Upload
Download free for 30 days
Login
Submit Search
บาลี 08 80
0 likes
258 views
Rose Banioki
1 of 118
Download now
Download to read offline
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
51
52
53
54
55
56
57
58
59
60
61
62
63
64
65
66
67
68
69
70
71
72
73
74
75
76
77
78
79
80
81
82
83
84
85
86
87
88
89
90
91
92
93
94
95
96
97
98
99
100
101
102
103
104
105
106
107
108
109
110
111
112
113
114
115
116
117
118
More Related Content
PDF
1 08+อธิบายบาลีไวยากรณ์+นามและอัพพยศัพท์
Tongsamut vorasan
PDF
2 22++พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๔
Tongsamut vorasan
PDF
5 45+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๔
Tongsamut vorasan
PDF
1 01+บาลีไวยกรณ์+สมัญญาภิธานและสนธิ
Tongsamut vorasan
PPT
คำในภาษาไทย (1)
perunruk
DOCX
ชนิดของคำ
Anupong Juntakong
PDF
รวบรวมลักษณนามหมวด ก แก้ใหม่2
Sitthisak Thapsri
PPT
คำในภาษาไทย
Siraporn Boonyarit
1 08+อธิบายบาลีไวยากรณ์+นามและอัพพยศัพท์
Tongsamut vorasan
2 22++พระธัมมปทัฏฐกถาแปล+ภาค+๔
Tongsamut vorasan
5 45+มังคลัตถทีปนีแปล+เล่ม+๔
Tongsamut vorasan
1 01+บาลีไวยกรณ์+สมัญญาภิธานและสนธิ
Tongsamut vorasan
คำในภาษาไทย (1)
perunruk
ชนิดของคำ
Anupong Juntakong
รวบรวมลักษณนามหมวด ก แก้ใหม่2
Sitthisak Thapsri
คำในภาษาไทย
Siraporn Boonyarit
What's hot
(11)
PDF
ใบงานเสียงในภาษาไทย
ssuser456899
PPTX
ชนิดของคำ
chatchaisukhum1
PDF
คำบาลี สันสกฤตในภาษาไทย
พัน พัน
PPT
ระดับภาษา 2
ณรงค์ศักดิ์ กาหลง
PDF
ใบความรู้การสร้างคำในภาษาไทย
ห้องเรียน ภาษาไทยออนไลน์
PPSX
สรรพนาม
Pornkanok Pkn
PDF
บาลี 41 80
Rose Banioki
PDF
แบบเรียนชนิดของคำ
Ladawan Munchit
DOC
นิราศพระบาท1 52
panneem
PDF
บาลี 42 80
Rose Banioki
PDF
kumprasom
srirat kalaya na sotorn
ใบงานเสียงในภาษาไทย
ssuser456899
ชนิดของคำ
chatchaisukhum1
คำบาลี สันสกฤตในภาษาไทย
พัน พัน
ระดับภาษา 2
ณรงค์ศักดิ์ กาหลง
ใบความรู้การสร้างคำในภาษาไทย
ห้องเรียน ภาษาไทยออนไลน์
สรรพนาม
Pornkanok Pkn
บาลี 41 80
Rose Banioki
แบบเรียนชนิดของคำ
Ladawan Munchit
นิราศพระบาท1 52
panneem
บาลี 42 80
Rose Banioki
kumprasom
srirat kalaya na sotorn
Ad
Viewers also liked
(20)
PDF
บาลี 12 80
Rose Banioki
PDF
บาลี 22 80
Rose Banioki
PPTX
Persentacion animada powerpoint
valenronchi
PDF
บาลี 17 80
Rose Banioki
PDF
บาลี 16 80
Rose Banioki
PPTX
Iberian linx
domfxpifo
PPTX
Our birthdays
senguldeniz
PDF
Untitled Presentation
Linda Parker
PDF
บาลี 03 80
Rose Banioki
PDF
บาลี 18 80
Rose Banioki
PDF
บาลี 11 80
Rose Banioki
PDF
บาลี 23 80
Rose Banioki
PPT
P 1b-sintaxis-sintagmas
cmlobo
DOCX
Massage supreme spa
Magdalinespanj
PDF
Graduation Certificate
Ahmed Elsayed , PMP,PGDip,B.Eng
PDF
บาลี 10 80
Rose Banioki
PDF
บาลี 29 80
Rose Banioki
PDF
edJEWcon Chicago: Growth Mindset for Educators & Schools
edjewcon
PDF
บาลี 20 80
Rose Banioki
PDF
บาลี 15 80
Rose Banioki
บาลี 12 80
Rose Banioki
บาลี 22 80
Rose Banioki
Persentacion animada powerpoint
valenronchi
บาลี 17 80
Rose Banioki
บาลี 16 80
Rose Banioki
Iberian linx
domfxpifo
Our birthdays
senguldeniz
Untitled Presentation
Linda Parker
บาลี 03 80
Rose Banioki
บาลี 18 80
Rose Banioki
บาลี 11 80
Rose Banioki
บาลี 23 80
Rose Banioki
P 1b-sintaxis-sintagmas
cmlobo
Massage supreme spa
Magdalinespanj
Graduation Certificate
Ahmed Elsayed , PMP,PGDip,B.Eng
บาลี 10 80
Rose Banioki
บาลี 29 80
Rose Banioki
edJEWcon Chicago: Growth Mindset for Educators & Schools
edjewcon
บาลี 20 80
Rose Banioki
บาลี 15 80
Rose Banioki
Ad
Similar to บาลี 08 80
(20)
PDF
อธิบายนามศัพท์
บริษัทปุ้มปุ้ย
PDF
1 08+อธิบายบาลีไวยากรณ์+นามและอัพพยศัพท์
Tongsamut vorasan
PDF
บทที่ 2 นามศัพท์
Gawewat Dechaapinun
PDF
ประมวลปัญหาเฉลยบาลี
บริษัทปุ้มปุ้ย
PDF
บาลี 14 80
Rose Banioki
PDF
1 14+ประมวลปัญหาและเฉลายบาลีไวยาการณ์+(สำหรับเปรียญธรรมตรี)
Tongsamut vorasan
PDF
1 14 ประมวลปัญหาและเฉลายบาลีไวยาการณ์ (สำหรับเปรียญธรรมตรี)
Tongsamut vorasan
PDF
1 14+ประมวลปัญหาและเฉลายบาลีไวยาการณ์+(สำหรับเปรียญธรรมตรี)
Wataustin Austin
PDF
1 14+ประมวลปัญหาและเฉลายบาลีไวยาการณ์+(สำหรับเปรียญธรรมตรี)
Tongsamut vorasan
PDF
สังเกตบาลีสันสกฤต [โหมดความเข้ากันได้]
Nongkran Jarurnphong
PDF
1 01+บาลีไวยกรณ์+สมัญญาภิธานและสนธิ
Wataustin Austin
PDF
บาลี 01 80
Rose Banioki
PDF
1 01 บาลีไวยกรณ์ สมัญญาภิธานและสนธิ
Tongsamut vorasan
PDF
1 11+อธิบายบาลีไวยากรณ์+นามกิตก์+และกิริยากิตก์
Wataustin Austin
PDF
1 11+อธิบายบาลีไวยากรณ์+นามกิตก์+และกิริยากิตก์
Tongsamut vorasan
PDF
นาม และ อัพยยศัพท์
Prasit Koeiklang
PDF
1 02+บาลีไวยกรณ์+วจีวิภาคที่+2+นามและอัพพยศัพท์
Wataustin Austin
PDF
บาลี 02 80
Rose Banioki
PDF
1 02+บาลีไวยกรณ์+วจีวิภาคที่+2+นามและอัพพยศัพท์
Tongsamut vorasan
PDF
1 02 บาลีไวยกรณ์ วจีวิภาคที่ 2 นามและอัพพยศัพท์
Tongsamut vorasan
อธิบายนามศัพท์
บริษัทปุ้มปุ้ย
1 08+อธิบายบาลีไวยากรณ์+นามและอัพพยศัพท์
Tongsamut vorasan
บทที่ 2 นามศัพท์
Gawewat Dechaapinun
ประมวลปัญหาเฉลยบาลี
บริษัทปุ้มปุ้ย
บาลี 14 80
Rose Banioki
1 14+ประมวลปัญหาและเฉลายบาลีไวยาการณ์+(สำหรับเปรียญธรรมตรี)
Tongsamut vorasan
1 14 ประมวลปัญหาและเฉลายบาลีไวยาการณ์ (สำหรับเปรียญธรรมตรี)
Tongsamut vorasan
1 14+ประมวลปัญหาและเฉลายบาลีไวยาการณ์+(สำหรับเปรียญธรรมตรี)
Wataustin Austin
1 14+ประมวลปัญหาและเฉลายบาลีไวยาการณ์+(สำหรับเปรียญธรรมตรี)
Tongsamut vorasan
สังเกตบาลีสันสกฤต [โหมดความเข้ากันได้]
Nongkran Jarurnphong
1 01+บาลีไวยกรณ์+สมัญญาภิธานและสนธิ
Wataustin Austin
บาลี 01 80
Rose Banioki
1 01 บาลีไวยกรณ์ สมัญญาภิธานและสนธิ
Tongsamut vorasan
1 11+อธิบายบาลีไวยากรณ์+นามกิตก์+และกิริยากิตก์
Wataustin Austin
1 11+อธิบายบาลีไวยากรณ์+นามกิตก์+และกิริยากิตก์
Tongsamut vorasan
นาม และ อัพยยศัพท์
Prasit Koeiklang
1 02+บาลีไวยกรณ์+วจีวิภาคที่+2+นามและอัพพยศัพท์
Wataustin Austin
บาลี 02 80
Rose Banioki
1 02+บาลีไวยกรณ์+วจีวิภาคที่+2+นามและอัพพยศัพท์
Tongsamut vorasan
1 02 บาลีไวยกรณ์ วจีวิภาคที่ 2 นามและอัพพยศัพท์
Tongsamut vorasan
More from Rose Banioki
(20)
PDF
Spm ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
Rose Banioki
PDF
2013ar-Berkshire Hathaway
Rose Banioki
PDF
Instant tax
Rose Banioki
PDF
Techinque mutual-fund
Rose Banioki
PDF
หนังสือความทรงอภิญญา
Rose Banioki
PDF
Nutritive values of foods
Rose Banioki
PDF
Thaifood table
Rose Banioki
PDF
Ipad user guide ios7
Rose Banioki
PDF
Iphone user guide th
Rose Banioki
PPS
P4
Rose Banioki
PPS
P3
Rose Banioki
PPS
P1
Rose Banioki
PPS
To myfriends
Rose Banioki
PPS
The differencebetweenbeachesinindia&greece
Rose Banioki
PPS
Toilets pierre daspe
Rose Banioki
PPS
Tibet
Rose Banioki
PPS
Pps hollywood dorado_bea
Rose Banioki
PPS
Photosdutempspass
Rose Banioki
PPS
Photo mix7
Rose Banioki
PPS
Photos carlosalbertobau
Rose Banioki
Spm ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
Rose Banioki
2013ar-Berkshire Hathaway
Rose Banioki
Instant tax
Rose Banioki
Techinque mutual-fund
Rose Banioki
หนังสือความทรงอภิญญา
Rose Banioki
Nutritive values of foods
Rose Banioki
Thaifood table
Rose Banioki
Ipad user guide ios7
Rose Banioki
Iphone user guide th
Rose Banioki
P4
Rose Banioki
P3
Rose Banioki
P1
Rose Banioki
To myfriends
Rose Banioki
The differencebetweenbeachesinindia&greece
Rose Banioki
Toilets pierre daspe
Rose Banioki
Tibet
Rose Banioki
Pps hollywood dorado_bea
Rose Banioki
Photosdutempspass
Rose Banioki
Photo mix7
Rose Banioki
Photos carlosalbertobau
Rose Banioki
บาลี 08 80
1.
คํานํา หนังสือบาลีไวยากรณเปนหลักสําคัญในการศึกษามคธภาษา ทาน จัดเปนหลักสูตรของเปรียญธรรมตรีอยางหนึ่ง นักศึกษาบาลีชั้นตนตอง เรียนบาลีไวยากรณใหไดหลักกอน
จึงจะเรียนแปลคัมภีรอื่น ๆ ตอไปได ผูรูหลักบาลีไวยากรณดี ยอมเบาใจในการแปลคัมภีรตาง ๆ เขาใจ ความไดเร็วและเรียนไดดีกวาผูออนไวยากรณ แตการเรียนนั้น ถาขาด หนังสืออุปกรณแลว แมทองแบบไดแมนยําก็เขาใจยาก ทําใหเรียนชา ทั้งเปนการหนักใจของครูผูสอนไมนอย. กองตํารามหากุฏราชวิทยาลัยไดคํานึงถึงเหตุนี้ จึงไดคิดสราง เครื่องอุปกรณบาลีทุก ๆ อยางใหครบบริบูรณ เพื่อเปนเครื่องชวยนัก- ศึกษาใหไดรับความสะดวกในเรื่อง อุปกรณบาลีไวยากรณก็เปนเรื่องหนึ่ง ที่จะตองจัดพิมพขึ้นใหเสร็จครบบริบูรณโดยเร็ว ไดขอใหพระเปรียญ ที่ทรงความรูหลายทานชวยรวบรวบและเรียบเรียง เฉพาะในเลมนี้ อธิบายนามตอนตน พระมหาบุญสงค อตฺตคุตฺโต ป.ธ. ๖ วัดราชาธิวาส เรียบเรียง. อธิบายนามตอนปลาย กติปยศัพท สังขยา พระมหาจันทร โกสโล ป.ธง ๕ วัดราชธวาส เรียบเรียง. มโนคณะ สัพพนาม พระครู มงคลวิลาศ (ลัภ โกสโล ป.ธ. ๔) วัดราชาธิวาสเรียบเรียง. อัพยยศัพท พระมหาพรหมา าณคุตฺโต ป.ธ. ๖ วัดราชาธิวาส เรียบเรียง. และมอบ ลิขสิทธิสวนที่เรียบเรียงในหนังสือเลมนี้ ใหเปนสมบัติของมหากุฏ- ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภตอไป. กองตํารา ฯ ขอแสดงความขอบใจทานผูรวบรวมและเรียบเรียง หนังสือเลมนี้จนเปนผลสําเร็จไวในที่นี้ดวย. กองตํารา มหามกุฏราชวิทยาลัย ๗ กันยายน ๒๔๘๓
2.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 1 อธิบายนามตอนตน พระมหาบุญสงค อตฺตคุตฺโต ป.ธ. ๖ วัดราชาธิวาส เรียบเรียง บรรดาสภาพทั้งมวล ทั้งที่มีวิญญาณและหาวิญญาณมิได ซึ่งได อุบัติขึ้นมาในโลก จะเปนคน สัตว ภูเขา ตนไม อยางใดอยางหนึ่ง ก็ดี เมื่อยังไมมีใครสมมติเรียกชื่อวาอยางหนึ่งอยางนี้ สักแตวามีอยูเทานั้น ก็ยังไมทราบละเอียดวาคนหรือสัตวเปนตน อีกนัยหนึ่ง สิ่งที่นอมไปในคํา พูดของภาษาตาง ๆ คืออาจเรียกรูเขาใจกันไดตามความประสงค เรียกวา "นาม" แปลวา "ชื่อ" หรือหมายความวามีอาการนอมไปในคําพูดของ ภาษานั้น ๆ ตามแตจะสมมติขึ้น. ศัพท สําเนียงก็ดี อักษรที่ใชแทนสําเนียงก็ดี ซึ่งปรากฏเปนถอยคําได เชน ปุตฺโต บุตร ปฺวา มีปญญา ทกฺโข ขยัน เหลานี้เปนตน เรียกวา "ศัพท" ถาสําเนียงชนิดใดไมใชถอยคํา คือเปนสําเนียงที่ไม เปนภาษา ดังคําวา ปุ. ภิ. อู. ห. เหลานี้ และคําที่เปนกิริยาหรือ แมอยางอื่น ๆ คําชนิดนั้นไมเรียกวาศัพท. คําพูดในภาษามคธแบงออก เปน ๒ ประเภท คือ สัญชาติศัพทหรือชาติศัพทอยาง ๑, สัญญัติศัพท อยาง ๑. คําพูดดั้งเดิมอันคนหามูลมิไดวาเนื่องมาจากธาตุอะไร หรือ ปรุงขึ้นจากธาตุอะไร เปนวาจาที่ใชพูดกันมาแตโบราณ เหมือนคําวา ก. น้ํา. ข. ฟา. กุ. คําพูด เปนตน เรียกสัญชาติศัพทหรือชาติศัพท.
3.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 2 แมในภาษาไทยก็มีใชเหมือนกัน เชนคําวา ดิน น้ํา ไฟ ลม เปนตน ลวน เปนคําเดิมทั้งสิ้น. คําพูดผสมซึ่งปรุงขึ้นจากธาตุและปจจัยตาง ๆ สําเร็จ โดยสาธนวิธีแหงนามกิตกบาง อยางอื่นบาง และบัญญัติวาศัพทนั้นหรือ คํานั้นเปนชื่อของสิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือหมายความวาอยางนั้นอยางนี้ เหมือน อยางคําวา ปุริโส บุรุษ (ปุร+อิส) ภิกฺขุ ภิกษุ (ภิกฺข+รู) เปน อาทิ เรียกสัญญัติศัพท ๆ นี้ในภาษาไทยก็มีใชเหมือนกัน เชนคําวา โรงเรียน (โรง+เรียน ) รานคา (ราน+คา) เปนตน. นามศัพท คํานี้ ก็คือนามและศัพทดังกลาวแลว เปนแตรวมเขาดวยกัน แปลวาศัพทที่แสดงนามคือชื่อหรือสําเนียงที่แสดงนาม อันหมายความ วาสําเนียงหรือเสียงที่บงถึงชื่อนั้นเอง เรียกวา นามศัพท ๆ นั้นแบงเปน ๓ อยาง คือ นามนาม ๑ คุณนาม ๑ สัพพนาม ๑. นามนาม นามที่เปนชื่อของคน สัตว ที่ สิ่งของ และสภาพตาง ๆ เรียก นามนาม. มนุษยทุกจําพวกซึ่งมีอวัยวะคลายคลึงกัน รวมเรียกวา "คน" สัตวมุกจําพวกตางโดยชาง มา โค กระบือ เปนตน เปนสัตวมี เทาก็ตาม ไมมีเทาก็ตาม มีปกก็ตาม ไมมีปกก็ตาม หรือที่พิเศษนอก ไปจากนี้ก็ตาม รวมเรียกวา "สัตว" ของอยูเปนที่เชนแผนดินก็ดี ของที่ เนื่องกับแผนดินเชนตนไมหรือเรือนก็ดี หรือสิ่งอื่น ๆ อันนับวาเปนที่ อยูอาศัย รวมเรียกวา "ที่ " สิ่งของทุกประเภทตางโดยเปนเครื่อง
4.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 3 อุปโภค เชนเสื้อผาหรือเครื่องใชอยางอื่น ๆ เปนตนก็ดี เปนเครื่อง บริโภคตางโดยขาวน้ําเปนตนก็ดี รวมเรียกวา "สิ่งของ" สภาพหรือ ธรรมชาติตาง ๆ ตางโดยฌานและสมาบัติเปนตน รวมเรียกวา "สภาพ" ชื่อของคนเปนตนเหลานี้ เรียกวา "นามนาม" แปลวา "ชื่อของ สิ่งที่มีชื่อ." สาธารนาม นามนามนั้นยังแยกประเภทออกไปอีก คือเปนนามที่ทั่วไปแก สิ่งอื่นไดอยาง ๑ เปนนามที่ไมทั่วไปอยาง ๑ นามที่ทั่วไปแกคนสัตว ที่ อื่นได เหมือนคําวา มนุสฺโส มนุษย ติรจฺฉาโน สัตวดิรัจฉาน นคร เมือง เปนตน เรียก สาธารณนาม แปลวานามที่ทั่วไป หรือชื่อ ที่ทั่วไปอยาง ๑. อสาธารณนาม นามที่ตรงกันขาม คือเปนนามที่ไมทั่วไป เปนนามเจาะจง เฉพาะอยางหนึ่ง ๆ เหมือนคําวา ทยฺยเทโส ประเทศไทย เอราวโณ ชางชื่อเอราวัณ พิมฺพิสาโร พระราชานามวาพิมพิสารเปนตน เรียก อสาธารณนาม แปลวานามที่ไมทั่วไป หรือเปนชื่อที่เฉพาะไมทั่วไป. หากจะมีคําถามวา คนไทยเปนนามประเภทไหน ? คือเปน สาธารณนาม หรือ สารธารณนาม เมื่อเปนเชนนี้พึงเฉลยวา ขอนั้น สุดแลวแตความหมาย ถาประสงคจะใหคนไทยเปนสาธารณนามก็ได เพราะคนไทยมีทั่วไปในประเทศไทย หากประสงคจะใหคนไทยเปน
5.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 4 อสาธารณนามก็ได เพราะคนไทยมิไดมีทั่วไปแกคนทั้งโลก มี จีน แขก ฝรั่ง เปนตน แมคําอื่น ๆ ที่เหมือนกับคํานี้ ก็พึงทราบโดยนัยดังกลาว แลว. คุณนาม ธรรมดานามนามยอมมีลักษณาการประจําอยูทั้งสิ้น และลักษณะ ของนามนามนั้นยอมมีหลายอยางตาง ๆ กัน เชนคน ยอมมีโง ฉลาด สูง ต่ํา ดํา ขาว อวน ผอม เปนตน, ตนไม ยอมมีงาม ไมงาม เฉา สดชื่น เล็ก ใหญ เปนตน, แมถึงสถานที่หรือสิ่งของอื่น ๆ ก็เหมือนกัน ดวยเหตุนี้ จึงตองมีคําพูดชนิดหนึ่งดังวานั้น สําหรับประกาศลักษณะ ของนามนามใหเปนที่เขาใจ คือเปนเครื่องชวยใหรูจักนามนามนั้นชัด เจนขึ้นวา นามนามนั้นมีลักษณะเชนไร เชนคนก็ใหรูวาเปนคนประ- เภทไหน โงหรือฉลาด ดีหรือชั่วเปนตน เรียกคุณนาม เพราะเปน นามที่แสดงลักษณะของนามนาม ถามีแตนามนาม ไมมีคําคุณเขาประ กอบ เมื่อยังไมรูไมเห็นเอง ก็ไมอาจรูคุณลักษณะนั้น ๆ ได เชน ปุริโส ชาย เราก็รูแตเพียงวาเขาเปนชายหาใชผูหญิงไม ยังมิไดแสดงใหรูคุณ ลักษณะซึ่งเปนภาวะของเขา ตอมีคุณนามซึ่งแสดงลักษณะประกอบอยู ดวยดังเชนคําวา ปฺวา ปุริโส บุรุษมีปญญา ดังนี้ เราก็รูลึกซึ้งเขาอีก วาผูชายที่ไดออกชื่อนั้น เปนคนมีปญญา หาใชคนโงเขลาไม ในกาลบาง คราวถึงกับตองใชคุณนามเปนเครื่องหมายที่มีชื่อพองกัน ใหตางกันวา นั่นเปนคนนั้น นี่เปนคนนี้ ซึ่งเรียกวาใหฉายาหรือมีฉายา มีใชทั้งภาษา ไทยและภาษามคธ ในพากยมคธ เชน มหาปาโล นายปาละใหญ
6.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 5 จุลฺลปาโล นายปาละนอย กาฬุทายี พระอุทายีดํา โลลุทายี พระ- อุทายีเลอะเปนตน ในพากยภาษาไทยเชน นายแดงใหญ นายแดงเล็ก หรือนายแดงเกา นายแดงใหมเปนตน คําที่แสดงลักษณะเหลานี้ ลวนเปนเครื่องหมายคุณนามทั้งสิ้น. คุณนามแบงเปน ๓ ตามธรรมดาสิ่งทั้งปวง ยอมมีคุณลักษณะประจําอยูทุกชนิด ดังกลาวแลว แมจะมีเหมือนกันก็จริง แตก็ไมเสมอกันทั้งหมด ยอมมียิ่ง และหยอนกวากัน ตัวอยาง พระ ก. ฉลาด พระ ข. ฉลาด พระ ค. ก็ฉลาด เพียงเทานี้แสดงวาเปนพวกฉลาดดวยกัน แตก็ยังยิ่งและหยอน สมมติวา พระ ก. เปนผูฉลาด แตพระ ข. ยังเฉียบแหลมยิ่งไปกวานั้น ตองจัดใหพระ ข. เปนผูฉลาดกวาพระ ก. สวนพระ ค เปนผูฉลาดไม มีตัวจับ คือหาผูเปรียบเสมอมิได เปนยอดเยี่ยมกวาทุก ๆ คน เชนนี้ พระ ค. ตองนับวาฉลาดกวาพระ ก. และพระ ข. จัดเปนฉลาดที่สุด แมสิ่งของที่ไรวิญญาณก็เหมือนกัน ยอมมีลักษณะแตกตางกันเปนชั้น สามัญชั้นกลางและดีเยี่ยม โดยอนุมานนี้จึงแบงคุณนามออกเปน ๓ ชั้น คือ ปกติ ๑ วิเสส ๑ อติวิเสส ๑. ปกตินั้น ไดแกคําคุณที่แสดงลักษณะสามัญ คือเปนลักษณะ ธรรมดา ไมยิ่งไมหยอน ไมถึงกับเปนชั้นยอดเยี่ยม ไมมีอุปสัคและ ปจจัยเพิ่มขางหนาหรือขางหลัง เชน ปณฺฑิโต เปนบัณฑิต ปฺวา มีปญญา เปนตน. วิเสสนั้น ไดแกคุณนามที่เปนชั้นปกตินั้นเอง แตมีคําวา "ยิ่ง"
7.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 6 หรือ "กวา" เพราะมีกําหนด. คําใดมี อติ (ยิ่ง ) อุปสัคนําหนาปกติบาง มี ตร หรือ อิย อิยิสฺสก ปจจัยตอทายศัพทปกติบาง เชนคําวา อติปณฺฑิโต เปนบัณฑิตยิ่ง ปณฺฑิตตโร เปนบัณฑิตกวา กนิโย นอยกวา ปาปยิสฺสโก เปนบาปกวา ดังนี้ เมื่อพบศัพทดังกลาวนั้น หรือศัพทอื่น ๆ ที่มีรูปเปนอยางเดียวกันกับศัพทเหลานี้ พึงเขาใจวา ศัพทเหลานั้นเปนพวกวิเสส เพราะแปลกจากชั้นปกติสามัญ แตไมถึง กับเลิศที่สุด. อติวิเสสนั้น ไดแกคุณนามที่แสดงลักษณะดีหรือชั่วมากที่สุด หรือนอยที่สุด เชนดีก็ดีอยางที่สุด ชั่วก็ชั่วอยางที่สุด ไมใชดีหรือชั่ว ธรรมดา หรือยิ่งกวาสามัญเพียงเล็กนอย สังเกตตามภาษาไทยวา "เกิน เปรียบ, ยิ่งนัก, ที่สุด" แนบอยูกับศัพทอันแสดงลักษณะนั้น. สังเกต ตามภาษามคธมีอุปสัคและนิบาต คือ อติวิย (เกินเปรียบ) นําหนา เชน อติวิยปณฺฑิโต เปนบัณฑิตเกินเปรียบ เปนบัณฑิตยิ่งนัก หรือมี ตม. อิฏ. ปจจัยแนบหลัง เชน ปาปตโม เปนบาปที่สุด หีนตโม เลว ที่สุด กนิฏโ นอยที่สุด ดําดังวามานี้ หรือที่ยังไมไดนํามากลาว แตมี ลักษณะเชนนี้ พึงทราบวาเปนคุณนามชั้นอติวิเสสทั้งสิ้น. อนึ่ง คุณนามที่ใชเปนคุณบทของนามนามหลายบท จะใชคุณนาม เพียงบทเดียวก็ได ถาเรียงอยูใกลนามนามที่เปนลิงคใด พึงประกอบให เหมือนนามนามที่เปนลิงคนั้น. ตัวอยาง อฺาตโก คหปติ วา คหปตานี วา พอเจาเรือนก็ดี แมเจาเรือนก็ดี ผูมิใชญาติ (สิกขาบทที่ ๗ นิสสัคคิย) อฺาตโก อยูใกล คหปติ ซึ่งเปน ปุ. แตเปนคุณของ คหปตานี ดวย.
