SlideShare a Scribd company logo
การเรียนรู้
(Learning)
ความหมายของการเรียนรู้
การเรียนรู้ (Learning) คือ กระบวนการ
ของประสบการณ์ที่ทำาให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างค่อนข้างถาวร
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้ไม่ได้มา
จากภาวะชั่วคราว วุฒิภาวะ
หรือ สัยนรู้ (Learning) คือ การ
 การเรีญชาตญาณ(Klein 1991:2)
 เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมซึ่งเนื่องมาจาก
 ประสบการณ์ที่คนเรามีปฏิสัมพันธ์กับ สิ่ง
 แวดล้อมหรือจากการฝึกหัด (สุรางค์ โค้ว
 ตระกูล :2539)
การเรียนรู้เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่คอน
                                          ่
ข้างถาวร โดยเป็นผลจากการฝึกฝนเมื่อได้รับ
การเสริมแรง มิใช่เป็นผลจากการตอบสนองตาม
ธรรมชาติที่เรียกว่า ปฏิกิริยาสะท้อน (Kimble
and Garmezy)
การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ทำาให้พฤติกรรม
เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อันเป็นผลจากการฝึกฝน
และประสบการณ์ แต่มิใช่ผลจากการตอบสนองที่เกิด
ขึนตามธรรมชาติ (Hilgard and Bower)
  ้
การเรียนรูเป็นการแสดงให้เห็นถึง
          ้
พฤติกรรมทีมีการเปลี่ยนแปลง อันเป็น
            ่
ผลเนื่องมาจากประสบการณ์ที่แต่ละคน
ได้ประสบมา (Cronbach)
การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่บคคลได้พยายาม
                            ุ
ปรับพฤติกรรมของตน เพื่อเข้ากับสภาพ
แวดล้อมตามสถานการณ์ต่าง ๆ จนสามารถ
บรรลุถึงเป้าหมายตามที่แต่ละบุคคลได้ตั้งไว้
(Pressey, Robinson and Horrock, 1959)
ธรรมชาติของการเรียนรู้
1.จุดมุ่งหมายของผูเรียน (Goal)
                  ้
2.ความพร้อม (Readiness)
3. สถานการณ์ (Situation)
4. การแปลความหมาย
   (Interpretation)
 5. ลงมือกระทำา (Action)
6. ผลที่ตามมา (Consequence)
7. ปฏิกิรยาต่อความผิดหวัง
         ิ
ทฤษฎีการเรียนรู้ (Theory
            learning)
การเรียนรู้ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเดิมเป็น
   พฤติกรรมใหม่ที่ค่อนข้างถาวรอันเป็นผลมา
   จากประสบการณ์
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอาจมี 3 ด้านดังนี้ (ตาม
   หลัก Bloom)
     พฤติกรรมด้านสมอง (Cognitive Domain) ได้แก่
      ความรู้ – จำา ความเข้าใจ
     พฤติกรรมด้านจิตใจ (Affective Domain) ได้แก่
      อารมณ์ ความเชือ ความสนใจ ทัศนคติ
                      ่
     พฤติกรรมด้านกล้ามเนื้อประสาท
ทฤษฎีการเรียนรู้ (Theory leaning)
     แบ่งได้ 2 กลุ่มใหญ่ ๆ
1. ทฤษฎีความต่อเนื่อง
การเรียนรู้โดยมีสงเร้ามาเชือมโยงทำาให้เกิดการ
                 ิ่        ่
   ตอบสนองขึ้นแบ่ง 2 กลุ่ม
  ทฤษฎีความเชือมโยงสิงเร้ากับการตอบสนอง
                    ่        ่
   (Connectionism) นักทฤษฎี
   Thorndike ,Guthrie ,Hull
  ทฤษฎีการวางเงือนไข (Conditioning) แบบ
                      ่
   คลาสสิค (Classical) ได้แก่ Pavlovแบบการก
   ระทำา (Operant) ได้แก่ Skinnre
2. ทฤษฎีความเข้าใจ
ได้แก่ Gestalt
- เวอร์ไธเมอร์ (Max Wertheimer)
- คอฟกา (Kurt Kofga)
- เลอวิน (Kurt Lewin)
- โคเลอร์ (Wolfgang Kohler)
ทฤษฎีเชื่อมโยง Thorndike หรือเรียกว่า ทฤษฎี
 ลองผิดลองถูก (Trial and Error) ระหว่างสิ่งเร้ากับ
                 การตอบสนอง
กฎการเรียนรู้ 3 กฎ
2. กฎแห่งผล (Law of Effect)

