามที่เปนผูฟงนั้น เพื่อ กันความเคอะเขินที่จะตองออกนามจริงกันซึ่งหนา ตัวอยางเชน พระ ก. ถามพระ ข. วา "ทานไปไหนา ? " ดังนี้ คําวา "ทาน" เปนคําแทนชื่อของพระ ข. ซึ่งเปนผูฟงคําถามของพระ ก. เพราะ ฉะนั้น พระ ข. จึงตองเปนมัธยมบุรุษ ในภาษาบาลีบัญญัติ ตุมฺห ศัพทเดียวเทานั้น สําหรับใชแทนชื่อจริงของนามดังกลาวแลว แตถา จะแปลออกเปนภาษาไทยก็ไดหลายคํา เชน เขา ทาน สู เอ็ง มึง เปนตน ตามลําดับฐานะชั้นเชิงของนามนามนั้น เพื่อใหเหมาะสมกับ ความสูงต่ําหรือเสมอกันกับผูพูด และถูกตองตามภาษานิยม พึงดูวิธี ใชมัธยมบุรุษในภาษาไทย ดังจะนํามาเปนตัวอยางเพื่อเปนทางให ผูศึกษาเทียบเคียงดู แลวแปลภาษาบาลีออกเปนภาษาไทย ให ถูกตองตามนิยม อยาใหเปนการเคอะเขินในเมื่อแปลคําแทนชื่อนั้น ๆ ดังตอไปนี้ :-
  • 76. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 75 ตุมฺห มัธยมบุรุษ แปลเปนไทย ใชใหถูกตามชั้นของบุคคลผูฟง ๑ คํามัธยมบุรุษ ชั้นผูพูด (อมฺห) ชั้นผูฟง (ตุมฺห) ใตฝาละอองธุลีพระบาท ผูนอย พระราชา ใตฝาละอองพระบาท ผูนอย พระราชินี, พระยุพราช ใตฝาพระบาท ผูนอย เจานายชั้นสูง ฝาพระบาท เจานายที่เสมอกัน เจานายชั้นรองลงมา หรือผูนอย สมเด็จบรมพิตร พระราชสมภารเจา พระสงฆ พระราชาที่ยกยอง บพิตรพระราชสมภาร เจาหรือมหาบพิตร พระสงฆ พระราชาทั่วไป บพิตร พระสงฆ เจานาย, ขุนนางชั้นสูง ใตเทากรุณาเจา ผูนอย สมเด็จเจาพระยา ใตเทากรุณา ผูนอย ขุนนางชั้นสูง, พระ- ราชคณะ เธอ ผูใหญ ผูนอยที่ยกยอง
  • 78. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 76 คํา มัธยมบุรุษ ชั้นผูพูด (อมฺห) ชั้นผูฟง (ตุมฺห) ทาน คนสุภาพทั่วไป, คนสุภาพทั่วไป, พระ คฤหัสถ, พระสงฆที่ สงฆ ที่มีพรรษามาก มีพรรษานอยกวา กวา คุณ คนสุภาพทั่วไป, พระ คนสุภาพทั่วไป, พระ สงฆมีพรรษามาก สงฆผูมีพรรษานอย กวา กวา หลอน ชายที่รัก หญิงที่รัก สู (โบราณ) ผูใหญ ผูนอย, เอ็ง แก มึง ผูเปนนาย หรือ ผูนอย, เพื่อนที่ชอบ ผูใหญกวา เพื่อน พอกัน ที่ชอบพอกัน ศัพทนี้จัดเปน อุตฺตมปุริส หรือ อุดมบุรุษ สําหรับใชแทนชื่อ ผูพูด ภาษาทั่วไปเมื่อพูดจะออกชื่อตนเอง ไมออกชื่อตรง ๆ หาคํา อื่นมาใชแทน จึงตองบัญญัติคําขึ้นคําหนึ่ง สําหรับใชแทนชื่อผูพูด เพื่อใหคูสนทนาเขาใจความหมาย เชนตัวอยางวา พระ ก. บอกกับ พระ ข. วา "วันนี้ผมอาพาธ" คําวา "ผม" เปนคําแทนชื่อของ พระ ก. ซึ่งเปนตัวผูพูด และเปนอุดมบุรุษ ในภาษาบาลีทานบัญญัติ
  • 79. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 77 อมฺห ศัพทเดียวเทานั้น สําหรับใชแทนชื่อผูพูด แตถาจะแปลเปน ภาษาไทยก็ไดหลายคํา เชน ฉัน ขา กู เปนตน ตามลําดับฐานะ ชั้นเชิงของผูพูดนั้น เพื่อใหเหมาะสมกับความสูงต่ําหรือเสมอกันกับ ผูฟง ทั้งใหถูกตองตามภาษานิยมดวย พึงดูวิธีใชอุดมบุรุษในภาษา ไทย ดังตอไปนี้ :- อมฺห อุดมบุรุษ แปลเปนไทย ใชใหถูกตองตามชั้นของผูพูด อุดมบุรุษ ผูพูด ผูฟง ขาพระพุทธเจา ผูนอยทั่วไป พระราชา, เจานายชั้นสูง เกลากระผม ผูนอยทั่วไป เจานายชั้นรองลงมา กระหมอนฉัน เจานายผูใหญ หรือ เจานายเสมอกันหรือ หมอนฉัน ผูเสมอกัน, ขุนนาง ผูนอย กระหมอม ผูใหญ อาตมภาพ พระสงฆ พระราชา, เจานาย, ขุนนาง เกลากระผม เกลาผม ผูนอยทั่วไป ขุนนางชั้นสูง, พระ ราชาคณะชั้นสูง กระผม ขุนนางผูใหญ หรือ พระสงฆ, ขุนนาง เสมอ ผูเสมอกัน, คนสุภาพ กัน, คนสุภาพ ผูนอย, ดีฉัน (โบราณ) ผูใหญ พระสงฆผูนอย
  • 80. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 78 อุดมบุรุษ ผูพูด ผูฟง อิฉัน ผูนอย (หญิง) ผูใหญ, ไมใชเจานาย ตู (โบราณ) สามัญ สามัญ ขา (โบราณ) ผูนอย ผูใหญ ขา, กู (ไมสุภาพ) ผูเปนนาย, เพื่อนกัน คนใช, เพื่อกัน เรา (โบราณ) ผูใหญ ผูนอย เรา ทั่วไปหลายคน ทั่วไปไมใชเจานาย และขุนนางชั้นสูง ขาพเจา ขาเจา ทุกชั้น ใชเปนกลางทั่วไป คําแปลของปุริสสัพพนาม คือ ต ตุมฺห อมฺห ที่กลาวมา แลวนี้ ยังไมสิ้นเชิง คําพูดของภาษาไทยที่ใชในคําประเภทนี้มีมาก อาจหมุนเวียนไปตามกาลสมัย และทองถิ่นนั้น ๆ นิยมกัน. วิธีใช ตุมฺห และ อมฺห ทั้งสองศัพทนี้ สําหรับใชแทนนามคูสนทนา ดังกลาวแลว และ จะตองนําไปแจกวิภัตติเสียกอนเหมือนศัพททั้งหลายอื่น แตการแจก วิภัตตินั้น ก็แจกมีรูปอยางเดียวกันทั้ง ปุลิงค และ อิตถีลิงค ดังที่ทาน แสดงไวในแบบนามนั้นแลว.