8.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 7 ถานามนามเปนเอกวจนะหลายบทแตรวมคุณกัน ก็ใชคุณนาม บทเดียวเหมือนกัน แตมักประกอบคุณนามเปนพหุวจนะ ดังคําวา เอกสฺมึ สมเย นาโถ โมคฺคลฺลานฺจ กสฺสป คิลาเน ทุกฺขิเต ทิสฺวา โพชฺฌงฺเค สตฺต เทสยิ. ในสมัยหนึ่ง พระโลกนาถเจา ทรง เห็นทานโมคคัลลานะและทานกัสสปะผูเปนไขไดทุกข จึงทรงแสดง โพชฌงค ๗ ประการ. (สวดมนต. ๒๓) ในอุทาหรณทั้ง ๒ นั้นควร สังเกตวา ถาบทนามนามมี วา ศัพทกํากับอยู มักประกอบบทวิเสสนะ เปนเอกวจนะ ถามี จ ศัพทกํากับอยู มักประกอบบทวิเสสนะเปน พหุวจนะ ดังอุทาหรณไดแสดงไวแลวนั้น. สัพพนาม คํานี้ไดแกนามที่เปนชื่อสําหรับใชแทนนามนาม ซึ่งออกชื่อมา แลวขางตน เพื่อมิใหเปนการซ้ําซากในเมื่อประสงคจะพูดถึงอีก พึงดู คําอธิบายที่วาดวยสัพพนามขางหนาเถิด ในที่นี้พึงกําหนดเนื้อความ โดยยอ ๆ วา สัพพนามนั้นแบงออกเปน ๒ คือ ปุริสสัพพนาม ๑ วิเสสนสัพพนาม ๑, คําแทนชื่อคน, สัตว, ที่, สิ่งของ. โดยตรงเชน เขา, เจา, ทาน, สู, เอง, มึง, ตามคําสูงและต่ํา จัดเปนปุริสสัพพนาม คําแทนชื่อโดยความเปนบทวิเสสนะ คือแทนเพียงเพื่อใหรูความแน นอนและไมแนนอน และเพื่อใหรูระยะใกลหรือไกล เชน ใด, นั้น, อยางใดอยางหนึ่ง, อื่น, โนน, เปนตน จัดเปนวิเสสนสัพพนาม. นามศัพทเนื่องถึงกัน นามนาม คุณนาม และสัพพนาม ทั้ง ๓ นี้ ยอมเกี่ยวเนื่องถึงกัน
9.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 8 จะขาดเสียแตอยางใดอยางหนึ่งไมได เหมือนโตะ ๓ ขา จะมีเพียงขา เดียวหรือ ๒ ขา ยอมตั้งใหตรงไมได แมนามศัพททั้ง ๓ ก็เหมือนกัน จะมีแตนามนามอยางเดียว ก็ไมสําเร็จประโยชนสมมุงหมาย เพราะมี แตเพียงชื่อหาไดมีลักษณะอาการวาเปนอยางไรไม จึงตองอาศัยนามที่ แสดงลักษณะ เพื่อใหรูวาดีชั่วอยางไร ซึ่งเรียกวาคุณนาม จะมีแต นามนามกับคุณนามเทานั้น ก็ยังจัดวาเปนการบกพรองไมเพราะหู ใน เมื่อจะตองออกชื่อบอย ๆ อาจทําใหเคอะเขินก็ได ดวยเหตุนี้ จึงตองมี สัพพนามไวสําหรับแทนชื่อนามที่ไดออกชื่อมาแลวขางตน ในนาม และสัพพนามจะเกิดขึ้นไมได นามนามนั้นเหมือนรางกายหรือวัตถุสิ่ง ของ คุณนามและสัพพนามเหมือนเงา เมื่ออัตภาพรางกายเปนตนไมมี เงาจะเกิดมีขึ้นไดอยางไร อนึ่ง ยามนามนี้ ยอมมีอํานาจบังคับใหคุณนาม และสัพพนาม มีลิงค วจนะ วิภัตติ เสมอกับตนซึ่งเปนเจาของประโยค แตนามนามนั้นอาจกลับเปนคุณหรือกิริยาก็ได ในเมื่อนําไปประกอบ กับปจจัยบางตัว เชน สหายตา ความเปนแหงบุคคลผูเปนสหาย ปุตฺติยติ ประพฤติเปนเพียงดังบุตร เปนตน ก็แลพึงสังเกตนามศัพทที่ เกี่ยวเนื่องกัน ดังตอไปนี้ :-
10.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 9 นามศัพท เมื่อผูศึกษาเขาใจลักษณะของนามศัพททั้ง ๓ นี้แลว จะตอง ทราบเครื่องประกอบของนามศัพทอีกตอไป เพราะลําพังแตนามศัพท ยังใชการใหสําเร็จประโยชนไมได เปนเหมือนรูปหุนที่ขาดคนชัก รูป หุนจะยักยายแสดงทาทางอยางไร ๆ ยอมเปนไปไมได ตอเมื่อมีคนชักจูง ยักยายแสดงทาทางเปนเรื่องเปนราวได ถึงนามศัพทก็เหมือนกัน ถา ขาดเครื่องประกอบแลว ยอมไมอาจยังประโยชนที่ตองการใหสําเร็จได ตอเมื่อไดประดับดวยเครื่องประกอบ คือพรอมมูลดวยลิงค วจนะ วิภัตติ แลว จึงเปนการยังประโยชนใหสําเร็จดวยดี. ลิงค ธรรมดาสิ่งทั้งปวงยอมมีเพศ คือเครื่องหมายประจําเสมอไป การใชนามนามก็ดี คุณนามก็ดี สัพพนามก็ดี ในภาษามคธเนื่องดวยลิงค
11.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 10 โดยตรงคือนามนาม โดยออมคือคุณนามและสัพพนาม และตอง ประกอบใหมีลิงคเปนอยางเดียวกันนามนาม ในภาษามคธทานแบง คําพูดเปน ๓ ลิงค คือ ปุลิงค เครื่องหมายที่ไมใชเพศชายและเพศหญิง ๑. ถึงจะจัดไวเปน ๓ ก็จริง แตถึงดังนั้น เมื่อวาโดยตนเคาแลว ก็มี เปน ๒ คือ จัดตามกําเนิดอยาง ๑ จัดตามสมมติอยาง ๑. จัดตาม กําเนิดนั้น ไดแกจัดตามธรรมชาติของภาวะเชน ปุริโส ชาย จัดเปน ปุลิงค อิตฺถี หญิง จัดเปนอิตถีลิงค กุล สกุล จัดเปนนปุสกลิงค ที่ จัดตามสมมตินั้นคือจัดนอกธรรมชาติของสิ่งนั้นโดยความนิยมอยาง ๑ โดยการันตคือสระที่สุดศัพท ซึ่งขัดกับธรรมชาติอันเปนภาวะของตน อยาง ๑ เชน ทาโร เมีย คําวาเมีย แทจริงเปนอิตถีลิงค แตสมมติ ใหเปนปุลิงค ภูมิ แผนดิน ตามธรรมชาติตองเปนนปุสกลิงค เพราะไม ใชเพศชายหรือหญิง แตสมมติใหเปนอิตถีลิงค แมศัพทอื่น ๆ ซึ่งมี นัยเหมือนกัน พึงเขาใจตามที่ไดกลาวแลวขางตน. นามนามเปนลิงค เดียว คือจะเปนลิงคใดลิงคหนึ่งในลิงคทั้ง ๓ เปนไดเฉพาะลิงคเดียว ก็มี เปน ๒ ลิงค คือจะเปนปุลิงคหรือนปุสกลิงค แตจะเปนอิตถีลิงคไม ไดก็มี มูลศัพทอันเดียวมีรูปอยางเดียวเปลี่ยนแตสระที่สุดแหงศัพทเปน ได ๒ ลิงค คือจะเปนปุลิงคหรืออิตถีลิงคก็ได แตจะเปนนปุสกลิงคไม ได (อุทาหรณตามแบบ) สวนคุณนามและสัพพนามเปนไดทั้ง ๓ ลิงค. อนึ่ง มีบทบาลีซึ่งเปนคําของพระฎีกาจารย ในมังคลัตทีปนี ภาค ๒ หนา ๔๒๙ วา ทีฆรชฺชุนา พนฺธ สกุณ วิย รชฺชุหตฺโถ
12.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 11 ปุริโส เทสนฺตร ตณฺหารชฺชุมา พนฺธ สตฺตสนฺตาน อภิสงฺขาโณ ภวนฺตร เสิ อาตายาติ ภวเนตฺติ อภิสังขาร ยอมนําสันดานแหงสัตว ที่ตนผูกไวดวยเชือกคือตัณหาไปสูภพอื่นดวยตัณหานั้น เหมือนบุรุษ มีเชือกในมือ นํานกที่ตนผูกแลวดวยเชือยาวไปสูประเทศอื่น เหตุนั้น ตัณหานั่นจึงชื่อวาภวเนตติ. จึงนาจะสันนิษฐานวาศัพทที่เปนลิงคโดย กําเนิดจะไมสมมติใหเปนลิงคอื่นก็ได คือคงไวตามภาวะเดิม คําวา รชฺชุ แทจริงก็เปนนปุสกลิงคโดยกําเนิด แตทานสมมติใหเปนอิตถีลิงค สวน ในอุทาหรณที่ยกมานั้นสอใหเห็นวาหาเปนไปตามสมมติไม คือเปน รชฺชุนา แจกตามแบบ นปุ. ยุกติอยางไรขอนักบาลีพิจารณาดูเถิด. วจนะ สิ่งทั้งปวงที่ผูพูดกลาวถึงมากบางนอยบางเปนธรรมดา เพื่อจะให ผูฟงเขาใจเนื้อความและจํานวนมากนอย ทาจึงบัญญัติวจนะไวโดยทั่ว ไปเปน ๒ เวนแตพวก ภควนฺตุ ศัพท แบงเปน ๓ วจนะ ดังกลาว ขางหนา คําพูดที่มุงหมายเอาของสิ่งเดียวหรือบุคคลผูเดียว เรียกเอก- วจนะ ถามุงหมายตรงกันขามคือหมายเอาของหลายสิ่งหรือบุคคลหลาย คนตั้งแต ๒ ขึ้นไปเรียกวาพหุวจนะ เชน ปุริโส ชายคนเดียว เปน เอกวจนะ ปุริสา ชายหลายคน เปนพหุวจนะ. การกําหนดรูเอกวจนะและพหุวจนะนี้ ทานใหกําหนดที่สุดของ ศัพท เพราะที่สุดศัพทนั้นจะบอกใหรูวาเปนวจนะอะไร แตมีศัพท ที่ทําใหกําหนดยาก เพราะเอกวจนะกับพหุวจนะมีรูปเหมือนกัน เชน เสฏี อาจเปนได ๒ วจนะ แตมีสังเกตเพื่อใหรูได คือใหกําหนด
13.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 12 ที่บทวิเสสนะและบทกิริยาอาขยาต หรือกิริยากิตกในประโยคนั้น ๆ เชน โส เสฏี, เต เสฏี, เสฏี คจฺฉติ, เสฏี คจฺฉนฺติ, เสฏี คโต, เสฏี คตา เปนตน ก็อาจทราบไดวาเปนวจนะอะไร เพราะบทวิเสสนะก็ดี บทกิริยาอาขยาตหรือบทกิริยากิตกก็ดี ยอมเปน เหมือนเครื่องสองวจนะใหชัดเจน ผูศึกษาพึงกําหนดใหดี. ยังมีวจนะอีก ๒ ประเภท คือทฺวิวจนะและเทฺววจนะ ในวจนะ ทั้ง ๒ นี้ มีความหมายตางกัน ทฺวิวจนะ หมายความวาสิ่งของหรือ บุคคลที่พูดถึงนั้นมีเพียง ๒ ไมถึง ๓ แตไมใชเพียง ๑. คําวาเทฺววจนะ หมายความวาศัพทที่จะแจกดวยวิภัตติเปนได ๒ วจนะคือทั้งเอกวจนะ และพหุวจนะ เพราะบางศัพทเปนไดแตเอกวจนะ เปนพหุวจนะไมได เชน อตฺต ศัพท เปนตัวอยาง บางศัพทเปนไดแสดงไวแลวนั้น เชน ปฺจ เปนตน เชนเดียวกับคําที่วา ทฺวิลิงคเปนได ๒ ลิงค ไตรลิงคเปน ได ๓ ลิงค. วจนะนั้นมีลักษณะอาการคบลายสังขยา เพราะตางก็นับจําแนกมี ความหมายในวัตถุสิ่งของหรือบุคคลใหรูจํานนวามีเทาไร แตวจนะที่ เปนพหุวจนะมีความหมายกวางกวาสังขยา เพราะตั้งแต ๒ ขึ้นไปเปน พหุวจนะทั้งนั้น มิไดจํากัดจํานวนเทาไร สวนสังขยาแมจะมาก สักเทาไร ก็มีกําหนดจํานวนวามีเทานั้นเทานี้ รวมความวาพหุวจนะมี การนับโดยมิไดมีขอบเขตวาเทาไร สังขยามีขอบเขตวามีเทานั้นเทานี้ และวจนะนี้ที่ใชในนามศัพทเมื่อประกอบกับศัพทแลวเปนเครื่องหมาย
14.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 13 วิภัตติ สวนวจนะในอาขยาตยอมเปนเครื่องหมายบุรุษ อนึ่ง วจนะนั้น ใชเปนเครื่องหมายความเคารพ เชนผูนอยจะพูดกับผูใหญแมคนเดียว โดยความเคารพ ทานนิยมใหใชพหุวจนะ มีแตลิงคกับวจนะเทานั้น ยังไมพอ ตองมีวิภุตติเขาประกอบ วิภัตตินั้นเปนเครื่องหมายใหรู วจนะไดประการ ๑ นามศัพทจึงจะใชใหสําเร็จประโยชนไดดี. วิภัตติ ศัพทนี้ แปลวา แจกหรือจําแนกศัพทใหมีเนื้อความเนื่องถึงกัน ตามภาษาที่มีทั่วไป ในประเภทศัพทที่ไมใชพวกอัพยยศัพท ลิงคก็ดี วจนะก็ดี ตองอาศัยวิภัตติชวยอุปภัมภสําหรับกําหนด เพราะในปุลิงคฺ อิตถีลิงค และนปุสกลิงค ตางก็มีวิธีแจกไมเหมือนกัน อนึ่ง วิภัตติกับ อายตนิบาตคือคําตอก็หาเหมือนกันไม สิ. อ. โย. เปนตน เรียกวิภัตติ. ซึ่ง, ดวย,แต, จาก, ของ, เพื่อ, เปนตน เรียกอายตนิบาต บรรดา ศัพทประกอบดวยวิภัตติทุกเหลา จะมีอายตนิบาตทุกศัพทก็หาไม ตาม ธรรมดาอายตนิบาตเนื่องจากวิภัตติแหงนามนามและปุริสสัพพนาม อัน ไดแก ต, ตุมฺห, อมฺห. ศัพท โดยตรง หรือ กึ ศัพทบางคําเทานั้น นอกจากนี้หามิไม เชนศัพทที่เปนปฐมาวิภัตติไมเนื่องดวยอายตนิบาต เพราะเปนประธาน ที่เนื่องนั้นตั้งแตทุติยาวิภัตติเปนตนไป และที่ตอง แปลอายตนิบาตในทุติยาวิภัตติเปนตนก็เฉพาะตัวนามนามและสัพพนาม สวนคุณนามไมตองแปลออกชื่ออายตนิบาต แตถาคุณยามใชเพิ่มนามก็ ตองแปลดวย สวนปฐมาวิภัตติที่นิยมแปลวา อันวา เปนเพียงสํานวนใน ภาษาไทยเหน็บเขามาเพื่อมิใหเคอะเขินเทานั้น หากจะไมมีก็ไมเปนการ
15.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 14 เสียหายอยางไร วิภัตตินั้นวาโดยหมวดมี ๒ หมวด คือ เอกวจนะหมวด ๑ พหุวจนะหมวด ๑ โดยหมูมี ๗ คือ ตั้งแตปฐมาวิภัตติจนถึงสัตตมี- วิภัตติ. อนึ่ง คําแปลวิภัตติในนามยังไมสิ้นเชิง เพราะในวากยสัมพันธ ยังมีเพิ่มเติม เชนทุติยาวิภัตติแปลวา ยัง กะ เฉพาะ ไดอีก พึงดูใน วายกสัมพันธนั้นเถิด ในวิภัตติ ๗ หมูนั้น ปฐมาวิภัตติยังแบงออกเปน ลิงคัตถะ กัตตา และวุตตกรรม สําหรับประธานอยาง๑ อาลปนะ คําสําหรับรองเรียกอยาง ๑ โดยวิธีสัมพันธ พึงรูวา อาลปนะ ก็ไมมี อายตนิบาต แมเวลาแปลจะมีคําวา แนะ, ดูกอน, ขาแต. ก็เปนเพียง สํานวนในภาษาไทยเทานั้น หากจะไมใชก็ไมเปนการเสียหายแตอยางใด วิภัตตินั้นเรียงตามลําดับปูรณสังขยาวาที่ ๑ ที่ ๒ จนถึงที่ ๗ และมีคํา ใชแทนซึ่งความหมายตรงกัน ดังนี้ :- ที่ ๑ ปฐมาวิภัตติ = ปจจัตตวจนะ " ๒ ทุติยา " = อุปโยควจนะ " ๓ ตติยา " = กรณวจนะ " ๔ จตุตถี " = สัมปทานวจนะ " ๕ ปญจมี " = อปาทานวจนะ " ๖ ฉัฏฐี " = สามีวจนะ " ๗ สัตตมี " = ภุมมวจนะหรืออธิกรณวจนะ. ในวากยสัมพันธแสดงถึงวิภัตติเหลานี้วาใชในอรรถตาง ๆ กัน ผูตองกายทราบความพิสดารพึงตรวจดูในวากยสัมพันธนั้นเถิด.
16.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 15 วิภัตตินามกับวิภัตติอาขยาตเหมือนกันโดยชื่อก็จริง แตมีความ หมายตางกัน คือวิภัตตินามเมื่อลงที่ทายศัพทเปนเครื่องหมาย ลิงค วจนะ และอายตนิบาต เพื่อบอกใหรูวาเปนลิงคอะไร วจนะอะไร และจะใชอายตนิบาตไหนจะเหมาะกัน วิภัตติอาขยาย เมื่อลงที่ทายธาตุ เปนเครื่องหมาย กาล บท วจนะ บุรุษ วาจก และปจจัย ทั้งนี้ เพื่อสองเนื้อความใหชัดเจนขึ้นกวาปกติ. การันต คํานี้ไดแกสระที่สุดอักษรหรือที่สุดศัพท คําวา อะ การันตคือ สระที่ทายศัพทมีเสียงปรากฏเปน อะ เชน ปุริสะ กุละ เปนตน แม คําวา อิ การันต จนถึง อู การันตก็นัยนี้ บาลีภาษานิยมวา สระ ตอง อยูหลังพยัญชนะ ทําใหพยัญชนะตองออกเสียงไปตาม เวลาเขียนเปน อักษรไทยทุกวันนี้ สระอะเมื่อลงทายพยัญชนะ ไมตองเขียนไว เปน อันเขาใจกันไดวามีเสียง อะ อยาง ปุริสะ ก็คงมีสระอะอยูหลังนั่นเอง. ในนามนามและคุณนามนั้นทานจัดการันตตามแบบที่ใชสาธารณะ ทั่วไปมากนั้น ดังนี้ :- ปุลิงคมีการันต ๕ คือ อ. อิ. อี. อุ. อู. อิตถีลิงคมีการันต ๕ คือ อา. อิ. อี. อุ. อู. นปูสกลิงคมีการันต ๓ คือ อ. อิ. อุ. โค ศัพท ทานวาเปน โอ การันต ในปุลิงคและนปุลิงค ศัพท ทั้งหลายวาดวยการันต พึงสังเกตการันตอันพองกันหรือพวกกติปยศัพท ซึ่งมีการันตพองกันกับสาธารณาการันต พึงพิจารณาวาศัพทไหนเปน
17.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 16 ลิงคอะไรแจกตามแบบไหน เชน อินฺท ปภา อิทฺธิ หตฺถี มจฺจุ จมู เหลานี้ ยอมมีวิธีแจกไมเหมือนกันดวยอํานาจลิงคและประเภท ของศัพท เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นศัพทนั้น ๆ จงใครครวญใหดีวาเปน ลิงคอะไร เมื่อทราบลิงคก็อาจทราบไดวาแจกตามแบบไหน วิธีแจก และการเปลี่ยนแปลงวิภัตติในเวลาแจก ทานไดแสดงไวบริบูรณแลว ผูศึกษาพึงสังเกตดูใหดี เพราะทานอธิบายไวขางทายของแบบแจกใน การันตนั้น ๆ ถึงวิธีเปลี่ยนวาทําอยางไร เอาการันตคือสระที่สุดศัพท กับตัววิภัตติเปนอยางไร ก็ชัดเจนทุกแหง เชน ปุริส มี อะ เปนที่สุด รวบกับ สิ วิภัตติ ทานใหเอาเปน โอ [ อะ+สิ = เอ ] จึงเปน ปุริโส แมตัวอื่น ๆ ก็เชนนั้น เชน อะ กับ โย ปฐมาวิภัตติเปน อา [ อะ+ โย=อา ] อะ กับ โย ทุติยาวิภัตติเปน เอ [ อะ+ สิ =โอ ] จึงเปน ปุริสา ปุริเส เปนตน แมวิภัตติอื่นการันตอื่นในไตรลิงคก็พึงเขาใจ ตามนี้ โดยดูอธิบายทายแบบแจกในการันตทั้งปวงเถิด. อิ อี การันตในอิตถีลิงคมีกลเม็ดอยูบาง อันผูศึกษาพึงสังเกต ใหดี เชน นาริย, โพธิยล ทาสิย เปนตน ผูไมทันพิจารณา อาจตอบวาเปนสัตตมีวิภัตติอยางเดียวเปนวิภัตติอื่นไมได แทจริงเปน วิภัตติอื่นก็ได คือเปนทุติยาวิภัตติ ทานใหอุทาหรณไววา ตเถว ตฺว มหาวีร พุชฺฌสฺสุ ชินโพธิย ขาแตพระมหาวีระ ขอพระองค จงตรัสรูซึ่งโพธิญาณของพระชินะอยางนั้นทีเดียว จะเห็นไดวา ชินโพธิย เปนทุติยาวิภัตติ หาใชสัตตมีวิภัตติไม แมศัพทอื่น ๆ ที่ไดยกขึ้น กลาวแลวก็พึงทราบโดยนัยนี้ ในคัมภีรมูลกัจจายนะ๑ ใหคําอธิบายวา ๑. มูลกจฺจายน. สูตรที่ ๑๒๓. หนา ๒๒๔.
18.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 17 เพราะเอา อ วิภัตติเปน ย จึงสําเร็จรูปเปนเชนนั้น ดังสูตรที่มานั้นวา อ ยมีโต ปสฺาโต แตหนา อี อันชื่อ ป. เอา อ วิภัตติ เปน ย ได. ขอควรสังเกต การันต วิภัตติ วจนะ มีรูปเหมือนกันก็มี เชน อิ อี อุ อู ในปุลิงคและอิตถีลิงคตางมีดวยกัน หรือ อ อิ อุ ในนปุสกลิงค ก็ซ้ํากับปุลิงคทั้งหมด และซ้ํากับอิตถีลิงคบางตัว ขอนี้เมื่อแจกวิภิตติ แลว ก็มีรูปตางกันออกไปบางเหมือนกันบาง ที่มีรูปตางกัน เปนอัน เขาใจไดวาเปนการันตในลิงคไหน แตที่มีรูปเหมือนกันควรสังเกต ศัพทที่เนื่องกันคือคุณนามและวิเสสนะ ถามีกิริยากิตกอยูดวยก็สังเกต งายขึ้น เพราะกิริยากิตกมี อะ เปนที่สุดโดยมาก เชน กโรนฺต เมื่อ จะใหเปนปุลิงค ก็เปน กโรนฺโต อิตถีลิงคเปน กโรนฺตี นปุสกลิงค เปน กโรนฺต นี้แจกดวยปฐมาวิภัตติ เมื่อศัพทนามนามที่มีการันต เหมือนกันใน ๓ ลิงคเปนปฐมาวิภัตติ เอกวจนะซึ่งมีรูปเหมือนกัน เชนปุลิงค มุนิ อิตถีลิงค รตฺติ นปุสกลิงค อกฺขิ เมื่อเราเห็นศัพท เหลานี้แลว ควรสังเกตถึงศัพทคุณนามหรือกิริยากิตก เชนที่ลง อนฺต ปจจัย ปุลิงคปฐมาวิภัตติเปน อนฺโต เชน กโรนฺโต อิตถีลิงค เปน อนฺตี เชน กโรนฺตี นปุสกลิงคเปน อนฺต เชน กโรนต เปนตน หรือจะสังเกตที่สัพพนามก็ได ถามีอยู เพราะสัพพนามมีวิธีแจกวิภัตติ ในลิงคทั้ง ๓ ตางกัน เฉพาะ ตุมฺห อมฺห เทานั้นที่เปนปุลิงค อิตถี-
19.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 18 ลิงคแจกอยางเดียวกัน สวนสัพพนามอื่น ๆ มีแบบแจกประจําใหลิงค เหลานั้น ในประเทศที่มีสัพพนามอยูดวย เปนการงายตอการสันนิษฐาน ลงไปวาเปนลิงคใดแน เชนมีสัพพนามอยูวา เอโส เอสา เอต ๓ คํานี้ ก็เปนการบอกชัดอยูแลววา เปนลิงคอะไร เอโส เปนปุลิงค ถาเปน วิเสสนะของศัพทที่มีอิการันตเชน เอโส สมาธิ เราจะรูวา สมาธิ เปนปุลิงค เพราะ เอโส สัพพนามเปนเครื่องบอก และเมื่อเห็นศัพท วา ชลฺลิ เปนอิตถีลิงค ในนปุสกลิงคก็เชนเดียวกัน เชน เอต อกฺขิ เปนตน แมในวิภัตติอื่น ๆ ก็พึงสังเกตตามลิงคโดยวิธีนี้ ก็จะรูไดวาการันตนั้นเปนการันตของลิงคอะไรแน. สวนวิภัตติ เวลาแจกแลวในลิงคเดียวกันพองกันบาง เชนจุตตถี ฉัฏฐีวิภัตติ ขอนี้สังเกตอายตนิบาตประจําวิภัตตินั้น ๆ วาอยางไหน จะเหมาะสมกวา แลวก็แปลอยางวิภัตตินั้น สวนที่ตางลิงคมีรูปเหมือน กันบาง เชน ปุริสาย กับ กฺาย สุขาย เหลานี้มีรูปเหมือนกัน ขอนี้ เราตองสังเกตและอาศัยความจําหมายไว ในเมื่อพบศัพทเหลานี้ในที่ อื่น ๆ คือเปนวิภัตติอื่นอยู วามีรูปเปนอะไร เปนลิงคใดแน แลวนํา มาสันนิษฐานขึ้นขาดในที่นี้วา ปุริสาย เปนปุลิงค เปนจตุตถีวิภัตติ เพราะเอาอะที่สุดของ ปุริส กับ ส จตุตถวีภัตติเปน อาย จึงเปนเชน นั้น สุขาย ก็เปลี่ยนเชนนั้นเหมือนกัน แต สุข ศัพทเปนปุสกลิงค เพราะในที่อื่นมีปรากฏอยูดื่นดาด วา สุข สวน กฺาย ยอมรูจาก ที่มาแหงอื่นวาเปนอิตถีลิงคโดยกําเนิดวาเปน อา การันต อีกอยาง
20.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 19 หนึ่ง วิธีสังเกตศัพททั้ง ๓ นี้ ถามี คุณนาม สัพพนาม และกิริยา- กิตกอยูดวยก็จะเขาใจไดงายขึ้น วาเปนลิงคอะไรแน เพราะศัพท เหลานี้มีแบบแจกคงเดิม. อนึ่ง ในปุลิงค อิ อี อารันต ปฐมาวิภัตติ และทุติยาวิภัตติ พหุวจนะ กับจตุตถีวิภัตติ และฉัฏฐีวิภัตติ เอกวจนะ มักมีรูป เหมือนกัน เชน เสฏิโน เปนตน ขอนี้ก็มีสิ่งควรสังเกตอยูบาง คือ คุณนาม สัพพนาม กิริยากิตก มักจะประกอบวิภัตติไดใหเห็น ปรากฏอยูวาเปนวิภัตติอะไรแน เชน เต เสฏฐิโน หรือ เสฏิโน กโรนฺตา อยางนี้เปนปฐมาวิภัตติพหุวจนะ ถาเปน เสฏิโน กโรนฺเตฃ ก็เปนทุติยาวิภัตติพหุวจนะ ถาเปน ตสฺส เสฏิโน หรือ เสฏิโน กโรนฺตสฺส อยางนี้เปนจตุตถีหรือฉัฏฐีวิภัตติเอกวจนะ ทีนี้จะทราบวา เปนจตุตถีหรือฉัฏฐีวิภัตติแน ก็ตองอาศัยคําตอของศัพท คืออายตนิบาต จึงจะเขาใจไดดี วาเปนวิภัตติอะไรแน ถาทางสัมพันธเนื่องกับกิริยา ก็คงเปนจตุตวิภัตติ ถาเนื่องดวยนามเปนฉัฏฐีวิภัตติ นี้เปนของควร สังเกตเรื่องจตุตถีกับฉัฏฐีวิภัตติ วาจะเปนอยางไหนแน ตองอาศัยทาง สัมพันธเปนหลักดวย เรื่องการกําหนด การันต ลิงค วจนะ วิภัตติ จะแมนยําชํานาญตองอาศัยหลักดังกลาวแลว คือความที่ศัพทเกี่ยวเนื่อง กันโดยเปน คุณนาม สัพพนาม และกิริยา ตางก็มีรูปและวิธีใชเปน รูปเดียวกัน เปนเครื่องยืนยันกันไปในตัวเสร็จแลว เมื่อนักศึกษาแปล และอานหนังสือมากเขา ความชํานาญในเรื่องนี้ คอยทวีมากขึ้นโดย
21.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 20 ลําดับ ในเบื้องตนไมตองหนักใจวาเปนของยากเลย เพราะความรู ความเขาในก็คอยมีขึ้นเอง ดวยอาศัยความจดจําสังเกตไปทุกระยะที่ได ศึกษาเลาเรียนนั้น.