3. กฎแห่งการฝึก (Law of Exercise)

    - กฎแห่งการใช้ (Law of Used)
    - กฎแห่งการไม่ใช้ (Law of Disused)
3. กฎแห่งความพร้อม ((Law of Leadines)

หลักการที่สำาคัญของทฤษฎีนี้ ถือว่า รางวัลเป็นสิ่งที่สำาคัญ
ทำาให้ผเรียนเกิดการเรียนรู้ได้ วิธีการให้รางวัลสมควรให้ผู้
       ู้
เรียนให้ทันทีที่ได้กระทำาพฤติกรรมนั้น
ทฤษฎีการวางเงือนไข แบบแบบ
                  ่
             คลาสสิค
(Classical Conditioning) ของ Pavlov
การทดลอง เอาหมาที่กำาลังหิวยืนบนแท่นมีที่รั้งไม่
   ให้สุนขเคลื่อนที่ เจาะรูเล็ก ๆ ที่แก้มเอาหลอด
          ั
   ยาใส่ท่อนำ้าลาย
ผลการทดลองของ ฟาลอฟ ประกอบด้วย
วางเงือนไข แบบแบบคลาสสิค = สิงเร้าที่วาง
        ่                               ่
   เงือนไข + สิงเร้าที่ไม่วางเงือนไข = การเรียนรู้
      ่         ่                ่
ถ้าจะให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีตองมีการวางเงือนไข
                             ้             ่
   พร้อม ๆ กัน คือให้สิ่งเร้าที่วางเงือนไขในเวลา
                                      ่
   พร้อมกัน
กฎการเรียนรู้ 4 กฎ
1.    กฎการลบพฤติกรรม (Law of Extinction)
2.    กฎการคืนสภาพเดิม (Law of Spontaneous
      recovery)
3.    กฎการสรุปความเหมือน (Law of
      Generalization)
4.   ฉะนั้นหลักการสำาคัญ Classical ง (Law of จะเน้น
      กฎการจำาแนกความแตกต่า Conditioning
      Discrimination)
     ปฏิกิริยาสะท้อนของมนุษย์ที่เกิดขึ้น และนำาเอา
     ปฏิกิริยาสะท้อนเหล่านั้นมาวางเงื่อนไขคู่กบ สิ่งเร้าต่าง
                                                ั
     ๆ สิ่งเร้าต่าง ๆ จะทำาให้มนุษย์เกิดการเรียนรู้ขน
                                                    ึ้
กฎการเรียนรู้ของกลุ่ม กลุมเกสตัลท์
                         ่

          (Gestalt Psychology)
    การเรียนรู้เรียนที่เน้นส่วนรวมมากกว่าส่วนย่อย
    การเรียนรู้ย่อมเกิดขึ้นใน 2 ลักษณะ
   การรับรู้ (Perception) การแปลความหมายจาก
    การสัมผัสด้วยอวัยวะสัมผัส 5 ส่วน หู- ตา –
    จมูก – ลิ้น – กาย
   การหยั่งเห็น (Insight) การเกิดความคิดขึ้นมา
    ทันทีทันใดในขณะประสบปัญหา โดยการมอง
    เห็นปัญหาตั้งแต่เริ่มแรก จนแก้ปญหาได้
                                     ั
สรุปแนวคิดของนักจิตวิทยากลุ่มเกสตัลท์
          แต่ละท่านได้ดังนี้