  • 81. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 79 นามนาม ซึ่งเปนคูสนทนา จะเปนลิงคอะไร ตุมฺห อมฺห ทั้ง ๒ นี้ ก็คงอยูอยางนั้น ไมเปลี่ยนไปตาม และการแปลก็ออกชื่อ คําแปล ตุมฺห อมฺห นั้นโดยตรงกันวิภัตติของตน พรอมดวยออก ชื่ออายตนิบาตไปดวย เชน ตฺว อันวา ทาน , ตุมฺหาก แหงทาน ทั้งหลาย, อห อันวาเรา, อมฺหาก แหงเราทั้งหลาย, เปนตน ไมเหมือน ต ศัพทที่เปนสัพพนามดวยกัน ซึ่งจะตองใหมี ลิงค วจนะ วิภัตติ ตรงกันกับตัว นามนาม ที่ออกซึ่งถึง และเปนปุริสสัพพนาม ก็ แปลคลาย ๆ กับ ตุมฺห อมฺห เชน โส อันวา เขา เปนตน ถา เปนวิเสสนสัพพนาม ก็แปลวา นั้น โดยไมตองออกชื่ออายตนิบาต แตจะตองโยคตัวนามนามที่กลาวแลวขางตนมาดวย เชน โส นโร อันวา คนนั้น. อนึ่ง เฉพาะ ตุมฺห ศัพทนั้น เมื่อคูสนทนาจะแสดงความ เคารพ ในเมื่อผูพูด เปนผูนอย อีกฝายหนึ่งซึ่งเปนผูฟง เปนผูใหญ ทางฝายผูพูดตองเรียกนามผูใหญนั้นดวย ตุมฺห ที่เปนพหุวจนะ เชน ศิษยเขาไปพูดกับอาจารยวา (ตุมฺเห๑ ) อปรสฺสป เถรสฺส คุณ ทสฺเสถ แปลวา ขอทานจงแสดงคุณของพระเถระรูปอื่นอีก และ โสมทัตไดพูดกับบิดาของเขาวา ตุฒฺเหหิ ราชกุล คนฺตฺวา เอว อภิกฺกมิตพฺพ แปลวา อันทานไปแลวสูราชสกุล พึงกาวไปขางหนา อยางนี้. ๑. อุภัยพากยปริวัตน ภาค ๒ ขอ ๕๐๑ ๒. ธมฺมปทฏกถา ๕/๑๑๙
  • 82. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 80 ทั้ง ๒ อุทาหรณนี้ จะเห็นไดวา ตุมฺเห ก็ดี ตุมฺเหหิ ก็ดี เปนพหุวจนะสําหรับใชแทนอาจารยคนเดียว และบิดาคนเดียว ใน ฐานที่ศิษยกับบุตรแสดงความเคารพตอผูใหญของตน และจะไมตอง ออกชื่อพหุวจนะ วาทั้งหลาย ในเวลาแปลก็ได. ใช เต เม โว โน อยางไร เต โว ออกมาจาก ตุมฺห มัธยมบุรุษ, เม โน ออกมาจาก อมฺห อุตตมบุรุษ. ทั้ง ๔ ศัพทนี้ เมื่อจะเรียงเขาประโยคตองมีบท อื่นนําหนากอน จึงจะใชได เชน ๑. ปุตฺโต เต วย ปตฺโต บุตร ของทาน ถึงแลว ซึ่งวัย. ๑ ๒ ๔ ๓ ๑ ๒ ๓ ๔ ๒. (อห) สตฺต โว ภิกฺขเว อปริหานิเย ธมฺเม เทเสสฺสามิ ๒ ๖ ๗ ๑ ๕ ๔ ๓ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เรา จักแสดง ซึ่งธรรมทั้งหลาย (อัน) ไมเปน ๑ ๒ ๓ ๔ ที่ตั้งแหงความเสื่อม เจ็ดประการ แกเธอทั้งหลาย. ๕ ๖ ๗ ๓. นตฺถิ เม สรณ อฺ ที่พึ่ง อยางอื่น ของขาพเจา ๔ ๓ ๑ ๒ ๑ ๒ ๓ ไมมี. ๔
  • 83. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 81 ๔. ธมฺโม โน อุตฺตม สรณ พระธรรม เปนที่พึ่ง (อัน) ๑ ๔ ๓ ๒ ๑ ๒ สูงสุด ของเราทั้งหลาย. ๓ ๔ ตองมีบทอื่นนําหนาเชนนี้ ก็เพราะศัพททั้ง ๘ นี้ เมื่อแจกวิภัตติ แลว มีรูปเหมือนกับกันศัพทอื่น ซึ่งมีความหมายไปอีกทางหนึ่ง คือ เต แปลวา เขาทั้งหลาย, เหลานั้น, เปน ต ศัพท ป. ทุ. พหุวจนะ. โว แปลวา โวย เปนนิบาต สักวาเปนเครื่องทําบทใหเต็ม. โน แปลวา ไม เปนนิบาตบอกปฏิเสธ. อาศัยเหตุนี้ จึงตองมีบทอื่นนําหนา เต โว มัธยมบุรุษ และ เม โน อุตตมบุรุษ วิเสสนสัพพนาม เฉพาะคําวา "สัพพนาม" คําเดียว ซึ่งเปนสงหนึ่งของ นามศัพทหนึ่ง ผูศึกษายังจําไดอยูวา "เปนชื่อสําหรับใชแทนนามนาม ที่ออกชื่อมาแลว เพื่อจะไมใหซ้ํา ๆ ซาก ๆ ซึ่งไมเพราะหู" ดังที่ ทานไดแสดงไวในเลมนามและอัพยยศัพท ขอ ๓๗ นั้นแลว แตใน ที่นี้ตองเติมคําวา วิเสสนะ เขาขางหนาสัพพนาม อีกคําหนึ่ง จึง รวมเปนคําเดียวกันเรียกวา วิเสสนสัพพนาม.
  • 84. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 82 วิเสสนสัพพนามนี้ ไมไดเปนคําพูดที่ใชแทนตัวนามนามโดยตรง ทีเดียว มีลักษณะคลาย ๆ กับคุณนาม แตก็ไมไดเปนคุณนามแม เพียงโดยปริยาย เมื่อใชประกอบเขากับนามนามตัวใด ก็มุงหมาย เพื่อใหนามนามตัวนั้นปรากฏแนชัดขึ้น ทั้งเปนการแสดงใหรูความ ตางกันแหงนามนามนั้นกับนามนามอื่น ซึ่งไดออกชื่อมาแลวดวย ฉะนั้น เพื่อจะใหทราบความตางกันในขอนี้ จึงสมควรที่จะทําความเขาใจใน คําวา วิเสสนะ เสียกอน. วิเสสนะ คํานี้ ถาแปลเปนภาษาไทย ก็ตองเขียนเปน วิเสสน แปลวา การแยก การทําใหแตกตาง หรือทําใหจะแจง หมายความวา เปน คําจําพวกที่ใชประกอบคําอื่น ใหมีเนื้อความแปลพิเศษออกไปโดย ชัดเจน จัดประเภทออกเปน ๓ คือ เปนคุณ ๑ สัพพนาม ๑ กิริยา (กิตก) ๑. ๑. วิเสสนะ ที่เปนคุณ เรียก คุณนาม สําหรับประกอบกับ นามนาม บอกลักษณะของนามนามนั้นใหรูวาดีหรือชั่วอยางไร เชน เขียว (นีล), ดี (สุนฺทร) , ใหญ (มหนฺต), ฯลฯ แมศัพทสังขยา ที่เปนคุณนาม ก็สงเคราะหเขาในวิเสสนะประเภทนี้เหมือนกัน ดังที่ ไดอธิบายมาในตอนตนนั้นแลว. ๒. วิเสสนะ ที่เปนสัพพนาม เรียก วิเสสนสัพพนาม สําหรับ
  • 85. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 83 บอกความกําหนดแนนอนและ ใหรูวานามนามนั้นอยูในที่ ใกลหรือไกล เชน นั้น (ต), นี้ (อิม), อื่น (อฺ) ฯลฯ ซึ่ง จะไดอธิบายตอไป. ๓. วิเสสนะ ที่เปน กิริยา เรียก กิริยากิตก เฉพาะที่แจก วิภัตติได และเปนกิริยาที่ทํากอน กิริยาสุดทายในประโยคเดียวกัน ตัวอยางเชน จูฬปนฺถโก คจฺฉนฺโต สตฺถาร ทิสฺวส อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิ พระจูฬปนถกกําลังเดินอยู เห็นพระศาสดาแลว เขาไปถวาย บังคม. คจฺฉนฺโต เปนกิริยากิตก จัดเปนวิเสสนะของนามนาม คือ จูฬปนฺถโก เพราะเปนกิริยาที่ทํากอน วนฺทิ อันเปนกริยาสุดทาย ในประโยคนั้น. กิริยากิตกที่ลง อนฺต ปจจัย แจกดวยปฐมาวิภัตติ ถาอยูหลังตัวประธาน หนากริยาหมายพากย ทางสัมพันธเรียกวา อัพภันตรกิริยา โดยมากถาเปนวิภัตติอื่นจากปฐมาวิภัตติ และ ฉัฏฐี- วิภัตติที่เปนกิริยาอนาทร และสัตตมีวิภัตติที่เปนกิริยาลักขณวันตะ แลว เปนวิเสสนะทั้งสิ้น. วิเสสนะประเภทนี้ สําหรับบอกความเคลื่อน ไหวของนามนาม ใหรูวานามนามนั้นมีอาการอยางไร เชน เดิน (คจฺฉนฺต), ยืน (ิต), นั่ง (นิสีทนฺต) เปนตน. วิเสสนะทั้ง ๓ ประเภทนี้ เมื่อนําไปประกอบกับนามนามบทใด ตองมี ลิงค วจนะ วิภัตติ เหมือนนามนามบทนั้น พึงเห็นตัวอยาง ดังตอไปนี้ ๑. ธมฺมปทฏกถา ๒/๒๑๘.