22.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 21 อธิบายนามตอนปลาย พระจันทร โกสโล ป.ธ. ๕ วัดราชาธิวาส เรียบเรียง กติปยศัพท ศัพทที่จะกลาวตอไปนี้เรียกวา "กติปยศัพท" แปลวา ศัพท เล็กนอย หรือ "ปกิณณกศัพท" แปลวาศัพทเรี่ยราด ที่เรียกอยางนั้น เพราะบางพวกก็มีวิธีแจกเฉพาะตน ๆ ศัพทเดียว ไมมีวิธีแจกทั่วไปใน ศัพทอื่น ซึ่งไดกลาวไวแลวในนามทั้ง ๓ บางพวกก็มีวิธีแจกใชได ในศัพทอื่นไดบางเล็กนอยไมมากนัก. กติปยศัพท ทานจัดไวใน บาลีไวยากรณมีเพียง ๑๒ ศัพท คือ อตฺต, พฺรหมฺ, ราช, ภควนฺตุ, อรหนฺต, ภวนฺต, สตฺถุ, ปตุ, มาตุ, มน, กมฺม, โค. บรรดาศัพทเหลานี้ บางศัพทก็เปนลิงคเดียว บางศัพทก็เปน สองลิงค ในที่นี้จะแสดงแบบที่ไมเหมือนกันแบบซึ่งแจกแลวขางตน เทานั้น ศัพทใดที่เปน ๒ ลิงค แจกไวแตลิงคเดียว พึงเขาใจเถิดวา อีกลิงคหนึ่งแจกตามการันตที่มีมาแลวในลิงคทั้ง ๓ เหมือนหนึ่ง ราช ศัพทเปน ๒ ลิงค จะแจกแตแบบที่เปนปุลิงค แบบที่เปนอิตถีลิงคจะ ไมแจก เพราะ ราช ศัพทในอิตถีงลิงคเปน ราชินี มีวิธีแจกเหมือน อี การันตในอิตถีลิงคขางตน.
23.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 22 อตฺต (ตน) เปนปุ. แจกอยางนี้ ป. อตฺตา เอา อะ กับ สิ เปน อา แปลวา อันวา ตน ซึ่ง ตน ท. อตฺตาน เอา อะ กับ อ เปน อาน แปลวา สู ตน ยัง ตน สิ้น ตน ดวย ตน โดย ตน ต. อตฺตนา คงนาไว แปลวา อัน ตน ตาม ตน มี ตน แก ตน จ. อตฺตโน แปลง ส เปน โน แปลวา เพื่อ ตน ตอ ตน แต ตน ปฺ. อตฺตมา แปลง สฺมา เปน นา แปลวา จาก ตน กวา ตน เหตุ ตน แหง ตน ฉ. อตฺตโน แปลง ส เปน โน แปลวา ของ ตน เมื่อ ตน
24.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 23 ใน ตน ใกล ตน ส. อตฺตนิ แปลง สมึ เปน นิ แปลวา ที่ ตน ครั้นเมื่อ ตน ในเพราะ ตน แนะ ตน อา. อตฺต ลบ สิ เสีย แปลวา ดูกอน ตน ขาแต ตน คําแปลอายตนิบาตในบทอื่น ๆ จะไมแปลไว ใหนักศึกษาพึง เทียบตามนี้. อตฺต ศัพทนี้เปนเอกวจนะอยางเดียว เมื่อถึงคราวใชเปนพหุ- วจนะ ตองวาซ้ํากันสองหน หรือเรียกศัพทไวสองศัพท เชนคําวา อตฺตา อตฺตา แปลวา อันวาตน ๆ ดังนี้ ใชเปนบทประธานของ กิริยาที่เปนพหุวจนะได แมวิภัตติอื่นก็เหมือนกัน เชนคําวา อตฺตโน อตฺตโน แปลวา ของตน ๆ อนึ่ง ที่ทานบัญญัติใหวาซ้ํากันสองหน เชนนั้น ก็เพื่อตองการจะใหเนื้อความหนักแนนเขา หรือเปนเครื่อง หมายใหรูจํานวนมากก็ได อตฺต ถาคงไวอยางนี้ ก็มีวิธีแจกไดเฉพาะ ตามที่ปรากฏในแบบนี้เทานั้น ผูแรกศึกษาควรจะวิธีเปลี่ยนวิภัตติและ การันตใหแมนยํา เพื่อจะไดยึดเปนหลักใหมั่นคง. อตฺต ยังมี สย ใชแทน แตแปลงเปน สก หรือ ส ได เมื่อ แปลงแลวนําไปแจกตามแบบ อ การันตในปุลิงคได ใชไดทั้งสอง
25.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 24 วจนะในวิภัตติทั้ง ๗ หมวด เชน เสหิ แปลวา ของตน ไดในคาถา ธรรมบทวา เสหิ กมฺเมหิ ทุมฺเมโธ อคฺคิทฑฺโฒว ตปฺปติ คนมี ปญญาทรามยอมเดือดรอน ดุจถูกไฟไหม เพราะกรรมของตน ดังนี้ แปลงเปน สก ก็มี เมื่อแปลงแลวแจกตามแบบ อ การันตในปุลิงค ใชไดทั้งสองวจนะดวย สก ที่แปลงมาจาก สย มีที่ใชมากกวา ส. อตฺต ศัพทนี้มีอยูตามลําพัง ตองแจกอยางศัพทพิเศษดังปรากฏในแบบ เมื่อเขาสมาสกับศัพทอื่นแลวตองแจกตามแบบ อ การันตในปุลิงค โดยมาก. อตฺต ส สก ทั้งสามนี้แปลวาตนเหมือนกัน แตนําไปใชในที่ ตางกันกวางแคบกวากัน อตฺต โดยมากใชเปนบทนามนาม คือเพียง เปนบทประธานเทานั้น ถึงคราวใชเปน วิกติกตฺตา ก็ใชอยางนามนาม ไมมีผิดอะไร สวน ส หรือ สก นั้น โดยมากใชเปนบทคุณ เพื่อ แสดงลักษณะของนามไวราบรัดเขา คือแสดงวา ของสิ่งนั้นตองเปน ของตนจริง ๆ เมื่อแสดงลักษณะของนามนามบทใด ก็ตองลิงค วจนะ วิภัตติ เสมอกันกับนามผูเปนเจาของทุกแหงไป. อตฺต เมื่อติดตอศัพทอื่น ทานใหแปลง ต ที่สุดศัพทเปน ร สําเร็จรูป อตฺร เชน อตฺรโช แปลวา อันวาบุตรเกิดในตน หรือ อตฺรช เกิดในตน ทั้งนี้ปรากฏอยูในคาถาธรรมบท ภาค ๖ หนา ๑๙ วา อตฺตนา หิ กต ปาป อตฺรช อตฺตสมฺภว, อภิมตฺภติ ทุมฺเมธ, วชิร วมฺหย มณึ, ดังนี้เปนหลักอาง.
26.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 25 อตฺต ศัพทนี้ โดยตรงใชแทน กตฺตา ใชเปนคําแทนชื่อของ คนเหมือนกันสัพพนาม พูดปรารภขึ้นเฉย ๆ โดยไมกลาวถึงมากอน เชน อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนแลเปนที่พึ่งของตน หรืออาจใช แทน กตฺตา โดยปรารภมากอนก็ได เชนวา ขาพเจาบําเพ็ญประโยชน ของตนแลว จึงจะบําเพ็ญประโยชนของผูอื่นดังนี้ คําวาของตน เปน คําแทนชื่อของ กตฺตา ดุจ อมฺห ศัพทในสัพพนาม คือขาพเจา ดังนี้. ขอควรจําใน อตฺต ศัพท คือ ๑. เปนไดเฉพาะเอกวจนะอยางเดียว. ๒. เมื่อถึงคราวจําเปนใชเปนพหุวจนะ ตองวาควบกับสองหน เชน อตฺตโน อตฺตโน แปลวา ของตน ๆ ดังนี้. ๓. ยังมี สย ซึ่งแปลเปน ส หรือ สก ได เมื่อแปลแลวนํา ไปแจกตามแบบ อ การันตในปุลิงค และเปนไดทั้งสองวจนะ ใช เปนบทคุณ คือวิเสสนะของบทอื่น ใชแทน อตฺต ศัพท. พฺรหฺม (พรหม) เปน ปุลิงคแจกอยางนี้ เอก. พหุ. ป. พฺรหฺมา เอา อะ ที่สุดแหง พฺรหฺมาโน เอา อะ กับ โย เปน พฺรหฺม กับ สิ อาโน เปน อา ทุ. พฺรหฺมาน เอา อะ กับ อ พฺรหฺมาโน เอา อะ กับ โย เปน เปน อาน อาโน
27.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 26 พหุ. ต. พฺรหฺมุนา เอา อะ เปน อุ พฺรหฺเมหิ เอา อะ เปน เอ คง แลวคง นา ไว หิ ไว พฺรหฺเมภิ เอา อะ เปน เอ แปลง หิ เปน ภิ จ. พฺรหฺมุโน เอา อะ เปน อุ พฺรหฺเมน ทีฆะ อะ เปน อา แลวแปลง ส แลวคง น ไว เปน โน ปฺ. พฺรหฺมุนา เอา อะ เปน อุ พฺรมฺเมหิ เอา อะ เปน เอ คงหิไว แลวแปลง สฺมา พฺพหฺเมภิ เอา อะ เปน เอ เปน นา แปลง หิ เปน ภิ ฉ. พฺรหฺมุโน เอา อะ เปน อุ พฺรหฺมาน ทีฆะ อะ เปน อา แลวแปลง ส เปน แลวคง น ไว โน ส. พฺรหฺมนิ แปลง สฺมึ เปน พฺรหฺเมสุ เอา อะ เปน เอ คน นิ สุ ไว อา. พฺรหฺเม เอา สิ อา. เอก- พฺรหฺมาโน เอา อะ กับ โย เปน วจนะ เปน อา อาโน. ขอควรจําใน พฺรหฺม ศัพท คือ ๑. แมในศัพทอื่น ๆ สฺมึ วิภัตติ ก็แปลงเปน นิ ได เชนคําวา จมฺมนิ ในหนัง มุทฺธนิ บนยอด เปนตน.
28.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 27 ๒. นา, ส, สฺมา, ส วิภัตติ ๔ ตัวนี้ เมื่อลงแลวตองเอา อะ ที่ สุดแหง พฺรหฺม เปน อุ เสมอไป เฉพาะ ส วิภัตติ ถาไมแปลง เปน โน ไมตองเอา อะ เปน อุ. ๓. แมมีศัพทอื่นนําหนา เชน "มหาพฺรหฺม" ก็คงแจกอยางนี้ และโดยกําเนิดทานวาเปนชายสิ้น จึงเปน ปุลิงค ไดอยางเดียว. ราช (พระราช) เปน ทฺวิลิงค ในปุงลิงค แจกอยางนี้ เอก. พหุ. ป. ราชา เอา อะ กับ สิ เปน ราชาโน เอา อะ กับ โย เปน อา อาโน ทุ. ราชาน เอา อะ กับ อ เปน ราชาโน เอา อะ กับ โย เปน อาน อาโน ต. รฺา เอา ราช กับ นา เปน ราชูหิ เอา อะ ที่ ราช เปน อุ รฺา แลวทีฆะ อุ เปน อู คง หิ ไว ราชูภิ เอา อะ ที่ ราช เปน อุ แลวทีฆะ อุ เปน อู แปลง หิ เปน ภิ จ. รฺโ ราชิโน เอา ราช รฺ เอา ราช กับ น เปน กับ ส เปน รฺโ รฺ ราชิโน ราชูน เอา อะ ที่ราชเปน อุ แลว ทีฆะ อุ เปน อู คง น ไว
29.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 28 เอก พหุ. ปฺ. รฺา เอา ราช กับ สฺมา ราชูหิ เอา อะ ที่ ราช เปน อุ เปน รฺา แลวทีฆะ อุ เปน อู คง หิ ไว ราชูภิ เอา อะ ที่ ราช เปน อุ แลวทีฆะ อุ เปน อู แปลง หิ เปน ภิ ฉ. รฺโ ราชิโน เอา ราช รฺ เอา ราช กับ น เปน กับ ส เปน รฺโ รฺ ราชิโน ราชูน เอา อะ ที่ ราช เปน อุ แลวทีฆะ อุ เปน อู คง น ไว ส. รฺเ ราชินิ เอา ราช กับ ราชูสุ เอา อะ ที่ ราช เปน อุ สฺมึ เปน รฺเ ราชินิ แลวทีฆะ อุ เปน อู คง สุ ไว อา. ราช ลบ สิ เสีย ราชาโน เอา อะ กับ โย เปน อาโน
30.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 29 ศัพทสมาสที่มีราชศัพทเปนที่สุดเหมือนราชา แจกอยางนี้ก็ได เอก. พหุ. ป. มหาราช เอา อะ กับ สิ มหาราชโร๑ เอา อะ กับ โย เปน อาโน ทุ. มหาราช อ คงไว มหาราเช เอา อะ กับ โย เปน เอ ต. มหาราเชน เอา อะ กับ นา มหาราเชหิ เอา อะ เปน เอ เปน เอน คง หิ ไว มหาราเชภิ เอา อะ เปน เอ แปลง หิ เปน ภิ จ. มหาราชสฺส เอา ส เปน สฺส มหาราชาน น อยูหลัง ทีฆะ มหาราชาย เอา ส เปน อาย อะ เปน อา คง มหาราชตฺถ เอา ส เปน ตฺถ น ไว ปฺ. มหาราชสฺมา คง สฺมา ไว มหาราชเหิ }(เหมือน ต. พหุ.) มหาราชมฺหา แปลง สฺมา เปน มหาราเชภิ มฺหา มหาราชมฺหา แปลง สฺมา เปนอา ฉ. มหาราชสฺส แปลง ส เปน มหาราชน (เหมือน จ. พหุ.) สฺส ๑. เปน มหาราชา ก็มี เชน จตฺตาโร เต มหาราช.
31.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 30 เอก. พหุ. ส. มหาราชสฺมึ คง สฺมึ ไว มหาราเชสุ เอา อะ ที่ มหาราช มหาราชมฺหิ แปลง สฺมึ เปน เปน เอ แลวคง สุ มฺหิ ไว มหาราเช แปลง สฺมึ เปน เอ อา. มหาราช ลบ สิ เสีย มหาราชาโน (เหมือน ป. พหุ.) ศัพทเหลานี้แจกเหมือนมหาราช ๑. อนุราช พระราชานอย ๕. เทวราช เทวดาผูพระราชา ๒. อภิราช พระราชายิ่ง ๖. นาคราช นาคผูพระราชา ๓. อุปราช อุปราช ๗. มิคราช เนื้อผูพระราชา ๔. จกฺกวตฺติราช พระราชาจักร- ๘. สุปณฺณณาช ครุฑผูพระราชา พรรดิ ๙. หสราช หงสผูพระราชา ราช ศัพท เมื่อเขาสมาสกับศัพทอื่นแลว มีวิธีแจกอยางเดียว กับ อะ การันตในปุลิงค จะตางกันอยูบางก็แตปฐมาวิภัตติ เอก. เปน มหาราชา. พหุ. เปน มหาราชโน. อาลปนะ พหุ. มหาราชโน ที่ตางจาก อะ การันตในปุลิงคเชนนั้น ก็เพราะมีวิธีแจกอยางเดียวกับ ราช ศัพท นอกนั้นก็เหมือน อะ การันตในปุลิงคทั้งสิ้น. ราช ศัพท ถึง เขาสมาสแลวก็ตาม จะแจกเหมือนวิธีแจกใน ราช ศัพท ทุกวิภัตติ ก็ได ทั้งนี้ดวยอิงหลักวิธีแจกใน ราช ศัพท นั่นเอง.
32.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 31 ขอควรจําใน มหาราช ศัพท ๑. ศัพทที่จะนํามาแจกอยาง มหาราช ศัพทได ศัพทนั้นตอง เปนศัพทสมาส. ๒. ศัพทสมาสนั้นนํามาแจกไว เฉพาะวิเสสนบุพพบท และ วิเสสนุตตรบท กัมมธารยสมาสเทานั้น นอกนั้นนํามาแจกไมไดเลย. ภควนฺตุ เปนปุลิงคอยางเดียว แจกอยางนี้ เอก. พหุ. ป. ภควา เอา นฺตุ กับ สิ ภควนฺตา เอา นฺตุ เปน นฺต เปน อา เอา โย เปน อา ภควนฺตา เอา นฺตุ เปน นฺต เอา โย เปน โอ ทุ. ภควนฺต เอา นฺตุ เปน นฺต ภควนฺเต เอา นฺตุ เปน นฺต อ คง อ เอา โย เปน โอ ภควนฺโต เอา นฺตุ เปน นฺต เอา โย เปน โอ ต. ภควตา เอา นฺตุ กับ นา ภควนฺเตหิ เอา นฺตุ เปน นฺต เปน ตา เอา อะ เปน เอ แลวคง หิ ไว ภควนฺเตภิ เอา นฺตุ เปน นฺต เอา อะ เปน เอ แปลง หิ เปน ภิ
33.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 32 เอก. พหุ. จ. ภควโต เอา นฺตุ กับ ส ภควต เอา นฺตุ กับ น เปน ต เปน โต ภควนฺตาน เอา นฺตุ เปน นฺต น อยูหลังทีฆะ อะ เปน อา คง น ไว ปฺ. ภควตา เอา นฺตุ กับ สุมา ภควนฺเตหิ เปน ตา ภควนฺเตภิ (เหมือน ต. พหุ.) ฉ. ภควโต เอา นฺตุ กับ ส ภควนฺเตสุ เอา นฺตุ เปน นฺต เปน ติ เอา อะ เปน เอ คง สุ ไว อา. ภคว เอา นฺตุ กับ สิ ภควนฺตา เปน อะ ภควนฺโต (เหมือน ป. พหุ.) ภควา เอา นฺตุ กับ สิ เปน อา ศัพทเหลานี้แจกเหมือน ภควนฺตุ ๑. อายสฺมนฺตุ คนมีอายุ ๔. ชุติมนฺตุ คนมีความโพลง ๒. คุณวนฺตุ คนมีอายุ ๕. ธนวนฺตุ คนมีทรัพย ๓. จกฺขุมนฺตุ คนมีจักษุ ๖. ธิติมนฺตุ คนมีปญญา
34.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 33 ๗. ปฺวนฺตุ คนมีปญญา ๙. พนฺธุมนฺตุ คนมีพวกพอง ๘. ปฺุวนฺตุ คนมีบุญ ๑๐. สติมฺนตุ คนมีสติ คําวา ภควนฺตา ภควนฺเต ภควนฺโต นั้น มีวิธีใชไมเหมือน กัน ภควนฺตา ภควนฺเต ใชเปนทฺวิวจนะ สําหรับกลาวถึงคน ๒ คน ภควนฺโต ใชเปนพหุวจนะ สําหรับกลาวถึงคนมากตั้งแต ๓ ขึ้นไป ภควนฺตุ ศัพทนี้ทานใชเฉพาะแตปุลิงคอยางเดียว ไมใชในอิตถีลิงค และนปุสกลิงค. ตามรูปศัพทก็นาจะเปนคุณนาม แจกไดทั้ง ๓ ลิงค ที่ไมเปนเชนนั้น ก็เพราะ ภควนฺตุ ศัพทนี้ ใชเปนบทแสดงพระ เกียรติคุณของพระพุทธเจา ซึ่งเปนปุลิงคอยางเดียว จึงไมใชทั่วไป ในลิงคอื่นซึ่งเปนการลักลั่น ทานจึงจัดเปนบทนามนาม สําหรับ เปนพระนามของพระพุทธเจา ที่ใชเปนบทแสดงลักษณะของผูอื่น มีนอย. ศัพทอื่นนอกจากนี้ มี คุณวนฺตุ ศัพทเปนตน จัดเปนคุณนาม แท แจกไดทั้ง ๓ ลิงค เฉพาะปุลิงคแจกเหมือน ภควนฺตุ สวน ลิงคอื่นจะยก คุณวนฺตุ เปนตัวอยาง อิตถีลิงคลง อี ปจจัย เปน เครื่องหมาย เปน คุณวนฺตี เสร็จแลวนําไปแจกอยางเดียวกับ อี การันต (นารี) ในอิตถีลิงคทุก ๆ วิภัตติ สวนปุสกลิงคมีแปลก อยูบางก็คือ ป. เอก. เปน คุณว คุณวนฺต อา. เอก เปน คุณว, ป.ทุ อา. พหุ. เปน คุณวนฺตานิ นอกนั้นแจกเหมือน ภควนฺตุ ทั้งสิ้น ที่เปน คุณว เพราะเอา นฺตุ กับ สิ เปน อ. คุณวนฺต เพราะเอา นฺตุ
35.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 34 เปน นฺต แลวเอา อะ กับ สิ เปน อ. คุณวนฺตานิ เอา นฺตุ เปน นฺต แลวแปลง โย เปน อานิ นอกจากนี้แจกเหมือน ภควนฺตุ. อายสฺมนฺตุ ใชเปนไดทั้งบทคุณและนาม ซึ่งเปนคําแทนชื่อ ดุจ ตุมฺห ศัพท ที่เปนบทคุณแดสงลักษณะของนาม เชน อายสฺมา อานนฺโท พระอานนทผูมีอายุ ถาใชเปนคําแทนชื่อของนาม ดุจ ตุมฺห ศัพท เชน อายสฺมา อันวาทานผูมีอายุ ตรงกับภาษาไทยวา ทาน เพราะฉะนั้น ในบาลีไวยากรณจึงเวน อายสฺมนตุ เสีย ยกเอา คุณวนฺตุ เปนตัวอยาง. ขอควรจําใน ภควนฺต ศัพท ๑. ศัพทที่นํามาแจกตาม ภควนฺตุ ได ศัพทนั้นตองประกอบ ดวย วนฺตุ, มนฺตุ และ อิมนฺต, ตวนฺตุ ปจจัย นอกจากที่กลาว นี้นํามาแจกตามไมได. เฉพาะ วนฺตุ และ มนฺตุ ปจจัย ใชประกอบ กับศัพทตางกัน คือ วนฺตุ ใชประกอบกับศัพทที่เปน อ การันต, มนฺตุ ใชประกอบกับศัพทที่เปน อิ การันต หรือ อุ การันต. ๒. ภควนฺตุ เปนไดเฉพาะปุลิงคอยางเดียว. ๓. ฝายพหุวจนะ ถามีคําวา ตา หรือ เต อยูทายศัพท เชน คําวา ภควนฺตา, ภควนฺเต ใชเปนทฺวิวจนะ. สวน ภควนฺโต และ ที่นอกจาก ภควนฺตา, ภควนฺเต ใชเปนพหุวจนะทั้งนั้น. อรหนฺต (พระอรหันต ) เปนทฺวิลิงค ในปุลิงคแจกเหมือน ภควนฺตุ แปลกแต ป. เอก. เปน อรหา, อรห เทานั้น. อิตถีลิงค
36.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 35 ลง อี ปจจัย เปนเครื่องหมายที่ทายศัพท เปน อรหนฺตี แจกอยาง อี การันต (นารี) ในอิตถีลิงคง อรหา เอา นฺต กับ สิ เปน อา อรห เอา นฺต กับ สิ เปน อ. ศัพทที่มี นฺต เปนที่สุด ซึ่งเปนศัพท คุณนาม เชน มหนฺต จะนํามาแจกตามแบบนี้ก็ได แตไมทั่วไป ทุกวิภัตติ. ถาเปนศัพทนามนาม เชน กมฺมนฺต จะนํามาแจกตาม แบบนี้ไมไดเลย ภวนฺต (ผูเจริญ) เปนทฺวิลิงค ในปุลิงคแจกอยางนี้ :- เอก. พหุ. ป. ภว เอา นฺต กับ สิ เปน ภวนฺตา เอา โย เปน อา อ ภวนฺโต เอา โย เปน โอ ทุ. ภวนฺต คง อ ไว ภวนฺเต เอา อะ กับ โย เปน เอ ภวนฺโต เอา อะ กับ โย เปน โอ ต. ภวตา เอา นฺต กับ นา เปน ภวนฺเตภิ เอา อะ เปน เอ ตา หิ ไว โภตา เอา นฺต กับ นา เปน ภวนเตภิ เอา นฺต กับ น เปน ต ตา แลวแปลง ภว แปลง หิ เปน ภิ เปน โภ จ. ภวโต เอา นฺต กับ ส เปน โต ภวต เอา นฺต กับ น เปน ต ภวโต เอา นฺต กับ ส เปน โต ภวนฺตาน น อยูหลัง ทีฆะ อะ แลวเอา ภว เปน โภ เปน อา คง น ไว
37.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 36 เอก. พหุ. ปฺ ภวตา เอา นฺต กับ สฺมา ภวนฺเตหิ, ภวนฺเตภิ (แปลง เปน ตา เหมือน ต. พหุ.) โภตา เอา นฺต กับ สฺมา เปน ตา แลวแปลง ภว เปน โภ ฉ. ภวโต, โภโต (แปลงเหมือน ภวต, ภวนฺตาน (แปลงเหมือน จ. เอก.) จ. พหุ.) ส. ภวนฺเต เอา สฺมึ กับ อะ เปน ภวนฺเตสุ เอา อะ เปน เอ คง เอ สุ ไว อา. โภ แปลง ภวนฺต เปน ภวนฺต, ภวนฺโต (แปลงเหมือน โภ แลว ลบ สิ ป. พหุ.) อาลปนะ เสีย โภนฺตา เอา โย เปน อา แลว โภนฺโต เอา โย เปน โอ แลวแปลง ภว เปน โภ. ศัพทที่มี อนฺต เปนที่สุด บางวิภัตติจะแจกเหมือน อ การันต ในปุ. นปุ. ก็ได เพราะเปนการงายจึงไมไดแสดงไวในที่นี้. ศัพท กิริยากิตกประกอบดวย อนฺต ปจจัย แจกเหมือน ภวนฺต ก็ได เชน กร แปลวา กระทําอยู. หรือจะเอาไปแจกตาม อ การันตใน ปุ. ก็ได
38.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 37 เชน กโรนฺโต กระทําอยู ดังนี้ ตามแตตองการ. สตฺถุ (ผูสอน) ปุลิงค แจกอยางนี้ :- เอก. พหุ. ป. สตฺถา เอา อุ การันต กับ สตฺถาโร เอา อุ การันต เปน สิ เปน อา อาร แลว เอา โย เปน โอ ทุ. สตฺถาร เอา อุ การันต เปน สตฺถาโร (แปลงเหมือน ป. พหุ.) อาร คง อ ไว ต. สตฺถารา เอา อุ การันต เปน สตฺถาเรหิ เอา อุ การันต เปน อาร แปลง นา เปน อาร เอา อะ เปน เอ อา คง หิ ไว สตฺถุนา คง นา ไว สตฺราถาน เอา อุ การันต เปน อร เอา อะ เปน เอ แปลง หิ เปน ภิ จ. สตฺถุ ลบ ส เสีย สตฺถาราน เอา อุ การันต เปน สตฺถุโน เอา ส เปน โน อาร น อยูหลัง ทีฆะ อะ เปน อา คง น ไว ปฺ. สตฺถารา เอา อุ การันต เปน สตฺถาเรหิ, สตฺถาเรภิ (แปลง อาร เอา สฺมา เปน เหมือน ต. พหุ.) อา
39.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 38 เอก. พหุ. ฉ. สตฺถุ สตฺถุโน (แปลง สตฺถาราน (แปลงเหมือน จ. พหุ.) เหมือน จ. เอก.) ส. สตฺถริ เอา อุ การันต เปน สตฺถาเรสุ เอา อุ การันตเปน อาร รัสสะ อา เปน อาร เอา อะ เปน เอ อร แปลง สฺมึ เปน คง สุ ไว อิ อา. สตฺถา เอา อุ การันต กับ สตฺถาโร (แปลงเหมือน ป. พหุ.) สิ เปน อา ศัพทเหลานี้แจกเหมือน สตฺถุ ศัพท ๑. กตฺตุ ผูทํา ๖. เนตุ ผูนําไป ๒. ขตฺตุ ผูขุด ๗. ภตฺตุ ผูเลี้ยง, ผัว ๓. าตุ ผูรู ๘. วตฺตุ ผูกลาว ๔. ทาตุ ผูให ๙. โสตุ ผูฟง ๕. นตฺตุ หลาน ๑๐. หนฺตุ ผูฆา ขอควรจําใน สตฺถุ ศัพท ๑. ศัพทนามกิตก ซึ่งประกอบดวย ตุ ปจจัย ใชแจกจาม สตฺถุ. ๒. สตฺถุ ศัพท ถาเปน เอกวจนะ เปนพระนามของพระพุทธเจา เทานั้น ถาเปน พหุวจนะ ตองเปนชื่อของพาหิรคณาจารย เชน
40.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 39 ครูทั้ง ๖ มีปุราณกัสสปเปนตน ที่เปนพหุวจนะ หมายถึงพระพุทธเจา ในปางกอนก็มี เพราะตองการเรียกหลายพระองครวมกัน ทั้งนี้จะรูได เพราะมี อตีเต หรือ ปุพฺเพ เปนตน กํากับอยู. ปตุ (พอ) เปน ปุลิงค แจกอยางนี้ :- เอก. พหุ. ป. ปตา เอา อุ การันต กับ สิ ปตโร เอา อุ การันต เปน เปน อา อาร อาเทส เปน อร เอา โย เปน โอ ทุ. ปตร เอา อุ การันต เปน ปตโร (แปลงเหมือนกัน ป. พหุ.) อาร อาเทส เปน อร แลว คง อ ไว ต. ปตรา เอา อุ การันต เปน ปตเรหิ เอา อุ การันต เปน อาร อาเทส เปน อร อาร อาเทส เปน อร แลว เอา นา เปน อา หิ ไว ปตุนา คง นา ไว ปตเรภิ เอา อุ การันต เปน อาร อาเทส เปน อร เอา อะ เปน เอ แปลง หิ เปน ภิ
41.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 40 เอก. พหุ. จ. ปตุ ลบ ส เสีย ปตราน เอา อุ การันต เปน อาร อาเทส เปน อร น อยูหลัง ทีฆะ อะ เปน อา แลว คง น ไว ปตุโน เอา ส เปน โน ปตูน น อยูหลัง ทีฆะ อุ เปน อู คง น ไว ปฺ. ปตรา เอา อุ การันต เปน ปตเรหิ, ปตเรภิ (แปลงเหมือน อาร อาเทส เปน อร ต. พหุ. เอา สฺมา เปน อา ฉ. ปตุ, ปตุโน (แปลง ปตราน, ปตูน (แปลงเหมือน เหมือน จ. เอก.) จ. พหุ.) ส. ปตริ เอา อุ การันต เปน ปตเรสุ เอา อุ การันต เปน อาร อาเทส เปน อร อา อาเทส เปน อร แลวเอา สฺมึ เปน อิ เอา อุ เปน เอ คง สุ ไว ปตูสุ สุ อยูหลัง ทีฆะ อุ เปน อู แลว คง สุ ไว อา. ปตา (แปลงเหมือน ป. เอก.) ปตโร (แปลงเหมือน ป. พุห.)