1. การเรียนรู้แบบหยั่งรู้ (Insight Learning)
เจ้าของทฤษฎีคือ โคเลอร์ (Wolfgang Kohler)
โดยจะรวมปัญหาแล้วจึงแยกเป็นข้อย่อย ก็จะเกิด
ความคิดขึ้นมาทันที ที่เรียกว่าการหยั่งเห็น
การหยั่งเห็นจะเกิดขึ้นรวดเร็วขึ้นอยู่กับ
1. มีแรงจูงใจ , 2. มีประสบการณ์เดิม ,3.มองเห็น
2. หลัมพันธ์ของสิ่งของบปัญหาได้
ความสั กการเรียนรู้ เร้ากั เลอวิน (Kurt Lewin) ได้แยก
มาตั้งทฤษฎีใหม่ ชือว่า ทฤษฎีสนาม (Field Theory)
                   ่
การเรียนรู้เกิดจากการสร้างแรงขับให้เกิดขึ้น แล้ว
พยายามชักนำาพฤติกรรมการเรียนรู้ไปจุดหมายปลาย
ทาง (goal) เพื่อตอบสนองแรงขับที่เกิดขึ้น
ตัวแปรที่สำาคัญที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้
     ทำาให้แต่ละบุคคลเรียนรู้มากน้อยไม่เท่ากัน มี
     อยู่ 3 ประการดังนี้
2.   ตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับผู้เรียน
3.   ตัวแปรที่เป็นบทเรียนและวิธการเรียน
                               ี
4.   ตัวแปรที่เกี่ยวกับตัวผู้ครูผู้สอน
ตัวแปรทีเกียวข้องกับผูเรียน
                ่ ่           ้
1.   เพศ
2.   อายุ
3.   ความสนใจและความตังใจเรียนในการเรียน
                         ้
4.   ความรู้เดิมหรือประสบการณ์เดิม
5.   ความรู้เดิมหรือประสบการณ์เดิม
6.   เจตคติ
7.   ความสมบูรณ์ของอวัยวะรับสัมผัส
ตัวแปรทีเป็นบทเรียนและวิธีการเรียน
             ่
1.   ความยากง่ายของบทเรียน
2.   ความสั้นยาวของบทเรียน
3.   บทเรียนที่เรียนโดยการปฏิบัตหรือทดลอง
                                ิ
4.   การฝึกฝนหรือการทำาซำ้า


         ตัวแปรที่เกี่ยวกับตัวผู้ครูผู้
            สอน ้
1. บุคลิกภาพของตัวผูสอน
2. ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ของ
   ครูผสอน
       ู้
3. ความรู้ในเนื้อหาที่เรียน

More Related Content

PPTX
ทฤษฎีของอิริคสัน
PDF
3ความตึงผิว และความหนืด
PDF
สมุดเล่มเล็ก เรื่อง ลดหวานต้านโรค
PDF
แผน 2 การถ่ายโอนความร้อนของโลหะ
PDF
โครงงาน เรื่อง การย้อมผ้าจากเปลือกมังคุด
PDF
แรง แรงลัพธ์2560
PDF
ใบความรู้และแบบฝึกหัดเรื่อง คลื่น ม3.pdf
PDF
Slแบบทดสอบรายตัวชี้วัด หน่วยที่ 1 แรงและการเคลื่อนที่. 12 เม.ย.56docx
ทฤษฎีของอิริคสัน
3ความตึงผิว และความหนืด
สมุดเล่มเล็ก เรื่อง ลดหวานต้านโรค
แผน 2 การถ่ายโอนความร้อนของโลหะ
โครงงาน เรื่อง การย้อมผ้าจากเปลือกมังคุด
แรง แรงลัพธ์2560
ใบความรู้และแบบฝึกหัดเรื่อง คลื่น ม3.pdf
Slแบบทดสอบรายตัวชี้วัด หน่วยที่ 1 แรงและการเคลื่อนที่. 12 เม.ย.56docx

