More Related Content
สมุดเล่มเล็ก เรื่อง ลดหวานต้านโรค แผน 2 การถ่ายโอนความร้อนของโลหะ โครงงาน เรื่อง การย้อมผ้าจากเปลือกมังคุด ใบความรู้และแบบฝึกหัดเรื่อง คลื่น ม3.pdf Slแบบทดสอบรายตัวชี้วัด หน่วยที่ 1 แรงและการเคลื่อนที่. 12 เม.ย.56docx What's hot (20)
ชีววิทยา 7 วิชาสามัญ+เฉลย'55 ทฤษฎีการเรียนรู้ของพาฟลอฟ ใบงานที่ 8-1 คุณธรรม จริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ทฤษฎีการเรียนรู้พุทธิปัญญา ออซูเบล ความร้อนกับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของสสาร หน่วยที่ 5 การวางโครงเรื่องของเรียงความ อิเล็กโทรสโคป (Electroscope) วิวัฒนาการละครไทยในสมัยต่างๆ ละครไทย ละครสากล ละครสร้างสรรค์ ม.4-6 10แบบทดสอบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ตอนที่ 1) โครงงานทดลอง สีย้อมผ้าจากธรรมชาติ Tropical Eco Fashion ใบความรู้+แผนการสอนและใบกิจกรรม ประถม4-6 เรื่อง วรจรไฟฟ้า+ป.6+290+dltvscip6+P... ใบงานที่ 3 เค้าโครงของโครงงาน Similar to การเรียนรู้Learning (20)
5cs3gik5rf0t0l42j9hbvpth02 จิตวิทยาการเรียนรู้ของแท้ การเรียนรู้Learning
- 2. ความหมายของการเรียนรู้
การเรียนรู้ (Learning) คือ กระบวนการ
ของประสบการณ์ที่ทำาให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างค่อนข้างถาวร
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้ไม่ได้มา
จากภาวะชั่วคราว วุฒิภาวะ
หรือ สัยนรู้ (Learning) คือ การ
การเรีญชาตญาณ(Klein 1991:2)
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมซึ่งเนื่องมาจาก
ประสบการณ์ที่คนเรามีปฏิสัมพันธ์กับ สิ่ง
แวดล้อมหรือจากการฝึกหัด (สุรางค์ โค้ว
ตระกูล :2539)
- 3. การเรียนรู้เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่คอน
่
ข้างถาวร โดยเป็นผลจากการฝึกฝนเมื่อได้รับ
การเสริมแรง มิใช่เป็นผลจากการตอบสนองตาม
ธรรมชาติที่เรียกว่า ปฏิกิริยาสะท้อน (Kimble
and Garmezy)
การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ทำาให้พฤติกรรม
เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อันเป็นผลจากการฝึกฝน
และประสบการณ์ แต่มิใช่ผลจากการตอบสนองที่เกิด
ขึนตามธรรมชาติ (Hilgard and Bower)
้
- 4. การเรียนรูเป็นการแสดงให้เห็นถึง
้
พฤติกรรมทีมีการเปลี่ยนแปลง อันเป็น
่
ผลเนื่องมาจากประสบการณ์ที่แต่ละคน
ได้ประสบมา (Cronbach)
การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่บคคลได้พยายาม
ุ
ปรับพฤติกรรมของตน เพื่อเข้ากับสภาพ
แวดล้อมตามสถานการณ์ต่าง ๆ จนสามารถ
บรรลุถึงเป้าหมายตามที่แต่ละบุคคลได้ตั้งไว้
(Pressey, Robinson and Horrock, 1959)
- 6. ทฤษฎีการเรียนรู้ (Theory
learning)
การเรียนรู้ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเดิมเป็น
พฤติกรรมใหม่ที่ค่อนข้างถาวรอันเป็นผลมา
จากประสบการณ์
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอาจมี 3 ด้านดังนี้ (ตาม
หลัก Bloom)
พฤติกรรมด้านสมอง (Cognitive Domain) ได้แก่
ความรู้ – จำา ความเข้าใจ
พฤติกรรมด้านจิตใจ (Affective Domain) ได้แก่
อารมณ์ ความเชือ ความสนใจ ทัศนคติ
่
พฤติกรรมด้านกล้ามเนื้อประสาท
- 7. ทฤษฎีการเรียนรู้ (Theory leaning)
แบ่งได้ 2 กลุ่มใหญ่ ๆ
1. ทฤษฎีความต่อเนื่อง
การเรียนรู้โดยมีสงเร้ามาเชือมโยงทำาให้เกิดการ
ิ่ ่
ตอบสนองขึ้นแบ่ง 2 กลุ่ม
ทฤษฎีความเชือมโยงสิงเร้ากับการตอบสนอง
่ ่
(Connectionism) นักทฤษฎี
Thorndike ,Guthrie ,Hull
ทฤษฎีการวางเงือนไข (Conditioning) แบบ
่
คลาสสิค (Classical) ได้แก่ Pavlovแบบการก
ระทำา (Operant) ได้แก่ Skinnre
- 9. ทฤษฎีเชื่อมโยง Thorndike หรือเรียกว่า ทฤษฎี