  • 86. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 84 วิเสสนะ ภาษาไทย ภาษาบาลี ภูเขาใหญ มหนฺโต ปพฺพโต ปุ. ที่เปน คุณนาม ชบาเขียว นีลา ชปา อิต. สกุลดี สุนฺทร กุล นปุ. ชายนั้น โส ปุริโส ปุ. ที่เปน สัพพนาม หญิงนี้ อย อิตฺถี อิต. ทรัพยอื่น อฺ ธน นปุ. คนยืน นโร ิโต ปุ. ที่เปน กิริยา เด็กหญิงเดิน ทาริกา คจฺฉนฺตี อิต. หญางอก ติณ รุฬิห นปุ. ตัวอยางขางบนนี้เปนเอกวจนะอยางเดียว และจะเห็นไดวา วิธีเรียกคําที่เปนวิเสสนะในภาษาไทย กับภาษาบาลีไมเหมือนกัน คือ ในภาษาไทย วิเสสนะทั้ง ๓ อยาง อยูหลังนามนาม แตในภาษาบาลี นั้น วิเสสนะที่เปนคุณกับสัพพนาม โดยมากอยูขางหนานามนาม ที่ เปนกิริยา มักจะอยูขางหลังโดยมาก. อนึ่ง ศัพทนิบาตบางศัพท ซึ่งใชประกอบกับคํากิริยา เพื่อใหมี เนื้อความแปลไปจากปกติ บางแหงทานเรียกวา คุณของกิริยา ก็ จัดเปน วิเสสนะ ไดเหมือนกัน และเรียกศัพทเหลานั้นวา กิริยาวิเสสน หรือ กิริยาวิเสสนะ ตัวอยางเชน
  • 87. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 85 เอว เวทหิ เจาจงวาอยางนี้ เอว แปลวา อยางนี้ เปนศัพท นิบาต ประกอบเขากับ กิริยา คือ วเทหิ ซึ่งแปลวา เจาจงวา. ปุนปฺปุน กโรถ พวกทานจงทําบอย ๆ ปุนปฺปุน แปลวา บอย ๆ เปนศัพทนิบาต ประกอบเขากับกิริยา คือ กโรถ ซึ่งแปล วา จงทํา. นิบาตที่เปนกิริยาวิเสสนะ จะตองอยูหนากิริยาเสมอไป. นามนาม กับ วิเสสนะ ตัวประธานของวิเสสนนั้น ไดแกศัพทที่เปน นามนาม และ ปุริสสัพพนาม ซึ่งไดกลาวมาแลวในตอนตน เวลาแปลตองออกชื่อ อายตนิบาตของวิภัตตินั้น ๆ ดวย สวนตัววิเสสนะ เวลาแปลไมตอง ออกชื่ออายตนิบาตของวิภัตติ เพราะไดออกชื่อที่บทนามนามแลว และ บทนามนามกับวิเสสนะนั้นเลา ก็มีลิงค วจนะ วิภัตติ ตรงกัน ดัง ตัวอยางตอไปนี้ :- สา อาวุโส เทวี ปริปกฺกคพฺภา อตฺตโน นิวาสนฏานภูต ๓ ๑ ๒ ๔ ๘ ๗ เทวทห คนฺตุกามา ฯลฯ แปลวา ดูกอนผูมีอายุ อันวาพระนางเทวี ๖ ๕ ๑ ๒ พระองคนั้น มีพระครรภแก ใครเพื่อจะเสด็จไป สูกรุงเทวทหะ ๓ ๔ ๕ ๖ เปนที่เคยประทับ ของพระองค ๗ ๘ ๑. อุภัยพากยปริวัฒน ภาค ๒ ขอ ๔๔๕.
  • 88. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 86 ทั้งคําไทยและคําบาลี หมายเลข ๗ เปนนาม ปฐมาวิภัตติ มี ออกชื่อ อายตนิบาต ปฐมาวิภัตติวา "อันวา" แตหมายเลข ๓-๔-๕ จัดเปนวิเสสนะของบทบาท หมายเลข ๖ นั้น ก็เปนนามนาม แตเปน ทุติยาวิภัตติ แปลออกชื่ออายตนิบาตวา "สู" แตคําหมายเลข ๗ ไมไดแปลออกชื่ออายตนิบาตเลย เพราะเปนคุณหรือวิเสสนะ ของ คําหมายเลข ๖ อยูแลว. ในวากยสัมพันธ คํานามนามที่ไมไดประกอบ ปฐมาวิภัตติ และมีบทวิเสสนะกํากับอยูดวย ทานเรียกชื่อสัมพันธ ตามหลักการสัมพันธ. วิเสสนสัพพนาม กับ คุณนาม ตางกัน วิเสสนสัพพนาม สําหรับใหเปนบทวิเสสนะของนามนาม เพื่อ ใหแปลกจากปกติ และทําใหนามนามนั้นเดนชัดขึ้นอีกดวย ทั้งแสดง ใหรูวากําหนดแนนอนหรือไม อยูใกลหรืออยูไกล แตจะใชเปนบท ประธานเหมือนอยางปุริสสัพพนามนั้นไมได มีวิธีแจกวิภัตติอยางหนึ่ง ตางหาก ไมเหมือนกับคุณนาม ซึ่งจะตองแจกตามแบบนามนาม เสมอ และถึงแมจะอยูในจําพวก สัพพนาม ดวยกันก็จริง แตหาได ใชแทนนามนามโดยตรงทีเดียวไม มีลักษณะทาทีคลาย ๆ กับคุณนาม ดังกลาวแลวขางตน. สวน คุณนาม นั้น เปนคําสําหรับใชบอกลักษณะดีหรือชั่วเปนตน
  • 89. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 87 ของนามนาม ใหปรากฏชัดเจนขึ้น เพื่อใหรูวา นามนามนั้นเปน อยางไร ตัวอยางเชน "บุรุษนั้นดี" คําวา บุรุษ เปนนามนาม เปน บทประธานในประโยคคําพูดนี้, คําวา "นั้น" เปนวิเสสนสัพพนาม เพราะเปนคําที่ใชประกอบบทนามนาม คือ บุรุษ ใหเห็นวาอยูไกลจาก ผูกลาวถึงไปหนอย และกําหนดแนนอนดวยวา เปนบุรุษคนนั้นไมใช คนอื่น หรือคนนี้ สวนคําวา "ดี" เปนคุณนามโดยตรง เพราะ แสดงลักษณะบุรุษ ซึ่งเปนนามนาม ใหรูวาเปนบุรุษที่ดี ไมไดเปน คนชั่ว หรือเปนอยางอื่น ตัวอยางนี้แสดงใหเห็นวา วิเสสนสัพพนาม กับ คุณนาม นั้นตางกันแลวอยางไร แตลักษณะบางอยางที่เหมือน กันก็มี เชน ตางก็ตองใชเปนบทประกอบ บอกลักษณะอาการของ นามนามดวยกัน และตางก็ตองมี ลิงค วจนะ วิภัตติ เปนอยาง เดียวกันกับ นามนาม ตัวนั้น. อนิยม กับ นิยม ทั้งสองคํานี้ ถูกแบงมาจาก วิเสสนสัพพนาม ซึ่งมีความหมาย ตางกัน และศัพทที่ใชก็ตางกัน ดังตอไปนี้ :- อนิยม ศัพทนี้แปลวา ไมกําหนด หรือไมแน สัพพนามที่ใชแทนนามนาม ที่ไมกําหนดแนนอนลงไปวาเปนสิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือคนนั้นคนนี้ เรียกวา อนิยม วิเสสนสัพพนาม ไดแกคําตอไปนี้ :-
  • 90. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 88 ย แปลวา ใด อฺ " อื่น อฺตร " คนใดคนหนึ่ง อฺตม " คนใดคนหนึ่ง ปร " อื่น อปร " อื่นอีก กตร " คนไหน กตม " คนไหน เอก " คนหนึ่ง, พวกหนึ่ง เอกจฺจ " บางคน, บางพวก สพฺพ " ทั้งปวง กึ " หรือ, อะไร อุภย " ทั้งสอง เปนคําใชแทน หรือ ประกอบ นามนาม โดยไมไดกําหนด แนนอนลงไปวา สิ่งนั้น สิ่งนี้ หรือ คนนั้น คนนี้ เปนตน เชน "โย ปุคฺคโล" แปลวา บุคคลใด คําวา "ใด" เปน อนิยม วิเสสนสัพพนาม ประกอบคําวา บุคคล ใหวิเศษขึ้น แตยังรูไมไดวา เปนบุคคลนั้น หรือบุคคลนี้ อยูในที่ใกลหรือไกล รูไดแตเพียงวาเปน นามนามอยางหนึ่ง ซึ่งยกขึ้นกลาววา บุคคล คือ จะเปนบุคคลใด ๆ ก็ตาม ยอมมีความมุงหมายถึงทั้งหมด ฉะนั้น คําวา "ใด" นี้ จึง