What's hot (20)

PDF
บทที่ 5 พอลิเมอร์
PDF
PDF
ชีววิทยา 7 วิชาสามัญ+เฉลย'55
PDF
บทที่ 3 สารละลาย
PPT
ทฤษฎีการเรียนรู้ของพาฟลอฟ
PDF
ใบงานที่ 8-1 คุณธรรม จริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
PDF
ทฤษฎีการเรียนรู้พุทธิปัญญา ออซูเบล
PPTX
ความร้อนกับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของสสาร
PDF
แบบประเมินการทำงานกลุ่ม
DOCX
04แผน เรื่อง กำลัง
PPSX
หน่วยที่ 5 การวางโครงเรื่องของเรียงความ
PDF
วิวัฒนาการละครไทยในสมัยต่างๆ ละครไทย ละครสากล ละครสร้างสรรค์ ม.4-6
PDF
10แบบทดสอบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ตอนที่ 1)
PDF
01เอกสารสอนเสริม01 16
PDF
โครงงานทดลอง สีย้อมผ้าจากธรรมชาติ Tropical Eco Fashion
PDF
ใบความรู้+แผนการสอนและใบกิจกรรม ประถม4-6 เรื่อง วรจรไฟฟ้า+ป.6+290+dltvscip6+P...
DOCX
ใบงานที่ 3 เค้าโครงของโครงงาน
DOCX
แบบสอบถาม
บทที่ 5 พอลิเมอร์
ชีววิทยา 7 วิชาสามัญ+เฉลย'55
บทที่ 3 สารละลาย
ทฤษฎีการเรียนรู้ของพาฟลอฟ
ใบงานที่ 8-1 คุณธรรม จริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
ทฤษฎีการเรียนรู้พุทธิปัญญา ออซูเบล
ความร้อนกับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของสสาร
แบบประเมินการทำงานกลุ่ม
04แผน เรื่อง กำลัง
หน่วยที่ 5 การวางโครงเรื่องของเรียงความ
วิวัฒนาการละครไทยในสมัยต่างๆ ละครไทย ละครสากล ละครสร้างสรรค์ ม.4-6
10แบบทดสอบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ตอนที่ 1)
01เอกสารสอนเสริม01 16
โครงงานทดลอง สีย้อมผ้าจากธรรมชาติ Tropical Eco Fashion
ใบความรู้+แผนการสอนและใบกิจกรรม ประถม4-6 เรื่อง วรจรไฟฟ้า+ป.6+290+dltvscip6+P...
ใบงานที่ 3 เค้าโครงของโครงงาน
แบบสอบถาม
Ad

Similar to การเรียนรู้Learning (20)

