บทที่ 2
แคลคูลัสเบื้องตน
(50 ชั่วโมง)
แคลคูลัสเปนสาระการเรียนรูที่สามารถนําไปประยุกตใชเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง เชน การ
เจริญเติบโตของรางกายในแตละวัน การเพิ่มของพลเมืองในแตละประเทศ การเกิดและการตายของ
พืชและสัตว การละลายของสารเคมี และการเคลื่อนที่ของวัตถุ ในบทเรียนนี้เริ่มตนจาก ลิมิตของ
ฟงกชัน ความตอเนื่องของฟงกชัน ความชันของเสนโคง อนุพันธของฟงกชัน การหาอนุพันธของ
ฟงกชันพีชคณิตโดยใชสูตร อนุพันธของฟงกชันประกอบ อนุพันธอันดับสูง การประยุกตของ
อนุพันธ ปริพันธ ปริพันธไมจํากัดเขต ปริพันธจํากัดเขต และพื้นที่ที่ปดลอมดวยเสนโคง ตามลําดับ
ผลการเรียนรูที่คาดหวัง
1. หาลิมิตของฟงกชันที่กําหนดใหได
2. บอกไดวาฟงกชันที่กําหนดใหเปนฟงกชันตอเนื่องหรือไม
3. หาอนุพันธของฟงกชันได
4. นําความรูเรื่องอนุพันธของฟงกชันไปประยุกตได
5. หาปริพันธไมจํากัดเขตของฟงกชันที่กําหนดใหได
6. หาปริพันธจํากัดเขตของฟงกชันบนชวงที่กําหนดให และหาพื้นที่ปดลอมดวยเสนโคงบนชวงที่
กําหนดใหได
ผลการเรียนรูที่คาดหวังเปนผลการเรียนรูที่สอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูชวงชั้นดาน
ความรู ดังนั้นในการจัดการเรียนรู ผูสอนตองคํานึงถึงมาตรฐานการเรียนรูดานทักษะกระบวนการ
ทางคณิตศาสตรดวยการสอดแทรกกิจกรรมหรือโจทยปญหาที่จะสงเสริมใหผูเรียนเกิดทักษะ
กระบวนการทางคณิตศาสตรที่จําเปน อันไดแก ความสามารถในการแกปญหา การใหเหตุผล
การสื่อสาร การสื่อความหมายทางคณิตศาสตรและการนําเสนอ การเชื่อมโยงความรูตาง ๆ ทาง
คณิตศาสตรและเชื่อมโยงคณิตศาสตรกับศาสตรอื่น และการคิดริเริ่มสรางสรรคนอกจากนั้นกิจกรรม
การเรียนรู ควรสงเสริมใหผูเรียนตระหนักถึงคุณคาและมีเจตคติที่ดีตอวิชาคณิตศาสตร ตลอดจน
ฝกใหนักเรียนทํางานอยางเปนระบบ มีระเบียบวินัย รอบคอบ มีความรับผิดชอบ มีวิจารณญาณ
และมีความเชื่อมั่นในตนเอง
62
ขอเสนอแนะ
1. ฟงกชันที่กลาวถึงในหนังสือเรียนเลมนี้เปนฟงกชันพีชคณิตและเนนเฉพาะฟงกชัน
พหุนามและฟงกชันตรรกยะเนื่องจากผูเรียนมีความรูพื้นฐานในเรื่องฟงกชันพหุนามและ
ฟงกชันตรรกยะมาแลว สําหรับฟงกชันอื่นๆ เชน ฟงกชันลอการิทึม ฟงกชันตรีโกณมิติ จะ
ไมนํามากลาวในระดับนี้ ผูเรียนจะไดเรียนเมื่อศึกษาคณิตศาสตรในระดับอุดมศึกษาตอไป
2. ผูสอนควรยกตัวอยางฟงกชันในรูปของกราฟและสมการที่ผูเรียนคุนเคย เชน
ฟงกชันเชิงเสน ฟงกชันกําลังสอง เปนตน เพื่อใหเกิดความสะดวกในการพิจารณาหาลิมิต
3. เมื่อกลาวถึง ลิมิตของ f(x) เมื่อ x เขาใกล a หาคาไมได หมายความวา ลิมิตซาย
ของ f ที่ x = a ไมเทากับลิมิตขวาของ f ที่ x = a
4. จากบทนิยามของฟงกชันตอเนื่องที่กลาววา
เมื่อ c เปนจํานวนจริงใดๆ ที่อยูในชวงเปด (a, b) ฟงกชัน f เปนฟงกชัน ซึ่งนิยาม
บนชวงเปด (a, b) f เปนฟงกชันตอเนื่องที่ x = c ก็ตอเมื่อฟงกชัน f มีสมบัติตอไปนี้
1) f(c) หาคาได
2) x c
lim f (x)
→
หาคาได
3) x c
f (c) lim f (x)
→
=
ผูสอนควรยกตัวอยางใหผูเรียนสรุปใหไดวา การตรวจสอบวาฟงกชันที่กําหนดให
เปนฟงกชันตอเนื่องที่จุดที่กําหนดใหหรือไม ควรพิจารณาคาของฟงกชัน ณ จุดที่กําหนดใหกอน
เนื่องจากเปนคาที่พิจารณาไดงายที่สุดในสมบัติ 3 ขอขางตน ถาหาคาไมไดก็สรุปวา ฟงกชันนั้น
ไมตอเนื่อง ณ จุดที่กําหนดให
4.1 ผูสอนแสดงใหผูเรียนเขาใจโดยการใชภาพประกอบการอธิบาย เชน
1) 1. f(a) = L2
2. )x(flim
ax→
ไมนิยาม
f(x) ไมตอเนื่องที่ x = a
X
Y
0 a
L1
L2
y = f(x)
63
2)
3)
4)
4.2 เมื่อผูสอนชี้ใหผูเรียนเห็นภาพความตอเนื่องของฟงกชันแลวควรเนนใหผูเรียนนํา
ทฤษฏีบทในการหาคาลิมิตของฟงกชันที่มีความตอเนื่องที่ a ไปใช
5. กอนที่จะสอนเรื่องความชันของเสนโคงผูสอนควรทบทวนเรื่องการหาความชันของเสนตรง
กอนและหลังจากที่สอนเรื่องความชันของเสนโคงแลว ผูสอนควรใหผูเรียนสรุปไดวา ความชันของ
เสนโคงหรือความชันของเสนสัมผัสเสนโคงเปนจํานวนบวกหรือลบในชวงที่กําหนดใหนั้นทําใหรู
วาฟงกชันในชวงนั้นๆ เปนฟงกชันเพิ่มหรือฟงกชันลด
1. f(a) ไมนิยาม
2. L)x(flim
ax
=
→
f(x) ไมตอเนื่องที่ x = a
1 f(a) = L2
2 1L)x(flim
ax
=
→
3 f(a) ≠ )x(flim
ax→
f(x) ไมตอเนื่องที่ x = a
1. f(a) = L
2. L)x(flim
ax
=
→
3. f(a) = )x(flim
ax→
f(x) ตอเนื่องที่ x = a
X
Y
0 a
L
y = f(x)
X
Y
0 a
L1
L2
y = f(x)
X
Y
0 a
L
y = f(x)
64
6. ในหัวขอ2.4อนุพันธของฟงกชันผูสอนตองทําความเขาใจกับผูเรียนวาการหาความชัน
ของเสนโคง )x(fy = ที่จุด )y,x( ใดๆ คือการหาอนุพันธของฟงกชัน f ที่จุดที่กําหนดใหนั้น
7. การหาอนุพันธของฟงกชัน f ที่ x ในหัวขอนี้เนนการใชบทนิยาม คือ
h
)x(f)hx(f
lim)x(f
0h
−+
=′
→
อนุพันธของฟงกชันจะหาไดก็ตอเมื่อสามารถหา
h
)x(f)hx(f
lim
0h
−+
→
ไดเทานั้น ดังนั้นในการใหผูเรียนหาอนุพันธโดยใชบทนิยาม ผูสอนไมควรกลาวถึงฟงกชันที่หา
h
)x(f)hx(f
lim
0h
−+
→
ไมได หรือหาไดแตยุงยาก เชน f(x) = |x| ,
x
3
xx2x)x(f 23
−+−=
8. ผูสอนควรทําความเขาใจในเรื่องการใชสัญลักษณ อนุพันธของฟงกชัน f ที่ x
สามารถเขียนแทนดวย )x(f ′ ,
dx
dy
, y′ และ
dx
)x(df
การเขียนในรูปเศษสวนผูสอนให
ขอสังเกตกับผูเรียนวา ตัวแปรตาม (y ) จะเขียนเปนตัวเศษและตัวแปรตน (x ) จะเขียนเปน
ตัวสวน การเขียน
dx
dy
หมายถึง อนุพันธของฟงกชัน f ที่ x ไมได หมายถึง d คูณ y
หาร d คูณ x
9. อนุพันธของฟงกชัน f ในหนังสือเรียนเลมนี้ใหความหมายเพื่อการนําไปประยุกตใช
ไว 2 แบบ คือ
)x(f ′ คือ ความชันของเสนโคง )x(fy = ที่ x ใด ๆ
และ )x(f ′ คือ อัตราการเปลี่ยนแปลงของ y เทียบกับ x ขณะ x มีคาใด ๆ
10. การสอนเกี่ยวกับการใชสูตรในการหาอนุพันธ ผูสอนควรเนนใหผูเรียนพิสูจนสูตรโดย
ใชบทนิยาม
h
)x(f)hx(f
lim)x(f
0h
−+
=′
→
เพื่อใหเกิดความเขาใจที่มาของสูตรกอน หลังจากนั้น
จึงสอนเรื่องการใชสูตรในการหาอนุพันธ
11. การยกตัวอยางหรือการใหแบบฝกหัดเพิ่มเติมควรเปนฟงกชัน ที่อยูในรูปผลบวก
ผลตาง ผลคูณ และผลหารของฟงกชันพีชคณิตที่งาย ๆ
12. ในการสอนเรื่อง การหาอนุพันธของฟงกชันโดยใชสูตร ไมควรยกตัวอยางฟงกชันที่
ไมสามารถหาอนุพันธไดบางจุด เชน ฟงกชันที่มีกราฟเปนรูปหัก และฟงกชันที่มีคาคงตัวเปนชวง ๆ
ตัวอยาง x)x(f = เมื่อเขียนกราฟจะไดกราฟดังนี้
Y
x)x(f =
X0
65
จะเห็นวาที่ 0x = นั้น
h
)x(f)hx(f
lim)x(f
0h
−+
=′
→
หาคาไมไดเพราะวา
1
h
h
lim
h
)0(f)h(f
lim
h
)0(f)h0(f
lim
0h0h0h
−=
−
=
−
=
−+
−−−
→→→
และ
1
h
h
lim
h
)0(f)h(f
lim
h
)0(f)h0(f
lim
0h0h0h
==
−
=
−+
+++
→→→
จะเห็นวา
h
)0(f)h0(f
lim
h
)0(f)h0(f
lim
0h0h
−+
≠
−+
+−
→→
แต ax = เมื่อ 0a ≠ จะพิจารณา 2 แบบ คือ
1) เมื่อ 0a >
จะไดวา 1
h
h
lim
h
a)ha(
lim
h
)a(f)ha(f
lim
0h0h0h
==
−+
=
−+
−−−
→→→
และ 1
h
h
lim
h
a)ha(
lim
h
)a(f)ha(f
lim
0h0h0h
==
−+
=
−+
+++
→→→
ดังนั้น
h
)a(f)ha(f
lim
0h
−+
→
หาคาได
2) เมื่อ 0a <
จะไดวา 1
h
h
lim
h
)a()ha(
lim
h
)a(f)ha(f
lim
0h0h0h
−=
−
=
−−+−
=
−+
−−−
→→→
และ 1
h
h
lim
h
)a()ha(
lim
h
)a(f)ha(f
lim
0h0h0h
−=
−
=
−−+−
=
−+
+++
→→→
ดังนั้น
h
)a(f)ha(f
lim
0h
−+
→
หาคาได
นั่นคือ ฟงกชัน f หาคาไดที่ a เมื่อ 0a ≠
ควรชี้ใหผูเรียนเห็นวาสําหรับฟงกชัน f ที่กําหนดคา x เปนชวง เชน
⎩
⎨
⎧
<−
≥
=
0x,x
0x,x
)x(f
ถาจะหาอนุพันธที่ x = 0 โดยใชสูตรดังนี้
⎩
⎨
⎧
<−
≥
=′
0x,1
0x,1
)x(f
จะทําใหไดขอสรุปวา 1)0(f =′ ซึ่งไมถูกตอง
เนื่องจากฟงกชันนี้ไมมีคา
h
)x(f)hx(f
lim
0h
−+
→
เมื่อ x = 0 หรือไมมีคาอนุพันธ
ที่จุด x = 0 นั่นเอง ผูสอนจึงควรย้ํากับผูเรียนวาการใชสูตรในการหาอนุพันธ ณ จุดที่กําหนดจะ
ใชไดเมื่อฟงกชันมีคาอนุพันธ ณ จุดนั้น
66
13. ในการหาคาต่ําสุดหรือสูงสุดของฟงกชัน )x(fy = ซึ่งหาไดโดยอาศัยการหาคาx
ที่ทําให 0)x(f =′ นั้น ผูสอนควรบอกใหผูเรียนทราบวา ไมจําเปนเสมอไปวา ณ คา x ที่
0)x(f =′ จะใหคาต่ําสุดสัมพัทธหรือคาสูงสุดสัมพัทธ ดังนั้นจึงจําเปนตองมีการทดสอบคา
ดังกลาวดวย เชน
ถา 3
x)x(f =
2
x3)x(f =′
ถา 0)x(f =′
จะได 0x3 2
=
นั่นคือ x = 0 เปนคาวิกฤต
แตกราฟ จุด (0,0) ไมเปนจุดต่ําสุดหรือจุดสูงสุดของกราฟของฟงกชัน 3
x)x(f =
ดังนั้นในกรณีที่กําหนดฟงกชัน f ที่มีอนุพันธใหแลวใหหาคาต่ําสุดหรือคาสูงสุด
สัมพัทธของฟงกชัน ตองทดสอบวาเมื่อ 0)a(f =′ จุด ))a(f,a( ที่หาไดเปนจุดที่ฟงกชันมีคา
ต่ําสุดหรือคาสูงสุดสัมพัทธหรือไม โดยพิจารณาดังนี้
จุด ))a(f,a( จะเปนจุดที่ฟงกชันมีคาต่ําสุดสัมพัทธตองมีสมบัติครบทั้ง 3 ขอ คือ
1) 0)a(f =′
2) 0)x(f <′ เมื่อ x นอยกวา a เล็กนอย
3) 0)x(f >′ เมื่อ x มากกวา a เล็กนอย
และจุด ))a(f,a( จะเปนจุดที่ฟงกชันมีคาสูงสุดสัมพัทธตองมีสมบัติครบทั้ง 3 ขอ คือ
1) 0)a(f =′
2) 0)x(f >′ เมื่อ x นอยกวา a เล็กนอย
3) 0)x(f <′ เมื่อ x มากกวา a เล็กนอย
14. ในกรณีที่ตองการทดสอบคาต่ําสุดหรือคาสูงสุดสัมพัทธของฟงกชัน เมื่อทราบวา a
ทําให 0)a(f =′ จะเลือก x มากกวา a เล็กนอย และ x นอยกวา a เล็กนอย มาทดสอบ
คําวาเล็กนอยนั้นพิจารณาไดดังนี้
1) กรณีที่มี x เพียง 1 คาที่ทําให 0)x(f =′ เชน a เปนคาที่ทําให 0)a(f =′
การเลือกคาที่นอยกวา a และคาที่มากกวา a มาทดสอบ จะเลือกคาใดก็ได ผูสอนอาจจะใช
ภาพประกอบคําอธิบายเพื่อใหผูเรียนสามารถมองเห็นชวงของ x ไดชัดเจนขึ้น ดังภาพประกอบ
ตอไปนี้
X
Y
0
67
2) กรณีที่มี x สองคาที่ทําให 0)x(f =′ เชน b และ c เปนคาที่ทําให
0)c(f,0)b(f =′=′ และ b < c จะพิจารณาดังนี้
คา x ที่นอยวา b เล็กนอย เลือกจากจํานวนจริงในชวง )b,(−∞
คา x ที่มากกวา b เล็กนอย เลือกจากจํานวนจริงในชวง )c,b(
คา x ที่นอยวา c เล็กนอย เลือกจากจํานวนจริงในชวง )c,b(
คา x ที่มากกวา c เล็กนอย เลือกจากจํานวนจริงในชวง ),c( ∞
ผูสอนอาจจะใชภาพประกอบคําอธิบายเพื่อใหผูเรียนสามารถมองเห็นชวงของ x ไดชัดเจนขึ้น
ดังภาพประกอบตอไปนี้
3) กรณีที่มี x มากกวา 2 คาที่ทําให 0)x(f =′ เชน b, c, d เปนคาที่ทําให
0)d(f,0)c(f,0)b(f =′=′=′ และ dcb << จะพิจารณาดังนี้
คา x ที่นอยวา b เล็กนอย เลือกจากจํานวนจริงในชวง )b,(−∞
คา x ที่มากกวา b เล็กนอย เลือกจากจํานวนจริงในชวง )c,b(
คา x ที่นอยวา c เล็กนอย เลือกจากจํานวนจริงในชวง )c,b(
คา x ที่มากกวา c เล็กนอย เลือกจากจํานวนจริงในชวง )d,c(
คา x ที่นอยกวา d เล็กนอย เลือกจากจํานวนจริงในชวง )d,c(
คา x ที่มากกวา d เล็กนอย เลือกจากจํานวนจริงในชวง ),d( ∞
X0 a
Y
0)a(f =′
ax >ax <
X
Y
0 b
cx >
0)c(f =′
0)b(f =′
c
cx <bx <
bx >
X
Y
0
cx >
0)c(f =′
0)b(f =′
cx <bx < bx >
b c
X0
Y
0)a(f =′
ax >ax <
a
68
ผูสอนอาจจะใชภาพประกอบคําอธิบายเพื่อใหผูเรียนสามารถมองเห็นชวงของ x ไดชัดเจนขึ้น
ดังภาพประกอบตอไปนี้
ตัวอยาง จงหาคาต่ําสุดหรือคาสูงสุดสัมพัทธของ x3x2xx)x(f 234
−−+=
วิธีทํา 3x4x3x4)x(f 23
−−+=′
= )1x)(1x)(3x4( +−+
เมื่อ 0)x(f =′ จะไดวา คําตอบของสมการ คือ 3
1,
4
− − และ 1
พิจารณาคาของ x + 1 , 4x + 3 และ x – 1 โดยใชคา x ในชวงทั้ง 4 ขางตน และสรุป
โดยใชเครื่องหมาย ( – ) และ ( + ) แทนคําวาเปนจํานวนจริงลบและจํานวนจริงบวกได
ดังตารางตอไปนี้
)1,( −−∞ )
4
3
,1( −− )1,
4
3
(− (1,∞ )
x + 1 – + + +
4x + 3 – – + +
x – 1 – – – +
(x + 1) (4x + 3)( x – 1) – + – +
จากตารางจะไดวา
1) เมื่อ ∈x )1,( −−∞ จะได (x + 1) < 0 และ (4x + 3) < 0 และ (x – 1) < 0
ดังนั้น (x + 1)(4x + 3)(x – 1) < 0
นั่นคือ 0)x(f <′ ในชวง )1,( −−∞
2) เมื่อ ∈x )
4
3
,1( −− จะได (x + 1) > 0 และ (4x + 3) < 0 และ (x – 1) < 0
ดังนั้น (x + 1)(4x + 3)(x – 1) > 0
นั่นคือ 0)x(f >′ ในชวง )
4
3
,1( −−
X X
ชวง
พจนของ )x(f ′
d
Y
0
cx >
0)c(f =′
0)b(f =′
cx <bx < bx > dx >dx <
0)d(f =′
cb
Y
0 b
cx >
0)c(f =′
0)b(f =′
c
cx <bx < bx >
dx >
dx <
0)d(f =′
d
69
3) เมื่อ ∈x )1,
4
3
(− จะได (x + 1) > 0 และ (4x + 3) > 0 และ (x – 1) < 0
ดังนั้น (x + 1)(4x + 3)(x – 1) < 0
นั่นคือ 0)x(f <′ ในชวง )1,
4
3
(−
4) เมื่อ ∈x (1,∞ ) จะได (x + 1) > 0 และ (4x + 3) > 0 และ (x – 1) > 0
ดังนั้น (x + 1)(4x + 3)(x – 1) > 0
นั่นคือ 0)x(f >′ ในชวง (1,∞)
จาก 1), 2), 3) และ 4) สรุปเปนตารางไดดังนี้
ชวง )x(f ′ ลักษณะของกราฟ สรุป
)1,( −−∞ – เปนฟงกชันลด
)
4
3
,1( −− + เปนฟงกชันเพิ่ม
)1,
4
3
(− – เปนฟงกชันลด
(1,∞ ) + เปนฟงกชันเพิ่ม
1) )x(f มีคาต่ําสุดสัมพัทธที่ 1x −= และ
คาต่ําสุดสัมพัทธของ )x(f คือ =− )1(f 1
2) )x(f มีคาสูงสุดสัมพัทธที่
4
3
x −= และ
คาสูงสุดสัมพัทธของ )x(f คือ =− )
4
3
(f 1.02
3) )x(f มีคาต่ําสุดสัมพัทธที่ 1x = และ
คาต่ําสุดสัมพัทธของ )x(f คือ =)1(f –3
15. 15.1 การใชอนุพันธอันดับที่สองหาคาต่ําสุดสัมพัทธและคาสูงสุดสัมพัทธนั้นในการ
อธิบายใหผูเรียนเขาใจวาเหตุใดเมื่ออนุพันธอันดับที่สองณจุดวิกฤตเปนบวกจึงใหคาต่ําสุดสัมพัทธ
และเหตุใดเมื่ออนุพันธอันดับที่สองณจุดวิกฤตเปนลบจึงใหคาสูงสุดสัมพัทธ ผูสอนอาจจะใชกราฟ
ประกอบดังนี้
จาก )x(fy =
)x(f
dx
dy
′= เปนอนุพันธอันดับที่หนึ่ง
หาอนุพันธของฟงกชัน )x(f ′
dx
))x(f(d ′
dx
)
dx
dy
(d
=
2
2
dx
yd
=
จาก
dx
dy
เปนคาความชันของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด x ใด ๆ
เนื่องจาก 2
2
dx
yd
dx
)
dx
dy
(d
=
70
นั่นคือ 2
2
dx
yd
หมายถึง อัตราการเปลี่ยนแปลงของความชันเทียบกับ x
จาก
h
)x(f)hx(f
lim
dx
dy
0x
−+
=
→
ถา 2
2
dx
yd
< 0 จุดที่ x = x0 จะใหคาสูงสุดสัมพัทธ ซึ่งพิจารณาไดจากกราฟ
ถา 2
2
dx
yd
> 0 จุดที่ x = x0 จะใหคาต่ําสุดสัมพัทธ ซึ่งพิจารณาไดจากกราฟ
15.2 การสอนใหผูเรียนพิจารณาคา x ที่เปนคาวิกฤตนั้นจะทําใหฟงกชันมีคาต่ําสุด
สัมพัทธหรือคาสูงสุดสัมพัทธโดยใชอนุพันธอันดับที่สอง ผูสอนควรสอนภายหลังจากที่ผูเรียนได
ฝกการพิจารณาคาต่ําสุดหรือคาสูงสุดโดยใชอนุพันธอันดับที่หนึ่งไปแลวมิฉะนั้นผูเรียนจะไมสนใจ
เรียนเพราะตองการแตจะทราบถึงวิธีลัดเทานั้นผูสอนควรใหผูเรียนไดฝกโดยใชอนุพันธอันดับที่หนึ่ง
เสียกอน เพราะผูเรียนจะไดทราบถึงเหตุผลในการสรุปเกี่ยวกับคาสูงสุดและคาต่ําสุดไดชัดเจนขึ้นและ
ผูสอนควรเนนใหผูเรียนทราบวาสําหรับบางฟงกชันหรือคาวิกฤตบางคาไมสามารถใชอนุพันธอันดับ
ที่สองตรวจสอบคาสูงสุดและคาต่ําสุดสัมพัทธของฟงกชันได ผูเรียนควรตรวจสอบโดยใชอนุพันธ
อันดับหนึ่ง เชน
Xx0
Y
0
dx
dy
>0
dx
dy
=
0
x0
X
Y
0
dx
dy
<
0
dx
dy
=
0
71
1) 4
)1x()x(f −=
หาจุดวิกฤตของ f จาก 4
)1x()x(f −=
3
)1x(4)x(f −=′
คาของ x ที่ทําให 0)x(f =′ คือ 1 จะไดจุดวิกฤตของ f คือ x = 1
จาก 3
)1x(4)x(f −=′
2
)1x(12)x(f −=′′
ดังนั้น 0)1(f =′′ ซึ่งไมสามารถตรวจสอบไดวา ที่ x = 1 จะให
คาต่ําสุดหรือคาสูงสุดสัมพัทธ ดังนั้นจะตองใชอนุพันธอันดับที่หนึ่งตรวจสอบ
จาก 3
)1x(4)x(f −=′
พิจารณาเครื่องหมายของ )x(f ′ ในชวง )1,(−∞ และ ),1( ∞ ดังตารางตอไปนี้
ชวง )x(f ′ ลักษณะของกราฟ
1x < – เปนฟงกชันลด
1x > + เปนฟงกชันเพิ่ม
จากตารางสรุปไดวา f มีคาต่ําสุดสัมพัทธที่ x = 1 และคาต่ําสุดสัมพัทธที่ x = 1
คือ f(1) = 0
ผูสอนอาจจะใหผูเรียนพิจารณาจากกราฟจะทําใหผูเรียนเขาใจมากขึ้น
2) 34
x2x)x(f −=
หาจุดวิกฤตของ f จาก 34
x2x)x(f −=
23
x6x4)x(f −=′ )6x4(x2
−=
คาของ x ที่ทําให 0)x(f =′ คือ 0 และ 3
2
จะไดจุดวิกฤตของ f คือ x = 0 และ
2
3
x =
1-1 0 2
1
2
X
Y
-1
72
จาก 23
x6x4)x(f −=′
x12x12)x(f 2
−=′′
พิจารณากรณีที่ 3
x
2
=
จะได 9)
2
3
(12)
2
3
(12)
2
3
(f 2
=−=′′ ซึ่งมากกวา 0
แสดงวา f มีคาต่ําสุดสัมพัทธที่
2
3
x = และคาต่ําสุดสัมพัทธที่
2
3
x = คือ
69.1)
2
3
(2)
2
3
()
2
3
(f 34
−=−=
พิจารณากรณีที่ 0x =
จะได f (0) 0′′ =
ซึ่งไมสามารถตรวจสอบไดวา ที่ x = 0 จะใหคาต่ําสุดหรือคาสูงสุดสัมพัทธ
ดังนั้นจะตองใชอนุพันธอันดับที่หนึ่งตรวจสอบ
จาก 23
x6x4)x(f −=′ )6x4(x2
−=
พิจารณาเครื่องหมายของ )x(f ′ ในชวง )0,(−∞ , )
2
3
,0( และ ),
2
3
( ∞ ดังตาราง
ตอไปนี้
ชวง )x(f ′ ลักษณะของกราฟ
0x < – เปนฟงกชันลด
2
3
x0 << – เปนฟงกชันลด
2
3
x > + เปนฟงกชันเพิ่ม
จากตารางสรุปไดวา
1) f มีคาต่ําสุดสัมพัทธที่
2
3
x = และคาต่ําสุดสัมพัทธที่
2
3
x = คือ
69.1)
2
3
(2)
2
3
()
2
3
(f 34
−=−=
2) f ไมมีคาต่ําสุดหรือคาสูงสุดสัมพัทธที่ x = 0
73
ผูสอนอาจจะใหผูเรียนพิจารณาจากกราฟจะทําใหผูเรียนเขาใจมากขึ้น
หลังจากยกตัวอยางขางตนผูสอนใหผูเรียนสังเกตวา ทําไมฟงกชันบางฟงกชันจึงใช
อนุพันธอันดับที่สองตรวจสอบคาวิฤตได แตบางฟงกชันไมสามารถทําได ผูเรียนควรสังเกต
ไดวา สําหรับจุดวิกฤตที่ทําใหคาอนุพันธอันดับที่สองมีคาเทากับศูนย บางจุดจะทําใหไดคาต่ําสุด
หรือคาสูงสุดสัมพัทธ แตบางจุดไมไดใหทั้งคาต่ําสุดและคาสูงสุดสัมพัทธ ดังนั้นจึงไมสามารถ
ใชอนุพันธอันดับที่สองตรวจสอบคาสูงสุดและคาต่ําสุดสัมพัทธของฟงกชันได แตจะตรวจสอบ
ไดโดยใชการหาอนุพันธอันดับที่หนึ่ง
16. ในหัวขอ 2.9 เปนการหาฟงกชันในกระบวนการตรงกันขามกับการหาอนุพันธ
เรียกวาการหาปฏิยานุพันธ ในหนังสือบางเลมเรียกวาการอินทิเกรต ดังแผนภาพตอไปนี้
)x(F
หาอนุพันธหาปฏิยานุพันธ
)x(F′
-1
1 2
-2
-1
1
2
X
Y
0
74
17. ถาอนุพันธของฟงกชันอยูในรูป n
x
dx
dy
= แลวใหหาฟงกชันเดิม โดยใชสูตร
1n
x
y
1n
+
=
+
จะเห็นวาจะหาฟงกชันนี้ไมได เมื่อ 1n −= ดังนั้นในการกําหนดอนุพันธของฟงกชัน
ใหอนุพันธของฟงกชันที่กําหนดใหตองไมอยูรูป
x
1
หรือ
bax
1
+
เมื่อ b,a เปนจํานวนจริงที่
0a ≠ เนื่องจากฟงกชันที่มีอนุพันธอยูในรูปดังกลาวจะเปนฟงกชันลอการิทึมในรูป xlny =
และ cbaxlnay ++= ซึ่งฟงกชันในลักษณะแบบนี้ผูเรียนจะไดเรียนในระดับสูงตอไป
18. รูปทั่วไปของปฏิยานุพันธของ f คือ ฟงกชัน c)x(Fy += เมื่อ c เปนคาคงตัว
และ )x(f)x(F =′ เขียนแทนปฏิยานุพันธของ f ดวยสัญลักษณ ∫ dx)x(f อานวา ปริพันธ
ไมจํากัดเขตของฟงกชัน f เทียบกับตัวแปร x
19. จากตัวอยางที่ 5 หัวขอ 2.10 เรื่องปริพันธไมจํากัดเขต ที่กลาววา
∫ + dx)x2x( 2
= ∫ ∫+ xdx2dxx2
= [ ]2
2
1
3
c
2
x
2c
3
x
+++
= cx
3
x 2
3
++ เมื่อ 21 c2cc +=
ผูสอนควรเนนใหผูเรียนเห็นวาในการหาคาของ ∫ dxx2
ใหคาคงตัวหนึ่ง คือ 1c และใน
การหาคาของ ∫ xdx2 ใหคาคงตัว คือ 2c2 ซึ่งคาคงตัวที่เกิดขึ้นนี้มีหลายคาแตนิยมเขียนสรุป
โดยใช c เพียงคาเดียว ซึ่งในที่นี้หมายถึง 21 c2c +
20. ในหัวขอ 2.11 ในการหาปริพันธจํากัดเขต และ )x(fy = ตองเปนฟงกชันตอเนื่อง
บนชวงปด [a, b] ซึ่งหาไดจากทฤษฎีหลักมูลของแคลคูลัสและไมเนนการพิสูจน ดังนี้
1) หา )x(F ซึ่งเปนปฏิยานุพันธของ )x(f หรือ หา ∫ dx)x(f
2) หา )a(F)b(F −
และคาที่ไดจาก 2) จะเปนคาของปริพันธจํากัดเขต ∫
b
a
dx)x(f
การหาปริพันธจํากัดเขตไมตองบวกคา c เนื่องจาก การหา )a(F)b(F − คา c จะหักลาง
กันหมดไป
21. ในการศึกษาหัวขอ 2.12 เรื่องพื้นที่ที่ปดลอมดวยเสนโคง จะศึกษาเฉพาะเสนโคงของ
ฟงกชันพหุนามที่เลขชี้กําลังเปนจํานวนเต็มบวกไมเกินสอง และจะตองระบุดวยวาเปนการหาพื้นที่
ที่ปดลอมดวยกราฟของฟงกชันที่กําหนดให แกน X เสนตรง ax = และเสนตรง bx = เมื่อ
Rb,a ∈ ผูสอนควรย้ําวาในหนังสือเรียนที่ไมไดเขียนแกน X ไวนั้นจริง ๆ แลว มีเสนปดลอมอีก
เสนหนึ่ง คือ แกน X แตในที่นี้ไดละไว สําหรับการหาพื้นที่ที่อยูระหวางเสนโคงสองเสน ไมได
ศึกษาในหัวขอนี้
75
กิจกรรมเสนอแนะ
ลิมิตของฟงกชัน
1. ผูสอนฝกใหผูเรียนทําความเขาใจความหมายของคําวา x เขาใกล a โดยการ
ลากเสนจํานวนดังรูป
จากนั้น ผูสอนกําหนดจํานวนจํานวนหนึ่งให เชน 2 แลวใหผูเรียนหาจํานวนที่มีคา
มากกวา 2 และมีคาเขาใกล 2
ผูสอนบอกผูเรียนวาการพิจารณาจํานวนจริง x ที่มีคามากกวา 2 และมีคาเขาใกล 2 ซึ่ง
เรียกวา x มีคาเขาใกล 2 ทางดานขวาเขียนแทนดวยสัญลักษณ x → 2+
ในทํานองเดียวกัน ผูสอนใหผูเรียนหาจํานวนที่มีคานอยกวา 2 และมีคาเขาใกล 2 และ
บอกผูเรียนวา เปนการพิจารณาจํานวนจริง x ที่มีคานอยกวา 2 และมีคาเขาใกล 2 ซึ่งเรียกวา x
มีคาเขาใกล 2 ทางดานซายเขียนแทนดวยสัญลักษณ x → 2–
ตัวอยาง
2. ผูสอนกําหนดฟงกชันตอไปนี้ใหผูเรียนพิจารณาโดยใชการแทนคา x ที่เขาใกล a
ทั้งทางดานขวาและทางดานซาย พรอมทั้งเขียนกราฟ
1) f(x) = 2x – 1 เมื่อ x มีคาเขาใกล 1
2) f(x) = x2
– 4x + 5 เมื่อ x มีคาเขาใกล 2
3) f(x) = x เมื่อ x มีคาเขาใกล 0
4) f(x) =
5) f(x) =
จากฟงกชันขางตนผูสอนแบงกลุมผูเรียนใหชวยกันหาคาของ f(x) จาก x → a ที่
กําหนดให ซึ่งควรไดผลดังนี้
2 – x เมื่อ x < 1
(x – 1)2
เมื่อ x ≥ 1
x 4− เมื่อ x > 4
8 – 2x เมื่อ x < 4
0 1 2
x → 2–
x → 2+
3
0 1 2 3-1-2-3
76
1) f(x) = 2x – 1 เมื่อ x เขาใกล 1
เมื่อพิจารณาคาของ f(x) ในตารางและกราฟ จะเห็นวา x มีคาเขาใกล 1 ทางดานซายและดานขวา
คาของ f(x) มีคาเขาใกล 1 เพียงคาเดียว
2) 5x4x)x(f 2
+−= เมื่อ x เขาใกล 2
เมื่อพิจารณาคาของ f(x) ในตารางและกราฟ จะเห็นวา เมื่อ x มีคาเขาใกล 2 ทางดานซายและ
ดานขวา คาของ f(x) มีคาเขาใกล 1 เพียงคาเดียว
x 1.001 1.01 1.1
f(x) 1.002 1.02 1.2
x 0.9 0.99 0.999
f(x) 0.8 0.98 0.998
x 2.001 2.01 2.1
f(x) 1.000001 1.0001 1.01
x 1.9 1.99 1.999
f(x) 1.01 1.0001 1.000001
1 2
1
-1
30
X
Y
f(x) = 1x2 −
Y
2
1
4
X0
5x4x)x(f 2
+−=
77
3) f(x) = x เมื่อ x เขาใกล 0
เมื่อพิจารณาคาของ f(x) ในตารางและกราฟ จะเห็นวา เมื่อ x มีคาเขาใกล 0 ทางดานซายและ
ดานขวา คาของ f(x) มีคาเขาใกล 0 เพียงคาเดียว
4) f(x) =
เมื่อพิจารณาคาของ f(x) ในตารางและกราฟ จะเห็นวา เมื่อ x มีคาเขาใกล 4 ทางดานซาย
และดานขวา คาของ f(x) มีคาเขาใกล 0 เพียงคาเดียว
x 0.001 0.01 0.1
f(x) 0.001 0.01 0.1
x -0.1 -0.01 -0.001
f(x) 0.1 0.01 0.001
x 4− เมื่อ x > 4
8 – 2x เมื่อ x < 4
x 4.001 4.01 4.1
f(x) 0.0316 0.1 0.316
x 3.99 3.999 3.9999
f(x) 0.02 0.002 0.0002
X
4
4
2
0
Y
4x)x(f −=
f(x) = 8 – 2x
-1 1 2
1
-1
0
X
Y
-2
2
x)x(f =
78
5) f(x) =
เมื่อพิจารณาคาของ f(x) ในตารางและกราฟ จะเห็นวา เมื่อ x มีคาเขาใกล 1 ดานซาย f(x) มีคา
เขาใกล 1 เมื่อ x มีคาเขาใกล 1 ดานขวา f(x) เขาใกล 0
3. จากการพิจารณาฟงกชันที่กําหนดใหขางตน ผูเรียนชวยกันสรุปวา ถา f เปนฟงกชัน
และ f(x) มีคาเขาใกลจํานวนจริง เพียงคาเดียวในขอ 1 – 4 สวนฟงกชันในขอ 5 จะสรุปไดวา
เมื่อ x มีคาเขาใกล 1 ดานซาย f(x) มีคาเขาใกล 1 เมื่อ x มีคาเขาใกล 1 ดานขวา f(x) เขาใกล 0
4. ผูสอนสรุปวาในกรณีทั่วไป “คาของ f(x) เมื่อ x เขาใกล a ทางดานซาย มีคา
เทากับ Lเขียนแทนดวย x a
lim f (x)−
→
= L อานวา ลิมิตของ f(x) เมื่อ x เขาใกล a ทางดานซาย
เทากับ Lและ “คาของ f(x) เมื่อ x เขาใกล a ทางดานขวา มีคาเทากับ L เขียนแทนดวย
x a
lim f (x)+
→
= L อานวา ลิมิตของ f(x) เมื่อ x เขาใกล a ทางดานขวา เทากับ L และถา f เปน
ฟงกชัน และ f(x) มีคาเขาใกลจํานวนจริง L เพียงคาเดียว เมื่อ x มีคาเขาใกล a (ไมวา x > a หรือ
x < a) เราจะกลาววาฟงกชัน f มีลิมิตเทากับ L หรือกลาววา ลิมิตของฟงกชัน f ที่ x เมื่อ x
เขาใกล a มีคาเทากับ L เขียนแทนดวยสัญลักษณ x a
limf (x)
→
= L และ ถา f เปนฟงกชัน และ
คาของ f(x) เมื่อ x เขาใกล a ทางดานซาย ไมเทากับคาของ f(x) เมื่อ x เขาใกล a ทางดานขวา
กลาววา x a
limf (x)
→
หาคาไมได
2 – x เมื่อ x < 1
(x – 1)2
เมื่อ x ≥ 1
x 1.001 1.01 1.1
f(x) 0.000001 0.0001 0.01
x 0.99 0.999 0.9999
f(x) 1.01 1.001 1.0001
4
2
1
X
Y
f(x) = 2 – x
2
)1x()x(f −=
O
79
5. ผูสอนชี้ใหผูเรียนเห็นวา บางครั้งการหาคาลิมิตของฟงกชันโดยการใชกราฟหรือ
คํานวณคาของฟงกชันนั้นไมสะดวก โดยทั่วไปจะใชวิธีการหาลิมิต โดยอาศัยทฤษฎีบทเกี่ยวกับ
ลิมิต ผูสอนควรแนะนําทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิตพรอมกับตัวอยางการนําทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิตไปใช
ความตอเนื่องของฟงกชัน
1. ผูสอนใหผูเรียนพิจารณากราฟของฟงกชันที่กําหนดใหดังรูปผูสอนและผูเรียน
รวมกันอภิปรายความหมายของความตอเนื่องของฟงกชัน โดยผูสอนยกตัวอยางกราฟในรูป
1)
2)
3)
X
Y
0 a
)x(fy 2=
X
Y
0 a
)x(fy 3=
X
Y
0 a
)x(fy 1=
80
4)
เมื่อผูเรียนพิจารณากราฟควรอธิบายไดวา มีเพียงกราฟขอ 4) ตอเนื่องที่จุด x = a
สวนกราฟขอ 1), 2) และ 3) ไมตอเนื่องเพราะมีบางจุดที่กราฟขาดตอน และควรบอกไดวาขาด
สมบัติในขอใดบาง
2. ผูเรียนพิจารณาความตอเนื่องของฟงกชันที่กําหนด ณ จุดที่กําหนดใหพรอมทั้งบอก
เหตุผล
1) f(x) =
2
x x 2
x 2
− −
−
ณ จุดที่ x = 2
2) f(x) =
ณ จุดที่ x = 0
X
Y
0 a
)x(fy 4=
Y
-1 1 2
1
-1
0
X
-2
2
3
2
x
1 , x ≠ 0
1 , x = 0
Y
-1 1 2
1
-1
0
X
-2
2
3
81
3) f(x) =
ณ จุดที่ x = 2
3. ผูสอนใหผูเรียนพิจารณาความตอเนื่องของฟงกชันเมื่อ กําหนดให
5x5x)x(f 2
−−= พิจารณา )1(f และ )x(flim
1x→
)1(f = –9
)x(flim
1x→
= –9
จะเห็นวา )1(f = )x(flim
1x→
เมื่อพิจารณากราฟจะเห็นวา f(x) มีความตอเนื่องที่ x = 1
2
x x 2
x 2
− −
−
, x ≠ 2
1 , x = 2
Y
-1 1 2
1
-1
0
X
-2
2
3
(2, 1)
Y
X
2 4 60
5
10
–10
–5
–2
82
4. ผูสอนและผูเรียนสรุปวา f มีความตอเนื่อง ที่ x = a เมื่อมีสมบัติครบ 3 ขอ คือ
1. f(a) หาคาได
2. )x(flim
ax→
หาคาได
3. f(a) = )x(flim
ax→
5. ผูสอนแนะนําผูเรียนใหใชหลักการขางตนหาความตอเนื่องบนชวงของฟงกชันแลว
ใหผูเรียนทําแบบฝกหัด
ความชันของเสนโคง
1. 1) ผูสอนทบทวนเกี่ยวกับการหาความชันของเสนตรง โดยพิจารณารูปตอไปนี้
ผูเรียนควรตอบไดวา ความชัน คือ
1 1
1
2 2
2 1
−
−
= 1
2) ผูสอนเสนอแนะผูเรียนเกี่ยวกับกรณีทั่วไปวาการหาความชันของเสนตรงคือ
อัตราสวนของ k และ h
ดังนั้น ความชันของเสนตรง คือ b k b
a h a
+ −
+ −
= k
h
Y
a a + h
b
0
X
b + k Q (a+h,b+k)
P (a,b)
h k
Y
-1 1 2
1
-1
0
X
2
3
Q
)
2
1
1,2(
)
2
1
,1(
P
83
2. ผูเรียนใชความรูจากการหาความชันของเสนตรงหาความชันของเสนโคง โดยผูสอน
กําหนดฟงกชันดวยแผนภาพตอไปนี้โดยกําหนดจุด Q(a + h, b + k) ที่มีระยะหางจากจุด P(a, b)
ตาง ๆ กัน เพื่อใหผูเรียนมองเห็นความสัมพันธของความชันของเสนโคงและความชันของเสนตรง
ตามตารางที่ 1
f(x) = x2
– 4x + 5
ตารางที่ 1 ความสัมพันธของจุด P และ Q ในการหาความชันของเสนโคง
k = f(a + h) – f(a) h = (a + h) – a
Q1(4, 5)
Q2(3, 2)
Q3(2.5, 1.25)
Q4(2.25, 1.0625)
Q5(2.125, 1.0156)
Q6(2.01, 1.001)
Q7(2.001, 1.000001)
Qn เขาใกล (2, 1)
f(4) – f(2) = 4
f(3) – f(2) = 1
f(2.5) – f(2) = 0.25
f(2.25) – f(2) = 0.0625
f(2.125) – f(2) = 0.0156
f(2.01) – f(2) = 0.0001
f(2.001) – f(2) = 0.000001
f(2 + h) – f(2)
4 – 2 = 2
3 – 2 = 1
2.5 – 2 = 0.5
2.25 – 2 = 0.25
2.125 – 2 = 0.125
2.01 – 2 = 0.01
2.001 – 2 = 0.001
h
h 0
f (2 h) f (2)
lim
h→
+ −
=
2 2
h 0
(2 h) 4(2 h) 5 [2 4(2) 5]
lim
h→
⎡ ⎤+ − + + − − +⎣ ⎦
=
2
h 0
h 4h 4 8 4h 5 4 8 5
lim
h→
+ + − − + − + −
=
2
h 0
h
lim
h→
= 0
X
4
2
2
Y
5x4x)x(f 2
+−=
0
P
1Q
2Q
3Q
...
...
...