  • 91. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 89 หาความกําหนดแนนอนลงไปเดียวไมได สวนคําตอไปนอกจาก เอก กับ กึ มี อฺ เปนตน ก็มีนัยเดียวกัน. เอก ถาผูศึกษาตรวจดูในขอ ๗๓-๘๑ เลมนาม และ อัพยยศัพทให ตลอดถี่ถวน จะเห็นไดวา เอก ศัพทนี้เปนสังขยาก็ได เปนอนิยม- วิเสสนสัพพนาม ก็ได. เอก ที่เปนสังขยา เรียกวา สังขยา สําหรับใชเปนเครื่อง กําหนดนับนามนาม โดยมุงหมายก็เพื่อจะใหทราบจํานวนของนามนาม วามีเทาไร ฉะนั้น เอกสังขยา จึงตองเปน คุณนาม และเปนได เฉพาะแต เอกวจนะ อยางเดียว. เอก ที่เปนอนิยมวิเสสนสัพพนาม เรียกวา เอกสัพพนาม ไมไดมุงหมายที่จะนับ นามนาม เพื่อใหทราบจํานวน เปนแตเพียงใช ประกอบเขากับบทนามนาม เพื่อความสละสลวยแหงสํานวนโวหาร ที่จะกลาวขึ้นในเบื้องตนแหงเรื่องนั้น ๆ ดังจะเห็นไดในเรื่องพระสูตร ตาง ๆ มักจะขึ้นตนวา (เอวมฺเม สุต), เอก สมย ภควา สาวตฺถิย วิหารติ แปลวา (ขาพเจาไดฟงมาแลวอยางนี้) สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาค เสด็จประทับอยูในเมืองสาวัตถี ฯลฯ ดังนี้ คําวา เอก เปนวิเสสนะ (อนิยมวิเสสนสัพพนาม) ของ สมย แตไมได มุงหมายที่จะนับ สมัย วา หนึ่งสมัย หรือ สองสมัย ฉะนั้น
  • 92. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 90 จึงตองแปล เอก สมย วา สมัยหนึ่ง. ถา เอก ศัพทนี้ประกอบ เขากับคําวา คน หรือ พวก ก็แปลวา คนหนึ่ง หรือ พวกหนึ่ง ซึ่งผิดกันกับ เอก ที่เปนสังขยา โดยมาก จะตองแปลวา หนึ่งคน หรือ หนึ่งพวก เปนตน. เอกสัพพนาม นี้ เปนไดทั้งสองวจนะ เพราะมีความหมายตางกัน ดังกลาวแลว. กึ ศัพทนี้ สําหรับใชเปนคําถาม แมจะเปนอนิยมวิเสสนสัพพนาม ดวยกันก็จริง แตมีวิธีใชพิสดารหลายอยาง ซึ่งตางจากศัพทอื่นๆ ในประเภทเดียวกัน พึงสังเกตในหัวขอตอไปนี้ :- ๑. การแจกวิภัตติ กึ ศัพท ในปุลิงคทานใหแปลง กึ เปน ก แลวแจกตามแบบ ย ศัพท ดังนี้ :- ปุลิงค เอก. พหุ. ป. โก เก ทุ. ก เก ต. เกน เกหิ จ. กสฺส เกส เกสาน ปฺ. กสฺมา กมฺหา เกหิ ฉ. กสฺส เกส เกสาน ส. กสฺมึ กมฺหิ เกสุ
  • 93. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 91 อิตถีลิงค เอก. พหุ. ป. กา กา ทุ. ก กา ต. กาย กาหิ จ. กสฺสา กาส กาสาน ปฺ. กาย กาหิ ฉ. กสฺสา กาส กาสาน ส. กสฺส กาสุ ๒. ในนปุสกลิงค ใหคงรูป กึ ไวเฉพาะแตใน ป. ทุ. เอกวจนะ และในที่บางแหงเอา ก เปน กิ ไดบาง เชนในคําวา ต กิสฺส เหตุ และคําวา กิสฺมึ วตฺถุสฺมึ. นอกนั้นใหแปลงเปน ก แลวแจกตาม แบบ ย ศัพท ดังนี้ :- นปุสกลิงค เอก. พหุ. ป. กึ กานิ ทุ. กึ กานิ ต. เกน เกหิ จ. กสฺส (กิสฺส) เกส เกสาห ปฺ. กสฺมา กมฺหา เกหิ ฉ. กสฺส (กิสฺส) เกส เกสาน ส. กสฺมึ (กิสฺมึ) กมฺหิ เกสุ
  • 94. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 92 ๓. กึ ศัพทในปุ. อิต. นั้นแปลได ๒ อยาง คือ ถาประสงค ใหเปนวิเสสนสัพพนาม ก็แปลวา "ไร" หรือ "อะไร" ตองระบุชื่อ นามนาม เหมือน ต ศัพทที่เปนวิเสสนสัพพนาม เชน โก รุกฺโข ตนไม อะไร. กา รชฺชุ เชือก อะไร. ถาประสงคใหเปนประธาน ก็ แปลวา "ใคร" ไมตองระบุนามนาม คือใชตามลําพังตนเอง เหมือน ต ศัพทที่เปนปุริสสัพพนาม เชน โก ใคร และโดยมากที่แปลวาใคร นั้น มักใชที่เปนปุลิงค เอกวจนะเปนพื้น. ๔. ที่แจกไดในลิงคทั้งสามนั้น ถาเพิ่ม จิ เขาขางทาย ก็จะมีรูป เปน โกจิ กาจิ กิฺจิ เปนตน (ผูศึกษาควรฝกหัดแจกใหครบทั้ง ๗ วิภัตติ โดยตอ จิ เขาขางหลังวิภัตตินั้น ๆ ) แปลวา "นัยหนึ่ง" บาง, "บางคน" หรือ "บางสิ่ง" บาง, และเปนคําใหวาซ้ําสองหน เหมือนวิธีใชไมยมก (ๆ) ในภาษาไทยเชน "ใคร ๆ" หรือ "ไร ๆ" บาง, ถาเปนพหุวจนะ แปลวา "บางพวก" หรือ "บางเหลา, เหลา ไหน" หรือ "เหลาไร" ตัวอยาง เชน :- เอกวจนะ ปุ. โกจิ กุมาโร แปลวา เด็กชาย บางคน อิต. กาจิ กุมาริกา " เด็กหญิง บางคน นปุ. กิฺจิ ธน " ทรัพย บางอยาง พหุวจนะ. ปุ. เกจิ กุมารา " เด็กชายทั้งหลาย บางพวก อิต. กาจิ กุมาริกาโย " เด็กชายทั้งหลาย บางพวก นปุ. กานิจิ ธนานิ " ทรัพยทั้งหลาย บางอยาง
  • 95. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 93 ๕. กึ ศัพทที่มี ย นําหนา มี จิ ตอทาย ถาแจกวิภัตติในลิงค ทั้งสาม ก็จะสําเร็จรูปดังนี้ :- ปุลิงค เอก. พหุ. ป. โย โกจิ เย เกจิ ทุ. ยงฺกฺจิ เย เกจิ ต. เยน เกนจิ เยหิ เกหิจิ จ. ยสฺส กสฺสจิ เยส เกสฺจิ, เยสาน เกสานฺจิ ปฺ. ยสฺมา กสฺมาจิ เยหิ เกหิจิ ฉ. ยสฺส กสฺสจิ เยส เกสฺจิ, เยสาน เกสานฺจิ ส. ยสฺมึ กสฺมิฺจิ เยสุ เกสุจิ. อิตถีลิงค เอก. พหุ. ป. ยา กาจิ ยา กาจิ ทุ. ยงฺกฺจิ ยา กาจิ ต. ยาย กายจิ ยาหิ กาหิจิ จ. ยสฺสา กสฺสาจิ ยาส กาสฺจิ, ยาสาน กาสานฺจิ ปฺ. ยาย กายจิ ยาหิ กาหิจิ ฉ. ยสฺสา กสฺสาจิ ยาส กาสฺจิ, ยาสาน กาสานฺจิ ส. ยสฺส กสฺสฺจิ ยาสุ กาสุจิ.
  • 96. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 94 นปุสกลิงค เอก. พหุ. ป. ยงฺกิฺจิ ยานิ กานิจิ ทุ. ยงฺกิฺจิ ยานิ กานิจิ ต. เยน เกนจิ เยหิ เกหิจิ จ. ยสฺส กสฺสจิ เยส เกสฺจิ, เยสาน เกสานฺจิ ปฺ. ยสฺมา กสฺมาจิ เยส เกหิจิ ฉ. ยสฺส กสฺสจิ เยส เกสฺจิ, เยสาน เกสานฺจิ ส. ยสฺมึ กสฺมิฺจิ เยสุ เกสุจิ ที่มี  อยูหนา จิ นั้น เอานิคคหิตเปน  ดวยอํานาจ จ อยู ขางหลัง ตามวิธีสนธิขอ ๓๒ ในอักขรวิธี. สวนการแปลก็ตางจากที่กลาวมาแลว คือใน ปุ. กับ อิตฺ. เอกวจนะ ใหแปลวา "คนใดคนหนึ่ง, แหงใดแหงหนึ่ง, อยางใด- อยางหนึ่ง." พหุวจนะ ใหแปลวา "พวกใดพวกหนึ่ง, เหลาใดเหลา หนึ่ง " ใน นปุ. ใหแปลวา "อันใดอันหนึ่ง." จงสังเกตทําความเขาใจตามอุทาหรณในแบบนาม ขอ ๘๗. ๖. กึ ศัพทไมไดเปนอนิยมวิเสสนสัพพนามแตอยางเดียว เปน นิบาตบอกความถาม เรียกวา ปุจฺฉนตฺถนิบาต ก็มีเหมือนกัน แปลวา "หรือ" ถาเปนคําถามถึงเหตุ แปลวา "ทําไม" ก็ได ดังอุทาหรณในแบบนาม ขอ ๘๗.