42.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 41 สองศัพทนี้แจกเหมือน ปตุ ๑. ภาตุ พี่ชาย, นองชาย ๒. ชามาตุ ลูกเขย วิธีเปลี่ยนวิภัตติและการันตเหมือน สตฺถุ แปลกแต อาเทส เปน อร แทน อาร ในวิภัตติทั้งปวง อาลปนะนั้น เมื่อวาตามแบบ เปนอยางนี้ แตคําพูดและวิธีเขียนหนังสือไมใช ใช ตาต แทน, เอก. ตาต พหุ. ตาตา ใชไดทั่วไปทั้งเรียกบิดาหรือบุตรเหมือนภาษา ของเรา คําวา ตาต (พอ) ถาเปนวิภัตติอื่น เปนชื่อของบิดา ถา เปน อาลปนะ ใชเรียกไดทั้งบิดาทั้งบุตร. ปตุ ศัพท ถาประกอบกับ โต ปจจัย ตองเอาสระที่สุดของตน เปน อิ เปน ปติโร แมศัพทอื่นที่คลายคลึงกัน ก็เอาสระที่สุดของตน เปน อิ ได เชน มาติโต ภาติโต เปนตน. ใช ภาติกา แทน ภาตุ ไดบาง และแจกตามแบบ อ การันต ใน ปุ. ได. มาตุ (มารดา) เปนอิตถีลิงค แจกอยางนี้:- เอก. พหุ. ป. มาตา เอา อุ การันต กับ สิ มาตโร เอา อุ การันต เปน เปน อา อาร อาเทส เปน อร แลว เอา โย เปน โอ
43.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 42 เอก. พหุ. ทุ. มาตร เอา อุ การันต เปน มาตโร (แปลเหมือน ป. พหุ.) อา อาเทส เปน อร แลว คง อ ไว ต. มาตรา เอา อุ การันต เปน มาตราหิ เอา อุ การันต เปน อาร อาเทส เปน อร อาร อาเทส เปน อร เอา นา เปน อา หิ อยูหลัง ทีฆะ อะ มาตราภิ แปลงเหมือนกัน ตาง แตแปลง หิ เปน ภิ มาตุยา เอา นา เปน ยา มาตูหิ หิ อยูหลัง ทีฆะ อุ เปน อู คง หิ ไว มาตูภิ แปลงเหมือนกัน ตาง แตแปลง หิ เปน ภิ จ. มาตุ ลบ ส เสีย มาตราน เอา อุ การันต เปน อาร อาเทส เปน อร น อยูหลัง ทีฆะ อะ เปน อา แลว คง น ไว มาตุยา เอา ส เปน ยา มาตูน ทีฆะ อุ เปน อู คง น ไว
44.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 43 เอก. พหุ. ปฺ. มาตรา เอา อุ การันต เปน มาตาหิ, มาตราภิ อาร อาเทส เปน อร มาตุหิ, มาตูภิ (แปลงเหมือน เอา สฺมา เปน อา ต. พหุ.) ฉ. มาตุ, มาตุยา แปลง มาตราน, มาตูน (แปลงเหมือน เหมือน จ. เอก. จ. พหุ.) ส. มาตริ เอา อุ การันต เปน มาตราสุ เอา อุ การันต เปน อาร อาเทส เปน อร อาร อาเทส เปน อร แลวเอา สฺมึ เปน อิ สุ อยูหลัง ทีฆะ อะ เปน อา แลว คง สุ ไว มาตูสุ สุ อยูหลัง ทีฆะ อุ เปน อู แล คง สุ ไว อา. มาตา (แปลงเหมือน ป. เอก.) มาตโร (แปลงเหมือน ป. พหุ.) ธีตุ (ธิดา) แจกเหมือน มาตุ. วิธีเปลี่ยนวิภัตติและการันตเหมือน ปตุ ตางแตแจกตามแบบ ที่เปนปุลิงคและอิตถีลิงคเทานั้น ในคําพูดและวิธีเขียนหนังสือก็ไมใช อาลปนะตามแบบนี้ ใช อมฺม แทน เอก. อมฺม หพุ. อมฺมา ใชได ทั่วไปทั้งมารดาทั้งธิดา เหมือนภาษาของเราโดยนัยที่ไดอธิบายมาแลว
45.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 44 แตในตัปปุริสสมาส ใชอาลปนะ เปน มาเต, ธีเต, เหมือนคําวา ติสฺสมาเต, เทวมาเต, เทวธีเต, เปนตัวอยาง. มโนคณะ๑ ศัพทหมูหนึ่ง ๑๒ ศัพท มี มน ศัพทเปนตน เรียกวา มโนคณะ เพราะเปนหมูแหง มน ศัพท เปน นามนาม โดยแท การแจกวิภัตติ ของศัพทเหลานี้ คลายกับวิธีแจก อ การันตในปุลิงคและนปุสกลิงค แตมีแปลกอยู ๕ วิภัตติ คือ นา (ต.) กับ สฺมา (ปฺ.) เปน อา ส. ทั้งสอง (จ.กับ ฉ.) เปน โอ, สฺมึ เปน อิน แลวลงตัวอักษร ใหมคือ ส ซึ่งเรียกวา "ลง ส อาคม" ตอที่ทายศัพทมโนคณะนี้ จึงเปน สา เปน โส เปน สิ ดังจะแจกใหเห็นเปนตัวอยาง. มน ศัพทเปน ทฺวิลิงค คือเปน ปุลิงค และ นปุสกลิงค มน ศัพทเปน ปุลิงค แจกอยางนี้. เอก. ป. มโน ทุ. มน (มโน) เหมือน อ การันตใน ปุลิงค ต. มนสา จ. มนโส ปฺ. มนสา } ๕ วิภัตตินี้แปลจาก อ การันต ใน ปุลิงค ฉ. มนโส ส. มนสิ ๑. มโนคณะ พระครูมงคลวิลาส (ลัภ โกสโล ) วัดราชาธิวาส เรียบเรียง
46.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 45 มน ศัพทที่เปน นปุสกลิงค แจกอยางนี้ :- เอก. ป. มน ทุ. มน เหมือน อ การันตในนปุสกลิงค ต. มนสา จ. มนโส ปฺ. มนสา ๕ วิภัตติ แปลกจาก อ การันต ใน ฉ. มนโส นปุสกลิงค ส. มนสิ มนศัพทบางคราวไมไดแจกวิภัตติตามแบบมโนคณะก็มี ดังเชน ใน อาทิตตปริยายสูตรวา มนสฺมึป นิพฺพินฺทตฺ นี้แสดงใหเห็นวา ลง สฺมึ วิภัตติที่มนศัพทเฉย ๆ โดยไมตองลง ส อาคม และเปลี่ยน สฺมึ เปน อิ ตามแบบมโนคณะ. สวนศัพทอื่น ในพวกมโนคณะนี้ มี อย (เหล็ก) เปนตนนั้น เปนปุลิงคทั้งสิ้น และมีวิธีแจกวิภัตติเหมือน มน ศัพทในปุลิงค นอกจากจากจะเปลี่ยนแปลงในตติยาวิภัตติ จนถึงสัตตมีวิภัตติดัง กลาวแลว บางคราวก็เอา อ ทุติยาวิภัตติเปน โอ ไดบาง เชนคําวา อทาเน กุรุเต มโน (แปลวา) ชโน อันวาชน กุรุเต ยอมทํา มโน ซึ่งใจ อทาเน ในความไมให. ยโส ลทฺธา น มชฺเชยฺย (แปลวา) ชโน อันวาชน ลทฺธา ไดแลว ยโส ซึ่งยศ น มชฺเชยฺย ไมพึงเมา.๑ โดยอุทาหรณทั้งสองนี้แสดงใหเห็นวา ศัพทมโนคณะ เมื่อลง ๑. แปลตามนัยอรรถชาดก เลม ๔ หนา ๓๓๖
47.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 46 อ ทุติยาวิภัตติ เอา อ เปน โอ แตไมตองลง ส อาคม. ศัพทมโนคณะ เมื่อตอเขาเปนบทสมาสกับศัพทอื่นแลว ตอง เอาสระที่สุดของตนเปน โอ เหมือนคําวา มโนคโณ หมูแหงมนะ (ฉ. ตัปปุริสสมาส) เอาสะ อะ ที่ น แหง มน ศัพท เปน โอ. อโยมย ของที่บุคคลทําดวยเหล็ก (ต. ตัปปุริสสมาส) เอา สระ อะ ที่ ย แหง อย เปน โอ. เตโชธาตุ ธาตุคือไฟ (อวธารณ กัมมธารยะ ) เอาสระ อะ ที่ ช แหง เตช ศัพท เปน โอ. สิโรรุโห อวัยวะที่งอกบนหัว (ผม) (ส. ตัปปุริสสมาส) เอาสระ อะ ที่ ร แหง สิร เปน โอ. อนึ่ง การแจกวิภัตติศัพทมโนคณะที่เขาเปนบทสมาสกับศัพทอื่น นั้น มิไดแจกตามแบบมโนคณะเหมือนที่กลาวแลวขางตน ทานให แจกตามการันตและลิงคของศัพทหลังเปนเกณฑ เชน มโนคโณ ก็ ใหกําหนดวา คณ เปนศัพทหลังซึ่งเปน อ การันต เปน ปุลิงค แม จะเขาเปนบทสมาสกับศัพทพวก มโนคณะ คือ มน ศัพทก็จริง แต เมื่อถึงคราวแจกวิภัตติ ก็ตองรวมเปนศัพทเดียวกัน คือ เปน มโน- คณะ แจกตามแบบ อ การันตในปุลิงค เหมือนอยาง ปุริส. ศัพทมโนคณะทั้งหมด ซึ่งอยูตามลําพัง ยังมิไดตอเขาเปนบท เดียวกับศัพทอื่นนั้น โดยมากเปน เอาวจนะ อยางเดียว และไม มี อาลปนะ.
48.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 47 บางคราวศัพทที่มีเสียง อะ เปนที่สุด จะเปนจําพวกศัพทมโนคณะ หรือมิใชก็ตาม เรียงอยูขางหนา ทานใหเอา นา ตติยาวิภัตติเปน โส ไดบาง เชน สุตฺตโส พฺยฺชนโส และบางทีก็เอา สฺมา ปฺจมี- วิภัตติเปน โส ไดบางเหมือนกัน เชน อุรโส ทีฆโส เปนตน. กมฺม (กรรม) เปนนปุสกลิงค แจกอยางนี้ :- เอก. พหุ. ป. กมฺม เอา อะ กับ สิ กมฺมานิ เอา อะ กับ โย เปน เปน อ อานิ ทุ. กมฺม คง อ ไว กมฺมานิ (เหมือน ป. พหุ.) ต. กมฺมุนา เอา อะ เปน อุ คง กมฺเมหิ เอา อะ เปน เอ คง นา ไว หิ ไว กมฺเมภิ เอา หิ เปน ภิ จ. กมฺมุโน เอา อะ เปน อุ กมฺมาน ทีฆะ อะ เปน อา คง เอา ส เปน โน น ไว ปฺ. กมฺมุนา เอา อะ เปน อุ กมฺเมหิ เอา สฺมา เปน นา กมฺเมภิ (เหมือน ต. พหุ.) ฉ. กมฺมุโน (เหมือน จ. เอก.) กมฺมาน (เหมือน จ. พหุ.) ส. กมฺมนิ เอา สฺมึ เปน นิ กมฺเมสุ เอา อะ เปน เอ คง สุ ไว อา. กมฺม ลบ สิ เสีย กมฺมานิ (เหมือน ป. พหุ.)
49.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 48 กมฺม ศัพทนี้ แจกเหมือน กุล นปุสกลิงคทีเดียวก็ได แตในที่นี้ แปลกอยูแต นา, ส, สฺมา, ส, สฺมึ เทานั้น. กมฺม ศัพทนี้โดยกําเนิด เปนนปุสกลิงคแท. โค (โค) สามัญ ไมนิยมวาผูเมีย แจกอยางนี้ :- เอก. พหุ. ป. โค ลบ สิ เสีย (คโว) คาโว โย อยูหลัง เอา โค เปน คว หรือ คาว ได แลวเอา โย เปน โอ ทุ. คาว เอา โอ แหง โค คาโว (เหมือน ป. พหุ.) เปน อาวุ คง อ ไว คาวุ เอา โอ แหง โค เปน อาวุ คง อ ไว โคหิ ต. คาเวน เอา โอ แหง โค โคภิ คงรูป เปน อาว แลวเอา คาเวหิ เอา โอ แหง โค เปน คาว นา เปน เอน แลว เอา อะ เปน เอ คาเวภิ เอา หิ เปน ภิ บาง จ. คาวสฺส เอา โอ แหง โค คุนฺน เอา โอ แหง โค เปน อุ เปน อาว เอา ส แลวซอน น. เปน สฺส คาวาน เอา โอ แหง โค เปน อาว ทีฆะ อะ เปน อา คง น ไว
50.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 49 เอก. พหฺ. ปฺ. คาวสฺมา เอา โอ แหง โค โคหิ เปน อาว คง สฺมา ไว โคภิ (เหมือน ต. พหุ.) คาวมฺหา เอา สฺมา เปน มฺหา คาวา เอา สมา เปน อา ฉ. คาวสฺส (เหมือน จ. เอก.) คุนฺน คาวาน (เหมือน จ. พหุ.) ส. คาวสฺทึ เอา โอ แหง โอ โคสุ คง สุ ไว เปน อาว คง สฺมึ ไว คาเวสุ เอา โอ แหง โค เปน คาวมฺหิ เอา โอ แหง โค เปน อาว แลว คง สุ ไว อาว เอา สฺมึ เปน มฺหิ สุ อยูหลัง เอา อะ คาเว เอา โอ แหง โค เปน เปน เอ อาว เอา สฺมึ เปน เอ อา. คาว เอา โอ แหง โค คาโว (เหมือน ป. พหุ.) กบ สิ เปน อาว คําวา โค นี้ เปนคําเรียกรวมทั้งตัวผูและตัวเมีย แตในที่บาง แหง ที่แหยใหรูวาตัวผูตัวเมียแลว ปุ. เอา โค เปน โคณ แจก ตาม อ การันต ใน ปุ. (ปุริส) อิตฺ. เปน คาวี แจกตามแบบ อี การันต อิตฺถี. (นารี). ศัพท ๖ ศัพท ศัพททั้งหลาย ๖ คือ ปุม ชาย, สา หมา (ไมนิยมวา
51.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 50 ผูเมีย) อทฺธา กาลยืดยาว, มฆว ชื่อพระอินทร, ยุว หนุม, สข เพื่อน, เหลานี้ ไมคอยมีคําใชนัก ถึงใชบางก็เปนบางวิภัตติ ไมทั่วไป เชน ๑. ปุม เปนปุลิงค มีที่ใชแต ปฐมา วิภัตติ เอาวจนะ เปน ปุมา เทานั้น. ๒. สา เปนคํากลาง ๆ ไมนิยมวาตัวผูหรือตัวเมีย เหมือน กับศัพทคือ โค มีที่ใชแต ป. เอก. สา ในปุลิงค เปน สุนข (แจกตามแบบ อ การันตในปุลิงค ปุริส) ในอิตถีลิงค เปน สุนขี (แจกตามนี้แจกตามแบบการันตในลิงคนั้น ๆ. ๓. อทฺธา เปนปุลิงค มีที่ใชบางแต เอก. ป. อทฺธา ทุ. อทฺธาน ต. อทฺธนา จ. ฉ. อทฺธุโน ส. อทฺธาเน เทานั้น (เหมือน กมฺม โดยมาก). ๔. มฆว เปนปุลิงค (แจกตามแบบ อ การันตฺในปุลิงค ปุริส) แปลกแต ป. เอก. เปน มฆวา เทานั้น. ๕. ยุว เปนทฺวิลิงค (ปุ. อิต.) ในปุลิงคใชมาแต ป. เอก. ยุวา ในอิตถีลิงคเปน ยุวตี แจกตามแบบ อีก การันตในลิงคนั้น. ๖. สข เปนทฺวิลิงค (ปุ. อิตฺ.) ใชมากแต ปุ. ป. เอก. สขา ในอิตถีลิงคเปน สขี แจกตามแบบ อี การันตในลิงคนั้น.
52.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 51 สังขยา ศัพทที่เปนเครื่องนับนามนาม ชื่อวาสังขยา เพราะเปนคําที่ บงถึงจํานวนของนามนาม ทางภาษาไทยหรือภาษาของชาติอื่น ๆ นิยมจํานวนเลขของชาตินั้น ๆ เพื่อจะใหรูจํานวนที่นับโดยแนนอน คําพูดที่ไมมีจํานวนเลขเปนเครื่องนับ จะรูไมไดวาเทาไร เชน พูด ถึงคนวา คนมีจํานวนนอย ก็ไมรูวามีนอยเทาไร เมื่อจะพูดวาคนมี จํานวนมาก ก็ไมรูวามากเทาไรเหมือนกัน เปนแตเพียงรูไดวานอย และมากเทานั้น ที่จะใหรูแนนอนวา คนจํานวนนอยนั้น คือคน ๑ คน หรือคน ๒ คน และที่วามากนั้นคือจะเปน ๑๐๐ คน หรือ ๑๐๐๐ คนเปนตน ไมได, เปนแตใหรูเพียงปริมาณเทานั้น เมื่อมีตัวเลขเขาควบคุม จึง เปนเครื่องบงใหชัดวาจํานวนนอยเทานั้นเทานี้ และจํานวนมากเทานั้น เทานี้ได ในภาษาบาลีทานก็นิยมการนับเหมือนกัน จึงมีศัพทอยูพวก หนึ่งตางหายที่เรียกวาสังขยา และสังขยานั้น แปลวานับ คือนับ นามนามใหรูวามีจํานวนเทาใด ทานจึงจัดสังขยาไวเปน ๒ เรียกวา ปกติสังขยา ๑ ปูรณสังขยา ๑. ปกติสังขยา ปกติสังขยาสําหรับนับนามนามโดยปกติ เชน ๑-๒-๓-๔-๕ เปน ตน จะนับเวนในระหวางก็ได เชน ๑-๓-๕-๗-๙ เปนตน ซึ่งตรงกับ คําของภาษาไทยวา คนผูหนึ่ง ถือสมุดสองเลม ดินสอขาวสามแทง ดินสอฝรั่งสี่แทง กระดาษหาแผน เดินไป เปนตน นี่แสดงวานับโดย
53.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 52 ลําดับติดกัน ที่นับเวนเสียบางในระหวาง เชน คนผูหนึ่ง ถือ สมุดสามเลม ดินสอขาวหาแทง ดินสอฝรั่งเจ็ดแทง กระดาษเกาแผน เดินไป เปนตน การนับเชนนี้เรียกวาปกติสังขยาทั้งนั้น ปกติสังขยา นั้นเปนคุณนามก็ได เปนนามนามก็ได แตกอนที่จะนับ ผูศึกษาควร ทองศัพทสังขยาที่มีอยูในบาลีไวยากรณใหจําไดเสียกอน เพราะจะนับ โดยวิธีใด ๆ ก็ตาม จําเปนตองรูปจักศัพทสังขยา จึงไดมีศัพทสังขยา ขึ้นอีกแผนกหนึ่ง คือตั้งแต เอก เปนตนไป. บัดนี้จะกลาวถึงสังขยาคุณนามกอน คือคุณนามนั้น ไมมี อิสระตามลําพัง ตองอาศัยหรือพึ่งนามนาม คือมีนามนามเปน หลักเปนเจาของ ถาไมมีนามนามปรากฏอยูแลว ศัพทที่เปนคุณนาม ก็จะแสดงลักษณะไมถูก เพราะวาคุณนามมีหนาที่แสดงลักษณะของ นามนาม จึงจําเปนตองมีนามนามปรากฏอยูในที่ ๆ มีคุณนามทุก ๆ แหง จะเวนเสียไมไดเลยเปนอันขาด จะพูดแตคุณนามอยางเดียว ไมพูดหมายถึงนามนามลงขางหลังคุณนาม เพื่อบงใหคําพูดชัดขึ้น เชน คนอวน สัตวผอม ดังนี้ ก็จะรูไดทันที คําวา คน สัตว นั้นเปนนามนาม อวน ผอม เปนคุณนาม หรือคําพูดใด ๆ ก็ตาม เมื่อผูฟงฉงนสงสัยยังตองถามถึงนามนามที่เปนเจาของ คําพูดทั้งสิ้น
54.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 53 นั้นเปนคุณนาม นี้เปนเหตุแสดงใหเห็นชัดเจนวาคุณนามตองมีนามนาม. แมสังขยาที่จะอธิบายตอไปนี้ ก็เปนคุณนาม จึงเปนทีลักษณะเหมือน กับนามนามนั่นเอง ถามีแตสังขยาอยางเดียวเชน ๑-๒-๓-๔-๕ ก็ ไมอาจรูวา อะไรที่มีจํานวน ๑-๒-๓-๔-๕ เมื่อเติมนามนามลง เชน ๑ คน ๒ คน เปนตน ก็รูไดวาคนมีจํานวนเทานั้นเทานี้ หรือจะนับ นามนามอะไรใหเติมนามนามนั้นลงไป. ปกติสังขยานี้เมื่อจะถือตามคัมภีรศัพทศาสตร ทานแบงเปน ๒ พวก ตั้งแต เอก ถึง จตุ เปนสัพพานามไดดวย ตั้งแต ปฺจ ไป เปน คุณนามอยางเดียว เมื่อจะถือตามนามศัพทจัดเปน ๓ คือตั้งแต เอก ถึง จตุ เปนสัพพนาม ๑ ตั้งแต ปฺจ ถึง อฏนวุติ เปนคุณนาม ๑ ตั้งแต เอกูนสต ไป จัดเปนนามนาม ๑ ที่จัดเปนสัพพนาม คุณนาม นามนามนั้น หมายเฉพาะศัพทสังขยาลวน ๆ แตเมื่อจะประกอบเขา กับนามนามอื่น ๆ ก็เปนคุณนามทั้งสิ้น. และสังขยานั้นเปนไดสาม ลิงค เวนไวแตบางจําพวกที่ทานนิยมใหเปนเพียงลิงคเดียว และเปน เอกวจนะอยางเดียว, ที่เปนสัพพนามก็เปนไดทั้งสามลิงค. คุณนาม ศัพทใด ถามี อ การันต ในเมื่อจะตองเปนคุณนามของศัพทที่เปนอิตถี- ลิงค ใหทีฆะ อะ เปน อา แลวแจกตามแบบ อา การันตอิตถีลิงค (กฺา). สังขยาที่เปนสัพพนามเปนไดทั้งสามลิงคนั้น เชน เอโก ปุคฺคโล บุคคลคนหนึ่ง เอกา อิตฺถี หญิงคนหนึ่ง เอก กุล
55.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 54 ตระกูลตระกูลหนึ่ง สวนคําวา ปฺจ ปุริสา บุรุษ ๕ คน ปฺจ อิตฺถิโย หญิง ๕ คน ปฺจ กุลานิ ตระกูล ๕ ตระกูล ปฺจสตา ภิกฺขู ภิกษุ ๕๐๐ ปฺจสตา อิตฺถิโย หญิง ๕๐๐ ปฺจสตานิ ธนานิ ทรัพย ๕๐๐ เปนตน อันเปนสังขยานาม ในเมื่อเขา สมาสแลวนําหนานามนามอื่น เปนคุณนามได. การจัดลิงค และ วจนะ ตั้งแต เอก ถึง จตุ เปนไดทั้ง ๓ ลิงค เอกศัพทสังขยาเปน เอกวจนะอยางเดียว. ตั้งแต ทฺวิ ถึง จตุ เปนพหุวจนะอยางเดียว และแจกตามแบบของตน ๆ ตามที่ทานแจกไวแลวในบาลีไวยากรณ. ตั้งแต ปฺจ ถึง อฏารส จัดเปน ๓ ลิงค แจกอยาง ปฺจ เหมือนกันทั้ง ๓ ลิงค เปนพหุวจนะอยางเดียว. ตั้งแต เอกูนวีสติ ถึง อฏนวุติ เปนเอกวจนะอยางเดียว และเปนอิตถีลิงค แจกตามแบบอิตถีลิงคอื่น ก็คงอยูอยาง เดิมไมเปลี่ยนไปตาม นามนามที่เปนเจาของสังขยานี้ ตองเปน พหุวจนะอยางเดียว. ตั้งแต เอกูนสต เปนตนไป เปนไดทั้ง ๒ วจนะ และเปนได ๒ ลิงค คือ นปุ. และ อิต. คือ ตั้งแต เอกูนสต ไป เปน นปุ. โกฏิ เปนอิตถีลิงค ที่เปนได ๒ วจนะนั้น คือ ถาปรากฏวา รอย
56.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 55 พัน หมื่น ฯลฯ จัดเปนเอกวจนะ ถามีศัพทสังขยาตั้งแตสองขึ้น ไป อยูขางหนึ่ง จัดเปนพหุวจนะ เชน สองรอย สองพัน สองหมื่น เปนตน. วิธีแจกวิภัตติของศัพทสังขยา ตั้งแต เอก ถึง จตุ แจกตาม แบบเฉพาะตน ๆ. ปฺจ ถึง อฏารส แจกอยาง ปฺจ ทั้ง ๓ ลิงค. ตั้งแต เอกูนวีส ถึง ปฺาส แจกอยาง เอกูนวีส. ในระหวาง จํานวนนั้น ถาศัพทสังขยาใดมี อิ การันต ก็ใหแจกอยาง อิ การันต ในอิตถีลิงค (รตฺติ) คือตั้งแต เอกุนวีสติ ถึง อฏตฺตึสติ และตั้ง แต เอกูนสตฺตติ ถึง อฏนวุติ. ศัพทสังขยาที่มี อี การันต คือตั้ง แต เอกูนสฏี ถึง อฏสฏี แจกตามแบบ อี การันตในอิตถี- ลิงค (นารี). ตั้งแต เอกูนสต ขึ้นไป เวน โกฏิ เปน นปุ. อยางเดียว แจก ตามแบบ อ การันต นปุ. (กุล) เอกศัพท เอก ศัพท ทานนิยมใชสองอยาง ใชเปนสังขยาหนึ่ง ใช เปนสัพพนามอยางหนึ่ง ที่ใชเปนสังขยานั้น สําหรับนับนามนามที่ เปนจํานวนหนวยเทานั้น และเปนเอกวจนะอยางเดียว เชน จีวร ๑ ผืน บาตร ๑ ใบ เปนตน ที่เปนสัพพนาม เปนไดทั้งเอกวจนะ และ พหุวจนะ.