84
ผูเรียนควรสรุปไดวา การหาความชันของเสนโคง ณ พิกัดของจุดที่กําหนดให เมื่อ h
เขาใกล 0 ความชัน คือ 0
จากกราฟและตารางที่ 1 ผูเรียนหาความชันไดดังนี้
Qn k h k
h
(4, 5) 5 – 1 = 4 4 – 2 = 2 4/2 = 2
(3, 2) 2 – 1 = 2 4 – 3 = 1 2/1 = 1
(2.5, 1.25) 1.25 – 1 = 0.25 2.5 – 2 = 0.5 0.25/0.5 = 0 .5
(2.25, 1.0625) 1.0625 – 1 = 0.0625 2.25 – 2 = 0.25 0.0625/0.25 = 0.25
(2 + h, f(2 + h)) f(2 + h) – f(2) 2 + h – 2 f (2 h) f (2)
h
+ −
ผูเรียนควรสรุปไดวา ในขณะที่เสนตรง PQn เกือบทับจุด P ที่จุด Qn คา h มีคาเขาใกล 0
ซึ่งสามารถหาความชันไดจากการหา h 0
f (2 h) f (2)
lim
h→
+ −
คือการหาความชันของเสนโคงนั่นเอง
แตถาจุด Qn ทับกับจุด P พอดี จุดนั้นก็จะเปนจุดสัมผัสซึ่งมีสมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด
P(x, y) ใด ๆ
3. ผูสอนสรุปเปนกรณีทั่วไป โดยใชบทนิยามในหนังสือเรียนถา y = f(x) เปนสมการ
ของเสนโคง เสนตรงที่สัมผัสเสนโคงที่จุด P(x, y) ใด ๆ จะเปนเสนตรงที่ผานจุด P และมีความชัน
m = h 0
f (x h) f (x)
lim
h→
+ −
ถาลิมิตหาคาไดความชัน ณ จุด P(x, y) หมายถึง ความชันของเสน
สัมผัสเสนโคง ณ จุด P
4. ผูเรียนทําแบบฝกหัด
อนุพันธของฟงกชัน
1. ผูสอนทบทวนเรื่องการหาความชันของเสนโคง ผูเรียนควรบอกไดวา การหาความ
ชันของเสนโคง y = f(x) ที่จุด P(x, y) เปนการหาความชันของ PQ เมื่อจุด Q(x + h, y + k) เปน
จุดใด ๆ โดยให h เขาใกล 0 ซึ่งเปนการหาอัตราสวนระหวาง f(x + h) – f(x) กับ h เมื่อ คา h
เขาใกล 0 จึงไดความชันเสนโคง คือ m = h 0
f (x h) f (x)
lim
h→
+ −
เมื่อลิมิตหาคาได
2. ผูสอนบอกผูเรียนวา โดยใชบทนิยามในหนังสือเรียน ถา y = f(x) เปนฟงกชัน
และมีโดเมนและเรนจ เปนสับเซตของจํานวนจริง และ h 0
f (x h) f (x)
lim
h→
+ −
หาคาได เรียก
ลิมิตที่ไดนี้วา อนุพันธของฟงกชัน f ที่ x เขียนแทนดวย f′(x) นอกจากนี้ยังเขียนแทนดวย
สัญลักษณอยางอื่น เชน dy
dx
หรือ y′ หรือ d
f (x)
dx
85
การหาอนุพันธของฟงกชันพีชคณิตโดยใชสูตร
1. ผูสอนทบทวนการหาอนุพันธของฟงกชันโดยใชบทนิยามของการหาอนุพันธดังนี้
f′(x) = h 0
f (x h) f (x)
lim
h→
+ −
และเสนอแนะผูเรียนวา การหาอนุพันธสําหรับบางฟงกชันใช
เวลาคอนขางนาน จําตองสรางสูตรเพื่อนํามาใชใหเกิดความสะดวก เชน 1x5x)x(f 3
++=
เมื่อหาอนุพันธของฟงกชัน f โดยลิมิต จะได dy
dx
= h 0
f (x h) f (x)
lim
h→
+ −
ดังนั้น f′(x) = ( ) ( )
h
1x5x1)hx(5)hx(
lim
33
0h
++−++++
→
= ( )
h
1x5x)1h5x5xh3hx3hx(
lim
32233
0h
++−++++++
→
=
h
)h5xh3hx3h(
lim
223
0h
+++
→
=
h
)5xh3x3h(h
lim
22
0h
+++
→
= 2 2
h 0
lim (h 3x 3xh 5)
→
+ + +
= 5x3 2
+
เมื่อหาอนุพันธของฟงกชัน f โดยใชสูตร
จาก 1x5x)x(f 3
++=
f′(x) = 1
dx
d
x
dx
d
5x
dx
d 3
++
= 5x3 2
+
2. ผูสอนยกตัวอยางการหาอนุพันธของฟงกชันบางฟงกชันโดยใชสูตรแลวใหผูเรียนฝก
หาอนุพันธของฟงกชันโดยใชสูตร
อนุพันธของฟงกชันประกอบ
1. ผูสอนยกตัวอยางฟงกชัน เชน f(x) = (x7
– 2x–7
)15
โดยชี้ใหผูเรียนเห็นวา
การจะหาอนุพันธของฟงกชันที่มีดีกรีสูง ๆ โดยใชบทนิยาม f′(x) = h 0
f (x h) f (x)
lim
h→
+ −
ที่เรียนผานมาจะไมสะดวก ดังนั้น จึงมีการสรางสูตรที่เรียกวา กฎลูกโซ ซึ่งกฎนี้จะใชกับฟงกชัน
ที่เรียกวา ฟงกชันประกอบ
86
2. ผูสอนบอกสูตรการหาอนุพันธฟงกชันประกอบ ดังนี้
ถา y = (g°f)(x) = g(f(x)) แลว dy
dx
= d d
g(f (x)) f (x)
df (x) dx
⋅
ซึ่งผูสอนอาจจะแสดงบทพิสูจนดังนี้
จากบทนิยามของการหาอนุพันธของฟงกชัน จะไดวา
(g°f)′(x) =
h
)x)(fg()hx)(fg(
lim
0h
−+
→
= h 0
g(f (x h)) g(f (x))
lim
h→
+ −
= h 0
g(f (x h)) g(f (x)) f (x h) f (x)
lim
f (x h) f (x) h→
⎡ ⎤+ − + −
⋅⎢ ⎥+ −⎣ ⎦
โดยที่ f(x + h) – f(x) ≠ 0
=
h
)x(f)hx(f
lim
)x(f)hx(f
))x(f(g))hx(f(g
lim
0h0h
−+
⋅
−+
−+
→→
ให f(x + h) – f(x) = t
จะไดวา h 0
g(f (x h)) g(f (x))
lim
f (x h) f (x)→
+ −
+ −
=
t
))x(f(g)t)x(f(g
lim
0h
−+
→
ดังนั้น (g°f)′(x) = )x(f))x(f(g ′⋅′
= )x(f
dx
d
))x(f(g
)x(df
d
⋅
ถา u = f(x) และ y = g(u)
จะได dy
dx
= dy du
du dx
⋅
3. ผูสอนยกตัวอยางการหาอนุพันธของฟงกชันประกอบโดยใชสูตรแลวใหผูเรียนทํา
แบบฝกหัด
อนุพันธอันดับสูง
1. ผูสอนทบทวนการหาอนุพันธของฟงกชันโดยใชสูตร และยกตัวอยางฟงกชันบาง
ฟงกชันที่หาอนุพันธได และสามารถหาอนุพันธไดอีกโดยการถามนักเรียน
กําหนด f(x) = 2x4
– 3x3
+ 2x2
+6x – 5
f′(x) = df (x)
dx
= 8x3
– 9x2
+ 4x + 6
d
f (x)
dx
′ = 24x2
– 18x+ 4
ดังนั้น อนุพันธของ f′ (x) คือ 24x2
– 18x + 4
87
2. ผูสอนบอกบทนิยามการหาอนุพันธอันดับสูง ดังนี้
ให f เปนฟงกชันที่สามารถหาอนุพันธได และ f′(x) เปนอนุพันธของฟงกชัน f ที่ x ที่สามารถ
หาอนุพันธไดแลว จะเรียกอนุพันธของอนุพันธของฟงกชัน f ที่ x หรืออนุพันธของฟงกชัน f ′ ที่
x วาอนุพันธอันดับที่ 2 ของ f ที่ x และเขียนแทนอนุพันธของฟงกชัน f′ ที่ x ดวย f″(x)
ทั้งนี้ ผูสอนอธิบายถึงการเขียนแทนดวยสัญลักษณ เชน อนุพันธอันดับที่ 2 ของ
f ที่ x เขียนแทนดวย
2
2
d y
dx
หรือ
2
2
d f (x)
,y
dx
′′ อนุพันธอันดับที่ 3 ของ f ที่ x เขียนแทนดวย
3
3
d y
dx
หรือ
3
3
d
f (x)
dx
หรือ y ′′′ เปนตน
3. ผูสอนแนะนําผูเรียนในการนําความรูเรื่องอนุพันธของฟงกชันอันดับสูงไปใช
ประโยชนในเรื่องการเคลื่อนที่ซึ่งอนุพันธของฟงกชันอันดับที่ 2 ของ f ที่ x คือ ความเรง (a)
ของวัตถุขณะเวลา t ใด ๆ ซึ่งหาไดจากการหาอัตราการเปลี่ยนแปลงของความเร็ว (v) เทียบกับ
เวลา t ใด ๆ จากสมการ s = f(t) ซึ่งจะแสดงไดดังนี้
a = dv
dt
และ v = ds
dt
ดังนั้น a = )
dt
ds
(
dt
d
= 2
2
dt
sd
4. ผูเรียนทําแบบฝกหัด
การประยุกตอนุพันธ
1. ผูสอนทบทวนความรูเกี่ยวกับฟงกชันเพิ่มและฟงกชันลด พรอม ๆ กับการพิจารณา
ความชันของเสนโคงดังแผนภาพตอไปนี้
ถา 21 xx < และ )x(f)x(f 21 < จะไดวา )x(f เปนฟงกชันเพิ่ม และ 0)x(f >′
X
y = f(x)
0
Y
x2x1
88
ถา 21 xx < และ )x(f)x(f 21 > จะไดวา )x(f เปนฟงกชันลด และ 0)x(f <′
2. ผูสอนกําหนดกราฟมาให โดยใหผูเรียนเขียนกราฟของฟงกชันที่กําหนดใหและ
พิจารณาคาของ f(x) และ )x(f ′ เมื่อกําหนด x = a ที่เปนจุดต่ําสุดและจุดสูงสุด โดยเขียน +
และ – เมื่อคาของฟงกชันในชวงนั้นเปนจํานวนจริงบวกและลบ ตามลําดับ ดังแสดงในตาราง
จุดสูงสุดหรือ
จุดต่ําสุด
X
Y
y = f(x)
0 x1 x2
)1,2( –+ 01
0
1)
2
5-2
-2
X
Y
)1,1( − – 0 +–1
0
2)
2
5-2
-2
X
Y
)3,2( –+ 0–3
0
3)
)x(f
ax =ax < ax >
)x(f ′)x(f ′
2
5-2
-2
X
Y
)x(f ′)x(f
89
จากตารางพิจารณาคา ของ f(x) และ )x(f ′ โดยยึดจุดสูงสุดและจุดต่ําสุดสัมพัทธเปนชวง
แบงผูเรียนสรุปไดวา
1. ฟงกชันในขอ 1 และ 3 ณ จุดสูงสุดในชวง x < a คาของ f(x) จะเพิ่มขึ้น
ในขณะที่ x = a ฟงกชันจะใหคาสูงสุด ในชวง x > a คาของ f(x) เริ่มลดลง
2. ฟงกชันในขอ 2 และ 4 ณ จุดต่ําสุดในชวง x < a คาของ f(x) จะลดลง
ในขณะที่ x = a ฟงกชันจะใหคาต่ําสุด ในชวง x > a คาของ f(x) เริ่มเพิ่มขึ้น
3. ณ จุดที่เปนจุดต่ําสุดหรือจุดสูงสุดของฟงกชันจะเปนจุดเปลี่ยนจากคาบวกเปน
คาลบหรือจากคาลบเปนคาบวก (จุดที่ 0)x(f =′ )
3. จากขอคนพบและสิ่งที่ผูเรียนสรุปได ผูสอนสรุปความหมายของคาสูงสุดสัมพัทธ
คาต่ําสุดสัมพัทธ และคาวิกฤต ตามที่นิยามในหนังสือเรียน
4. ผูสอนใหผูเรียนหาคาสูงสุดสัมพัทธ คาต่ําสุดสัมพัทธ และคาวิกฤต โดยกําหนด
ฟงกชัน ดังตอไปนี้
1. 8x2x)x(f 2
−−=
2x2)x(f −=′
หาคาวิกฤต 2x2)x(f −=′ = 0
x = 1
ถา x > 1, 0)x(f >′ ถา x < 1, 0)x(f <′
ดังนั้น f(x) มี คาต่ําสุดสัมพัทธ คือ –9
2. 1x3x)x(f 3
−−=
3x3)x(f 2
−=′
หาคาวิกฤต โดยให 0)x(f =′
จะได 0)1x(3 2
=−
x = –1 หรือ x = 1
พิจารณากรณี x = –1
ถา x < –1, 0)x(f >′ ถา x > –1, 0)x(f <′
-4
5-2
-2
X
Y
)4,1( − – ––40
4)
0
90
ดังนั้น f(x) มี คาสูงสุดสัมพัทธ คือ 1
พิจารณากรณี x = 1
ถา x < 1, 0)x(f <′ ถา x > 1, 0)x(f >′
ดังนั้น f(x) มี คาต่ําสุดสัมพัทธ คือ –3
5. ผูสอนใหผูเรียนพิจารณาหาคาสูงสุดสัมพัทธและคาต่ําสุดสัมพัทธพรอมทั้งเปรียบเทียบ
คาที่หาได ภายในชวงที่กําหนดให
ผูเรียนสรุปวา 1. f มีคาสูงสุดสัมพัทธที่จุด 1x และ 3x และ )x(f)x(f 31 <
2. f มีคาต่ําสุดสัมพัทธที่จุด 2x และ 4x และ )x(f)x(f 42 <
6. ผูสอนสรุปความหมายของคาสูงสุดสัมบูรณและคาต่ําสุดสัมบูรณตามบทนิยามใน
หนังสือเรียน พรอมทั้งเนนความแตกตางระหวางจุดสูงสุดสัมพัทธและจุดสูงสุดสัมบูรณ จุดต่ําสุด
สัมพัทธและจุดต่ําสุดสัมบูรณโดยอาจจะอธิบายโดยใชกราฟดังนี้
X
A C
0 x1 x2 x3 x4
f(x)
B D
Y
g
B
C
D
E
F
•
•
•
•
•
•GA
•
Y
Xa b c d fe
91
จากกราฟ ผูสอนใหผูเรียนชวยกันพิจารณาวาจุดใดบางเปนจุดสูงสุดสัมพัทธ และจุดใด
บางเปนจุดต่ําสุดสัมพัทธ จากนั้นใหผูเรียนระบุวาจุดใดเปนจุดสูงสุดสัมบูรณและจุดใดเปนจุดต่ํา
สุดสัมบูรณ ซึ่งผูเรียนควรตอบไดวา จุด B, จุด D และจุด F เปนจุดสูงสุดสัมพัทธ สวนจุด C
และจุด E เปนจุดต่ําสุดสัมพัทธ หรือ ผูเรียนอาจกลาววา ฟงกชัน f มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ x = b,
x = d และ x = f เพราะมีความหมายเหมือนกัน จากกราฟ ผูเรียนควรตอบไดวา จุด B เปน
จุดสูงสุดสัมบูรณ และคาสูงสุดสัมบูรณเทากับ f(b) จุด E เปนจุดต่ําสุดสัมบูรณ และคาต่ําสุด
สัมบูรณเทากับ f(e) ผูสอนควรชี้แจงใหผูเรียนเขาใจวา ตามนิยามในหนังสือเรียนหนา 129 การ
พิจารณาจุดต่ําสุดสัมพัทธและจุดสูงสุดสัมพัทธจะไมพิจารณาจุดปลายของชวงเปด (a, g) ดังนั้น
จุด A และ จุด G จึงไมเปนจุดต่ําสัมพัทธหรือจุดสูงสุดสัมพัทธ อยางไรก็ตามในการพิจารณาคา
ต่ําสุดสัมบูรณและคาสูงสุดสัมบูรณนั้น ตองพิจารณาจุดปลายของชวงเปด (a, g) ดวย นั่นคือ
จุด A และจุด G อาจจะเปนจุดที่ใหคาต่ําสุดสัมบูรณหรือจุดสูงสุดสัมบูรณก็ได
7. ผูเรียนทําแบบฝกหาคาสูงสุดสัมพัทธและคาต่ําสุดสัมพัทธ คาสูงสุดสัมบูรณและคา
ต่ําสุดสัมบูรณของฟงกชัน
ปฏิยานุพันธ
1. ผูสอนทบทวนการหาอนุพันธของฟงกชัน ดังนี้
)x(f )x(f′
5x + 1 5
x2
+ 1 2x
x2
+ 3x + 2 2x + 3
x3
+ 2 3x2
x3
– 5 3x2
x3
+ 3x + 2 3x2
+ 3
x3
+ 3x – 5 3x2
+ 3
ผูสอนใหผูเรียนรวมกันสรุปวา การหาอนุพันธของ y = xn
หาไดจากสูตร n 1dy
nx
dx
−
=
เมื่อทบทวนเรื่องการหาอนุพันธแลวผูสอนควรถามใหผูเรียนหาฟงกชันหลายๆ ฟงกชันที่มีคาอนุพันธ
เทากันแลวจึงคอยใหผูเรียนสรุปวา ฟงกชันที่มีอนุพันธเทากันนั้นจะตางกันเฉพาะคาคงตัว ซึ่งใน
การเรียนการสอนคณิตศาสตรระดับสูงขึ้นไปจะสามารถพิสูจนไดวา ฟงกชันที่มีอนุพันธเทากันนั้น
จะตางกันเฉพาะคาคงตัว
92
กําหนด f(x)
ลองให y = F(x)
หา F′
(x)
ทดสอบวา
F′
(x) เทากับ f(x)
หรือไม
y = F(x) + cไมเทากัน
2. ผูสอนกําหนดฟงกชันและอธิบายการหาปฏิยานุพันธโดยใชแผนผัง ดังตอไปนี้
ใหผูเรียนเติม F(x), F′(x) และผลการเปรียบเทียบระหวาง F′(x) กับ f(x) ลงในชองวาง
ในตารางตอไปนี้
)x(f )x(Fy= )x(F′ )x(F′ เทากับ )x(f หรือไม
2x
3x
2x + 1
5x – 1
x2
+ 2x + 1
ผูสอนใหผูเรียนรวมกันเฉลยโดยการสุมถามคําตอบและวิธีการหา y = F(x) จากผูเรียน
พรอมทั้งใหสังเกตคา c ของแตละคน
)x(f )x(Fy= )x(F′ )x(F′ เทากับ )x(f หรือไม
2x x2
+ 1 2x เทากัน
3x 2x
2
3 2
− 3x เทากัน
2x + 1 x2
+ x + 1 2x + 1 เทากัน
5x – 1 25
x x 2
2
− + 5x – 1 เทากัน
x2
+ 2x + 1 3
2x
x x 1
3
+ + + x2
+ 2x + 1 เทากัน
93
ผูเรียนควรสรุปไดวา เมื่อกําหนด f(x) สามารถหา y = F(x) โดยที่ F′
(x) = f(x) ได
และเมื่อ c เปนคาคงตัวไมจําเปนตองเทากัน ซึ่งสามารถเขียนอยูในรูปทั่วไป คือ y = F(x) + c
3. ผูสอนแนะนํากระบวนการตรงขามการหาอนุพันธตามวิธีการในหนังสือเรียนโดย
พิจารณาการเคลื่อนที่ของวัตถุ ขณะเวลา t ใด ๆ เมื่อทราบความเร็วในการเคลื่อนที่ แตตองการหา
สมการการเคลื่อนที่ของวัตถุ หลังจากนั้นผูสอนและผูเรียนชวยกันสรุปบทนิยามการหาปฏิยานุพันธ
ปริพันธไมจํากัดเขต
1. ผูสอนแบงผูเรียนเปนกลุมใหผูเรียนอธิบายการหาปฏิยานุพันธของ f(x) โดยใช
ตารางตอไปนี้
f(x) y = F(x) + c F′
(x) = f(x) วิธีคิด
1
2x
3x2
4x3
5x4
2x – 1
x2
+ x3
4x3
+ 3x2
3x2
– 2x + 1
–2x3
ผูสอนสุมใหผูเรียนแตละกลุมนําเสนอวิธีการหาปฏิยานุพันธ พรอมทั้งเฉลย ผูเรียนควร
มองเห็นแบบรูปของปฏิยานุพันธของ f(x) ที่กําหนดให จนสามารถสรุปเปนพจนทั่วไปไดวา เมื่อ
กําหนด f(x) = xn
สามารถหา F(x) + c ไดจาก
n 1
x
n 1
+
+
โดยที่ n ≠ –1 หรือสรุปตามบทนิยาม
ในหนังสือเรียนหรืออาจใชวิธีการถามตอบ เพื่อใหผูเรียนเห็นทั้งกระบวนการยอนกลับ
2. ผูสอนใหผูเรียนสังเกตวา ฟงกชันที่กําหนดใหเพื่อหา F(x) + c เปนฟงกชันชนิดใดบาง
ผูเรียนควรตอบไดวา
เปนฟงกชันคาคงตัว ไดแก f(x) = 1
ฟงกชันพหุนาม ไดแก f(x) = 2 , f(x) = 3x2
, f(x) = 4x3
, f(x) = 5x4
,
f(x) = 2x – 1 , f(x) = 5x + 1 , f(x) = 4x3
+ 3x2
และ f(x) = 3x2
– 2x + 1
ฟงกชันตรรกยะ ไดแก f(x) = –2x–3
94
ผูสอนใหผูเรียนแตละกลุมกําหนดฟงกชันตามตัวอยางขางตน เพื่อทดลองใชความรูจาก
บทสรุปที่วา เมื่อกําหนด f(x) = xn
หา ∫f(x)dx ไดจาก
n 1
x
n 1
+
+
โดยที่ 1n −≠ เพื่อหาขอสรุป
สูตรการหาปริพันธไมจํากัดเขต ดังนี้
ตัวอยางเชน
∫1dx = x + c ∫kdx = kx + c
∫3x2
dx = x3
+ c ∫kf(x)dx = k∫f(x)dx
∫[x2
+ x3
]dx ∫[f(x) + g(x)]dx = ∫f(x)dx + ∫g(x)dx
∫[4x3
+ 3x2
]dx ∫[(k1f1(x) + k2f2(x)+ ... + knfn(x)]dx = k1∫f1(x)dx + k2∫f2(x)dx + ...+ kn∫fn(x)dx
3. ผูสอนกลาวถึงประโยชนของการนําสูตรการหาปริพันธไปใชใหเกิดความสะดวกและ
รวดเร็ว เชน การนําไปใชในการหาปฏิยานุพันธของฟงกชัน ( )
dy
f x
dx
= การหาสมการเสนโคง
ดังตัวอยางที่ 10 หนา 157 การหาความเร็วจากการเคลื่อนที่เมื่อกําหนดความเรงขณะเวลา t ใด ๆ
เปนตน
4. ใหผูเรียนฝกหาปริพันธไมจํากัดเขตของฟงกชัน
ปริพันธจํากัดเขต
1. ผูสอนทบทวนเรื่องปฏิยานุพันธของฟงกชัน ผูเรียนควรบอกไดวา เมื่อกําหนด
f(x) = xn
ปริพันธหนึ่งคือ
n 1
x
n 1
+
+
โดยที่ n ≠ –1 เขียนผลการหาปริพันธในรูปทั่วไปคือ F(x) + c
เมื่อ c เปนคาคงตัว และใชหลักการทบทวนการหาสูตรปริพันธทั้ง 5 สูตรในหัวขอ 2.10
2. ผูสอนทบทวนเรื่องฟงกชันตอเนื่องบนชวง [a, b]
3. ผูสอนแนะนําสัญลักษณ ( )
b
a
f x dx∫ ที่ใชแทนปริพันธจํากัดเขตของฟงกชันตอเนื่อง f
บนชวง [a, b] และแนะนําวิธีหาคา ( )
b
a
f x dx∫ โดยใชทฤษฏีหลักมูลของแคลคูลัสวา เมื่อกําหนด
ฟงกชัน f ซึ่งเปนฟงกชันตอเนื่องบนชวง [a, b] มาให จะหาปริพันธจํากัดเขตของฟงกชันไดดังนี้
3.1 หา F(x) ซึ่งเปนรูปทั่วไปของปฏิยานุพันธของฟงกชัน f
3.2 หา F(b) – F(a)
3.3 ( )
b
a
f x dx∫ = F(b) – F(a)
4. ผูสอนกําหนดฟงกชันตอเนื่องบนชวง [a, b] และใหผูเรียนฝกหาปริพันธของฟงกชัน
ตามวิธีการในขอ 3 เชน f(x) = x2
+ 2 , x ∈[1, 2]
95
ผูเรียนควรหาไดวา F(x) =
3
x
2x c
3
+ +
F(2) = ( )
3
2
2 2 c
3
+ + c
3
20
+=
F(1) = ( )
3
1
2 1 c
3
+ + c
3
7
+=
( )
2
1
f x dx∫ = F(2) – F(1) = 13
3
5. ผูสอนใหผูเรียนสังเกตวา เมื่อหาฟงกชัน F ซึ่งเปนรูปทั่วไปของปริพันธของฟงกชัน
ที่กําหนดให แลวหา F(b) – F(a) คาคงตัว c จะหักลางกันหมดไป ดังนั้นเพื่อประหยัดเวลาใน
การคํานวณไมจําเปนตองเขียนคาคงตัว c แลวใหผูเรียนทําแบบฝกหัด
พื้นที่ที่ปดลอมดวยเสนโคง
1. ผูสอนทบทวนการหาปริพันธจํากัดเขตโดยกําหนดฟงกชันตอเนื่องบน [a, b] เชน
กําหนด f(x) = 2 , x ∈ [0, 1] และ g(x) = 5x2
, x ∈[–1, 2] ใหผูเรียนหาปริพันธจํากัดเขต
ดังกลาว
2. ผูสอนใหความหมายของคําวา “พื้นที่ปดลอมดวยเสนโคงของ y = f(x) กับแกน X
จาก x = a ถึง x = b” และฟงกชัน f ที่กลาวถึงนี้เปนฟงกชันพหุนามที่มีดีกรีเปนจํานวนเต็มบวก
ไมเกินสอง ซึ่งกราฟของ f อาจจะเปนเสนตรงหรือเสนโคง ผูเรียนควรบอกไดวา เมื่อเขียนกราฟ
แลวพื้นที่ดังกลาวคือบริเวณใด ผูสอนใหผูเรียนพิจารณารูปดังตอไปนี้
X
Y
a b 0 X
Y
a b0
X
Y
a b
0
X
Y
a b0
ก
ค
ง
ข
96
ผูเรียนควรบอกไดวา พื้นที่ปดลอมดวยกราฟของ y = f(x) แกน X เสนตรง x = a
และเสนตรง x = b เชนรูป ก , ข และ ค จะมีพื้นที่ที่อยูเหนือแกน X คาของ f(x) มากกวาศูนย
สวนพื้นที่ปดลอมดวยกราฟของ y = f(x) แกน X เสนตรง x = a เสนตรง x = b
จะมีพื้นที่ที่อยูใตแกน X เมื่อ f(x) นอยกวาศูนย เชน รูป ง
3. ผูสอนเสนอแนะผูเรียนวาการหาพื้นที่ปดลอมดวยเสนโคงจะหาโดยอาศัยการหา
ปริพันธจํากัดเขต ตามบทนิยามในหนังสือเรียน
4. ผูสอนใหผูเรียนพิจารณาวา การหาพื้นที่ปดลอมดวยเสนโคง เปรียบเทียบ 2 วิธีคือ
วิธีใชสูตรการหาพื้นที่ที่ผูเรียนเคยเรียนมา และวิธีการหาปริพันธจํากัดเขต เพื่อตรวจสอบคาของ
พื้นที่ที่ได เชน
กราฟ วิธีใชสูตรการหาพื้นที่ วิธีการหาปริพันธจํากัดเขต
พื้นที่ A= 1
2
(ผลบวกของดานคูขนาน)×ความสูง
= 1
2
(1+2)×1
= 3
2
ตารางหนวย
พื้นที่ A = ( )
2
1
f x dx∫
2
x2
=
= 4 1
2 2
−
= 3
2
ตารางหนวย
พื้นที่ A = 1
2
×ความยาวฐาน×ความสูง
= 1
2
×3×3
= 9
2
ตารางหนวย
พื้นที่ A = ∫−
5
2
dx)x(g
= –((–
2
x2
+2x) )
= 25 4
( 10 4)
2 2
− − + + −
= 9
2
ตารางหนวย
5. ผูสอนและผูเรียนชวยกันอภิปรายถึงประโยชนของการหาพื้นที่ที่ปดลอมดวยเสนโคง
ดวยวิธีการหาปริพันธจํากัดเขต “หากรูปภาพมีความซับซอนหรือมีลักษณะเปนกราฟเสนโคง การ
ใชวิธีการหาปริพันธจํากัดเขตจะสะดวกและหาคําตอบไดงายกวา”
0 1 2 3 4
1
2
3
A
X
Y
–1
–2
–3
–4
43210 5
A
X
g(x) = –x + 2
Y
1
2
2
5
97
6. ผูสอนกําหนดพื้นที่ที่ปดลอมดวยเสนโคงที่อยูในรูปของกราฟพาราโบลา แลวให
ผูเรียนฝกหาพื้นที่ เชน
6.1 จงหาพื้นที่ที่ปดลอมดวยเสนโคง f(x) = x2
, x ∈[0, 2]
วิธีทํา ( )
2
0
f x dx∫ = F(2) – F(0)
=
3
x3
= 8
3
ตารางหนวย
6.2 จงหาพื้นที่ที่ปดลอมดวยเสนโคง f(x) = –x2
+ 1 , x ∈[–2, –1]
วิธีทํา ( )
1
2
f x dx
−
−
∫ = –[F(–1) – F(–2)]
= –( x
3
x3
+− )
= 4
3
ตารางหนวย
7. ผูเรียนฝกหาพื้นที่ที่ปดลอมดวยเสนโคงดวยวิธีการหาปริพันธจํากัดเขต
ตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
1. กําหนด
x2
5x5
)x(f
−+
= จงหา )x(flim
0x→
ถาลิมิตหาคาได
2. กําหนด 2
x16)x(f = จงหา
3x
)3(f)x(f
lim
3x −
−
→
ถาลิมิตหาคาได
3. กําหนด )4x5x)(1x2x(
3x
1
)x(f 22
3
−−+++
+
= จงหา )x(f ′
4
_2
X
Y
0
2
_-2
X
Y
-2 2
0
0
2
–2
–1
98
4. กําหนด =)x(f
จงแสดงวา f เปนฟงกชันตอเนื่องที่ x = –1 เทากัน
5. กําหนด =)x(f
จงพิจารณาวา f เปนฟงกชันตอเนื่องที่ x = 0 หรือไม
6. กําหนด 4
)x21(y −= จงหา 2
2
dx
yd
7. จงหาปริพันธของ 2
23
x
4x5x
)x(f
−+
=
8. จงหาปริพันธของ 2
)4x3()x(f +=
9. จากกราฟ จงหาพื้นที่สวนที่แรเงา
10. จงหาพื้นที่ที่ปดลอมดวยเสนโคง x4xy 2
+= กับแกน X จาก 5x −= ถึง 1x =
⎪
⎩
⎪
⎨
⎧
2
1x
1x2
+
− เมื่อ 1x −≠
เมื่อ 1x −=
⎩
⎨
⎧
2
x
x− เมื่อ 0x ≤
เมื่อ 0x >
Y
-1 1 2
1
-1
0
2
3
y x 1= +
2
y x 2x= − +
X
99
เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
1. จาก
x2
5x5
)x(f
−+
=
)x(flim
0x→ 5x5
5x5
x2
5x5
lim
0x ++
++
⋅
−+
=
→
)5x5(x2
x
lim
0x ++
=
→
)5x5(2
1
lim
0x ++
=
→
54
1
=
2. จาก 2
x16)x(f =
3x
)3(f)x(f
lim
3x −
−
→ 3x
)3(16x16
lim
22
3x −
−
=
→
3x
)3x(16
lim
22
3x −
−
=
→
)3x(16lim
3x
+=
→
96=
3. จาก )4x5x)(1x2x(
3x
1
)x(f 22
3
−−+++
+
=
dx
dy
)x(f =′
⎥⎦
⎤
⎢⎣
⎡
++−−+−−+++
+
= )1x2x(
dx
d
)4x5x()4x5x(
dx
d
)1x2x(
3x
1
dx
d
dx
dy 2222
3
)2x2)(4x5x()5x2)(1x2x(
)3x(
x3 22
23
2
+−−+−+++
+
−=
4. การแสดงวา f เปนฟงกชันตอเนื่องที่ x = –1 ตองแสดงสมบัติ 3 ขอ ดังนี้
1. 21xlim
1x
1x
lim)x(flim
1x1x1x
2
−=−=
+
−
=
−→−→−→
2. 2)1(f −=−
3. )1(f)x(flim
1x
−=
−→
ดังนั้น f เปนฟงกชันที่ตอเนื่องที่ x = 1
100
5. การพิจารณาความตอเนื่องของ f ที่ x = 0 ตองแสดงสมบัติ 3 ขอ ดังนี้
1. 0)x(flim
0x
=
−→
และ 0)x(flim
0x
=
+→
ดังนั้น )x(flim
0x→
= 0
2. 0)0(f =
3. )0(f)x(flim
0x
=
→
ดังนั้น f เปนฟงกชันที่ตอเนื่องที่ x = 0
6. จาก y 4
)x21( −=
ให u x21−=
ดังนั้น y 4
u=
dx
dy
dx
du
du
dy
⋅=
)x21(
dx
d
)u(
du
d 4
−⋅=
3
u8−=
2
2
dx
yd
)u8(
dx
d 3
−=
⎟
⎠
⎞
⎜
⎝
⎛
⋅−=
dx
du
)u(
du
d
8 3
⎟
⎠
⎞
⎜
⎝
⎛
−⋅−= )x21(
dx
d
)u(
du
d
8 3
)2)(u3(8 2
−−=
2
u48=
2
)x21(48 −=
7. )x(f 22
2
2
3
x
4
x
x5
x
x
−+=
2
x45x −
−+=
ดังนั้น ∫ dx)x(f ∫
−
−+= dx)x45x( 2
cx4x5
2
x 1
2
+++= −
8. )x(f 2
)4x3( +=
)4x3)(4x3( ++=
16x24x9 2
++=
ดังนั้น ∫ dx)x(f ∫ ++= dx)16x24x9( 2
cx16x12x3 23
+++=
101
9.