  • 97. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 95 นิยม ศัพทนี้แปลวา "กําหนด" คือกลาวชี้ตัว นามนาม ใหปรากฏ โดยชัดเจนทีเดียว ไมกระจัดกระจายทั่วไปในนามอื่นที่กลาวมาแลว. สัพพนามพวกนี้ไดแก :- ต แปลวา "นั้น" สําหรับใชแทน นามนาม ที่หางออกไปพอ ประมาณ หรือกลาวใหปรากฏชัดวา คนนั้น หรือ สิ่งนั้น, ไมใช คนอื่น หรือ สิ่งอื่น. เอต แปลวา "นั่น" สําหรับใชแทน นามนาม ที่ใกลเขามาหนอย หรือเปนโวหารกลาวซ้ําใหปรากฏเปนครั้งที่สอง. อิม แปลวา "นี้" สําหรับใชแทน นามนาม ที่ใกลที่สุด หรือ กลาวใหแนชัดวาเปน คนนี้ หรือ สิ่งนี้, ไมใช คนนั้น คนอื่น หรือสิ่งนั้น สิ่งอื่น. อมุ แปลวา "โนน" สําหรับใชแทน นามนาม ที่หางที่สุด. เพื่อจะใหความเขาใจในตอนนี้ดีขึ้น ผูศึกษาจงเปดดูอุทาหรณ ในนาม ขอ ๘๓ ซ้ําอีกที แลวจงพยายามตรึกตรอง และกําหนด หมายเลขที่ทานลงกํากับไวที่ศัพท และคําแปลนั้น ๆ ใหดี ถึงแมวา ในอุทาหรณเหลานั้นจะมีแตที่ใชกับ ต ศัพทอยางเดียวก็จริง แตเชื่อวา อาจนํา เอต, อิม, อมุ เขาไปใชแทน และเทียบเคียงกับ ต นั้น ไดบาง ฉะนั้นในที่นี้จึงไมจําเปนตองเขียนอุทาหรณไวอีก.
  • 98. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 96 สัพพนามทั้งปวงเปลี่ยนรูปได ผูศึกษาพึงสังเกตในนาม ขอ ๙๓ ใหดี จะเห็นไดวา สัพพนาม ทั้งหมด ทั้งที่เปนอนิยมและนิยม เมื่อลงปจจัยในอัพยยตัทธิตแลว ก็กลายรูปไปเปนศัพท อัพยยตัทธิต อีกตอหนึ่ง (ในแบบบาลี ไวยากรณนาม ทานรวมเรียกวา อัพยยศัพท เพราะรวมอุปสัค เขาดวย) จะแจกดวยวิภัตติทั้ง ๗ ไมได ไมมีลิงค ไมมีวจนะ แต จําตองใชศัพทนั้น ๆ ในฐานะที่เปน ตติยาวิภัตติ และ สัตตมีวิภัตติ แมจะประกอบเขากับนามนาม ที่เปน ลิงคใด วจนะใด ก็ตาม สัพพนามที่แปรรูปไปเปน อัพยยตัทธิต แลวนั้น ก็ยังคงปรากฏเปน รูปเดิมอยู คือใชไดทั้ง ๓ ลิงค ๒ วจนะ สวนคําแปลก็ไมละทิ้งจาก รูปสัพพนามไปไดเลย เชน สพฺพตฺถ าเน กับ สพฺพตฺถ าเนสุ ก็ยังคงใช สพฺพตฺถ เหมือนกัน ดังจะไดเห็นคําอธิบายที่จะกลาวถึง อัพยยศัพท ตอไปขางหนา. อนึ่ง เมื่อเราทราบดีแลววา สัพพนาม นั้น สําหรับใชแทน นามนาม ประกอบเขากับนามนาม หรือโยคตัวนามนามที่กลาวมา แลว โดยที่จะตองประกอบ สัพพนาม กับ นามนาม ใหมี ลิงค วจนะ วิภัตติ ตรงกัน. แตวิธีแจกวิภัตตินามศัพททั้งสองนี้ไมเหมือน กัน ฉะนั้นผูศึกษาใหม ๆ ควรฝกหัดแจกเทียบ สัพพนาม กับ นามนาม ควบกันไปในคราวเดียว เพื่อปองกันความฟนเฝอ และเพื่อใหเกิด ความชํานาญในเมื่อถึงคราวฝกหัดการแปล. ในที่นี้จะแจกใน ปุลิงค
  • 99. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 97 ยกศัพท ย กับ ภิกฺขุ ขึ้นแจกเปรียบเทียบในวาระเดียวกัน พอ เปนตัวอยาง ดังตอไปนี้ :- วิภัตติ เอก. พหุ. สัพพนาม นามนาม สัพพนาม นามนาม ป. โย ภิกฺขุ เย ภิกฺขโว ทุ. ย ภิกฺขุ เย ภิกฺขโว ต. เยน ภิกฺขุนา เยหิ ภิกฺขูหิ จ. ยสฺส ภิกฺขุสฺส เยส ภิกฺขูน ปฺ. ยสฺมา ภิกฺขุสฺมา เยหิ ภิกฺขูหิ ฉ. ยสฺส ภิกฺขุสฺส เยส ภิกฺขูน ส. ยสฺมึ ภิกฺขุสฺมึ เยสุ ภิกฺขูสุ ตามรูปแจกเปรียบเทียบขางบนนี้ ผูศึกษาคงเห็นไดแลววา สัพพนาม กับ นามนาม ตองมี ลิงค วจนะ วิภัตติ ตรงกัน อยางไร นี่เปนแตเพียงระหวาง ย สัพพนาม กับ นามนาม ที่เปน อุ การันต คือ ภิกฺขุ ซึ่งอยูในฐานะที่เปน ปุลิงค ดวยกัน. สวน สัพพนามอื่น และนามที่เปนลิงคอื่น การันตอื่นนั้น ก็พึงฝกหัด แจกตามแบบเปรียบเทียบนี้ ตามลิงค และการันตนั้น ๆ เถิด.
  • 100. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 98 อัพยยศัพท๑ ศัพทนี้แปลวา "ไมฉิบหายไป" หรือ "ไมเสื่อมสิ้นไป" ทานบัญญัติใหเปนชื่อของศัพทอีกแผนกหนึ่ง ซึ่งจะแจกดวยวิภัตติ ทั้ง ๗ หมวด เหมือนนามทั้ง ๓ ตามที่กลาวมาแลวไมได รูปเดิม เปนมาอยางไร ก็คงไวอยางนั้นไมเปลี่ยนแปลง. ในนามทั้ง ๓ ตามที่ กลาวมาแลว จะมีอยูดวยกันกี่ศัพทก็ตาม ตามลําพึงมูลศัพท ยัง ไมอํานวยประโยชนใหเต็มที่ ตอเมื่อนํามาปรุงดวยลิงค วจนะ วิภัตติ ทั้ง ๓ อยางแลว จึงเปลี่ยนแปลงไปดวยวิธีอยางใดอยางหนึ่งกอน มูลศัพทนั้นจึงจะอํานวยประโยชนใหเต็มที่ตามตองการ ฉะนั้น ลิงค วจนะ วิภัตติ เครื่องปรุงทั้ง ๓ นี้ จึงจําเปนที่สุดสําหรับมูลศัพทใน นามทั้ง ๓. สวนศัพทที่จะกลาวตอไปนี้ ไมเปนเชนนั้น มูลศัพทเปนมา อยางไร เพราะฉะนั้น ทานจึงใหนามบัญญัติวา "อัพยยศัพท" เพราะ เปนศัพทที่ไมฉิบหายหรือไมเสื่อมสิ้นไปดวยอํานาจวิภัตติ ดังนี้. อัพยยศัพทแบงเปน ๓ คือ ๑. อุปสัค ๒. นิบาต ๓. ปจจัย ทั้ง ๓ คํานี้มีหลักเกณฑใชในที่ตาง ๆ กัน ดังตอไปนี้ ๑. อัพยยศัพท พระมหาพรหมา าณคุตฺโต ป. ๖ วัดราชาธิวาส เรียบเรียง อัพยย ออกจากศัพท อ วิ อิ (อ=ไม วิ=ตาง ๆ อิ=ถึง) "ถึงความเปนตาง ๆ เหมือนอยางนามทั้ง ๓ ไมได."