PPT
จิตวิทยาการเรียนรู้
DOC
จิตวิทยาการเรียนรู้
PPT
จิตวิทยาการเรียนรู้
PPT
จิตวิทยา
PPT
จิตวิทยาการเรียนรู้2
PPS
จิตวิทยาการเรียนรู้
PPS
จิตวิทยาการเรียนรู้
PPT
จิตวิทยาการเรียนรู้231
PPT
จิตวิทยาการเรียนรู้231
PPT
จิตวิทยาการเรียนรู้231
PPT
5cs3gik5rf0t0l42j9hbvpth02
PPTX
จิตวิทยาการเรียนร้
PPS
จิตวิทยาการเรียนรู้ของแท้
DOC
ทดลองส่ง 538144213
PPT
จิตวิทยาการเรียนรู้
PDF
จิตวิทยาการเรียนร้2
PPTX
จิตวิทยาการเรียนร้2
PPTX
ทฤษฎีการเรียนรู้
PPT
จิตวิทยาการเรียนรู้
PDF
จิตวิทยาการเรียนรู้
จิตวิทยาการเรียนรู้
จิตวิทยาการเรียนรู้
จิตวิทยาการเรียนรู้
จิตวิทยา
จิตวิทยาการเรียนรู้2
จิตวิทยาการเรียนรู้
จิตวิทยาการเรียนรู้
จิตวิทยาการเรียนรู้231
จิตวิทยาการเรียนรู้231
จิตวิทยาการเรียนรู้231
5cs3gik5rf0t0l42j9hbvpth02
จิตวิทยาการเรียนร้
จิตวิทยาการเรียนรู้ของแท้
ทดลองส่ง 538144213
จิตวิทยาการเรียนรู้
จิตวิทยาการเรียนร้2
จิตวิทยาการเรียนร้2
ทฤษฎีการเรียนรู้
จิตวิทยาการเรียนรู้
จิตวิทยาการเรียนรู้
Ad

More from unyaparn (6)

PPTX
2ebookเรียนร่วมสมัย
PPTX
2ebookการเรียนรู้
PPTX
Tes tnokk1
PPTX
Tes tnokk
PPTX
Test
PPT
Bimi
2ebookเรียนร่วมสมัย
2ebookการเรียนรู้
Tes tnokk1
Tes tnokk
Test
Bimi