ให 1A คือพื้นที่ปดลอมดวยกราฟของ 1xy += กับแกน X จาก 0x = ถึง
2x = จะได
1A ∫ +=
2
0
dx)1x(
2
x
( x)
2
= + 4= ตารางหนวย
2A คือพื้นที่ปดลอมดวยกราฟของ x2xy 2
+−= กับแกน X จาก 0x = ถึง
2x = จะได
2A ∫ +−=
2
0
dx)x2x( 2
3
2x
( x )
3
= − +
3
4
= ตารางหนวย
พื้นที่สวนที่แรเงา คือ 1A – 2A =
3
4
4 − =
3
8
ตารางหนวย
10. เขียนกราฟของ y = x2
+ 4x ไดดังรูป
x4xy 2
+=
2
0
2
0
4
2
_--4
_-
-5 1
X
Y
Y
-1 1 2
1
-1
0
2
3
y x 1= +
2
y x 2x= − +
X
102
จาก x4x)x(f 2
+=
ให A เปนพื้นที่ปดลอมดวยกราฟของ x4xy 2
+= กับแกน X จาก x = –5 ถึง x = 1
A = −∫
−
−
4
5
dx)x(f +∫
−
0
4
dx)x(f ∫
1
0
dx)x(f
= )x2
3
x
( 2
3
+ – ( )x2
3
x
( 2
3
+ ) + )x2
3
x
( 2
3
+
3
7
3
32
3
7
++=
3
46
= ตารางหนวย
เฉลยแบบฝกหัด 2.1 ก
1. (1) x 4
x 2
lim
x 4→
−
−
= 0.25 หรือ
4
1
ดังตาราง
x 3.9 3.99 3.999 x 4.001 4.01 4.1
f(x) 0.25158 0.25016 0.25002 f(x) 0.24998 0.24984 0.24846
(2) 2x 2
x 2
lim
x x 6→
−
+ −
= 0.2 หรือ
5
1
ดังตาราง
x 1.9 1.99 1.999 x 2.001 2.01 2.1
f(x) 0.20408 0.20040 0.20004 f(x) 0.19996 0.19960 0.19608
(3) 3x 1
x 1
lim
x 1→
−
−
= 0.33 หรือ
3
1
ดังตาราง
x 0.9 0.99 0.999 x 1.001 1.01 1.1
f(x) 0.36900 0.33669 0.33367 f(x) 0.33300 0.33002 0.30211
(4)
x
x 0
e 1
lim
x→
−
= 1 ดังตาราง
x –0.1 –0.01 –0.001 x 0.001 0.01 0.1
f(x) 0.95163 0.99502 0.99950 f(x) 1.00050 1.00502 1.05171
–4
–5
0
–4
1
0
103
(5) x 0
sin x
lim
x→
= 1 ดังตาราง
x 1 0.5 0.1 0.05 0.01
f(x) 0.84147 0.95885 0.99833 0.99958 0.99998
x –1 –0.5 –0.1 –0.05 –0.01
f(x) 0.84147 0.95885 0.99833 0.99958 0.99998
(6) xlnxlim
0x +→
= 0 ดังตาราง
x 0.1 0.01 0.001 0.0001 0.00001
f(x) –0.23026 –0.04605 –0.00691 –0.00092 –0.00012
2. (1)
x 1
lim f (x)
−→
= 2
(2)
x 1
lim f(x)
+→
= 3
(3) เนื่องจาก
x 1
lim f (x)
−→
≠
x 1
lim f (x)
+→
ดังนั้น x 1
lim f (x)
→
หาคาไมได
(4) เนื่องจาก
x 5
lim f (x)
−→
=
x 5
lim f (x)
+→
= 4
ดังนั้น x 5
lim f (x)
→
= 4
(5) f(5) ไมนิยาม
3. (1) เนื่องจาก
x 0
lim f (x)
−→
=
x 0
lim f(x)
+→
= 3
ดังนั้น x 0
lim f (x)
→
= 3
(2)
x 3
lim f (x)
−→
= 4
(3)
x 3
lim f (x)
+→
= 2
104
(4) เนื่องจาก
x 3
lim f (x)
−→
≠
x 3
lim f (x)
+→
ดังนั้น x 3
lim f (x)
→
หาคาไมได
(5) f(3) = 3
4. (1) )t(glim
0t −→
= –1
(2) )t(glim
0t +→
= –2
(3) เนื่องจาก )t(glim
0t −→
≠
t 0
lim g(t)
+→
ดังนั้น )t(glim
0t→
หาคาไมได
(4) t 2
lim g(t)−→
= 2
(5) )t(glim
2t +→
= 0
(6) เนื่องจาก t 2
lim g(t)−→
≠ )t(glim
2t +→
ดังนั้น )t(glim
2t→
หาคาไมได
(7) g(2) = 1
(8) เนื่องจาก
t 4
lim g(t)
−→
=
t 4
lim g(t)
+→
= 3
ดังนั้น t 4
lim g(t)
→
= 3
5. (1)
x 1
lim f (x)
−→
= –1
(2) )x(flim
1x +→
= 0
(3) เนื่องจาก
x 1
lim f (x)
−→
≠ )x(flim
1x +→
ดังนั้น )x(flim
1x→
หาคาไมได
105
6. (1) x 2
lim f (x)−→
= 2
(2)
x 2
lim f (x)+→
= –2
(3) เนื่องจาก x 2 x 2
lim f (x) lim− +→ →
≠ f(x)
ดังนั้น x 2
lim f (x)
→
หาคาไมได
(4) )x(flim
2x −−→
= 0
(5) )x(flim
2x +−→
= 0
(6) เนื่องจาก )x(flim
2x −−→
= )x(flim
2x +−→
= 0
ดังนั้น )x(flim
2x −→
= 0
7. (1)
x 4
lim (1 x)
−→
+
เขียนกราฟของฟงกชัน f(x) = 1 + x ไดดังนี้
จากกราฟ จะไดวา
x 4
lim f (x)
−→
= 5
0 2 4 6-2
-2
2
4
6
X
Y
y = 1+ x
106
(2) x 2
lim f (x)
→
เมื่อ f(x) =
เขียนกราฟของฟงกชัน f(x) ไดดังนี้
จากกราฟ จะไดวา
x 2
lim f (x)−→
= 3
x 2
lim f (x)+→
= 2
ดังนั้น x 2
lim f (x)
→
หาคาไมได
เฉลยแบบฝกหัด 2.1 ข
1. (1) 2
x 0
lim (3x 7x 12)
→
+ − = 2
x 0 x 0 x 0
lim 3x lim 7x lim 12
→ → →
+ −
= 2
x 0 x 0x 0
3 lim x 7lim x lim 12
→ →→
+ −
= 3(0)2
+ 7(0) – 12
= –12
ดังนั้น 2
x 0
lim (3x 7x 12)
→
+ − = –12
(2) 5
x 1
lim (x 2x)
→−
− = 5
x 1 x 1
lim x lim 2x
→− →−
−
= xlim2xlim
1x1x
5
−→−→
−
= (–1)5
– 2(–1)
x + 1, x ≤ 2
2, x > 2
0 2 4 6-2
-2
2
4
6
X
Y
f(x)
107
= –1 + 2
= 1
ดังนั้น 5
x 1
lim (x 2x)
→−
− = 1
(3) 5
x 5
lim (x )(x 2)
→
− = 5
x 5 x 5
lim x lim (x 2)
→ →
⋅ −
= (55
)(5 – 2)
= 9,375
ดังนั้น 5
x 5
lim (x )(x 2)
→
− = 9,375
(4) 2
x 1
lim (x 3)(x 2)
→−
+ + = 2
x 1 x 1
lim (x 3) lim (x 2)
→− →−
+ ⋅ +
= (–1 + 3)((–1)2
+ 2)
= (2)(3)
= 6
ดังนั้น 2
x 1
lim (x 3)(x 2)
→−
+ + = 6
(5) x 3
x 1
lim
2x 5→
+⎡ ⎤
⎢ ⎥−⎣ ⎦
=
)5x2(lim
)1x(lim
3x
3x
−
+
→
→
= 3 1
2(3) 5
+
−
= 4
ดังนั้น x 3
x 1
lim
2x 5→
+⎡ ⎤
⎢ ⎥−⎣ ⎦
= 4
(6)
2
x 5
x 25
lim
x 5→−
⎡ ⎤−
⎢ ⎥
+⎣ ⎦
= ⎥
⎦
⎤
⎢
⎣
⎡
+
+−
−→ )5x(
)5x)(5x(
lim
5x
= x 5
lim (x 5)
→−
−
= –5 – 5
= –10
ดังนั้น
2
x 5
x 25
lim
x 5→−
⎡ ⎤−
⎢ ⎥
+⎣ ⎦
= –10
(7) 2x 1
x 1
lim
x x 2→
+⎡ ⎤
⎢ ⎥⎣ − − ⎦
= x 1
2
x 1
lim(x 1)
lim(x x 2)
→
→
+
− −
108
= 2
1 1
1 1 2
+
− −
= 2
( 2)−
= –1
ดังนั้น 2x 1
x 1
lim
x x 2→
+⎡ ⎤
⎢ ⎥⎣ − − ⎦
= –1
(8)
2
2x 1
x x 2
lim
x 4x 3→
⎡ ⎤− −
⎢ ⎥
+ +⎢ ⎥⎣ ⎦
=
2
x 1
2
x 1
lim(x x 2)
lim(x 4x 3)
→
→
− −
+ +
=
2
2
1 1 2
1 4(1) 3
− −
+ +
=
8
2
− = 1
4
−
ดังนั้น
2
21x
x x 2
lim
x 4x 3→
⎡ ⎤− −
⎢ ⎥
+ +⎣ ⎦
= 1
4
−
(9) x 1
1 x
lim
1 x→
⎡ ⎤−
⎢ ⎥
−⎣ ⎦
= ⎥
⎦
⎤
⎢
⎣
⎡
−
−
→ 2
)x(1
x1
lim
1x
= ⎥
⎦
⎤
⎢
⎣
⎡
+−
−
→ )x1)(x1(
x1
lim
1x
= ⎥
⎦
⎤
⎢
⎣
⎡
+→ x1
1
lim
1x
= 1
1 1+
= 1
2
ดังนั้น x 1
1 x
lim
1 x→
⎡ ⎤−
⎢ ⎥
−⎣ ⎦
= 1
2
(10) x 9
3 x
lim
9 x→
⎡ ⎤−
⎢ ⎥
−⎣ ⎦
= ⎥
⎦
⎤
⎢
⎣
⎡
−
−
→ 2
)x(9
x3
lim
9x
= ⎥
⎦
⎤
⎢
⎣
⎡
+−
−
→ )x3)(x3(
x3
lim
9x
= ⎥
⎦
⎤
⎢
⎣
⎡
+→ x3
1
lim
9x
109
= 1
3 9+
= 1
6
ดังนั้น x 9
3 x
lim
9 x→
⎡ ⎤−
⎢ ⎥
−⎣ ⎦
= 1
6
(11) x 1
2 x 3
lim
x 1→
⎡ ⎤− +
⎢ ⎥
−⎣ ⎦
= ⎥
⎦
⎤
⎢
⎣
⎡
++
++
⋅⎥
⎦
⎤
⎢
⎣
⎡
−
+−
→ 3x2
3x2
1x
3x2
lim
1x
= ⎥
⎦
⎤
⎢
⎣
⎡
++−
+−
→ )3x2)(1x(
)3x(4
lim
1x
= ⎥
⎦
⎤
⎢
⎣
⎡
++−
−
→ )3x2)(1x(
x1
lim
1x
= ⎥
⎦
⎤
⎢
⎣
⎡
++
−
→ 3x2
1
lim
1x
= 1
2 1 3
−
+ +
= 1
4
−
ดังนั้น x 1
2 x 3
lim
x 1→
⎡ ⎤− +
⎢ ⎥
−⎣ ⎦
= 1
4
−
(12) 3 22
)1x(lim
0x
−
→
= 3
22
)1x(lim
0x
+
→
= 3
22
))1x(lim(
0x
+
→
= 3 2
)1(−
= 1
ดังนั้น 3 22
)1x(lim
0x
−
→
= 1
2. (1)
x 4
x 4
lim
x 4−→−
+
+
เนื่องจาก x < –4 และ x เขาใกล –4
ดังนั้น
x 4
x 4
lim
x 4−→−
+
+
=
x 4
(x 4)
lim
(x 4)−→−
− +
+
=
x 4
lim ( 1)
−→−
−
= –1
110
(2)
2
x 1.5
2x 3x
lim
2x 3→
−
−
จาก f(x) =
2
2x 3x
2x 3
−
−
จะไดวา
2
x 1.5
2x 3x
lim
2x 3−→
⎡ ⎤−
⎢ ⎥
−⎢ ⎥⎣ ⎦
=
x 1.5
x(2x 3)
lim
(2x 3)−→
⎡ ⎤− −
⎢ ⎥−⎣ ⎦
=
x 1.5
lim ( x)
−→
−
= –1.5
2
x 1.5
2x 3x
lim
12x 31+→
⎡ ⎤−
⎢ ⎥
−⎢ ⎥⎣ ⎦
=
x 1.5
x(2x 3)
lim
(2x 3)+→
⎡ ⎤− −
⎢ ⎥−⎣ ⎦
=
x 1.5
lim x+→
= 1.5
ดังนั้น
2
x 1.5
2x 3x
lim
2x 3→
−
−
หาคาไมได
(3)
x 0
1 1
lim
x x+→
⎡ ⎤
−⎢ ⎥
⎣ ⎦
เนื่องจาก x > 0 และ x เขาใกล 0
ดังนั้น
x 0
1 1
lim
x x+→
⎡ ⎤
−⎢ ⎥
⎣ ⎦
=
x 0
1 1
lim
x x+→
⎡ ⎤
−⎢ ⎥⎣ ⎦
=
x 0
lim 0
+→
= 0
(4) x 4
lim x 4
→−
+
จาก f(x) = x 4+ =
จะไดวา
x 4
lim x 4
−→−
+ =
x 4
lim (x 4)
−→−
− +
= –(–4 + 4)
= 0
x 4+ เมื่อ x 4≥ −
(x 4)− + เมื่อ x 4< −
2
2x 3x
2x 3
−
−
เมื่อ 3
x
2
≥
2
2x 3x
(2x 3)
−
− −
เมื่อ 3
x
2
<
111
4xlim
4x
+
+−→
=
x 4
lim x 4+→−
+
= –4 + 4
= 0
ดังนั้น x 4
lim x 4
→−
+ = 0
(5) x 2
x 2
lim
x 2→
−
−
ดังนั้น
x 2
x 2
lim
x 2−→
−
−
=
)2x(
)2x(
lim
2x −
−−
−→
=
x 2
lim ( 1)
−→
−
= –1
x 2
x 2
lim
x 2+→−
−
−
=
2x
2x
lim
2x −
−
+→
=
x 2
lim 1
+→
= 1
ดังนั้น x 2
x 2
lim
x 2→
−
−
หาคาไมได
(6) x 0
1 1
lim
x x−→
⎡ ⎤
−⎢ ⎥
⎣ ⎦
เนื่องจาก x < 0 และ x เขาใกล 0
ดังนั้น
x 0
1 1
lim
x x−→
⎡ ⎤
−⎢ ⎥
⎣ ⎦
=
x 0
1 1
lim
x x−→
⎡ ⎤⎛ ⎞
− −⎜ ⎟⎢ ⎥
⎝ ⎠⎣ ⎦
=
x 0
1 1
lim
x x−→
⎡ ⎤
+⎢ ⎥⎣ ⎦
=
x 0
2
lim
x−→
ดังนั้น
x 0
1 1
lim
x x−→
⎡ ⎤
−⎢ ⎥
⎣ ⎦
หาคาไมได
3. (1)
x 2
lim f(x)
−→
เนื่องจาก x < 2
ดังนั้น
x 2
lim f(x)
−→
=
x 2
lim (x 1)
−→
−
= 2 – 1 = 1
112
(2)
x 2
lim f (x)
+→
เนื่องจาก x > 2
ดังนั้น
x 2
lim f (x)
+→
= 2
x 2
lim (x 4x 6)
+→
− +
= (2)2
– 4(2) + 6
= 2
(3) เนื่องจาก
x 2
lim f(x)
−→
≠
x 2
lim f (x)
+→
ดังนั้น )x(flim
2x→
หาคาไมได
4. (1)
x 0
lim f(x)
+→
เนื่องจาก x > 0 และ x เขาใกล 0
ดังนั้น
x 0
lim f(x)
+→
= 2
x 0
lim x
+→
= 02
= 0
(2)
x 0
lim f (x)
−→
=
x 0
lim x
−→
= 0
(3) เนื่องจาก
x 0
lim f (x)
+→
=
x 0
lim f (x)
−→
= 0
ดังนั้น 0)x(flim
0x
=
→
(4) x 2
lim f (x)−→
= 2
x 2
lim x−→
= 22
= 4
(5)
x 2
lim f (x)+→
=
x 2
lim 8 x+→
−
= 8 – 2
= 6
(6) x 2
lim f (x)
→
เนื่องจาก x 2
lim f (x)−→
≠
x 2
lim f (x)+→
ดังนั้น x 2
lim f (x)
→
หาคาไมได
113
เฉลยแบบฝกหัด 2.2
1. (1) f(x) = 3x – 1 ที่ x = 0
จะได f(0) = 3(0) – 1 = –1
และ x 0
lim f (x)
→
= x 0
lim (3x 1)
→
− = 3(0) – 1 = –1
นั่นคือ x 0
lim f (x)
→
= f(0)
ดังนั้น ฟงกชัน f เปนฟงกชันตอเนื่องที่ x = 0
(2) f(x) = 2
x 4
x 16
−
−
ที่ x = 4
เนื่องจาก f(4) ไมนิยาม
ดังนั้น ฟงกชัน f เปนฟงกชันไมตอเนื่องที่ x = 4
(3) f(x) =
2
3
x 1
x 1
−
−
ที่ x = 1
เนื่องจาก f(1) ไมนิยาม
ดังนั้น ฟงกชัน f เปนฟงกชันไมตอเนื่องที่ x = 1
(4) f(x) = x ที่ x = 0
จะได f(x) =
จาก f(x) = x ดังนั้น f(0) = 0 ------------ (1)
เนื่องจาก x 0
lim f (x)−→
=
x 0
lim f (x)+→
= 0
ดังนั้น x 0
lim f (x)
→
= 0 ------------ (2)
จาก (1) และ (2) จะไดวา x 0
lim f (x)
→
= f(0)
ดังนั้น ฟงกชัน f เปนฟงกชันตอเนื่องที่ x = 0
(5) f(x) =
x 1
x 1
+
+
ที่ x = –1
เนื่องจาก f(–1) ไมนิยาม
ดังนั้น ฟงกชัน f ไมตอเนื่องที่ x = –1
x เมื่อ x ≥ 0
–x เมื่อ x < 0
114
2. (1) f(x) =
พิจารณาที่จุด x = 1
จะได f(1) = 7(1) – 2 = 5
และ x 1
lim f (x)−→
= x 1
lim (7x 2)−→
−
= 7(1) – 2 = 5
x 1
lim f (x)+→
= 2
x 1
lim kx+→
= k(1)2
= k
เนื่องจาก ฟงกชันนี้จะตอเนื่อง เมื่อ x 1
lim f (x)−→
=
x 1
lim f (x)+→
= f(1)
ดังนั้น k = 5
(2) f(x) =
พิจารณาที่จุด x = 2
จะได f(2) = k(22
) = 4k
และ x 2
lim f (x)−→
= 2
x 2
lim kx−→
= 4k
x 2
lim f (x)+→
=
x 2
lim (2x k)+→
+
= 4 + k
เนื่องจาก f เปนฟงกชันตอเนื่อง
จะได 4k = 4 + k
3k = 4
ดังนั้น k = 4
3
7x – 2 เมื่อ x ≤ 1
kx2
เมื่อ x > 1
2x + k เมื่อ x > 2
kx2
เมื่อ x ≤ 2
115
เฉลยแบบฝกหัด 2.3
1. (1) y = x2
– 3x ที่จุด (3, 0)
ความชันของเสนโคงที่จุด (3, 0) เทากับ h 0
f (3 h) f (3)
lim
h→
+ −
=
2
h 0
(3 h) 3(3 h) 0
lim
h→
+ − + −
=
2
h 0
9 6h h 9 3h
lim
h→
+ + − −
=
2
h 0
h 3h
lim
h→
+
= h 0
h(h 3)
lim
h→
+
= 3
ดังนั้น ความชันของเสนโคงที่จุด (3, 0) เทากับ 3
สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (3, 0) คือ
y – 0 = 3(x – 3)
y = 3x – 9
3x – y – 9 = 0
ดังนั้น สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (3, 0) คือ 3x – y – 9 = 0
(2) y = 5x2
– 6 ที่จุด (2, 14)
ความชันของเสนโคงที่จุด (2, 14) เทากับ h 0
f (2 h) f (2)
lim
h→
+ −
=
2
h 0
5(2 h) 6 14
lim
h→
+ − −
=
2
h 0
5(4 4h h ) 20
lim
h→
+ + −
=
h
20h5h2020
lim
2
0h
−++
→
=
h
)20h5(h
lim
0h
+
→
= 20
ดังนั้น ความชันของเสนโคงที่จุด (2, 14) เทากับ 20
สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (2, 14) คือ
y – 14 = 20(x – 2)
y – 14 = 20x – 40
116
20x – y – 26 = 0
ดังนั้น สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (2, 14) คือ 20x – y – 26 = 0
(3) y = x – x2
ที่จุดซึ่ง x = 1
2
เมื่อ x = 1
2
จะได y = 21 1
( )
2 2
− = 1 1 1
2 4 4
− =
ความชันของเสนโคงที่จุด 1 1
( , )
2 4
เทากับ h 0
1 1
f ( h) f ( )
2 2lim
h→
+ −
=
2
h 0
1 1 1
( h) ( h)
2 2 4lim
h→
+ − + −
=
2
h 0
1 1 1
( h) ( h h )
2 4 4lim
h→
+ − + + −
=
2
h 0
h
lim
h→
−
= 0
ดังนั้น ความชันของเสนโคงที่จุด 1 1
( , )
2 4
เทากับ 0
สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด 1 1
( , )
2 4
คือ
y – 1
4
= 1
0(x )
2
−
y – 1
4
= 0
ดังนั้น สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุดซึ่ง
2
1
x = คือ y – 1
4
= 0
(4) y =
2
x 2
x
+
ที่จุดซึ่ง x = 1
เมื่อ x = 1 จะได y =
2
1 2
1
+
= 3
ความชันของเสนโคงที่จุด (1, 3) เทากับ h 0
f (1 h) f (1)
lim
h→
+ −
=
2
h 0
(1 h) 2
3
1 hlim
h→
⎡ ⎤+ +
−⎢ ⎥+⎢ ⎥
⎢ ⎥
⎢ ⎥⎣ ⎦
=
2
h 0
(1 h) 2 3(1 h)
lim
h(1 h)→
+ + − +
+
117
=
2
h 0
1 2h h 2 3 3h
lim
h(1 h)→
+ + + − −
+
=
2
h 0
h h
lim
h(1 h)→
−
+
= h 0
h(h 1)
lim
h(1 h)→
−
+
= h 0
h 1
lim
1 h→
−
+
= –1
ดังนั้น ความชันของเสนโคงที่จุด (1, 3) เทากับ –1
สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (1, 3) คือ
y – 3 = –1(x – 1)
x + y – 4 = 0
ดังนั้น สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุดซึ่ง x = 1 คือ x + y – 4 = 0
(5) y = 1 + 2x – 3x2
ที่จุด (1, 0)
ความชันของเสนโคงที่จุด (1, 0) เทากับ h 0
f (1 h) f (1)
lim
h→
+ −
=
2
h 0
(1 2(1 h) 3(1 h) ) 0
lim
h→
+ + − + −
=
2
h 0
1 2 2h 3(1 2h h )
lim
h→
+ + − + +
=
h
h3h63h23
lim
2
0h
−−−+
→
=
2
h 0
4h 3h
lim
h→
− −
= h 0
h(3h 4)
lim
h→
− +
= – 4
ดังนั้น ความชันของเสนโคงที่จุด (1, 0) คือ – 4
สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (1, 0) คือ
y – 0 = – 4(x – 1)
4x + y = 4
ดังนั้น สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (1, 0) คือ 4x + y – 4 = 0
(6) y = 6
x 1+
ที่จุด (2, 2)
ความชันของเสนโคงที่จุด (2, 2) เทากับ h 0
f (2 h) f (2)
lim
h→
+ −
118
=
h
2
1)h2(
6
lim
0h
−
++
→
= h 0
6 2(h 3)
lim
h(h 3)→
− +
+
= h 0
6 2h 6
lim
h(h 3)→
− −
+
=
3h
2
lim
0h +
−
→
= 2
3
−
ดังนั้น ความชันของเสนโคงที่จุด (2, 2) คือ 2
3
−
สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (2, 2) คือ
y – 2 = 2
(x 2)
3
− −
3y – 6 = –2x + 4
2x + 3y – 10 = 0
ดังนั้น สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (2, 2) คือ 2x + 3y – 10 = 0
2. เนื่องจากเสนตรง y = ax มีความชันเทากับ a
ถาเสนตรง y = ax ขนานกับเสนสัมผัสเสนโคง y = 3x2
+ 8
แสดงวา เสนตรงกับเสนสัมผัสเสนโคงมีความชันเทากัน
เนื่องจาก ความชันของเสนโคงที่จุด (1, 11) เทากับ h 0
f (1 h) f (1)
lim
h→
+ −
=
2
h 0
3(1 h) 8 11
lim
h→
+ + −
=
2
h 0
3(1 2h h ) 3
lim
h→
+ + −
=
2
h 0
3 6h 3h 3
lim
h→
+ + −
= h 0
h(3h 6)
lim
h→
+
= h 0
lim (3h 6)
→
+
= 6
ดังนั้น ความชันของเสนโคงที่จุด (1, 11) คือ 6
ดังนั้น a = 6
119
เฉลยแบบฝกหัด 2.4
1. (1) f(x) = 3x2
f′(x) = h 0
f (x h) f (x)
lim
h→
+ −
=
2 2
h 0
3(x h) 3x
lim
h→
+ −
=
2 2 2
h 0
3x 6xh 3h 3x
lim
h→
+ + −
= h 0
lim6x 3h
→
+
= 6x
ดังนั้น f′(x) = 6x
(2) f(x) = x2
– x
f′(x) = h 0
f (x h) f (x)
lim
h→
+ −
=
2 2
h 0
(x h) (x h) (x x)
lim
h→
+ − + − −
=
2
h 0
2xh h h
lim
h→
+ −
= h 0
lim2x h 1
→
+ −
= 2x – 1
ดังนั้น f′(x) = 2x – 1
(3) f(x) = x3
f′(x) = h 0
f (x h) f (x)
lim
h→
+ −
=
3 3
h 0
(x h) x
lim
h→
+ −
=
2 2 3
h 0
3x h 3xh h
lim
h→
+ +
= 2 2
h 0
lim3x 3xh h
→
+ +
= 3x2
ดังนั้น f′(x) = 3x2
(4) f(x) = 2x3
+ 1
f′(x) = h 0
f (x h) f (x)
lim
h→
+ −
120
=
3 3
h 0
2(x h) 1 (2x 1)
lim
h→
+ + − +
=
2 2 3
h 0
6x h 6xh 2h
lim
h→
+ +
= 2 2
h 0
lim6x 6xh 2h
→
+ +
= 6x2
ดังนั้น f′(x) = 6x2
(5) f(x) = 1
x
f′(x) = h 0
f (x h) f (x)
lim
h→
+ −
= h 0
1 1
(x h) x
lim
h→
−
+
= h 0
1 h
lim
h x(x h)→
⎛ ⎞
−⎜ ⎟
+⎝ ⎠
= h 0
1
lim
x(x h)→
−
+
= 2
1
x
−
ดังนั้น f′(x) = 2
1
x
−
(6) f(x) = 2
1
x
f′(x) = h 0
f (x h) f (x)
lim
h→
+ −
=
2 2
h 0
1 1
(x h) x
lim
h→
−
+
=
2
4 3 2 2h 0
1 2xh h
lim
h x 2x h x h→
⎛ ⎞+
−⎜ ⎟
+ +⎝ ⎠
= 4 3 2 2h 0
2x h
lim
x 2x h x h→
+
−
+ +
= 3
2
x
−
ดังนั้น f′(x) = 3
2
x
−
(7) f(x) =
1
3
x
f′(x) = h 0
f (x h) f (x)
lim
h→
+ −
121
=
1 1
3 3
h 0
(x h) x
lim
h→
+ −
=
1 1 2 1 1 2
3 3 3 3 3 3
2 1 1 2h 0
3 3 3 3
(x h) x (x h) (x h) x x
lim
h
(x h) (x h) x x
→
+ − + + + +
⋅
+ + + +
= 2 1 1 2h 0
3 3 3 3
(x h) x
lim
h[(x h) (x h) x x ]
→
+ −
+ + + +
= h 0 2 1 1 2
3 3 3 3
1
lim
(x h) (x h) x x
→
+ + + +
= 2
3
1
3x
ดังนั้น f′(x) = 2
3
1
3x
2. สมการเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (2, 5) คือ
5y − = )2x)(2(f −′
y = )2x)(2(f −′ + 5
จากสมการเสนสัมผัสเสนโคงที่โจทยกําหนดให คือ
yx3 − = 1
y = 3x – 1
ดังนั้น 5)2x)(2(f +−′ = 1x3 −
)2(f ′ =
2x
)2x(3
−
−
= 3
3. จุดสัมผัส คือ จุด (3, –1)
ความชันของเสนโคง y = f(x) ที่จุด (3, –1) เทากับ f′(3) = 5
จะได สมการของเสนสัมผัสเสนโคง คือ
y – (–1) = 5(x – 3)
y + 1 = 5x – 15
5x – y – 16 = 0
ดังนั้น สมการของเสนสัมผัสเสนโคง y = f(x) ที่จุด x = 3 คือ 5x – y – 16 = 0
122
4. ให f(r) = πr2
(1) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของพื้นที่วงกลมเทียบกับความยาวของรัศมี เมื่อความยาวของรัศมี
เปลี่ยนจาก r เปน r + h คือ
f (r h) f (r)
h
+ −
= ( )2 21
(r h) r
h
π + − π
= 21
(2rh h )
h
⋅π +
= 2 r hπ + π ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร
(2) อัตราการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่วงกลมเทียบกับความยาวของรัศมีขณะรัศมียาว r เซนติเมตร คือ
h
)r(f)hr(f
lim
0h
−+
→
= h 0
lim (2r h)
→
π +
= h 0
lim2r h
→
π +
= 2 rπ ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร
5. ให f(x) แทนพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มีความยาวของดานเทากับ x
ดังนั้น f(x) = x2
(1) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเทียบกับความยาวของดาน
ในชวงดานยาว x เซนติเมตร ถึงดานยาว x + h เซนติเมตร
คือ f (x h) f (x)
h
+ −
=
2 2
(x h) x
h
+ −
=
2
2xh h
h
+
= 2x + h ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร
ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเทียบกับความยาวของดานในชวง
x = 10 ถึง x = 12 เทากับ 2(10) + 2 = 22 ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร
(2) อัตราการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเทียบกับความยาวของดาน ในขณะดานยาว x
เซนติเมตร คือ h 0
f (x h) f (x)
lim
h→
+ −
= h 0
lim2x h
→
+
= 2x ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร
ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมเทียบกับความยาวของดาน
ในขณะดานยาว 10 เซนติเมตร เทากับ 2(10) = 20 ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร
123
6. ให f(x) แทนพื้นที่รูปสามเหลี่ยมดานเทาที่มีความยาวของดานเทากับ x
ดังนั้น f(x) = 23
x
4
(1) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของพื้นที่รูปสามเหลี่ยมดานเทาเทียบกับความยาวของดานใน
ชวงดานยาว x เซนติเมตร คือ x + h เซนติเมตร คือ
f (x h) f (x)
h
+ −
= 2 21 3 3
( (x h) x )
h 4 4
+ −
= 21 3
( (2xh h ))
h 4
+
= 3
(2x h)
4
+ ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร
ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของพื้นที่รูปสามเหลี่ยมดานเทาเทียบกับความยาวของดาน
ในชวง x = 10 ถึง x = 9 เทากับ 3
(2(10) ( 1))
4
+ −
= )120(
4
3
−
= 19 3
4
ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร
(2) อัตราการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่รูปสามเหลี่ยมดานเทาเทียบกับความยาวของดานในขณะ
ดานยาว x เซนติเมตร คือ
h 0
f (x h) f (x)
lim
h→
+ −
= h 0
3
lim (2x h)
4→
+
= 3
x
2
ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร
ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่รูปสามเหลี่ยมดานเทาเทียบกับความยาวของดาน
ในขณะดานยาว 10 เซนติเมตร เทากับ 3
(10)
2
= 5 3 ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร
7. ให N = f(t) = 8
t 1+
อัตราการเปลี่ยนแปลงในขณะเวลา t ใด ๆ คือ
h 0
f (t h) f (t)
lim
h→
+ −
= h 0
8 8
(t h) 1 t 1
lim
h→
−
+ + +
= ⎥
⎦
⎤
⎢
⎣
⎡
++++
−
→ 1hhtt2t
h8
h
1
lim
20h
= 2
8
t 2t 1
−
+ +
124
ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงในขณะเวลา t = 3 เทากับ 2
8
3 2(3) 1
−
+ +
= 1
2
− กรัม / นาที
8. จากสมการ PV = 6000 เมื่อ P เปนความดัน V เปนปริมาตร
จะได P = 6000
V
อัตราการเปลี่ยนแปลงของ P ขณะมีปริมาตร V ใด ๆ คือ
h 0
f (V h) f (V)
lim
h→
+ −
= h 0
6000 6000
V h Vlim
h→
−
+
= h 0
1 6000h
lim [ ]
h V(V h)→
−
+
= 2
6000
V
−
ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงของ P ในขณะ V = 100 เทากับ 2
6000
100
−
= –0.6 กรัม / ตารางเซนติเมตร / ลูกบาศกเซนติเมตร
9. ให y = f(x) = 2x2
– 3
อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x ถึง x + h คือ
f (x h) f (x)
h
+ −
=
2 2
2(x h) 3 (2x 3)
h
+ − − −
=
2
4xh 2h
h
+
= 4x + 2h
(1) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x = 2 ถึง x = 2.2 เทากับ
4(2) + 2(0.2) = 8.4
(2) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x = 2 ถึง x = 2.1 เทากับ
4(2) + 2(0.1) = 8.2
(3) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x = 2 ถึง x = 2.01 เทากับ
4(2) + 2(0.01) = 8.02
(4) อัตราการเปลี่ยนแปลงของ y เทียบกับ x ในขณะ x ใด ๆ
h 0
f (x h) f (x)
lim
h→
+ −
= h 0
lim 4x 2h
→
+
= 4x
ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงของ y เทียบกับ x ในขณะ x = 2 เทากับ 4(2) = 8
125
10. ให y = f(x) = 1
x
อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x ถึง x + h คือ
f (x h) f (x)
h
+ −
= 1 1 1
h (x h) x
⎡ ⎤
−⎢ ⎥+⎣ ⎦
= 1 x (x h)
h x(x h)
⎡ ⎤− +
⎢ ⎥+⎣ ⎦
= 2
1
x xh
−
+
(1) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x = 4 ถึง x = 5 เทากับ
2
1
4 4(1)
−
+
= 1
20
−
(2) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x = 4 ถึง x = 4.1 เทากับ
2
1
4 4(0.1)
−
+
= 5
82
−
(3) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x = 4 ถึง x = 4.01 เทากับ
2
1
4 4(0.01)
−
+
= 25
401
−
(4) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในขณะ x ใด ๆ คือ
h 0
f (x h) f (x)
lim
h→
+ −
= 2h 0
1
lim
x xh→
−
+
= 2
1
x
−
ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงของ y เทียบกับ x ในขณะ x = 4 เทากับ 1
16
−
11. ปริมาตรของกรวยกลมตรง = 21
x y
3
π
เมื่อ x เปนรัศมีของฐานของกรวยกลมตรง
y เปนความสูงของกรวยกลมตรง
(1) อัตราการเปลี่ยนแปลงของปริมาตรของกรวยกลมตรงเทียบกับรัศมีของฐาน (x)
เมื่อสวนสูง (y) คงตัว คือ
h 0
f (x h) f (x)
lim
h→
+ −
=
2 2
h 0
1 1
(x h) y x y
3 3lim
h→
π + − π
−
= 2
h 0
y
lim (2xh h )
3h→
π
+
= h 0
y
lim (2x h)
3→
π
+
= 2
xy
3
π หนวยปริมาตร / หนวยความยาว
126
(2) อัตราการเปลี่ยนแปลงของปริมาตรของกรวยกลมตรงเทียบกับสวนสูง (y)
เมื่อรัศมีของฐานคงตัว (x) คือ
h 0
f (y h) f(y)
lim
h→
+ −
=
2 2
h 0
1 1
x (y h) x y
3 3lim
h→
π + − π
=
2
h 0
x
lim h
3h→
π
⋅
=
2
h 0
x
lim
3→
π
=
2
x
3
π
หนวยปริมาตร / หนวยความยาว
12. จากสมการ r = 2
k
s
เมื่อ k > 0 เปนคาคงตัว
อัตราการเปลี่ยนแปลงของ r เทียบกับ s ในขณะ s ใด ๆ คือ
h 0
f (s h) f (s)
lim
h→
+ −
=
2 2
h 0
k k
(s h) s
lim
h→
−
+
=
2 2
2 2h 0
1 ks k(s h)
lim
h s (s h)→
⎡ ⎤− +
⎢ ⎥
+⎢ ⎥⎣ ⎦
= 2
2
4 3 2h 0
1 2skh kh
lim
h s 2s h s h→
⎡ ⎤− −
⎢ ⎥
+ +⎢ ⎥⎣ ⎦
= 4 3 2 2h 0
2sk kh
lim
s 2s h s h→
− −
+ +
= 3
2k
s
−
เฉลยแบบฝกหัด 2.5
1. (1) dy
dx
= 0
(2) dy
dx
= 2 1
3x
3
+
(3) dy
dx
= 3x2
– 3
(4) dy
dx
= –10x + 1 + 1
x
+ 3
1
2 x
(5) ds
dt
= 20t4
– 6t + 1
127
(6) ds
dt
= 12t2
+ 18t + 1
(7) dy
dx
= 3x2
+ 6x + 2
(8) dy
dx
= –4x3
+ 12x2
– 6x + 12
(9) dy
dx
= 3x2
+ 1
(10) dy
dx
= 2
2
2x
x
−
(11) dy
dx
= 2 2
18x
(3x 1)
−
+
(12) dy
dx
= 2
6
(1 3x)−
(13) ds
dt
= 2
1
12
t
+
(14) dy
dx
= 2
2 3
5 4
3x
x x
− +
(15) ds
dt
=
9
2
1 3
2 2
55t 1 3
2
2t 2t
+ +
(16) dy
dx
= 6x + 3 – 2 3
27 54
x x
−
(17) dy
dx
=
2
2 2
4x 2x 20
(x 5)
− − −
−
(18) dy
dx
= 72 6
2 15 12
xx x
− − −
(19) dy
dx
= 3 1
2 2
3
2x 8x 8x
−
+ +
(20) dy
dx
= 2
23678
)1x(
x2x2x2x14x4x14
+
+−−−+
128
2. (1) f(x) = 3 1
2x
x
−
f′(x) = 2
3
2
1
6x
2x
+
f′(1) = 1
6
2
+ = 13
2
(2) f(x) = 5 3 21 1 1
x x x 4x 5
5 3 2
− + − +
f′(x) = 4 2
x x x 4− + −
f′(1) = 1 – 1 + 1 – 4 = –3
(3) f(x) = (2x2
– 3x + 1)(x – x2
)
f′(x) = –8x3
+ 15x2
– 8x + 1
f′(–1) = 8 + 15 + 8 + 1 = 32
(4) f(x) = 2x 1
x 1
−
+
f′(x) = 2
3
x 2x 1+ +
f′(2) = 3
9
= 1
3
3. (1) g(x) = xf (x)
g′(x) = 1
x f (x) f(x)
2 x
′⋅ + ⋅
g′(4) = 1
4 f (4) f(4)
2 4
′⋅ + ⋅
g′(4) = 3
10
4
− +
= 37
4
−
(2) g(x) = f(x)
x
g′(x) = 2
x f (x) f (x)
x
′⋅ −
g′(4) = 2
4
)4(f)4(f4 −′⋅
g′(4) = 23
16
−
129
4. จาก y = x3
– 5x + 2
จะได dy
dx
= 3x2
– 5
ดังนั้น ความชันของเสนสัมผัสโคงที่จุด (2, 0) เทากับ 3(2)2
– 5 = 7
5. จาก y = –4x + 2x2
– 3x4
จะได dy
dx
= –4 + 4x – 12x3
นั่นคือ ความชันของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (1, –5) เทากับ –4 + 4(1) – 12(1)3
= –12
ดังนั้น สมการของเสนตรงซึ่งสัมผัสเสนโคง ที่จุด (1, –5) คือ
y – (–5) = –12(x – 1)
y + 5 = –12x + 12
12x + y – 7 = 0
6. จาก y = –x + x2
จะได dy
dx
= –1 + 2x
เนื่องจาก ความชันของเสนโคง ที่จุด (a, b) เทากับ 3
จะได 3 = –1 + 2a
a = 2
จาก y = –x + x2
จะได b = –2 + 22
b = 2
ดังนั้น a = 2 และ b = 2
7. จาก s = t3
– 2t + 5
จะได ds
dt
= 3t2
– 2
นั่นคือ ความเร็วของวัตถุในขณะเวลา t ใด ๆ คือ 3t2
– 2
ดังนั้น ความเร็วของวัตถุในขณะเวลา t = 10 วินาที เทากับ 3(10)2
– 2 = 298 เมตร / วินาที
8. ถาเสนตรง y = mx + c ขนานกับเสนสัมผัสเสนโคง y = 3x2
– 5 ที่จุด (1, –2)
จะได m มีคาเทากับความชันของเสนสัมผัสเสนโคง y = 3x2
– 5 ที่จุด (1, –2)
จาก y = 3x2
– 5
130
จะได dy
dx
= 6x
นั่นคือ ความชันของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (1, –2) เทากับ 6(1) = 6
ดังนั้น m = 6
9. จาก y = x3
จะได dy
dx
= 3x2
นั่นคือ ความชันของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (1, 1) เทากับ 3(1)2
= 3
เนื่องจาก ความชันของเสนตรงที่ผานจุด (2, 3) เทากับ ความชันของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (1, 1)
ดังนั้น สมการเสนตรงที่ผานจุด (2, 3) คือ
y – 3 = 3(x – 2)
y = 3x – 3
3x + y + 3 = 0
10. เนื่องจากเสนสัมผัสเสนโคงขนานกับแกน X ดังนั้น เสนสัมผัสเสนโคงมีความชันเทากับ 0 และ
ความชันของเสนโคง y = x3
– 3x ที่จุดสัมผัสมีคาเทากับ 0 ดวย
จะได dy
dx
= 3x2
– 3 = 0
จาก 3x2
– 3 = 0
จะได x = –1 หรือ x = 1
แทนคา x = –1 จะได y = 2
แทนคา x = 1 จะได y = –2
ดังนั้น จุด (–1, 2) และ (1, –2) อยูบนเสนโคง y = x3
– 3x ที่เสนสัมผัสเสนโคงที่จุดนี้ขนานกับ
แกน X
11. จาก y = x4
จะได dy
dx
= 4x3
นั่นคือ ความชันของเสนโคง คือ 4x3
จะได เสนตรงที่มีความชันเทากับ 1
2
และสัมผัสเสนโคงที่จุดสัมผัส
ดังนั้น 4x3
= 1
2
จะได x = 1
2
แทนคา x = 1
2
131
จะได y = 41
( )
2
= 1
16
นั่นคือ จุด 1 1
( , )
2 16
อยูบนเสนโคงที่มีความชันเทากับ 1
2
ดังนั้น สมการเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด 1 1
( , )
2 16
คือ
1
y
16
− = 1 1
(x )
2 2
−
1
y
16
− = 1 1
x
2 4
−
x 3
y
2 16
− − = 0
8x – 16y – 3 = 0
เฉลยแบบฝกหัด 2.6
1. (1) ให u = 2x + 3
จะได y = (2x + 3)5
= u5
โดยกฎลูกโซ จะได
dy
dx
= dy du
du dx
⋅
= 5d d
(u ) (2x 3)
du dx
⋅ +
= (5u4
)(2)
= 10u4
ดังนั้น dy
dx
= 10(2x + 3)4
(2) ให u = 1 – 3x
จะได y = (1 – 3x)3
= u3
โดยกฎลูกโซ จะได
dy
dx
= dy du
du dx
⋅
= 3d d
(u ) (1 3x)
du dx
⋅ −
= 2
(3u )( 3)−
= 2
9u−
ดังนั้น dy
dx
= 2
9(1 3x)− −
132
(3) ให u = 3 – 4x2
จะได y = (3 – 4x2
)4
= u4
โดยกฎลูกโซ จะได
dy
dx
= dy du
du dx
⋅
= 4 2d d
(u ) (3 4x )
du dx
⋅ −
= 3
(4u )( 8x)−
= –32xu3
ดังนั้น dy
dx
= 2 3
32x(3 4x )− −
(4) ให u = 2 – 3x + 4x2
จะได y = (2 – 3x + 4x2
)3
= u3
โดยกฎลูกโซ จะได
dy
dx
= dy du
du dx
⋅
= 3 2d d
(u ) (2 3x 4x )
du dx
⋅ − +
= 2
(3u )( 3 8x)− +
= 2
(24x 9)u−
ดังนั้น dy
dx
= 2 2
(24x 9)(2 3x 4x )− − +
(5) ให u = x3
– 2x
จะได y = (x3
– 2x)4
= u4
โดยกฎลูกโซ จะได
dy
dx
= dy du
du dx
⋅
= 4 3d d
(u ) (x 2x)
du dx
⋅ −
= 3 2
(4u )(3x 2)−
= 2 3
(12x 8)u−
ดังนั้น dy
dx
= 2 3 3
(12x 8)(x 2x)− −
(6) ให u = 1 – 2x
จะได y = 1 2x− =
1
2
u
โดยกฎลูกโซ จะได
133
dy
dx
= dy du
du dx
⋅
=
1
2
d d
(u ) (1 2x)
du dx
⋅ −
= 1
2
1
( 2)
2u
−
= 1
u
−
ดังนั้น dy
dx
= 1
1 2x
−
−
(7) ให u = 3x2
+ 2
จะได y = 2
3x 2+ =
1
2
u
โดยกฎลูกโซ จะได
dy
dx
= dy du
du dx
⋅
=
1
22
d d
(u ) (3x 2)
du dx
⋅ +
= 1
2
1
(6x)
2u
= 3x
u
ดังนั้น dy
dx
= 2
3x
3x 2+
(8) ให u = x2
– 3
จะได y = 3 2
x 3− =
1
3
u
โดยกฎลูกโซ จะได
dy
dx
= dy du
du dx
⋅
=
1
23
d d
(u ) (x 3)
du dx
⋅ −
= 2
3
1
(2x)
3u
= 3 2
2x
3 u
ดังนั้น dy
dx
= 2 23
2x
3 (x 3)−
134
(9) ให u = 2t2
– 1
จะได s = 2 3
(2t 1)−
− = 3
u−
โดยกฎลูกโซ จะได
ds
dt
= ds du
du dt
⋅
= 3 2d d
(u ) (2t 1)
du dt
−
⋅ −
= 4
3
(4t)
u
−
= 4
12t
u
−
ดังนั้น ds
dt
=
)1t2(
t12
2
−
−
(10) ให u = t2
– 3t + 2
จะได s = 2 2
1
(t 3t 2)− +
= 2
u−
โดยกฎลูกโซ จะได
ds
dt
= ds du
du dt
⋅
= 2 2d d
(u ) (t 3t 2)
du dt
−
⋅ − +
= 3
2
(2t 3)
u
− −
= 3
4t 6
u
− +
ดังนั้น ds
dt
= 2 3
4t 6
(t 3t 2)
− +
− +
(11) ให u = x2
+ 2x
จะได y = 2
1
x 2x+
=
1
2
u
−
โดยกฎลูกโซ จะได
dy
dx
= dy du
du dx
⋅
=
1
22
d d
(u ) (x 2x)
du dx
−
⋅ +
= 3
2
1
(2x 2)
2u
− +
= 3
(x 1)
u
− +
ดังนั้น dy
dx
= 2 3
(x 1)
(x 2x)
− +
+
135
(12) ให u = x2
– 2x + 3
จะได y = 3 2
1
x 2x 3− +
=
1
3
u
−
โดยกฎลูกโซ จะได
dy
dx
= dy du
du dx
⋅
=
1
23
d d
(u ) (x 2x 3)
du dx
−
⋅ − +
= 4
3
1
(2x 2)
3u
− −
= 3 4
2 2x
3 u
−
ดังนั้น dy
dx
= 2 43
2 2x
3 (x 2x 3)
−
− +
(13) ให y = (x – 3)3
(2x + 1)
dy
dx
= (x – 3)3
(2) + (2x + 1) d
dx
(x – 3)3
----------- (1)
พิจารณา 3d
(x 3)
dx
− และ u = x – 3
จะได s = u3
โดยกฎลูกโซ จะได
ds
dx
= ds du
du dx
⋅
= 3d d
(u ) (x 3)
du dx
⋅ −
= 2
(3u )(1)
= 3u2
ดังนั้น ds
dx
= 2
3(x 3)−
นั่นคือ 3d
(x 3)
dx
− = 2
3(x 3)− ----------- (2)
แทนคา (2) ใน (1) จะได
dy
dx
= (x – 3)3
(2) + (2x + 1)[3(x – 3)2
]
= 2(x – 3)3
+ (6x + 3)(x – 3)2
= 8x3
– 51x2
+ 90x – 27
136
(14) ให u = 2x 1
1 2x
+
−
จะได y =
3
2x 1
1 2x
+⎛ ⎞
⎜ ⎟
−⎝ ⎠
= u3
โดยกฎลูกโซ จะได
dy
dx
= dy du
du dx
⋅
= 3d d 2x 1
(u ) ( )
du dx 1 2x
+
⋅
−
= 2
2
(1 2x)(2) (2x 1)( 2)
3u [ ]
(1 2x)
− − + −
−
= 2
2
4
3u
(1 2x)
⎡ ⎤
⎢ ⎥−⎣ ⎦
=
2
2
12u
(1 2x)−
ดังนั้น dy
dx
=
2
2
2x 1
12
1 2x
(1 2x)
+⎛ ⎞
⎜ ⎟
−⎝ ⎠
−
=
2
2 2
12(2x 1) 1
(1 2x) (1 2x)
+
⋅
− −
=
2
4
12(2x 1)
(1 2x)
+
−
(15) y =
3
2 8
(2x 3)
(4x 1)
+
−
dy
dx
=
2 8 3 3 2 8
2 16
d d
(4x 1) (2x 3) (2x 3) (4x 1)
dx dx
(4x 1)
− + − + −
−
=
2 8 2 3 2 7 2
2 16
d d
(4x 1) (3)(2x 3) (2x 3) (2x 3) (8)(4x 1) (4x 1)
dx dx
(4x 1)
− + + − + − −
−
=
2 8 2 3 2 7
2 16
(4x 1) (3)(2x 3) (2) (2x 3) (8)(4x 1) (8x)
(4x 1)
− + − + −
−
=
2 2 3
2 9
6(4x 1)(2x 3) 64x(2x 3)
(4x 1)
− + − +
−
2. ให )x(gu = และ )u(f)x(Fy ==
จะได
dx
du
du
dy
dx
dy
⋅=
)1x3(
dx
d
)u(f −′=
137
⎟⎟
⎠
⎞
⎜⎜
⎝
⎛
−⎟
⎟
⎠
⎞
⎜
⎜
⎝
⎛
+
−
=
1x32
3
)1u(
u1
22
2
⎟⎟
⎠
⎞
⎜⎜
⎝
⎛
−⎟
⎟
⎠
⎞
⎜
⎜
⎝
⎛
+−
−−
=
1x32
3
)1)1x3((
)1x3(1
2
1x32
3
x9
x32
2 −
⋅
−
=
1x3x6
x32
2
−
−
=
3. จาก ))x(g(f)x(F =
)x(g))x(g(f)x(F ′⋅′=′
ดังนั้น )2(g))2(g(f)2(F ′⋅′=′
5)4(f ⋅′=
นั่นคือ 4559)2(F =⋅=′
เฉลยแบบฝกหัด 2.7
1. (1) จาก f(x) = 5x2
– 4x + 2
จะได f′(x) = 10x – 4
ดังนั้น f′′(x) = 10
(2) จาก f(x) = 5 + 2x + 4x3
– 3x5
จะได f′(x) = 2 + 12x2
– 15x4
ดังนั้น f′′(x) = 24x – 60x3
(3) จาก f(x) = 3x4
– 2x + x – 5
จะได f′(x) = 12x3
– 2 + 1
2 x
ดังนั้น f′′(x) = 36x2
– 3
1
4 x
(4) จาก f(x) = 23 2
x 4x
x
− +
จะได f′(x) =
2
23
1
x 2x 8x
3
−
−
+ +
ดังนั้น f′′(x) =
5
33
2
x 4x 8
9
−
−
− − +
หรือ f′′(x) = 33 5
2 4
8
x9 x
−
− +
138
(5) จาก f(x) = (5x2
– 3)(7x3
+ x)
จะได f′(x) = (5x2
– 3)(21x2
+ 1) + (7x3
+ x)(10x)
= 175x4
– 48x2
– 3
ดังนั้น f′′(x) = 700x3
– 96x
(6) จาก f(x) = x 1
x
+
จะได f′(x) = 2
1
x
−
ดังนั้น f′′(x) = 3
2
x
(7) จาก f(x) = 3x 2
5x
−
จะได f′(x) = 2
2
25x
ดังนั้น f′′(x) = 3
4
25x
−
2. (1) จาก f(x) = x–5
+ x5
จะได f′(x) = –5x–6
+ 5x4
f′′(x) = 30x–7
+ 20x3
ดังนั้น f′′′(x) = –210x–8
+ 60x2
หรือ f′′′(x) = 2
8
210
60x
x
−
+
(2) จาก f(x) = 5x2
– 4x + 7
จะได f′(x) = 10x – 4
f′′(x) = 10
ดังนั้น f′′′(x) = 0
(3) จาก f(x) = 3x–2
+ 4x–1
+ x
จะได f′(x) = –6x–3
– 4x–2
+ 1
f′′(x) = 18x–4
+ 8x–3
ดังนั้น f′′′(x) = –72x–5
– 24x–4
หรือ f′′′(x) = 5 4
72 24
x x
−
−
139
3. จาก f(x) = 3x2
– 2
จะได f′(x) = 6x
f′′(x) = 6
f′′′(x) = 0
ดังนั้น f′′′(2) = 0
4. จาก y = 4
6
x
จะได dy
dx
= 5
24
x
−
2
2
d y
dx
= 6
120
x
3
3
d y
dx
= 7
720
x
−
ดังนั้น
4
4
d y
dx
= 8
5,040
x
5. (1) จากวัตถุเคลื่อนที่ไดระยะทาง s = 16t2
เมตร ในเวลา t วินาที
ดังนั้น ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ไดหลังจากปลอยวัตถุไป 3 วินาที คือ
s = 16(3)2
= 144 เมตร
(2) จาก s = 16t2
ให v แทนความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ
จะได v = ds
dt
= 32t เมตร / วินาที
ดังนั้น ความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ เทากับ 32t เมตร / วินาที
นั่นคือ ความเร็วขณะเวลา t = 2 วินาที เทากับ 32(2) = 64 เมตร / วินาที
(3) ให a แทนความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ
จาก (2) v = 32t เมตร / วินาที
จะได a = dv
dt
= 32 เมตร / วินาที
ดังนั้น ความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ เทากับ 32 เมตร / วินาที2
(4) จาก (3) ความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ เทากับ 32 เมตร / วินาที2
ดังนั้น ความเร็วขณะเวลา t = 5 วินาที เทากับ 32 เมตร / วินาที2
140
6. (1) ความเร็วเฉลี่ยในชวงวินาทีที่ t ถึงวินาทีที่ t + h คือ
f (t h) f (t)
h
+ −
=
2 2
128(t h) 16(t h) (128t 16t )
h
+ − + − −
=
2
128h 32th 16h
h
− −
= 128 – 32t – 16h
ความเร็วเฉลี่ยในชวงวินาทีที่ 2 ถึงวินาทีที่ 3 เทากับ 128 – 32(2) – 16(1) = 48 เมตร / วินาที
(2) จากวัตถุเคลื่อนที่ไดระยะทาง s = 128t – 16t2
เมตร ในเวลา t วินาที
ดังนั้น ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ไดหลังจากโยนวัตถุไปแลว 5 วินาที คือ
s = 128(5) – 16(5)2
= 640 – 400
= 240 เมตร
(3) จาก s = 128t – 16t2
ให v แทนความเรงขณะเวลา t ใด ๆ
จะได v = ds
dt
= 128 – 32t เมตร / วินาที2
ดังนั้น ความเรงขณะเวลา t ใด ๆ เทากับ 128 – 32t เมตร / วินาที
นั่นคือ ความเรงในการเคลื่อนที่ของวัตถุขณะวินาทีที่ 4 เทากับ 128 – 32(4) = 0 เมตร / วินาที
(4) ให a แทนความเรงขณะเวลา t ใด ๆ
จาก (3) v = 128 – 32t เมตร / วินาที
จะได a = dv
dt
= –32 เมตร / วินาที2
ดังนั้น ความเรงขณะเวลา t ใด ๆ เทากับ –32 เมตร / วินาที2
นั่นคือ ความเรงของวัตถุขณะเวลา t = 2 วินาที เทากับ –32 เมตร / วินาที2
เฉลยแบบฝกหัด 2.8 ก
1. (1) จาก f(x) = 3 – 2x – x2
จะได f′(x) = –2 – 2x
= –2(1 + x)
ตรวจสอบเครื่องหมายของ f′(x) โดยเขียนเสนจํานวนและจุดแบงชวง ดังนี้
141
จะได f′(x) > 0 บนชวง (–∞ , –1)
และ f′(x) < 0 บนชวง (–1, ∞)
ดังนั้น f เปนฟงกชันเพิ่มบนชวง (–∞ , –1)
และ f เปนฟงกชันลดบนชวง (–1 , ∞)
(2) จาก f(x) = 2x2
– x – 3
จะได f′(x) = 4x – 1
ตรวจสอบเครื่องหมายของ f′(x) โดยเขียนเสนจํานวนและจุดแบงชวง ดังนี้
จะได f′(x) > 0 บนชวง (1
4
, ∞)
และ f′(x) < 0 บนชวง (–∞, 1
4
)
ดังนั้น f เปนฟงกชันเพิ่มบนชวง (1
4
, ∞)
และ f เปนฟงกชันลดบนชวง (–∞, 1
4
)
+ –
x < –1 x > –1–1
1
4
– +
x < 1
4
x > 1
4
-4 4
-2
2
4
X
Y
0
f(x)
142
(3) จาก f(x) = x3
– x2
– 8x
จะได f′(x) = 3x2
– 2x – 8
= (3x + 4)(x – 2)
ตรวจสอบเครื่องหมายของ f′(x) โดยเขียนเสนจํานวนและจุดแบงชวง ดังนี้
จะได f′(x) > 0 บนชวง (–∞ , 4
3
− ) ∪ (2, ∞)
และ f′(x) < 0 บนชวง ( 4
3
− , 2)
ดังนั้น f เปนฟงกชันเพิ่มบนชวง (–∞ , 4
3
− ) ∪ (2, ∞)
และ f เปนฟงกชันลดบนชวง ( 4
3
− , 2)
+ –
x < 4
3
−
4
x 2
3
− < <
4
3
−
+
2 x > 2
3
9
3
-3
-9
-15
-3 0 X
Y
X
Y
0
- 2
2
- 4
2- 2
f(x)
143
(4) จาก f(x) = 2x3
+ 3x2
– 36x + 5
จะได f′(x) = 6x2
+ 6x – 36
= 6(x + 3)(x – 2)
ตรวจสอบเครื่องหมายของ f′(x) โดยเขียนเสนจํานวนและจุดแบงชวง ดังนี้
จะได f′(x) > 0 บนชวง (–∞ , –3) ∪ (2, ∞)
และ f′(x) < 0 บนชวง (–3, 2)
ดังนั้น f เปนฟงกชันเพิ่มบนชวง (–∞ , –3) ∪ (2, ∞)
และ f เปนฟงกชันลดบนชวง (–3, 2)
(5) จาก f(x) = x3
– 2x2
– 4x + 7
จะได f′(x) = 3x2
– 4x – 4
= (3x + 2)(x – 2)
+ –
x < –3
+
2 x > 2–3 –3 < x < 2
1 2 3 4-1-2-3
20
40
60
80
100
-20
-40
X
Y
0-4-5
144
ตรวจสอบเครื่องหมายของ f′(x) โดยเขียนเสนจํานวนและจุดแบงชวง ดังนี้
จะได f′(x) > 0 บนชวง (–∞ , 2
3
− ) ∪ (2, ∞)
และ f′(x) < 0 บนชวง ( 2
3
− , 2)
ดังนั้น f เปนฟงกชันเพิ่มบนชวง (–∞ , 2
3
− ) ∪ (2, ∞)
และ f เปนฟงกชันลดบนชวง ( 2
3
− , 2)
2. (1) จาก f(x) = x2
– 8x+ 7
จะได f′(x) = 2x – 8
= 2(x – 4)
ถา f′(x) = 0 จะไดวา 2(x – 4) = 0
เพราะฉะนั้น x = 4
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 4
f′′(x) = 2
f′′(4) = 2 > 0
ดังนั้น f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ f(4) = –9
+ –
x < 2
3
−
+
2 x > 22
3
− < x < 22
3
−
5-5
-2
5
X
Y
0
145
(2) จาก f(x) = x3
– 3x + 6
จะได f′(x) = 3x2
– 3
= 3(x + 1)(x – 1)
ถา f′(x) = 0 จะไดวา 3(x + 1)(x – 1) = 0
เพราะฉะนั้น x = –1 หรือ x = 1
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ –1 และ 1
f′′(x) = 6x
f′′(–1) = –6 < 0
f′′(1) = 6 > 0
ดังนั้น f มีคาสูงสุดสัมพัทธเทากับ f(–1) = 8
และ f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ f(1) = 4
Y
-1 5
6
10
X0
2
-2
-6
-10
0 2 4-2
-4
4
8
12
X
Y
f(x)
-4
146
(3) จาก f(x) = x3
– 3x2
– 24x + 4
จะได f′(x) = 3x2
– 6x – 24
= 3(x – 4)(x + 2)
ถา f′(x) = 0 จะไดวา 3(x – 4)(x + 2) = 0
เพราะฉะนั้น x = –2 หรือ x = 4
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ –2 และ 4
f′′(x) = 6x – 6
f′′(–2) = –18 < 0
f′′(4) = 18 > 0
ดังนั้น f มีคาสูงสุดสัมพัทธเทากับ f(–2) = 32
และ f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ f(4) = –76
(4) จาก f(x) = x4
– 8x2
+ 12
จะได f′(x) = 4x3
– 16x
= 4x(x + 2)(x –2)
ถา f′(x) = 0 จะไดวา 4x(x + 2)(x – 2) = 0
เพราะฉะนั้น x = –2 หรือ x = 0 หรือ x = 2
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ –2, 0 และ 2
1 2 3 4 5 6 7
20
40
60
-20
-40
-60
-80
-1-2-3-4 0 X
Y
147
f′′(x) = 12x2
– 16
f′′(–2) = 32 > 0
f′′(0) = –16 < 0
f′′(2) = 32 > 0
ดังนั้น f มีคาสูงสุดสัมพัทธเทากับ f(0) = 12
และ f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ f(–2) = f(2) = –4
(5) จาก f(x) = x4
– 4x3
+ 8
จะได f′(x) = 4x3
– 12x2
= 4x2
(x – 3)
ถา f′(x) = 0 จะไดวา 4x2
(x – 3) = 0
เพราะฉะนั้น x = 0 หรือ x = 3
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 0 และ 3
f′′(x) = 12x2
– 24x
f′′(0) = 0
f′′(3) = 36 > 0
ดังนั้น f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ f(3) = –19
0 2 4-2
-10
10
20
X
Y
f(x)
-4
148
3. (1) จาก f(x) = x2
– 4x + 3
จะได f′(x) = 2x – 4
= 2(x – 2)
ถา f′(x) = 0 จะได 2(x – 2) = 0
เพราะฉะนั้น x = 2
ดังนั้น คาวิกฤตบนชวงปด [0, 5] คือ 2
คํานวณหาคาของฟงกชัน f ที่ x = 2 และจุดปลายของชวง [0, 5] คือ x = 0 และ x = 5
f(2) = –1
f(0) = 3
f(5) = 8
ดังนั้น คาสูงสุดสัมบูรณของ f เทากับ 8 ที่ x = 5
และ คาต่ําสุดสัมบูรณของ f เทากับ –1 ที่ x = 2
Y
2-2
-20
-10
10
20
f(x)
0 4
X
-4
2 4-2 0
-2
2
4
X
Y
f(x)
-4 6
6
149
(2) จาก f(x) = x3
– 2x2
– 4x + 8
จะได f′(x) = 3x2
– 4x – 4
ถา f′(x) = 0 จะได (3x + 2)(x – 2) = 0
เพราะฉะนั้น x = 2
3
− หรือ x = 2
ดังนั้น คาวิกฤตบนชวงปด [–2, 3] คือ 2
3
− และ 2
คํานวณหาคาของฟงกชัน f ที่ x = 2
3
− , x = 2 และจุดปลายของชวง [–2, 3] คือ x = –2
และ x = 3
f( 2
3
− ) = 9.48
f(2) = 0
f(–2) = 0
f(3) = 5
ดังนั้น คาสูงสุดสัมบูรณของ f เทากับ 9.48 ที่ x = 2
3
−
และ คาต่ําสุดสัมบูรณของ f เทากับ 0 ที่ x = –2 และ x = 2
(3) จาก f(x) = x4
– 2x3
– 9x2
+ 27
จะได f′(x) = 4x3
– 6x2
– 18x
ถา f′(x) = 0 จะได 2x(2x + 3)(x – 3) = 0
เพราะฉะนั้น x = 3
2
− หรือ x = 0 หรือ x = 3
ดังนั้น คาวิกฤตบนชวงปด [–2, 4] คือ 3
2
− , 0 และ 3
2
6
10
2 6-2 0-6
-2
-6
X
Y
150
คํานวณหาคาของฟงกชัน f ที่ x = 3
2
− , x = 0, x = 3 และจุดปลายของชวง [–2, 4]
คือ x = –2 และ x = 4
f( 3
2
− ) = 18.56
f(0) = 27
f(3) = –27
f(–2) = 23
f(4) = 11
ดังนั้น คาสูงสุดสัมบูรณของ f เทากับ 27 ที่ x = 0
และ คาต่ําสุดสัมบูรณของ f เทากับ –27 ที่ x = 3
(4) จาก f(x) = x3
+ 5x – 4
จะได f′(x) = 3x2
+ 5
จากรูปสมการ f′(x) = 3x2
+ 5 จะไดวา ไมมีจํานวนจริง x ใด ๆ ที่ทําให f′(x) = 0
ดังนั้น ไมมีคาวิกฤตบนชวงปด [–3, –1]
คํานวณหาคาของฟงกชัน f(x) ที่จุดปลายของชวง [–3, –1] คือ x = –3 และ x = –1
f(–3) = – 46
f(–1) = – 10
ดังนั้น คาสูงสุดสัมบูรณของ f เทากับ – 10 ที่ x = –1
และ คาต่ําสุดสัมบูรณของ f เทากับ – 46 ที่ x = –3
4
10
20
30
2 6-2-4
-10
-20
-30
0 X
Y
151
เฉลยแบบฝกหัด 2.8 ข
1. (1) จาก f(x) = 2x2
+ x – 6
จะได f′(x) = 4x + 1
ถา f′(x) = 0 จะได 4x + 1 = 0
เพราะฉะนั้น x = 1
4
−
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 1
4
−
f′′ (x) = 4
f′′ ( 1
4
− ) = 4 > 0
ดังนั้น f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ 1
f ( )
4
− = 49
8
−
-8
Y
f(x)
-1
-4
X
10
4
2-2
กราฟ f(–1) = –10
และ f(–3) = –46
5-5
20
40
-20
-40
-60
X
Y
0
152
(2) จาก f(x) = –x2
+ 3x – 2
จะได f′(x) = –2x + 3
ถา f′(x) = 0 จะได –2x + 3 = 0
เพราะฉะนั้น x = 3
2
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 3
2
f′′ (x) = –2
f′′ ( 3
2
) = –2 < 0
ดังนั้น f มีคาสูงสุดสัมพัทธเทากับ 3
f ( )
2
= 1
4
(3) จาก f(x) = x3
– 3x2
จะได f′(x) = 3x2
– 6x
ถา f′(x) = 0 จะได 3x(x – 2) = 0
เพราะฉะนั้น x = 0 หรือ x = 2
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 0 และ 2
f′′ (x) = 6x – 6
f′′ (0) = –6 < 0
f′′ (2) = 6 > 0
ดังนั้น f มีคาสูงสุดสัมพัทธเทากับ f(0) = 0
และ f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ f(2) = –4
-4
Y
f(x)
-1
-2
X
10
2
2-2
153
(4) จาก f(x) = 2x3
– 3x2
– 12x + 5
จะได f′(x) = 6x2
– 6x – 12
= 6(x – 2)(x + 1)
ถา f′(x) = 0 จะได 6(x – 2)(x + 1) = 0
เพราะฉะนั้น x = –1 หรือ x = 2
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ –1 และ 2
f′′ (x) = 12x – 6
f′′ (–1) = –18 < 0
f′′ (2) = 18 > 0
ดังนั้น f มีคาสูงสุดสัมพัทธเทากับ f(–1) = 12
และ f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ f(2) = –15
-4
Y
f(x)
-2
-2
X
20
2
4-4
Y
2-2
-20
-10
10
20
f(x)
0 4
X
-4
154
2. เนื่องจากรั้วยาว 200 เมตร
จะได 6x + 4y = 200
y = 3
50 x
2
−
ให A(x) เปนพื้นที่ของที่ดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผา 3 แปลง เมื่อ x เปนความยาวของดานกวางของที่ดิน
รูปสี่เหลี่ยมผืนผาของแตละแปลง
จะได A(x) = 3
3x(50 x)
2
−
= 29
150x x
2
−
A′(x) = 150 – 9x
ถา A′(x) = 0 จะได 150 – 9x = 0
เพราะฉะนั้น x = 50
3
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน A คือ 50
3
จาก A′(x) = 150 – 9x
จะได A′′ (x) = –9
A′′ 50
( )
3
= –9 < 0
นั่นคือ ฟงกชัน A มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ x = 50
3
และมีคาเทากับ 50
A( )
3
= 1,250
ดังนั้น รั้วจะลอมพื้นที่ไดมากที่สุด 1,250 ตารางเมตร
3. ให x เปนจํานวนจริงจํานวนหนึ่ง
จะได f(x) = x – x2
f ′(x) = 1 – 2x
ถา f ′(x) = 0 จะได 1 – 2x = 0
เพราะฉะนั้น x = 1
2
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 1
2
จาก f′(x) = 1 – 2x
จะได f′′(x) = –2
f′′( 1
2
) = –2 < 0
นั่นคือ ฟงกชัน f มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ x = 1
2
และมีคาเทากับ f( 1
2
) = 1
4
ดังนั้น จํานวนจริงจํานวนนั้นคือ 1
2
155
4. ให x เปนจํานวนจริงจํานวนหนึ่ง และ y เปนจํานวนจริงอีกจํานวนหนึ่ง
เนื่องจาก จํานวนจริงสองจํานวนบวกกันได 10
จะได x + y = 10 หรือ y = 10 – x
ให f(x) เปนคาที่ไดจากผลคูณของจํานวนจริงทั้งสอง
จะได f(x) = x(10 – x)
= 10x – x2
f′(x) = 10 – 2x
ถา f′(x) = 0 จะได 10 – 2x = 0
เพราะฉะนั้น x = 5
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 5
จาก f′(x) = 10 – 2x
f′′(x) = –2
f′′(5) = –2 < 0
นั่นคือ ฟงกชัน f มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ x = 5 และมีคาเทากับ f(5) = 25
จาก x = 5 จะได y = 5
ดังนั้น จํานวนจริงจํานวนหนึ่ง คือ 5 และอีกจํานวนหนึ่งคือ 5
5. ให x เปนจํานวนจริงจํานวนหนึ่ง และ y เปนจํานวนจริงอีกจํานวนหนึ่ง
เนื่องจาก ผลคูณของจํานวนจริงสองจํานวนเปน –9
จะได xy = –9 หรือ y = 9
x
−
ให f(x) เปนคาที่ไดจากผลบวกของกําลังสองของแตละจํานวนเมื่อ x เปนจํานวนจริงจํานวนหนึ่ง
จะได f(x) = 2 29
x ( )
x
+ −
= 2
2
81
x
x
+
f′(x) = 3
162
2x
x
−
ถา f′(x) = 0
จะได 3
162
2x
x
− = 0
2(x2
– 9)(x2
+ 9) = 0
2(x – 3)(x + 3)(x2
+ 9) = 0
เพราะฉะนั้น x = –3 หรือ x = 3
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ –3 และ 3
156
จาก f′(x) = 3
162
2x
x
−
f′′(x) = 4
486
2
x
+
f′′(3) = 8 > 0
f′′(–3) = 8 > 0
นั่นคือ ฟงกชัน f มีคาต่ําสุดสัมพัทธที่ x = –3 และ x = 3 มีคาเทากับ f(–3) = f(3) = 18
จาก x = –3 จะได y = 3
x = 3 จะได y = –3
ดังนั้น จํานวนจริงจํานวนหนึ่ง คือ –3 และอีกจํานวนหนึ่งคือ 3
6. ให C(t) เปนอุณหภูมิมีหนวยเปนองศาเซลเซียส เมื่อ t เปนเวลาหนวยเปนวินาที
จะได C(t) = 10 + 4t – 0.2t2
C′(t) = 4 – 0.4t
ถา C′(t) = 0 จะได 4 – 0.4t = 0
เพราะฉะนั้น t = 10
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน θ คือ 10
จาก C′(t) = 4 – 0.4t
จะได C′′(t) = –0.4
C′′(10) = –0.4 < 0
นั่นคือ ฟงกชัน C มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ t = 10 และมีคาเทากับ C(10) = 30
ดังนั้น ในการเกิดปฏิกิริยาทางเคมีนี้อุณหภูมิจะขึ้นสูงสุดเมื่อ t = 10 วินาที
และอุณหภูมิสูงสุดเปน 30 องศาเซลเซียส
7. ให V(x) เปนปริมาตรของกลอง เมื่อ x เปนความยาวของดานของรูปสีเหลี่ยมจัตุรัสที่ตัดออก
x 24 – 2x x จะได V(x) = (20 – 2x)(24 – 2x)x
= 4x3
– 88x2
+480x
V′(x) = 12x2
– 176x + 480
= 4(3x2
– 44x + 120)
ถา V′(x) = 0
จะได 4(3x2
– 44x + 120) = 0
20 – 2x
157
x =
2
44 ( 44) 4(3)(120)
2(3)
− − −
หรือ x =
2
44 ( 44) 4(3)(120)
2(3)
+ − −
x = 22 2 31
3
−
= 3.62 หรือ x = 22 2 31
3
+
= 11.05
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน V คือ 3.62 และ 11.05
จาก V′(x) = 12x2
– 176x + 480
จะได V′′(x) = 24x – 176
V′′(3.62) = –89.12 < 0
V′′(11.05) = 89.2 > 0
นั่นคือ ฟงกชัน V มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ x = 3.62
ดังนั้น x เทากับ 3.62 เซนติเมตร กลองจึงจะมีปริมาตรมากที่สุด
8. ให c(f) เปนปริมาณผลผลิตที่ไดหนวยเปนถังตอไร เมื่อ f เปนจํานวนปุยที่ใช หนวยเปนกิโลกรัม
ตอไร
จะได c(f) = 20 + 24f – f2
c′(f) = 24 – 2f
ถา c′(f) = 0 จะได 24 – 2f = 0
เพราะฉะนั้น f = 12
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน c คือ 12
จาก c′(f) = 24 – 2f
c′′(f) = –2
c′′(12) = –2 < 0
นั่นคือ ฟงกชัน c มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ f = 12 และมีคาเทากับ c(12) = 164
ดังนั้น จะตองใชปุย 12 กิโลกรัมตอไร จึงจะไดผลผลิตมากที่สุด
9. ถาพอคาตั้งราคาขายสินคาอยางหนึ่งชิ้นละ 20 บาท
ในหนึ่งสัปดาหเขาจะขายสินคาได 1,000 ชิ้น
ถาเขาลดราคาลงชิ้นละ 1 บาท เขาจะขายได 1,000 + 100 ชิ้น
ถาเขาลดราคาลงชิ้นละ 2 บาท เขาจะขายได 1,000 + 200 ชิ้น
ถาเขาลดราคาลงชิ้นละ x บาท เขาจะขายได 1,000 + 100x ชิ้น
เขาขายสินคาราคาชิ้นละ 20 – x บาท
158
ให f(x) เปนเงินที่ไดจากการขายสินคา เมื่อ x เปนเงินที่ลดราคาสินคา 1 ชิ้น
จะได f(x) = (1,000 + 100x)(20 – x)
= 20,000 + 1,000x – 100x2
f′(x) = 1000 – 200x
ถา f′(x) = 0 จะได 1000 – 200x = 0
เพราะฉะนั้น x = 5
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 5
จาก f′(x) = 1000 – 200x
จะได f′′(x) = –200
f′′(5) = –200 < 0
นั่นคือ ฟงกชัน f มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ x = 5 และมีคาเทากับ f(5) = 22,500
ดังนั้น เขาควรจะตั้งราคาสินคาชิ้นละ 20 – 5 = 15 บาท จึงจะไดเงินจากการขายมากที่สุด
10. ให DECF เปนรูปสี่เหลี่ยมผืนผาที่บรรจุในรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก
มีดานดานหนึ่งยาว m หนวย และอีกดานหนึ่งยาว n หนวย ดังรูป
จากรูป 1 ∆ ADE คลายกับ ∆ ABC
จะได AE
AC
= DE
BC
120 m
120
−
= n
90
n = 3
(120 m)
4
−
ให S(m) เปนพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมผืนผา เมื่อ m เปนความยาวของดานดานหนึ่งของรูปสี่เหลี่ยมผืนผา
n
m
90
120 – a
a
150
X
F
C
ZY
E
D
90
120 – m
m
150
F
D E
CB
A
n
รูป 1 รูป 2
159
จะได S(m) = 3
(120 m)(m)
4
−
= 23
90m m
4
−
S′(m) = 3
90 m
2
−
ถา S′(m) = 0 จะได 3
90 m
2
− = 0
เพราะฉะนั้น m = 60
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน S คือ 60
จาก S′(m) = 3
90 m
2
−
S′′ (m) = 3
2
−
S′′ (60) = 3
2
− < 0
นั่นคือ ฟงกชัน S มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ m = 60 และมีคาเทากับ S(60) = 2,700
จาก m = 60 จะได n = 3
(120 60)
4
− = 45
จากรูป 2 ∆ XDE คลายกับ ∆ XZY
จะได n
90
= 120 a
150
−
---------- (1)
∆ ZCE คลายกับ ∆ ZYX
จะได m
150
= a
120
---------- (2)
จาก (1) และ (2)
จะได mn = 23
90a a
4
−
ให S(a) เปนพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมผืนผา เมื่อ a เปนความยาวของ EZ
จะได S(a) = 23
90a a
4
−
S′(a) = 3
90 a
2
−
ถา S′(a) = 0
จะได 3
90 a
2
− = 0
เพราะฉะนั้น a = 60
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน S คือ 60
160
จาก S′(a) = 3
90 a
2
−
S′′(a) = 3
2
−
S′′(60) = 3
2
−
ดังนั้น ฟงกชัน S มีคาสูงสุด
นั่นคือ ฟงกชัน S มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ a = 60 และมีคาเทากับ S(60) = 2,700
จาก a = 60 จะได n = 90(120 60)
150
−
และ m = (150)(60)
120
= 36 = 75
ดังนั้น รูปสี่เหลี่ยมผืนผา มีดานกวางยาว 45 หนวย และดานยาว 60 หนวย
หรือมีดานกวางยาว 36 หนวย และดานยาวยาว 75 หนวย
11. ใหพอคาผลิตสินคาขายได x ชิ้นใน 1 สัปดาห
ขายชิ้นละ p บาท
ราคาและจํานวนสินคาที่ขายไดมีความสัมพันธในรูปสมการ p = 100 – 0.04x
รายไดจากการขายสินคาใน 1 สัปดาห คือ xp = x(100 – 0.04x) บาท
ลงทุน 600 + 22x บาท
ให f(x) เปนกําไรจากการขายสินคา เมื่อ x เปนจํานวนสินคาที่ผลิตไดใน 1 สัปดาห
จะได f(x) = x(100 – 0.04x) – (600 + 22x)
= –0.04x2
+ 78x – 600
f′(x) = –0.08x + 78
ถา f′(x) = 0 จะได –0.08x + 78 = 0
เพราะฉะนั้น x = 975 บาท
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 975
จาก f′(x) = –0.08x + 78
จะได f′′(x) = –0.08
f′′(975) = –0.08 < 0
นั่นคือ ฟงกชัน f มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ x = 975 และมีคาเทากับ f(975) = 37,425
ดังนั้น ตองผลิตสินคาออกขายสัปดาหละ 975 ชิ้น จึงจะไดกําไรมากที่สุด
161
12. รถบรรทุกวิ่งระยะทาง 500 กิโลเมตร ดวยอัตราเร็วเฉลี่ย x กิโลเมตรตอชั่วโมง
ตองใชเวลา 500
x
ชั่วโมง
เสียคาน้ํามันลิตรละ 24 บาท และใชน้ํามันในอัตรา
150
x
24
2
+ ลิตรตอชั่วโมง
ดังนั้น เสียคาน้ํามัน )24)(
x
500
)(
150
x
24(
2
+ บาท
และเสียเบี้ยเลี้ยงคนขับชั่วโมงละ m บาท
จะตองเสียเบี้ยเลี้ยงคนขับ 500m
x
บาท
ให f(x) เปนเงินที่บริษัทตองจายในการสงสินคา เมื่อ x เปนอัตราเร็วเฉลี่ยหนวยเปนกิโลเมตร
ตอชั่วโมง
จะได f(x) = )24)(
x
500
)(
150
x
24(
x
m500 2
++
= x80
x
288000
x
m500
++
f′(x) = 80
x
288000
x
m500
22
+−−
ถา f′(x) = 0
จะได 80
x
288000
x
m500
22
+−− = 0
2
x80288000m500 +−− = 0
x2
= 3600
4
m25
+
เพราะฉะนั้น x = 3600
4
m25
+− หรือ x = 3600
4
m25
+
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f บนชวงปด [25, 80] คือ 3600
4
m25
+
จาก f′(x) = 80
x
288000
x
m500
22
+−−
f′′(x) = 33
x
576000
x
m1000
+
f′′ )3600
4
m25
( + = 3
1000m 576000
0
25m
3600
4
+
>
⎛ ⎞
+⎜ ⎟
⎝ ⎠
162
นั่นคือ ฟงกชัน f มีคาต่ําสุดสัมพัทธที่ x = 3600
4
m25
+
ดังนั้น บริษัทตองสั่งใหขับรถดวยอัตราเร็วเฉลี่ย 3600
4
m25
+ กิโลเมตรตอชั่วโมงจึงจะประหยัดที่สุด
13. เนื่องจาก s = kwd2
เมื่อ k เปนคาคงตัว
จากรูป d2
= a2
– w2
จะได s = kw(a2
– w2
) = kwa2
– kw3
ให s(w) เปนน้ําหนักสูงสุดที่คานรับได เมื่อ w เปนความกวางของคาน และ k เปนคาคงตัว
จะได s(w) = wka2
– kw3
s′(w) = ka2
– 3kw2
ถา s′(w) = 0
จะได ka2
– 3kw2
= 0
w2
=
2
ka
3k
w2
=
2
a
3
เพราะฉะนั้น w = 3a
3
−
หรือ w = 3a
3
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน s คือ 3a
3
จาก s′(w) = ka2
– 3kw2
s′′(w) = –6kw
s′′ 3a
( )
3
= 2 3ka− < 0
นั่นคือ ฟงกชัน s มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ w = 3a
3
และมีคาเทากับ 32 3
ka
9
จาก w = 3a
3
จะได d2
= 2 23a
a ( )
3
−
d2
= 22
a
3
d = 2
a
3
ดังนั้น ตองเลื่อยใหคานมีความกวาง 3a
3
เซนติเมตร และหนา 2
a
3
เซนติเมตร
a
w
d
163
14. ให P(f) เปนกําไรสุทธิหนวยเปนบาท เมื่อ f เปนปริมาณปุยที่ใชหนวยเปนกิโลกรัมตอไร
จะได P(f) = 400 + 20f – f2
P′(f) = 20 – 2f
ถา P′(f) = 0 จะได 20 – 2f = 0
เพราะฉะนั้น f = 10
ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน p คือ 10
จาก P′(f) = 20 – 2f
P′′(f) = –2
P′′(10) = –2 < 0
นั่นคือ ฟงกชัน P มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ f = 10 และมีคาเทากับ P(10) = 500
ดังนั้น ตองใชปุย 10 กิโลกรัมตอที่ดิน 1 ไร จึงจะไดกําไรสุทธิสูงสุด
และกําไรสุทธิสูงสุดจากผลผลิตตอไรเปน 500 บาท
เฉลยแบบฝกหัด 2.9
1. (1) 25
x c
2
+ (2) 41
x c
4
+
(3)
5
2
2
x c
5
+ (4) 4
1
c
4x
− +
(5) 2
x x c+ + (6) 5 4 3 24 3 2 1
x x x x x c
5 4 3 2
+ + + + +
(7) 2
2 3
c
x 2x
− − + (8) 5 31 5
x x 4x c
5 3
− + − +
(9) 2 x c+ (10) 2 1
c
xx
− − +
164
เฉลยแบบฝกหัด 2.10
1. (1) 4 2
(x 3x 5x)dx+ +∫ = 4 2
x dx 3x dx 5xdx+ +∫ ∫ ∫
= 4 2
x dx 3 x dx 5 xdx+ +∫ ∫ ∫
=
5 2
3x 5x
x c
5 2
+ + +
(2) 3 2 2
(2x 3x 6 2x )dx−
− + −∫ = 3 2 2
2x dx 3x dx 6dx 2x dx−
− + −∫ ∫ ∫ ∫
= 3 2 2
2 x dx 3 x dx 6dx 2 x dx−
− + −∫ ∫ ∫ ∫
=
4
3x 2
x 6x c
2 x
− + + +
(3) 10
3
1
(x )dx
x
−∫ = 10 3
x dx x dx−
−∫ ∫
=
11
2
x 1
c
11 2x
+ +
(4) 2 4
1 2
( )dx
x x
+∫ = 2
4
1 2
dx dx
x x
+∫ ∫
= 2 4
x dx 2 x dx− −
+∫ ∫
= 3
1 2
c
x 3x
− − +
(5) xdx∫ =
1
2
x dx∫
=
3
2
2x
c
3
+
= 2x x
c
3
+
(6)
23
32
(x x )dx−∫ =
23
32
x dx x dx−∫ ∫
=
55
32
2x 3x
c
5 5
− +
(7) 2
1 1
( )dx
x 2 x
−∫ = 2
1 1
dx dx
x 2 x∫ ∫
1
2 2
1
x dx x dx
2
−
−
−∫ ∫
=
1
2
1
x c
x
− − +
= 1
x c
x
− − +
165
(8) 2
x (x 3)dx−∫ = 3 2
x dx 3x dx−∫ ∫
=
4
3x
x c
4
− +
(9) x(x 1)dx+∫ =
3 1
2 2
x dx x dx+∫ ∫
=
5 3
2 2
2x 2x
c
5 3
+ +
(10) 3
x 2
( )dx
x
−
∫ = 2 3
x dx 2x dx− −
−∫ ∫
= 2 3
x dx 2 x dx− −
−∫ ∫
= 2
1 1
c
x x
− + +
(11) 2
(x 5x 1)dx+ +∫ = 2
x dx 5xdx 1dx+ +∫ ∫ ∫
= 2
x dx 5 xdx 1dx+ +∫ ∫ ∫
=
3 2
x 5x
x c
3 2
+ + +
(12) (6 x 15)dx+∫ =
1
2
6x dx 15dx+∫ ∫
=
3
2
4x 15x c+ +
= 4x x 15x c+ +
(13) 3 2
(x 5x 6)dx+ +∫ = 3 2
x dx 5x dx 6dx+ +∫ ∫ ∫
= 3 2
x dx 5 x dx 6dx+ +∫ ∫ ∫
=
4 3
x 5x
6x c
4 3
+ + +
(14) 6
( 8 x)dx
x
+∫ =
1 1
2 2
6x dx 8x dx
−
+∫ ∫
=
1 1
2 2
6 x dx 8 x dx
−
+∫ ∫
=
3
1 2
2
16x
12x c
3
+ +
= 12 x 16x x c+ +
166
(15) 4 3 2
(x 12x 6x 10)dx− + −∫ = 4 3 2
x dx 12x dx 6x dx 10dx− + −∫ ∫ ∫ ∫
= 4 3 2
x dx 12 x dx 6 x dx 10dx− + −∫ ∫ ∫ ∫
=
5
4 3x
3x 2x 10x c
5
− + − +
2. ให dy
dx
= f′(x) = x
จะได dy
dx
dx∫ = xdx∫
y = xdx∫
y =
2
x
c
2
+ เมื่อ c เปนคาคงตัวใด ๆ
จะได f(x) =
2
x
c
2
+
เนื่องจาก f(2) = 2
จะได 2 =
2
2
c
2
+
c = 0
ดังนั้น f(x) =
2
x
2
3. (1) เนื่องจากความชันของเสนสัมผัสโคงที่จุด (x, y) ใด ๆ คือ x2
– 3x + 2
นั่นคือ dy
dx
= x2
– 3x + 2
จะได y = 2
(x 3x 2)dx− +∫
y =
3 2
x 3x
2x c
3 2
− + +
ดังนั้น สมการเสนโคง คือ y =
3 2
x 3x
2x c
3 2
− + +
แตเสนโคงนี้ผานจุด (2, 1) นั่นคือ เมื่อ x = 2 จะได y = 1
แทนคา x = 2 และ y = 1 ในสมการเสนโคง
จะได 1 =
3
22 3
(2 ) 2(2) c
3 2
− + +
c = 1
3
ดังนั้น สมการเสนโคงดังกลาวคือ y =
3 2
x 3x 1
2x
3 2 3
− + +
167
(2) เนื่องจากความชันของเสนสัมผัสโคงที่จุด (x, y) ใด ๆ คือ 2x3
+ 4x
นั่นคือ dy
dx
= 2x3
+ 4x
จะได y = 3
(2x 4x)dx+∫
y =
4
2x
2x c
2
+ +
ดังนั้น สมการเสนโคง คือ y =
4
2x
2x c
2
+ +
แตเสนโคงนี้ผานจุด (0, 5) นั่นคือ เมื่อ x = 0 จะได y = 5
แทนคา x = 0 และ y = 5 ในสมการเสนโคง
จะได c = 5
ดังนั้น สมการเสนโคงดังกลาวคือ y =
4
2x
2x 5
2
+ +
(3) เนื่องจากความชันของเสนสัมผัสโคงที่จุด (x, y) ใด ๆ คือ 6 + 3x2
– 2x4
นั่นคือ dy
dx
= 6 + 3x2
– 2x4
จะได y = 4 2
( 2x 3x 6)dx− + +∫
y =
5
32x
x 6x c
5
− + + +
แตเสนโคงนี้ผานจุด (1, 0) นั่นคือ เมื่อ x = 1 จะได y = 0
แทนคา x = 1 และ y = 0
จะได 0 = 5 32
(1) (1) (6)(1) c
5
− + + +
c = 33
5
−
ดังนั้น สมการเสนโคงดังกลาวคือ y =
5
32x 33
x 6x
5 5
− + + −
168
4. (1) จาก dv
dt
= a(t) = 6 – 2t
จะได dv
dt
dt∫ = (6 2t)dt−∫
v = 6t – t2
+ c1
จาก v(0) = 5 จะได c1 = 5
ดังนั้น ความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ คือ 6t – t2
+ 5 เมื่อ 0 ≤ t ≤ 3
จาก ds
dt
= v(t) = 6t – t2
+ 5
จะได ds
dt
dt∫ = 2
(6t t 5)dt− +∫
s =
3
2
2
t
3t 5t c
3
− + + +
จาก s(0) = 0 จะได c2 = 0
ดังนั้น ตําแหนงของวัตถุขณะเวลา t ใด ๆ คือ
3
2t
3t 5t
3
− + + เมื่อ 0 t 3≤ ≤
(2) จาก dv
dt
= a(t) = 120t – 12t2
จะได dv
dt
dt∫ = 2
(120t 12t )dt−∫
v = 60t2
– 4t3
+ c1
จาก v(0) = 0 จะได c1 = 0
ดังนั้น ความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ คือ 60t2
– 4t3
เมื่อ 0 t 10≤ ≤
จาก ds
dt
= v(t) = 60t2
– 4t3
จะได ds
dt
dt∫ = 2 3
(60t 4t )dt−∫
s = 3 4
220t t c− +
จาก s(0) = 4 จะได c2 = 4
ดังนั้น ตําแหนงของวัตถุขณะเวลา t ใด ๆ คือ 20t3
– t4
+ 4 เมื่อ 0 t 10≤ ≤
(3) จาก dv
dt
= a(t) = t2
+ 5t + 4
จะได dv
dt
dt∫ = 2
(t 5t 4)dt+ +∫
v =
3 2
1
t 5t
4t c
3 2
+ + +
จาก v(0) = –2 จะได c1 = –2
ดังนั้น ความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ คือ
3 2
t 5t
4t 2
3 2
+ + − เมื่อ 0 t 15≤ ≤
169
จาก ds
dt
= v(t) =
3 2
t 5t
4t 2
3 2
+ + −
จะได ds
dt
dt∫ =
3 2
t 5t
( 4t 2)dt
3 2
+ + −∫
s =
4 3
2
2
t 5t
2t 2t c
12 6
+ + − +
จาก s(0) = –3 จะได c2 = –3
ดังนั้น ตําแหนงของวัตถุขณะเวลา t ใด ๆ คือ
4 3
2t 5t
2t 2t 3
12 6
+ + − − เมื่อ 0 t 15≤ ≤
5. (1) โยนวัตถุขึ้นไปบนอากาศในแนวดิ่ง a = –g = –9.8 เมตร / วินาที2
จะได dv
dt
= –9.8
v = 9.8dt−∫
v = –9.8t + c1
โยนวัตถุขึ้นไปบนอากาศในแนวดิ่งดวยความเร็ว 98 เมตร / วินาที
นั่นคือ ขณะ t = 0, v = 98
จาก v = –9.8t + c1
จะได c1 = 98
ดังนั้น v = –9.8t + 98
จาก ds
dt
= v(t) = –9.8t + 98
จะได s = ( 9.8t 98)dt− +∫
s = –4.9t2
+ 98t + c2
เมื่อ t = 0 จะได s = 0
ดังนั้น c2 = 0
ดังนั้น สมการการเคลื่อนที่ของวัตถุ คือ s = –4.9t2
+ 98t
(2) วัตถุขึ้นสูงสุด เมื่อ v = 0
จาก v = –9.8t + 98
จะได 0 = –9.8t + 98
t = 10
ดังนั้น วัตถุขึ้นไปสูงสุดเมื่อเวลาผานไป 10 วินาที
170
(3) จาก (2) เมื่อ t = 10
จาก s = –4.9t2
+ 98t
จะได s = –4.9(10)2
+ 98(10)
s = 490
ดังนั้น ระยะทางสูงสุดที่วัตถุขึ้นไปไดคือ 490 เมตร
(4) เมื่อ s = 249.9
จาก s = –4.9t2
+ 98t
จะได 249.9 = –4.9t2
+ 98t
t2
– 20t + 51 = 0
(t – 17)(t – 3) = 0
นั่นคือ t = 3 หรือ t = 17
ดังนั้น วัตถุจะอยูสูง 249.9 เมตร เมื่อเวลาผานไป 3 วินาที และ 17 วินาที
6. รถไฟวิ่งดวยความเรง a = dv
dt
= 1
(20 t)
4
− = t
5
4
−
จาก dv
dt
= t
5
4
−
จะได v = t
(5 )dt
4
−∫
v =
2
1
t
5t c
8
− +
ขณะ t = 0, v = 0 จะได c1 = 0
ดังนั้น v =
2
t
5t
8
−
ถา t = 20
จะได v =
2
(20)
5(20)
8
−
v = 50
นั่นคือ วินาทีที่ 20 รถไฟกําลังแลนดวยความเร็ว 50 เมตร / วินาที
จาก ds
dt
= v =
2
t
5t
8
−
จะได ds
dt
=
2
t
5t
8
−
s =
2
t
(5t )dt
8
−∫
s =
2 3
2
5t t
c
2 24
− +
171
ขณะ t = 0 , s = 0 จะได c2 = 0
ดังนั้น s =
2 3
5t t
2 24
−
ถา t = 20
จะได s =
3
25 (20)
(20)
2 24
−
s = 2000
3
นั่นคือ เวลา 20 วินาที รถไฟแลนไดระยะทาง 2000
3
เมตร
ตอจากนั้นรถไฟแลนตอไปดวยความเร็วคงที่ 50 เมตรตอวินาที
หลังจากออกจากสถานี 30 วินาที ก็คือ แลนดวยความเร็วคงที่ตอไปอีก 10 วินาที
จาก s = vt
s = 50 × 10
s = 500
รถไฟแลนดวยความเร็วคงที่ตอไปอีก 10 วินาที เปนระยะทาง 500 เมตร
ดังนั้น หลังจากรถไฟออกจากสถานี 30 วินาที จะอยูหางจากสถานีเปน
ระยะทาง เทากับ 2000
500
3
+ = 2
1166
3
เมตร
เฉลยแบบฝกหัด 2.11
1.
4
3
3
(x 3)dx+∫ =
4
4x
( 3x)
34
+
= 256 81
( 12) ( 9)
4 4
+ − +
= 304 117
4 4
−
= 187
4
V = 50
ความเร็วคงที่มีความเรง
20 วินาที 10 วินาที
172
2.
3
2
1
(x 2x 3)dx− +∫ =
3
2 3x
( x 3x)
13
− +
= 1
(9 9 9) ( 1 3)
3
− + − − +
= 7
9
3
−
= 20
3
3.
1
3
1
(4x 2x)dx
−
+∫ = 4 2 1
(x x )
1
+
−
= (1 + 1) – (1 + 1)
= 0
4.
1
23
1
dx
x
−
−∫ =
11
( )
3x
−
−
−
= 1
1
3
−
= 2
3
5.
4
2
32
3
(x )dx
x
+∫ =
3
2
4x 3
( )
23 2x
−
= 64 3 8 3
( ) ( )
3 32 3 8
− − −
= 2039 55
96 24
−
= 1819
96
6.
1
4 2
1
( x x 1)dx
−
− + −∫ =
5 3
1x x
( x)
15 3
− + −
−
= 1 1 1 1
( 1) ( 1)
5 3 5 3
− + − − − +
= 26
15
−
7.
1
2
0
x(x 1)dx+∫ =
1
3
0
(x x)dx+∫
=
4 2
1x x
( )
04 2
+
= 1 1
( ) 0
4 2
+ −
= 3
4
173
8.
1
2 2 2
0
x (x 1) dx+∫ =
1
6 4 2
0
(x 2x x )dx+ +∫
=
7 5 3
1x 2x x
( )
07 5 3
+ +
= 1 2 1
( ) 0
7 5 3
+ + −
= 92
105
9.
3
2
0
x
( 2x)dx
3
+∫ =
4
2 2x
( x )
012
+
= 16
( 4) 0
12
+ −
= 16
3
10.
2
2 2
0
x(x 1) dx+∫ =
2
5 3
0
(x 2x x)dx+ +∫
=
6 4 2
2x x x
( )
06 2 2
+ +
= 32
( 8 2) 0
3
+ + −
= 62
3
เฉลยแบบฝกหัด 2.12
1. พื้นที่ที่ตองการ แสดงไดดังนี้
0 2 4-2
4
8
12
X
Y
y = x2
-4
174
ให A แทนพื้นที่ที่ปดลอมดวยเสนโคงของ y = x2
จาก x = –3 ถึง x = 0
เนื่องจาก f(x) ≥ 0 สําหรับทุก x ที่อยูในชวง [–3, 0]
จะได A =
0
2
3
x dx
−∫
=
3
0x
33 −
= 0 – (–9)
= 9 ตารางหนวย
2. พื้นที่ที่ตองการ แสดงไดดังนี้
ให A แทนพื้นที่ที่ปดลอมดวยเสนโคงของ y = x + 1 จาก x = –1 ถึง x = 1
เนื่องจาก f(x) ≥ 0 สําหรับทุก x ที่อยูในชวง [–1, 1]
จะได A =
1
1
(x 1)dx
−
+∫
=
2
1x
( x)
12
+
−
= 1 1
( 1) ( 1)
2 2
+ − −
= 2 ตารางหนวย
0 2 4-2
2
4
X
Y
y = x + 1
-4
175
3. พื้นที่ที่ตองการ แสดงไดดังนี้
ให A แทนพื้นที่ที่ปดลอมดวยเสนโคงของ y = 6 + x – x2
จาก x = –1 ถึง x = 1
เนื่องจาก f(x) ≥ 0 สําหรับทุก x ที่อยูในชวง [–1, 1]
จะได A =
1
2
1
(6 x x )dx
−
+ −∫
=
2 3
1x x
(6x )
12 3
+ −
−
= 1 1 1 1
(6 ) ( 6 )
2 3 2 3
+ − − − + +
= 34
3
ตารางหนวย
4. พื้นที่ที่ตองการ แสดงไดดังนี้
0 2 4-2
4
8
X
Y
y = 6 + x – x2
-4
0 2 4-2
4
8
X
Y
y = 9 – x2
-4
176
ให A แทนพื้นที่ที่ปดลอมดวยเสนโคงของ y = 9 – x2
จาก x = –3 ถึง x = 3
เนื่องจาก f(x) ≥ 0 สําหรับทุก x ที่อยูในชวง [–3, 3]
จะได A =
3
2
3
(9 x )dx
−
−∫
=
3
3x
(9x )
33
−
−
= (27 – 9) – (–27 + 9)
= 36 ตารางหนวย
5. พื้นที่ที่ตองการ แสดงไดดังนี้
ให A แทนพื้นที่ที่ปดลอมดวยเสนโคงของ y = x2
– 25 จาก x = –1 ถึง x = 3
เนื่องจาก f(x) ≤ 0 สําหรับทุก x ที่อยูในชวง [–1, 3]
จะได A =
3
2
1
(x 25)dx
−
− −∫
=
3
3x
( 25x)
13
− −
−
= 1
[(9 75) ( 25)]
3
− − − − +
= 272
3
ตารางหนวย
5-5
-10
-20
-30
10
X
Y
25xy 2
−=
0
177
6.
พื้นที่ปดลอมดวยกราฟ y = f(x) กับแกน X จาก x = 0 ถึง x = 1 ซึ่งมีพื้นที่เทากับ
1
1 2
2
× × = 1 ตารางหนวย
จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะไดวา
F(1) – F(0) =
1
0
f (x)dx∫ = –1
ดังนั้น F(1) = –1 + 0 = –1
พื้นที่ปดลอมดวยกราฟ y = f(x) กับแกน X จาก x = 1 ถึง x = 2 ซึ่งมีพื้นที่เทากับ
1
1 (2 1)
2
× × + = 3
2
ตารางหนวย
จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะไดวา
F(2) – F(1) =
2
1
f (x)dx∫ = 3
2
−
ดังนั้น F(2) = 3
1
2
− − = 5
2
−
พื้นที่ที่ปดลอมดวยกราฟ y = f(x) จาก x = 2 ถึง x = 3 ซึ่งมีพื้นที่เทากับ
1
1 1
2
× × = 1
2
ตารางหนวย
จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะไดวา
F(3) – F(2) =
3
2
f (x)dx∫ = 1
2
−
ดังนั้น F(3) = 1 5
2 2
− − = –3
พื้นที่ปดลอมดวยกราฟ y = f(x) กับแกน X จาก x = 3 ถึง x = 4 ซึ่งมีพื้นที่เทากับ
1
1 1
2
× × = 1
2
ตารางหนวย
จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะไดวา
F(4) – F(3) =
4
3
f (x)dx∫ = 1
2
ดังนั้น F(4) = 1
3
2
− = 5
2
−
y = f(x)-2
Y
0 2 4
2
X
-1 6
178
พื้นที่ที่ปดลอมดวยกราฟ y = f(x) กับแกน X จาก x = 4 ถึง x = 5 ซึ่งมีพื้นที่เทากับ
1
1 1
2
× × = 1
2
ตารางหนวย
จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะไดวา
F(5) – F(4) =
5
4
f (x)dx∫ = 1
2
∴ F(5) = 1 5
2 2
− = –2
ดังนั้น F(b) มีคา –1, 5
2
− , –3, 5
2
− , –2 เมื่อ b = 1, 2, 3, 4, 5 ตามลําดับ
7. เนื่องจากพื้นที่ปดลอม F′(x) กับแกน X บน [0, 2] เทากับ 5
จะได
2
0
F (x)dx′∫ = 5
จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส
จะได F(2) – F(0) =
2
0
F (x)dx′∫
F(2) = 5 + 3
= 8
เนื่องจากพื้นที่ปดลอม F′(x) กับแกน X บน [2, 5] เทากับ 16
จะได
5
2
F (x)dx′∫ = –16
จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส
จะได F(5) – F(2) =
5
2
F (x)dx′∫
F(5) = –16 + 8
= –8
เนื่องจากพื้นที่ปดลอม F′(x) กับแกน X บน [5, 6] เทากับ 10
จะได
6
5
F (x)dx′∫ = 10
จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส
จะได F(6) – F(5) =
6
5
F (x)dx′∫
F(6) = 10 – 8
= 2

More Related Content

Viewers also liked (20)

Ad

Similar to Add m6-2-chapter2 (20)

PDF
Calculus1
PDF
21 จำนวนจริง ตอนที่8_การแก้อสมการค่าสัมบูรณ์
PDF
19 จำนวนจริง ตอนที่6_เทคนิคการแก้อสมการ
PDF
ค่าสูงสุดสัมบูรณ์และค่าต่ำสุดสัมบูรณ์ของฟังก์ชัน
PDF
69 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่4_ทฤษฎีบททวินาม
PDF
39 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่2_ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอ...
