นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
คำนำ
รายงานการวิเคราะห์รูปแบบการจัดการเรียนรู้เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา 237 401 Computer
Learning Management for Basic Education Level II-IV คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
จัดทาขึ้นเพื่อ เป็นการวิเคราะห์รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบต่างๆ ทั้ง 10 รูปแบบ โดยการวิเคราะห์ยึดตาม
ภารกิจการเรียนรู้ของแต่ละรูปแบบ ซึ่งการวิเคราะห์รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ได้แก่
การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน
การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน
การจัดการเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้
การจัดการเรียนรู้ที่เน้นปฏิบัติการ
การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
การจัดการเรียนรู้แบบส่งเสริมการคิดสร้างสรรค์
การจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้
การจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการแก้ปัญหา
การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสู่พหุปัญญา
การจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการคิด
การวิเคราะห์รูปแบบการจัดการเรียนรู้ในครั้ง ทางผู้จัดทาหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เนื้อ และการวิเคราะห์
ในครั้งนี้นั้นจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับผู้ที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับการวิเคราะห์รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ไม่มาก
ก็น้อย และหากมีข้อผิดพลาดประการใดทางผู้จัดทา ก็ต้องขอภัยในความผิดพลาดมา ณ ที่นี้ด้วย
เจนรบ โกรธา
ผู้จัดทา
I
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
สำรบัญ
เรื่อง หน้ำ
คานา I
สารบัญ II
การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน 1
การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน 3
การจัดการเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ 5
การจัดการเรียนรู้ที่เน้นปฏิบัติการ 10
การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ 14
การจัดการเรียนรู้แบบส่งเสริมการคิดสร้างสรรค์ 17
การจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ 21
การจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการแก้ปัญหา 23
การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสู่พหุปัญญา 26
การจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการคิด 29
บรรณานุกรม 32
II
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 1
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
Problem-Based Learning: PBL
กำรจัดกำรเรียนรู้แบบใช้ปัญหำเป็นฐำน
ภำรกิจ หากท่านจะจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ท่านมีวิธีหรือหลักเกณฑ์
ใดบ้างที่เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาในการกาหนดปัญหา เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ (หาคาตอบหรือหา
แนวทางแก้ปัญหานั้น ๆ)
กำรจัดกำรเรียนรู้แบบใช้ปัญหำเป็นฐำน
การจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่เริ่มต้นจากปัญหาที่เกิดขึ้น
โดยสร้างความรู้จากกระบวนการทางานกลุ่ม เพื่อแก้ปัญหาหรือสถานการณ์เกี่ยวกับชีวิตประจาวันและมี
ความสาคัญต่อผู้เรียน ตัวปัญหาจะเป็นจุดตั้งต้นของกระบวนการเรียนรู้และเป็นตัวกระตุ้นกระบวนการพัฒนา
ทักษะการแก้ปัญหาด้วยเหตุผลและการสืบค้น หาข้อมูลเพื่อเข้าใจกลไกของตัวปัญหา รวมทั้งวิธีการแก้ปัญหา
การเรียนรู้แบบนี้มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนในด้านทักษะและกระบวนการเรียนรู้ และพัฒนาผู้เรียนให้สามารรถ
เรียนรู้โดยการชี้นาตนเอง ซึ่งผู้เรียนจะได้ฝึกฝนการสร้างองค์ความรู้โดยผ่านกระบวนการคิดด้วยการแก้ปัญหา
อย่างมีความหมายต่อผู้เรียน
ขั้นตอนกำรจัดกำรเรียนรู้
ขั้นที่ 1 กาหนดปัญหา ขั้นที่ 2 ทาความเข้าใจกับปัญหา
ขั้นที่ 3 ดาเนินการศึกษา ขั้นที่ 4 สังเคราะห์ความรู้ สรุปและประเมินค่าความรู้
ขั้นที่ 5 สรุปและประเมินค่าหาคาตอบ ขั้นที่ 6 นาเสนอและประเมินผลงาน
สิ่งสาคัญในการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานคือ ปัญหา เพราะปัญหาที่ดีจะเป็นสิ่งกระตุ้นให้
ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจใฝ่แสวงหาความรู้ในการเลือกศึกษาปัญหาที่มีประสิทธิภาพ ผู้สอนจะต้องคานึงถึงพื้น
ฐานความรู้ความสามารถของผู้เรียน ประสบการณ์ ความสนใจและภูมิหลังของผู้เรียน
1
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 2
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
สิ่งที่ต้องพิจำรณำในกำรกำหนดปัญหำที่ใช้ในกำรเรียนรู้แบบใช้ปัญหำเป็นฐำน
1.เกิดขึ้นในชีวิตจริงและเกิดจากประสบการณ์ของผู้เรียนหรือผู้เรียนอาจมีโอกาสเผชิญกับปัญหานั้น
2.เป็นปัญหาที่พบบ่อย มีความสาคัญ มีข้อมูลประกอบเพียงพอสาหรับการค้นคว้า
3.เป็นปัญหาที่ยังไม่มีคาตอบชัดเจนตายตัว เป็นปัญหาที่มีความซับซ้อน คลุมเครือ หรือผู้เรียนเกิด
ความสับสน
4.ปัญหาที่เป็นประเด็นขัดแย้ง ข้อถกเถียงในสังคมยังไม่มีข้อยุติ
5.เป็นปัญหาอยู่ในความสนใจ เป็นสิ่งที่อยากรู้แต่ไม่รู้
6.ปัญหาที่สร้างความเดือดร้อน เสียหาย เกิดโทษภัยเป็นสิ่งที่ไม่ดีหากใช้ข้อมูลโดยลาพังคนเดียวอาจ
ทาให้ตอบปัญหาผิดพลาด
7.เป็นปัญหาที่มีการยอมรับว่าจริง ถูกต้อง แต่ผู้เรียนไม่เชื่อจริง ไม่สอดคล้องกับความคิดของผู้เรียน๘.