  • 101. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 99 ๑. อุปสัค อุปสัคนําหนานามและกิริยาใหวิเศษขึ้น เมื่อนําหนา นามมีอาการคลายคุณศัพท เมื่อทําหนากิริยามีอาการคลายกับกิริยา- วิเสสน. คําวานําหนานามและกิริยานั้น พึงเขาใจวา นามไดแก นามนามและคุณนาม สวนกิริยาหมายเอากิริยาอาขยาตและกิริยา- กิตก สําหรับสัพพนามใชนําหนาไมไดเลย. เมื่อนําหนานามมีอาการ คลายกับคุณศัพทนั้น อธิบายวา อุปสัคโดยมากเมื่อนําหนานามแลว บอกลักษณะของนามนามตัวนั้นใหวิเศษขึ้น มีอาการคลายกับคุณศัพท ทีเดียว เชน "ราช" แปลวา พระราชา เมื่อเอา อภิ มานําหนา เขา เปน "อภิราช" แปลวา พระราชยิ่ง คือแสดงลักษณะอาการ ของนามคือพระราชานั้นวา พระองคทรงเปนผูยิ่งใหญกวาพระราชา องคอื่น ๆ ดังนี้เปนตน คําวา "ยิ่ง" นั้น มีอาการคลายคุณนาม จะตางกันก็แตรูปศัพทเทานั้น. สวนที่นําหนากิริยา มีอาการคลาย กิริยาวิเสสน เชน กมติ=ยอมกาว เมื่อเอา อติ=ลวง มานําหนา เปน อติกฺมติ แปลวายอมกาวลวง คําวา อติ=ลวง แสดงกิริยาคือ กมติ=กาว ใหแปลกออกไปจากเดิม, คโต=ไปแลว เมื่อเอา อป= ปราศ มานําหนาเปน อปคโต=ไปปราศแลว คําวา อป=ปราศ เปน คําแสดงกิริยาคือ คโต=ไป ใหแปลจากเดิม ดังนี้เปนตน. อุปสัค ที่ใชนําหนากิริยาดังแสดงมานี้ เปนอุปสัตที่อนุวัตรตามกิริยา แตมี อุปสัตบางตัว เมื่อนําหนากิริยาแลว ทํากิริยานั้นใหมีเนื้อความผิดแผก ไปจากเดิม ในที่นี้พึงกําหนดอุปสัคและคําแปลใหไดแมนยําเสียกอน
  • 102. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 100 อุปสัคมี ๒๐ คือ อติ ยิ่ง, เกิน, ลวง อธิ ยิ่ง, ใหญ, ทับ อนุ นอย, ภายหลัง, ตาม อป ปราศ, หลีก อป ใกล, บน อภิ ยิ่ง,ใหญ, จําเพาะ, ขางหนา อว หรือ โอ ลง อา ทั่ว, ยิ่ง, กลับความ อุ ขึ้น, นอก อุป เขาไป, ใกล, มั่น ทุ ชั่ว, ยาก นิ เขา, ลง (สันสกฤต เปน นิ) นิ ไมมี, ออก (สันสกฤต เปน นิสฺ) ป ทั่ว, ขางหนา, กอน, ออก ปฏิ เฉพาะ, ตอบ, ทวน, กลับ ปรา กลับความ ปริ รอบ วิ วิเศษ, แจง, ตาง ส พรอม, กับ, ดี สุ ดี, งาม, งาย
  • 103. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 101 อุทาหรณการใชอุปสัค ในอุปสัคทั้ง ๒๐ นั้น คําแปลทุก ๆ ตัวยังไมสิ้นเชิงทีเดียว บาง ตัวอาจแปลพลิกแพลงไดมากกวานี้ก็มี ถาจะนํามากลาวในที่นี้จักเปน การฟนเฝอแกผูแรกศึกษา เมื่อศึกษาไปนาน ๆ จนเขาใจแลว ก็จะ แปลไดหลาย ๆ ทางตามภาษานิยม เพราะฉะนั้น ขอใหผูแรกศึกษา กําหนดจดจําไวใหแมนยํา เฉพาะคําแปลที่ทานแปลไวนี้ ก็จะถือเอา หลักไดดี ทั้งจะไดรับประโยชนในการใชอุปสัคนี้ตามความตองการ ดังอุทาหรณในเลมนาม ขอ ๙๑. นิ มีอยู ๒ ศัพท ที่แปลวา เขา, ลง, ศัพท ๑ ที่แปลวา ไมมี, ออก, ศัพท ๑ มีความหมายตางกันดังนี้ :- นิ ที่แปลวา เขา, ลง, ตรงกับ นิ ในสันสกฤต เวลาใชนําหนา นามและกิริยา คง นิ ไวเฉย ๆ ไมตองซอนหรือลง ร อาคม เชน นิมุคฺโค ดํารงแลว นิคจฺฉติ เขาถึง นิกุชฺฌติ งอเขา นิขนติ ขุดลง นิทหติ ตั้งลง (ฝง) นิวาโส ความเขาอยู. นิ ที่แปลวา ไมมี, ออก, ตรงกับ นิสฺ ในสันสกฤต เวลาใชมัก ซอนหรือลง ร อาคม ตามอักขรวิธี เชน นิรนฺตราโย ไมมีอันตราย นิพฺภโย ไมมีภัย นิกฺขนฺโต ออกแลว นิกฺกฑฺฒติ ยอมคราออก และ นิ ที่แปลวา ไมมี, ออก นี้ ถาอยูหนา ร หรือ ห จะซอน หรือลง ร อาคมไมได ในที่เชนนั้นตองทีฆะ เชน นิ+หรณ=นีหรณ การนําออก นิรโส=นีรโส ไมมีรส นิ+นีโรโค ไมมีโรค
  • 104. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 102 สวนคําวา นีวรณ ซึ่งแปลวา ธรรมชาติอันกั้น (จิตไมใหบรรลุความ ดี) นั้น แมจะแยกเปน นิ+วรณ (สสกฤต เปน นิสฺ+วฺฤ ธาตุใน ความปดความกั้น) นิ ตัวนั้นคงแปลรวมกับธาตุวาปดหรือกั้นเทานั้น. อุปสัคเบียนธาตุ บรรดาอุปสัคตามที่วามานี้ บางตัวหาไดแปลตามที่ยกมาเปน ตัวอยางไม บางตัวเมื่อนําหนาศัพทอื่น จะเปนศัพทนามหรือกิริยา ก็ตาม ทําใหเนื้อความผิดรูปไปตาง ๆ ความเดิม ทั้งนี้เปนเพราะ อุปสัคเขาไปตัดความเสีย อาการเชนนี้ทานเรียกวา "อุปสัคเบียนธาตุ" เชน ขมติ อดทน เอา นิ นําหนา เปน นิกฺขมติ แปลวา ออก สวรติ ปด " วิ " " วิวรติ " เปด โรเธติ ยินดี " วิ " " วิโรเธติ " ยินราย กมติ กาวไป " ปฏิ " " ปฏิกฺกมติ " ถอยกลับ ดังนี้เปนตน. เพราะฉะนั้น ผูศึกษาเมื่อเห็นศัพทที่มีอุปสัคเหลานั้น นําหนาอยู ควรพิจารณารูปศัพทใหดีเสียกอนแลวแปลศัพทนั้น จึง จะไดเนื้อความตามตองการ ทั้งนี้ เปนเพราะความพลิกแพลงของ อุปสัค บอกอรรถไปตาง ๆ ตามภาษานิยม เปนของไมแนนอน อาจ แปลไดหลาย ๆ ทาง ถึงจะพลิกแพลงไปอยางไร ๆ ก็ตาม ขอให ผูแรกศึกษาจงยึดหลักตามที่ไดแปลไวในแบบใหแมนยํา ก็จะเปนการ สะดวกในการแปลหนังสือไดดี.
  • 105. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 103 ขอควรจําในอุปสัค ๑. สําหรับนําหนานามและกิริยาใหวิเศษขึ้น. ๒. เมื่อนําหนานามมีอาการคลายคุณศัพท เมื่อนําหนากิริยา มีอาการคลายกับกิริยาวิเสสน. ๓. นามนั้นทานหมายเอาเฉพาะนามนาม ๑ คุณนาม ๑ สวน สัพพนามนําหนาไมไดเลย. ๒. นิบาต เมื่อเพงตามความของศัพทวา นิบาต แปลวา "ตกลง" คือ ตกลงหรือสําหรับวางไวในระหวางกลางของศัพททั้งหลาย ดังกลาว มาแลวนั้น ที่วางไวเชนนั้น ความประสงคก็ตองการจะทําบทให เต็ม และทําเนื้อความใหกระทัดรัดและหนักแนนเขา ความจริง ศัพท นิบาตทั้งหมดนี้หาไดจํากัดลงในระหวางทุกศัพทไปไม บางศัพทลงใน เบื้องตนแหงประโยคเชน ยถา ตถา บางศัพทลงในที่สุดประโยคเชน อิติ และบางศัพท เชน ป อป ว อิว เหลานี้เปนตน หาไดอยู โดดเดี่ยวตามลําพังไม ตองลงขางทายของศัพทอื่นเสมอไป เชน "อานนฺทตฺเถโรป แมพระอานนท" หรือ "จกฺกว เพียงดังวาลอ." ศัพทนิบาตตามที่กลาวมานี้ เมื่อนําไปใชแลว ยอมบอกเนื้อ ความตาง ๆ กัน เพื่อความไมฟนเฝอและสะดวกในการนํามาใช ทาน จึงไดแบงไวเปนพวก ๆ แตโดยยอ ซึ่งทานไดยกมาแสดงตามที่ปรากฏ ในแบบดังตอไปนี้ :-
  • 106. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 104 นิบาตบอกอาลปนะ ยคฺเฆ ภนฺเต ภทนฺเต ภเณ อมฺโภ อาวุโส เร อเร เห เช ทั้ง ๑๐ ศัพท รวมเรียกวา "นิบาตบอกอาลปนะ" ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ผูแรกศึกษาพึงกําหนดดวยวา มีหนาที่ใชเปนคําทักทาย และรองเรียก เหมือนกับวิภัตติแผนกอาลปนะในนามตามที่กลาวแลว แตนิบาตบอกอาลปนะนี้ ศัพทหนึ่ง ๆ นิยมใชเฉพาะบุคคลเปนพวก ๆ หาไดสาธารณะทั่วไปแกบุคคลอื่นไม จํากัดใหใชเฉพาะบุคคลตาม ฐานะสูงและต่ํา ดังอุทราหรณในแบบบาลีไวยากรณ อันทานแสดงไว อยางชัดเจนแลว. นิบาตบอกกาล อถ แปลวา ครั้งนั้น หิยฺโย แปลวา วันวาน ปาโต " เชา เสวฺ " วันพรุงนี้ ทิวา " วัน สมฺปติ " บัดเดี๋ยวนี้ สาย " เย็น อายตึ " ตอไป สุเว " ในวัน ทั้ง ๙ ศัพทนี้ ทางสัมพันธเรียกวากาลสัตตมี. นิบาตบอกที่ อุทฺธ แปลวา เบื้องบน พหิทฺธา แปลวา ภายนอก อุปริ " " พาหิรา " " อโธ " " โอริ " "
  • 107. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 105 เหฏา แปลวา ภายใต ปาร แปลวา ฝงนอก อนฺตรา " ระหวาง หุร " โลกอื่น อนฺโต " ภายใน สมฺมุขา " ตอหนา ติโร " ภายนอก ปรมฺมุขา " ลับหลัง พหิ " " รโห " ที่ลับ ทั้ง ๑๖ ศัพทนี้ ทางสัมพันธรวมเรียกอยางเดียวกันกับอรรถแหง สัตตมีวิภัตติวา "อาธาร" นิบาตบอกปริจเฉท กีว แปลวา เพียงไร ยาวตา แปลวา มีประมาณเพียงใด ยาว " เพียงใด ตาวตา " มีประมาณเพียงนั้น ตาว " เพียงนั้น กิตฺตาวตา " มีประมาณเทาใด ยาวเทว " เพียงใดนั่นเทียว เอตฺตาวตา " มีประมาณเทานั้น ตาวเทว " เพียงนั้นนั่นเทียว สมนฺตา " รอบคอบ ทั้ง ๑๐ ศัพทนี้ ทางสัมพันธ มักใชเปนปริจเฉทนัตถะเปนพื้น ที่เรียก "กิริยาวิเสสนะ"ก็มี นิบาตบออุปมาอุปไมย วิย แปลวา ราวกะ เสยฺยถา แปลวา ฉันใด อิว " เพียงดัง ตถา " ฉันใด ยถา " ฉันใด เอว " ฉันนั้น ทั้ง ๖ ศัพทนั้น สําหรับ ตถา และ เอว ทางสันพันธ เรียก วา "อุปไมยโชดก" นอกนั้นเรียก "อุปมาโชดก."