PDF
Pre โควตา มช. คณิตศาสตร์1
PDF
10 การให้เหตุผลและตรรกศาสตร์ ตอนที่4_ประโยคเปิดและวลีบ่งปริมาณ
PDF
การประยุกต์ของสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว
PDF
Random 121009010211-phpapp02
PDF
31 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่2_โดเมนและเรนจ์
PDF
30 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่1_ความสัมพันธ์
PDF
PDF
Conic section-clip vidva
PDF
71 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่6_ความน่าจะเป็น1
PDF
84 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่11_ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล1
PDF
2587
Calculus1
21 จำนวนจริง ตอนที่8_การแก้อสมการค่าสัมบูรณ์
19 จำนวนจริง ตอนที่6_เทคนิคการแก้อสมการ
ค่าสูงสุดสัมบูรณ์และค่าต่ำสุดสัมบูรณ์ของฟังก์ชัน
69 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่4_ทฤษฎีบททวินาม
39 ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอการิทึม ตอนที่2_ฟังก์ชันชี้กำลังและฟังก์ชันลอ...
Pre โควตา มช. คณิตศาสตร์1
10 การให้เหตุผลและตรรกศาสตร์ ตอนที่4_ประโยคเปิดและวลีบ่งปริมาณ
การประยุกต์ของสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว
Random 121009010211-phpapp02
31 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่2_โดเมนและเรนจ์
30 ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ตอนที่1_ความสัมพันธ์
Conic section-clip vidva
71 การนับและความน่าจะเป็น ตอนที่6_ความน่าจะเป็น1
84 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่11_ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล1
2587
Ad

More from กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์ (19)

Add m6-2-chapter2

  • 1. บทที่ 2 แคลคูลัสเบื้องตน (50 ชั่วโมง) แคลคูลัสเปนสาระการเรียนรูที่สามารถนําไปประยุกตใชเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง เชน การ เจริญเติบโตของรางกายในแตละวัน การเพิ่มของพลเมืองในแตละประเทศ การเกิดและการตายของ พืชและสัตว การละลายของสารเคมี และการเคลื่อนที่ของวัตถุ ในบทเรียนนี้เริ่มตนจาก ลิมิตของ ฟงกชัน ความตอเนื่องของฟงกชัน ความชันของเสนโคง อนุพันธของฟงกชัน การหาอนุพันธของ ฟงกชันพีชคณิตโดยใชสูตร อนุพันธของฟงกชันประกอบ อนุพันธอันดับสูง การประยุกตของ อนุพันธ ปริพันธ ปริพันธไมจํากัดเขต ปริพันธจํากัดเขต และพื้นที่ที่ปดลอมดวยเสนโคง ตามลําดับ ผลการเรียนรูที่คาดหวัง 1. หาลิมิตของฟงกชันที่กําหนดใหได 2. บอกไดวาฟงกชันที่กําหนดใหเปนฟงกชันตอเนื่องหรือไม 3. หาอนุพันธของฟงกชันได 4. นําความรูเรื่องอนุพันธของฟงกชันไปประยุกตได 5. หาปริพันธไมจํากัดเขตของฟงกชันที่กําหนดใหได 6. หาปริพันธจํากัดเขตของฟงกชันบนชวงที่กําหนดให และหาพื้นที่ปดลอมดวยเสนโคงบนชวงที่ กําหนดใหได ผลการเรียนรูที่คาดหวังเปนผลการเรียนรูที่สอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูชวงชั้นดาน ความรู ดังนั้นในการจัดการเรียนรู ผูสอนตองคํานึงถึงมาตรฐานการเรียนรูดานทักษะกระบวนการ ทางคณิตศาสตรดวยการสอดแทรกกิจกรรมหรือโจทยปญหาที่จะสงเสริมใหผูเรียนเกิดทักษะ กระบวนการทางคณิตศาสตรที่จําเปน อันไดแก ความสามารถในการแกปญหา การใหเหตุผล การสื่อสาร การสื่อความหมายทางคณิตศาสตรและการนําเสนอ การเชื่อมโยงความรูตาง ๆ ทาง คณิตศาสตรและเชื่อมโยงคณิตศาสตรกับศาสตรอื่น และการคิดริเริ่มสรางสรรคนอกจากนั้นกิจกรรม การเรียนรู ควรสงเสริมใหผูเรียนตระหนักถึงคุณคาและมีเจตคติที่ดีตอวิชาคณิตศาสตร ตลอดจน ฝกใหนักเรียนทํางานอยางเปนระบบ มีระเบียบวินัย รอบคอบ มีความรับผิดชอบ มีวิจารณญาณ และมีความเชื่อมั่นในตนเอง
  • 2. 62 ขอเสนอแนะ 1. ฟงกชันที่กลาวถึงในหนังสือเรียนเลมนี้เปนฟงกชันพีชคณิตและเนนเฉพาะฟงกชัน พหุนามและฟงกชันตรรกยะเนื่องจากผูเรียนมีความรูพื้นฐานในเรื่องฟงกชันพหุนามและ ฟงกชันตรรกยะมาแลว สําหรับฟงกชันอื่นๆ เชน ฟงกชันลอการิทึม ฟงกชันตรีโกณมิติ จะ ไมนํามากลาวในระดับนี้ ผูเรียนจะไดเรียนเมื่อศึกษาคณิตศาสตรในระดับอุดมศึกษาตอไป 2. ผูสอนควรยกตัวอยางฟงกชันในรูปของกราฟและสมการที่ผูเรียนคุนเคย เชน ฟงกชันเชิงเสน ฟงกชันกําลังสอง เปนตน เพื่อใหเกิดความสะดวกในการพิจารณาหาลิมิต 3. เมื่อกลาวถึง ลิมิตของ f(x) เมื่อ x เขาใกล a หาคาไมได หมายความวา ลิมิตซาย ของ f ที่ x = a ไมเทากับลิมิตขวาของ f ที่ x = a 4. จากบทนิยามของฟงกชันตอเนื่องที่กลาววา เมื่อ c เปนจํานวนจริงใดๆ ที่อยูในชวงเปด (a, b) ฟงกชัน f เปนฟงกชัน ซึ่งนิยาม บนชวงเปด (a, b) f เปนฟงกชันตอเนื่องที่ x = c ก็ตอเมื่อฟงกชัน f มีสมบัติตอไปนี้ 1) f(c) หาคาได 2) x c lim f (x) → หาคาได 3) x c f (c) lim f (x) → = ผูสอนควรยกตัวอยางใหผูเรียนสรุปใหไดวา การตรวจสอบวาฟงกชันที่กําหนดให เปนฟงกชันตอเนื่องที่จุดที่กําหนดใหหรือไม ควรพิจารณาคาของฟงกชัน ณ จุดที่กําหนดใหกอน เนื่องจากเปนคาที่พิจารณาไดงายที่สุดในสมบัติ 3 ขอขางตน ถาหาคาไมไดก็สรุปวา ฟงกชันนั้น ไมตอเนื่อง ณ จุดที่กําหนดให 4.1 ผูสอนแสดงใหผูเรียนเขาใจโดยการใชภาพประกอบการอธิบาย เชน 1) 1. f(a) = L2 2. )x(flim ax→ ไมนิยาม f(x) ไมตอเนื่องที่ x = a X Y 0 a L1 L2 y = f(x)
  • 3. 63 2) 3) 4) 4.2 เมื่อผูสอนชี้ใหผูเรียนเห็นภาพความตอเนื่องของฟงกชันแลวควรเนนใหผูเรียนนํา ทฤษฏีบทในการหาคาลิมิตของฟงกชันที่มีความตอเนื่องที่ a ไปใช 5. กอนที่จะสอนเรื่องความชันของเสนโคงผูสอนควรทบทวนเรื่องการหาความชันของเสนตรง กอนและหลังจากที่สอนเรื่องความชันของเสนโคงแลว ผูสอนควรใหผูเรียนสรุปไดวา ความชันของ เสนโคงหรือความชันของเสนสัมผัสเสนโคงเปนจํานวนบวกหรือลบในชวงที่กําหนดใหนั้นทําใหรู วาฟงกชันในชวงนั้นๆ เปนฟงกชันเพิ่มหรือฟงกชันลด 1. f(a) ไมนิยาม 2. L)x(flim ax = → f(x) ไมตอเนื่องที่ x = a 1 f(a) = L2 2 1L)x(flim ax = → 3 f(a) ≠ )x(flim ax→ f(x) ไมตอเนื่องที่ x = a 1. f(a) = L 2. L)x(flim ax = → 3. f(a) = )x(flim ax→ f(x) ตอเนื่องที่ x = a X Y 0 a L y = f(x) X Y 0 a L1 L2 y = f(x) X Y 0 a L y = f(x)
  • 4. 64 6. ในหัวขอ2.4อนุพันธของฟงกชันผูสอนตองทําความเขาใจกับผูเรียนวาการหาความชัน ของเสนโคง )x(fy = ที่จุด )y,x( ใดๆ คือการหาอนุพันธของฟงกชัน f ที่จุดที่กําหนดใหนั้น 7. การหาอนุพันธของฟงกชัน f ที่ x ในหัวขอนี้เนนการใชบทนิยาม คือ h )x(f)hx(f lim)x(f 0h −+ =′ → อนุพันธของฟงกชันจะหาไดก็ตอเมื่อสามารถหา h )x(f)hx(f lim 0h −+ → ไดเทานั้น ดังนั้นในการใหผูเรียนหาอนุพันธโดยใชบทนิยาม ผูสอนไมควรกลาวถึงฟงกชันที่หา h )x(f)hx(f lim 0h −+ → ไมได หรือหาไดแตยุงยาก เชน f(x) = |x| , x 3 xx2x)x(f 23 −+−= 8. ผูสอนควรทําความเขาใจในเรื่องการใชสัญลักษณ อนุพันธของฟงกชัน f ที่ x สามารถเขียนแทนดวย )x(f ′ , dx dy , y′ และ dx )x(df การเขียนในรูปเศษสวนผูสอนให ขอสังเกตกับผูเรียนวา ตัวแปรตาม (y ) จะเขียนเปนตัวเศษและตัวแปรตน (x ) จะเขียนเปน ตัวสวน การเขียน dx dy หมายถึง อนุพันธของฟงกชัน f ที่ x ไมได หมายถึง d คูณ y หาร d คูณ x 9. อนุพันธของฟงกชัน f ในหนังสือเรียนเลมนี้ใหความหมายเพื่อการนําไปประยุกตใช ไว 2 แบบ คือ )x(f ′ คือ ความชันของเสนโคง )x(fy = ที่ x ใด ๆ และ )x(f ′ คือ อัตราการเปลี่ยนแปลงของ y เทียบกับ x ขณะ x มีคาใด ๆ 10. การสอนเกี่ยวกับการใชสูตรในการหาอนุพันธ ผูสอนควรเนนใหผูเรียนพิสูจนสูตรโดย ใชบทนิยาม h )x(f)hx(f lim)x(f 0h −+ =′ → เพื่อใหเกิดความเขาใจที่มาของสูตรกอน หลังจากนั้น จึงสอนเรื่องการใชสูตรในการหาอนุพันธ 11. การยกตัวอยางหรือการใหแบบฝกหัดเพิ่มเติมควรเปนฟงกชัน ที่อยูในรูปผลบวก ผลตาง ผลคูณ และผลหารของฟงกชันพีชคณิตที่งาย ๆ 12. ในการสอนเรื่อง การหาอนุพันธของฟงกชันโดยใชสูตร ไมควรยกตัวอยางฟงกชันที่ ไมสามารถหาอนุพันธไดบางจุด เชน ฟงกชันที่มีกราฟเปนรูปหัก และฟงกชันที่มีคาคงตัวเปนชวง ๆ ตัวอยาง x)x(f = เมื่อเขียนกราฟจะไดกราฟดังนี้ Y x)x(f = X0
  • 5. 65 จะเห็นวาที่ 0x = นั้น h )x(f)hx(f lim)x(f 0h −+ =′ → หาคาไมไดเพราะวา 1 h h lim h )0(f)h(f lim h )0(f)h0(f lim 0h0h0h −= − = − = −+ −−− →→→ และ 1 h h lim h )0(f)h(f lim h )0(f)h0(f lim 0h0h0h == − = −+ +++ →→→ จะเห็นวา h )0(f)h0(f lim h )0(f)h0(f lim 0h0h −+ ≠ −+ +− →→ แต ax = เมื่อ 0a ≠ จะพิจารณา 2 แบบ คือ 1) เมื่อ 0a > จะไดวา 1 h h lim h a)ha( lim h )a(f)ha(f lim 0h0h0h == −+ = −+ −−− →→→ และ 1 h h lim h a)ha( lim h )a(f)ha(f lim 0h0h0h == −+ = −+ +++ →→→ ดังนั้น h )a(f)ha(f lim 0h −+ → หาคาได 2) เมื่อ 0a < จะไดวา 1 h h lim h )a()ha( lim h )a(f)ha(f lim 0h0h0h −= − = −−+− = −+ −−− →→→ และ 1 h h lim h )a()ha( lim h )a(f)ha(f lim 0h0h0h −= − = −−+− = −+ +++ →→→ ดังนั้น h )a(f)ha(f lim 0h −+ → หาคาได นั่นคือ ฟงกชัน f หาคาไดที่ a เมื่อ 0a ≠ ควรชี้ใหผูเรียนเห็นวาสําหรับฟงกชัน f ที่กําหนดคา x เปนชวง เชน ⎩ ⎨ ⎧ <− ≥ = 0x,x 0x,x )x(f ถาจะหาอนุพันธที่ x = 0 โดยใชสูตรดังนี้ ⎩ ⎨ ⎧ <− ≥ =′ 0x,1 0x,1 )x(f จะทําใหไดขอสรุปวา 1)0(f =′ ซึ่งไมถูกตอง เนื่องจากฟงกชันนี้ไมมีคา h )x(f)hx(f lim 0h −+ → เมื่อ x = 0 หรือไมมีคาอนุพันธ ที่จุด x = 0 นั่นเอง ผูสอนจึงควรย้ํากับผูเรียนวาการใชสูตรในการหาอนุพันธ ณ จุดที่กําหนดจะ ใชไดเมื่อฟงกชันมีคาอนุพันธ ณ จุดนั้น
  • 6. 66 13. ในการหาคาต่ําสุดหรือสูงสุดของฟงกชัน )x(fy = ซึ่งหาไดโดยอาศัยการหาคาx ที่ทําให 0)x(f =′ นั้น ผูสอนควรบอกใหผูเรียนทราบวา ไมจําเปนเสมอไปวา ณ คา x ที่ 0)x(f =′ จะใหคาต่ําสุดสัมพัทธหรือคาสูงสุดสัมพัทธ ดังนั้นจึงจําเปนตองมีการทดสอบคา ดังกลาวดวย เชน ถา 3 x)x(f = 2 x3)x(f =′ ถา 0)x(f =′ จะได 0x3 2 = นั่นคือ x = 0 เปนคาวิกฤต แตกราฟ จุด (0,0) ไมเปนจุดต่ําสุดหรือจุดสูงสุดของกราฟของฟงกชัน 3 x)x(f = ดังนั้นในกรณีที่กําหนดฟงกชัน f ที่มีอนุพันธใหแลวใหหาคาต่ําสุดหรือคาสูงสุด สัมพัทธของฟงกชัน ตองทดสอบวาเมื่อ 0)a(f =′ จุด ))a(f,a( ที่หาไดเปนจุดที่ฟงกชันมีคา ต่ําสุดหรือคาสูงสุดสัมพัทธหรือไม โดยพิจารณาดังนี้ จุด ))a(f,a( จะเปนจุดที่ฟงกชันมีคาต่ําสุดสัมพัทธตองมีสมบัติครบทั้ง 3 ขอ คือ 1) 0)a(f =′ 2) 0)x(f <′ เมื่อ x นอยกวา a เล็กนอย 3) 0)x(f >′ เมื่อ x มากกวา a เล็กนอย และจุด ))a(f,a( จะเปนจุดที่ฟงกชันมีคาสูงสุดสัมพัทธตองมีสมบัติครบทั้ง 3 ขอ คือ 1) 0)a(f =′ 2) 0)x(f >′ เมื่อ x นอยกวา a เล็กนอย 3) 0)x(f <′ เมื่อ x มากกวา a เล็กนอย 14. ในกรณีที่ตองการทดสอบคาต่ําสุดหรือคาสูงสุดสัมพัทธของฟงกชัน เมื่อทราบวา a ทําให 0)a(f =′ จะเลือก x มากกวา a เล็กนอย และ x นอยกวา a เล็กนอย มาทดสอบ คําวาเล็กนอยนั้นพิจารณาไดดังนี้ 1) กรณีที่มี x เพียง 1 คาที่ทําให 0)x(f =′ เชน a เปนคาที่ทําให 0)a(f =′ การเลือกคาที่นอยกวา a และคาที่มากกวา a มาทดสอบ จะเลือกคาใดก็ได ผูสอนอาจจะใช ภาพประกอบคําอธิบายเพื่อใหผูเรียนสามารถมองเห็นชวงของ x ไดชัดเจนขึ้น ดังภาพประกอบ ตอไปนี้ X Y 0
  • 7. 67 2) กรณีที่มี x สองคาที่ทําให 0)x(f =′ เชน b และ c เปนคาที่ทําให 0)c(f,0)b(f =′=′ และ b < c จะพิจารณาดังนี้ คา x ที่นอยวา b เล็กนอย เลือกจากจํานวนจริงในชวง )b,(−∞ คา x ที่มากกวา b เล็กนอย เลือกจากจํานวนจริงในชวง )c,b( คา x ที่นอยวา c เล็กนอย เลือกจากจํานวนจริงในชวง )c,b( คา x ที่มากกวา c เล็กนอย เลือกจากจํานวนจริงในชวง ),c( ∞ ผูสอนอาจจะใชภาพประกอบคําอธิบายเพื่อใหผูเรียนสามารถมองเห็นชวงของ x ไดชัดเจนขึ้น ดังภาพประกอบตอไปนี้ 3) กรณีที่มี x มากกวา 2 คาที่ทําให 0)x(f =′ เชน b, c, d เปนคาที่ทําให 0)d(f,0)c(f,0)b(f =′=′=′ และ dcb << จะพิจารณาดังนี้ คา x ที่นอยวา b เล็กนอย เลือกจากจํานวนจริงในชวง )b,(−∞ คา x ที่มากกวา b เล็กนอย เลือกจากจํานวนจริงในชวง )c,b( คา x ที่นอยวา c เล็กนอย เลือกจากจํานวนจริงในชวง )c,b( คา x ที่มากกวา c เล็กนอย เลือกจากจํานวนจริงในชวง )d,c( คา x ที่นอยกวา d เล็กนอย เลือกจากจํานวนจริงในชวง )d,c( คา x ที่มากกวา d เล็กนอย เลือกจากจํานวนจริงในชวง ),d( ∞ X0 a Y 0)a(f =′ ax >ax < X Y 0 b cx > 0)c(f =′ 0)b(f =′ c cx <bx < bx > X Y 0 cx > 0)c(f =′ 0)b(f =′ cx <bx < bx > b c X0 Y 0)a(f =′ ax >ax < a
  • 8. 68 ผูสอนอาจจะใชภาพประกอบคําอธิบายเพื่อใหผูเรียนสามารถมองเห็นชวงของ x ไดชัดเจนขึ้น ดังภาพประกอบตอไปนี้ ตัวอยาง จงหาคาต่ําสุดหรือคาสูงสุดสัมพัทธของ x3x2xx)x(f 234 −−+= วิธีทํา 3x4x3x4)x(f 23 −−+=′ = )1x)(1x)(3x4( +−+ เมื่อ 0)x(f =′ จะไดวา คําตอบของสมการ คือ 3 1, 4 − − และ 1 พิจารณาคาของ x + 1 , 4x + 3 และ x – 1 โดยใชคา x ในชวงทั้ง 4 ขางตน และสรุป โดยใชเครื่องหมาย ( – ) และ ( + ) แทนคําวาเปนจํานวนจริงลบและจํานวนจริงบวกได ดังตารางตอไปนี้ )1,( −−∞ ) 4 3 ,1( −− )1, 4 3 (− (1,∞ ) x + 1 – + + + 4x + 3 – – + + x – 1 – – – + (x + 1) (4x + 3)( x – 1) – + – + จากตารางจะไดวา 1) เมื่อ ∈x )1,( −−∞ จะได (x + 1) < 0 และ (4x + 3) < 0 และ (x – 1) < 0 ดังนั้น (x + 1)(4x + 3)(x – 1) < 0 นั่นคือ 0)x(f <′ ในชวง )1,( −−∞ 2) เมื่อ ∈x ) 4 3 ,1( −− จะได (x + 1) > 0 และ (4x + 3) < 0 และ (x – 1) < 0 ดังนั้น (x + 1)(4x + 3)(x – 1) > 0 นั่นคือ 0)x(f >′ ในชวง ) 4 3 ,1( −− X X ชวง พจนของ )x(f ′ d Y 0 cx > 0)c(f =′ 0)b(f =′ cx <bx < bx > dx >dx < 0)d(f =′ cb Y 0 b cx > 0)c(f =′ 0)b(f =′ c cx <bx < bx > dx > dx < 0)d(f =′ d
  • 9. 69 3) เมื่อ ∈x )1, 4 3 (− จะได (x + 1) > 0 และ (4x + 3) > 0 และ (x – 1) < 0 ดังนั้น (x + 1)(4x + 3)(x – 1) < 0 นั่นคือ 0)x(f <′ ในชวง )1, 4 3 (− 4) เมื่อ ∈x (1,∞ ) จะได (x + 1) > 0 และ (4x + 3) > 0 และ (x – 1) > 0 ดังนั้น (x + 1)(4x + 3)(x – 1) > 0 นั่นคือ 0)x(f >′ ในชวง (1,∞) จาก 1), 2), 3) และ 4) สรุปเปนตารางไดดังนี้ ชวง )x(f ′ ลักษณะของกราฟ สรุป )1,( −−∞ – เปนฟงกชันลด ) 4 3 ,1( −− + เปนฟงกชันเพิ่ม )1, 4 3 (− – เปนฟงกชันลด (1,∞ ) + เปนฟงกชันเพิ่ม 1) )x(f มีคาต่ําสุดสัมพัทธที่ 1x −= และ คาต่ําสุดสัมพัทธของ )x(f คือ =− )1(f 1 2) )x(f มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ 4 3 x −= และ คาสูงสุดสัมพัทธของ )x(f คือ =− ) 4 3 (f 1.02 3) )x(f มีคาต่ําสุดสัมพัทธที่ 1x = และ คาต่ําสุดสัมพัทธของ )x(f คือ =)1(f –3 15. 15.1 การใชอนุพันธอันดับที่สองหาคาต่ําสุดสัมพัทธและคาสูงสุดสัมพัทธนั้นในการ อธิบายใหผูเรียนเขาใจวาเหตุใดเมื่ออนุพันธอันดับที่สองณจุดวิกฤตเปนบวกจึงใหคาต่ําสุดสัมพัทธ และเหตุใดเมื่ออนุพันธอันดับที่สองณจุดวิกฤตเปนลบจึงใหคาสูงสุดสัมพัทธ ผูสอนอาจจะใชกราฟ ประกอบดังนี้ จาก )x(fy = )x(f dx dy ′= เปนอนุพันธอันดับที่หนึ่ง หาอนุพันธของฟงกชัน )x(f ′ dx ))x(f(d ′ dx ) dx dy (d = 2 2 dx yd = จาก dx dy เปนคาความชันของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด x ใด ๆ เนื่องจาก 2 2 dx yd dx ) dx dy (d =
  • 10. 70 นั่นคือ 2 2 dx yd หมายถึง อัตราการเปลี่ยนแปลงของความชันเทียบกับ x จาก h )x(f)hx(f lim dx dy 0x −+ = → ถา 2 2 dx yd < 0 จุดที่ x = x0 จะใหคาสูงสุดสัมพัทธ ซึ่งพิจารณาไดจากกราฟ ถา 2 2 dx yd > 0 จุดที่ x = x0 จะใหคาต่ําสุดสัมพัทธ ซึ่งพิจารณาไดจากกราฟ 15.2 การสอนใหผูเรียนพิจารณาคา x ที่เปนคาวิกฤตนั้นจะทําใหฟงกชันมีคาต่ําสุด สัมพัทธหรือคาสูงสุดสัมพัทธโดยใชอนุพันธอันดับที่สอง ผูสอนควรสอนภายหลังจากที่ผูเรียนได ฝกการพิจารณาคาต่ําสุดหรือคาสูงสุดโดยใชอนุพันธอันดับที่หนึ่งไปแลวมิฉะนั้นผูเรียนจะไมสนใจ เรียนเพราะตองการแตจะทราบถึงวิธีลัดเทานั้นผูสอนควรใหผูเรียนไดฝกโดยใชอนุพันธอันดับที่หนึ่ง เสียกอน เพราะผูเรียนจะไดทราบถึงเหตุผลในการสรุปเกี่ยวกับคาสูงสุดและคาต่ําสุดไดชัดเจนขึ้นและ ผูสอนควรเนนใหผูเรียนทราบวาสําหรับบางฟงกชันหรือคาวิกฤตบางคาไมสามารถใชอนุพันธอันดับ ที่สองตรวจสอบคาสูงสุดและคาต่ําสุดสัมพัทธของฟงกชันได ผูเรียนควรตรวจสอบโดยใชอนุพันธ อันดับหนึ่ง เชน Xx0 Y 0 dx dy >0 dx dy = 0 x0 X Y 0 dx dy < 0 dx dy = 0
  • 11. 71 1) 4 )1x()x(f −= หาจุดวิกฤตของ f จาก 4 )1x()x(f −= 3 )1x(4)x(f −=′ คาของ x ที่ทําให 0)x(f =′ คือ 1 จะไดจุดวิกฤตของ f คือ x = 1 จาก 3 )1x(4)x(f −=′ 2 )1x(12)x(f −=′′ ดังนั้น 0)1(f =′′ ซึ่งไมสามารถตรวจสอบไดวา ที่ x = 1 จะให คาต่ําสุดหรือคาสูงสุดสัมพัทธ ดังนั้นจะตองใชอนุพันธอันดับที่หนึ่งตรวจสอบ จาก 3 )1x(4)x(f −=′ พิจารณาเครื่องหมายของ )x(f ′ ในชวง )1,(−∞ และ ),1( ∞ ดังตารางตอไปนี้ ชวง )x(f ′ ลักษณะของกราฟ 1x < – เปนฟงกชันลด 1x > + เปนฟงกชันเพิ่ม จากตารางสรุปไดวา f มีคาต่ําสุดสัมพัทธที่ x = 1 และคาต่ําสุดสัมพัทธที่ x = 1 คือ f(1) = 0 ผูสอนอาจจะใหผูเรียนพิจารณาจากกราฟจะทําใหผูเรียนเขาใจมากขึ้น 2) 34 x2x)x(f −= หาจุดวิกฤตของ f จาก 34 x2x)x(f −= 23 x6x4)x(f −=′ )6x4(x2 −= คาของ x ที่ทําให 0)x(f =′ คือ 0 และ 3 2 จะไดจุดวิกฤตของ f คือ x = 0 และ 2 3 x = 1-1 0 2 1 2 X Y -1
  • 12. 72 จาก 23 x6x4)x(f −=′ x12x12)x(f 2 −=′′ พิจารณากรณีที่ 3 x 2 = จะได 9) 2 3 (12) 2 3 (12) 2 3 (f 2 =−=′′ ซึ่งมากกวา 0 แสดงวา f มีคาต่ําสุดสัมพัทธที่ 2 3 x = และคาต่ําสุดสัมพัทธที่ 2 3 x = คือ 69.1) 2 3 (2) 2 3 () 2 3 (f 34 −=−= พิจารณากรณีที่ 0x = จะได f (0) 0′′ = ซึ่งไมสามารถตรวจสอบไดวา ที่ x = 0 จะใหคาต่ําสุดหรือคาสูงสุดสัมพัทธ ดังนั้นจะตองใชอนุพันธอันดับที่หนึ่งตรวจสอบ จาก 23 x6x4)x(f −=′ )6x4(x2 −= พิจารณาเครื่องหมายของ )x(f ′ ในชวง )0,(−∞ , ) 2 3 ,0( และ ), 2 3 ( ∞ ดังตาราง ตอไปนี้ ชวง )x(f ′ ลักษณะของกราฟ 0x < – เปนฟงกชันลด 2 3 x0 << – เปนฟงกชันลด 2 3 x > + เปนฟงกชันเพิ่ม จากตารางสรุปไดวา 1) f มีคาต่ําสุดสัมพัทธที่ 2 3 x = และคาต่ําสุดสัมพัทธที่ 2 3 x = คือ 69.1) 2 3 (2) 2 3 () 2 3 (f 34 −=−= 2) f ไมมีคาต่ําสุดหรือคาสูงสุดสัมพัทธที่ x = 0
  • 13. 73 ผูสอนอาจจะใหผูเรียนพิจารณาจากกราฟจะทําใหผูเรียนเขาใจมากขึ้น หลังจากยกตัวอยางขางตนผูสอนใหผูเรียนสังเกตวา ทําไมฟงกชันบางฟงกชันจึงใช อนุพันธอันดับที่สองตรวจสอบคาวิฤตได แตบางฟงกชันไมสามารถทําได ผูเรียนควรสังเกต ไดวา สําหรับจุดวิกฤตที่ทําใหคาอนุพันธอันดับที่สองมีคาเทากับศูนย บางจุดจะทําใหไดคาต่ําสุด หรือคาสูงสุดสัมพัทธ แตบางจุดไมไดใหทั้งคาต่ําสุดและคาสูงสุดสัมพัทธ ดังนั้นจึงไมสามารถ ใชอนุพันธอันดับที่สองตรวจสอบคาสูงสุดและคาต่ําสุดสัมพัทธของฟงกชันได แตจะตรวจสอบ ไดโดยใชการหาอนุพันธอันดับที่หนึ่ง 16. ในหัวขอ 2.9 เปนการหาฟงกชันในกระบวนการตรงกันขามกับการหาอนุพันธ เรียกวาการหาปฏิยานุพันธ ในหนังสือบางเลมเรียกวาการอินทิเกรต ดังแผนภาพตอไปนี้ )x(F หาอนุพันธหาปฏิยานุพันธ )x(F′ -1 1 2 -2 -1 1 2 X Y 0
  • 14. 74 17. ถาอนุพันธของฟงกชันอยูในรูป n x dx dy = แลวใหหาฟงกชันเดิม โดยใชสูตร 1n x y 1n + = + จะเห็นวาจะหาฟงกชันนี้ไมได เมื่อ 1n −= ดังนั้นในการกําหนดอนุพันธของฟงกชัน ใหอนุพันธของฟงกชันที่กําหนดใหตองไมอยูรูป x 1 หรือ bax 1 + เมื่อ b,a เปนจํานวนจริงที่ 0a ≠ เนื่องจากฟงกชันที่มีอนุพันธอยูในรูปดังกลาวจะเปนฟงกชันลอการิทึมในรูป xlny = และ cbaxlnay ++= ซึ่งฟงกชันในลักษณะแบบนี้ผูเรียนจะไดเรียนในระดับสูงตอไป 18. รูปทั่วไปของปฏิยานุพันธของ f คือ ฟงกชัน c)x(Fy += เมื่อ c เปนคาคงตัว และ )x(f)x(F =′ เขียนแทนปฏิยานุพันธของ f ดวยสัญลักษณ ∫ dx)x(f อานวา ปริพันธ ไมจํากัดเขตของฟงกชัน f เทียบกับตัวแปร x 19. จากตัวอยางที่ 5 หัวขอ 2.10 เรื่องปริพันธไมจํากัดเขต ที่กลาววา ∫ + dx)x2x( 2 = ∫ ∫+ xdx2dxx2 = [ ]2 2 1 3 c 2 x 2c 3 x +++ = cx 3 x 2 3 ++ เมื่อ 21 c2cc += ผูสอนควรเนนใหผูเรียนเห็นวาในการหาคาของ ∫ dxx2 ใหคาคงตัวหนึ่ง คือ 1c และใน การหาคาของ ∫ xdx2 ใหคาคงตัว คือ 2c2 ซึ่งคาคงตัวที่เกิดขึ้นนี้มีหลายคาแตนิยมเขียนสรุป โดยใช c เพียงคาเดียว ซึ่งในที่นี้หมายถึง 21 c2c + 20. ในหัวขอ 2.11 ในการหาปริพันธจํากัดเขต และ )x(fy = ตองเปนฟงกชันตอเนื่อง บนชวงปด [a, b] ซึ่งหาไดจากทฤษฎีหลักมูลของแคลคูลัสและไมเนนการพิสูจน ดังนี้ 1) หา )x(F ซึ่งเปนปฏิยานุพันธของ )x(f หรือ หา ∫ dx)x(f 2) หา )a(F)b(F − และคาที่ไดจาก 2) จะเปนคาของปริพันธจํากัดเขต ∫ b a dx)x(f การหาปริพันธจํากัดเขตไมตองบวกคา c เนื่องจาก การหา )a(F)b(F − คา c จะหักลาง กันหมดไป 21. ในการศึกษาหัวขอ 2.12 เรื่องพื้นที่ที่ปดลอมดวยเสนโคง จะศึกษาเฉพาะเสนโคงของ ฟงกชันพหุนามที่เลขชี้กําลังเปนจํานวนเต็มบวกไมเกินสอง และจะตองระบุดวยวาเปนการหาพื้นที่ ที่ปดลอมดวยกราฟของฟงกชันที่กําหนดให แกน X เสนตรง ax = และเสนตรง bx = เมื่อ Rb,a ∈ ผูสอนควรย้ําวาในหนังสือเรียนที่ไมไดเขียนแกน X ไวนั้นจริง ๆ แลว มีเสนปดลอมอีก เสนหนึ่ง คือ แกน X แตในที่นี้ไดละไว สําหรับการหาพื้นที่ที่อยูระหวางเสนโคงสองเสน ไมได ศึกษาในหัวขอนี้
  • 15. 75 กิจกรรมเสนอแนะ ลิมิตของฟงกชัน 1. ผูสอนฝกใหผูเรียนทําความเขาใจความหมายของคําวา x เขาใกล a โดยการ ลากเสนจํานวนดังรูป จากนั้น ผูสอนกําหนดจํานวนจํานวนหนึ่งให เชน 2 แลวใหผูเรียนหาจํานวนที่มีคา มากกวา 2 และมีคาเขาใกล 2 ผูสอนบอกผูเรียนวาการพิจารณาจํานวนจริง x ที่มีคามากกวา 2 และมีคาเขาใกล 2 ซึ่ง เรียกวา x มีคาเขาใกล 2 ทางดานขวาเขียนแทนดวยสัญลักษณ x → 2+ ในทํานองเดียวกัน ผูสอนใหผูเรียนหาจํานวนที่มีคานอยกวา 2 และมีคาเขาใกล 2 และ บอกผูเรียนวา เปนการพิจารณาจํานวนจริง x ที่มีคานอยกวา 2 และมีคาเขาใกล 2 ซึ่งเรียกวา x มีคาเขาใกล 2 ทางดานซายเขียนแทนดวยสัญลักษณ x → 2– ตัวอยาง 2. ผูสอนกําหนดฟงกชันตอไปนี้ใหผูเรียนพิจารณาโดยใชการแทนคา x ที่เขาใกล a ทั้งทางดานขวาและทางดานซาย พรอมทั้งเขียนกราฟ 1) f(x) = 2x – 1 เมื่อ x มีคาเขาใกล 1 2) f(x) = x2 – 4x + 5 เมื่อ x มีคาเขาใกล 2 3) f(x) = x เมื่อ x มีคาเขาใกล 0 4) f(x) = 5) f(x) = จากฟงกชันขางตนผูสอนแบงกลุมผูเรียนใหชวยกันหาคาของ f(x) จาก x → a ที่ กําหนดให ซึ่งควรไดผลดังนี้ 2 – x เมื่อ x < 1 (x – 1)2 เมื่อ x ≥ 1 x 4− เมื่อ x > 4 8 – 2x เมื่อ x < 4 0 1 2 x → 2– x → 2+ 3 0 1 2 3-1-2-3
  • 16. 76 1) f(x) = 2x – 1 เมื่อ x เขาใกล 1 เมื่อพิจารณาคาของ f(x) ในตารางและกราฟ จะเห็นวา x มีคาเขาใกล 1 ทางดานซายและดานขวา คาของ f(x) มีคาเขาใกล 1 เพียงคาเดียว 2) 5x4x)x(f 2 +−= เมื่อ x เขาใกล 2 เมื่อพิจารณาคาของ f(x) ในตารางและกราฟ จะเห็นวา เมื่อ x มีคาเขาใกล 2 ทางดานซายและ ดานขวา คาของ f(x) มีคาเขาใกล 1 เพียงคาเดียว x 1.001 1.01 1.1 f(x) 1.002 1.02 1.2 x 0.9 0.99 0.999 f(x) 0.8 0.98 0.998 x 2.001 2.01 2.1 f(x) 1.000001 1.0001 1.01 x 1.9 1.99 1.999 f(x) 1.01 1.0001 1.000001 1 2 1 -1 30 X Y f(x) = 1x2 − Y 2 1 4 X0 5x4x)x(f 2 +−=
  • 17. 77 3) f(x) = x เมื่อ x เขาใกล 0 เมื่อพิจารณาคาของ f(x) ในตารางและกราฟ จะเห็นวา เมื่อ x มีคาเขาใกล 0 ทางดานซายและ ดานขวา คาของ f(x) มีคาเขาใกล 0 เพียงคาเดียว 4) f(x) = เมื่อพิจารณาคาของ f(x) ในตารางและกราฟ จะเห็นวา เมื่อ x มีคาเขาใกล 4 ทางดานซาย และดานขวา คาของ f(x) มีคาเขาใกล 0 เพียงคาเดียว x 0.001 0.01 0.1 f(x) 0.001 0.01 0.1 x -0.1 -0.01 -0.001 f(x) 0.1 0.01 0.001 x 4− เมื่อ x > 4 8 – 2x เมื่อ x < 4 x 4.001 4.01 4.1 f(x) 0.0316 0.1 0.316 x 3.99 3.999 3.9999 f(x) 0.02 0.002 0.0002 X 4 4 2 0 Y 4x)x(f −= f(x) = 8 – 2x -1 1 2 1 -1 0 X Y -2 2 x)x(f =
  • 18. 78 5) f(x) = เมื่อพิจารณาคาของ f(x) ในตารางและกราฟ จะเห็นวา เมื่อ x มีคาเขาใกล 1 ดานซาย f(x) มีคา เขาใกล 1 เมื่อ x มีคาเขาใกล 1 ดานขวา f(x) เขาใกล 0 3. จากการพิจารณาฟงกชันที่กําหนดใหขางตน ผูเรียนชวยกันสรุปวา ถา f เปนฟงกชัน และ f(x) มีคาเขาใกลจํานวนจริง เพียงคาเดียวในขอ 1 – 4 สวนฟงกชันในขอ 5 จะสรุปไดวา เมื่อ x มีคาเขาใกล 1 ดานซาย f(x) มีคาเขาใกล 1 เมื่อ x มีคาเขาใกล 1 ดานขวา f(x) เขาใกล 0 4. ผูสอนสรุปวาในกรณีทั่วไป “คาของ f(x) เมื่อ x เขาใกล a ทางดานซาย มีคา เทากับ Lเขียนแทนดวย x a lim f (x)− → = L อานวา ลิมิตของ f(x) เมื่อ x เขาใกล a ทางดานซาย เทากับ Lและ “คาของ f(x) เมื่อ x เขาใกล a ทางดานขวา มีคาเทากับ L เขียนแทนดวย x a lim f (x)+ → = L อานวา ลิมิตของ f(x) เมื่อ x เขาใกล a ทางดานขวา เทากับ L และถา f เปน ฟงกชัน และ f(x) มีคาเขาใกลจํานวนจริง L เพียงคาเดียว เมื่อ x มีคาเขาใกล a (ไมวา x > a หรือ x < a) เราจะกลาววาฟงกชัน f มีลิมิตเทากับ L หรือกลาววา ลิมิตของฟงกชัน f ที่ x เมื่อ x เขาใกล a มีคาเทากับ L เขียนแทนดวยสัญลักษณ x a limf (x) → = L และ ถา f เปนฟงกชัน และ คาของ f(x) เมื่อ x เขาใกล a ทางดานซาย ไมเทากับคาของ f(x) เมื่อ x เขาใกล a ทางดานขวา กลาววา x a limf (x) → หาคาไมได 2 – x เมื่อ x < 1 (x – 1)2 เมื่อ x ≥ 1 x 1.001 1.01 1.1 f(x) 0.000001 0.0001 0.01 x 0.99 0.999 0.9999 f(x) 1.01 1.001 1.0001 4 2 1 X Y f(x) = 2 – x 2 )1x()x(f −= O
  • 19. 79 5. ผูสอนชี้ใหผูเรียนเห็นวา บางครั้งการหาคาลิมิตของฟงกชันโดยการใชกราฟหรือ คํานวณคาของฟงกชันนั้นไมสะดวก โดยทั่วไปจะใชวิธีการหาลิมิต โดยอาศัยทฤษฎีบทเกี่ยวกับ ลิมิต ผูสอนควรแนะนําทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิตพรอมกับตัวอยางการนําทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิตไปใช ความตอเนื่องของฟงกชัน 1. ผูสอนใหผูเรียนพิจารณากราฟของฟงกชันที่กําหนดใหดังรูปผูสอนและผูเรียน รวมกันอภิปรายความหมายของความตอเนื่องของฟงกชัน โดยผูสอนยกตัวอยางกราฟในรูป 1) 2) 3) X Y 0 a )x(fy 2= X Y 0 a )x(fy 3= X Y 0 a )x(fy 1=
  • 20. 80 4) เมื่อผูเรียนพิจารณากราฟควรอธิบายไดวา มีเพียงกราฟขอ 4) ตอเนื่องที่จุด x = a สวนกราฟขอ 1), 2) และ 3) ไมตอเนื่องเพราะมีบางจุดที่กราฟขาดตอน และควรบอกไดวาขาด สมบัติในขอใดบาง 2. ผูเรียนพิจารณาความตอเนื่องของฟงกชันที่กําหนด ณ จุดที่กําหนดใหพรอมทั้งบอก เหตุผล 1) f(x) = 2 x x 2 x 2 − − − ณ จุดที่ x = 2 2) f(x) = ณ จุดที่ x = 0 X Y 0 a )x(fy 4= Y -1 1 2 1 -1 0 X -2 2 3 2 x 1 , x ≠ 0 1 , x = 0 Y -1 1 2 1 -1 0 X -2 2 3
  • 21. 81 3) f(x) = ณ จุดที่ x = 2 3. ผูสอนใหผูเรียนพิจารณาความตอเนื่องของฟงกชันเมื่อ กําหนดให 5x5x)x(f 2 −−= พิจารณา )1(f และ )x(flim 1x→ )1(f = –9 )x(flim 1x→ = –9 จะเห็นวา )1(f = )x(flim 1x→ เมื่อพิจารณากราฟจะเห็นวา f(x) มีความตอเนื่องที่ x = 1 2 x x 2 x 2 − − − , x ≠ 2 1 , x = 2 Y -1 1 2 1 -1 0 X -2 2 3 (2, 1) Y X 2 4 60 5 10 –10 –5 –2
  • 22. 82 4. ผูสอนและผูเรียนสรุปวา f มีความตอเนื่อง ที่ x = a เมื่อมีสมบัติครบ 3 ขอ คือ 1. f(a) หาคาได 2. )x(flim ax→ หาคาได 3. f(a) = )x(flim ax→ 5. ผูสอนแนะนําผูเรียนใหใชหลักการขางตนหาความตอเนื่องบนชวงของฟงกชันแลว ใหผูเรียนทําแบบฝกหัด ความชันของเสนโคง 1. 1) ผูสอนทบทวนเกี่ยวกับการหาความชันของเสนตรง โดยพิจารณารูปตอไปนี้ ผูเรียนควรตอบไดวา ความชัน คือ 1 1 1 2 2 2 1 − − = 1 2) ผูสอนเสนอแนะผูเรียนเกี่ยวกับกรณีทั่วไปวาการหาความชันของเสนตรงคือ อัตราสวนของ k และ h ดังนั้น ความชันของเสนตรง คือ b k b a h a + − + − = k h Y a a + h b 0 X b + k Q (a+h,b+k) P (a,b) h k Y -1 1 2 1 -1 0 X 2 3 Q ) 2 1 1,2( ) 2 1 ,1( P
  • 23. 83 2. ผูเรียนใชความรูจากการหาความชันของเสนตรงหาความชันของเสนโคง โดยผูสอน กําหนดฟงกชันดวยแผนภาพตอไปนี้โดยกําหนดจุด Q(a + h, b + k) ที่มีระยะหางจากจุด P(a, b) ตาง ๆ กัน เพื่อใหผูเรียนมองเห็นความสัมพันธของความชันของเสนโคงและความชันของเสนตรง ตามตารางที่ 1 f(x) = x2 – 4x + 5 ตารางที่ 1 ความสัมพันธของจุด P และ Q ในการหาความชันของเสนโคง k = f(a + h) – f(a) h = (a + h) – a Q1(4, 5) Q2(3, 2) Q3(2.5, 1.25) Q4(2.25, 1.0625) Q5(2.125, 1.0156) Q6(2.01, 1.001) Q7(2.001, 1.000001) Qn เขาใกล (2, 1) f(4) – f(2) = 4 f(3) – f(2) = 1 f(2.5) – f(2) = 0.25 f(2.25) – f(2) = 0.0625 f(2.125) – f(2) = 0.0156 f(2.01) – f(2) = 0.0001 f(2.001) – f(2) = 0.000001 f(2 + h) – f(2) 4 – 2 = 2 3 – 2 = 1 2.5 – 2 = 0.5 2.25 – 2 = 0.25 2.125 – 2 = 0.125 2.01 – 2 = 0.01 2.001 – 2 = 0.001 h h 0 f (2 h) f (2) lim h→ + − = 2 2 h 0 (2 h) 4(2 h) 5 [2 4(2) 5] lim h→ ⎡ ⎤+ − + + − − +⎣ ⎦ = 2 h 0 h 4h 4 8 4h 5 4 8 5 lim h→ + + − − + − + − = 2 h 0 h lim h→ = 0 X 4 2 2 Y 5x4x)x(f 2 +−= 0 P 1Q 2Q 3Q ... ... ...