ปัญหาที่อาจมีคาตอบหรือแนวทางในการแสวงหาคาตอบได้หลายทาง ครอบคลุมการเรียนรู้ที่กว้างขวาง
หลากหลายเนื้อหา
8.เป็นปัญหาที่มีความยากความง่ายเหมาะสมกับพื้นฐานของผู้เรียน
9.เป็นปัญหาที่ไม่สามารถหาคาตอบได้ทันที ต้องการการสารวจค้นคว้าและการรวบรวมข้อมูลหรือ
ทดลองดูก่อน จึงจะได้คาตอบ ไม่สามารถที่จะคาดเดาหรือทานายได้ง่ายๆว่าต้องใช้ความรู้อะไร ยุทธวิธีใน
การสืบเสาะหาความรู้จะเป็นอย่างไรหรือคาตอบหรือผลของความรู้เป็นอย่างไร
10.เป็นปัญหาส่งเสริมความรู้ด้านเนื้อหาทักษะ สอดคล้องกับหลักสูตรการศึกษา ปัญหาที่นามา
ประกอบในการจัดกระบวนการเรียนรู้ต้องเป็นปัญหาที่มีความเป็นปัจจุบันและอยู่ในความสนใจ ของสังคมที่ยัง
หาข้อยุติไม่ได้ พบเจออยู่บ่อยครั้งในชีวิตประจาวันหรือเป็นเหตุการณ์ประสบการตรงจากผู้เรียนเอง โดยปัญหา
ที่สร้างขึ้นจะต้องสอดคล้องกับสภาพพื้นฐานของผู้เรียนและตัวหลักสูตรการศึกษา มีข้อมูลประกอบเพียงพอ
สาหรับการศึกษาค้นคว้า นอกจากนี้ยังต้องเป็นปัญหา ที่ไม่สามารถหาคาตอบได้ทันที ต้องเกิดกระบวนการ
ศึกษาค้นคว้า รวบรวมข้อมูลหรือการทดลองเพื่อให้ได้มาซึ่งคาตอบ
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 3
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
Project-Based Learning
กำรจัดกำรเรียนรู้แบบโครงงำน
ภำรกิจ จงวิเคราะห์ว่าเนื้อหาวิชาที่มีลักษณะแบบใดที่เหมาะสมสาหรับจัดโดยใช้กิจกรรม
การเรียนรู้แบบโครงงาน
กำรจัดกำรเรียนรู้แบบโครงงำน
การจัดการเรียนรู้ที่ใช้โครงงาน เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นสาคัญวิธีการหนึ่งที่จะช่วย
พัฒนาผู้เรียนทั้งด้านความรู้และทักษะผ่านการทางานที่มีการค้นคว้าและการใช้ความรู้ในชีวิตจริงโดยมีตัว
ผลงานและการแสดงออกถึงศักยภาพจากการเรียนรู้ การเรียนรู้ด้วยโครงงานจะถูกขับเคลื่อนโดยมีคาถามกา
หนดกรอบการเรียนรู้ที่เป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างมาตรฐานการเรียนรู้กับทักษะการคิดขั้นสูงเข้าสู่ สถานการณ์ที่
เกิดขึ้นในชีวิตจริง
หน่วยการเรียนรู้แบบโครงงานจะประกอบไปด้วยกลวิธีการสอนที่หลากหลายที่จะทาให้ผู้ เรียน
ทั้งหมดเกิดการเรียนรู้ แม้จะมีวิธีการเรียนรู้ที่ต่างกันก็ตาม นักเรียนสามารถขอความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญ
ภายนอกหรือชุมชนเพื่อคลี่คลาย ปัญหาหรือเนื้อหาความรู้ที่ลึกซึ้ง ส่วนการบูรณาการเทคโนโลยีและ
กระบวนการประเมินที่หลากหลายก็จะเป็นตัวช่วย เสริมให้ผลงานของนักเรียนมีคุณภาพสูงยิ่งขึ้น
การจัดการเรียนรู้ด้วยโครงงานเป็นรูปแบบวิธีสอนที่จะนานักเรียนเข้าสู่การแก้ปัญหาที่ท้าทายและ
สร้างชิ้นงานได้สาเร็จด้วยตนเอง โครงงานที่จะมาช่วยสร้างสภาวะการเรียนรู้ภายในชั้นเรียนจะเกิดได้ในหลาย
กลุ่มสาระการเรียนรู้ ในหลายเนื้อหาและในหลายระดับช่วงชั้น โครงงานจะเกิดขึ้นบนความท้าทายจากคาถาม
ที่ไม่สามารถตอบได้จากการท่องจา โครงงานจะสร้างบทบาทหลากหลายขึ้นในตัวนักเรียนเป็นผู้ที่แก้ปัญหา คน
ที่ตัดสินใจ นักค้นคว้า นักวิจัย โครงงานจะตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ที่เฉพาะเจาะจงทางการศึกษา ไม่ใช่สิ่งที่
แปลกแยกหรือเพิ่มเติมลงไปในหลักสูตรเนื้อหาที่แท้จริง
2
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 4
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ลักษณะเนื้อหำวิชำที่เหมำะสมสำหรับจัดโดยใช้กิจกรรมกำรเรียนรู้แบบโครงงำน
ลักษณะของเนื้อหาวิชาที่เหมาะสาหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงานนั้น อาจจะต้องขึ้นอยู่
กับกับว่าโครงงานที่ต้องการจัดนั้นเป็นประเภทไหน ทั้งนี้โครงงานนั้นจะมีอยู่ 4 ประเภทหลัก ดังต่อไปนี้
1. ประเภทสารวจรวบรวมข้อมูล
2. ประเภททดลอง
3. ประเภทสิ่งประดิษฐ์
4. ประเภททฤษฎี
ซึ่งลองพิจารณาแต่ละประเภทแล้ว หากถามถึงความเหมาะว่าแต่ละประเภทนั้นมีความเหมาะสม
สาหรับเนื้อหาประเภทใด ต้องพิจารณาเป็นรายประเภทไป ได้แก่
1. โครงงานประเภทสารวจรวบรวมข้อมูล
โครงงานประเภทนี้จะเหมาะสาหรับเนื้อหาที่มีลักษณะ การสารวจ ไม่ว่าจะเป็น พืชพันธุ์ไม้ในโรงเรียน
ในท้องถิ่น พฤติกรรมด้านต่างๆ ของสัตว์ การสารวจปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชน การศึกษาลักษณะของอากาศ
ในท้องถิ่น
2. โครงงานประเภททดลอง
โครงงานประเภทนี้จะเหมาะสาหรับเนื้อหาที่มีลักษณะ ปฏิบัติจริงกับปัญหาหรือข้อสงสัยของนักเรียน
ดาเนินการอบรม ทดลองสรุปผล วิเคราะห์ผลที่ได้ออกมา ซึ่งจะเป็นการใช้ทักษะ กระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์อย่างสมบูรณ์
3. โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์