การเรียนรู้Learning

  • 2. ความหมายของการเรียนรู้ การเรียนรู้ (Learning) คือ กระบวนการ ของประสบการณ์ที่ทำาให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างค่อนข้างถาวร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้ไม่ได้มา จากภาวะชั่วคราว วุฒิภาวะ หรือ สัยนรู้ (Learning) คือ การ การเรีญชาตญาณ(Klein 1991:2) เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมซึ่งเนื่องมาจาก ประสบการณ์ที่คนเรามีปฏิสัมพันธ์กับ สิ่ง แวดล้อมหรือจากการฝึกหัด (สุรางค์ โค้ว ตระกูล :2539)
  • 3. การเรียนรู้เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่คอน ่ ข้างถาวร โดยเป็นผลจากการฝึกฝนเมื่อได้รับ การเสริมแรง มิใช่เป็นผลจากการตอบสนองตาม ธรรมชาติที่เรียกว่า ปฏิกิริยาสะท้อน (Kimble and Garmezy) การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ทำาให้พฤติกรรม เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อันเป็นผลจากการฝึกฝน และประสบการณ์ แต่มิใช่ผลจากการตอบสนองที่เกิด ขึนตามธรรมชาติ (Hilgard and Bower) ้
  • 4. การเรียนรูเป็นการแสดงให้เห็นถึง ้ พฤติกรรมทีมีการเปลี่ยนแปลง อันเป็น ่ ผลเนื่องมาจากประสบการณ์ที่แต่ละคน ได้ประสบมา (Cronbach) การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่บคคลได้พยายาม ุ ปรับพฤติกรรมของตน เพื่อเข้ากับสภาพ แวดล้อมตามสถานการณ์ต่าง ๆ จนสามารถ บรรลุถึงเป้าหมายตามที่แต่ละบุคคลได้ตั้งไว้ (Pressey, Robinson and Horrock, 1959)
  • 5. ธรรมชาติของการเรียนรู้ 1.จุดมุ่งหมายของผูเรียน (Goal) ้ 2.ความพร้อม (Readiness) 3. สถานการณ์ (Situation) 4. การแปลความหมาย (Interpretation) 5. ลงมือกระทำา (Action) 6. ผลที่ตามมา (Consequence) 7. ปฏิกิรยาต่อความผิดหวัง ิ
  • 6. ทฤษฎีการเรียนรู้ (Theory learning) การเรียนรู้ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเดิมเป็น พฤติกรรมใหม่ที่ค่อนข้างถาวรอันเป็นผลมา จากประสบการณ์ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอาจมี 3 ด้านดังนี้ (ตาม หลัก Bloom)  พฤติกรรมด้านสมอง (Cognitive Domain) ได้แก่ ความรู้ – จำา ความเข้าใจ  พฤติกรรมด้านจิตใจ (Affective Domain) ได้แก่ อารมณ์ ความเชือ ความสนใจ ทัศนคติ ่  พฤติกรรมด้านกล้ามเนื้อประสาท
  • 7. ทฤษฎีการเรียนรู้ (Theory leaning) แบ่งได้ 2 กลุ่มใหญ่ ๆ 1. ทฤษฎีความต่อเนื่อง การเรียนรู้โดยมีสงเร้ามาเชือมโยงทำาให้เกิดการ ิ่ ่ ตอบสนองขึ้นแบ่ง 2 กลุ่ม  ทฤษฎีความเชือมโยงสิงเร้ากับการตอบสนอง ่ ่ (Connectionism) นักทฤษฎี Thorndike ,Guthrie ,Hull  ทฤษฎีการวางเงือนไข (Conditioning) แบบ ่ คลาสสิค (Classical) ได้แก่ Pavlovแบบการก ระทำา (Operant) ได้แก่ Skinnre
  • 8. 2. ทฤษฎีความเข้าใจ ได้แก่ Gestalt - เวอร์ไธเมอร์ (Max Wertheimer) - คอฟกา (Kurt Kofga) - เลอวิน (Kurt Lewin) - โคเลอร์ (Wolfgang Kohler)
  • 9. ทฤษฎีเชื่อมโยง Thorndike หรือเรียกว่า ทฤษฎี ลองผิดลองถูก (Trial and Error) ระหว่างสิ่งเร้ากับ การตอบสนอง กฎการเรียนรู้ 3 กฎ 2. กฎแห่งผล (Law of Effect) 3. กฎแห่งการฝึก (Law of Exercise) - กฎแห่งการใช้ (Law of Used) - กฎแห่งการไม่ใช้ (Law of Disused) 3. กฎแห่งความพร้อม ((Law of Leadines) หลักการที่สำาคัญของทฤษฎีนี้ ถือว่า รางวัลเป็นสิ่งที่สำาคัญ ทำาให้ผเรียนเกิดการเรียนรู้ได้ วิธีการให้รางวัลสมควรให้ผู้ ู้ เรียนให้ทันทีที่ได้กระทำาพฤติกรรมนั้น