ลองผิดลองถูก (Trial and Error) ระหว่างสิ่งเร้ากับ
การตอบสนอง
กฎการเรียนรู้ 3 กฎ
2. กฎแห่งผล (Law of Effect)
3. กฎแห่งการฝึก (Law of Exercise)
- กฎแห่งการใช้ (Law of Used)
- กฎแห่งการไม่ใช้ (Law of Disused)
3. กฎแห่งความพร้อม ((Law of Leadines)
หลักการที่สำาคัญของทฤษฎีนี้ ถือว่า รางวัลเป็นสิ่งที่สำาคัญ
ทำาให้ผเรียนเกิดการเรียนรู้ได้ วิธีการให้รางวัลสมควรให้ผู้
ู้
เรียนให้ทันทีที่ได้กระทำาพฤติกรรมนั้น
- 10. ทฤษฎีการวางเงือนไข แบบแบบ
่
คลาสสิค
(Classical Conditioning) ของ Pavlov
การทดลอง เอาหมาที่กำาลังหิวยืนบนแท่นมีที่รั้งไม่
ให้สุนขเคลื่อนที่ เจาะรูเล็ก ๆ ที่แก้มเอาหลอด
ั
ยาใส่ท่อนำ้าลาย
ผลการทดลองของ ฟาลอฟ ประกอบด้วย
วางเงือนไข แบบแบบคลาสสิค = สิงเร้าที่วาง
่ ่
เงือนไข + สิงเร้าที่ไม่วางเงือนไข = การเรียนรู้
่ ่ ่
ถ้าจะให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีตองมีการวางเงือนไข
้ ่
พร้อม ๆ กัน คือให้สิ่งเร้าที่วางเงือนไขในเวลา
่
พร้อมกัน
- 11. กฎการเรียนรู้ 4 กฎ
1. กฎการลบพฤติกรรม (Law of Extinction)
2. กฎการคืนสภาพเดิม (Law of Spontaneous
recovery)
3. กฎการสรุปความเหมือน (Law of
Generalization)
4. ฉะนั้นหลักการสำาคัญ Classical ง (Law of จะเน้น
กฎการจำาแนกความแตกต่า Conditioning
Discrimination)
ปฏิกิริยาสะท้อนของมนุษย์ที่เกิดขึ้น และนำาเอา
ปฏิกิริยาสะท้อนเหล่านั้นมาวางเงื่อนไขคู่กบ สิ่งเร้าต่าง
ั
ๆ สิ่งเร้าต่าง ๆ จะทำาให้มนุษย์เกิดการเรียนรู้ขน
ึ้
- 12. กฎการเรียนรู้ของกลุ่ม กลุมเกสตัลท์
่
(Gestalt Psychology)
การเรียนรู้เรียนที่เน้นส่วนรวมมากกว่าส่วนย่อย
การเรียนรู้ย่อมเกิดขึ้นใน 2 ลักษณะ
การรับรู้ (Perception) การแปลความหมายจาก
การสัมผัสด้วยอวัยวะสัมผัส 5 ส่วน หู- ตา –
จมูก – ลิ้น – กาย
การหยั่งเห็น (Insight) การเกิดความคิดขึ้นมา
ทันทีทันใดในขณะประสบปัญหา โดยการมอง
เห็นปัญหาตั้งแต่เริ่มแรก จนแก้ปญหาได้
ั
- 13. สรุปแนวคิดของนักจิตวิทยากลุ่มเกสตัลท์
แต่ละท่านได้ดังนี้
1. การเรียนรู้แบบหยั่งรู้ (Insight Learning)
เจ้าของทฤษฎีคือ โคเลอร์ (Wolfgang Kohler)
โดยจะรวมปัญหาแล้วจึงแยกเป็นข้อย่อย ก็จะเกิด
ความคิดขึ้นมาทันที ที่เรียกว่าการหยั่งเห็น
การหยั่งเห็นจะเกิดขึ้นรวดเร็วขึ้นอยู่กับ
1. มีแรงจูงใจ , 2. มีประสบการณ์เดิม ,3.มองเห็น
2. หลัมพันธ์ของสิ่งของบปัญหาได้
ความสั กการเรียนรู้ เร้ากั เลอวิน (Kurt Lewin) ได้แยก
มาตั้งทฤษฎีใหม่ ชือว่า ทฤษฎีสนาม (Field Theory)
่
การเรียนรู้เกิดจากการสร้างแรงขับให้เกิดขึ้น แล้ว
พยายามชักนำาพฤติกรรมการเรียนรู้ไปจุดหมายปลาย
ทาง (goal) เพื่อตอบสนองแรงขับที่เกิดขึ้น
- 14. ตัวแปรที่สำาคัญที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้
ทำาให้แต่ละบุคคลเรียนรู้มากน้อยไม่เท่ากัน มี
อยู่ 3 ประการดังนี้
2. ตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับผู้เรียน
3. ตัวแปรที่เป็นบทเรียนและวิธการเรียน
ี
4. ตัวแปรที่เกี่ยวกับตัวผู้ครูผู้สอน
- 15. ตัวแปรทีเกียวข้องกับผูเรียน
่ ่ ้
1. เพศ
2. อายุ
3. ความสนใจและความตังใจเรียนในการเรียน
้
4. ความรู้เดิมหรือประสบการณ์เดิม
5. ความรู้เดิมหรือประสบการณ์เดิม
6. เจตคติ
7. ความสมบูรณ์ของอวัยวะรับสัมผัส
- 16. ตัวแปรทีเป็นบทเรียนและวิธีการเรียน
่
1. ความยากง่ายของบทเรียน
2. ความสั้นยาวของบทเรียน
3. บทเรียนที่เรียนโดยการปฏิบัตหรือทดลอง
ิ
4. การฝึกฝนหรือการทำาซำ้า
ตัวแปรที่เกี่ยวกับตัวผู้ครูผู้
สอน ้
1. บุคลิกภาพของตัวผูสอน
2. ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ของ
ครูผสอน
ู้
3. ความรู้ในเนื้อหาที่เรียน