  • 24. 84 ผูเรียนควรสรุปไดวา การหาความชันของเสนโคง ณ พิกัดของจุดที่กําหนดให เมื่อ h เขาใกล 0 ความชัน คือ 0 จากกราฟและตารางที่ 1 ผูเรียนหาความชันไดดังนี้ Qn k h k h (4, 5) 5 – 1 = 4 4 – 2 = 2 4/2 = 2 (3, 2) 2 – 1 = 2 4 – 3 = 1 2/1 = 1 (2.5, 1.25) 1.25 – 1 = 0.25 2.5 – 2 = 0.5 0.25/0.5 = 0 .5 (2.25, 1.0625) 1.0625 – 1 = 0.0625 2.25 – 2 = 0.25 0.0625/0.25 = 0.25 (2 + h, f(2 + h)) f(2 + h) – f(2) 2 + h – 2 f (2 h) f (2) h + − ผูเรียนควรสรุปไดวา ในขณะที่เสนตรง PQn เกือบทับจุด P ที่จุด Qn คา h มีคาเขาใกล 0 ซึ่งสามารถหาความชันไดจากการหา h 0 f (2 h) f (2) lim h→ + − คือการหาความชันของเสนโคงนั่นเอง แตถาจุด Qn ทับกับจุด P พอดี จุดนั้นก็จะเปนจุดสัมผัสซึ่งมีสมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด P(x, y) ใด ๆ 3. ผูสอนสรุปเปนกรณีทั่วไป โดยใชบทนิยามในหนังสือเรียนถา y = f(x) เปนสมการ ของเสนโคง เสนตรงที่สัมผัสเสนโคงที่จุด P(x, y) ใด ๆ จะเปนเสนตรงที่ผานจุด P และมีความชัน m = h 0 f (x h) f (x) lim h→ + − ถาลิมิตหาคาไดความชัน ณ จุด P(x, y) หมายถึง ความชันของเสน สัมผัสเสนโคง ณ จุด P 4. ผูเรียนทําแบบฝกหัด อนุพันธของฟงกชัน 1. ผูสอนทบทวนเรื่องการหาความชันของเสนโคง ผูเรียนควรบอกไดวา การหาความ ชันของเสนโคง y = f(x) ที่จุด P(x, y) เปนการหาความชันของ PQ เมื่อจุด Q(x + h, y + k) เปน จุดใด ๆ โดยให h เขาใกล 0 ซึ่งเปนการหาอัตราสวนระหวาง f(x + h) – f(x) กับ h เมื่อ คา h เขาใกล 0 จึงไดความชันเสนโคง คือ m = h 0 f (x h) f (x) lim h→ + − เมื่อลิมิตหาคาได 2. ผูสอนบอกผูเรียนวา โดยใชบทนิยามในหนังสือเรียน ถา y = f(x) เปนฟงกชัน และมีโดเมนและเรนจ เปนสับเซตของจํานวนจริง และ h 0 f (x h) f (x) lim h→ + − หาคาได เรียก ลิมิตที่ไดนี้วา อนุพันธของฟงกชัน f ที่ x เขียนแทนดวย f′(x) นอกจากนี้ยังเขียนแทนดวย สัญลักษณอยางอื่น เชน dy dx หรือ y′ หรือ d f (x) dx
  • 25. 85 การหาอนุพันธของฟงกชันพีชคณิตโดยใชสูตร 1. ผูสอนทบทวนการหาอนุพันธของฟงกชันโดยใชบทนิยามของการหาอนุพันธดังนี้ f′(x) = h 0 f (x h) f (x) lim h→ + − และเสนอแนะผูเรียนวา การหาอนุพันธสําหรับบางฟงกชันใช เวลาคอนขางนาน จําตองสรางสูตรเพื่อนํามาใชใหเกิดความสะดวก เชน 1x5x)x(f 3 ++= เมื่อหาอนุพันธของฟงกชัน f โดยลิมิต จะได dy dx = h 0 f (x h) f (x) lim h→ + − ดังนั้น f′(x) = ( ) ( ) h 1x5x1)hx(5)hx( lim 33 0h ++−++++ → = ( ) h 1x5x)1h5x5xh3hx3hx( lim 32233 0h ++−++++++ → = h )h5xh3hx3h( lim 223 0h +++ → = h )5xh3x3h(h lim 22 0h +++ → = 2 2 h 0 lim (h 3x 3xh 5) → + + + = 5x3 2 + เมื่อหาอนุพันธของฟงกชัน f โดยใชสูตร จาก 1x5x)x(f 3 ++= f′(x) = 1 dx d x dx d 5x dx d 3 ++ = 5x3 2 + 2. ผูสอนยกตัวอยางการหาอนุพันธของฟงกชันบางฟงกชันโดยใชสูตรแลวใหผูเรียนฝก หาอนุพันธของฟงกชันโดยใชสูตร อนุพันธของฟงกชันประกอบ 1. ผูสอนยกตัวอยางฟงกชัน เชน f(x) = (x7 – 2x–7 )15 โดยชี้ใหผูเรียนเห็นวา การจะหาอนุพันธของฟงกชันที่มีดีกรีสูง ๆ โดยใชบทนิยาม f′(x) = h 0 f (x h) f (x) lim h→ + − ที่เรียนผานมาจะไมสะดวก ดังนั้น จึงมีการสรางสูตรที่เรียกวา กฎลูกโซ ซึ่งกฎนี้จะใชกับฟงกชัน ที่เรียกวา ฟงกชันประกอบ
  • 26. 86 2. ผูสอนบอกสูตรการหาอนุพันธฟงกชันประกอบ ดังนี้ ถา y = (g°f)(x) = g(f(x)) แลว dy dx = d d g(f (x)) f (x) df (x) dx ⋅ ซึ่งผูสอนอาจจะแสดงบทพิสูจนดังนี้ จากบทนิยามของการหาอนุพันธของฟงกชัน จะไดวา (g°f)′(x) = h )x)(fg()hx)(fg( lim 0h −+ → = h 0 g(f (x h)) g(f (x)) lim h→ + − = h 0 g(f (x h)) g(f (x)) f (x h) f (x) lim f (x h) f (x) h→ ⎡ ⎤+ − + − ⋅⎢ ⎥+ −⎣ ⎦ โดยที่ f(x + h) – f(x) ≠ 0 = h )x(f)hx(f lim )x(f)hx(f ))x(f(g))hx(f(g lim 0h0h −+ ⋅ −+ −+ →→ ให f(x + h) – f(x) = t จะไดวา h 0 g(f (x h)) g(f (x)) lim f (x h) f (x)→ + − + − = t ))x(f(g)t)x(f(g lim 0h −+ → ดังนั้น (g°f)′(x) = )x(f))x(f(g ′⋅′ = )x(f dx d ))x(f(g )x(df d ⋅ ถา u = f(x) และ y = g(u) จะได dy dx = dy du du dx ⋅ 3. ผูสอนยกตัวอยางการหาอนุพันธของฟงกชันประกอบโดยใชสูตรแลวใหผูเรียนทํา แบบฝกหัด อนุพันธอันดับสูง 1. ผูสอนทบทวนการหาอนุพันธของฟงกชันโดยใชสูตร และยกตัวอยางฟงกชันบาง ฟงกชันที่หาอนุพันธได และสามารถหาอนุพันธไดอีกโดยการถามนักเรียน กําหนด f(x) = 2x4 – 3x3 + 2x2 +6x – 5 f′(x) = df (x) dx = 8x3 – 9x2 + 4x + 6 d f (x) dx ′ = 24x2 – 18x+ 4 ดังนั้น อนุพันธของ f′ (x) คือ 24x2 – 18x + 4
  • 27. 87 2. ผูสอนบอกบทนิยามการหาอนุพันธอันดับสูง ดังนี้ ให f เปนฟงกชันที่สามารถหาอนุพันธได และ f′(x) เปนอนุพันธของฟงกชัน f ที่ x ที่สามารถ หาอนุพันธไดแลว จะเรียกอนุพันธของอนุพันธของฟงกชัน f ที่ x หรืออนุพันธของฟงกชัน f ′ ที่ x วาอนุพันธอันดับที่ 2 ของ f ที่ x และเขียนแทนอนุพันธของฟงกชัน f′ ที่ x ดวย f″(x) ทั้งนี้ ผูสอนอธิบายถึงการเขียนแทนดวยสัญลักษณ เชน อนุพันธอันดับที่ 2 ของ f ที่ x เขียนแทนดวย 2 2 d y dx หรือ 2 2 d f (x) ,y dx ′′ อนุพันธอันดับที่ 3 ของ f ที่ x เขียนแทนดวย 3 3 d y dx หรือ 3 3 d f (x) dx หรือ y ′′′ เปนตน 3. ผูสอนแนะนําผูเรียนในการนําความรูเรื่องอนุพันธของฟงกชันอันดับสูงไปใช ประโยชนในเรื่องการเคลื่อนที่ซึ่งอนุพันธของฟงกชันอันดับที่ 2 ของ f ที่ x คือ ความเรง (a) ของวัตถุขณะเวลา t ใด ๆ ซึ่งหาไดจากการหาอัตราการเปลี่ยนแปลงของความเร็ว (v) เทียบกับ เวลา t ใด ๆ จากสมการ s = f(t) ซึ่งจะแสดงไดดังนี้ a = dv dt และ v = ds dt ดังนั้น a = ) dt ds ( dt d = 2 2 dt sd 4. ผูเรียนทําแบบฝกหัด การประยุกตอนุพันธ 1. ผูสอนทบทวนความรูเกี่ยวกับฟงกชันเพิ่มและฟงกชันลด พรอม ๆ กับการพิจารณา ความชันของเสนโคงดังแผนภาพตอไปนี้ ถา 21 xx < และ )x(f)x(f 21 < จะไดวา )x(f เปนฟงกชันเพิ่ม และ 0)x(f >′ X y = f(x) 0 Y x2x1
  • 28. 88 ถา 21 xx < และ )x(f)x(f 21 > จะไดวา )x(f เปนฟงกชันลด และ 0)x(f <′ 2. ผูสอนกําหนดกราฟมาให โดยใหผูเรียนเขียนกราฟของฟงกชันที่กําหนดใหและ พิจารณาคาของ f(x) และ )x(f ′ เมื่อกําหนด x = a ที่เปนจุดต่ําสุดและจุดสูงสุด โดยเขียน + และ – เมื่อคาของฟงกชันในชวงนั้นเปนจํานวนจริงบวกและลบ ตามลําดับ ดังแสดงในตาราง จุดสูงสุดหรือ จุดต่ําสุด X Y y = f(x) 0 x1 x2 )1,2( –+ 01 0 1) 2 5-2 -2 X Y )1,1( − – 0 +–1 0 2) 2 5-2 -2 X Y )3,2( –+ 0–3 0 3) )x(f ax =ax < ax > )x(f ′)x(f ′ 2 5-2 -2 X Y )x(f ′)x(f
  • 29. 89 จากตารางพิจารณาคา ของ f(x) และ )x(f ′ โดยยึดจุดสูงสุดและจุดต่ําสุดสัมพัทธเปนชวง แบงผูเรียนสรุปไดวา 1. ฟงกชันในขอ 1 และ 3 ณ จุดสูงสุดในชวง x < a คาของ f(x) จะเพิ่มขึ้น ในขณะที่ x = a ฟงกชันจะใหคาสูงสุด ในชวง x > a คาของ f(x) เริ่มลดลง 2. ฟงกชันในขอ 2 และ 4 ณ จุดต่ําสุดในชวง x < a คาของ f(x) จะลดลง ในขณะที่ x = a ฟงกชันจะใหคาต่ําสุด ในชวง x > a คาของ f(x) เริ่มเพิ่มขึ้น 3. ณ จุดที่เปนจุดต่ําสุดหรือจุดสูงสุดของฟงกชันจะเปนจุดเปลี่ยนจากคาบวกเปน คาลบหรือจากคาลบเปนคาบวก (จุดที่ 0)x(f =′ ) 3. จากขอคนพบและสิ่งที่ผูเรียนสรุปได ผูสอนสรุปความหมายของคาสูงสุดสัมพัทธ คาต่ําสุดสัมพัทธ และคาวิกฤต ตามที่นิยามในหนังสือเรียน 4. ผูสอนใหผูเรียนหาคาสูงสุดสัมพัทธ คาต่ําสุดสัมพัทธ และคาวิกฤต โดยกําหนด ฟงกชัน ดังตอไปนี้ 1. 8x2x)x(f 2 −−= 2x2)x(f −=′ หาคาวิกฤต 2x2)x(f −=′ = 0 x = 1 ถา x > 1, 0)x(f >′ ถา x < 1, 0)x(f <′ ดังนั้น f(x) มี คาต่ําสุดสัมพัทธ คือ –9 2. 1x3x)x(f 3 −−= 3x3)x(f 2 −=′ หาคาวิกฤต โดยให 0)x(f =′ จะได 0)1x(3 2 =− x = –1 หรือ x = 1 พิจารณากรณี x = –1 ถา x < –1, 0)x(f >′ ถา x > –1, 0)x(f <′ -4 5-2 -2 X Y )4,1( − – ––40 4) 0
  • 30. 90 ดังนั้น f(x) มี คาสูงสุดสัมพัทธ คือ 1 พิจารณากรณี x = 1 ถา x < 1, 0)x(f <′ ถา x > 1, 0)x(f >′ ดังนั้น f(x) มี คาต่ําสุดสัมพัทธ คือ –3 5. ผูสอนใหผูเรียนพิจารณาหาคาสูงสุดสัมพัทธและคาต่ําสุดสัมพัทธพรอมทั้งเปรียบเทียบ คาที่หาได ภายในชวงที่กําหนดให ผูเรียนสรุปวา 1. f มีคาสูงสุดสัมพัทธที่จุด 1x และ 3x และ )x(f)x(f 31 < 2. f มีคาต่ําสุดสัมพัทธที่จุด 2x และ 4x และ )x(f)x(f 42 < 6. ผูสอนสรุปความหมายของคาสูงสุดสัมบูรณและคาต่ําสุดสัมบูรณตามบทนิยามใน หนังสือเรียน พรอมทั้งเนนความแตกตางระหวางจุดสูงสุดสัมพัทธและจุดสูงสุดสัมบูรณ จุดต่ําสุด สัมพัทธและจุดต่ําสุดสัมบูรณโดยอาจจะอธิบายโดยใชกราฟดังนี้ X A C 0 x1 x2 x3 x4 f(x) B D Y g B C D E F • • • • • •GA • Y Xa b c d fe
  • 31. 91 จากกราฟ ผูสอนใหผูเรียนชวยกันพิจารณาวาจุดใดบางเปนจุดสูงสุดสัมพัทธ และจุดใด บางเปนจุดต่ําสุดสัมพัทธ จากนั้นใหผูเรียนระบุวาจุดใดเปนจุดสูงสุดสัมบูรณและจุดใดเปนจุดต่ํา สุดสัมบูรณ ซึ่งผูเรียนควรตอบไดวา จุด B, จุด D และจุด F เปนจุดสูงสุดสัมพัทธ สวนจุด C และจุด E เปนจุดต่ําสุดสัมพัทธ หรือ ผูเรียนอาจกลาววา ฟงกชัน f มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ x = b, x = d และ x = f เพราะมีความหมายเหมือนกัน จากกราฟ ผูเรียนควรตอบไดวา จุด B เปน จุดสูงสุดสัมบูรณ และคาสูงสุดสัมบูรณเทากับ f(b) จุด E เปนจุดต่ําสุดสัมบูรณ และคาต่ําสุด สัมบูรณเทากับ f(e) ผูสอนควรชี้แจงใหผูเรียนเขาใจวา ตามนิยามในหนังสือเรียนหนา 129 การ พิจารณาจุดต่ําสุดสัมพัทธและจุดสูงสุดสัมพัทธจะไมพิจารณาจุดปลายของชวงเปด (a, g) ดังนั้น จุด A และ จุด G จึงไมเปนจุดต่ําสัมพัทธหรือจุดสูงสุดสัมพัทธ อยางไรก็ตามในการพิจารณาคา ต่ําสุดสัมบูรณและคาสูงสุดสัมบูรณนั้น ตองพิจารณาจุดปลายของชวงเปด (a, g) ดวย นั่นคือ จุด A และจุด G อาจจะเปนจุดที่ใหคาต่ําสุดสัมบูรณหรือจุดสูงสุดสัมบูรณก็ได 7. ผูเรียนทําแบบฝกหาคาสูงสุดสัมพัทธและคาต่ําสุดสัมพัทธ คาสูงสุดสัมบูรณและคา ต่ําสุดสัมบูรณของฟงกชัน ปฏิยานุพันธ 1. ผูสอนทบทวนการหาอนุพันธของฟงกชัน ดังนี้ )x(f )x(f′ 5x + 1 5 x2 + 1 2x x2 + 3x + 2 2x + 3 x3 + 2 3x2 x3 – 5 3x2 x3 + 3x + 2 3x2 + 3 x3 + 3x – 5 3x2 + 3 ผูสอนใหผูเรียนรวมกันสรุปวา การหาอนุพันธของ y = xn หาไดจากสูตร n 1dy nx dx − = เมื่อทบทวนเรื่องการหาอนุพันธแลวผูสอนควรถามใหผูเรียนหาฟงกชันหลายๆ ฟงกชันที่มีคาอนุพันธ เทากันแลวจึงคอยใหผูเรียนสรุปวา ฟงกชันที่มีอนุพันธเทากันนั้นจะตางกันเฉพาะคาคงตัว ซึ่งใน การเรียนการสอนคณิตศาสตรระดับสูงขึ้นไปจะสามารถพิสูจนไดวา ฟงกชันที่มีอนุพันธเทากันนั้น จะตางกันเฉพาะคาคงตัว
  • 32. 92 กําหนด f(x) ลองให y = F(x) หา F′ (x) ทดสอบวา F′ (x) เทากับ f(x) หรือไม y = F(x) + cไมเทากัน 2. ผูสอนกําหนดฟงกชันและอธิบายการหาปฏิยานุพันธโดยใชแผนผัง ดังตอไปนี้ ใหผูเรียนเติม F(x), F′(x) และผลการเปรียบเทียบระหวาง F′(x) กับ f(x) ลงในชองวาง ในตารางตอไปนี้ )x(f )x(Fy= )x(F′ )x(F′ เทากับ )x(f หรือไม 2x 3x 2x + 1 5x – 1 x2 + 2x + 1 ผูสอนใหผูเรียนรวมกันเฉลยโดยการสุมถามคําตอบและวิธีการหา y = F(x) จากผูเรียน พรอมทั้งใหสังเกตคา c ของแตละคน )x(f )x(Fy= )x(F′ )x(F′ เทากับ )x(f หรือไม 2x x2 + 1 2x เทากัน 3x 2x 2 3 2 − 3x เทากัน 2x + 1 x2 + x + 1 2x + 1 เทากัน 5x – 1 25 x x 2 2 − + 5x – 1 เทากัน x2 + 2x + 1 3 2x x x 1 3 + + + x2 + 2x + 1 เทากัน
  • 33. 93 ผูเรียนควรสรุปไดวา เมื่อกําหนด f(x) สามารถหา y = F(x) โดยที่ F′ (x) = f(x) ได และเมื่อ c เปนคาคงตัวไมจําเปนตองเทากัน ซึ่งสามารถเขียนอยูในรูปทั่วไป คือ y = F(x) + c 3. ผูสอนแนะนํากระบวนการตรงขามการหาอนุพันธตามวิธีการในหนังสือเรียนโดย พิจารณาการเคลื่อนที่ของวัตถุ ขณะเวลา t ใด ๆ เมื่อทราบความเร็วในการเคลื่อนที่ แตตองการหา สมการการเคลื่อนที่ของวัตถุ หลังจากนั้นผูสอนและผูเรียนชวยกันสรุปบทนิยามการหาปฏิยานุพันธ ปริพันธไมจํากัดเขต 1. ผูสอนแบงผูเรียนเปนกลุมใหผูเรียนอธิบายการหาปฏิยานุพันธของ f(x) โดยใช ตารางตอไปนี้ f(x) y = F(x) + c F′ (x) = f(x) วิธีคิด 1 2x 3x2 4x3 5x4 2x – 1 x2 + x3 4x3 + 3x2 3x2 – 2x + 1 –2x3 ผูสอนสุมใหผูเรียนแตละกลุมนําเสนอวิธีการหาปฏิยานุพันธ พรอมทั้งเฉลย ผูเรียนควร มองเห็นแบบรูปของปฏิยานุพันธของ f(x) ที่กําหนดให จนสามารถสรุปเปนพจนทั่วไปไดวา เมื่อ กําหนด f(x) = xn สามารถหา F(x) + c ไดจาก n 1 x n 1 + + โดยที่ n ≠ –1 หรือสรุปตามบทนิยาม ในหนังสือเรียนหรืออาจใชวิธีการถามตอบ เพื่อใหผูเรียนเห็นทั้งกระบวนการยอนกลับ 2. ผูสอนใหผูเรียนสังเกตวา ฟงกชันที่กําหนดใหเพื่อหา F(x) + c เปนฟงกชันชนิดใดบาง ผูเรียนควรตอบไดวา เปนฟงกชันคาคงตัว ไดแก f(x) = 1 ฟงกชันพหุนาม ไดแก f(x) = 2 , f(x) = 3x2 , f(x) = 4x3 , f(x) = 5x4 , f(x) = 2x – 1 , f(x) = 5x + 1 , f(x) = 4x3 + 3x2 และ f(x) = 3x2 – 2x + 1 ฟงกชันตรรกยะ ไดแก f(x) = –2x–3
  • 34. 94 ผูสอนใหผูเรียนแตละกลุมกําหนดฟงกชันตามตัวอยางขางตน เพื่อทดลองใชความรูจาก บทสรุปที่วา เมื่อกําหนด f(x) = xn หา ∫f(x)dx ไดจาก n 1 x n 1 + + โดยที่ 1n −≠ เพื่อหาขอสรุป สูตรการหาปริพันธไมจํากัดเขต ดังนี้ ตัวอยางเชน ∫1dx = x + c ∫kdx = kx + c ∫3x2 dx = x3 + c ∫kf(x)dx = k∫f(x)dx ∫[x2 + x3 ]dx ∫[f(x) + g(x)]dx = ∫f(x)dx + ∫g(x)dx ∫[4x3 + 3x2 ]dx ∫[(k1f1(x) + k2f2(x)+ ... + knfn(x)]dx = k1∫f1(x)dx + k2∫f2(x)dx + ...+ kn∫fn(x)dx 3. ผูสอนกลาวถึงประโยชนของการนําสูตรการหาปริพันธไปใชใหเกิดความสะดวกและ รวดเร็ว เชน การนําไปใชในการหาปฏิยานุพันธของฟงกชัน ( ) dy f x dx = การหาสมการเสนโคง ดังตัวอยางที่ 10 หนา 157 การหาความเร็วจากการเคลื่อนที่เมื่อกําหนดความเรงขณะเวลา t ใด ๆ เปนตน 4. ใหผูเรียนฝกหาปริพันธไมจํากัดเขตของฟงกชัน ปริพันธจํากัดเขต 1. ผูสอนทบทวนเรื่องปฏิยานุพันธของฟงกชัน ผูเรียนควรบอกไดวา เมื่อกําหนด f(x) = xn ปริพันธหนึ่งคือ n 1 x n 1 + + โดยที่ n ≠ –1 เขียนผลการหาปริพันธในรูปทั่วไปคือ F(x) + c เมื่อ c เปนคาคงตัว และใชหลักการทบทวนการหาสูตรปริพันธทั้ง 5 สูตรในหัวขอ 2.10 2. ผูสอนทบทวนเรื่องฟงกชันตอเนื่องบนชวง [a, b] 3. ผูสอนแนะนําสัญลักษณ ( ) b a f x dx∫ ที่ใชแทนปริพันธจํากัดเขตของฟงกชันตอเนื่อง f บนชวง [a, b] และแนะนําวิธีหาคา ( ) b a f x dx∫ โดยใชทฤษฏีหลักมูลของแคลคูลัสวา เมื่อกําหนด ฟงกชัน f ซึ่งเปนฟงกชันตอเนื่องบนชวง [a, b] มาให จะหาปริพันธจํากัดเขตของฟงกชันไดดังนี้ 3.1 หา F(x) ซึ่งเปนรูปทั่วไปของปฏิยานุพันธของฟงกชัน f 3.2 หา F(b) – F(a) 3.3 ( ) b a f x dx∫ = F(b) – F(a) 4. ผูสอนกําหนดฟงกชันตอเนื่องบนชวง [a, b] และใหผูเรียนฝกหาปริพันธของฟงกชัน ตามวิธีการในขอ 3 เชน f(x) = x2 + 2 , x ∈[1, 2]
  • 35. 95 ผูเรียนควรหาไดวา F(x) = 3 x 2x c 3 + + F(2) = ( ) 3 2 2 2 c 3 + + c 3 20 += F(1) = ( ) 3 1 2 1 c 3 + + c 3 7 += ( ) 2 1 f x dx∫ = F(2) – F(1) = 13 3 5. ผูสอนใหผูเรียนสังเกตวา เมื่อหาฟงกชัน F ซึ่งเปนรูปทั่วไปของปริพันธของฟงกชัน ที่กําหนดให แลวหา F(b) – F(a) คาคงตัว c จะหักลางกันหมดไป ดังนั้นเพื่อประหยัดเวลาใน การคํานวณไมจําเปนตองเขียนคาคงตัว c แลวใหผูเรียนทําแบบฝกหัด พื้นที่ที่ปดลอมดวยเสนโคง 1. ผูสอนทบทวนการหาปริพันธจํากัดเขตโดยกําหนดฟงกชันตอเนื่องบน [a, b] เชน กําหนด f(x) = 2 , x ∈ [0, 1] และ g(x) = 5x2 , x ∈[–1, 2] ใหผูเรียนหาปริพันธจํากัดเขต ดังกลาว 2. ผูสอนใหความหมายของคําวา “พื้นที่ปดลอมดวยเสนโคงของ y = f(x) กับแกน X จาก x = a ถึง x = b” และฟงกชัน f ที่กลาวถึงนี้เปนฟงกชันพหุนามที่มีดีกรีเปนจํานวนเต็มบวก ไมเกินสอง ซึ่งกราฟของ f อาจจะเปนเสนตรงหรือเสนโคง ผูเรียนควรบอกไดวา เมื่อเขียนกราฟ แลวพื้นที่ดังกลาวคือบริเวณใด ผูสอนใหผูเรียนพิจารณารูปดังตอไปนี้ X Y a b 0 X Y a b0 X Y a b 0 X Y a b0 ก ค ง ข
  • 36. 96 ผูเรียนควรบอกไดวา พื้นที่ปดลอมดวยกราฟของ y = f(x) แกน X เสนตรง x = a และเสนตรง x = b เชนรูป ก , ข และ ค จะมีพื้นที่ที่อยูเหนือแกน X คาของ f(x) มากกวาศูนย สวนพื้นที่ปดลอมดวยกราฟของ y = f(x) แกน X เสนตรง x = a เสนตรง x = b จะมีพื้นที่ที่อยูใตแกน X เมื่อ f(x) นอยกวาศูนย เชน รูป ง 3. ผูสอนเสนอแนะผูเรียนวาการหาพื้นที่ปดลอมดวยเสนโคงจะหาโดยอาศัยการหา ปริพันธจํากัดเขต ตามบทนิยามในหนังสือเรียน 4. ผูสอนใหผูเรียนพิจารณาวา การหาพื้นที่ปดลอมดวยเสนโคง เปรียบเทียบ 2 วิธีคือ วิธีใชสูตรการหาพื้นที่ที่ผูเรียนเคยเรียนมา และวิธีการหาปริพันธจํากัดเขต เพื่อตรวจสอบคาของ พื้นที่ที่ได เชน กราฟ วิธีใชสูตรการหาพื้นที่ วิธีการหาปริพันธจํากัดเขต พื้นที่ A= 1 2 (ผลบวกของดานคูขนาน)×ความสูง = 1 2 (1+2)×1 = 3 2 ตารางหนวย พื้นที่ A = ( ) 2 1 f x dx∫ 2 x2 = = 4 1 2 2 − = 3 2 ตารางหนวย พื้นที่ A = 1 2 ×ความยาวฐาน×ความสูง = 1 2 ×3×3 = 9 2 ตารางหนวย พื้นที่ A = ∫− 5 2 dx)x(g = –((– 2 x2 +2x) ) = 25 4 ( 10 4) 2 2 − − + + − = 9 2 ตารางหนวย 5. ผูสอนและผูเรียนชวยกันอภิปรายถึงประโยชนของการหาพื้นที่ที่ปดลอมดวยเสนโคง ดวยวิธีการหาปริพันธจํากัดเขต “หากรูปภาพมีความซับซอนหรือมีลักษณะเปนกราฟเสนโคง การ ใชวิธีการหาปริพันธจํากัดเขตจะสะดวกและหาคําตอบไดงายกวา” 0 1 2 3 4 1 2 3 A X Y –1 –2 –3 –4 43210 5 A X g(x) = –x + 2 Y 1 2 2 5
  • 37. 97 6. ผูสอนกําหนดพื้นที่ที่ปดลอมดวยเสนโคงที่อยูในรูปของกราฟพาราโบลา แลวให ผูเรียนฝกหาพื้นที่ เชน 6.1 จงหาพื้นที่ที่ปดลอมดวยเสนโคง f(x) = x2 , x ∈[0, 2] วิธีทํา ( ) 2 0 f x dx∫ = F(2) – F(0) = 3 x3 = 8 3 ตารางหนวย 6.2 จงหาพื้นที่ที่ปดลอมดวยเสนโคง f(x) = –x2 + 1 , x ∈[–2, –1] วิธีทํา ( ) 1 2 f x dx − − ∫ = –[F(–1) – F(–2)] = –( x 3 x3 +− ) = 4 3 ตารางหนวย 7. ผูเรียนฝกหาพื้นที่ที่ปดลอมดวยเสนโคงดวยวิธีการหาปริพันธจํากัดเขต ตัวอยางแบบทดสอบประจําบท 1. กําหนด x2 5x5 )x(f −+ = จงหา )x(flim 0x→ ถาลิมิตหาคาได 2. กําหนด 2 x16)x(f = จงหา 3x )3(f)x(f lim 3x − − → ถาลิมิตหาคาได 3. กําหนด )4x5x)(1x2x( 3x 1 )x(f 22 3 −−+++ + = จงหา )x(f ′ 4 _2 X Y 0 2 _-2 X Y -2 2 0 0 2 –2 –1
  • 38. 98 4. กําหนด =)x(f จงแสดงวา f เปนฟงกชันตอเนื่องที่ x = –1 เทากัน 5. กําหนด =)x(f จงพิจารณาวา f เปนฟงกชันตอเนื่องที่ x = 0 หรือไม 6. กําหนด 4 )x21(y −= จงหา 2 2 dx yd 7. จงหาปริพันธของ 2 23 x 4x5x )x(f −+ = 8. จงหาปริพันธของ 2 )4x3()x(f += 9. จากกราฟ จงหาพื้นที่สวนที่แรเงา 10. จงหาพื้นที่ที่ปดลอมดวยเสนโคง x4xy 2 += กับแกน X จาก 5x −= ถึง 1x = ⎪ ⎩ ⎪ ⎨ ⎧ 2 1x 1x2 + − เมื่อ 1x −≠ เมื่อ 1x −= ⎩ ⎨ ⎧ 2 x x− เมื่อ 0x ≤ เมื่อ 0x > Y -1 1 2 1 -1 0 2 3 y x 1= + 2 y x 2x= − + X
  • 39. 99 เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท 1. จาก x2 5x5 )x(f −+ = )x(flim 0x→ 5x5 5x5 x2 5x5 lim 0x ++ ++ ⋅ −+ = → )5x5(x2 x lim 0x ++ = → )5x5(2 1 lim 0x ++ = → 54 1 = 2. จาก 2 x16)x(f = 3x )3(f)x(f lim 3x − − → 3x )3(16x16 lim 22 3x − − = → 3x )3x(16 lim 22 3x − − = → )3x(16lim 3x += → 96= 3. จาก )4x5x)(1x2x( 3x 1 )x(f 22 3 −−+++ + = dx dy )x(f =′ ⎥⎦ ⎤ ⎢⎣ ⎡ ++−−+−−+++ + = )1x2x( dx d )4x5x()4x5x( dx d )1x2x( 3x 1 dx d dx dy 2222 3 )2x2)(4x5x()5x2)(1x2x( )3x( x3 22 23 2 +−−+−+++ + −= 4. การแสดงวา f เปนฟงกชันตอเนื่องที่ x = –1 ตองแสดงสมบัติ 3 ขอ ดังนี้ 1. 21xlim 1x 1x lim)x(flim 1x1x1x 2 −=−= + − = −→−→−→ 2. 2)1(f −=− 3. )1(f)x(flim 1x −= −→ ดังนั้น f เปนฟงกชันที่ตอเนื่องที่ x = 1
  • 40. 100 5. การพิจารณาความตอเนื่องของ f ที่ x = 0 ตองแสดงสมบัติ 3 ขอ ดังนี้ 1. 0)x(flim 0x = −→ และ 0)x(flim 0x = +→ ดังนั้น )x(flim 0x→ = 0 2. 0)0(f = 3. )0(f)x(flim 0x = → ดังนั้น f เปนฟงกชันที่ตอเนื่องที่ x = 0 6. จาก y 4 )x21( −= ให u x21−= ดังนั้น y 4 u= dx dy dx du du dy ⋅= )x21( dx d )u( du d 4 −⋅= 3 u8−= 2 2 dx yd )u8( dx d 3 −= ⎟ ⎠ ⎞ ⎜ ⎝ ⎛ ⋅−= dx du )u( du d 8 3 ⎟ ⎠ ⎞ ⎜ ⎝ ⎛ −⋅−= )x21( dx d )u( du d 8 3 )2)(u3(8 2 −−= 2 u48= 2 )x21(48 −= 7. )x(f 22 2 2 3 x 4 x x5 x x −+= 2 x45x − −+= ดังนั้น ∫ dx)x(f ∫ − −+= dx)x45x( 2 cx4x5 2 x 1 2 +++= − 8. )x(f 2 )4x3( += )4x3)(4x3( ++= 16x24x9 2 ++= ดังนั้น ∫ dx)x(f ∫ ++= dx)16x24x9( 2 cx16x12x3 23 +++=
  • 41. 101 9. ให 1A คือพื้นที่ปดลอมดวยกราฟของ 1xy += กับแกน X จาก 0x = ถึง 2x = จะได 1A ∫ += 2 0 dx)1x( 2 x ( x) 2 = + 4= ตารางหนวย 2A คือพื้นที่ปดลอมดวยกราฟของ x2xy 2 +−= กับแกน X จาก 0x = ถึง 2x = จะได 2A ∫ +−= 2 0 dx)x2x( 2 3 2x ( x ) 3 = − + 3 4 = ตารางหนวย พื้นที่สวนที่แรเงา คือ 1A – 2A = 3 4 4 − = 3 8 ตารางหนวย 10. เขียนกราฟของ y = x2 + 4x ไดดังรูป x4xy 2 += 2 0 2 0 4 2 _--4 _- -5 1 X Y Y -1 1 2 1 -1 0 2 3 y x 1= + 2 y x 2x= − + X
  • 42. 102 จาก x4x)x(f 2 += ให A เปนพื้นที่ปดลอมดวยกราฟของ x4xy 2 += กับแกน X จาก x = –5 ถึง x = 1 A = −∫ − − 4 5 dx)x(f +∫ − 0 4 dx)x(f ∫ 1 0 dx)x(f = )x2 3 x ( 2 3 + – ( )x2 3 x ( 2 3 + ) + )x2 3 x ( 2 3 + 3 7 3 32 3 7 ++= 3 46 = ตารางหนวย เฉลยแบบฝกหัด 2.1 ก 1. (1) x 4 x 2 lim x 4→ − − = 0.25 หรือ 4 1 ดังตาราง x 3.9 3.99 3.999 x 4.001 4.01 4.1 f(x) 0.25158 0.25016 0.25002 f(x) 0.24998 0.24984 0.24846 (2) 2x 2 x 2 lim x x 6→ − + − = 0.2 หรือ 5 1 ดังตาราง x 1.9 1.99 1.999 x 2.001 2.01 2.1 f(x) 0.20408 0.20040 0.20004 f(x) 0.19996 0.19960 0.19608 (3) 3x 1 x 1 lim x 1→ − − = 0.33 หรือ 3 1 ดังตาราง x 0.9 0.99 0.999 x 1.001 1.01 1.1 f(x) 0.36900 0.33669 0.33367 f(x) 0.33300 0.33002 0.30211 (4) x x 0 e 1 lim x→ − = 1 ดังตาราง x –0.1 –0.01 –0.001 x 0.001 0.01 0.1 f(x) 0.95163 0.99502 0.99950 f(x) 1.00050 1.00502 1.05171 –4 –5 0 –4 1 0
  • 43. 103 (5) x 0 sin x lim x→ = 1 ดังตาราง x 1 0.5 0.1 0.05 0.01 f(x) 0.84147 0.95885 0.99833 0.99958 0.99998 x –1 –0.5 –0.1 –0.05 –0.01 f(x) 0.84147 0.95885 0.99833 0.99958 0.99998 (6) xlnxlim 0x +→ = 0 ดังตาราง x 0.1 0.01 0.001 0.0001 0.00001 f(x) –0.23026 –0.04605 –0.00691 –0.00092 –0.00012 2. (1) x 1 lim f (x) −→ = 2 (2) x 1 lim f(x) +→ = 3 (3) เนื่องจาก x 1 lim f (x) −→ ≠ x 1 lim f (x) +→ ดังนั้น x 1 lim f (x) → หาคาไมได (4) เนื่องจาก x 5 lim f (x) −→ = x 5 lim f (x) +→ = 4 ดังนั้น x 5 lim f (x) → = 4 (5) f(5) ไมนิยาม 3. (1) เนื่องจาก x 0 lim f (x) −→ = x 0 lim f(x) +→ = 3 ดังนั้น x 0 lim f (x) → = 3 (2) x 3 lim f (x) −→ = 4 (3) x 3 lim f (x) +→ = 2
  • 44. 104 (4) เนื่องจาก x 3 lim f (x) −→ ≠ x 3 lim f (x) +→ ดังนั้น x 3 lim f (x) → หาคาไมได (5) f(3) = 3 4. (1) )t(glim 0t −→ = –1 (2) )t(glim 0t +→ = –2 (3) เนื่องจาก )t(glim 0t −→ ≠ t 0 lim g(t) +→ ดังนั้น )t(glim 0t→ หาคาไมได (4) t 2 lim g(t)−→ = 2 (5) )t(glim 2t +→ = 0 (6) เนื่องจาก t 2 lim g(t)−→ ≠ )t(glim 2t +→ ดังนั้น )t(glim 2t→ หาคาไมได (7) g(2) = 1 (8) เนื่องจาก t 4 lim g(t) −→ = t 4 lim g(t) +→ = 3 ดังนั้น t 4 lim g(t) → = 3 5. (1) x 1 lim f (x) −→ = –1 (2) )x(flim 1x +→ = 0 (3) เนื่องจาก x 1 lim f (x) −→ ≠ )x(flim 1x +→ ดังนั้น )x(flim 1x→ หาคาไมได
  • 45. 105 6. (1) x 2 lim f (x)−→ = 2 (2) x 2 lim f (x)+→ = –2 (3) เนื่องจาก x 2 x 2 lim f (x) lim− +→ → ≠ f(x) ดังนั้น x 2 lim f (x) → หาคาไมได (4) )x(flim 2x −−→ = 0 (5) )x(flim 2x +−→ = 0 (6) เนื่องจาก )x(flim 2x −−→ = )x(flim 2x +−→ = 0 ดังนั้น )x(flim 2x −→ = 0 7. (1) x 4 lim (1 x) −→ + เขียนกราฟของฟงกชัน f(x) = 1 + x ไดดังนี้ จากกราฟ จะไดวา x 4 lim f (x) −→ = 5 0 2 4 6-2 -2 2 4 6 X Y y = 1+ x
  • 46. 106 (2) x 2 lim f (x) → เมื่อ f(x) = เขียนกราฟของฟงกชัน f(x) ไดดังนี้ จากกราฟ จะไดวา x 2 lim f (x)−→ = 3 x 2 lim f (x)+→ = 2 ดังนั้น x 2 lim f (x) → หาคาไมได เฉลยแบบฝกหัด 2.1 ข 1. (1) 2 x 0 lim (3x 7x 12) → + − = 2 x 0 x 0 x 0 lim 3x lim 7x lim 12 → → → + − = 2 x 0 x 0x 0 3 lim x 7lim x lim 12 → →→ + − = 3(0)2 + 7(0) – 12 = –12 ดังนั้น 2 x 0 lim (3x 7x 12) → + − = –12 (2) 5 x 1 lim (x 2x) →− − = 5 x 1 x 1 lim x lim 2x →− →− − = xlim2xlim 1x1x 5 −→−→ − = (–1)5 – 2(–1) x + 1, x ≤ 2 2, x > 2 0 2 4 6-2 -2 2 4 6 X Y f(x)
  • 47. 107 = –1 + 2 = 1 ดังนั้น 5 x 1 lim (x 2x) →− − = 1 (3) 5 x 5 lim (x )(x 2) → − = 5 x 5 x 5 lim x lim (x 2) → → ⋅ − = (55 )(5 – 2) = 9,375 ดังนั้น 5 x 5 lim (x )(x 2) → − = 9,375 (4) 2 x 1 lim (x 3)(x 2) →− + + = 2 x 1 x 1 lim (x 3) lim (x 2) →− →− + ⋅ + = (–1 + 3)((–1)2 + 2) = (2)(3) = 6 ดังนั้น 2 x 1 lim (x 3)(x 2) →− + + = 6 (5) x 3 x 1 lim 2x 5→ +⎡ ⎤ ⎢ ⎥−⎣ ⎦ = )5x2(lim )1x(lim 3x 3x − + → → = 3 1 2(3) 5 + − = 4 ดังนั้น x 3 x 1 lim 2x 5→ +⎡ ⎤ ⎢ ⎥−⎣ ⎦ = 4 (6) 2 x 5 x 25 lim x 5→− ⎡ ⎤− ⎢ ⎥ +⎣ ⎦ = ⎥ ⎦ ⎤ ⎢ ⎣ ⎡ + +− −→ )5x( )5x)(5x( lim 5x = x 5 lim (x 5) →− − = –5 – 5 = –10 ดังนั้น 2 x 5 x 25 lim x 5→− ⎡ ⎤− ⎢ ⎥ +⎣ ⎦ = –10 (7) 2x 1 x 1 lim x x 2→ +⎡ ⎤ ⎢ ⎥⎣ − − ⎦ = x 1 2 x 1 lim(x 1) lim(x x 2) → → + − −
  • 48. 108 = 2 1 1 1 1 2 + − − = 2 ( 2)− = –1 ดังนั้น 2x 1 x 1 lim x x 2→ +⎡ ⎤ ⎢ ⎥⎣ − − ⎦ = –1 (8) 2 2x 1 x x 2 lim x 4x 3→ ⎡ ⎤− − ⎢ ⎥ + +⎢ ⎥⎣ ⎦ = 2 x 1 2 x 1 lim(x x 2) lim(x 4x 3) → → − − + + = 2 2 1 1 2 1 4(1) 3 − − + + = 8 2 − = 1 4 − ดังนั้น 2 21x x x 2 lim x 4x 3→ ⎡ ⎤− − ⎢ ⎥ + +⎣ ⎦ = 1 4 − (9) x 1 1 x lim 1 x→ ⎡ ⎤− ⎢ ⎥ −⎣ ⎦ = ⎥ ⎦ ⎤ ⎢ ⎣ ⎡ − − → 2 )x(1 x1 lim 1x = ⎥ ⎦ ⎤ ⎢ ⎣ ⎡ +− − → )x1)(x1( x1 lim 1x = ⎥ ⎦ ⎤ ⎢ ⎣ ⎡ +→ x1 1 lim 1x = 1 1 1+ = 1 2 ดังนั้น x 1 1 x lim 1 x→ ⎡ ⎤− ⎢ ⎥ −⎣ ⎦ = 1 2 (10) x 9 3 x lim 9 x→ ⎡ ⎤− ⎢ ⎥ −⎣ ⎦ = ⎥ ⎦ ⎤ ⎢ ⎣ ⎡ − − → 2 )x(9 x3 lim 9x = ⎥ ⎦ ⎤ ⎢ ⎣ ⎡ +− − → )x3)(x3( x3 lim 9x = ⎥ ⎦ ⎤ ⎢ ⎣ ⎡ +→ x3 1 lim 9x
  • 49. 109 = 1 3 9+ = 1 6 ดังนั้น x 9 3 x lim 9 x→ ⎡ ⎤− ⎢ ⎥ −⎣ ⎦ = 1 6 (11) x 1 2 x 3 lim x 1→ ⎡ ⎤− + ⎢ ⎥ −⎣ ⎦ = ⎥ ⎦ ⎤ ⎢ ⎣ ⎡ ++ ++ ⋅⎥ ⎦ ⎤ ⎢ ⎣ ⎡ − +− → 3x2 3x2 1x 3x2 lim 1x = ⎥ ⎦ ⎤ ⎢ ⎣ ⎡ ++− +− → )3x2)(1x( )3x(4 lim 1x = ⎥ ⎦ ⎤ ⎢ ⎣ ⎡ ++− − → )3x2)(1x( x1 lim 1x = ⎥ ⎦ ⎤ ⎢ ⎣ ⎡ ++ − → 3x2 1 lim 1x = 1 2 1 3 − + + = 1 4 − ดังนั้น x 1 2 x 3 lim x 1→ ⎡ ⎤− + ⎢ ⎥ −⎣ ⎦ = 1 4 − (12) 3 22 )1x(lim 0x − → = 3 22 )1x(lim 0x + → = 3 22 ))1x(lim( 0x + → = 3 2 )1(− = 1 ดังนั้น 3 22 )1x(lim 0x − → = 1 2. (1) x 4 x 4 lim x 4−→− + + เนื่องจาก x < –4 และ x เขาใกล –4 ดังนั้น x 4 x 4 lim x 4−→− + + = x 4 (x 4) lim (x 4)−→− − + + = x 4 lim ( 1) −→− − = –1
  • 50. 110 (2) 2 x 1.5 2x 3x lim 2x 3→ − − จาก f(x) = 2 2x 3x 2x 3 − − จะไดวา 2 x 1.5 2x 3x lim 2x 3−→ ⎡ ⎤− ⎢ ⎥ −⎢ ⎥⎣ ⎦ = x 1.5 x(2x 3) lim (2x 3)−→ ⎡ ⎤− − ⎢ ⎥−⎣ ⎦ = x 1.5 lim ( x) −→ − = –1.5 2 x 1.5 2x 3x lim 12x 31+→ ⎡ ⎤− ⎢ ⎥ −⎢ ⎥⎣ ⎦ = x 1.5 x(2x 3) lim (2x 3)+→ ⎡ ⎤− − ⎢ ⎥−⎣ ⎦ = x 1.5 lim x+→ = 1.5 ดังนั้น 2 x 1.5 2x 3x lim 2x 3→ − − หาคาไมได (3) x 0 1 1 lim x x+→ ⎡ ⎤ −⎢ ⎥ ⎣ ⎦ เนื่องจาก x > 0 และ x เขาใกล 0 ดังนั้น x 0 1 1 lim x x+→ ⎡ ⎤ −⎢ ⎥ ⎣ ⎦ = x 0 1 1 lim x x+→ ⎡ ⎤ −⎢ ⎥⎣ ⎦ = x 0 lim 0 +→ = 0 (4) x 4 lim x 4 →− + จาก f(x) = x 4+ = จะไดวา x 4 lim x 4 −→− + = x 4 lim (x 4) −→− − + = –(–4 + 4) = 0 x 4+ เมื่อ x 4≥ − (x 4)− + เมื่อ x 4< − 2 2x 3x 2x 3 − − เมื่อ 3 x 2 ≥ 2 2x 3x (2x 3) − − − เมื่อ 3 x 2 <
  • 51. 111 4xlim 4x + +−→ = x 4 lim x 4+→− + = –4 + 4 = 0 ดังนั้น x 4 lim x 4 →− + = 0 (5) x 2 x 2 lim x 2→ − − ดังนั้น x 2 x 2 lim x 2−→ − − = )2x( )2x( lim 2x − −− −→ = x 2 lim ( 1) −→ − = –1 x 2 x 2 lim x 2+→− − − = 2x 2x lim 2x − − +→ = x 2 lim 1 +→ = 1 ดังนั้น x 2 x 2 lim x 2→ − − หาคาไมได (6) x 0 1 1 lim x x−→ ⎡ ⎤ −⎢ ⎥ ⎣ ⎦ เนื่องจาก x < 0 และ x เขาใกล 0 ดังนั้น x 0 1 1 lim x x−→ ⎡ ⎤ −⎢ ⎥ ⎣ ⎦ = x 0 1 1 lim x x−→ ⎡ ⎤⎛ ⎞ − −⎜ ⎟⎢ ⎥ ⎝ ⎠⎣ ⎦ = x 0 1 1 lim x x−→ ⎡ ⎤ +⎢ ⎥⎣ ⎦ = x 0 2 lim x−→ ดังนั้น x 0 1 1 lim x x−→ ⎡ ⎤ −⎢ ⎥ ⎣ ⎦ หาคาไมได 3. (1) x 2 lim f(x) −→ เนื่องจาก x < 2 ดังนั้น x 2 lim f(x) −→ = x 2 lim (x 1) −→ − = 2 – 1 = 1
  • 52. 112 (2) x 2 lim f (x) +→ เนื่องจาก x > 2 ดังนั้น x 2 lim f (x) +→ = 2 x 2 lim (x 4x 6) +→ − + = (2)2 – 4(2) + 6 = 2 (3) เนื่องจาก x 2 lim f(x) −→ ≠ x 2 lim f (x) +→ ดังนั้น )x(flim 2x→ หาคาไมได 4. (1) x 0 lim f(x) +→ เนื่องจาก x > 0 และ x เขาใกล 0 ดังนั้น x 0 lim f(x) +→ = 2 x 0 lim x +→ = 02 = 0 (2) x 0 lim f (x) −→ = x 0 lim x −→ = 0 (3) เนื่องจาก x 0 lim f (x) +→ = x 0 lim f (x) −→ = 0 ดังนั้น 0)x(flim 0x = → (4) x 2 lim f (x)−→ = 2 x 2 lim x−→ = 22 = 4 (5) x 2 lim f (x)+→ = x 2 lim 8 x+→ − = 8 – 2 = 6 (6) x 2 lim f (x) → เนื่องจาก x 2 lim f (x)−→ ≠ x 2 lim f (x)+→ ดังนั้น x 2 lim f (x) → หาคาไมได