  • 10. ทฤษฎีการวางเงือนไข แบบแบบ ่ คลาสสิค (Classical Conditioning) ของ Pavlov การทดลอง เอาหมาที่กำาลังหิวยืนบนแท่นมีที่รั้งไม่ ให้สุนขเคลื่อนที่ เจาะรูเล็ก ๆ ที่แก้มเอาหลอด ั ยาใส่ท่อนำ้าลาย ผลการทดลองของ ฟาลอฟ ประกอบด้วย วางเงือนไข แบบแบบคลาสสิค = สิงเร้าที่วาง ่ ่ เงือนไข + สิงเร้าที่ไม่วางเงือนไข = การเรียนรู้ ่ ่ ่ ถ้าจะให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีตองมีการวางเงือนไข ้ ่ พร้อม ๆ กัน คือให้สิ่งเร้าที่วางเงือนไขในเวลา ่ พร้อมกัน
  • 11. กฎการเรียนรู้ 4 กฎ 1. กฎการลบพฤติกรรม (Law of Extinction) 2. กฎการคืนสภาพเดิม (Law of Spontaneous recovery) 3. กฎการสรุปความเหมือน (Law of Generalization) 4. ฉะนั้นหลักการสำาคัญ Classical ง (Law of จะเน้น กฎการจำาแนกความแตกต่า Conditioning Discrimination) ปฏิกิริยาสะท้อนของมนุษย์ที่เกิดขึ้น และนำาเอา ปฏิกิริยาสะท้อนเหล่านั้นมาวางเงื่อนไขคู่กบ สิ่งเร้าต่าง ั ๆ สิ่งเร้าต่าง ๆ จะทำาให้มนุษย์เกิดการเรียนรู้ขน ึ้
  • 12. กฎการเรียนรู้ของกลุ่ม กลุมเกสตัลท์ ่ (Gestalt Psychology) การเรียนรู้เรียนที่เน้นส่วนรวมมากกว่าส่วนย่อย การเรียนรู้ย่อมเกิดขึ้นใน 2 ลักษณะ  การรับรู้ (Perception) การแปลความหมายจาก การสัมผัสด้วยอวัยวะสัมผัส 5 ส่วน หู- ตา – จมูก – ลิ้น – กาย  การหยั่งเห็น (Insight) การเกิดความคิดขึ้นมา ทันทีทันใดในขณะประสบปัญหา โดยการมอง เห็นปัญหาตั้งแต่เริ่มแรก จนแก้ปญหาได้ ั
  • 13. สรุปแนวคิดของนักจิตวิทยากลุ่มเกสตัลท์ แต่ละท่านได้ดังนี้ 1. การเรียนรู้แบบหยั่งรู้ (Insight Learning) เจ้าของทฤษฎีคือ โคเลอร์ (Wolfgang Kohler) โดยจะรวมปัญหาแล้วจึงแยกเป็นข้อย่อย ก็จะเกิด ความคิดขึ้นมาทันที ที่เรียกว่าการหยั่งเห็น การหยั่งเห็นจะเกิดขึ้นรวดเร็วขึ้นอยู่กับ 1. มีแรงจูงใจ , 2. มีประสบการณ์เดิม ,3.มองเห็น 2. หลัมพันธ์ของสิ่งของบปัญหาได้ ความสั กการเรียนรู้ เร้ากั เลอวิน (Kurt Lewin) ได้แยก มาตั้งทฤษฎีใหม่ ชือว่า ทฤษฎีสนาม (Field Theory) ่ การเรียนรู้เกิดจากการสร้างแรงขับให้เกิดขึ้น แล้ว พยายามชักนำาพฤติกรรมการเรียนรู้ไปจุดหมายปลาย ทาง (goal) เพื่อตอบสนองแรงขับที่เกิดขึ้น
  • 14. ตัวแปรที่สำาคัญที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ ทำาให้แต่ละบุคคลเรียนรู้มากน้อยไม่เท่ากัน มี อยู่ 3 ประการดังนี้ 2. ตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับผู้เรียน 3. ตัวแปรที่เป็นบทเรียนและวิธการเรียน ี 4. ตัวแปรที่เกี่ยวกับตัวผู้ครูผู้สอน
  • 15. ตัวแปรทีเกียวข้องกับผูเรียน ่ ่ ้ 1. เพศ 2. อายุ 3. ความสนใจและความตังใจเรียนในการเรียน ้ 4. ความรู้เดิมหรือประสบการณ์เดิม 5. ความรู้เดิมหรือประสบการณ์เดิม 6. เจตคติ 7. ความสมบูรณ์ของอวัยวะรับสัมผัส
  • 16. ตัวแปรทีเป็นบทเรียนและวิธีการเรียน ่ 1. ความยากง่ายของบทเรียน 2. ความสั้นยาวของบทเรียน 3. บทเรียนที่เรียนโดยการปฏิบัตหรือทดลอง ิ 4. การฝึกฝนหรือการทำาซำ้า ตัวแปรที่เกี่ยวกับตัวผู้ครูผู้ สอน ้ 1. บุคลิกภาพของตัวผูสอน 2. ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ของ ครูผสอน ู้ 3. ความรู้ในเนื้อหาที่เรียน