โครงงานประเภทนี้ เป็นการประดิษฐ์สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เครื่องมือ เครื่องใช้ หรืออุปกรณ์เพื่อใช้สอยต่าง ๆ
สิ่งประดิษฐ์อาจคิดขึ้นมาใหม่ ปรับปรุงหรือสร้างแบบจาลอง โดยประยุกต์หลักการทางวิทยาศาสตร์ ใช้
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีการกาหนดตัวแปรที่จะศึกษาและทดสอบประสิทธิภาพของชิ้นงานด้วย
4. โครงงานประเภททฤษฎี
โครงงานประเภทนี้ เป็นการใช้จินตนาการของตนเองมาอธิบายหลักการหรือแนวความคิดใหม่ๆ ซึ่ง
อาจอธิบายในรูปของสูตรหรือสมการ หรืออธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นและไม่สามารถอธิบายได้โดยหลักการ
เดิมๆ การทาโครงงานประเภทนี้ ผู้ทาโครงงานจะต้องมีความรู้ในเรื่องนั้นๆ เป็นอย่างดี จึงสามารถอธิบายได้
อย่างมีเหตุผลและน่าเชื่อถือ จึงไม่เหมาะที่จะทาในระดับนักเรียนมากนัก
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 5
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
Resources-Based Learning
กำรจัดกำรเรียนรู้จำกแหล่งเรียนรู้
ภำรกิจ จงให้เหตุผลประกอบว่าการจัดการเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ เป็นการจัดการเรียนรู้ที่
สนองตอบต่อพระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ.2542 อย่างไร
กำรจัดกำรเรียนรู้จำกแหล่งเรียนรู้คืออะไร
การใช้แหล่งเรียนรู้มีความสาคัญในกระบวนการจัดการเรียนรู้สาหรับผู้เรียนเพราะผู้เรียนสามารถ
เรียนรู้จากสภาพจริง การจัดการเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้จะเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ ธรรมชาติ หน่วยงาน
องค์กร สถานประกอบการ ชุมชน และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ซึ่งผู้เรียน ผู้สอนสามารถศึกษาค้นคว้าหาความรู้หรือ
เรื่องที่สนใจได้จากแหล่งเรียนรู้ทั้งที่เป็นธรรมชาติ และที่มนุษย์สร้างขึ้น ชุมชนและธรรมชาติเป็นขุมทรัพย์
มหาศาลที่เราสามารถค้นพบความรู้ได้ไม่รู้จบ ทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
แนวคิดที่สำคัญของกำรจัดกำรเรียนรู้จำกแหล่งเรียนรู้
แนวคิดของการจัดการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนสามารถ
กระตุ้นให้ผู้เรียนได้คิด ได้ปฏิบัติงานด้วยเอกลักษณ์ของตัวเอง แนวคิดที่สาคัญมีดังนี้
1. การจัดการเรียนรู้เน้นความสาคัญที่ผู้เรียน ให้ผู้เรียนมีความสาคัญที่สุดในกระบวนการเรียนรู้
2. ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยการฝึกทักษะการใช้กระบวนการคิด การวิเคราะห์ การสังเกต การรวบรวม
ข้อมูล และการปฏิบัติจริง ทาได้ คิดเป็น ทาเป็น
3. ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความสุข สนุกกับการเรียนรู้ ได้คิด แสดงออกอย่างอิสระ บรรยากาศการเรียน
ที่เป็นกัลยาณมิตร
4. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทั้งระบบ
5. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจัดกระบวนการเรียนรู้ของครูผู้สอนให้เป็นผู้รับฟัง ผู้เสนอแนะ ผู้ร่วม
เรียนรู้ เป็นที่ปรึกษา ผู้สร้างโอกาส สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อ การเรียนรู้เป็นนักออกแบบการจัดกระบวนการ
เรียนรู้ให้ผู้เรียนมีบทบาทมากที่สุด
6. ต้องการให้เรียนรู้ในสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิต คือ สิ่งที่อยู่ใกล้ตัว จากง่ายสู่ยาก จาก
รูปธรรมสู่นามธรรม โดยใช้แหล่งการเรียนรู้เป็นสื่อ ประสบการณ์ชีวิต ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
มาเป็นฐานการเรียนและประยุกต์ใช้กับการป้องกันและแก้ปัญหา
3
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 6
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
7. ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกจัดกิจกรรม ได้เรียนรู้ตามความต้องการ ความสนใจใฝ่ เรียนรู้
ตามความต้องการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยตนเอง
8. ถือว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา
9. ปลูกฝังสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรมค่านิยมที่ดีงาม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์
ในทุกสาระการเรียนรู้
พระรำชบัญญัติกำรศึกษำแห่งชำติ พ.ศ. 2542 เป็นอย่ำงไร
เป็นกฎหมายที่กาหนดขึ้นเพื่อแก้ไขหรือแก้ปัญหาทางการศึกษา และถือได้ว่าเป็นเครื่องมือสาคัญใน
การปฏิรูปการศึกษา อาจสรุปหลักการสาคัญได้ 7 ด้าน ดังนี้
1. ด้ำนควำมเสมอภำคของโอกำสทำงกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน ปรากฏตามนัย มาตรา 10 วรรค 1 คือ