57.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 56 กําหนดวจนะของสังขยา ตั้งแต ทฺวิ ถึง อฏารส เปนพหุวจนะอยางเดียว. ตั้งแต เอกูนวีสติ จนถึง อฏนวุติ เปนอิตถีลิงค เอกวจนะ อยางเดียว. ตั้งแต เอกูนสต จนถึง โกฏิ เปนเอกวจนะ และพหุวจนะ. จํานวน ๙๙ ขึ้นไปเปนนามนาม จึงจัดเปนลิงคได ๒ ลิงค แตเปน นปุ. โดยมาก. เปนอิตถีลิงคเฉพาะ โกฏิ เทานั้น. ๙๙ เมื่อ ประกอบเปนศัพทสังขยา ก็ตองปรากฏเปน สต อยูขางหลัง เพราะ ยังขาดอยูหนึ่งที่จะเต็มจํานวน ๑๐๐ ในที่จะเต็มเชนนี้ ทานนิยมใหใช เอกูน ซึ่งแปลวาหยอนหนึ่งเขามาตอ. ๙๙ ประกอบวา เอกูนสต รอยหยอนหนึ่ง แมจํานวนอื่น ๆ เมื่อยังขาดอยูเพียงหนึ่งจะครบหรือ เต็มก็มีนัยนี้ จะอธิบายขางหนา ในที่นี้เพื่อจะแสดงใหรูวา ๙๙ ขึ้นไป เปนนามนามไดเทานั้น. ที่เปนเอกวจนะไดนั้น เมื่อคิดดูก็สงสัยวา ทําไมจํานวน ตั้งรอยตั้งพันยังเปนเอกวจนะได ขอนี้ทานกําหนดวา รอยเดียว พันเดียว จึงนิยมเปนเอกวจนะ และไมตองใชเอกศัพทลงขางหนา เชนคําวา สต สหสฺส เปนตน เพราะมีจํานวนเดียวอยางนี้ จึง จัดเปนเอกวจนะ จะหมายความเปน สองรอย สองพัน เปนตนไมได.
58.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 57 สังขยานามที่เปนพหุวจนะนั้น ทานกําหนดดวยสังขยาที่เปน พหุวจนะอยูขางหนา ซึ่งเปนเครื่องแสดงใหรูวาไมใชรอยเดียว พันเดียว เชน สองรอย สองพัน เปนตน และจํานวนพหุวจนะนี้ จึงตองมีศัพทสังขยาชั้นคุณนาม ตั้งแต ทฺวิ ขึ้นไป อยูขางหนา เหมือนอยาง ปฺจสตสหสฺสานิ นมามิ สิรสา อห วิธีตอ สังขยาคุณเขากับสังขยานามนั้น จักกลาวขางหนา แตในที่บางแหง แมถึงสังขยาคุณนามจะอยูขางหนา บอกถึงความเปนพหุวจนะก็จริง โดยความนิยมของวิธีสมาสกลายไปเปนเอกวจนะได เชน ติสหสฺส เมื่อปรากฏเชนนี้พึงทราบเถิดวา ทานจัดอยางสมาหารทิคุสมาส. วิธีแจกวิภัตติ สังขยาก็ใชวิภัตติทั้ง ๑๔ ของนามนามนั้นเองแจก แตทาน กําหนดให เพราะทานกําหนดสังขยาไวเปนตอน ๆ บางตอนเปนได เฉพาะเอกวจนะอยางเดียว บางตอนเปนไดเฉพาะพหุวจนะอยาง เดียว บางตอนเปนไดทั้งเอกวจนะ ทั้งพหุวจนะ ดังที่ไดแสดงมา แลวนั้น เมื่อจะลงวิภัตติก็ตองลงใหถูกตามวจนะนั้นอยางใหแยงกัน ตอนใดที่เปนเอกวจนะอยางเดียว ก็ใชวิภัตติ คือ สิ อ นา ส สฺมา ส สฺมึ เทานั้น ตอนใดที่เปนไดแตพหุวจนะอยางเดียว ก็ใชวิภัตติ โย โย หิ น หิ น สุ เทานั้นลง ตอนใดที่เปนไดทั้งสองวจนะ ก็ใช วิภัตติทั้ง ๑๔ ตัวลงได.
59.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 58 สังขยาที่ทานจัดเปนสัพพนามก็ดี คุณนามก็ดี มีลักษณะเหมือน วิเสสนะ คือถานามนามเปนลิงควจนะวิภัตติอันใด สังขยาแผนกนี้ตอง มีลิงค วจนะ วิภัตติ เหมือนนามนาม และเรียงไวขางหนานามนาม เชน จตฺตาโร สติปฏานา สติปฏฐาน ๔ จตสฺโส อปฺปมฺาโย อัปปมัญญา ๔ จตฺตาริ อริยสจฺจานิ อริยสัจ ๔ เวนไวแตสังขยา ที่ทานจัดเปนลิงควิปปลาส และวจนะวิปลาสเทานั้น คือตั้งแต เอกูน- วีสติ ถึง อฏนวุติ ที่ทานจัดเปนอิตถีลิงคเอกวจนะอยางเดียว แม จะเขากับลิงคอื่นที่เปนพหุวจนะ ก็ไมเปลี่ยนไปตาม เชน ปฺจตฺตึสาย ชนาน ลาโภ อุปฺปนฺโน ลาภเกิดขึ้นแลวแกชน ท. ๓๕ ปฺจตฺตึสาย คงเปนเอกวจนะอิตถีลิงคอยูอยางเดิม ไมเปลี่ยนลิงคแลวจนะไปตาม บทนาม คือ ชนาน ซึ่งเปนปุลิงคและพหุวจนะ. สวนสังขยานามนาม เมื่อจะใชบอกนามนามบทใด ก็ใหเอา นามนามบทนั้นประกอบดวยฉัฏฐีวิภัตติพหุวจนะ เรียงไวขางหนา สังขยานามนามนั้น ดังนี้ ภิกฺขูน สต รอยแหงภิกษุทั้งหลาย ภิกฺขูน สหสฺส พันแหงภิกษุทั้งหลาย ซึ่งตรงกับภาษาของเราวา ภิกษุรอยรูป ภิกษุพันรูป. สังขยาที่ทานจัดเปนสัพพนามนั้น เวลาใช ใหใชอยางวิเสสน- สัพพนาม. สังขยาตั้งแต เอก จนถึง นว แตละศัพทเรียกวาจํานวนหนวย เหมือนอยางจะนับตามภาษาไทยวา หนวย สิบ รอย พัน หมื่น
60.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 59 เปนตน แมการใชศัพทสังขยา ก็ตองนับตั้งแตจํานวนหนวยขึ้นไป ดุจเดียวกัน จักอธิบายเปนศัพท ๆ แตจะไมอธิบายถึงแบบแจกและวิธี เปลี่ยนวิภัตติไวอีก ใหผูศึกษาพึงดูในแบบบาลีไวยากรณเถิด. เอก ๑ เอก สังขยาอันเปนเอกวจนะอยางเดียว ทานนิยมใชเปน ๒ คือเปนปกติสังขยาอยาง ๑ เปนสัพพนามอยาง ๑ ที่เปนปกติสังขยา แจกตามแบบของตน ๆ ที่เปนสัพพนามเปนไดทั้ง ๒ วจนะ และทั้ง ๓ ลิงคแจกตามแบบ ย ศัพท แปลกจาก ย ศัพทเฉพาะในอิตถีลิงค เอก. จ. ฉ. เปน เอกิสฺสา. ส. เปน เอกิสฺส เทานั้น ที่เปนพหุวจนะใหแปล วา บางเหลา บางพวก เชน เอเก อาจริยา อาจารย ท. บางพวก เปนตน. ทฺวิ ๒ ทฺวิ ศัพทนี้ยังไมไดแจกวิภัตติ จึงถือวาเปนศัพทเดิม และแจก วิภัตติก็แจกเปนอยางเดียวกันทั้ง ๓ ลิงค เมื่อตอเขากับศัพทสังขยา ที่เปนจํานวนอื่นก็ดี ตอกับศัพทนามก็ดี แปลง ทฺวิ เปน ทิ ทุ ทฺวา พา เทฺว และคง ทฺวิ ไวก็มี ทฺวิ เมื่ออยูหนา ทส วีสติ และ ตึส แปลง ทฺวิ เปน ทฺวา และ พา เชน ทฺวาทส พารส ๑๒, ทฺวาวีสติ พาวิสติ ๒๒, ทฺวตฺตึส พตฺตึส ๓๒, เมื่อเขากับสังขยาจํานวนที่ยิ่งขึ้นไป กวา ทส วีสติ และ ตึส คือตั้งแต จตฺตาฬีส ๔๐ จนถึง นวุติ ๙๐ แปลง ทฺวิ เปน ทฺว และ ทฺวา ได เชน เทฺวจตฺตาฬีส ๔๒
61.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 60 ทฺวาสฏี ๖๒ เทฺวนวุติ ๙๒ เปนตน เมื่อเขากับสังขยานามนาม คง ทฺวิ ไวตามเดิม เชน ทฺวสต ๒๐๐ เปนตน เมื่อเขากับนามนามคง ทฺวิ ไวบาง เชน ทฺวิปาทา สัตว ๒ เทา แปลง ทฺวิ เปน ทิ บาง เชน ทิโช สัตวเกิด ๒ หน (พวกนก) แปลง ทฺวิ เปน ทุ บาง เชน ทุปฏ วตฺถ ผา ๒ ชั้น (สังฆาฏิ) แตจะถือเปนการแนนอนไมได เพราะทานจัดการเปลี่ยนแปลงโดยถือเอาความสละสลวยแหงศัพทมาก กวาอยางอื่น. อุภ ก็แปลวา ๒ เหมือนอยาง ทฺวิ แตใชนับจํานวนนามนาม อยางเดียว ไมไดใชเขากันสังขยานาม เชน สต สหสฺส เปนตน ทั้งมีแบบแจกโดยเฉพาะเหมือนกันทั้ง ๓ ลิงค. ติ ๓ ติ แจกวิภัตติไดตามแบบของตนเอง ใชตอสังขยาอื่นบาง ตอกับนามนามบาง แปลง ติ เปน เต บาง คง ติ ไวบาง เมื่อเขา กับสังขยาจํานวนสิบ แปลง ติ เปน เต เชน เตรส ๑๓ เปนตน เมื่อเขากับสังขยายาม คง ติ ไว เชน ติสต ๓๐๐ ติสหสฺส ๓๐๐๐ (สมาหารทิคุสมาส) เมื่อเขากับนามศัพท คงเปน ติ หรือแปลงเปน เต เชน ติโยชนปรม ใหเกิน ๓ โยชน เตวิชฺโช ผูมีวิชชา ๓ เปนตน. จตุ ๔ จตุ ที่ถูกแปลงไปเปนอยางอื่นบาง ก็ตอเมื่อเปนเศษของสังขยา อื่นเทานั้น คือแปลง จตุ เปน จุ เชน จุทฺทส นอกนั้นคงเดิม เชน
62.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 61 จตุปาริสุทฺธิสีล เปนตน. ตั้งแต ปฺจ ถึง อฏ ไมคอยมีการเปลี่ยนแปลงอะไร จึง ไมตองอธิบาย. นว ๙ นว ศัพทนี้ ถาเพงตามศัพทก็มีนัย ๒ อยาง เปนสังขยา จํานวนนับนามนาม ที่แปลวา ๙ อยางหนึ่ง เปนคุณบทของนามนาม ที่แปลวาใหมอยางหนึ่ง จะรูไดวาเปนสังขยาหรือเปนนามนั้น จักรู ที่การแจกวิภัตติของศัพทนั้น นว สังขยาแจกตามแบบ ปฺจ และ เปนเครื่องนับจํานวนนามนาม และเปนพหุวจนะอยางเดียว สวน นว ที่เปนคุณนามนั้น เปนเครื่องแสดงลักษณะของนามนาม มี ลิงค วจนะ วิภัตติ เหมือนนามนาม และจัดเปนเอกวจนะก็ได เปนพหุวจนะก็ได เพื่อใหศัพทนี้แปลกกัน ทานนิยมไวดังนี้ ถาเปน สังขยา ทานไมลง ก ตอทาย ปลอยไวเฉย ๆ เชน นวภิกฺขู ภิกษุ ท. ๙ รูป ถาเปนคุณนาม ทานลง ก ตอทาย นวโกวาท นวก+โอวาท โอวาทเพื่อภิกษุใหม และ นว ที่เปนคุณนามซึ่งไม ใชสังขยา ถาเปนคุณของนามนามที่เปนปุลิงค แจกอยาง ปุริส ถาเปนคุณของนามนามที่เปนนปุสกลิงค แจกอยาง กุล ถาเปนคุณ ของนามนามที่เปนอิตถีลิงค ตองทีฆะสระที่สุดเปน อา แลวแจกอยาง กฺา. สังขยาจํานวนสับ หรือหลักสิบ คือสังขยาจํานวนที่นับตั้งแต
63.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 62 ๑๐ ถึง ๙๐ เรียกวาจํานวนสิบ เมื่อตองการจะทราบวากี่สิบ หรือสิบ อะไร คือ ๒๐ หรือ ๓๐ เปนตน ใหเอาจํานวนหนวยคูณจํานวน ๑๐ จักรูได เชน ๓๐ เมื่อตั้ง ๑๐ แลวเอา ๓ คูณเปนตน. แตในภาษาบาลี มีอยูโดยเฉพาะ เชน ทส= ๑๐ วิสติ = ๒๐ ตึสติ = ๓๐ เปนตน. แตบางศัพทซึ่งนาคิด คือ ทานใหเอา ท ที่ ทส เปน ร ใน เมื่อตอกับจํานวนเศษของสิบ เชน เตรส ๑๓ เปนตน และใหเอา ท หรือ ร เปน ฬ ได ในเมื่อ ฉ อันเปนเศษของ ๑๐ คือ ๑๖ ถูก แปลงเปน โส แลว จึงเปน โสฬส. และบางแหงทานใหลง ติ หลัง ศัพทเหลานี้ไดบาง คือ วีส ตึส เปน วีสติ ตึสติ และใหเอา สระที่สุดของ เอก ทฺวิ อฏ (อันเปนเศษของสิบ) เปน อา บาง จําเปน เอกาทส ทฺวาทส อฏารส (ตามนัยมูลกัจจายนะ หนา ๒๔๘-๒๓๙). อนึ่ง จํานวนที่ยังขาดอยู ๑ จักเต็มในจํานวน ตั้งแต ๒๐ ขึ้นไป เชน ๑๙-๒๙-๓๙ เปนตน ทานไมนิยมใชศัพท นว ตอขางหนา ใหนิยมนับเปนตนวา ยี่สิบหยอนหนึ่ง คือ ๑๙ นั้นเอง ในที่เชนนั้น ใหใชศัพทวา เอก+อูน = เอกูน ซึ่งแปลวาหยอนหนึ่ง หรือยังขาด อยูหนึ่งที่จะเต็มในจํานวนนั้น ๆ ไมไดประกอบตามที่นาจะเปนได เชน ๑๙ เปน นวทส, ๒๙ เปน นววีสติ, ๓๙ เปน นวตฺตึสติ. ตามที่ทานนิยมตองประกอบดังนี้ ๑๙ เอกูนวีสติ, ๒๙ เอกูนตึสติ, ๓๙ เอกูนจตฺตาฬีส, ฯเป ฯ เอกูนสต.
64.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 63 สังขยาจํานวนรอย (สังขยานาม) วิธีนับทานใหเอาจํานวน ๑๐ คูณจํานวน ๑๐ จึงเปนจํานวน ๑๐๐ คือ ๑๐x๑๐ แลวใหเอาจํานวน ๑๐ นั่นแหลคูณจํานวนที่คูณแลว โดยคูณกันเปนระยะ ๆ เชน ๑๐x๑๐ เปน ๑๐๐ แลวเอา ๑๐๐x๑๐ เปน ๑,๐๐๐ เปนตน, คําวา ๑๐ และ ๑,๐๐๐ เปนตน ฟงดูคลาย ๆ จักมีเอกศัพทในสังขยาเพื่อบอก จํานวนอยูดวย แตที่แทไมตองใชเอกศัพทเลย เพราะสังขยาจํานวน เต็มลวน ๆ ที่ไมมีสังขยาคุณตออยูขางหนาแลว เปนเอกวจนะอยาง เดียว เชน สต สหสฺส เปนตน ดังที่ไดแสดงมาแลว. สังขยาที่เหลือจากจํานวนเต็ม สังขยาที่เหลือจากจํานวนนั้น หมายความวา นอกจากจํานวนที่ตั้งเดิมแลว เปนสังขยาที่เหลือ หรือเศษ คือสังขยาที่ปรากฏในระหวาง และเศษนี้จะเปนสังขยาคุณ ก็ตาม เปนสังขยานามก็ตาม เรียกวาเศษทั้งนั้น เชน ๑๑๐ ตามคําพูด ของเราตองเรียกวา รอยสิบ แตตามภาษาบาลี ทานคิดจํานวน ๑๐๐ เปนจํานวนเต็ม จํานวน ๑๐ เปนจํานวนเศษ และเรียกวารอยยิ่งดวย สิบ แมสังขยาจํานวนอื่น ๆ ก็มีนัยเดียวกัน เชน ๑,๐๐๐-๑๐,๐๐๐- ๑๐๐,๐๐๐ เปนตน ก็เรียกจํานวนเต็ม. จํานวนสังขยาที่ปรากฏใน ระหวางจํานวนเต็ม เรียกวาเศษ เชน ๑,๗๒๕ จํานวน ๑,๐๐๐ เปน จํานวนเต็ม, ๗๐๐ ก็ดี ๒๐ ก็ดี เปนจํานวนเศษ, เพราะทาน กําหนดนับเปนหลัก ๆ และนับตั้งแตขางหลังไปหาขางหนา เมื่อเปน เชนนี้ เลข ๕ จึงเปนจํานวนหนวย เลข ๒ อยูหลักสิบเทากับ ๒๐ เลข ๗ อยูที่หลักรอย เทากับ ๗๐๐.
65.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 64 วิธีตอจํานวนเศษ สังขยาที่เหลือจากจํานวนเต็มนั้น เมื่อจะตอเขากับจํานวนเต็ม ทานใหใช อุตฺตร และ อธิก มาคั่นในระหวางของจํานวนนั้น ๆ ทุกจํานวนที่เหลือ กําหนดใช อุตฺตร อยูใกลสังขยาคุณ, อธิก อยู ใกลสังขยานาม. อุตฺตร อธิก ทั้งสองนี้เปนคุณนาม เมื่อใชประกอบ ตองใหเปนคุณนามของสังขยาที่เปนจํานวนเต็ม (คือสังขยาที่เปนตัว ประธาน) จะนับนามนามใด ใหเอานามนามนั้น ประกอบวิภัตติลง ในระหวาง นามนามที่อยูใกลสังขยาคูณ ในประกอบดวยตติยาวิภัตติ อยางเดียว สวนวจนะนั้นใหถือตามสังขยาคุณ นามนามที่อยูใกล สังขยานามที่เปนเศษ ใหประกอบดวยตติยาวิภัตติทุก ๆ จํานวน สวนวจนะก็ใหถือตามสังขยานั้น ๆ และควรถือตัวอยางจาก พุทธศักราช ที่ทานวางไว แตที่นั้นทานประกอบเปนรูปสมาส แลวลบศัพทเสียบาง ตามวิธียอสมาส เชน ๒,๔๘๓ ป ปรากฏวา ตฺยาสีติสวจฺฉรุตฺตรจตุ- สตาธิกานิ เทฺว สวจฺฉรสหสสานิ เมื่อแยกออกใหเปนศัพท ๆ เพื่อ เห็นงาย ก็เปน ตฺยาสีติยา สวจฺฉเรหิ อุตฺตรานิ จตูหิ สวจฺฉราน สเหติ อธิกานิ เทฺว สวจฺฉาน สหสฺสานิ แปลวาอันวาพัน ท. แหงป ท. สอง ยิ่งดวยรอย ท. แหงป ท. สี่ยิ่งดวยป ท. แปลสิบสาม เราจะเห็นไดวา อุตฺตร อยูใกลสังขยาคุณ คือ ตฺยาสีติยา ๘๓, อธิก อยูใกลสังขยานาม คือ สเหติ ๑๐๐, อุตฺตร และ อธิก ทั้งสองนี้ ถาตองประกอบสังขยาที่เปนเศษหลาย ๆ ชั้น ตองใชสลับกัน คือ
66.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 65 อุตฺตร แลว อธิก, แตตองถือวาให อุตฺตร อยูใกลสังขยาคุณ, อธิก อยูใกลสังขยานาม, และบางคราว อธิก จะอยูในที่ใกลกันก็ ใชได. วจนะนั้น ถาปรากฏเปนเลข ๑ ขึ้นหนา เปนเอกวจนะอยางเดียว (แตไมใชเอกศัพท), ถาเลขตั้งแต ๒ ขึ้นไป ขึ้นหนา เปนพหุวจนะ อยางเดียว, จํานวนเศษไมถือเปนประมาณ เชน ๑,๕๘๔ เชนนี้เปน เอววจนะ, สังขยาคุณจะรวมกันเปนศัพทเดียว ดังที่แสดงมานั้นก็ได หรือจะแยกออกเปนจํานวน ๆ ก็ได. อฑฺฒ ศัพท สังขยาที่มีจํานวนที่สุดคือจํานวนหลัง ตั้งแต ครึ่งรอย คือ ๕๐ หรือ ครึ่งพัน คือ ๕๐๐ หรือ ครึ่งหมื่น คือ ๕,๐๐๐ เปนตน เพื่อจะ ใหจํานวนหลังเต็ม ทานนิยมใช อฑฺฒ ศัพท ประกอบ สวนจํานวน ขางหนานั้นไมจํากัดจํานวน เชน ๑๕๐-๓,๕๐๐-๖,๕๐๐ เปนตน เมื่อ ประกอบดวย อฑฺฒ ศัพท ก็ตองเพิ่มจํานวนขางหนาขึ้น เชน ๑ ตองเปน ๒,๓ เปน ๔, และ ๖ ก็เปน ๗ เปนตน เพราะ อทฺฒ แปลวา กึ่ง หรือ ครึ่ง โดยมากมีสังขยาจํานวนหนา ลงปจจัยใน ปูรณตัทธิต คือ ติย, ถ, , ม, อี, จึงเปนเอกวจนะอยางเดียวตาม ปูรณตัทธิต. ๑๕๐ ประกอบเปน อฑฺเฒน ทุติย สต=ทิยฑฺฒสต รอยที่ ๒ ทั้งกึ่ง (หนึ่งรอย กับ ครึ่ง คือ ๑๕๐), ๓,๕๐๐ อฑฺเฒน จตฺตฺถ สหสฺส=อฑฺฒูฑฺฒสหสฺส พันที่ ๔ ทั้งกึ่ง (สามพันกับ ครึ่ง คือ ๓,๕๐๐) หรือจะเปน อฑฺฒจตุตฺถาสหสฺส ก็ได. ในแบบ
67.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 66 ทานวางตัวอยางไวเพียงที่ ๔ ทั้งกึ่ง เมื่อจะประกอบใหมากไปกวานี้ ก็พึงเอา ทฑฺฒ ศัพทประกอบขางหนาสังขยาที่เปนเศษ และโดยมาก ลงปจจัยในปรูณตัทธิต เชน ๗๕๐ วา อฑฺฒฏม สต รอยที่ ๘ ทั้งกึ่ง, จํานวนอื่นก็พึงเทียบตามนี้. สังขยาที่ประกอบดวย อฑฺฒ ศัพทนี้ ถาไมลงปจจัยในปูรณ- ตัทธิต เปนพหุวจนะได เชน อฑฺฒเตรสานิ ภิกฺขุสตานิ รอยแหง ภิกษุ ท. ๑๓ ทั้งกึ่ง (๑,๒๕๐) ดังนี้. ผูศึกษาพึงดูในอธิบายปูรณ- ตัทธิตเถิด. ปูรณสังขยา ปูรณสังขยานี้ เปนคุณนามอยางเดียว ใชนับจํานวนนามนาม ในที่เต็ม คือนับเฉพาะ เชน ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ เปนตน หมายเอาแต อยางเดียว ที่เดียว หรือคนเดียว จึงไดความสันนิษฐานวา เปน เอกวจนะอยางเดียว เหมือนอยางวา คนยืนหรือนั่งเปนแถว ๆ สัก ๒๐ คน เมื่อถูกเรียกวา คนที่ ๑๕ จงไป ก็ตองไปไดเพียงคนเดียว คือคนที่ ๑๕ เทานั้น. ปูรณสังขยานี้ ก็ใชปกติสังขยานั้นเอง แตตอง ลงปจจัยในปูรณตัทธิต ทําใหแปลกกัน จึงไดมีชื่อเรียกวาปูรณสังขยา เพราะเรียกตามปจจัยที่ลงปูรณสังขยานี้ ทานไดอธิบายไวปูรณสังขยา ละเอียดในปูรณติทธิต ผูตองการจงตรวจดูเถิด. สวนการแจกวิภัตติ และการันตในแบบปรากฏอยูชัดเจนแลว แตมีอยูบางคํา เชน เอกาทสี จตุทฺทสี ปณฺณรสี อันเปนอิตถีลิงค แจกในปฐมาวิภัตติ ลง
68.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 67 นิคคหิตอาคมได คือเปน เอกาทสึ จตุทฺทสึ ปณฺณรสึ ตามที่มา ในมูลกัจจายน สูตรที่ ๓๓๔ หนา ๙๕. นอกนั้นมีในแบบไวยากรณ ชัดเจนแลว.