  • 53. 113 เฉลยแบบฝกหัด 2.2 1. (1) f(x) = 3x – 1 ที่ x = 0 จะได f(0) = 3(0) – 1 = –1 และ x 0 lim f (x) → = x 0 lim (3x 1) → − = 3(0) – 1 = –1 นั่นคือ x 0 lim f (x) → = f(0) ดังนั้น ฟงกชัน f เปนฟงกชันตอเนื่องที่ x = 0 (2) f(x) = 2 x 4 x 16 − − ที่ x = 4 เนื่องจาก f(4) ไมนิยาม ดังนั้น ฟงกชัน f เปนฟงกชันไมตอเนื่องที่ x = 4 (3) f(x) = 2 3 x 1 x 1 − − ที่ x = 1 เนื่องจาก f(1) ไมนิยาม ดังนั้น ฟงกชัน f เปนฟงกชันไมตอเนื่องที่ x = 1 (4) f(x) = x ที่ x = 0 จะได f(x) = จาก f(x) = x ดังนั้น f(0) = 0 ------------ (1) เนื่องจาก x 0 lim f (x)−→ = x 0 lim f (x)+→ = 0 ดังนั้น x 0 lim f (x) → = 0 ------------ (2) จาก (1) และ (2) จะไดวา x 0 lim f (x) → = f(0) ดังนั้น ฟงกชัน f เปนฟงกชันตอเนื่องที่ x = 0 (5) f(x) = x 1 x 1 + + ที่ x = –1 เนื่องจาก f(–1) ไมนิยาม ดังนั้น ฟงกชัน f ไมตอเนื่องที่ x = –1 x เมื่อ x ≥ 0 –x เมื่อ x < 0
  • 54. 114 2. (1) f(x) = พิจารณาที่จุด x = 1 จะได f(1) = 7(1) – 2 = 5 และ x 1 lim f (x)−→ = x 1 lim (7x 2)−→ − = 7(1) – 2 = 5 x 1 lim f (x)+→ = 2 x 1 lim kx+→ = k(1)2 = k เนื่องจาก ฟงกชันนี้จะตอเนื่อง เมื่อ x 1 lim f (x)−→ = x 1 lim f (x)+→ = f(1) ดังนั้น k = 5 (2) f(x) = พิจารณาที่จุด x = 2 จะได f(2) = k(22 ) = 4k และ x 2 lim f (x)−→ = 2 x 2 lim kx−→ = 4k x 2 lim f (x)+→ = x 2 lim (2x k)+→ + = 4 + k เนื่องจาก f เปนฟงกชันตอเนื่อง จะได 4k = 4 + k 3k = 4 ดังนั้น k = 4 3 7x – 2 เมื่อ x ≤ 1 kx2 เมื่อ x > 1 2x + k เมื่อ x > 2 kx2 เมื่อ x ≤ 2
  • 55. 115 เฉลยแบบฝกหัด 2.3 1. (1) y = x2 – 3x ที่จุด (3, 0) ความชันของเสนโคงที่จุด (3, 0) เทากับ h 0 f (3 h) f (3) lim h→ + − = 2 h 0 (3 h) 3(3 h) 0 lim h→ + − + − = 2 h 0 9 6h h 9 3h lim h→ + + − − = 2 h 0 h 3h lim h→ + = h 0 h(h 3) lim h→ + = 3 ดังนั้น ความชันของเสนโคงที่จุด (3, 0) เทากับ 3 สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (3, 0) คือ y – 0 = 3(x – 3) y = 3x – 9 3x – y – 9 = 0 ดังนั้น สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (3, 0) คือ 3x – y – 9 = 0 (2) y = 5x2 – 6 ที่จุด (2, 14) ความชันของเสนโคงที่จุด (2, 14) เทากับ h 0 f (2 h) f (2) lim h→ + − = 2 h 0 5(2 h) 6 14 lim h→ + − − = 2 h 0 5(4 4h h ) 20 lim h→ + + − = h 20h5h2020 lim 2 0h −++ → = h )20h5(h lim 0h + → = 20 ดังนั้น ความชันของเสนโคงที่จุด (2, 14) เทากับ 20 สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (2, 14) คือ y – 14 = 20(x – 2) y – 14 = 20x – 40
  • 56. 116 20x – y – 26 = 0 ดังนั้น สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (2, 14) คือ 20x – y – 26 = 0 (3) y = x – x2 ที่จุดซึ่ง x = 1 2 เมื่อ x = 1 2 จะได y = 21 1 ( ) 2 2 − = 1 1 1 2 4 4 − = ความชันของเสนโคงที่จุด 1 1 ( , ) 2 4 เทากับ h 0 1 1 f ( h) f ( ) 2 2lim h→ + − = 2 h 0 1 1 1 ( h) ( h) 2 2 4lim h→ + − + − = 2 h 0 1 1 1 ( h) ( h h ) 2 4 4lim h→ + − + + − = 2 h 0 h lim h→ − = 0 ดังนั้น ความชันของเสนโคงที่จุด 1 1 ( , ) 2 4 เทากับ 0 สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด 1 1 ( , ) 2 4 คือ y – 1 4 = 1 0(x ) 2 − y – 1 4 = 0 ดังนั้น สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุดซึ่ง 2 1 x = คือ y – 1 4 = 0 (4) y = 2 x 2 x + ที่จุดซึ่ง x = 1 เมื่อ x = 1 จะได y = 2 1 2 1 + = 3 ความชันของเสนโคงที่จุด (1, 3) เทากับ h 0 f (1 h) f (1) lim h→ + − = 2 h 0 (1 h) 2 3 1 hlim h→ ⎡ ⎤+ + −⎢ ⎥+⎢ ⎥ ⎢ ⎥ ⎢ ⎥⎣ ⎦ = 2 h 0 (1 h) 2 3(1 h) lim h(1 h)→ + + − + +
  • 57. 117 = 2 h 0 1 2h h 2 3 3h lim h(1 h)→ + + + − − + = 2 h 0 h h lim h(1 h)→ − + = h 0 h(h 1) lim h(1 h)→ − + = h 0 h 1 lim 1 h→ − + = –1 ดังนั้น ความชันของเสนโคงที่จุด (1, 3) เทากับ –1 สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (1, 3) คือ y – 3 = –1(x – 1) x + y – 4 = 0 ดังนั้น สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุดซึ่ง x = 1 คือ x + y – 4 = 0 (5) y = 1 + 2x – 3x2 ที่จุด (1, 0) ความชันของเสนโคงที่จุด (1, 0) เทากับ h 0 f (1 h) f (1) lim h→ + − = 2 h 0 (1 2(1 h) 3(1 h) ) 0 lim h→ + + − + − = 2 h 0 1 2 2h 3(1 2h h ) lim h→ + + − + + = h h3h63h23 lim 2 0h −−−+ → = 2 h 0 4h 3h lim h→ − − = h 0 h(3h 4) lim h→ − + = – 4 ดังนั้น ความชันของเสนโคงที่จุด (1, 0) คือ – 4 สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (1, 0) คือ y – 0 = – 4(x – 1) 4x + y = 4 ดังนั้น สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (1, 0) คือ 4x + y – 4 = 0 (6) y = 6 x 1+ ที่จุด (2, 2) ความชันของเสนโคงที่จุด (2, 2) เทากับ h 0 f (2 h) f (2) lim h→ + −
  • 58. 118 = h 2 1)h2( 6 lim 0h − ++ → = h 0 6 2(h 3) lim h(h 3)→ − + + = h 0 6 2h 6 lim h(h 3)→ − − + = 3h 2 lim 0h + − → = 2 3 − ดังนั้น ความชันของเสนโคงที่จุด (2, 2) คือ 2 3 − สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (2, 2) คือ y – 2 = 2 (x 2) 3 − − 3y – 6 = –2x + 4 2x + 3y – 10 = 0 ดังนั้น สมการของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (2, 2) คือ 2x + 3y – 10 = 0 2. เนื่องจากเสนตรง y = ax มีความชันเทากับ a ถาเสนตรง y = ax ขนานกับเสนสัมผัสเสนโคง y = 3x2 + 8 แสดงวา เสนตรงกับเสนสัมผัสเสนโคงมีความชันเทากัน เนื่องจาก ความชันของเสนโคงที่จุด (1, 11) เทากับ h 0 f (1 h) f (1) lim h→ + − = 2 h 0 3(1 h) 8 11 lim h→ + + − = 2 h 0 3(1 2h h ) 3 lim h→ + + − = 2 h 0 3 6h 3h 3 lim h→ + + − = h 0 h(3h 6) lim h→ + = h 0 lim (3h 6) → + = 6 ดังนั้น ความชันของเสนโคงที่จุด (1, 11) คือ 6 ดังนั้น a = 6
  • 59. 119 เฉลยแบบฝกหัด 2.4 1. (1) f(x) = 3x2 f′(x) = h 0 f (x h) f (x) lim h→ + − = 2 2 h 0 3(x h) 3x lim h→ + − = 2 2 2 h 0 3x 6xh 3h 3x lim h→ + + − = h 0 lim6x 3h → + = 6x ดังนั้น f′(x) = 6x (2) f(x) = x2 – x f′(x) = h 0 f (x h) f (x) lim h→ + − = 2 2 h 0 (x h) (x h) (x x) lim h→ + − + − − = 2 h 0 2xh h h lim h→ + − = h 0 lim2x h 1 → + − = 2x – 1 ดังนั้น f′(x) = 2x – 1 (3) f(x) = x3 f′(x) = h 0 f (x h) f (x) lim h→ + − = 3 3 h 0 (x h) x lim h→ + − = 2 2 3 h 0 3x h 3xh h lim h→ + + = 2 2 h 0 lim3x 3xh h → + + = 3x2 ดังนั้น f′(x) = 3x2 (4) f(x) = 2x3 + 1 f′(x) = h 0 f (x h) f (x) lim h→ + −
  • 60. 120 = 3 3 h 0 2(x h) 1 (2x 1) lim h→ + + − + = 2 2 3 h 0 6x h 6xh 2h lim h→ + + = 2 2 h 0 lim6x 6xh 2h → + + = 6x2 ดังนั้น f′(x) = 6x2 (5) f(x) = 1 x f′(x) = h 0 f (x h) f (x) lim h→ + − = h 0 1 1 (x h) x lim h→ − + = h 0 1 h lim h x(x h)→ ⎛ ⎞ −⎜ ⎟ +⎝ ⎠ = h 0 1 lim x(x h)→ − + = 2 1 x − ดังนั้น f′(x) = 2 1 x − (6) f(x) = 2 1 x f′(x) = h 0 f (x h) f (x) lim h→ + − = 2 2 h 0 1 1 (x h) x lim h→ − + = 2 4 3 2 2h 0 1 2xh h lim h x 2x h x h→ ⎛ ⎞+ −⎜ ⎟ + +⎝ ⎠ = 4 3 2 2h 0 2x h lim x 2x h x h→ + − + + = 3 2 x − ดังนั้น f′(x) = 3 2 x − (7) f(x) = 1 3 x f′(x) = h 0 f (x h) f (x) lim h→ + −
  • 61. 121 = 1 1 3 3 h 0 (x h) x lim h→ + − = 1 1 2 1 1 2 3 3 3 3 3 3 2 1 1 2h 0 3 3 3 3 (x h) x (x h) (x h) x x lim h (x h) (x h) x x → + − + + + + ⋅ + + + + = 2 1 1 2h 0 3 3 3 3 (x h) x lim h[(x h) (x h) x x ] → + − + + + + = h 0 2 1 1 2 3 3 3 3 1 lim (x h) (x h) x x → + + + + = 2 3 1 3x ดังนั้น f′(x) = 2 3 1 3x 2. สมการเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (2, 5) คือ 5y − = )2x)(2(f −′ y = )2x)(2(f −′ + 5 จากสมการเสนสัมผัสเสนโคงที่โจทยกําหนดให คือ yx3 − = 1 y = 3x – 1 ดังนั้น 5)2x)(2(f +−′ = 1x3 − )2(f ′ = 2x )2x(3 − − = 3 3. จุดสัมผัส คือ จุด (3, –1) ความชันของเสนโคง y = f(x) ที่จุด (3, –1) เทากับ f′(3) = 5 จะได สมการของเสนสัมผัสเสนโคง คือ y – (–1) = 5(x – 3) y + 1 = 5x – 15 5x – y – 16 = 0 ดังนั้น สมการของเสนสัมผัสเสนโคง y = f(x) ที่จุด x = 3 คือ 5x – y – 16 = 0
  • 62. 122 4. ให f(r) = πr2 (1) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของพื้นที่วงกลมเทียบกับความยาวของรัศมี เมื่อความยาวของรัศมี เปลี่ยนจาก r เปน r + h คือ f (r h) f (r) h + − = ( )2 21 (r h) r h π + − π = 21 (2rh h ) h ⋅π + = 2 r hπ + π ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร (2) อัตราการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่วงกลมเทียบกับความยาวของรัศมีขณะรัศมียาว r เซนติเมตร คือ h )r(f)hr(f lim 0h −+ → = h 0 lim (2r h) → π + = h 0 lim2r h → π + = 2 rπ ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร 5. ให f(x) แทนพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มีความยาวของดานเทากับ x ดังนั้น f(x) = x2 (1) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเทียบกับความยาวของดาน ในชวงดานยาว x เซนติเมตร ถึงดานยาว x + h เซนติเมตร คือ f (x h) f (x) h + − = 2 2 (x h) x h + − = 2 2xh h h + = 2x + h ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเทียบกับความยาวของดานในชวง x = 10 ถึง x = 12 เทากับ 2(10) + 2 = 22 ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร (2) อัตราการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเทียบกับความยาวของดาน ในขณะดานยาว x เซนติเมตร คือ h 0 f (x h) f (x) lim h→ + − = h 0 lim2x h → + = 2x ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมเทียบกับความยาวของดาน ในขณะดานยาว 10 เซนติเมตร เทากับ 2(10) = 20 ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร
  • 63. 123 6. ให f(x) แทนพื้นที่รูปสามเหลี่ยมดานเทาที่มีความยาวของดานเทากับ x ดังนั้น f(x) = 23 x 4 (1) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของพื้นที่รูปสามเหลี่ยมดานเทาเทียบกับความยาวของดานใน ชวงดานยาว x เซนติเมตร คือ x + h เซนติเมตร คือ f (x h) f (x) h + − = 2 21 3 3 ( (x h) x ) h 4 4 + − = 21 3 ( (2xh h )) h 4 + = 3 (2x h) 4 + ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของพื้นที่รูปสามเหลี่ยมดานเทาเทียบกับความยาวของดาน ในชวง x = 10 ถึง x = 9 เทากับ 3 (2(10) ( 1)) 4 + − = )120( 4 3 − = 19 3 4 ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร (2) อัตราการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่รูปสามเหลี่ยมดานเทาเทียบกับความยาวของดานในขณะ ดานยาว x เซนติเมตร คือ h 0 f (x h) f (x) lim h→ + − = h 0 3 lim (2x h) 4→ + = 3 x 2 ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่รูปสามเหลี่ยมดานเทาเทียบกับความยาวของดาน ในขณะดานยาว 10 เซนติเมตร เทากับ 3 (10) 2 = 5 3 ตารางเซนติเมตร / เซนติเมตร 7. ให N = f(t) = 8 t 1+ อัตราการเปลี่ยนแปลงในขณะเวลา t ใด ๆ คือ h 0 f (t h) f (t) lim h→ + − = h 0 8 8 (t h) 1 t 1 lim h→ − + + + = ⎥ ⎦ ⎤ ⎢ ⎣ ⎡ ++++ − → 1hhtt2t h8 h 1 lim 20h = 2 8 t 2t 1 − + +
  • 64. 124 ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงในขณะเวลา t = 3 เทากับ 2 8 3 2(3) 1 − + + = 1 2 − กรัม / นาที 8. จากสมการ PV = 6000 เมื่อ P เปนความดัน V เปนปริมาตร จะได P = 6000 V อัตราการเปลี่ยนแปลงของ P ขณะมีปริมาตร V ใด ๆ คือ h 0 f (V h) f (V) lim h→ + − = h 0 6000 6000 V h Vlim h→ − + = h 0 1 6000h lim [ ] h V(V h)→ − + = 2 6000 V − ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงของ P ในขณะ V = 100 เทากับ 2 6000 100 − = –0.6 กรัม / ตารางเซนติเมตร / ลูกบาศกเซนติเมตร 9. ให y = f(x) = 2x2 – 3 อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x ถึง x + h คือ f (x h) f (x) h + − = 2 2 2(x h) 3 (2x 3) h + − − − = 2 4xh 2h h + = 4x + 2h (1) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x = 2 ถึง x = 2.2 เทากับ 4(2) + 2(0.2) = 8.4 (2) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x = 2 ถึง x = 2.1 เทากับ 4(2) + 2(0.1) = 8.2 (3) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x = 2 ถึง x = 2.01 เทากับ 4(2) + 2(0.01) = 8.02 (4) อัตราการเปลี่ยนแปลงของ y เทียบกับ x ในขณะ x ใด ๆ h 0 f (x h) f (x) lim h→ + − = h 0 lim 4x 2h → + = 4x ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงของ y เทียบกับ x ในขณะ x = 2 เทากับ 4(2) = 8
  • 65. 125 10. ให y = f(x) = 1 x อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x ถึง x + h คือ f (x h) f (x) h + − = 1 1 1 h (x h) x ⎡ ⎤ −⎢ ⎥+⎣ ⎦ = 1 x (x h) h x(x h) ⎡ ⎤− + ⎢ ⎥+⎣ ⎦ = 2 1 x xh − + (1) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x = 4 ถึง x = 5 เทากับ 2 1 4 4(1) − + = 1 20 − (2) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x = 4 ถึง x = 4.1 เทากับ 2 1 4 4(0.1) − + = 5 82 − (3) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในชวง x = 4 ถึง x = 4.01 เทากับ 2 1 4 4(0.01) − + = 25 401 − (4) อัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของ y เทียบกับ x ในขณะ x ใด ๆ คือ h 0 f (x h) f (x) lim h→ + − = 2h 0 1 lim x xh→ − + = 2 1 x − ดังนั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงของ y เทียบกับ x ในขณะ x = 4 เทากับ 1 16 − 11. ปริมาตรของกรวยกลมตรง = 21 x y 3 π เมื่อ x เปนรัศมีของฐานของกรวยกลมตรง y เปนความสูงของกรวยกลมตรง (1) อัตราการเปลี่ยนแปลงของปริมาตรของกรวยกลมตรงเทียบกับรัศมีของฐาน (x) เมื่อสวนสูง (y) คงตัว คือ h 0 f (x h) f (x) lim h→ + − = 2 2 h 0 1 1 (x h) y x y 3 3lim h→ π + − π − = 2 h 0 y lim (2xh h ) 3h→ π + = h 0 y lim (2x h) 3→ π + = 2 xy 3 π หนวยปริมาตร / หนวยความยาว
  • 66. 126 (2) อัตราการเปลี่ยนแปลงของปริมาตรของกรวยกลมตรงเทียบกับสวนสูง (y) เมื่อรัศมีของฐานคงตัว (x) คือ h 0 f (y h) f(y) lim h→ + − = 2 2 h 0 1 1 x (y h) x y 3 3lim h→ π + − π = 2 h 0 x lim h 3h→ π ⋅ = 2 h 0 x lim 3→ π = 2 x 3 π หนวยปริมาตร / หนวยความยาว 12. จากสมการ r = 2 k s เมื่อ k > 0 เปนคาคงตัว อัตราการเปลี่ยนแปลงของ r เทียบกับ s ในขณะ s ใด ๆ คือ h 0 f (s h) f (s) lim h→ + − = 2 2 h 0 k k (s h) s lim h→ − + = 2 2 2 2h 0 1 ks k(s h) lim h s (s h)→ ⎡ ⎤− + ⎢ ⎥ +⎢ ⎥⎣ ⎦ = 2 2 4 3 2h 0 1 2skh kh lim h s 2s h s h→ ⎡ ⎤− − ⎢ ⎥ + +⎢ ⎥⎣ ⎦ = 4 3 2 2h 0 2sk kh lim s 2s h s h→ − − + + = 3 2k s − เฉลยแบบฝกหัด 2.5 1. (1) dy dx = 0 (2) dy dx = 2 1 3x 3 + (3) dy dx = 3x2 – 3 (4) dy dx = –10x + 1 + 1 x + 3 1 2 x (5) ds dt = 20t4 – 6t + 1
  • 67. 127 (6) ds dt = 12t2 + 18t + 1 (7) dy dx = 3x2 + 6x + 2 (8) dy dx = –4x3 + 12x2 – 6x + 12 (9) dy dx = 3x2 + 1 (10) dy dx = 2 2 2x x − (11) dy dx = 2 2 18x (3x 1) − + (12) dy dx = 2 6 (1 3x)− (13) ds dt = 2 1 12 t + (14) dy dx = 2 2 3 5 4 3x x x − + (15) ds dt = 9 2 1 3 2 2 55t 1 3 2 2t 2t + + (16) dy dx = 6x + 3 – 2 3 27 54 x x − (17) dy dx = 2 2 2 4x 2x 20 (x 5) − − − − (18) dy dx = 72 6 2 15 12 xx x − − − (19) dy dx = 3 1 2 2 3 2x 8x 8x − + + (20) dy dx = 2 23678 )1x( x2x2x2x14x4x14 + +−−−+
  • 68. 128 2. (1) f(x) = 3 1 2x x − f′(x) = 2 3 2 1 6x 2x + f′(1) = 1 6 2 + = 13 2 (2) f(x) = 5 3 21 1 1 x x x 4x 5 5 3 2 − + − + f′(x) = 4 2 x x x 4− + − f′(1) = 1 – 1 + 1 – 4 = –3 (3) f(x) = (2x2 – 3x + 1)(x – x2 ) f′(x) = –8x3 + 15x2 – 8x + 1 f′(–1) = 8 + 15 + 8 + 1 = 32 (4) f(x) = 2x 1 x 1 − + f′(x) = 2 3 x 2x 1+ + f′(2) = 3 9 = 1 3 3. (1) g(x) = xf (x) g′(x) = 1 x f (x) f(x) 2 x ′⋅ + ⋅ g′(4) = 1 4 f (4) f(4) 2 4 ′⋅ + ⋅ g′(4) = 3 10 4 − + = 37 4 − (2) g(x) = f(x) x g′(x) = 2 x f (x) f (x) x ′⋅ − g′(4) = 2 4 )4(f)4(f4 −′⋅ g′(4) = 23 16 −
  • 69. 129 4. จาก y = x3 – 5x + 2 จะได dy dx = 3x2 – 5 ดังนั้น ความชันของเสนสัมผัสโคงที่จุด (2, 0) เทากับ 3(2)2 – 5 = 7 5. จาก y = –4x + 2x2 – 3x4 จะได dy dx = –4 + 4x – 12x3 นั่นคือ ความชันของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (1, –5) เทากับ –4 + 4(1) – 12(1)3 = –12 ดังนั้น สมการของเสนตรงซึ่งสัมผัสเสนโคง ที่จุด (1, –5) คือ y – (–5) = –12(x – 1) y + 5 = –12x + 12 12x + y – 7 = 0 6. จาก y = –x + x2 จะได dy dx = –1 + 2x เนื่องจาก ความชันของเสนโคง ที่จุด (a, b) เทากับ 3 จะได 3 = –1 + 2a a = 2 จาก y = –x + x2 จะได b = –2 + 22 b = 2 ดังนั้น a = 2 และ b = 2 7. จาก s = t3 – 2t + 5 จะได ds dt = 3t2 – 2 นั่นคือ ความเร็วของวัตถุในขณะเวลา t ใด ๆ คือ 3t2 – 2 ดังนั้น ความเร็วของวัตถุในขณะเวลา t = 10 วินาที เทากับ 3(10)2 – 2 = 298 เมตร / วินาที 8. ถาเสนตรง y = mx + c ขนานกับเสนสัมผัสเสนโคง y = 3x2 – 5 ที่จุด (1, –2) จะได m มีคาเทากับความชันของเสนสัมผัสเสนโคง y = 3x2 – 5 ที่จุด (1, –2) จาก y = 3x2 – 5
  • 70. 130 จะได dy dx = 6x นั่นคือ ความชันของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (1, –2) เทากับ 6(1) = 6 ดังนั้น m = 6 9. จาก y = x3 จะได dy dx = 3x2 นั่นคือ ความชันของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (1, 1) เทากับ 3(1)2 = 3 เนื่องจาก ความชันของเสนตรงที่ผานจุด (2, 3) เทากับ ความชันของเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด (1, 1) ดังนั้น สมการเสนตรงที่ผานจุด (2, 3) คือ y – 3 = 3(x – 2) y = 3x – 3 3x + y + 3 = 0 10. เนื่องจากเสนสัมผัสเสนโคงขนานกับแกน X ดังนั้น เสนสัมผัสเสนโคงมีความชันเทากับ 0 และ ความชันของเสนโคง y = x3 – 3x ที่จุดสัมผัสมีคาเทากับ 0 ดวย จะได dy dx = 3x2 – 3 = 0 จาก 3x2 – 3 = 0 จะได x = –1 หรือ x = 1 แทนคา x = –1 จะได y = 2 แทนคา x = 1 จะได y = –2 ดังนั้น จุด (–1, 2) และ (1, –2) อยูบนเสนโคง y = x3 – 3x ที่เสนสัมผัสเสนโคงที่จุดนี้ขนานกับ แกน X 11. จาก y = x4 จะได dy dx = 4x3 นั่นคือ ความชันของเสนโคง คือ 4x3 จะได เสนตรงที่มีความชันเทากับ 1 2 และสัมผัสเสนโคงที่จุดสัมผัส ดังนั้น 4x3 = 1 2 จะได x = 1 2 แทนคา x = 1 2
  • 71. 131 จะได y = 41 ( ) 2 = 1 16 นั่นคือ จุด 1 1 ( , ) 2 16 อยูบนเสนโคงที่มีความชันเทากับ 1 2 ดังนั้น สมการเสนสัมผัสเสนโคงที่จุด 1 1 ( , ) 2 16 คือ 1 y 16 − = 1 1 (x ) 2 2 − 1 y 16 − = 1 1 x 2 4 − x 3 y 2 16 − − = 0 8x – 16y – 3 = 0 เฉลยแบบฝกหัด 2.6 1. (1) ให u = 2x + 3 จะได y = (2x + 3)5 = u5 โดยกฎลูกโซ จะได dy dx = dy du du dx ⋅ = 5d d (u ) (2x 3) du dx ⋅ + = (5u4 )(2) = 10u4 ดังนั้น dy dx = 10(2x + 3)4 (2) ให u = 1 – 3x จะได y = (1 – 3x)3 = u3 โดยกฎลูกโซ จะได dy dx = dy du du dx ⋅ = 3d d (u ) (1 3x) du dx ⋅ − = 2 (3u )( 3)− = 2 9u− ดังนั้น dy dx = 2 9(1 3x)− −
  • 72. 132 (3) ให u = 3 – 4x2 จะได y = (3 – 4x2 )4 = u4 โดยกฎลูกโซ จะได dy dx = dy du du dx ⋅ = 4 2d d (u ) (3 4x ) du dx ⋅ − = 3 (4u )( 8x)− = –32xu3 ดังนั้น dy dx = 2 3 32x(3 4x )− − (4) ให u = 2 – 3x + 4x2 จะได y = (2 – 3x + 4x2 )3 = u3 โดยกฎลูกโซ จะได dy dx = dy du du dx ⋅ = 3 2d d (u ) (2 3x 4x ) du dx ⋅ − + = 2 (3u )( 3 8x)− + = 2 (24x 9)u− ดังนั้น dy dx = 2 2 (24x 9)(2 3x 4x )− − + (5) ให u = x3 – 2x จะได y = (x3 – 2x)4 = u4 โดยกฎลูกโซ จะได dy dx = dy du du dx ⋅ = 4 3d d (u ) (x 2x) du dx ⋅ − = 3 2 (4u )(3x 2)− = 2 3 (12x 8)u− ดังนั้น dy dx = 2 3 3 (12x 8)(x 2x)− − (6) ให u = 1 – 2x จะได y = 1 2x− = 1 2 u โดยกฎลูกโซ จะได
  • 73. 133 dy dx = dy du du dx ⋅ = 1 2 d d (u ) (1 2x) du dx ⋅ − = 1 2 1 ( 2) 2u − = 1 u − ดังนั้น dy dx = 1 1 2x − − (7) ให u = 3x2 + 2 จะได y = 2 3x 2+ = 1 2 u โดยกฎลูกโซ จะได dy dx = dy du du dx ⋅ = 1 22 d d (u ) (3x 2) du dx ⋅ + = 1 2 1 (6x) 2u = 3x u ดังนั้น dy dx = 2 3x 3x 2+ (8) ให u = x2 – 3 จะได y = 3 2 x 3− = 1 3 u โดยกฎลูกโซ จะได dy dx = dy du du dx ⋅ = 1 23 d d (u ) (x 3) du dx ⋅ − = 2 3 1 (2x) 3u = 3 2 2x 3 u ดังนั้น dy dx = 2 23 2x 3 (x 3)−
  • 74. 134 (9) ให u = 2t2 – 1 จะได s = 2 3 (2t 1)− − = 3 u− โดยกฎลูกโซ จะได ds dt = ds du du dt ⋅ = 3 2d d (u ) (2t 1) du dt − ⋅ − = 4 3 (4t) u − = 4 12t u − ดังนั้น ds dt = )1t2( t12 2 − − (10) ให u = t2 – 3t + 2 จะได s = 2 2 1 (t 3t 2)− + = 2 u− โดยกฎลูกโซ จะได ds dt = ds du du dt ⋅ = 2 2d d (u ) (t 3t 2) du dt − ⋅ − + = 3 2 (2t 3) u − − = 3 4t 6 u − + ดังนั้น ds dt = 2 3 4t 6 (t 3t 2) − + − + (11) ให u = x2 + 2x จะได y = 2 1 x 2x+ = 1 2 u − โดยกฎลูกโซ จะได dy dx = dy du du dx ⋅ = 1 22 d d (u ) (x 2x) du dx − ⋅ + = 3 2 1 (2x 2) 2u − + = 3 (x 1) u − + ดังนั้น dy dx = 2 3 (x 1) (x 2x) − + +
  • 75. 135 (12) ให u = x2 – 2x + 3 จะได y = 3 2 1 x 2x 3− + = 1 3 u − โดยกฎลูกโซ จะได dy dx = dy du du dx ⋅ = 1 23 d d (u ) (x 2x 3) du dx − ⋅ − + = 4 3 1 (2x 2) 3u − − = 3 4 2 2x 3 u − ดังนั้น dy dx = 2 43 2 2x 3 (x 2x 3) − − + (13) ให y = (x – 3)3 (2x + 1) dy dx = (x – 3)3 (2) + (2x + 1) d dx (x – 3)3 ----------- (1) พิจารณา 3d (x 3) dx − และ u = x – 3 จะได s = u3 โดยกฎลูกโซ จะได ds dx = ds du du dx ⋅ = 3d d (u ) (x 3) du dx ⋅ − = 2 (3u )(1) = 3u2 ดังนั้น ds dx = 2 3(x 3)− นั่นคือ 3d (x 3) dx − = 2 3(x 3)− ----------- (2) แทนคา (2) ใน (1) จะได dy dx = (x – 3)3 (2) + (2x + 1)[3(x – 3)2 ] = 2(x – 3)3 + (6x + 3)(x – 3)2 = 8x3 – 51x2 + 90x – 27
  • 76. 136 (14) ให u = 2x 1 1 2x + − จะได y = 3 2x 1 1 2x +⎛ ⎞ ⎜ ⎟ −⎝ ⎠ = u3 โดยกฎลูกโซ จะได dy dx = dy du du dx ⋅ = 3d d 2x 1 (u ) ( ) du dx 1 2x + ⋅ − = 2 2 (1 2x)(2) (2x 1)( 2) 3u [ ] (1 2x) − − + − − = 2 2 4 3u (1 2x) ⎡ ⎤ ⎢ ⎥−⎣ ⎦ = 2 2 12u (1 2x)− ดังนั้น dy dx = 2 2 2x 1 12 1 2x (1 2x) +⎛ ⎞ ⎜ ⎟ −⎝ ⎠ − = 2 2 2 12(2x 1) 1 (1 2x) (1 2x) + ⋅ − − = 2 4 12(2x 1) (1 2x) + − (15) y = 3 2 8 (2x 3) (4x 1) + − dy dx = 2 8 3 3 2 8 2 16 d d (4x 1) (2x 3) (2x 3) (4x 1) dx dx (4x 1) − + − + − − = 2 8 2 3 2 7 2 2 16 d d (4x 1) (3)(2x 3) (2x 3) (2x 3) (8)(4x 1) (4x 1) dx dx (4x 1) − + + − + − − − = 2 8 2 3 2 7 2 16 (4x 1) (3)(2x 3) (2) (2x 3) (8)(4x 1) (8x) (4x 1) − + − + − − = 2 2 3 2 9 6(4x 1)(2x 3) 64x(2x 3) (4x 1) − + − + − 2. ให )x(gu = และ )u(f)x(Fy == จะได dx du du dy dx dy ⋅= )1x3( dx d )u(f −′=
  • 77. 137 ⎟⎟ ⎠ ⎞ ⎜⎜ ⎝ ⎛ −⎟ ⎟ ⎠ ⎞ ⎜ ⎜ ⎝ ⎛ + − = 1x32 3 )1u( u1 22 2 ⎟⎟ ⎠ ⎞ ⎜⎜ ⎝ ⎛ −⎟ ⎟ ⎠ ⎞ ⎜ ⎜ ⎝ ⎛ +− −− = 1x32 3 )1)1x3(( )1x3(1 2 1x32 3 x9 x32 2 − ⋅ − = 1x3x6 x32 2 − − = 3. จาก ))x(g(f)x(F = )x(g))x(g(f)x(F ′⋅′=′ ดังนั้น )2(g))2(g(f)2(F ′⋅′=′ 5)4(f ⋅′= นั่นคือ 4559)2(F =⋅=′ เฉลยแบบฝกหัด 2.7 1. (1) จาก f(x) = 5x2 – 4x + 2 จะได f′(x) = 10x – 4 ดังนั้น f′′(x) = 10 (2) จาก f(x) = 5 + 2x + 4x3 – 3x5 จะได f′(x) = 2 + 12x2 – 15x4 ดังนั้น f′′(x) = 24x – 60x3 (3) จาก f(x) = 3x4 – 2x + x – 5 จะได f′(x) = 12x3 – 2 + 1 2 x ดังนั้น f′′(x) = 36x2 – 3 1 4 x (4) จาก f(x) = 23 2 x 4x x − + จะได f′(x) = 2 23 1 x 2x 8x 3 − − + + ดังนั้น f′′(x) = 5 33 2 x 4x 8 9 − − − − + หรือ f′′(x) = 33 5 2 4 8 x9 x − − +
  • 78. 138 (5) จาก f(x) = (5x2 – 3)(7x3 + x) จะได f′(x) = (5x2 – 3)(21x2 + 1) + (7x3 + x)(10x) = 175x4 – 48x2 – 3 ดังนั้น f′′(x) = 700x3 – 96x (6) จาก f(x) = x 1 x + จะได f′(x) = 2 1 x − ดังนั้น f′′(x) = 3 2 x (7) จาก f(x) = 3x 2 5x − จะได f′(x) = 2 2 25x ดังนั้น f′′(x) = 3 4 25x − 2. (1) จาก f(x) = x–5 + x5 จะได f′(x) = –5x–6 + 5x4 f′′(x) = 30x–7 + 20x3 ดังนั้น f′′′(x) = –210x–8 + 60x2 หรือ f′′′(x) = 2 8 210 60x x − + (2) จาก f(x) = 5x2 – 4x + 7 จะได f′(x) = 10x – 4 f′′(x) = 10 ดังนั้น f′′′(x) = 0 (3) จาก f(x) = 3x–2 + 4x–1 + x จะได f′(x) = –6x–3 – 4x–2 + 1 f′′(x) = 18x–4 + 8x–3 ดังนั้น f′′′(x) = –72x–5 – 24x–4 หรือ f′′′(x) = 5 4 72 24 x x − −
  • 79. 139 3. จาก f(x) = 3x2 – 2 จะได f′(x) = 6x f′′(x) = 6 f′′′(x) = 0 ดังนั้น f′′′(2) = 0 4. จาก y = 4 6 x จะได dy dx = 5 24 x − 2 2 d y dx = 6 120 x 3 3 d y dx = 7 720 x − ดังนั้น 4 4 d y dx = 8 5,040 x 5. (1) จากวัตถุเคลื่อนที่ไดระยะทาง s = 16t2 เมตร ในเวลา t วินาที ดังนั้น ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ไดหลังจากปลอยวัตถุไป 3 วินาที คือ s = 16(3)2 = 144 เมตร (2) จาก s = 16t2 ให v แทนความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ จะได v = ds dt = 32t เมตร / วินาที ดังนั้น ความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ เทากับ 32t เมตร / วินาที นั่นคือ ความเร็วขณะเวลา t = 2 วินาที เทากับ 32(2) = 64 เมตร / วินาที (3) ให a แทนความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ จาก (2) v = 32t เมตร / วินาที จะได a = dv dt = 32 เมตร / วินาที ดังนั้น ความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ เทากับ 32 เมตร / วินาที2 (4) จาก (3) ความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ เทากับ 32 เมตร / วินาที2 ดังนั้น ความเร็วขณะเวลา t = 5 วินาที เทากับ 32 เมตร / วินาที2
  • 80. 140 6. (1) ความเร็วเฉลี่ยในชวงวินาทีที่ t ถึงวินาทีที่ t + h คือ f (t h) f (t) h + − = 2 2 128(t h) 16(t h) (128t 16t ) h + − + − − = 2 128h 32th 16h h − − = 128 – 32t – 16h ความเร็วเฉลี่ยในชวงวินาทีที่ 2 ถึงวินาทีที่ 3 เทากับ 128 – 32(2) – 16(1) = 48 เมตร / วินาที (2) จากวัตถุเคลื่อนที่ไดระยะทาง s = 128t – 16t2 เมตร ในเวลา t วินาที ดังนั้น ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ไดหลังจากโยนวัตถุไปแลว 5 วินาที คือ s = 128(5) – 16(5)2 = 640 – 400 = 240 เมตร (3) จาก s = 128t – 16t2 ให v แทนความเรงขณะเวลา t ใด ๆ จะได v = ds dt = 128 – 32t เมตร / วินาที2 ดังนั้น ความเรงขณะเวลา t ใด ๆ เทากับ 128 – 32t เมตร / วินาที นั่นคือ ความเรงในการเคลื่อนที่ของวัตถุขณะวินาทีที่ 4 เทากับ 128 – 32(4) = 0 เมตร / วินาที (4) ให a แทนความเรงขณะเวลา t ใด ๆ จาก (3) v = 128 – 32t เมตร / วินาที จะได a = dv dt = –32 เมตร / วินาที2 ดังนั้น ความเรงขณะเวลา t ใด ๆ เทากับ –32 เมตร / วินาที2 นั่นคือ ความเรงของวัตถุขณะเวลา t = 2 วินาที เทากับ –32 เมตร / วินาที2 เฉลยแบบฝกหัด 2.8 ก 1. (1) จาก f(x) = 3 – 2x – x2 จะได f′(x) = –2 – 2x = –2(1 + x) ตรวจสอบเครื่องหมายของ f′(x) โดยเขียนเสนจํานวนและจุดแบงชวง ดังนี้
  • 81. 141 จะได f′(x) > 0 บนชวง (–∞ , –1) และ f′(x) < 0 บนชวง (–1, ∞) ดังนั้น f เปนฟงกชันเพิ่มบนชวง (–∞ , –1) และ f เปนฟงกชันลดบนชวง (–1 , ∞) (2) จาก f(x) = 2x2 – x – 3 จะได f′(x) = 4x – 1 ตรวจสอบเครื่องหมายของ f′(x) โดยเขียนเสนจํานวนและจุดแบงชวง ดังนี้ จะได f′(x) > 0 บนชวง (1 4 , ∞) และ f′(x) < 0 บนชวง (–∞, 1 4 ) ดังนั้น f เปนฟงกชันเพิ่มบนชวง (1 4 , ∞) และ f เปนฟงกชันลดบนชวง (–∞, 1 4 ) + – x < –1 x > –1–1 1 4 – + x < 1 4 x > 1 4 -4 4 -2 2 4 X Y 0 f(x)
  • 82. 142 (3) จาก f(x) = x3 – x2 – 8x จะได f′(x) = 3x2 – 2x – 8 = (3x + 4)(x – 2) ตรวจสอบเครื่องหมายของ f′(x) โดยเขียนเสนจํานวนและจุดแบงชวง ดังนี้ จะได f′(x) > 0 บนชวง (–∞ , 4 3 − ) ∪ (2, ∞) และ f′(x) < 0 บนชวง ( 4 3 − , 2) ดังนั้น f เปนฟงกชันเพิ่มบนชวง (–∞ , 4 3 − ) ∪ (2, ∞) และ f เปนฟงกชันลดบนชวง ( 4 3 − , 2) + – x < 4 3 − 4 x 2 3 − < < 4 3 − + 2 x > 2 3 9 3 -3 -9 -15 -3 0 X Y X Y 0 - 2 2 - 4 2- 2 f(x)
  • 83. 143 (4) จาก f(x) = 2x3 + 3x2 – 36x + 5 จะได f′(x) = 6x2 + 6x – 36 = 6(x + 3)(x – 2) ตรวจสอบเครื่องหมายของ f′(x) โดยเขียนเสนจํานวนและจุดแบงชวง ดังนี้ จะได f′(x) > 0 บนชวง (–∞ , –3) ∪ (2, ∞) และ f′(x) < 0 บนชวง (–3, 2) ดังนั้น f เปนฟงกชันเพิ่มบนชวง (–∞ , –3) ∪ (2, ∞) และ f เปนฟงกชันลดบนชวง (–3, 2) (5) จาก f(x) = x3 – 2x2 – 4x + 7 จะได f′(x) = 3x2 – 4x – 4 = (3x + 2)(x – 2) + – x < –3 + 2 x > 2–3 –3 < x < 2 1 2 3 4-1-2-3 20 40 60 80 100 -20 -40 X Y 0-4-5
  • 84. 144 ตรวจสอบเครื่องหมายของ f′(x) โดยเขียนเสนจํานวนและจุดแบงชวง ดังนี้ จะได f′(x) > 0 บนชวง (–∞ , 2 3 − ) ∪ (2, ∞) และ f′(x) < 0 บนชวง ( 2 3 − , 2) ดังนั้น f เปนฟงกชันเพิ่มบนชวง (–∞ , 2 3 − ) ∪ (2, ∞) และ f เปนฟงกชันลดบนชวง ( 2 3 − , 2) 2. (1) จาก f(x) = x2 – 8x+ 7 จะได f′(x) = 2x – 8 = 2(x – 4) ถา f′(x) = 0 จะไดวา 2(x – 4) = 0 เพราะฉะนั้น x = 4 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 4 f′′(x) = 2 f′′(4) = 2 > 0 ดังนั้น f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ f(4) = –9 + – x < 2 3 − + 2 x > 22 3 − < x < 22 3 − 5-5 -2 5 X Y 0