การจัดการศึกษาต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปี
ที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย มาตรา 8 (1) การจัดการศึกษาให้ยึดหลักว่าเป็น
การศึกษาตลอดชีวิตสาหรับประชาชน
2. ด้ำนมำตรฐำนคุณภำพกำรศึกษำ ปรากฏตาม มาตรา 9 (3) กาหนดมาตรฐานการศึกษาและ
จัดระบบประกันคุณภาพการศึกษาทุกระดับและประเภทการศึกษา และ มาตรา 47 ให้มีระบบประกันคุณภาพ
การศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาทุกระดับ ประกอบด้วย ระบบประกันคุณภาพภายใน
และระบบประกันคุณภาพภายนอก
3. ด้ำนระบบบริหำรและกำรสนับสนุนทำงกำรศึกษำ ปรากฏตาม มาตรา 9 (2) การจัดระบบ
โครงสร้างและกระบวนการจัดการศึกษา ให้ยึดหลักดังนี้ (1) มีเอกภาพด้านนโยบายและหลากหลายในการ
ปฏิบัติ (2) มีการกระจายอานาจไปสู่เขตพื้นที่การศึกษา สถานศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (3)
ระดมทรัพยากรจากแหล่งต่าง ๆ มาใช้จัดการศึกษา (4) การมีส่วนร่วมของบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กร
ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และ
สถาบันสังคมอื่น ๆ
มาตรา 43 การบริหารและการจัดการศึกษาของเอกชน ให้มีความเป็นอิสระ โดยมีการกากับ ติดตาม การ
ประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาจากรัฐ และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การประเมินคุณภาพและ
มาตรฐานการศึกษาเช่นเดียวกับการศึกษาของรัฐ
4. ด้ำนครู คณำจำรย์ และบุคลำกรทำงกำรศึกษำ ปรากฏตาม มาตรา 9 (4) มีหลักการส่งเสริม
มาตรฐานวิชาชีพครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา และการพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากร
ทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
มาตรา 52 ให้กระทรวงส่งเสริมให้มีระบบ กระบวนการผลิต การพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทาง
การศึกษาให้มีคุณภาพ และมาตรฐานที่เหมาะสมกับการเป็นวิชาชีพชั้นสูง โดยการกากับและประสานให้
สถาบันที่ทาหน้าที่ผลิตและพัฒนาครู คณาจารย์ รวมทั้งบุคลากรทางการศึกษาให้มีความพร้อมและมีความ
เข้มแข็งในการเตรียมบุคลากรใหม่และการพัฒนาบุคลากรประจาการอย่างต่อเนื่อง รัฐพึงจัดสรรงบประมาณ
และจัดตั้งกองทุนพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาอย่างเพียงพอ
5. ด้ำนหลักสูตร ปรากฏตาม มาตรา 8 (3) การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่าง
ต่อเนื่อง มาตรา 27 ให้คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกาหนดหลักสูตรภาคบังคับ การศึกษาขั้นพื้นฐาน
เพื่อความเป็นไทย ความเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ การดารงชีวิต และการประกอบอาชีพ ตลอดจนเพื่อ
การศึกษาต่อ ให้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีหน้าที่จัดทาสาระของหลักสูตรตามวัตถุประสงค์ในวรรคหนึ่ง ในส่วน
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 7
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ที่เกี่ยวกับสภาพปัญหาในชุมชนและสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะอันพึงประสงค์เพื่อเป็นสมาชิกที่ดีของ
ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ
มาตรา 28 หลักสูตรสถานศึกษาต่าง ๆ รวมทั้งหลักสูตรสถานศึกษาสาหรับบุคคลพิการ ต้องมีลักษณะ
หลากหลาย ทั้งนี้ให้จัดตามความเหมาะสมของแต่ละระดับ โดยมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลให้เหมาะสม
แก่วัยและศักยภาพ
สาระของหลักสูตรทั้งที่เป็นวิชาการและวิชาชีพ ต้องมุ่งพัฒนาคนให้มีความสมดุลทั้งด้านความรู้ ความคิด
ความสามารถ ความดีงาม และความรับผิดชอบต่อสังคม
สาหรับหลักสูตรการศึกษาระดับอุดมศึกษา นอกจากคุณลักษณะในวรรคหนึ่งและวรรคสองแล้ว ยังมีความ
มุ่งหมายเฉพาะที่จะพัฒนาวิชาการ วิชาชีพชั้นสูง และด้านการค้นคว้า วิจัย เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และพัฒนา
ทางสังคม
มาตรา 24 (1) จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัด โดยคานึงถึงความ
แตกต่างระหว่างบุคคล
6. ด้ำนกระบวนกำรเรียนรู้ ปรากฏตาม มาตรา 22 การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมี
ความสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้อง
ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ
มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการ
ดังนี้ (1) จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคานึงถึงความ
แตกต่างระหว่างบุคคล (2) ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์
ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา (3) จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการ
ปฏิบัติให้คิดได้ คิดเป็น ทาเป็น รักการอ่าน และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง (4) จัดการเรียนการสอนโดย
ผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและ
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา (5) ส่งเสริมสนับสนุนให้ครูสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อมสื่อ
การเรียน และอานวยความสะดวกเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วน
หนึ่งของกระบวนการจัดการเรียนรู้ ทั้งนี้ครูและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกัน จากสื่อการเรียนการสอนและ
แหล่งวิทยาการประเภทต่างๆ (6) จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือ
กับบิดา มารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ
มาตรา 25 รัฐต้องเร่งส่งเสริมการดาเนินงาน และการจัดตั้งแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกรูปแบบ ได้แก่
ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ศูนย์การกีฬาและนันทนาการ แหล่งข้อมูล และแหล่งการเรียนรู้อื่น อย่างพอเพียงและมี
ประสิทธิภาพ
มาตรา 26 ให้สถานศึกษาจัดการประเมินผู้เรียนโดยพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ การ
สังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรม และการทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอนตามความ
เหมาะสมของแต่ละระดับและรูปแบบการศึกษา
มาตรา 8 (1) และ (3) การจัดการศึกษายึดหลักดังนี้ (1) เป็นการศึกษาตลอดชีวิตสาหรับประชาชน (3) การ
พัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
7. ด้ำนทรัพยำกรและกำรลงทุนเพื่อกำรศึกษำ ปรากฏตาม มาตรา 9 (5) การจัดระบบ โครงสร้าง
และกระบวนการจัดการศึกษา ให้ยึดหลักดังนี้ (5) ระดมทรัพยากรจากแหล่งต่างๆ มาใช้ในการจัดการศึกษา
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 8
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
มาตรา 58 ให้มีการระดมทรัพยากรการลงทุนด้านงบประมาณ การเงิน และทรัพย์สิน ทั้งจากรัฐ องค์กร
ปกครองส่วนท้องถิ่น บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบัน
ศาสนา สถานประกอบการ สถาบันสังคมอื่น และต่างประเทศ มาใช้ในการจัดการศึกษา
มาตรา 60 ให้รัฐจัดสรรงบประมาณแผ่นดินให้กับการศึกษา ในฐานะที่มีความสาคัญสูงสุดต่อความมั่นคง
ยั่งยืนของประเทศ โดยจัดสรรเป็นเงินงบประมาณเพื่อการศึกษา
กำรจัดกำรเรียนรู้จำกแหล่งเรียนรู้ เป็นกำรจัดกำรเรียนรู้ที่สนองตอบต่อพระรำชบัญญัติกำรศึกษำ
พ.ศ.2542 อย่ำงไร
ถ้าหากพิจารณาจากแนวคิดที่สาคัญของการจัดการเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ แล้วจะพบว่า การจัดการ
เรียนรู้แบบนี้ สามารถตอบสนองต่อพระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ. 2542 ดังนี้
1. การจัดการเรียนรู้เน้นความสาคัญที่ผู้เรียน ให้ผู้เรียนมีความสาคัญที่สุดในกระบวนการเรียนรู้ ดังจะ
เห็นได้ใน มาตรา 22 การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้
และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตาม
ธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ
2. ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยการฝึกทักษะการใช้กระบวนการคิด การวิเคราะห์ การสังเกต การรวบรวม
ข้อมูล และการปฏิบัติจริง ทาได้ คิดเป็น ทาเป็น ดังจะพบได้ใน มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้
สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้ (2) ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญ
สถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา (3) จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จาก
ประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้คิดได้ คิดเป็น ทาเป็น รักการอ่าน และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง
3. ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความสุข สนุกกับการเรียนรู้ ได้คิด แสดงออกอย่างอิสระ บรรยากาศการเรียน
ที่เป็นกัลยาณมิตร ดังปรากฏใน มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่
เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้ (5) ส่งเสริมสนับสนุนให้ครูสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อมสื่อการเรียน และ
อานวยความสะดวกเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของ
กระบวนการจัดการเรียนรู้ ทั้งนี้ครูและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกัน จากสื่อการเรียนการสอนและแหล่ง
วิทยาการประเภทต่างๆ
4. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทั้งระบบ ดังปรากฏใน มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้
สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้ (1) จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความ
สนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
5. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจัดกระบวนการเรียนรู้ของครูผู้สอนให้เป็นผู้รับฟัง ผู้เสนอแนะ ผู้ร่วม
เรียนรู้ เป็นที่ปรึกษา ผู้สร้างโอกาส สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อ การเรียนรู้เป็นนักออกแบบการจัดกระบวนการ
เรียนรู้ให้ผู้เรียนมีบทบาทมากที่สุด ดังปรากฏใน มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้ (5) ส่งเสริมสนับสนุนให้ครูสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อมสื่อการ
เรียน และอานวยความสะดวกเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่ง
ของกระบวนการจัดการเรียนรู้ ทั้งนี้ครูและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกัน จากสื่อการเรียนการสอนและแหล่ง
วิทยาการประเภทต่างๆ
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 9
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
6. ต้องการให้เรียนรู้ในสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิต คือ สิ่งที่อยู่ใกล้ตัว จากง่ายสู่ยาก จาก
รูปธรรมสู่นามธรรม โดยใช้แหล่งการเรียนรู้เป็นสื่อ ประสบการณ์ชีวิต ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
มาเป็นฐานการเรียนและประยุกต์ใช้กับการป้องกันและแก้ปัญหา ดังปรากฏใน มาตรา 26 ให้สถานศึกษา
จัดการประเมินผู้เรียนโดยพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการเรียน
การร่วมกิจกรรม และการทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอนตามความเหมาะสมของแต่ละระดับ
และรูปแบบการศึกษา
มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้ (5)
ส่งเสริมสนับสนุนให้ครูสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อมสื่อการเรียน และอานวยความสะดวกเพื่อให้เกิด
การเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดการเรียนรู้ ทั้งนี้ครูและ
ผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกัน จากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่างๆ
7. ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกจัดกิจกรรม ได้เรียนรู้ตามความต้องการ ความสนใจใฝ่ เรียนรู้
ตามความต้องการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยตนเอง ดังปรากฏใน มาตรา 24 การ
จัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้ (1) จัดเนื้อหาสาระและ
กิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
8. ถือว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาต่างๆ ดังปรากฏใน มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้
ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้ (6) จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ มี
การประสานความร่วมมือกับบิดา มารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตาม
ศักยภาพ
9. ปลูกฝังสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรมค่านิยมที่ดีงาม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์
ในทุกสาระการเรียนรู้ ดังปรากฏใน มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่
เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้ (4) จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุล
กัน รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 10
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
Learning By Doing
กำรจัดกำรเรียนรู้ที่เน้นกำรปฏิบัติ
ภำรกิจ จงวิเคราะห์ว่าการจัดการเรียนรู้ที่เน้นปฏิบัติการ มีจุดเด่นของการจัดการเรียนรู้
อย่างไรบ้างซึ่งสอดคล้องหรือสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ
ลักษณะเด่นของกำรจัดกำรเรียนรู้ที่เน้นกำรปฏิบัติ
1. ผู้เรียนมีความสุขกับการเรียน ได้เรียนรู้อย่างสนุกสนาน โดยผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย
และสื่อที่เร้าความสนใจ
2. ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามความสนใจ ตามความถนัด ตามศักยภาพของตน ด้วยการศึกษา
ฝึกปฏิบัติ ฝึกทักษะ สรุปองค์ความรู้ได้ ทาให้เกิดความเชื่อมั่น เป็นแรงจูงใจให้เกิดการใฝ่รู้ ใฝ่เรียน
3. กิจกรรมกลุ่มช่วยเสริมสร้างลักษณะนิสัยที่พึงประสงค์ เกิดกระบวนการทางานกลุ่ม
เช่น มีการวางแผนการทางานร่วมกัน มีความรับผิดชอบและเสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีวินัยในตนเอง มี
พฤติกรรมที่เป็นพฤติกรรมที่เป็นประชาธิปไตย เป็นผู้นาและผู้ตามที่ดี รู้จักรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น ผู้เรียนที่
เรียนรู้ช้าจะเรียนรู้อย่างมีความสุข มีชีวิตชีวา ได้รับกาลังใจและได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อน ทาให้เกิดความ
มั่นใจ ผู้เรียนที่เรียนดีและเรียนได้เร็วจะแสดงความสามารถของตนเอง มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และแบ่งปันสิ่งที่
ดีให้แก่กัน
4. ผู้เรียนเกิดกระบวนการการคิดจากการร่วมกิจกรรมและการค้นหาคาตอบจากประเด็นคาถามของ
ผู้สอนและเพื่อน ๆ สามารถค้นหาวิธีการและคาตอบได้ด้วยตนเอง สามารถแสดงออกได้ชัดเจนมีเหตุผล
5. ทุกขั้นตอนของการจัดกิจกรรม จะสอดแทรกคุณธรรมและจริยธรรม เพื่อให้ผู้เรียนซึม
ซับสิ่งที่ดีงามไว้ในตนเองอยู่ตลอดเวลา
6. กระบวนการเรียนรู้คานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลโดยให้แต่ละคนเรียนรู้เต็มตามศักยภาพ
ของตน ไม่นา ผลงานของผู้เรียนมาเปรียบเทียบกัน มุ่งให้ผู้เรียนแข่งขันกับตนเองและไม่เล็งผลเลิศจนเกินไป
7. ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความสุข เกิดการพัฒนารอบด้าน มีอิสระที่จะเลือกสาระการเรียนรู้ที่เหมาะสม
กับตนเอง และนาความรู้ที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวันได้อย่างเหมาะสม
4
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 11
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
กำรจัดกำรเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเป็นอย่ำงไร
1. Active Learning ผู้เรียนเป็นผู้กระทาหรือปฏิบัติด้วยตนเองด้วยความกระตือรือร้น เช่น ได้คิด
ค้นคว้า ทดลองรายงาน ทาโครงการ สัมภาษณ์ แก้ปัญหา ฯลฯ ได้ใช้ประสาทสัมผัสต่างๆ ทาให้เกิดการเรียนรู้
ด้วยตนเองอย่างแท้จริง ผู้สอนทาหน้าที่เตรียมการจัดบรรยากาศการเรียนรู้ จัดสื่อสิ่งเร้าเสริมแรงให้คาปรึกษา
และสรุปสาระการเรียนรู้ร่วมกัน
2. Construct ผู้เรียนได้ค้นพบสาระสาคัญหรือองค์การความรู้ใหม่ด้วยตนเอง อันเกิดจากการได้
ศึกษาค้นคว้าทดลอง แลกเปลี่ยนเรียนรู้และลงมือปฏิบัติจริง ซึ่งจะทาให้ผู้เรียนสามารถนาสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ได้
จริงในชีวิตประจาวัน รวมทั้งทาให้ผู้เรียนรักการอ่าน รักการศึกษาค้นคว้าเกิดทักษะในการแสวงหาความรู้ เห็น
ความสาคัญของการเรียนรู้ ซึ่งนาไปสู่การเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ (Learning Man) ที่พึงประสงค์
3. Resource ผู้เรียนได้เรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ที่หลากหลายทั้งบุคคลและเครื่องมือทั้งใน
ห้องเรียนและนอกห้องเรียน ผู้เรียนได้สัมผัสและสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทั้งที่เป็นมนุษย์ (เช่น ชุมชน ครอบครัว
องค์กรต่างๆ) ธรรมชาติและเทคโนโลยี ตามหลักการที่ว่า “การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาและทุก
สถานการณ์)”
4. Thinking ส่งเสริมกระบวนการคิด ผู้เรียนได้ฝึกวิธีคิดในหลายลักษณะ เช่น คิดคล่อง คิด
หลากหลาย คิดละเอียด คิดชัดเจน คิดถูก ทางคิดกว้าง คิดลึกซึ้ง คิดไกล คิดอย่างมีเหตุผล เป็นต้น การฝึกให้
ผู้เรียนได้คิดอยู่เสมอในลักษณะต่างๆ จะทาให้ผู้เรียนเป็นคนคิดเป็น แก้ปัญหาเป็น คิดอย่างรอบคอบมีเหตุผล
มีวิจารณญาณ ในการคิด มีความคิดสร้างสรรค์ มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ที่จะเลือกรับและปฏิเสธ
ข้อมูล ข่าวสารต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนสามารถแสดงความคิดเห็นออกได้อย่างชัดเจนและมี เหตุผล
อันเป็นประโยชน์ต่อการดารงชีวิตประจาวัน
5. Happiness ผู้เรียนเรียนอย่างมีความสุข ซึ่งเป็นความสุขที่เกิดจาก 1) ผู้เรียนได้เรียนในสิ่งที่ตน
ชอบหรือสนใจ ทาให้เกิดแรงจูงใจในการใฝ่รู้ ท้าทาย อยากค้นคว้า อยากแสดงความสามารถและให้ใช้
ศักยภาพของตนอย่างเต็มที่ 2) การมีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนและระหว่างผู้เรียนกับ
ผู้เรียน มีลักษณะเป็นกัลยาณมิตร มีการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน มีกิจกรรมร่วมด้วยช่วยกัน ทาให้ผู้เรียน