69.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 68 สัพพนาม๑ ผูศึกษาเคยทราบในตอนตนมาบางแลววา คํานี้จัดเปนสวนหนึ่ง ของนามศัพท ซึ่งมีลักษณะใชแทนคํา นามนามทั้งสอง (สาธารณะ และ อสาธารณะ) หรือขอความตาง ๆ ที่เคยออกชื่อ และเขาใจ กันอยูแลว ถาเราจะแยกคํา สัพพนาม นี้ออก ก็จะได สพฺพ แปลวา "ทั้งปวง" คําหนึ่ง, นาม แปลวา "ชื่อ" คําหนึ่ง, เมื่อรวมเขา เปนสมาส ก็แปลวา "คําที่เปนชื่อทั้งปวง " คือหมายความวาเปน คําแทนชื่อ เพื่อใหทราบถึง นามนาม ที่เคยกลาวมาแลว, หากไม มีคําประเภทนี้ไวใช เนื้อความก็ดี คําพูดก็ดี จะซ้ํา ๆ ซาก ๆ จน นาเบื่อหู ดังจะเห็นไดในประโยคตัวอยางนี้วา "นายดํา ไปหานาย ขาว นายดําถามนายขาววา ทําไมนายขาวไมไปเที่ยวบานนายดํา บาง เดี๋ยวนี้ที่บานนายดําสนุกมาก"ดังนี้ ขอใหผูศึกษาสังเกตการ ใชถอยคําซ้ําซาก เชนนั้น จะขัดหูผูฟง ผูอาน หรือไม ถาเปนจริง อยางที่วาแลว ควรจะเปลี่ยนถอยคําสํานวนเสียใหม วา "นายดํา ไปหานายขาว แกถามเขาวา ทําไม คุณไมไปเที่ยวที่บางผมบาง เดี๋ยวนี้ที่นั้นสนุกมาก" ดังนี้ คําวา แก เขา คุณ ผม นั้น ทั้ง ๕ คํานี้ปรากฏขึ้นในประโยคตัวอยางขางหลัง เพื่อจะตัดคํานาม นามที่ซ้ํากันออกเสีย และคงไวที่จําเปน คําชนิดนี้แหละบาลีไวยากรณ เรียกวา สัพพนาม แตทางฝายภาษาไทย เรียกวาคําแทนชื่อดังกลาว ๑. สัพพนาม พระครูมงคลวิลาส (ลัภ โกสโล) วัดราชาธิวาส เรียบเรียง
70.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 69 แลว. ตัวอยางทั้งสองที่ยกขึ้นมาจนอางนั้น ลองนึกเปรียบเทียบดูวามีขอ แตกตางหรือเหมือนกันอยางไรบาง เมื่อกําหนดถึงใจความโดยเฉพาะ แลวก็เหมือนกัน แตถาจะมุงฟงถอยคําหรือสํานวนโวหารแลวคงผิด กันมาก เพราะตัวอยางขางตนมีรุงรังไปดวยคําซ้ํา ๆ ซาก ๆ กลาว คือจะตองเอยถึงตัว นามนาม คือ นายดํา นายขาว กันเรื่อยไป จนกวาจะจบเรื่อง, สวนตัวอยางขางปลายนั้น มีคําวา แก เปนตน เขา มาแทนตัวนามนาม คําซ้ําซากจึงหมดไป นับวาเปนการถูกตองตาม วิธีภาษาที่นิยมที่ใชกันอยูทั่ว ๆ ไป ฉะนั้น คําสัพพนาม จึงตองมี หนาที่แทน นามนา ที่ออกชื่อมาแลว เพื่อปองกันคําซ้ําซากอันไม นาฟง และทานแบงคํานี้ออกเปนสอง คือเปน ปุริสสัพพนาม ๑ วิเสสนสัพพนาม ๑. ปุริสสัพพนาม นาจะทําความเขาใจคําวา ปุริส ซึ่งอยูหนาสัพพนามเสียกอน ศัพทนี้แปลกันวา บุรุษ หรือผูชาย แตในบาลีไวยากรณไมได หมายความวา เปนคําสําหรับใชผูชายอยางเดียว แมจะเปน ผูหญิงหรือมิใชก็ตาม คงมีความหมายเชนเดียวกัน คือ ปุริส ยอม มุงหมายที่จะทําหนาที่แทนตัวนามนามที่ออกชื่อมาแลว และกําลังที่จะ ออกชื่อกลาวโตตอบกันอยู ทั้งที่เปน คน สัตว ที่ สิ่งของ ฉะนั้น คําวา ปุริส ในที่นี้ เปนแตเพียงโวหารที่นิยมใชกันอยูในสวนหนึ่ง
71.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 70 ของบาลีไวยากรณ เพื่อเปนเครื่องหมายสําหรับใชเรียกชื่อศัพท ประเภทหนึ่งเทานั้น แตความมุงหมายคงมีทั่ว ๆ ไป ดังกลาว แลว. อีกนัยหนึ่ง โดยมากสํานวนโวหารของภาษาบาลีที่พูดเปนกลาง ๆ ไมเจาะจงใคร หรือ คนพวกหนึ่ง พวกใด แตมุงจะกลาวสอนหรือ ตักเตือนเปนเบื้องหนา ก็มักจะยกคําวา บุรุษ บุคคล ชน สัตว ขึ้น กลาวเปนประธานแหงเนื้อความนั้น ๆ ตอไปนี้จะยกพระพุทธภาษิตที่มี เฉพาะแตคําวา ปุริโส หรือบุรุษ เปนประธานขึ้นเปนตัวอยาง พอ เปนเครื่องพิสูจนเปรียบเทียบ คือ :- ๑. สทฺธา ทุติยา ปุริสสฺส โหติ ศรัทธาเปนเพื่อนสองของบุรุษ. ๒. ทุลฺลโภ ปุริสาชฺโ บุรุษอาชาไนยหาไดยาก. ๓. อปฺปสฺสุตาย ปุริโส บุรุษ ผูสดับแลวนอยนี้ ยอมแก พลิวทฺโทว ชีรติ เหมือนโคถึก. ๔. หิรินิเสโธ ปุริโส บุรุษผูเกียดกันอกุศลวิตกเสีย ดวย โกจิ โลกสฺมิ วิชฺชติ ความละอาย นอยคนจะมีในโลก. อุทาหรณทั้ง ๔ ขอนี้ ผูศึกษาคงจะเห็นไดแลววามีคํา ปุริโส หรือ บุรุษ เปนตัวประธานแหงเนื้อความนั้น ๆ ถาพิจารณาตาม พยัญชนะแลว ดูเหมือนกับวา พระพุทธเจาจะทรงสั่งสอนแนะนําเฉพาะ
72.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 71 แตพวกบุรุษฝายเดียวเทานั้น หาไดเกี่ยวของไปถึงฝายผูหญิงไม แต ถาใครเขาใจเชนนั้น ก็นับวาเขาใจผิดถนัด เพราะพระพุทธภาษิต หรือ พุทธศาสนา ยอมประกาศเผยแพรใหทุกคน ไมจํากัดเพศภูมิ ฐานะและวัย ปฏิบัติตามไดทั้งนั้น ดังที่เราเขาใจกันอยูแลว ฉะนั้น รวมใจความวา ปุริโส คํานี้เปนสาธารณะโวหารที่นิยมใชอยูในภาษา บาลีทั่วไป ทั้งที่เปนสวนไวยากรณ และสวนธรรมคําสั่งสอน แม ในอาขยาตทานก็จัดบุรุษเปน ๓ ตามกิริยาศัพทที่ประกอบดวยวิภัตติ นั้น ๆ และมีความมุงหมายเปนอยางเดียวกัน ดวยอํานาจความเกี่ยว ของแหงบุคคลกับคําพูด ที่ใชสนทนาซึ่งกันและกัน ฉะนั้น ปุริส- สัพพนามนี้ ทานจึงจัดเปน ๓ ตามบุรุษที่กลาวไวในอาขยาต คือ ต ๑, ตุมฺห ๑, อมฺห ๑. ต (ปุริสสัพพนาม) ต ศัพทจัดเปน ปฐมปุริส หรือ ประถมบุรุษ สําหรับใช แทนชื่อ คน สัตว ที่ สิ่งของ ที่กลาวมาแลว ทานบัญญัติ แปลเปนไทยวา ทาน เธอ เขา มัน เปนตน เปลี่ยนใหถูกตาม ฐานะชั้นเชิงของบุคคล แตในภาษาบาลีตองเปลี่ยน ลิงค วจนะ วิภัตติ ของ ต ปุริสสัพพนาม ใหตรงกับ ลิงค วจนะ วิภัตติ ของนามนาม ที่ออกชื่อถึง เชนในปฐมาวิภัตติ จะตองเปนไป อยางนี้.
73.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 72 เอกวจนะ พหุวจนะ ลิงค ประถมบุรุษ นามนาม ประถมบุรุษ นามนาม ชโน ชนา มุนิ มุนโน, มุนี ปุ. โส กรี เต กริโน, กรี ครุ ครโว, ครู วิฺู วิฺุโน, วิฺู ตารา ตาราโย, ตารา อีติ อีติโย, อีตี อิต. สา ธานี ตา ธานิโย, ธานี ยาคุ ยาคุโย, ยาคู จมู จมุโย, จมู ธน ธนานิ นปุ. ต อจฺจิ ตานิ อจฺจีนิ มธุ มธูนิ ตามตัวอยางขางบนนี้จะเห็นไดวา นามนาม มีการันตตางกัน แต ต ศัพท แจกวิภัตติแลวยังคงรูปอยูอยางเดียว และจะตองตรง กันเชนนี้ไปทุก ๆวิภัตติ สวนการแจกและการเปลี่ยนแปลงวิภัตตินั้น
74.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 73 ในแบบบาลีไวยากรณเลมนาม ทานแสดงไวโดยชัดเจนแลว ใหผูศึกษา พึงกําหนดแจก ต สัพพานาม กับ ตัวนามนามใหตรงกันโดยนัยนี้. วิธีใช ต ปุริสสสัพพนาม ไดกลาวมาในเบื้องตนแลววา คํานี้สําหรับใชแทน นามนาม ที่ เคยออกชื่อมาแลว เพื่อจะมิใหมีคําซ้ําซาก ในประโยคคําพูดนั้นๆ ขอใหผูศึกษาพึงสังเกตอุทาหรณในเลมนามขอ ๘๓ อาจริโย ม ฯ เป ฯ ชั้นเถิด สวนในภาษาไทยไมไดใชยืนเปนแบบเดียว มียักเยื้องไปตาม ชั้นเชิงของบุคคล พึงเห็นวิธีใชคําปุริสสัพพนาม ที่เปนประถมบุรุษ ในภาษาไทย ดังตอไปนี้ ต ประถมบุรุษ แปลเปนไทย ใชตามชื่อของบุคคลที่ออกชื่อถึง๑ คํา ประถมบุรุษ ชั้นบุคคลที่ปุริสสัพพนามนั้นใชแทน พระองค พระราชา เจานายชั้นสูง พระ, ธ, (ในคําประพันธ) พระราชา เจานายชั้นสูง ทาน เจานาย ขุนนางผูใหญ พระสงฆสามเณร ผูที่นับถือ มีมารดาบิดาเปนตน เธอ ผูที่ยกยอง เขา ผูเสมอกัน หรือ ผูที่ไมสนิทสนมกัน แก คนแก ผูที่ไมใชอยูในเกณฑเคารพนับถือ มัน สัตวดิรัจฉาน สิ่งของ สถานที่ ๑. ดัดแปลงมาจาก สนามไวยากรณ วิจีวิภาค.
75.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 74 ตุมฺห ศัพทนี้ จัดเปนมัชฌิมปุริส หรือ มัธยมบุรุษ สําหรับใชแทน ชื่อผูฟง คือผูที่เรากําลังพูดหรือถามกันซึ่ง ๆ หนา ในระหวางที่ สนทนากันอยู จะเปนคนหรือสัตวไมเปนประมาณ เพราะทุก ๆ ภาษา ไมนิยมออกชื่อผูฟง หรือผูที่เรากําลังพูดอยูดวยนั้นขึ้นกลาวตรง ๆ จึงตองบัญญัติคําขึ้นคําหนึ่ง สําหรับใชแทนตัวนามที่เปนผูฟงนั้น เพื่อ กันความเคอะเขินที่จะตองออกนามจริงกันซึ่งหนา ตัวอยางเชน พระ ก. ถามพระ ข. วา "ทานไปไหนา ? " ดังนี้ คําวา "ทาน" เปนคําแทนชื่อของพระ ข. ซึ่งเปนผูฟงคําถามของพระ ก. เพราะ ฉะนั้น พระ ข. จึงตองเปนมัธยมบุรุษ ในภาษาบาลีบัญญัติ ตุมฺห ศัพทเดียวเทานั้น สําหรับใชแทนชื่อจริงของนามดังกลาวแลว แตถา จะแปลออกเปนภาษาไทยก็ไดหลายคํา เชน เขา ทาน สู เอ็ง มึง เปนตน ตามลําดับฐานะชั้นเชิงของนามนามนั้น เพื่อใหเหมาะสมกับ ความสูงต่ําหรือเสมอกันกับผูพูด และถูกตองตามภาษานิยม พึงดูวิธี ใชมัธยมบุรุษในภาษาไทย ดังจะนํามาเปนตัวอยางเพื่อเปนทางให ผูศึกษาเทียบเคียงดู แลวแปลภาษาบาลีออกเปนภาษาไทย ให ถูกตองตามนิยม อยาใหเปนการเคอะเขินในเมื่อแปลคําแทนชื่อนั้น ๆ ดังตอไปนี้ :-
76.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 75 ตุมฺห มัธยมบุรุษ แปลเปนไทย ใชใหถูกตามชั้นของบุคคลผูฟง ๑ คํามัธยมบุรุษ ชั้นผูพูด (อมฺห) ชั้นผูฟง (ตุมฺห) ใตฝาละอองธุลีพระบาท ผูนอย พระราชา ใตฝาละอองพระบาท ผูนอย พระราชินี, พระยุพราช ใตฝาพระบาท ผูนอย เจานายชั้นสูง ฝาพระบาท เจานายที่เสมอกัน เจานายชั้นรองลงมา หรือผูนอย สมเด็จบรมพิตร พระราชสมภารเจา พระสงฆ พระราชาที่ยกยอง บพิตรพระราชสมภาร เจาหรือมหาบพิตร พระสงฆ พระราชาทั่วไป บพิตร พระสงฆ เจานาย, ขุนนางชั้นสูง ใตเทากรุณาเจา ผูนอย สมเด็จเจาพระยา ใตเทากรุณา ผูนอย ขุนนางชั้นสูง, พระ- ราชคณะ เธอ ผูใหญ ผูนอยที่ยกยอง
77.
๑. ดัดแปลงมาจาก สยามไวยากรณ
วจีวิภาค.
78.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 76 คํา มัธยมบุรุษ ชั้นผูพูด (อมฺห) ชั้นผูฟง (ตุมฺห) ทาน คนสุภาพทั่วไป, คนสุภาพทั่วไป, พระ คฤหัสถ, พระสงฆที่ สงฆ ที่มีพรรษามาก มีพรรษานอยกวา กวา คุณ คนสุภาพทั่วไป, พระ คนสุภาพทั่วไป, พระ สงฆมีพรรษามาก สงฆผูมีพรรษานอย กวา กวา หลอน ชายที่รัก หญิงที่รัก สู (โบราณ) ผูใหญ ผูนอย, เอ็ง แก มึง ผูเปนนาย หรือ ผูนอย, เพื่อนที่ชอบ ผูใหญกวา เพื่อน พอกัน ที่ชอบพอกัน ศัพทนี้จัดเปน อุตฺตมปุริส หรือ อุดมบุรุษ สําหรับใชแทนชื่อ ผูพูด ภาษาทั่วไปเมื่อพูดจะออกชื่อตนเอง ไมออกชื่อตรง ๆ หาคํา อื่นมาใชแทน จึงตองบัญญัติคําขึ้นคําหนึ่ง สําหรับใชแทนชื่อผูพูด เพื่อใหคูสนทนาเขาใจความหมาย เชนตัวอยางวา พระ ก. บอกกับ พระ ข. วา "วันนี้ผมอาพาธ" คําวา "ผม" เปนคําแทนชื่อของ พระ ก. ซึ่งเปนตัวผูพูด และเปนอุดมบุรุษ ในภาษาบาลีทานบัญญัติ
79.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 77 อมฺห ศัพทเดียวเทานั้น สําหรับใชแทนชื่อผูพูด แตถาจะแปลเปน ภาษาไทยก็ไดหลายคํา เชน ฉัน ขา กู เปนตน ตามลําดับฐานะ ชั้นเชิงของผูพูดนั้น เพื่อใหเหมาะสมกับความสูงต่ําหรือเสมอกันกับ ผูฟง ทั้งใหถูกตองตามภาษานิยมดวย พึงดูวิธีใชอุดมบุรุษในภาษา ไทย ดังตอไปนี้ :- อมฺห อุดมบุรุษ แปลเปนไทย ใชใหถูกตองตามชั้นของผูพูด อุดมบุรุษ ผูพูด ผูฟง ขาพระพุทธเจา ผูนอยทั่วไป พระราชา, เจานายชั้นสูง เกลากระผม ผูนอยทั่วไป เจานายชั้นรองลงมา กระหมอนฉัน เจานายผูใหญ หรือ เจานายเสมอกันหรือ หมอนฉัน ผูเสมอกัน, ขุนนาง ผูนอย กระหมอม ผูใหญ อาตมภาพ พระสงฆ พระราชา, เจานาย, ขุนนาง เกลากระผม เกลาผม ผูนอยทั่วไป ขุนนางชั้นสูง, พระ ราชาคณะชั้นสูง กระผม ขุนนางผูใหญ หรือ พระสงฆ, ขุนนาง เสมอ ผูเสมอกัน, คนสุภาพ กัน, คนสุภาพ ผูนอย, ดีฉัน (โบราณ) ผูใหญ พระสงฆผูนอย
80.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 78 อุดมบุรุษ ผูพูด ผูฟง อิฉัน ผูนอย (หญิง) ผูใหญ, ไมใชเจานาย ตู (โบราณ) สามัญ สามัญ ขา (โบราณ) ผูนอย ผูใหญ ขา, กู (ไมสุภาพ) ผูเปนนาย, เพื่อนกัน คนใช, เพื่อกัน เรา (โบราณ) ผูใหญ ผูนอย เรา ทั่วไปหลายคน ทั่วไปไมใชเจานาย และขุนนางชั้นสูง ขาพเจา ขาเจา ทุกชั้น ใชเปนกลางทั่วไป คําแปลของปุริสสัพพนาม คือ ต ตุมฺห อมฺห ที่กลาวมา แลวนี้ ยังไมสิ้นเชิง คําพูดของภาษาไทยที่ใชในคําประเภทนี้มีมาก อาจหมุนเวียนไปตามกาลสมัย และทองถิ่นนั้น ๆ นิยมกัน. วิธีใช ตุมฺห และ อมฺห ทั้งสองศัพทนี้ สําหรับใชแทนนามคูสนทนา ดังกลาวแลว และ จะตองนําไปแจกวิภัตติเสียกอนเหมือนศัพททั้งหลายอื่น แตการแจก วิภัตตินั้น ก็แจกมีรูปอยางเดียวกันทั้ง ปุลิงค และ อิตถีลิงค ดังที่ทาน แสดงไวในแบบนามนั้นแลว.
81.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 79 นามนาม ซึ่งเปนคูสนทนา จะเปนลิงคอะไร ตุมฺห อมฺห ทั้ง ๒ นี้ ก็คงอยูอยางนั้น ไมเปลี่ยนไปตาม และการแปลก็ออกชื่อ คําแปล ตุมฺห อมฺห นั้นโดยตรงกันวิภัตติของตน พรอมดวยออก ชื่ออายตนิบาตไปดวย เชน ตฺว อันวา ทาน , ตุมฺหาก แหงทาน ทั้งหลาย, อห อันวาเรา, อมฺหาก แหงเราทั้งหลาย, เปนตน ไมเหมือน ต ศัพทที่เปนสัพพนามดวยกัน ซึ่งจะตองใหมี ลิงค วจนะ วิภัตติ ตรงกันกับตัว นามนาม ที่ออกซึ่งถึง และเปนปุริสสัพพนาม ก็ แปลคลาย ๆ กับ ตุมฺห อมฺห เชน โส อันวา เขา เปนตน ถา เปนวิเสสนสัพพนาม ก็แปลวา นั้น โดยไมตองออกชื่ออายตนิบาต แตจะตองโยคตัวนามนามที่กลาวแลวขางตนมาดวย เชน โส นโร อันวา คนนั้น. อนึ่ง เฉพาะ ตุมฺห ศัพทนั้น เมื่อคูสนทนาจะแสดงความ เคารพ ในเมื่อผูพูด เปนผูนอย อีกฝายหนึ่งซึ่งเปนผูฟง เปนผูใหญ ทางฝายผูพูดตองเรียกนามผูใหญนั้นดวย ตุมฺห ที่เปนพหุวจนะ เชน ศิษยเขาไปพูดกับอาจารยวา (ตุมฺเห๑ ) อปรสฺสป เถรสฺส คุณ ทสฺเสถ แปลวา ขอทานจงแสดงคุณของพระเถระรูปอื่นอีก และ โสมทัตไดพูดกับบิดาของเขาวา ตุฒฺเหหิ ราชกุล คนฺตฺวา เอว อภิกฺกมิตพฺพ แปลวา อันทานไปแลวสูราชสกุล พึงกาวไปขางหนา อยางนี้. ๑. อุภัยพากยปริวัตน ภาค ๒ ขอ ๕๐๑ ๒. ธมฺมปทฏกถา ๕/๑๑๙
82.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 80 ทั้ง ๒ อุทาหรณนี้ จะเห็นไดวา ตุมฺเห ก็ดี ตุมฺเหหิ ก็ดี เปนพหุวจนะสําหรับใชแทนอาจารยคนเดียว และบิดาคนเดียว ใน ฐานที่ศิษยกับบุตรแสดงความเคารพตอผูใหญของตน และจะไมตอง ออกชื่อพหุวจนะ วาทั้งหลาย ในเวลาแปลก็ได. ใช เต เม โว โน อยางไร เต โว ออกมาจาก ตุมฺห มัธยมบุรุษ, เม โน ออกมาจาก อมฺห อุตตมบุรุษ. ทั้ง ๔ ศัพทนี้ เมื่อจะเรียงเขาประโยคตองมีบท อื่นนําหนากอน จึงจะใชได เชน ๑. ปุตฺโต เต วย ปตฺโต บุตร ของทาน ถึงแลว ซึ่งวัย. ๑ ๒ ๔ ๓ ๑ ๒ ๓ ๔ ๒. (อห) สตฺต โว ภิกฺขเว อปริหานิเย ธมฺเม เทเสสฺสามิ ๒ ๖ ๗ ๑ ๕ ๔ ๓ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เรา จักแสดง ซึ่งธรรมทั้งหลาย (อัน) ไมเปน ๑ ๒ ๓ ๔ ที่ตั้งแหงความเสื่อม เจ็ดประการ แกเธอทั้งหลาย. ๕ ๖ ๗ ๓. นตฺถิ เม สรณ อฺ ที่พึ่ง อยางอื่น ของขาพเจา ๔ ๓ ๑ ๒ ๑ ๒ ๓ ไมมี. ๔
83.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 81 ๔. ธมฺโม โน อุตฺตม สรณ พระธรรม เปนที่พึ่ง (อัน) ๑ ๔ ๓ ๒ ๑ ๒ สูงสุด ของเราทั้งหลาย. ๓ ๔ ตองมีบทอื่นนําหนาเชนนี้ ก็เพราะศัพททั้ง ๘ นี้ เมื่อแจกวิภัตติ แลว มีรูปเหมือนกับกันศัพทอื่น ซึ่งมีความหมายไปอีกทางหนึ่ง คือ เต แปลวา เขาทั้งหลาย, เหลานั้น, เปน ต ศัพท ป. ทุ. พหุวจนะ. โว แปลวา โวย เปนนิบาต สักวาเปนเครื่องทําบทใหเต็ม. โน แปลวา ไม เปนนิบาตบอกปฏิเสธ. อาศัยเหตุนี้ จึงตองมีบทอื่นนําหนา เต โว มัธยมบุรุษ และ เม โน อุตตมบุรุษ วิเสสนสัพพนาม เฉพาะคําวา "สัพพนาม" คําเดียว ซึ่งเปนสงหนึ่งของ นามศัพทหนึ่ง ผูศึกษายังจําไดอยูวา "เปนชื่อสําหรับใชแทนนามนาม ที่ออกชื่อมาแลว เพื่อจะไมใหซ้ํา ๆ ซาก ๆ ซึ่งไมเพราะหู" ดังที่ ทานไดแสดงไวในเลมนามและอัพยยศัพท ขอ ๓๗ นั้นแลว แตใน ที่นี้ตองเติมคําวา วิเสสนะ เขาขางหนาสัพพนาม อีกคําหนึ่ง จึง รวมเปนคําเดียวกันเรียกวา วิเสสนสัพพนาม.
84.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 82 วิเสสนสัพพนามนี้ ไมไดเปนคําพูดที่ใชแทนตัวนามนามโดยตรง ทีเดียว มีลักษณะคลาย ๆ กับคุณนาม แตก็ไมไดเปนคุณนามแม เพียงโดยปริยาย เมื่อใชประกอบเขากับนามนามตัวใด ก็มุงหมาย เพื่อใหนามนามตัวนั้นปรากฏแนชัดขึ้น ทั้งเปนการแสดงใหรูความ ตางกันแหงนามนามนั้นกับนามนามอื่น ซึ่งไดออกชื่อมาแลวดวย ฉะนั้น เพื่อจะใหทราบความตางกันในขอนี้ จึงสมควรที่จะทําความเขาใจใน คําวา วิเสสนะ เสียกอน. วิเสสนะ คํานี้ ถาแปลเปนภาษาไทย ก็ตองเขียนเปน วิเสสน แปลวา การแยก การทําใหแตกตาง หรือทําใหจะแจง หมายความวา เปน คําจําพวกที่ใชประกอบคําอื่น ใหมีเนื้อความแปลพิเศษออกไปโดย ชัดเจน จัดประเภทออกเปน ๓ คือ เปนคุณ ๑ สัพพนาม ๑ กิริยา (กิตก) ๑. ๑. วิเสสนะ ที่เปนคุณ เรียก คุณนาม สําหรับประกอบกับ นามนาม บอกลักษณะของนามนามนั้นใหรูวาดีหรือชั่วอยางไร เชน เขียว (นีล), ดี (สุนฺทร) , ใหญ (มหนฺต), ฯลฯ แมศัพทสังขยา ที่เปนคุณนาม ก็สงเคราะหเขาในวิเสสนะประเภทนี้เหมือนกัน ดังที่ ไดอธิบายมาในตอนตนนั้นแลว. ๒. วิเสสนะ ที่เปนสัพพนาม เรียก วิเสสนสัพพนาม สําหรับ
85.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 83 บอกความกําหนดแนนอนและ ใหรูวานามนามนั้นอยูในที่ ใกลหรือไกล เชน นั้น (ต), นี้ (อิม), อื่น (อฺ) ฯลฯ ซึ่ง จะไดอธิบายตอไป. ๓. วิเสสนะ ที่เปน กิริยา เรียก กิริยากิตก เฉพาะที่แจก วิภัตติได และเปนกิริยาที่ทํากอน กิริยาสุดทายในประโยคเดียวกัน ตัวอยางเชน จูฬปนฺถโก คจฺฉนฺโต สตฺถาร ทิสฺวส อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิ พระจูฬปนถกกําลังเดินอยู เห็นพระศาสดาแลว เขาไปถวาย บังคม. คจฺฉนฺโต เปนกิริยากิตก จัดเปนวิเสสนะของนามนาม คือ จูฬปนฺถโก เพราะเปนกิริยาที่ทํากอน วนฺทิ อันเปนกริยาสุดทาย ในประโยคนั้น. กิริยากิตกที่ลง อนฺต ปจจัย แจกดวยปฐมาวิภัตติ ถาอยูหลังตัวประธาน หนากริยาหมายพากย ทางสัมพันธเรียกวา อัพภันตรกิริยา โดยมากถาเปนวิภัตติอื่นจากปฐมาวิภัตติ และ ฉัฏฐี- วิภัตติที่เปนกิริยาอนาทร และสัตตมีวิภัตติที่เปนกิริยาลักขณวันตะ แลว เปนวิเสสนะทั้งสิ้น. วิเสสนะประเภทนี้ สําหรับบอกความเคลื่อน ไหวของนามนาม ใหรูวานามนามนั้นมีอาการอยางไร เชน เดิน (คจฺฉนฺต), ยืน (ิต), นั่ง (นิสีทนฺต) เปนตน. วิเสสนะทั้ง ๓ ประเภทนี้ เมื่อนําไปประกอบกับนามนามบทใด ตองมี ลิงค วจนะ วิภัตติ เหมือนนามนามบทนั้น พึงเห็นตัวอยาง ดังตอไปนี้ ๑. ธมฺมปทฏกถา ๒/๒๑๘.