  • 108. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 106 นิบาตบอกประการ เอว แปลวา ดวยประการนั้น ตถา " ดวยประการนั้น กถ " ดวยประการไร ทั้ง ๓ ศัพทนี้ ทางสัมพันธ เรียกวา "ปการตฺถ." นิบาตบอกปฏิเสธ น แปลวา ไม เอว แปลวา นั่นเทียว โน " ไม วินา " เวน มา " อยา อล " พอ ว " เทียว ทั้ง ๗ ศัพทนี้ ทางสัมพันธ เรียกวา "ปฏิเสธนตฺถ" นิบาตบอกความไดยินเลาลือ กิร แปลวา ไดยินวา ขลุ " " สุท " " ทั้ง ๓ ศัพทนี้ ทางสัมพันธ เรียกวา "อนุสฺสวนตฺถ." นิบาตบอกปริกัป เจ แปลวา หากวา อถ แปลวา ถาวา ยทิ " ผิวา อปฺเปวนาม " ชื่อแมไฉน สเจ " ถาวา ยนฺนูน " กระไรหนอ ทั้ง ๖ ศัพทนี้ ทางสัมพันธ เรียกวา "ปริกปฺปตถ."
  • 109. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 107 นิบาตบอกความถาม กึ แปลวา หรือ, อะไร นนุ แปลวา มิใช หรือ กถ " อยางไร อุทาหุ " หรือวา กจฺจิ " แลหรือ อาทู " " นุ " หนอ เสยฺยถีท " อยางไรนี้ ทั้ง ๘ ศัพทนี้ ทางสัมพันธ เรียกวา "ปุจฉนตฺถ." นิบาตบอกความรับ อาม แปลวา เออ อามนฺตา แปลวา เออ ทั้ง ๒ ศัพทนี้ ทางสัมพันธเรียกวา "สมฺปฏิจฺฉนตฺถ." นิบาตบอกความเตือน อิงฺฆ แปลวา เชิญเถิด หนฺท แปลวา เอาเถิด ตคฺฆ " เอาเถิด ทั้ง ๓ ศัพทนี้ ทางสัมพันธเรียกวา "อุยฺโยชนตฺถ." นิบาตสําหรับผูกศัพทและประโยคมีอรรถหลายอยาง จ แปลวา ดวย, อนึ่ง, ก็, จริงอยู ปน แปลวา สวนวา, ก็ วา " หรือ, บาง อป " แม, บาง หิ " ก็, จริงอยู, เพราะวา อปจ " เออก็ ตุ " สวนวา, ก็ อถวา " อีกอยางหนึ่ง นิบาตพวกนี้แปลพลิกแพลงไปหลายอยาง จะกําหนดใหแนนอน ไมได แลวแตประโยคที่ผูกขึ้นจะเปนเหตุหรือผล หรือตองการ
  • 110. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 108 บงเนื้อความตาง ๆ จะกลาวไวในที่นี้จักเปนการฟนเฝอนัก ผู ตองการทราบใหละเอียด พึงตรวจดูในเลมวากยสัมพันธ ก็จักเขาใจ ไดดี. นิบาตสักวาเปนเครื่องทําบทใหเต็ม นุ แปลวา หนอ โข แปลวา แล สุ " สิ วต " หนอ เว " เวย หเว " เวย โว " โวย ทั้ง ๗ ศัพทนี้ ทางสัมพันธ เรียกวา "ปทปูรณ" บาง "วจนาลงการ" บาง " วจนสิลิฏก" บาง. นิบาตมีเนื้อความตาง ๆ อฺทตฺถุ แปลวา โดยแท อิติ แปลวา เพราะเหตุนั้น, อโถ " อนึ่ง วาดังนี้, ดวย- อทฺธา " แนแท ประการฉะนี้, ชื่อ อวสฺส " " อุจฺจ " สูง อโห " โอ กิฺจาป " แมนอยหนึ่ง อารา " ไกล กฺวจิ " บาง อาวี " แจง มิจฺฉา " ผิด นีจ " ต่ํา มุธา " เปลา นูน " แน มุสา " เท็จ
  • 111. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 109 นานา แปลวา ตาง ๆ สกึ แปลวา คราวเดียว ปจฺฉา " ภายหลัง สตกฺขตฺต " รอยคราว ปฏาย " ตั้งกอน สทฺธึ " พรอม, กับ ปภูติ " จําเดิม สณิก " คอย ๆ ปุน " อีก สย " เอง ปุนปฺปุน " บอย ๆ สห " กับ ภิยฺโย " ยิ่ง สาม " เอง ภิยฺโยโส " โดยยิ่ง ทั้งหมดนี้ สําหรับ อโถ อนึ่ง, ทางสัมพันธ เรียกวา "สมฺปณฺฑนตฺถ." อโห โอ ถาใชแสดงความหลากใจหรืออัศจรรย ทางสัมพันธ เรียกวา "อจฺฉริยตฺถ." ใชแสดงความสังเวช เรียก วา "สเวคตฺถ." นีจ ต่ํา และ อุจฺจ สูง ทางสัมพันธ เรียกวา "วิเสสน" เพราะบางแหงใชเปนคุณนาม แจกตามวิภัตตินามได เชน นีจ กุล สกุลต่ํา อุจฺโจ รุกฺโข ตนไมสูง เปนตน. ปจฺฉา ภายหลัง ทางสัมพันธ เรียกวา "กาลสัตตมี." ปุนปฺปุน บอย ๆ ทางสัมพันธ เรียกวา "กิริยาวิเสสน." อิติ แปลวา เพราะเหตุนั้น ทางสัมพันธ เรียกวา "เหตฺวตฺถ." แปลวา "วา.... ดังนี้" เรียกวา สรูปบาง อาการบาง; แปลวา ดวยประการฉะนี้ เรียกวา "ปการตฺถ" แปลวา "ชื่อวา" เรียกวา "สัญญาโชดก." สวน สห กับ สทฺธึ ถาเขากับนาม ทางสัมพันธ เรียกวา
  • 112. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 110 "ทพฺพสมาวาย.' เขากับกิริยา เรียกวา "กิริยาสมวาย." นอกจาก นี้เรียกวา "กิริยาวิเสสน." ทั้งสิ้น. ๓. ปจจัย ปจจัยในแผนกอัพยยศัพทนี้ มีหนาที่ลงทายนามศัพทบาง ลง ทายธาตุบาง, ลงทายนามศัพทใชเปนเครื่องหมายวิภัตติ ลงทายธาตุ ใชเปนเครื่องหมายกิริยา. ปจจัยแผนกนี้ ตางจากอุปสัคและนิบาตซึ่ง กลาวมาแลวขางตน ก็คําวา "ปจจัยนั้นลงทายนามศัพท" ก็นาม- ศัพทหมายเอานามนาม ๑ สัพพนาม ๑ สวนคุณนามจะใชปจจัยแผนกนี้ ลงทายไมไดเลย, ปจจัยในอัพยยศัพทซึ่งจะแสดงตอไปนี้ จํากัดให ลงทายของนามนามและสัพพนามเทานั้น, พึงกําหนดปจจัยในแผนก อัพยยศัพทนี้ใหแมนยํา วามีหนาที่ตอทายนามชนิดไหน ใชแทน วิภัตติอะไรไดบาง และบอกอายตบิบาตวาอยางไร ดังจะไดบรรยาย ตอไปโดยลําดับ. ปจจัยในนามแท ๆ มี ๒๒ ตัว โต, ตฺร, ตฺถ, ห, ธ, ธิ, หึ, ห, หิฺจน, ว, ทา, ทานิ, รหิ, ธุนา, ทาจน, ชฺช, ชฺชุ, เตฺว, ตุ, ตูน, ตฺวา, ตฺวาน. เมื่อแบงเปนพวก มี ๔ พวก คือ ๑. โต ปจจัย สําหรับใชตอทายนามทั้ง ๒ คือ นามนาม ๑ สัพพนาม ๑ เมื่อตอทายนามทั้ง ๒ เขาแลว ใชเปนเครื่องหมายของวิภัตติไว ๒