  • 85. 145 (2) จาก f(x) = x3 – 3x + 6 จะได f′(x) = 3x2 – 3 = 3(x + 1)(x – 1) ถา f′(x) = 0 จะไดวา 3(x + 1)(x – 1) = 0 เพราะฉะนั้น x = –1 หรือ x = 1 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ –1 และ 1 f′′(x) = 6x f′′(–1) = –6 < 0 f′′(1) = 6 > 0 ดังนั้น f มีคาสูงสุดสัมพัทธเทากับ f(–1) = 8 และ f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ f(1) = 4 Y -1 5 6 10 X0 2 -2 -6 -10 0 2 4-2 -4 4 8 12 X Y f(x) -4
  • 86. 146 (3) จาก f(x) = x3 – 3x2 – 24x + 4 จะได f′(x) = 3x2 – 6x – 24 = 3(x – 4)(x + 2) ถา f′(x) = 0 จะไดวา 3(x – 4)(x + 2) = 0 เพราะฉะนั้น x = –2 หรือ x = 4 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ –2 และ 4 f′′(x) = 6x – 6 f′′(–2) = –18 < 0 f′′(4) = 18 > 0 ดังนั้น f มีคาสูงสุดสัมพัทธเทากับ f(–2) = 32 และ f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ f(4) = –76 (4) จาก f(x) = x4 – 8x2 + 12 จะได f′(x) = 4x3 – 16x = 4x(x + 2)(x –2) ถา f′(x) = 0 จะไดวา 4x(x + 2)(x – 2) = 0 เพราะฉะนั้น x = –2 หรือ x = 0 หรือ x = 2 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ –2, 0 และ 2 1 2 3 4 5 6 7 20 40 60 -20 -40 -60 -80 -1-2-3-4 0 X Y
  • 87. 147 f′′(x) = 12x2 – 16 f′′(–2) = 32 > 0 f′′(0) = –16 < 0 f′′(2) = 32 > 0 ดังนั้น f มีคาสูงสุดสัมพัทธเทากับ f(0) = 12 และ f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ f(–2) = f(2) = –4 (5) จาก f(x) = x4 – 4x3 + 8 จะได f′(x) = 4x3 – 12x2 = 4x2 (x – 3) ถา f′(x) = 0 จะไดวา 4x2 (x – 3) = 0 เพราะฉะนั้น x = 0 หรือ x = 3 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 0 และ 3 f′′(x) = 12x2 – 24x f′′(0) = 0 f′′(3) = 36 > 0 ดังนั้น f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ f(3) = –19 0 2 4-2 -10 10 20 X Y f(x) -4
  • 88. 148 3. (1) จาก f(x) = x2 – 4x + 3 จะได f′(x) = 2x – 4 = 2(x – 2) ถา f′(x) = 0 จะได 2(x – 2) = 0 เพราะฉะนั้น x = 2 ดังนั้น คาวิกฤตบนชวงปด [0, 5] คือ 2 คํานวณหาคาของฟงกชัน f ที่ x = 2 และจุดปลายของชวง [0, 5] คือ x = 0 และ x = 5 f(2) = –1 f(0) = 3 f(5) = 8 ดังนั้น คาสูงสุดสัมบูรณของ f เทากับ 8 ที่ x = 5 และ คาต่ําสุดสัมบูรณของ f เทากับ –1 ที่ x = 2 Y 2-2 -20 -10 10 20 f(x) 0 4 X -4 2 4-2 0 -2 2 4 X Y f(x) -4 6 6
  • 89. 149 (2) จาก f(x) = x3 – 2x2 – 4x + 8 จะได f′(x) = 3x2 – 4x – 4 ถา f′(x) = 0 จะได (3x + 2)(x – 2) = 0 เพราะฉะนั้น x = 2 3 − หรือ x = 2 ดังนั้น คาวิกฤตบนชวงปด [–2, 3] คือ 2 3 − และ 2 คํานวณหาคาของฟงกชัน f ที่ x = 2 3 − , x = 2 และจุดปลายของชวง [–2, 3] คือ x = –2 และ x = 3 f( 2 3 − ) = 9.48 f(2) = 0 f(–2) = 0 f(3) = 5 ดังนั้น คาสูงสุดสัมบูรณของ f เทากับ 9.48 ที่ x = 2 3 − และ คาต่ําสุดสัมบูรณของ f เทากับ 0 ที่ x = –2 และ x = 2 (3) จาก f(x) = x4 – 2x3 – 9x2 + 27 จะได f′(x) = 4x3 – 6x2 – 18x ถา f′(x) = 0 จะได 2x(2x + 3)(x – 3) = 0 เพราะฉะนั้น x = 3 2 − หรือ x = 0 หรือ x = 3 ดังนั้น คาวิกฤตบนชวงปด [–2, 4] คือ 3 2 − , 0 และ 3 2 6 10 2 6-2 0-6 -2 -6 X Y
  • 90. 150 คํานวณหาคาของฟงกชัน f ที่ x = 3 2 − , x = 0, x = 3 และจุดปลายของชวง [–2, 4] คือ x = –2 และ x = 4 f( 3 2 − ) = 18.56 f(0) = 27 f(3) = –27 f(–2) = 23 f(4) = 11 ดังนั้น คาสูงสุดสัมบูรณของ f เทากับ 27 ที่ x = 0 และ คาต่ําสุดสัมบูรณของ f เทากับ –27 ที่ x = 3 (4) จาก f(x) = x3 + 5x – 4 จะได f′(x) = 3x2 + 5 จากรูปสมการ f′(x) = 3x2 + 5 จะไดวา ไมมีจํานวนจริง x ใด ๆ ที่ทําให f′(x) = 0 ดังนั้น ไมมีคาวิกฤตบนชวงปด [–3, –1] คํานวณหาคาของฟงกชัน f(x) ที่จุดปลายของชวง [–3, –1] คือ x = –3 และ x = –1 f(–3) = – 46 f(–1) = – 10 ดังนั้น คาสูงสุดสัมบูรณของ f เทากับ – 10 ที่ x = –1 และ คาต่ําสุดสัมบูรณของ f เทากับ – 46 ที่ x = –3 4 10 20 30 2 6-2-4 -10 -20 -30 0 X Y
  • 91. 151 เฉลยแบบฝกหัด 2.8 ข 1. (1) จาก f(x) = 2x2 + x – 6 จะได f′(x) = 4x + 1 ถา f′(x) = 0 จะได 4x + 1 = 0 เพราะฉะนั้น x = 1 4 − ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 1 4 − f′′ (x) = 4 f′′ ( 1 4 − ) = 4 > 0 ดังนั้น f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ 1 f ( ) 4 − = 49 8 − -8 Y f(x) -1 -4 X 10 4 2-2 กราฟ f(–1) = –10 และ f(–3) = –46 5-5 20 40 -20 -40 -60 X Y 0
  • 92. 152 (2) จาก f(x) = –x2 + 3x – 2 จะได f′(x) = –2x + 3 ถา f′(x) = 0 จะได –2x + 3 = 0 เพราะฉะนั้น x = 3 2 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 3 2 f′′ (x) = –2 f′′ ( 3 2 ) = –2 < 0 ดังนั้น f มีคาสูงสุดสัมพัทธเทากับ 3 f ( ) 2 = 1 4 (3) จาก f(x) = x3 – 3x2 จะได f′(x) = 3x2 – 6x ถา f′(x) = 0 จะได 3x(x – 2) = 0 เพราะฉะนั้น x = 0 หรือ x = 2 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 0 และ 2 f′′ (x) = 6x – 6 f′′ (0) = –6 < 0 f′′ (2) = 6 > 0 ดังนั้น f มีคาสูงสุดสัมพัทธเทากับ f(0) = 0 และ f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ f(2) = –4 -4 Y f(x) -1 -2 X 10 2 2-2
  • 93. 153 (4) จาก f(x) = 2x3 – 3x2 – 12x + 5 จะได f′(x) = 6x2 – 6x – 12 = 6(x – 2)(x + 1) ถา f′(x) = 0 จะได 6(x – 2)(x + 1) = 0 เพราะฉะนั้น x = –1 หรือ x = 2 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ –1 และ 2 f′′ (x) = 12x – 6 f′′ (–1) = –18 < 0 f′′ (2) = 18 > 0 ดังนั้น f มีคาสูงสุดสัมพัทธเทากับ f(–1) = 12 และ f มีคาต่ําสุดสัมพัทธเทากับ f(2) = –15 -4 Y f(x) -2 -2 X 20 2 4-4 Y 2-2 -20 -10 10 20 f(x) 0 4 X -4
  • 94. 154 2. เนื่องจากรั้วยาว 200 เมตร จะได 6x + 4y = 200 y = 3 50 x 2 − ให A(x) เปนพื้นที่ของที่ดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผา 3 แปลง เมื่อ x เปนความยาวของดานกวางของที่ดิน รูปสี่เหลี่ยมผืนผาของแตละแปลง จะได A(x) = 3 3x(50 x) 2 − = 29 150x x 2 − A′(x) = 150 – 9x ถา A′(x) = 0 จะได 150 – 9x = 0 เพราะฉะนั้น x = 50 3 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน A คือ 50 3 จาก A′(x) = 150 – 9x จะได A′′ (x) = –9 A′′ 50 ( ) 3 = –9 < 0 นั่นคือ ฟงกชัน A มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ x = 50 3 และมีคาเทากับ 50 A( ) 3 = 1,250 ดังนั้น รั้วจะลอมพื้นที่ไดมากที่สุด 1,250 ตารางเมตร 3. ให x เปนจํานวนจริงจํานวนหนึ่ง จะได f(x) = x – x2 f ′(x) = 1 – 2x ถา f ′(x) = 0 จะได 1 – 2x = 0 เพราะฉะนั้น x = 1 2 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 1 2 จาก f′(x) = 1 – 2x จะได f′′(x) = –2 f′′( 1 2 ) = –2 < 0 นั่นคือ ฟงกชัน f มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ x = 1 2 และมีคาเทากับ f( 1 2 ) = 1 4 ดังนั้น จํานวนจริงจํานวนนั้นคือ 1 2
  • 95. 155 4. ให x เปนจํานวนจริงจํานวนหนึ่ง และ y เปนจํานวนจริงอีกจํานวนหนึ่ง เนื่องจาก จํานวนจริงสองจํานวนบวกกันได 10 จะได x + y = 10 หรือ y = 10 – x ให f(x) เปนคาที่ไดจากผลคูณของจํานวนจริงทั้งสอง จะได f(x) = x(10 – x) = 10x – x2 f′(x) = 10 – 2x ถา f′(x) = 0 จะได 10 – 2x = 0 เพราะฉะนั้น x = 5 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 5 จาก f′(x) = 10 – 2x f′′(x) = –2 f′′(5) = –2 < 0 นั่นคือ ฟงกชัน f มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ x = 5 และมีคาเทากับ f(5) = 25 จาก x = 5 จะได y = 5 ดังนั้น จํานวนจริงจํานวนหนึ่ง คือ 5 และอีกจํานวนหนึ่งคือ 5 5. ให x เปนจํานวนจริงจํานวนหนึ่ง และ y เปนจํานวนจริงอีกจํานวนหนึ่ง เนื่องจาก ผลคูณของจํานวนจริงสองจํานวนเปน –9 จะได xy = –9 หรือ y = 9 x − ให f(x) เปนคาที่ไดจากผลบวกของกําลังสองของแตละจํานวนเมื่อ x เปนจํานวนจริงจํานวนหนึ่ง จะได f(x) = 2 29 x ( ) x + − = 2 2 81 x x + f′(x) = 3 162 2x x − ถา f′(x) = 0 จะได 3 162 2x x − = 0 2(x2 – 9)(x2 + 9) = 0 2(x – 3)(x + 3)(x2 + 9) = 0 เพราะฉะนั้น x = –3 หรือ x = 3 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ –3 และ 3
  • 96. 156 จาก f′(x) = 3 162 2x x − f′′(x) = 4 486 2 x + f′′(3) = 8 > 0 f′′(–3) = 8 > 0 นั่นคือ ฟงกชัน f มีคาต่ําสุดสัมพัทธที่ x = –3 และ x = 3 มีคาเทากับ f(–3) = f(3) = 18 จาก x = –3 จะได y = 3 x = 3 จะได y = –3 ดังนั้น จํานวนจริงจํานวนหนึ่ง คือ –3 และอีกจํานวนหนึ่งคือ 3 6. ให C(t) เปนอุณหภูมิมีหนวยเปนองศาเซลเซียส เมื่อ t เปนเวลาหนวยเปนวินาที จะได C(t) = 10 + 4t – 0.2t2 C′(t) = 4 – 0.4t ถา C′(t) = 0 จะได 4 – 0.4t = 0 เพราะฉะนั้น t = 10 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน θ คือ 10 จาก C′(t) = 4 – 0.4t จะได C′′(t) = –0.4 C′′(10) = –0.4 < 0 นั่นคือ ฟงกชัน C มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ t = 10 และมีคาเทากับ C(10) = 30 ดังนั้น ในการเกิดปฏิกิริยาทางเคมีนี้อุณหภูมิจะขึ้นสูงสุดเมื่อ t = 10 วินาที และอุณหภูมิสูงสุดเปน 30 องศาเซลเซียส 7. ให V(x) เปนปริมาตรของกลอง เมื่อ x เปนความยาวของดานของรูปสีเหลี่ยมจัตุรัสที่ตัดออก x 24 – 2x x จะได V(x) = (20 – 2x)(24 – 2x)x = 4x3 – 88x2 +480x V′(x) = 12x2 – 176x + 480 = 4(3x2 – 44x + 120) ถา V′(x) = 0 จะได 4(3x2 – 44x + 120) = 0 20 – 2x
  • 97. 157 x = 2 44 ( 44) 4(3)(120) 2(3) − − − หรือ x = 2 44 ( 44) 4(3)(120) 2(3) + − − x = 22 2 31 3 − = 3.62 หรือ x = 22 2 31 3 + = 11.05 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน V คือ 3.62 และ 11.05 จาก V′(x) = 12x2 – 176x + 480 จะได V′′(x) = 24x – 176 V′′(3.62) = –89.12 < 0 V′′(11.05) = 89.2 > 0 นั่นคือ ฟงกชัน V มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ x = 3.62 ดังนั้น x เทากับ 3.62 เซนติเมตร กลองจึงจะมีปริมาตรมากที่สุด 8. ให c(f) เปนปริมาณผลผลิตที่ไดหนวยเปนถังตอไร เมื่อ f เปนจํานวนปุยที่ใช หนวยเปนกิโลกรัม ตอไร จะได c(f) = 20 + 24f – f2 c′(f) = 24 – 2f ถา c′(f) = 0 จะได 24 – 2f = 0 เพราะฉะนั้น f = 12 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน c คือ 12 จาก c′(f) = 24 – 2f c′′(f) = –2 c′′(12) = –2 < 0 นั่นคือ ฟงกชัน c มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ f = 12 และมีคาเทากับ c(12) = 164 ดังนั้น จะตองใชปุย 12 กิโลกรัมตอไร จึงจะไดผลผลิตมากที่สุด 9. ถาพอคาตั้งราคาขายสินคาอยางหนึ่งชิ้นละ 20 บาท ในหนึ่งสัปดาหเขาจะขายสินคาได 1,000 ชิ้น ถาเขาลดราคาลงชิ้นละ 1 บาท เขาจะขายได 1,000 + 100 ชิ้น ถาเขาลดราคาลงชิ้นละ 2 บาท เขาจะขายได 1,000 + 200 ชิ้น ถาเขาลดราคาลงชิ้นละ x บาท เขาจะขายได 1,000 + 100x ชิ้น เขาขายสินคาราคาชิ้นละ 20 – x บาท
  • 98. 158 ให f(x) เปนเงินที่ไดจากการขายสินคา เมื่อ x เปนเงินที่ลดราคาสินคา 1 ชิ้น จะได f(x) = (1,000 + 100x)(20 – x) = 20,000 + 1,000x – 100x2 f′(x) = 1000 – 200x ถา f′(x) = 0 จะได 1000 – 200x = 0 เพราะฉะนั้น x = 5 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 5 จาก f′(x) = 1000 – 200x จะได f′′(x) = –200 f′′(5) = –200 < 0 นั่นคือ ฟงกชัน f มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ x = 5 และมีคาเทากับ f(5) = 22,500 ดังนั้น เขาควรจะตั้งราคาสินคาชิ้นละ 20 – 5 = 15 บาท จึงจะไดเงินจากการขายมากที่สุด 10. ให DECF เปนรูปสี่เหลี่ยมผืนผาที่บรรจุในรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก มีดานดานหนึ่งยาว m หนวย และอีกดานหนึ่งยาว n หนวย ดังรูป จากรูป 1 ∆ ADE คลายกับ ∆ ABC จะได AE AC = DE BC 120 m 120 − = n 90 n = 3 (120 m) 4 − ให S(m) เปนพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมผืนผา เมื่อ m เปนความยาวของดานดานหนึ่งของรูปสี่เหลี่ยมผืนผา n m 90 120 – a a 150 X F C ZY E D 90 120 – m m 150 F D E CB A n รูป 1 รูป 2
  • 99. 159 จะได S(m) = 3 (120 m)(m) 4 − = 23 90m m 4 − S′(m) = 3 90 m 2 − ถา S′(m) = 0 จะได 3 90 m 2 − = 0 เพราะฉะนั้น m = 60 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน S คือ 60 จาก S′(m) = 3 90 m 2 − S′′ (m) = 3 2 − S′′ (60) = 3 2 − < 0 นั่นคือ ฟงกชัน S มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ m = 60 และมีคาเทากับ S(60) = 2,700 จาก m = 60 จะได n = 3 (120 60) 4 − = 45 จากรูป 2 ∆ XDE คลายกับ ∆ XZY จะได n 90 = 120 a 150 − ---------- (1) ∆ ZCE คลายกับ ∆ ZYX จะได m 150 = a 120 ---------- (2) จาก (1) และ (2) จะได mn = 23 90a a 4 − ให S(a) เปนพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมผืนผา เมื่อ a เปนความยาวของ EZ จะได S(a) = 23 90a a 4 − S′(a) = 3 90 a 2 − ถา S′(a) = 0 จะได 3 90 a 2 − = 0 เพราะฉะนั้น a = 60 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน S คือ 60
  • 100. 160 จาก S′(a) = 3 90 a 2 − S′′(a) = 3 2 − S′′(60) = 3 2 − ดังนั้น ฟงกชัน S มีคาสูงสุด นั่นคือ ฟงกชัน S มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ a = 60 และมีคาเทากับ S(60) = 2,700 จาก a = 60 จะได n = 90(120 60) 150 − และ m = (150)(60) 120 = 36 = 75 ดังนั้น รูปสี่เหลี่ยมผืนผา มีดานกวางยาว 45 หนวย และดานยาว 60 หนวย หรือมีดานกวางยาว 36 หนวย และดานยาวยาว 75 หนวย 11. ใหพอคาผลิตสินคาขายได x ชิ้นใน 1 สัปดาห ขายชิ้นละ p บาท ราคาและจํานวนสินคาที่ขายไดมีความสัมพันธในรูปสมการ p = 100 – 0.04x รายไดจากการขายสินคาใน 1 สัปดาห คือ xp = x(100 – 0.04x) บาท ลงทุน 600 + 22x บาท ให f(x) เปนกําไรจากการขายสินคา เมื่อ x เปนจํานวนสินคาที่ผลิตไดใน 1 สัปดาห จะได f(x) = x(100 – 0.04x) – (600 + 22x) = –0.04x2 + 78x – 600 f′(x) = –0.08x + 78 ถา f′(x) = 0 จะได –0.08x + 78 = 0 เพราะฉะนั้น x = 975 บาท ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f คือ 975 จาก f′(x) = –0.08x + 78 จะได f′′(x) = –0.08 f′′(975) = –0.08 < 0 นั่นคือ ฟงกชัน f มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ x = 975 และมีคาเทากับ f(975) = 37,425 ดังนั้น ตองผลิตสินคาออกขายสัปดาหละ 975 ชิ้น จึงจะไดกําไรมากที่สุด
  • 101. 161 12. รถบรรทุกวิ่งระยะทาง 500 กิโลเมตร ดวยอัตราเร็วเฉลี่ย x กิโลเมตรตอชั่วโมง ตองใชเวลา 500 x ชั่วโมง เสียคาน้ํามันลิตรละ 24 บาท และใชน้ํามันในอัตรา 150 x 24 2 + ลิตรตอชั่วโมง ดังนั้น เสียคาน้ํามัน )24)( x 500 )( 150 x 24( 2 + บาท และเสียเบี้ยเลี้ยงคนขับชั่วโมงละ m บาท จะตองเสียเบี้ยเลี้ยงคนขับ 500m x บาท ให f(x) เปนเงินที่บริษัทตองจายในการสงสินคา เมื่อ x เปนอัตราเร็วเฉลี่ยหนวยเปนกิโลเมตร ตอชั่วโมง จะได f(x) = )24)( x 500 )( 150 x 24( x m500 2 ++ = x80 x 288000 x m500 ++ f′(x) = 80 x 288000 x m500 22 +−− ถา f′(x) = 0 จะได 80 x 288000 x m500 22 +−− = 0 2 x80288000m500 +−− = 0 x2 = 3600 4 m25 + เพราะฉะนั้น x = 3600 4 m25 +− หรือ x = 3600 4 m25 + ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน f บนชวงปด [25, 80] คือ 3600 4 m25 + จาก f′(x) = 80 x 288000 x m500 22 +−− f′′(x) = 33 x 576000 x m1000 + f′′ )3600 4 m25 ( + = 3 1000m 576000 0 25m 3600 4 + > ⎛ ⎞ +⎜ ⎟ ⎝ ⎠
  • 102. 162 นั่นคือ ฟงกชัน f มีคาต่ําสุดสัมพัทธที่ x = 3600 4 m25 + ดังนั้น บริษัทตองสั่งใหขับรถดวยอัตราเร็วเฉลี่ย 3600 4 m25 + กิโลเมตรตอชั่วโมงจึงจะประหยัดที่สุด 13. เนื่องจาก s = kwd2 เมื่อ k เปนคาคงตัว จากรูป d2 = a2 – w2 จะได s = kw(a2 – w2 ) = kwa2 – kw3 ให s(w) เปนน้ําหนักสูงสุดที่คานรับได เมื่อ w เปนความกวางของคาน และ k เปนคาคงตัว จะได s(w) = wka2 – kw3 s′(w) = ka2 – 3kw2 ถา s′(w) = 0 จะได ka2 – 3kw2 = 0 w2 = 2 ka 3k w2 = 2 a 3 เพราะฉะนั้น w = 3a 3 − หรือ w = 3a 3 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน s คือ 3a 3 จาก s′(w) = ka2 – 3kw2 s′′(w) = –6kw s′′ 3a ( ) 3 = 2 3ka− < 0 นั่นคือ ฟงกชัน s มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ w = 3a 3 และมีคาเทากับ 32 3 ka 9 จาก w = 3a 3 จะได d2 = 2 23a a ( ) 3 − d2 = 22 a 3 d = 2 a 3 ดังนั้น ตองเลื่อยใหคานมีความกวาง 3a 3 เซนติเมตร และหนา 2 a 3 เซนติเมตร a w d
  • 103. 163 14. ให P(f) เปนกําไรสุทธิหนวยเปนบาท เมื่อ f เปนปริมาณปุยที่ใชหนวยเปนกิโลกรัมตอไร จะได P(f) = 400 + 20f – f2 P′(f) = 20 – 2f ถา P′(f) = 0 จะได 20 – 2f = 0 เพราะฉะนั้น f = 10 ดังนั้น คาวิกฤตของฟงกชัน p คือ 10 จาก P′(f) = 20 – 2f P′′(f) = –2 P′′(10) = –2 < 0 นั่นคือ ฟงกชัน P มีคาสูงสุดสัมพัทธที่ f = 10 และมีคาเทากับ P(10) = 500 ดังนั้น ตองใชปุย 10 กิโลกรัมตอที่ดิน 1 ไร จึงจะไดกําไรสุทธิสูงสุด และกําไรสุทธิสูงสุดจากผลผลิตตอไรเปน 500 บาท เฉลยแบบฝกหัด 2.9 1. (1) 25 x c 2 + (2) 41 x c 4 + (3) 5 2 2 x c 5 + (4) 4 1 c 4x − + (5) 2 x x c+ + (6) 5 4 3 24 3 2 1 x x x x x c 5 4 3 2 + + + + + (7) 2 2 3 c x 2x − − + (8) 5 31 5 x x 4x c 5 3 − + − + (9) 2 x c+ (10) 2 1 c xx − − +
  • 104. 164 เฉลยแบบฝกหัด 2.10 1. (1) 4 2 (x 3x 5x)dx+ +∫ = 4 2 x dx 3x dx 5xdx+ +∫ ∫ ∫ = 4 2 x dx 3 x dx 5 xdx+ +∫ ∫ ∫ = 5 2 3x 5x x c 5 2 + + + (2) 3 2 2 (2x 3x 6 2x )dx− − + −∫ = 3 2 2 2x dx 3x dx 6dx 2x dx− − + −∫ ∫ ∫ ∫ = 3 2 2 2 x dx 3 x dx 6dx 2 x dx− − + −∫ ∫ ∫ ∫ = 4 3x 2 x 6x c 2 x − + + + (3) 10 3 1 (x )dx x −∫ = 10 3 x dx x dx− −∫ ∫ = 11 2 x 1 c 11 2x + + (4) 2 4 1 2 ( )dx x x +∫ = 2 4 1 2 dx dx x x +∫ ∫ = 2 4 x dx 2 x dx− − +∫ ∫ = 3 1 2 c x 3x − − + (5) xdx∫ = 1 2 x dx∫ = 3 2 2x c 3 + = 2x x c 3 + (6) 23 32 (x x )dx−∫ = 23 32 x dx x dx−∫ ∫ = 55 32 2x 3x c 5 5 − + (7) 2 1 1 ( )dx x 2 x −∫ = 2 1 1 dx dx x 2 x∫ ∫ 1 2 2 1 x dx x dx 2 − − −∫ ∫ = 1 2 1 x c x − − + = 1 x c x − − +
  • 105. 165 (8) 2 x (x 3)dx−∫ = 3 2 x dx 3x dx−∫ ∫ = 4 3x x c 4 − + (9) x(x 1)dx+∫ = 3 1 2 2 x dx x dx+∫ ∫ = 5 3 2 2 2x 2x c 5 3 + + (10) 3 x 2 ( )dx x − ∫ = 2 3 x dx 2x dx− − −∫ ∫ = 2 3 x dx 2 x dx− − −∫ ∫ = 2 1 1 c x x − + + (11) 2 (x 5x 1)dx+ +∫ = 2 x dx 5xdx 1dx+ +∫ ∫ ∫ = 2 x dx 5 xdx 1dx+ +∫ ∫ ∫ = 3 2 x 5x x c 3 2 + + + (12) (6 x 15)dx+∫ = 1 2 6x dx 15dx+∫ ∫ = 3 2 4x 15x c+ + = 4x x 15x c+ + (13) 3 2 (x 5x 6)dx+ +∫ = 3 2 x dx 5x dx 6dx+ +∫ ∫ ∫ = 3 2 x dx 5 x dx 6dx+ +∫ ∫ ∫ = 4 3 x 5x 6x c 4 3 + + + (14) 6 ( 8 x)dx x +∫ = 1 1 2 2 6x dx 8x dx − +∫ ∫ = 1 1 2 2 6 x dx 8 x dx − +∫ ∫ = 3 1 2 2 16x 12x c 3 + + = 12 x 16x x c+ +
  • 106. 166 (15) 4 3 2 (x 12x 6x 10)dx− + −∫ = 4 3 2 x dx 12x dx 6x dx 10dx− + −∫ ∫ ∫ ∫ = 4 3 2 x dx 12 x dx 6 x dx 10dx− + −∫ ∫ ∫ ∫ = 5 4 3x 3x 2x 10x c 5 − + − + 2. ให dy dx = f′(x) = x จะได dy dx dx∫ = xdx∫ y = xdx∫ y = 2 x c 2 + เมื่อ c เปนคาคงตัวใด ๆ จะได f(x) = 2 x c 2 + เนื่องจาก f(2) = 2 จะได 2 = 2 2 c 2 + c = 0 ดังนั้น f(x) = 2 x 2 3. (1) เนื่องจากความชันของเสนสัมผัสโคงที่จุด (x, y) ใด ๆ คือ x2 – 3x + 2 นั่นคือ dy dx = x2 – 3x + 2 จะได y = 2 (x 3x 2)dx− +∫ y = 3 2 x 3x 2x c 3 2 − + + ดังนั้น สมการเสนโคง คือ y = 3 2 x 3x 2x c 3 2 − + + แตเสนโคงนี้ผานจุด (2, 1) นั่นคือ เมื่อ x = 2 จะได y = 1 แทนคา x = 2 และ y = 1 ในสมการเสนโคง จะได 1 = 3 22 3 (2 ) 2(2) c 3 2 − + + c = 1 3 ดังนั้น สมการเสนโคงดังกลาวคือ y = 3 2 x 3x 1 2x 3 2 3 − + +
  • 107. 167 (2) เนื่องจากความชันของเสนสัมผัสโคงที่จุด (x, y) ใด ๆ คือ 2x3 + 4x นั่นคือ dy dx = 2x3 + 4x จะได y = 3 (2x 4x)dx+∫ y = 4 2x 2x c 2 + + ดังนั้น สมการเสนโคง คือ y = 4 2x 2x c 2 + + แตเสนโคงนี้ผานจุด (0, 5) นั่นคือ เมื่อ x = 0 จะได y = 5 แทนคา x = 0 และ y = 5 ในสมการเสนโคง จะได c = 5 ดังนั้น สมการเสนโคงดังกลาวคือ y = 4 2x 2x 5 2 + + (3) เนื่องจากความชันของเสนสัมผัสโคงที่จุด (x, y) ใด ๆ คือ 6 + 3x2 – 2x4 นั่นคือ dy dx = 6 + 3x2 – 2x4 จะได y = 4 2 ( 2x 3x 6)dx− + +∫ y = 5 32x x 6x c 5 − + + + แตเสนโคงนี้ผานจุด (1, 0) นั่นคือ เมื่อ x = 1 จะได y = 0 แทนคา x = 1 และ y = 0 จะได 0 = 5 32 (1) (1) (6)(1) c 5 − + + + c = 33 5 − ดังนั้น สมการเสนโคงดังกลาวคือ y = 5 32x 33 x 6x 5 5 − + + −
  • 108. 168 4. (1) จาก dv dt = a(t) = 6 – 2t จะได dv dt dt∫ = (6 2t)dt−∫ v = 6t – t2 + c1 จาก v(0) = 5 จะได c1 = 5 ดังนั้น ความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ คือ 6t – t2 + 5 เมื่อ 0 ≤ t ≤ 3 จาก ds dt = v(t) = 6t – t2 + 5 จะได ds dt dt∫ = 2 (6t t 5)dt− +∫ s = 3 2 2 t 3t 5t c 3 − + + + จาก s(0) = 0 จะได c2 = 0 ดังนั้น ตําแหนงของวัตถุขณะเวลา t ใด ๆ คือ 3 2t 3t 5t 3 − + + เมื่อ 0 t 3≤ ≤ (2) จาก dv dt = a(t) = 120t – 12t2 จะได dv dt dt∫ = 2 (120t 12t )dt−∫ v = 60t2 – 4t3 + c1 จาก v(0) = 0 จะได c1 = 0 ดังนั้น ความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ คือ 60t2 – 4t3 เมื่อ 0 t 10≤ ≤ จาก ds dt = v(t) = 60t2 – 4t3 จะได ds dt dt∫ = 2 3 (60t 4t )dt−∫ s = 3 4 220t t c− + จาก s(0) = 4 จะได c2 = 4 ดังนั้น ตําแหนงของวัตถุขณะเวลา t ใด ๆ คือ 20t3 – t4 + 4 เมื่อ 0 t 10≤ ≤ (3) จาก dv dt = a(t) = t2 + 5t + 4 จะได dv dt dt∫ = 2 (t 5t 4)dt+ +∫ v = 3 2 1 t 5t 4t c 3 2 + + + จาก v(0) = –2 จะได c1 = –2 ดังนั้น ความเร็วขณะเวลา t ใด ๆ คือ 3 2 t 5t 4t 2 3 2 + + − เมื่อ 0 t 15≤ ≤
  • 109. 169 จาก ds dt = v(t) = 3 2 t 5t 4t 2 3 2 + + − จะได ds dt dt∫ = 3 2 t 5t ( 4t 2)dt 3 2 + + −∫ s = 4 3 2 2 t 5t 2t 2t c 12 6 + + − + จาก s(0) = –3 จะได c2 = –3 ดังนั้น ตําแหนงของวัตถุขณะเวลา t ใด ๆ คือ 4 3 2t 5t 2t 2t 3 12 6 + + − − เมื่อ 0 t 15≤ ≤ 5. (1) โยนวัตถุขึ้นไปบนอากาศในแนวดิ่ง a = –g = –9.8 เมตร / วินาที2 จะได dv dt = –9.8 v = 9.8dt−∫ v = –9.8t + c1 โยนวัตถุขึ้นไปบนอากาศในแนวดิ่งดวยความเร็ว 98 เมตร / วินาที นั่นคือ ขณะ t = 0, v = 98 จาก v = –9.8t + c1 จะได c1 = 98 ดังนั้น v = –9.8t + 98 จาก ds dt = v(t) = –9.8t + 98 จะได s = ( 9.8t 98)dt− +∫ s = –4.9t2 + 98t + c2 เมื่อ t = 0 จะได s = 0 ดังนั้น c2 = 0 ดังนั้น สมการการเคลื่อนที่ของวัตถุ คือ s = –4.9t2 + 98t (2) วัตถุขึ้นสูงสุด เมื่อ v = 0 จาก v = –9.8t + 98 จะได 0 = –9.8t + 98 t = 10 ดังนั้น วัตถุขึ้นไปสูงสุดเมื่อเวลาผานไป 10 วินาที
  • 110. 170 (3) จาก (2) เมื่อ t = 10 จาก s = –4.9t2 + 98t จะได s = –4.9(10)2 + 98(10) s = 490 ดังนั้น ระยะทางสูงสุดที่วัตถุขึ้นไปไดคือ 490 เมตร (4) เมื่อ s = 249.9 จาก s = –4.9t2 + 98t จะได 249.9 = –4.9t2 + 98t t2 – 20t + 51 = 0 (t – 17)(t – 3) = 0 นั่นคือ t = 3 หรือ t = 17 ดังนั้น วัตถุจะอยูสูง 249.9 เมตร เมื่อเวลาผานไป 3 วินาที และ 17 วินาที 6. รถไฟวิ่งดวยความเรง a = dv dt = 1 (20 t) 4 − = t 5 4 − จาก dv dt = t 5 4 − จะได v = t (5 )dt 4 −∫ v = 2 1 t 5t c 8 − + ขณะ t = 0, v = 0 จะได c1 = 0 ดังนั้น v = 2 t 5t 8 − ถา t = 20 จะได v = 2 (20) 5(20) 8 − v = 50 นั่นคือ วินาทีที่ 20 รถไฟกําลังแลนดวยความเร็ว 50 เมตร / วินาที จาก ds dt = v = 2 t 5t 8 − จะได ds dt = 2 t 5t 8 − s = 2 t (5t )dt 8 −∫ s = 2 3 2 5t t c 2 24 − +
  • 111. 171 ขณะ t = 0 , s = 0 จะได c2 = 0 ดังนั้น s = 2 3 5t t 2 24 − ถา t = 20 จะได s = 3 25 (20) (20) 2 24 − s = 2000 3 นั่นคือ เวลา 20 วินาที รถไฟแลนไดระยะทาง 2000 3 เมตร ตอจากนั้นรถไฟแลนตอไปดวยความเร็วคงที่ 50 เมตรตอวินาที หลังจากออกจากสถานี 30 วินาที ก็คือ แลนดวยความเร็วคงที่ตอไปอีก 10 วินาที จาก s = vt s = 50 × 10 s = 500 รถไฟแลนดวยความเร็วคงที่ตอไปอีก 10 วินาที เปนระยะทาง 500 เมตร ดังนั้น หลังจากรถไฟออกจากสถานี 30 วินาที จะอยูหางจากสถานีเปน ระยะทาง เทากับ 2000 500 3 + = 2 1166 3 เมตร เฉลยแบบฝกหัด 2.11 1. 4 3 3 (x 3)dx+∫ = 4 4x ( 3x) 34 + = 256 81 ( 12) ( 9) 4 4 + − + = 304 117 4 4 − = 187 4 V = 50 ความเร็วคงที่มีความเรง 20 วินาที 10 วินาที
  • 112. 172 2. 3 2 1 (x 2x 3)dx− +∫ = 3 2 3x ( x 3x) 13 − + = 1 (9 9 9) ( 1 3) 3 − + − − + = 7 9 3 − = 20 3 3. 1 3 1 (4x 2x)dx − +∫ = 4 2 1 (x x ) 1 + − = (1 + 1) – (1 + 1) = 0 4. 1 23 1 dx x − −∫ = 11 ( ) 3x − − − = 1 1 3 − = 2 3 5. 4 2 32 3 (x )dx x +∫ = 3 2 4x 3 ( ) 23 2x − = 64 3 8 3 ( ) ( ) 3 32 3 8 − − − = 2039 55 96 24 − = 1819 96 6. 1 4 2 1 ( x x 1)dx − − + −∫ = 5 3 1x x ( x) 15 3 − + − − = 1 1 1 1 ( 1) ( 1) 5 3 5 3 − + − − − + = 26 15 − 7. 1 2 0 x(x 1)dx+∫ = 1 3 0 (x x)dx+∫ = 4 2 1x x ( ) 04 2 + = 1 1 ( ) 0 4 2 + − = 3 4
  • 113. 173 8. 1 2 2 2 0 x (x 1) dx+∫ = 1 6 4 2 0 (x 2x x )dx+ +∫ = 7 5 3 1x 2x x ( ) 07 5 3 + + = 1 2 1 ( ) 0 7 5 3 + + − = 92 105 9. 3 2 0 x ( 2x)dx 3 +∫ = 4 2 2x ( x ) 012 + = 16 ( 4) 0 12 + − = 16 3 10. 2 2 2 0 x(x 1) dx+∫ = 2 5 3 0 (x 2x x)dx+ +∫ = 6 4 2 2x x x ( ) 06 2 2 + + = 32 ( 8 2) 0 3 + + − = 62 3 เฉลยแบบฝกหัด 2.12 1. พื้นที่ที่ตองการ แสดงไดดังนี้ 0 2 4-2 4 8 12 X Y y = x2 -4
  • 114. 174 ให A แทนพื้นที่ที่ปดลอมดวยเสนโคงของ y = x2 จาก x = –3 ถึง x = 0 เนื่องจาก f(x) ≥ 0 สําหรับทุก x ที่อยูในชวง [–3, 0] จะได A = 0 2 3 x dx −∫ = 3 0x 33 − = 0 – (–9) = 9 ตารางหนวย 2. พื้นที่ที่ตองการ แสดงไดดังนี้ ให A แทนพื้นที่ที่ปดลอมดวยเสนโคงของ y = x + 1 จาก x = –1 ถึง x = 1 เนื่องจาก f(x) ≥ 0 สําหรับทุก x ที่อยูในชวง [–1, 1] จะได A = 1 1 (x 1)dx − +∫ = 2 1x ( x) 12 + − = 1 1 ( 1) ( 1) 2 2 + − − = 2 ตารางหนวย 0 2 4-2 2 4 X Y y = x + 1 -4
  • 115. 175 3. พื้นที่ที่ตองการ แสดงไดดังนี้ ให A แทนพื้นที่ที่ปดลอมดวยเสนโคงของ y = 6 + x – x2 จาก x = –1 ถึง x = 1 เนื่องจาก f(x) ≥ 0 สําหรับทุก x ที่อยูในชวง [–1, 1] จะได A = 1 2 1 (6 x x )dx − + −∫ = 2 3 1x x (6x ) 12 3 + − − = 1 1 1 1 (6 ) ( 6 ) 2 3 2 3 + − − − + + = 34 3 ตารางหนวย 4. พื้นที่ที่ตองการ แสดงไดดังนี้ 0 2 4-2 4 8 X Y y = 6 + x – x2 -4 0 2 4-2 4 8 X Y y = 9 – x2 -4
  • 116. 176 ให A แทนพื้นที่ที่ปดลอมดวยเสนโคงของ y = 9 – x2 จาก x = –3 ถึง x = 3 เนื่องจาก f(x) ≥ 0 สําหรับทุก x ที่อยูในชวง [–3, 3] จะได A = 3 2 3 (9 x )dx − −∫ = 3 3x (9x ) 33 − − = (27 – 9) – (–27 + 9) = 36 ตารางหนวย 5. พื้นที่ที่ตองการ แสดงไดดังนี้ ให A แทนพื้นที่ที่ปดลอมดวยเสนโคงของ y = x2 – 25 จาก x = –1 ถึง x = 3 เนื่องจาก f(x) ≤ 0 สําหรับทุก x ที่อยูในชวง [–1, 3] จะได A = 3 2 1 (x 25)dx − − −∫ = 3 3x ( 25x) 13 − − − = 1 [(9 75) ( 25)] 3 − − − − + = 272 3 ตารางหนวย 5-5 -10 -20 -30 10 X Y 25xy 2 −= 0
  • 117. 177 6. พื้นที่ปดลอมดวยกราฟ y = f(x) กับแกน X จาก x = 0 ถึง x = 1 ซึ่งมีพื้นที่เทากับ 1 1 2 2 × × = 1 ตารางหนวย จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะไดวา F(1) – F(0) = 1 0 f (x)dx∫ = –1 ดังนั้น F(1) = –1 + 0 = –1 พื้นที่ปดลอมดวยกราฟ y = f(x) กับแกน X จาก x = 1 ถึง x = 2 ซึ่งมีพื้นที่เทากับ 1 1 (2 1) 2 × × + = 3 2 ตารางหนวย จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะไดวา F(2) – F(1) = 2 1 f (x)dx∫ = 3 2 − ดังนั้น F(2) = 3 1 2 − − = 5 2 − พื้นที่ที่ปดลอมดวยกราฟ y = f(x) จาก x = 2 ถึง x = 3 ซึ่งมีพื้นที่เทากับ 1 1 1 2 × × = 1 2 ตารางหนวย จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะไดวา F(3) – F(2) = 3 2 f (x)dx∫ = 1 2 − ดังนั้น F(3) = 1 5 2 2 − − = –3 พื้นที่ปดลอมดวยกราฟ y = f(x) กับแกน X จาก x = 3 ถึง x = 4 ซึ่งมีพื้นที่เทากับ 1 1 1 2 × × = 1 2 ตารางหนวย จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะไดวา F(4) – F(3) = 4 3 f (x)dx∫ = 1 2 ดังนั้น F(4) = 1 3 2 − = 5 2 − y = f(x)-2 Y 0 2 4 2 X -1 6
  • 118. 178 พื้นที่ที่ปดลอมดวยกราฟ y = f(x) กับแกน X จาก x = 4 ถึง x = 5 ซึ่งมีพื้นที่เทากับ 1 1 1 2 × × = 1 2 ตารางหนวย จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะไดวา F(5) – F(4) = 5 4 f (x)dx∫ = 1 2 ∴ F(5) = 1 5 2 2 − = –2 ดังนั้น F(b) มีคา –1, 5 2 − , –3, 5 2 − , –2 เมื่อ b = 1, 2, 3, 4, 5 ตามลําดับ 7. เนื่องจากพื้นที่ปดลอม F′(x) กับแกน X บน [0, 2] เทากับ 5 จะได 2 0 F (x)dx′∫ = 5 จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะได F(2) – F(0) = 2 0 F (x)dx′∫ F(2) = 5 + 3 = 8 เนื่องจากพื้นที่ปดลอม F′(x) กับแกน X บน [2, 5] เทากับ 16 จะได 5 2 F (x)dx′∫ = –16 จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะได F(5) – F(2) = 5 2 F (x)dx′∫ F(5) = –16 + 8 = –8 เนื่องจากพื้นที่ปดลอม F′(x) กับแกน X บน [5, 6] เทากับ 10 จะได 6 5 F (x)dx′∫ = 10 จากทฤษฎีบทหลักมูลของแคลคูลัส จะได F(6) – F(5) = 6 5 F (x)dx′∫ F(6) = 10 – 8 = 2