86.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 84 วิเสสนะ ภาษาไทย ภาษาบาลี ภูเขาใหญ มหนฺโต ปพฺพโต ปุ. ที่เปน คุณนาม ชบาเขียว นีลา ชปา อิต. สกุลดี สุนฺทร กุล นปุ. ชายนั้น โส ปุริโส ปุ. ที่เปน สัพพนาม หญิงนี้ อย อิตฺถี อิต. ทรัพยอื่น อฺ ธน นปุ. คนยืน นโร ิโต ปุ. ที่เปน กิริยา เด็กหญิงเดิน ทาริกา คจฺฉนฺตี อิต. หญางอก ติณ รุฬิห นปุ. ตัวอยางขางบนนี้เปนเอกวจนะอยางเดียว และจะเห็นไดวา วิธีเรียกคําที่เปนวิเสสนะในภาษาไทย กับภาษาบาลีไมเหมือนกัน คือ ในภาษาไทย วิเสสนะทั้ง ๓ อยาง อยูหลังนามนาม แตในภาษาบาลี นั้น วิเสสนะที่เปนคุณกับสัพพนาม โดยมากอยูขางหนานามนาม ที่ เปนกิริยา มักจะอยูขางหลังโดยมาก. อนึ่ง ศัพทนิบาตบางศัพท ซึ่งใชประกอบกับคํากิริยา เพื่อใหมี เนื้อความแปลไปจากปกติ บางแหงทานเรียกวา คุณของกิริยา ก็ จัดเปน วิเสสนะ ไดเหมือนกัน และเรียกศัพทเหลานั้นวา กิริยาวิเสสน หรือ กิริยาวิเสสนะ ตัวอยางเชน
87.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 85 เอว เวทหิ เจาจงวาอยางนี้ เอว แปลวา อยางนี้ เปนศัพท นิบาต ประกอบเขากับ กิริยา คือ วเทหิ ซึ่งแปลวา เจาจงวา. ปุนปฺปุน กโรถ พวกทานจงทําบอย ๆ ปุนปฺปุน แปลวา บอย ๆ เปนศัพทนิบาต ประกอบเขากับกิริยา คือ กโรถ ซึ่งแปล วา จงทํา. นิบาตที่เปนกิริยาวิเสสนะ จะตองอยูหนากิริยาเสมอไป. นามนาม กับ วิเสสนะ ตัวประธานของวิเสสนนั้น ไดแกศัพทที่เปน นามนาม และ ปุริสสัพพนาม ซึ่งไดกลาวมาแลวในตอนตน เวลาแปลตองออกชื่อ อายตนิบาตของวิภัตตินั้น ๆ ดวย สวนตัววิเสสนะ เวลาแปลไมตอง ออกชื่ออายตนิบาตของวิภัตติ เพราะไดออกชื่อที่บทนามนามแลว และ บทนามนามกับวิเสสนะนั้นเลา ก็มีลิงค วจนะ วิภัตติ ตรงกัน ดัง ตัวอยางตอไปนี้ :- สา อาวุโส เทวี ปริปกฺกคพฺภา อตฺตโน นิวาสนฏานภูต ๓ ๑ ๒ ๔ ๘ ๗ เทวทห คนฺตุกามา ฯลฯ แปลวา ดูกอนผูมีอายุ อันวาพระนางเทวี ๖ ๕ ๑ ๒ พระองคนั้น มีพระครรภแก ใครเพื่อจะเสด็จไป สูกรุงเทวทหะ ๓ ๔ ๕ ๖ เปนที่เคยประทับ ของพระองค ๗ ๘ ๑. อุภัยพากยปริวัฒน ภาค ๒ ขอ ๔๔๕.
88.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 86 ทั้งคําไทยและคําบาลี หมายเลข ๗ เปนนาม ปฐมาวิภัตติ มี ออกชื่อ อายตนิบาต ปฐมาวิภัตติวา "อันวา" แตหมายเลข ๓-๔-๕ จัดเปนวิเสสนะของบทบาท หมายเลข ๖ นั้น ก็เปนนามนาม แตเปน ทุติยาวิภัตติ แปลออกชื่ออายตนิบาตวา "สู" แตคําหมายเลข ๗ ไมไดแปลออกชื่ออายตนิบาตเลย เพราะเปนคุณหรือวิเสสนะ ของ คําหมายเลข ๖ อยูแลว. ในวากยสัมพันธ คํานามนามที่ไมไดประกอบ ปฐมาวิภัตติ และมีบทวิเสสนะกํากับอยูดวย ทานเรียกชื่อสัมพันธ ตามหลักการสัมพันธ. วิเสสนสัพพนาม กับ คุณนาม ตางกัน วิเสสนสัพพนาม สําหรับใหเปนบทวิเสสนะของนามนาม เพื่อ ใหแปลกจากปกติ และทําใหนามนามนั้นเดนชัดขึ้นอีกดวย ทั้งแสดง ใหรูวากําหนดแนนอนหรือไม อยูใกลหรืออยูไกล แตจะใชเปนบท ประธานเหมือนอยางปุริสสัพพนามนั้นไมได มีวิธีแจกวิภัตติอยางหนึ่ง ตางหาก ไมเหมือนกับคุณนาม ซึ่งจะตองแจกตามแบบนามนาม เสมอ และถึงแมจะอยูในจําพวก สัพพนาม ดวยกันก็จริง แตหาได ใชแทนนามนามโดยตรงทีเดียวไม มีลักษณะทาทีคลาย ๆ กับคุณนาม ดังกลาวแลวขางตน. สวน คุณนาม นั้น เปนคําสําหรับใชบอกลักษณะดีหรือชั่วเปนตน
89.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 87 ของนามนาม ใหปรากฏชัดเจนขึ้น เพื่อใหรูวา นามนามนั้นเปน อยางไร ตัวอยางเชน "บุรุษนั้นดี" คําวา บุรุษ เปนนามนาม เปน บทประธานในประโยคคําพูดนี้, คําวา "นั้น" เปนวิเสสนสัพพนาม เพราะเปนคําที่ใชประกอบบทนามนาม คือ บุรุษ ใหเห็นวาอยูไกลจาก ผูกลาวถึงไปหนอย และกําหนดแนนอนดวยวา เปนบุรุษคนนั้นไมใช คนอื่น หรือคนนี้ สวนคําวา "ดี" เปนคุณนามโดยตรง เพราะ แสดงลักษณะบุรุษ ซึ่งเปนนามนาม ใหรูวาเปนบุรุษที่ดี ไมไดเปน คนชั่ว หรือเปนอยางอื่น ตัวอยางนี้แสดงใหเห็นวา วิเสสนสัพพนาม กับ คุณนาม นั้นตางกันแลวอยางไร แตลักษณะบางอยางที่เหมือน กันก็มี เชน ตางก็ตองใชเปนบทประกอบ บอกลักษณะอาการของ นามนามดวยกัน และตางก็ตองมี ลิงค วจนะ วิภัตติ เปนอยาง เดียวกันกับ นามนาม ตัวนั้น. อนิยม กับ นิยม ทั้งสองคํานี้ ถูกแบงมาจาก วิเสสนสัพพนาม ซึ่งมีความหมาย ตางกัน และศัพทที่ใชก็ตางกัน ดังตอไปนี้ :- อนิยม ศัพทนี้แปลวา ไมกําหนด หรือไมแน สัพพนามที่ใชแทนนามนาม ที่ไมกําหนดแนนอนลงไปวาเปนสิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือคนนั้นคนนี้ เรียกวา อนิยม วิเสสนสัพพนาม ไดแกคําตอไปนี้ :-
90.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 88 ย แปลวา ใด อฺ " อื่น อฺตร " คนใดคนหนึ่ง อฺตม " คนใดคนหนึ่ง ปร " อื่น อปร " อื่นอีก กตร " คนไหน กตม " คนไหน เอก " คนหนึ่ง, พวกหนึ่ง เอกจฺจ " บางคน, บางพวก สพฺพ " ทั้งปวง กึ " หรือ, อะไร อุภย " ทั้งสอง เปนคําใชแทน หรือ ประกอบ นามนาม โดยไมไดกําหนด แนนอนลงไปวา สิ่งนั้น สิ่งนี้ หรือ คนนั้น คนนี้ เปนตน เชน "โย ปุคฺคโล" แปลวา บุคคลใด คําวา "ใด" เปน อนิยม วิเสสนสัพพนาม ประกอบคําวา บุคคล ใหวิเศษขึ้น แตยังรูไมไดวา เปนบุคคลนั้น หรือบุคคลนี้ อยูในที่ใกลหรือไกล รูไดแตเพียงวาเปน นามนามอยางหนึ่ง ซึ่งยกขึ้นกลาววา บุคคล คือ จะเปนบุคคลใด ๆ ก็ตาม ยอมมีความมุงหมายถึงทั้งหมด ฉะนั้น คําวา "ใด" นี้ จึง
91.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 89 หาความกําหนดแนนอนลงไปเดียวไมได สวนคําตอไปนอกจาก เอก กับ กึ มี อฺ เปนตน ก็มีนัยเดียวกัน. เอก ถาผูศึกษาตรวจดูในขอ ๗๓-๘๑ เลมนาม และ อัพยยศัพทให ตลอดถี่ถวน จะเห็นไดวา เอก ศัพทนี้เปนสังขยาก็ได เปนอนิยม- วิเสสนสัพพนาม ก็ได. เอก ที่เปนสังขยา เรียกวา สังขยา สําหรับใชเปนเครื่อง กําหนดนับนามนาม โดยมุงหมายก็เพื่อจะใหทราบจํานวนของนามนาม วามีเทาไร ฉะนั้น เอกสังขยา จึงตองเปน คุณนาม และเปนได เฉพาะแต เอกวจนะ อยางเดียว. เอก ที่เปนอนิยมวิเสสนสัพพนาม เรียกวา เอกสัพพนาม ไมไดมุงหมายที่จะนับ นามนาม เพื่อใหทราบจํานวน เปนแตเพียงใช ประกอบเขากับบทนามนาม เพื่อความสละสลวยแหงสํานวนโวหาร ที่จะกลาวขึ้นในเบื้องตนแหงเรื่องนั้น ๆ ดังจะเห็นไดในเรื่องพระสูตร ตาง ๆ มักจะขึ้นตนวา (เอวมฺเม สุต), เอก สมย ภควา สาวตฺถิย วิหารติ แปลวา (ขาพเจาไดฟงมาแลวอยางนี้) สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาค เสด็จประทับอยูในเมืองสาวัตถี ฯลฯ ดังนี้ คําวา เอก เปนวิเสสนะ (อนิยมวิเสสนสัพพนาม) ของ สมย แตไมได มุงหมายที่จะนับ สมัย วา หนึ่งสมัย หรือ สองสมัย ฉะนั้น
92.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 90 จึงตองแปล เอก สมย วา สมัยหนึ่ง. ถา เอก ศัพทนี้ประกอบ เขากับคําวา คน หรือ พวก ก็แปลวา คนหนึ่ง หรือ พวกหนึ่ง ซึ่งผิดกันกับ เอก ที่เปนสังขยา โดยมาก จะตองแปลวา หนึ่งคน หรือ หนึ่งพวก เปนตน. เอกสัพพนาม นี้ เปนไดทั้งสองวจนะ เพราะมีความหมายตางกัน ดังกลาวแลว. กึ ศัพทนี้ สําหรับใชเปนคําถาม แมจะเปนอนิยมวิเสสนสัพพนาม ดวยกันก็จริง แตมีวิธีใชพิสดารหลายอยาง ซึ่งตางจากศัพทอื่นๆ ในประเภทเดียวกัน พึงสังเกตในหัวขอตอไปนี้ :- ๑. การแจกวิภัตติ กึ ศัพท ในปุลิงคทานใหแปลง กึ เปน ก แลวแจกตามแบบ ย ศัพท ดังนี้ :- ปุลิงค เอก. พหุ. ป. โก เก ทุ. ก เก ต. เกน เกหิ จ. กสฺส เกส เกสาน ปฺ. กสฺมา กมฺหา เกหิ ฉ. กสฺส เกส เกสาน ส. กสฺมึ กมฺหิ เกสุ
93.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 91 อิตถีลิงค เอก. พหุ. ป. กา กา ทุ. ก กา ต. กาย กาหิ จ. กสฺสา กาส กาสาน ปฺ. กาย กาหิ ฉ. กสฺสา กาส กาสาน ส. กสฺส กาสุ ๒. ในนปุสกลิงค ใหคงรูป กึ ไวเฉพาะแตใน ป. ทุ. เอกวจนะ และในที่บางแหงเอา ก เปน กิ ไดบาง เชนในคําวา ต กิสฺส เหตุ และคําวา กิสฺมึ วตฺถุสฺมึ. นอกนั้นใหแปลงเปน ก แลวแจกตาม แบบ ย ศัพท ดังนี้ :- นปุสกลิงค เอก. พหุ. ป. กึ กานิ ทุ. กึ กานิ ต. เกน เกหิ จ. กสฺส (กิสฺส) เกส เกสาห ปฺ. กสฺมา กมฺหา เกหิ ฉ. กสฺส (กิสฺส) เกส เกสาน ส. กสฺมึ (กิสฺมึ) กมฺหิ เกสุ
94.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 92 ๓. กึ ศัพทในปุ. อิต. นั้นแปลได ๒ อยาง คือ ถาประสงค ใหเปนวิเสสนสัพพนาม ก็แปลวา "ไร" หรือ "อะไร" ตองระบุชื่อ นามนาม เหมือน ต ศัพทที่เปนวิเสสนสัพพนาม เชน โก รุกฺโข ตนไม อะไร. กา รชฺชุ เชือก อะไร. ถาประสงคใหเปนประธาน ก็ แปลวา "ใคร" ไมตองระบุนามนาม คือใชตามลําพังตนเอง เหมือน ต ศัพทที่เปนปุริสสัพพนาม เชน โก ใคร และโดยมากที่แปลวาใคร นั้น มักใชที่เปนปุลิงค เอกวจนะเปนพื้น. ๔. ที่แจกไดในลิงคทั้งสามนั้น ถาเพิ่ม จิ เขาขางทาย ก็จะมีรูป เปน โกจิ กาจิ กิฺจิ เปนตน (ผูศึกษาควรฝกหัดแจกใหครบทั้ง ๗ วิภัตติ โดยตอ จิ เขาขางหลังวิภัตตินั้น ๆ ) แปลวา "นัยหนึ่ง" บาง, "บางคน" หรือ "บางสิ่ง" บาง, และเปนคําใหวาซ้ําสองหน เหมือนวิธีใชไมยมก (ๆ) ในภาษาไทยเชน "ใคร ๆ" หรือ "ไร ๆ" บาง, ถาเปนพหุวจนะ แปลวา "บางพวก" หรือ "บางเหลา, เหลา ไหน" หรือ "เหลาไร" ตัวอยาง เชน :- เอกวจนะ ปุ. โกจิ กุมาโร แปลวา เด็กชาย บางคน อิต. กาจิ กุมาริกา " เด็กหญิง บางคน นปุ. กิฺจิ ธน " ทรัพย บางอยาง พหุวจนะ. ปุ. เกจิ กุมารา " เด็กชายทั้งหลาย บางพวก อิต. กาจิ กุมาริกาโย " เด็กชายทั้งหลาย บางพวก นปุ. กานิจิ ธนานิ " ทรัพยทั้งหลาย บางอยาง
95.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 93 ๕. กึ ศัพทที่มี ย นําหนา มี จิ ตอทาย ถาแจกวิภัตติในลิงค ทั้งสาม ก็จะสําเร็จรูปดังนี้ :- ปุลิงค เอก. พหุ. ป. โย โกจิ เย เกจิ ทุ. ยงฺกฺจิ เย เกจิ ต. เยน เกนจิ เยหิ เกหิจิ จ. ยสฺส กสฺสจิ เยส เกสฺจิ, เยสาน เกสานฺจิ ปฺ. ยสฺมา กสฺมาจิ เยหิ เกหิจิ ฉ. ยสฺส กสฺสจิ เยส เกสฺจิ, เยสาน เกสานฺจิ ส. ยสฺมึ กสฺมิฺจิ เยสุ เกสุจิ. อิตถีลิงค เอก. พหุ. ป. ยา กาจิ ยา กาจิ ทุ. ยงฺกฺจิ ยา กาจิ ต. ยาย กายจิ ยาหิ กาหิจิ จ. ยสฺสา กสฺสาจิ ยาส กาสฺจิ, ยาสาน กาสานฺจิ ปฺ. ยาย กายจิ ยาหิ กาหิจิ ฉ. ยสฺสา กสฺสาจิ ยาส กาสฺจิ, ยาสาน กาสานฺจิ ส. ยสฺส กสฺสฺจิ ยาสุ กาสุจิ.
96.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 94 นปุสกลิงค เอก. พหุ. ป. ยงฺกิฺจิ ยานิ กานิจิ ทุ. ยงฺกิฺจิ ยานิ กานิจิ ต. เยน เกนจิ เยหิ เกหิจิ จ. ยสฺส กสฺสจิ เยส เกสฺจิ, เยสาน เกสานฺจิ ปฺ. ยสฺมา กสฺมาจิ เยส เกหิจิ ฉ. ยสฺส กสฺสจิ เยส เกสฺจิ, เยสาน เกสานฺจิ ส. ยสฺมึ กสฺมิฺจิ เยสุ เกสุจิ ที่มี อยูหนา จิ นั้น เอานิคคหิตเปน ดวยอํานาจ จ อยู ขางหลัง ตามวิธีสนธิขอ ๓๒ ในอักขรวิธี. สวนการแปลก็ตางจากที่กลาวมาแลว คือใน ปุ. กับ อิตฺ. เอกวจนะ ใหแปลวา "คนใดคนหนึ่ง, แหงใดแหงหนึ่ง, อยางใด- อยางหนึ่ง." พหุวจนะ ใหแปลวา "พวกใดพวกหนึ่ง, เหลาใดเหลา หนึ่ง " ใน นปุ. ใหแปลวา "อันใดอันหนึ่ง." จงสังเกตทําความเขาใจตามอุทาหรณในแบบนาม ขอ ๘๗. ๖. กึ ศัพทไมไดเปนอนิยมวิเสสนสัพพนามแตอยางเดียว เปน นิบาตบอกความถาม เรียกวา ปุจฺฉนตฺถนิบาต ก็มีเหมือนกัน แปลวา "หรือ" ถาเปนคําถามถึงเหตุ แปลวา "ทําไม" ก็ได ดังอุทาหรณในแบบนาม ขอ ๘๗.
97.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 95 นิยม ศัพทนี้แปลวา "กําหนด" คือกลาวชี้ตัว นามนาม ใหปรากฏ โดยชัดเจนทีเดียว ไมกระจัดกระจายทั่วไปในนามอื่นที่กลาวมาแลว. สัพพนามพวกนี้ไดแก :- ต แปลวา "นั้น" สําหรับใชแทน นามนาม ที่หางออกไปพอ ประมาณ หรือกลาวใหปรากฏชัดวา คนนั้น หรือ สิ่งนั้น, ไมใช คนอื่น หรือ สิ่งอื่น. เอต แปลวา "นั่น" สําหรับใชแทน นามนาม ที่ใกลเขามาหนอย หรือเปนโวหารกลาวซ้ําใหปรากฏเปนครั้งที่สอง. อิม แปลวา "นี้" สําหรับใชแทน นามนาม ที่ใกลที่สุด หรือ กลาวใหแนชัดวาเปน คนนี้ หรือ สิ่งนี้, ไมใช คนนั้น คนอื่น หรือสิ่งนั้น สิ่งอื่น. อมุ แปลวา "โนน" สําหรับใชแทน นามนาม ที่หางที่สุด. เพื่อจะใหความเขาใจในตอนนี้ดีขึ้น ผูศึกษาจงเปดดูอุทาหรณ ในนาม ขอ ๘๓ ซ้ําอีกที แลวจงพยายามตรึกตรอง และกําหนด หมายเลขที่ทานลงกํากับไวที่ศัพท และคําแปลนั้น ๆ ใหดี ถึงแมวา ในอุทาหรณเหลานั้นจะมีแตที่ใชกับ ต ศัพทอยางเดียวก็จริง แตเชื่อวา อาจนํา เอต, อิม, อมุ เขาไปใชแทน และเทียบเคียงกับ ต นั้น ไดบาง ฉะนั้นในที่นี้จึงไมจําเปนตองเขียนอุทาหรณไวอีก.
98.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 96 สัพพนามทั้งปวงเปลี่ยนรูปได ผูศึกษาพึงสังเกตในนาม ขอ ๙๓ ใหดี จะเห็นไดวา สัพพนาม ทั้งหมด ทั้งที่เปนอนิยมและนิยม เมื่อลงปจจัยในอัพยยตัทธิตแลว ก็กลายรูปไปเปนศัพท อัพยยตัทธิต อีกตอหนึ่ง (ในแบบบาลี ไวยากรณนาม ทานรวมเรียกวา อัพยยศัพท เพราะรวมอุปสัค เขาดวย) จะแจกดวยวิภัตติทั้ง ๗ ไมได ไมมีลิงค ไมมีวจนะ แต จําตองใชศัพทนั้น ๆ ในฐานะที่เปน ตติยาวิภัตติ และ สัตตมีวิภัตติ แมจะประกอบเขากับนามนาม ที่เปน ลิงคใด วจนะใด ก็ตาม สัพพนามที่แปรรูปไปเปน อัพยยตัทธิต แลวนั้น ก็ยังคงปรากฏเปน รูปเดิมอยู คือใชไดทั้ง ๓ ลิงค ๒ วจนะ สวนคําแปลก็ไมละทิ้งจาก รูปสัพพนามไปไดเลย เชน สพฺพตฺถ าเน กับ สพฺพตฺถ าเนสุ ก็ยังคงใช สพฺพตฺถ เหมือนกัน ดังจะไดเห็นคําอธิบายที่จะกลาวถึง อัพยยศัพท ตอไปขางหนา. อนึ่ง เมื่อเราทราบดีแลววา สัพพนาม นั้น สําหรับใชแทน นามนาม ประกอบเขากับนามนาม หรือโยคตัวนามนามที่กลาวมา แลว โดยที่จะตองประกอบ สัพพนาม กับ นามนาม ใหมี ลิงค วจนะ วิภัตติ ตรงกัน. แตวิธีแจกวิภัตตินามศัพททั้งสองนี้ไมเหมือน กัน ฉะนั้นผูศึกษาใหม ๆ ควรฝกหัดแจกเทียบ สัพพนาม กับ นามนาม ควบกันไปในคราวเดียว เพื่อปองกันความฟนเฝอ และเพื่อใหเกิด ความชํานาญในเมื่อถึงคราวฝกหัดการแปล. ในที่นี้จะแจกใน ปุลิงค
99.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 97 ยกศัพท ย กับ ภิกฺขุ ขึ้นแจกเปรียบเทียบในวาระเดียวกัน พอ เปนตัวอยาง ดังตอไปนี้ :- วิภัตติ เอก. พหุ. สัพพนาม นามนาม สัพพนาม นามนาม ป. โย ภิกฺขุ เย ภิกฺขโว ทุ. ย ภิกฺขุ เย ภิกฺขโว ต. เยน ภิกฺขุนา เยหิ ภิกฺขูหิ จ. ยสฺส ภิกฺขุสฺส เยส ภิกฺขูน ปฺ. ยสฺมา ภิกฺขุสฺมา เยหิ ภิกฺขูหิ ฉ. ยสฺส ภิกฺขุสฺส เยส ภิกฺขูน ส. ยสฺมึ ภิกฺขุสฺมึ เยสุ ภิกฺขูสุ ตามรูปแจกเปรียบเทียบขางบนนี้ ผูศึกษาคงเห็นไดแลววา สัพพนาม กับ นามนาม ตองมี ลิงค วจนะ วิภัตติ ตรงกัน อยางไร นี่เปนแตเพียงระหวาง ย สัพพนาม กับ นามนาม ที่เปน อุ การันต คือ ภิกฺขุ ซึ่งอยูในฐานะที่เปน ปุลิงค ดวยกัน. สวน สัพพนามอื่น และนามที่เปนลิงคอื่น การันตอื่นนั้น ก็พึงฝกหัด แจกตามแบบเปรียบเทียบนี้ ตามลิงค และการันตนั้น ๆ เถิด.
100.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 98 อัพยยศัพท๑ ศัพทนี้แปลวา "ไมฉิบหายไป" หรือ "ไมเสื่อมสิ้นไป" ทานบัญญัติใหเปนชื่อของศัพทอีกแผนกหนึ่ง ซึ่งจะแจกดวยวิภัตติ ทั้ง ๗ หมวด เหมือนนามทั้ง ๓ ตามที่กลาวมาแลวไมได รูปเดิม เปนมาอยางไร ก็คงไวอยางนั้นไมเปลี่ยนแปลง. ในนามทั้ง ๓ ตามที่ กลาวมาแลว จะมีอยูดวยกันกี่ศัพทก็ตาม ตามลําพึงมูลศัพท ยัง ไมอํานวยประโยชนใหเต็มที่ ตอเมื่อนํามาปรุงดวยลิงค วจนะ วิภัตติ ทั้ง ๓ อยางแลว จึงเปลี่ยนแปลงไปดวยวิธีอยางใดอยางหนึ่งกอน มูลศัพทนั้นจึงจะอํานวยประโยชนใหเต็มที่ตามตองการ ฉะนั้น ลิงค วจนะ วิภัตติ เครื่องปรุงทั้ง ๓ นี้ จึงจําเปนที่สุดสําหรับมูลศัพทใน นามทั้ง ๓. สวนศัพทที่จะกลาวตอไปนี้ ไมเปนเชนนั้น มูลศัพทเปนมา อยางไร เพราะฉะนั้น ทานจึงใหนามบัญญัติวา "อัพยยศัพท" เพราะ เปนศัพทที่ไมฉิบหายหรือไมเสื่อมสิ้นไปดวยอํานาจวิภัตติ ดังนี้. อัพยยศัพทแบงเปน ๓ คือ ๑. อุปสัค ๒. นิบาต ๓. ปจจัย ทั้ง ๓ คํานี้มีหลักเกณฑใชในที่ตาง ๆ กัน ดังตอไปนี้ ๑. อัพยยศัพท พระมหาพรหมา าณคุตฺโต ป. ๖ วัดราชาธิวาส เรียบเรียง อัพยย ออกจากศัพท อ วิ อิ (อ=ไม วิ=ตาง ๆ อิ=ถึง) "ถึงความเปนตาง ๆ เหมือนอยางนามทั้ง ๓ ไมได."