  • 113. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 111 คือ ตติยาวิภัตติ ๑ ปญจมีวิภัตติ ๑. ตติยา ใหแปลอายตนิบาตวา "ขาง" ปญมี ใหแปลอายตนิบาตวา "แต." ดังอุทาหรณ ตอไปนี้ :- ศัพทเดิม ปจจัย รูปสําเร็จ แปลวา สพฺพ โต สพฺพโต แต-ทั้งปวง อฺ " อฺโต แต-อื่น อฺตร " อฺตรโต แต-อันใดอันหนึ่ง อิตร " อิตรโต แต-นอกนี้ เอก " เอกโต ขางเดียว อุภ " อุภโต สองขาง ปร " ปรโต ขางอื่น ต " ตโต แต-นั้น เอต " เอโต แต-นั้น อิม " อิโต แต-นี้ อปร " อปรโต ขางอื่นอีก ปุร " ปุรโต ขางหนา ปจฺฉ " ปจฺฉโต ขางหลัง ทกฺขิณ " ทกฺขิณโต ขางขวา วาม " วามโต ขางซาย
  • 114. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 112 ศัพทเดิม ปจจัย รูปสําเร็จ แปลวา ย โต ยโต แต-ใด อมุ " อมุโต แต-โนน กตร " กตรโต แต-อะไร กึ " กุโต แต-ไหน๑ ๒. ปจจัย ๙ คือ ตฺร, ตฺถ, ห, ธ, ธิ, หึ, ห, หิฺจน, ว ใชสําหรับตอทายเฉพาะสัพพนามอยางเดียว เมื่อตอเขาแลวใชเปน เครื่องหมายสัตตมีวิภัตติ แปลออกสําเนียงอายตนิบาตของสัตตมี- วิภัตติ ดังอุทาหรณตอไปนี้ :- ศัพทเดิม ปจจัย รูปสําเร็จ แปลวา สพฺพ ตรฺ สพฺพตฺร ใน-ทั้งปวง สพฺพ ตฺถ สพฺพตฺถ ใน-ทั้งปวง สพฺพ ธิ สพฺพธิ ใน-ทั้งปวง อฺ ตฺร อฺตฺร ใน-อื่น อฺ ตฺถ อฺตฺถ ใน-อื่น ย ตฺถ ยตฺถ ใน-ใด ย หึ ยหึ ใน-ใด ย ห ยห ใน-ใด ต ตฺร ตตฺร ใน-นั้น
  • 115. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 113 ศัพทเดิม ปจจัย รูปสําเร็จ แปลวา ต ตฺถ ตตฺถ ใน-นั้น ต หึ ตหึ ใน-นั้น ต ห ตห ใน-นั้น เอต ตฺร อตฺร ใน-นั่น เอต ตฺถ อตฺถ ใน-นั่น เอก ตฺร เอกตฺร ใน-เดียว เอก ตฺถ เอกตฺถ ใน-เดียว อุภย ตฺร อุภยตฺร ใน-สอง อุภย ตฺถ อุภยตฺถ ใน-สอง ย ตฺร ยตฺร ใน-ใด เอต ตฺถ เอตฺถ ใน-นั่น ิอิม ธ อิธ ใน-นี้ อิม ห อิห ในนี้ กึ ตฺร กุตฺร๑ ใน-ไหน กึ ตฺถ กตฺถ ใน-ไหน กึ หึ กุหึ ใน-ไหน กึ ห กุห ใน-ไหน กึ หิฺจน กุหิฺน ใน-ไหน กึ ว กฺว ใน-ไหน ๑. แปลง กึ เปน กุ เพราะ ตฺร หึ ห หิฺจน ปจจัย. มูลกัจจยานะ หนา ๕๓.
  • 116. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 114 ๓. ปจจัยทั้ง ๗ คือ ทา, ทานิ, รหิ, ธุนา, ทาจน, ชฺช, ชฺชุ พวกนี้สําหรับลงตอทายสัพพนามอยางเดียว เมื่อตอทายเขาแลว ใช เปนเครื่องหมายสัตตมีวิภัตติ ปจจัยพวกนี้ ทานกําหนดใหลงในกาลคือ ใหใชเปนเครื่องหมายบอกเวลาอยางเดียว ศัพทที่ประกอบ ดวยปจจัย ๗ ตัวนี้ ทางสัมพันธเรียกวา [กาลสัตตมี] ทั้งนั้น ดัง อุทาหรณตอไปนี้ :- ศัพทเดิม ปจจัย รูปสําเร็จ แปลวา สพฺพ ทา สพฺพทา ในกาลทั้งปวง สพฺพ ทา สทา ในกาลทั้งปวง, ทุกเมื่อ เอก ทา เอกทา ในกาลหนึ่ง, บางที ย ทา ยทา ในกาลใด, เมื่อใด ต ทา ตทา ในกาลนั้น, เมื่อนั้น กึ ทา กทา ในกาลไร, เมื่อไร กึ ทา กทาจิ ในกาลไหน ๆ , บางคราว อิม ทานิ อิทานิ ในกาลนี้ อิม รหิ เอตรหิ๑ ในกาลนี้, เดี๋ยวนี้ กึ รหิ กรหจิ ในกาลไหนๆ, บางคราว อิม ธุนา อธุนา ในกาลนี้, เมื่อกี้ กึ ทาจน กุทาจน ในกาลไหน
  • 117. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 115 ศัพทเดิม ปจจัย รูปสําเร็จ แปลวา อิม ชฺช อชฺช ในวันนี้ สมาน ชฺชุ สชฺชุ ในวันมีอยู, วันนี้* ปร ชฺชุ ปรชฺชุ ในวันอื่น อปร ชฺชุ อปรชฺชุ ในวันอื่นอีก เฉพาะที่ลงทาย กึ ศัพท ใช จิ ตอทายไดบาง. ปจจัยในกิตก ๕ ตัว คือ เตฺว, ตุ, ตูน, ตฺวา, ตฺวาน. ทั้ง ๕ นี้สําหรับใชลงทายธาตุ เมื่อลงแลวใชเปนเครื่องหมายกิริยา ปจจัยแผนกนี้เรียกวา "อัพพยะ" เพราะแจกดวยวิภัตติไมได ผู ศึกษาตองการทราบความพิสดาร พึงคนดูในแผนกกิตกนั้นเถิด. ปจจัยทั้ง ๕ ตัวนี้ จัดเปนพวกอัพยยะดังกลาวมาแลว บางที เมื่อพบคําแปลของศัพทวา "กาเตฺว และ กาตุ" อาจเขาใจผิด เพราะแปลออกสําเนียงอายตนิบาตไดคลายวิภัตติ อีกอยางหนึ่ง เพื่อความสะดวกในการใชศัพทแผนกนี้ ทานจึงบัญญัติใหใชกาตุ แทนวิภัตติปฐมาและจตุตถีได ปฐมาวิภัตติใหแปลอายตนิบาตวา "อันวา" ทางสัมพันธวา "ตฺมตฺถกตฺตา" จตุตถีวิภัตติวา "เพื่อ" ทางสัมพันธเรียกวา "ตุมตฺถสมฺปทาน" ดังนี้ ถึงปจจัย เหลานี้จะแปลออกสําเนียงอายตบาตไดก็จริงอยู ถึงดังนั้นรูปเดิม * มูลกัจจายนะ หนา ๑๔๒-๔๓.
  • 118. ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 116 เปนมาอยางไร ก็คงไวอยางนั้น หาไดเปลี่ยนแปลงใหผิดไปจากรูป เดิมไม เพียงเทานี้ก็เปนอันจัดเขาในจําพวกอัพยยะโดยตรง เพราะ ตรงกับศัพทเดิมวา "ไมฉิบหาย" หรือ "ไมเสื่อมสิ้นไป " จึงจัด เปนจําพวกอัพยยศัพทโดยแท.