101.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 99 ๑. อุปสัค อุปสัคนําหนานามและกิริยาใหวิเศษขึ้น เมื่อนําหนา นามมีอาการคลายคุณศัพท เมื่อทําหนากิริยามีอาการคลายกับกิริยา- วิเสสน. คําวานําหนานามและกิริยานั้น พึงเขาใจวา นามไดแก นามนามและคุณนาม สวนกิริยาหมายเอากิริยาอาขยาตและกิริยา- กิตก สําหรับสัพพนามใชนําหนาไมไดเลย. เมื่อนําหนานามมีอาการ คลายกับคุณศัพทนั้น อธิบายวา อุปสัคโดยมากเมื่อนําหนานามแลว บอกลักษณะของนามนามตัวนั้นใหวิเศษขึ้น มีอาการคลายกับคุณศัพท ทีเดียว เชน "ราช" แปลวา พระราชา เมื่อเอา อภิ มานําหนา เขา เปน "อภิราช" แปลวา พระราชยิ่ง คือแสดงลักษณะอาการ ของนามคือพระราชานั้นวา พระองคทรงเปนผูยิ่งใหญกวาพระราชา องคอื่น ๆ ดังนี้เปนตน คําวา "ยิ่ง" นั้น มีอาการคลายคุณนาม จะตางกันก็แตรูปศัพทเทานั้น. สวนที่นําหนากิริยา มีอาการคลาย กิริยาวิเสสน เชน กมติ=ยอมกาว เมื่อเอา อติ=ลวง มานําหนา เปน อติกฺมติ แปลวายอมกาวลวง คําวา อติ=ลวง แสดงกิริยาคือ กมติ=กาว ใหแปลกออกไปจากเดิม, คโต=ไปแลว เมื่อเอา อป= ปราศ มานําหนาเปน อปคโต=ไปปราศแลว คําวา อป=ปราศ เปน คําแสดงกิริยาคือ คโต=ไป ใหแปลจากเดิม ดังนี้เปนตน. อุปสัค ที่ใชนําหนากิริยาดังแสดงมานี้ เปนอุปสัตที่อนุวัตรตามกิริยา แตมี อุปสัตบางตัว เมื่อนําหนากิริยาแลว ทํากิริยานั้นใหมีเนื้อความผิดแผก ไปจากเดิม ในที่นี้พึงกําหนดอุปสัคและคําแปลใหไดแมนยําเสียกอน
102.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 100 อุปสัคมี ๒๐ คือ อติ ยิ่ง, เกิน, ลวง อธิ ยิ่ง, ใหญ, ทับ อนุ นอย, ภายหลัง, ตาม อป ปราศ, หลีก อป ใกล, บน อภิ ยิ่ง,ใหญ, จําเพาะ, ขางหนา อว หรือ โอ ลง อา ทั่ว, ยิ่ง, กลับความ อุ ขึ้น, นอก อุป เขาไป, ใกล, มั่น ทุ ชั่ว, ยาก นิ เขา, ลง (สันสกฤต เปน นิ) นิ ไมมี, ออก (สันสกฤต เปน นิสฺ) ป ทั่ว, ขางหนา, กอน, ออก ปฏิ เฉพาะ, ตอบ, ทวน, กลับ ปรา กลับความ ปริ รอบ วิ วิเศษ, แจง, ตาง ส พรอม, กับ, ดี สุ ดี, งาม, งาย
103.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 101 อุทาหรณการใชอุปสัค ในอุปสัคทั้ง ๒๐ นั้น คําแปลทุก ๆ ตัวยังไมสิ้นเชิงทีเดียว บาง ตัวอาจแปลพลิกแพลงไดมากกวานี้ก็มี ถาจะนํามากลาวในที่นี้จักเปน การฟนเฝอแกผูแรกศึกษา เมื่อศึกษาไปนาน ๆ จนเขาใจแลว ก็จะ แปลไดหลาย ๆ ทางตามภาษานิยม เพราะฉะนั้น ขอใหผูแรกศึกษา กําหนดจดจําไวใหแมนยํา เฉพาะคําแปลที่ทานแปลไวนี้ ก็จะถือเอา หลักไดดี ทั้งจะไดรับประโยชนในการใชอุปสัคนี้ตามความตองการ ดังอุทาหรณในเลมนาม ขอ ๙๑. นิ มีอยู ๒ ศัพท ที่แปลวา เขา, ลง, ศัพท ๑ ที่แปลวา ไมมี, ออก, ศัพท ๑ มีความหมายตางกันดังนี้ :- นิ ที่แปลวา เขา, ลง, ตรงกับ นิ ในสันสกฤต เวลาใชนําหนา นามและกิริยา คง นิ ไวเฉย ๆ ไมตองซอนหรือลง ร อาคม เชน นิมุคฺโค ดํารงแลว นิคจฺฉติ เขาถึง นิกุชฺฌติ งอเขา นิขนติ ขุดลง นิทหติ ตั้งลง (ฝง) นิวาโส ความเขาอยู. นิ ที่แปลวา ไมมี, ออก, ตรงกับ นิสฺ ในสันสกฤต เวลาใชมัก ซอนหรือลง ร อาคม ตามอักขรวิธี เชน นิรนฺตราโย ไมมีอันตราย นิพฺภโย ไมมีภัย นิกฺขนฺโต ออกแลว นิกฺกฑฺฒติ ยอมคราออก และ นิ ที่แปลวา ไมมี, ออก นี้ ถาอยูหนา ร หรือ ห จะซอน หรือลง ร อาคมไมได ในที่เชนนั้นตองทีฆะ เชน นิ+หรณ=นีหรณ การนําออก นิรโส=นีรโส ไมมีรส นิ+นีโรโค ไมมีโรค
104.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 102 สวนคําวา นีวรณ ซึ่งแปลวา ธรรมชาติอันกั้น (จิตไมใหบรรลุความ ดี) นั้น แมจะแยกเปน นิ+วรณ (สสกฤต เปน นิสฺ+วฺฤ ธาตุใน ความปดความกั้น) นิ ตัวนั้นคงแปลรวมกับธาตุวาปดหรือกั้นเทานั้น. อุปสัคเบียนธาตุ บรรดาอุปสัคตามที่วามานี้ บางตัวหาไดแปลตามที่ยกมาเปน ตัวอยางไม บางตัวเมื่อนําหนาศัพทอื่น จะเปนศัพทนามหรือกิริยา ก็ตาม ทําใหเนื้อความผิดรูปไปตาง ๆ ความเดิม ทั้งนี้เปนเพราะ อุปสัคเขาไปตัดความเสีย อาการเชนนี้ทานเรียกวา "อุปสัคเบียนธาตุ" เชน ขมติ อดทน เอา นิ นําหนา เปน นิกฺขมติ แปลวา ออก สวรติ ปด " วิ " " วิวรติ " เปด โรเธติ ยินดี " วิ " " วิโรเธติ " ยินราย กมติ กาวไป " ปฏิ " " ปฏิกฺกมติ " ถอยกลับ ดังนี้เปนตน. เพราะฉะนั้น ผูศึกษาเมื่อเห็นศัพทที่มีอุปสัคเหลานั้น นําหนาอยู ควรพิจารณารูปศัพทใหดีเสียกอนแลวแปลศัพทนั้น จึง จะไดเนื้อความตามตองการ ทั้งนี้ เปนเพราะความพลิกแพลงของ อุปสัค บอกอรรถไปตาง ๆ ตามภาษานิยม เปนของไมแนนอน อาจ แปลไดหลาย ๆ ทาง ถึงจะพลิกแพลงไปอยางไร ๆ ก็ตาม ขอให ผูแรกศึกษาจงยึดหลักตามที่ไดแปลไวในแบบใหแมนยํา ก็จะเปนการ สะดวกในการแปลหนังสือไดดี.
105.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 103 ขอควรจําในอุปสัค ๑. สําหรับนําหนานามและกิริยาใหวิเศษขึ้น. ๒. เมื่อนําหนานามมีอาการคลายคุณศัพท เมื่อนําหนากิริยา มีอาการคลายกับกิริยาวิเสสน. ๓. นามนั้นทานหมายเอาเฉพาะนามนาม ๑ คุณนาม ๑ สวน สัพพนามนําหนาไมไดเลย. ๒. นิบาต เมื่อเพงตามความของศัพทวา นิบาต แปลวา "ตกลง" คือ ตกลงหรือสําหรับวางไวในระหวางกลางของศัพททั้งหลาย ดังกลาว มาแลวนั้น ที่วางไวเชนนั้น ความประสงคก็ตองการจะทําบทให เต็ม และทําเนื้อความใหกระทัดรัดและหนักแนนเขา ความจริง ศัพท นิบาตทั้งหมดนี้หาไดจํากัดลงในระหวางทุกศัพทไปไม บางศัพทลงใน เบื้องตนแหงประโยคเชน ยถา ตถา บางศัพทลงในที่สุดประโยคเชน อิติ และบางศัพท เชน ป อป ว อิว เหลานี้เปนตน หาไดอยู โดดเดี่ยวตามลําพังไม ตองลงขางทายของศัพทอื่นเสมอไป เชน "อานนฺทตฺเถโรป แมพระอานนท" หรือ "จกฺกว เพียงดังวาลอ." ศัพทนิบาตตามที่กลาวมานี้ เมื่อนําไปใชแลว ยอมบอกเนื้อ ความตาง ๆ กัน เพื่อความไมฟนเฝอและสะดวกในการนํามาใช ทาน จึงไดแบงไวเปนพวก ๆ แตโดยยอ ซึ่งทานไดยกมาแสดงตามที่ปรากฏ ในแบบดังตอไปนี้ :-
106.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 104 นิบาตบอกอาลปนะ ยคฺเฆ ภนฺเต ภทนฺเต ภเณ อมฺโภ อาวุโส เร อเร เห เช ทั้ง ๑๐ ศัพท รวมเรียกวา "นิบาตบอกอาลปนะ" ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ผูแรกศึกษาพึงกําหนดดวยวา มีหนาที่ใชเปนคําทักทาย และรองเรียก เหมือนกับวิภัตติแผนกอาลปนะในนามตามที่กลาวแลว แตนิบาตบอกอาลปนะนี้ ศัพทหนึ่ง ๆ นิยมใชเฉพาะบุคคลเปนพวก ๆ หาไดสาธารณะทั่วไปแกบุคคลอื่นไม จํากัดใหใชเฉพาะบุคคลตาม ฐานะสูงและต่ํา ดังอุทราหรณในแบบบาลีไวยากรณ อันทานแสดงไว อยางชัดเจนแลว. นิบาตบอกกาล อถ แปลวา ครั้งนั้น หิยฺโย แปลวา วันวาน ปาโต " เชา เสวฺ " วันพรุงนี้ ทิวา " วัน สมฺปติ " บัดเดี๋ยวนี้ สาย " เย็น อายตึ " ตอไป สุเว " ในวัน ทั้ง ๙ ศัพทนี้ ทางสัมพันธเรียกวากาลสัตตมี. นิบาตบอกที่ อุทฺธ แปลวา เบื้องบน พหิทฺธา แปลวา ภายนอก อุปริ " " พาหิรา " " อโธ " " โอริ " "
107.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 105 เหฏา แปลวา ภายใต ปาร แปลวา ฝงนอก อนฺตรา " ระหวาง หุร " โลกอื่น อนฺโต " ภายใน สมฺมุขา " ตอหนา ติโร " ภายนอก ปรมฺมุขา " ลับหลัง พหิ " " รโห " ที่ลับ ทั้ง ๑๖ ศัพทนี้ ทางสัมพันธรวมเรียกอยางเดียวกันกับอรรถแหง สัตตมีวิภัตติวา "อาธาร" นิบาตบอกปริจเฉท กีว แปลวา เพียงไร ยาวตา แปลวา มีประมาณเพียงใด ยาว " เพียงใด ตาวตา " มีประมาณเพียงนั้น ตาว " เพียงนั้น กิตฺตาวตา " มีประมาณเทาใด ยาวเทว " เพียงใดนั่นเทียว เอตฺตาวตา " มีประมาณเทานั้น ตาวเทว " เพียงนั้นนั่นเทียว สมนฺตา " รอบคอบ ทั้ง ๑๐ ศัพทนี้ ทางสัมพันธ มักใชเปนปริจเฉทนัตถะเปนพื้น ที่เรียก "กิริยาวิเสสนะ"ก็มี นิบาตบออุปมาอุปไมย วิย แปลวา ราวกะ เสยฺยถา แปลวา ฉันใด อิว " เพียงดัง ตถา " ฉันใด ยถา " ฉันใด เอว " ฉันนั้น ทั้ง ๖ ศัพทนั้น สําหรับ ตถา และ เอว ทางสันพันธ เรียก วา "อุปไมยโชดก" นอกนั้นเรียก "อุปมาโชดก."
108.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 106 นิบาตบอกประการ เอว แปลวา ดวยประการนั้น ตถา " ดวยประการนั้น กถ " ดวยประการไร ทั้ง ๓ ศัพทนี้ ทางสัมพันธ เรียกวา "ปการตฺถ." นิบาตบอกปฏิเสธ น แปลวา ไม เอว แปลวา นั่นเทียว โน " ไม วินา " เวน มา " อยา อล " พอ ว " เทียว ทั้ง ๗ ศัพทนี้ ทางสัมพันธ เรียกวา "ปฏิเสธนตฺถ" นิบาตบอกความไดยินเลาลือ กิร แปลวา ไดยินวา ขลุ " " สุท " " ทั้ง ๓ ศัพทนี้ ทางสัมพันธ เรียกวา "อนุสฺสวนตฺถ." นิบาตบอกปริกัป เจ แปลวา หากวา อถ แปลวา ถาวา ยทิ " ผิวา อปฺเปวนาม " ชื่อแมไฉน สเจ " ถาวา ยนฺนูน " กระไรหนอ ทั้ง ๖ ศัพทนี้ ทางสัมพันธ เรียกวา "ปริกปฺปตถ."
109.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 107 นิบาตบอกความถาม กึ แปลวา หรือ, อะไร นนุ แปลวา มิใช หรือ กถ " อยางไร อุทาหุ " หรือวา กจฺจิ " แลหรือ อาทู " " นุ " หนอ เสยฺยถีท " อยางไรนี้ ทั้ง ๘ ศัพทนี้ ทางสัมพันธ เรียกวา "ปุจฉนตฺถ." นิบาตบอกความรับ อาม แปลวา เออ อามนฺตา แปลวา เออ ทั้ง ๒ ศัพทนี้ ทางสัมพันธเรียกวา "สมฺปฏิจฺฉนตฺถ." นิบาตบอกความเตือน อิงฺฆ แปลวา เชิญเถิด หนฺท แปลวา เอาเถิด ตคฺฆ " เอาเถิด ทั้ง ๓ ศัพทนี้ ทางสัมพันธเรียกวา "อุยฺโยชนตฺถ." นิบาตสําหรับผูกศัพทและประโยคมีอรรถหลายอยาง จ แปลวา ดวย, อนึ่ง, ก็, จริงอยู ปน แปลวา สวนวา, ก็ วา " หรือ, บาง อป " แม, บาง หิ " ก็, จริงอยู, เพราะวา อปจ " เออก็ ตุ " สวนวา, ก็ อถวา " อีกอยางหนึ่ง นิบาตพวกนี้แปลพลิกแพลงไปหลายอยาง จะกําหนดใหแนนอน ไมได แลวแตประโยคที่ผูกขึ้นจะเปนเหตุหรือผล หรือตองการ
110.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 108 บงเนื้อความตาง ๆ จะกลาวไวในที่นี้จักเปนการฟนเฝอนัก ผู ตองการทราบใหละเอียด พึงตรวจดูในเลมวากยสัมพันธ ก็จักเขาใจ ไดดี. นิบาตสักวาเปนเครื่องทําบทใหเต็ม นุ แปลวา หนอ โข แปลวา แล สุ " สิ วต " หนอ เว " เวย หเว " เวย โว " โวย ทั้ง ๗ ศัพทนี้ ทางสัมพันธ เรียกวา "ปทปูรณ" บาง "วจนาลงการ" บาง " วจนสิลิฏก" บาง. นิบาตมีเนื้อความตาง ๆ อฺทตฺถุ แปลวา โดยแท อิติ แปลวา เพราะเหตุนั้น, อโถ " อนึ่ง วาดังนี้, ดวย- อทฺธา " แนแท ประการฉะนี้, ชื่อ อวสฺส " " อุจฺจ " สูง อโห " โอ กิฺจาป " แมนอยหนึ่ง อารา " ไกล กฺวจิ " บาง อาวี " แจง มิจฺฉา " ผิด นีจ " ต่ํา มุธา " เปลา นูน " แน มุสา " เท็จ
111.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 109 นานา แปลวา ตาง ๆ สกึ แปลวา คราวเดียว ปจฺฉา " ภายหลัง สตกฺขตฺต " รอยคราว ปฏาย " ตั้งกอน สทฺธึ " พรอม, กับ ปภูติ " จําเดิม สณิก " คอย ๆ ปุน " อีก สย " เอง ปุนปฺปุน " บอย ๆ สห " กับ ภิยฺโย " ยิ่ง สาม " เอง ภิยฺโยโส " โดยยิ่ง ทั้งหมดนี้ สําหรับ อโถ อนึ่ง, ทางสัมพันธ เรียกวา "สมฺปณฺฑนตฺถ." อโห โอ ถาใชแสดงความหลากใจหรืออัศจรรย ทางสัมพันธ เรียกวา "อจฺฉริยตฺถ." ใชแสดงความสังเวช เรียก วา "สเวคตฺถ." นีจ ต่ํา และ อุจฺจ สูง ทางสัมพันธ เรียกวา "วิเสสน" เพราะบางแหงใชเปนคุณนาม แจกตามวิภัตตินามได เชน นีจ กุล สกุลต่ํา อุจฺโจ รุกฺโข ตนไมสูง เปนตน. ปจฺฉา ภายหลัง ทางสัมพันธ เรียกวา "กาลสัตตมี." ปุนปฺปุน บอย ๆ ทางสัมพันธ เรียกวา "กิริยาวิเสสน." อิติ แปลวา เพราะเหตุนั้น ทางสัมพันธ เรียกวา "เหตฺวตฺถ." แปลวา "วา.... ดังนี้" เรียกวา สรูปบาง อาการบาง; แปลวา ดวยประการฉะนี้ เรียกวา "ปการตฺถ" แปลวา "ชื่อวา" เรียกวา "สัญญาโชดก." สวน สห กับ สทฺธึ ถาเขากับนาม ทางสัมพันธ เรียกวา
112.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 110 "ทพฺพสมาวาย.' เขากับกิริยา เรียกวา "กิริยาสมวาย." นอกจาก นี้เรียกวา "กิริยาวิเสสน." ทั้งสิ้น. ๓. ปจจัย ปจจัยในแผนกอัพยยศัพทนี้ มีหนาที่ลงทายนามศัพทบาง ลง ทายธาตุบาง, ลงทายนามศัพทใชเปนเครื่องหมายวิภัตติ ลงทายธาตุ ใชเปนเครื่องหมายกิริยา. ปจจัยแผนกนี้ ตางจากอุปสัคและนิบาตซึ่ง กลาวมาแลวขางตน ก็คําวา "ปจจัยนั้นลงทายนามศัพท" ก็นาม- ศัพทหมายเอานามนาม ๑ สัพพนาม ๑ สวนคุณนามจะใชปจจัยแผนกนี้ ลงทายไมไดเลย, ปจจัยในอัพยยศัพทซึ่งจะแสดงตอไปนี้ จํากัดให ลงทายของนามนามและสัพพนามเทานั้น, พึงกําหนดปจจัยในแผนก อัพยยศัพทนี้ใหแมนยํา วามีหนาที่ตอทายนามชนิดไหน ใชแทน วิภัตติอะไรไดบาง และบอกอายตบิบาตวาอยางไร ดังจะไดบรรยาย ตอไปโดยลําดับ. ปจจัยในนามแท ๆ มี ๒๒ ตัว โต, ตฺร, ตฺถ, ห, ธ, ธิ, หึ, ห, หิฺจน, ว, ทา, ทานิ, รหิ, ธุนา, ทาจน, ชฺช, ชฺชุ, เตฺว, ตุ, ตูน, ตฺวา, ตฺวาน. เมื่อแบงเปนพวก มี ๔ พวก คือ ๑. โต ปจจัย สําหรับใชตอทายนามทั้ง ๒ คือ นามนาม ๑ สัพพนาม ๑ เมื่อตอทายนามทั้ง ๒ เขาแลว ใชเปนเครื่องหมายของวิภัตติไว ๒
113.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 111 คือ ตติยาวิภัตติ ๑ ปญจมีวิภัตติ ๑. ตติยา ใหแปลอายตนิบาตวา "ขาง" ปญมี ใหแปลอายตนิบาตวา "แต." ดังอุทาหรณ ตอไปนี้ :- ศัพทเดิม ปจจัย รูปสําเร็จ แปลวา สพฺพ โต สพฺพโต แต-ทั้งปวง อฺ " อฺโต แต-อื่น อฺตร " อฺตรโต แต-อันใดอันหนึ่ง อิตร " อิตรโต แต-นอกนี้ เอก " เอกโต ขางเดียว อุภ " อุภโต สองขาง ปร " ปรโต ขางอื่น ต " ตโต แต-นั้น เอต " เอโต แต-นั้น อิม " อิโต แต-นี้ อปร " อปรโต ขางอื่นอีก ปุร " ปุรโต ขางหนา ปจฺฉ " ปจฺฉโต ขางหลัง ทกฺขิณ " ทกฺขิณโต ขางขวา วาม " วามโต ขางซาย
114.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 112 ศัพทเดิม ปจจัย รูปสําเร็จ แปลวา ย โต ยโต แต-ใด อมุ " อมุโต แต-โนน กตร " กตรโต แต-อะไร กึ " กุโต แต-ไหน๑ ๒. ปจจัย ๙ คือ ตฺร, ตฺถ, ห, ธ, ธิ, หึ, ห, หิฺจน, ว ใชสําหรับตอทายเฉพาะสัพพนามอยางเดียว เมื่อตอเขาแลวใชเปน เครื่องหมายสัตตมีวิภัตติ แปลออกสําเนียงอายตนิบาตของสัตตมี- วิภัตติ ดังอุทาหรณตอไปนี้ :- ศัพทเดิม ปจจัย รูปสําเร็จ แปลวา สพฺพ ตรฺ สพฺพตฺร ใน-ทั้งปวง สพฺพ ตฺถ สพฺพตฺถ ใน-ทั้งปวง สพฺพ ธิ สพฺพธิ ใน-ทั้งปวง อฺ ตฺร อฺตฺร ใน-อื่น อฺ ตฺถ อฺตฺถ ใน-อื่น ย ตฺถ ยตฺถ ใน-ใด ย หึ ยหึ ใน-ใด ย ห ยห ใน-ใด ต ตฺร ตตฺร ใน-นั้น
115.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 113 ศัพทเดิม ปจจัย รูปสําเร็จ แปลวา ต ตฺถ ตตฺถ ใน-นั้น ต หึ ตหึ ใน-นั้น ต ห ตห ใน-นั้น เอต ตฺร อตฺร ใน-นั่น เอต ตฺถ อตฺถ ใน-นั่น เอก ตฺร เอกตฺร ใน-เดียว เอก ตฺถ เอกตฺถ ใน-เดียว อุภย ตฺร อุภยตฺร ใน-สอง อุภย ตฺถ อุภยตฺถ ใน-สอง ย ตฺร ยตฺร ใน-ใด เอต ตฺถ เอตฺถ ใน-นั่น ิอิม ธ อิธ ใน-นี้ อิม ห อิห ในนี้ กึ ตฺร กุตฺร๑ ใน-ไหน กึ ตฺถ กตฺถ ใน-ไหน กึ หึ กุหึ ใน-ไหน กึ ห กุห ใน-ไหน กึ หิฺจน กุหิฺน ใน-ไหน กึ ว กฺว ใน-ไหน ๑. แปลง กึ เปน กุ เพราะ ตฺร หึ ห หิฺจน ปจจัย. มูลกัจจยานะ หนา ๕๓.
116.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 114 ๓. ปจจัยทั้ง ๗ คือ ทา, ทานิ, รหิ, ธุนา, ทาจน, ชฺช, ชฺชุ พวกนี้สําหรับลงตอทายสัพพนามอยางเดียว เมื่อตอทายเขาแลว ใช เปนเครื่องหมายสัตตมีวิภัตติ ปจจัยพวกนี้ ทานกําหนดใหลงในกาลคือ ใหใชเปนเครื่องหมายบอกเวลาอยางเดียว ศัพทที่ประกอบ ดวยปจจัย ๗ ตัวนี้ ทางสัมพันธเรียกวา [กาลสัตตมี] ทั้งนั้น ดัง อุทาหรณตอไปนี้ :- ศัพทเดิม ปจจัย รูปสําเร็จ แปลวา สพฺพ ทา สพฺพทา ในกาลทั้งปวง สพฺพ ทา สทา ในกาลทั้งปวง, ทุกเมื่อ เอก ทา เอกทา ในกาลหนึ่ง, บางที ย ทา ยทา ในกาลใด, เมื่อใด ต ทา ตทา ในกาลนั้น, เมื่อนั้น กึ ทา กทา ในกาลไร, เมื่อไร กึ ทา กทาจิ ในกาลไหน ๆ , บางคราว อิม ทานิ อิทานิ ในกาลนี้ อิม รหิ เอตรหิ๑ ในกาลนี้, เดี๋ยวนี้ กึ รหิ กรหจิ ในกาลไหนๆ, บางคราว อิม ธุนา อธุนา ในกาลนี้, เมื่อกี้ กึ ทาจน กุทาจน ในกาลไหน
117.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 115 ศัพทเดิม ปจจัย รูปสําเร็จ แปลวา อิม ชฺช อชฺช ในวันนี้ สมาน ชฺชุ สชฺชุ ในวันมีอยู, วันนี้* ปร ชฺชุ ปรชฺชุ ในวันอื่น อปร ชฺชุ อปรชฺชุ ในวันอื่นอีก เฉพาะที่ลงทาย กึ ศัพท ใช จิ ตอทายไดบาง. ปจจัยในกิตก ๕ ตัว คือ เตฺว, ตุ, ตูน, ตฺวา, ตฺวาน. ทั้ง ๕ นี้สําหรับใชลงทายธาตุ เมื่อลงแลวใชเปนเครื่องหมายกิริยา ปจจัยแผนกนี้เรียกวา "อัพพยะ" เพราะแจกดวยวิภัตติไมได ผู ศึกษาตองการทราบความพิสดาร พึงคนดูในแผนกกิตกนั้นเถิด. ปจจัยทั้ง ๕ ตัวนี้ จัดเปนพวกอัพยยะดังกลาวมาแลว บางที เมื่อพบคําแปลของศัพทวา "กาเตฺว และ กาตุ" อาจเขาใจผิด เพราะแปลออกสําเนียงอายตนิบาตไดคลายวิภัตติ อีกอยางหนึ่ง เพื่อความสะดวกในการใชศัพทแผนกนี้ ทานจึงบัญญัติใหใชกาตุ แทนวิภัตติปฐมาและจตุตถีได ปฐมาวิภัตติใหแปลอายตนิบาตวา "อันวา" ทางสัมพันธวา "ตฺมตฺถกตฺตา" จตุตถีวิภัตติวา "เพื่อ" ทางสัมพันธเรียกวา "ตุมตฺถสมฺปทาน" ดังนี้ ถึงปจจัย เหลานี้จะแปลออกสําเนียงอายตบาตไดก็จริงอยู ถึงดังนั้นรูปเดิม * มูลกัจจายนะ หนา ๑๔๒-๔๓.
118.
ประโยค๑ - อธิบายบาลีไวยากรณ
นามและอัพยยศัพท - หนาที่ 116 เปนมาอยางไร ก็คงไวอยางนั้น หาไดเปลี่ยนแปลงใหผิดไปจากรูป เดิมไม เพียงเทานี้ก็เปนอันจัดเขาในจําพวกอัพยยะโดยตรง เพราะ ตรงกับศัพทเดิมวา "ไมฉิบหาย" หรือ "ไมเสื่อมสิ้นไป " จึงจัด เปนจําพวกอัพยยศัพทโดยแท.
Download