รู้สึกมีความสุขและสนุกกับการเรียน
6. Participation ผู้เรียนมีส่วนร่วม ตั้งแต่การวางแผนกาหนดงาน วางเป้าหมายร่วมกัน และมี
โอกาสเลือกทางานหรือศึกษาค้นคว้าในเรื่องที่ตรงกับความถนัดความสามารถ ความสนใจ ของตนเอง ทาให้
ผู้เรียนเรียนด้วยความกระตือรือร้น มองเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรียนและสามารถ ประยุกต์ความรู้นาไปใช้
ประโยชน์ในชีวิตจริง
7. Individualization ผู้สอนให้ความสาคัญแก่ผู้เรียนในความเป็นเอกัตบุคคล ผู้สอนต้องยอมรับใน
ความสามารถ ความคิดเห็น ความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน มุ่งให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองให้เต็ม
ศักยภาพมากกว่าเปรียบเทียบแข่งขันระหว่างกันโดยมีความเชื่อมั่นผู้เรียนทุกคนมีความสามารถในการเรียนรู้
ได้ และมีวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน
8. Good Habit ผู้เรียนได้พัฒนาคุณลักษณะนิสัยที่ดีงาม เช่น ความรับผิดชอบ ความเมตตา กรุณา
ความมีน้าใจ ความขยัน ความมีระเบียบวินัย ความเสียสละ ฯลฯ และ ลักษณะนิสัยในการทางานอย่างเป็น
กระบวนการการทางานร่วมกับผู้อื่น การยอมรับผู้อื่น และ การเห็นคุณค่าของงาน เป็นต้น
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 12
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
9. Self-Evaluation ผู้เรียนประเมินตนเอง เดิมผู้สอนเป็นผู้ประเมินฝ่ายเดียว แต่การเปิดโอกาสให้
ผู้เรียนประเมินตนเองอย่างสม่าเสมอและต่อเนื่อง จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจตนเองได้ชัดเจนขึ้น รู้จุดเด่นจุดด้อย
และพร้อมที่จะปรับปรุงหรือพัฒนาตนเองให้เหมาะสมยิ่งขึ้น การประเมินในส่วนนี้เป็นการประเมินตามสภาพ
จริงและอาจใช้แฟ้มสะสมผลงานช่วย
กำรจัดกำรเรียนรู้ของกำรเรียนรู้ที่เน้นปฏิบัติกำรสอดคล้องหรือสนับสนุนกำรเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียน
เป็นสำคัญอย่ำงไร
กำรจัดกำรเรียนรู้ที่เน้นกำรปฏิบัติ
ควำมสอดคล้องหรือสนับสนุนกำรจัดกำรเรียนรู้ที่
เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
1. ผู้เรียนมีความสุขกับการเรียน ได้เรียนรู้อย่างสนุกสนาน
โดยผ่านกิจกรรมที่หลากหลายและสื่อที่เร้าความสนใจ
หากผู้เรียนมีความสุขกับการเรียน ได้เรียนรู้อย่าง
สนุกสนาน แสดงว่าสิ่งที่เขาเรียนนั้นเป็นสิ่งที่เขาชอบ
สิ่งที่เขามีความสนใจ ซึ่งจะสนับสนุนการเรียนที่เน้น
ผู้เรียนเป็นสาคัญ ที่ความต้องการหรือความสนใจของ
ผู้เรียนเป็นสาคัญ ผู้เรียนมีสิทธิ์ที่จะเลือกเรียนรู้
2. ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามความสนใจ ตามความถนัด ตาม
ศักยภาพของตน ด้วยการศึกษาฝึกปฏิบัติ ฝึกทักษะ สรุป
องค์ความรู้ได้ ทาให้เกิดความเชื่อมั่น เป็นแรงจูงใจให้เกิด
การใฝ่รู้ ใฝ่เรียน
ข้อนี้จะเด่นชัดมาก คือ ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามความ
สนใจ ตามความถนัด ตามศักยภาพของตน ด้วย
การศึกษาฝึกปฏิบัติ ฝึกทักษะ สรุปองค์ความรู้ได้ ซึ่ง
จะเห็นได้ชัดว่า จัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ
จะเน้นให้ผู้เรียนสามารถสร้างสร้างองค์ความรู้ได้ด้วย
ตนเอง กล่าวคือ ให้สามารถเรียนรู้จากประสบการณ์
ในสภาพความเป็นจริง สามารถวิจัยเชิงปฏิบัติการ
และสืบค้นหาความรู้ด้วยตนเอง
3. กิจกรรมกลุ่มช่วยเสริมสร้างลักษณะนิสัยที่พึงประสงค์
เกิดกระบวนการทางานกลุ่มเช่น มีการวางแผนการทางาน
ร่วมกัน มีความรับผิดชอบและเสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มี
วินัยในตนเอง มีพฤติกรรมที่เป็นพฤติกรรมที่เป็น
ประชาธิปไตย เป็นผู้นาและผู้ตามที่ดี รู้จักรับฟังความ
คิดเห็นผู้อื่น ผู้เรียนที่เรียนรู้ช้าจะเรียนรู้อย่างมีความสุข มี
ชีวิตชีวา ได้รับกาลังใจและได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อน
ทาให้เกิดความมั่นใจ ผู้เรียนที่เรียนดีและเรียนได้เร็วจะ
แสดงความสามารถของตนเอง มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และ
แบ่งปันสิ่งที่ดีให้แก่กัน
ลักษณะเด่นในข้อนี้ จะเน้นในเรื่องกระบวนการ
ทางานกลุ่ม มีกระบวนการในการทางาน มีความ
รับผิดชอบและเสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีวินัยใน
ตนเอง และอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนั้นจะสอดคล้องและ
สนับสนุนกันเป็นอย่างดีกับ การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียน
เป็นสาคัญ คือ เน้นความร่วมมือ ซึ่งเป็นทักษะที่สาคัญ
ในการดาเนินชีวิตประจาวัน เน้นรูปแบบการเรียนรู้ ซึ่ง
อาจจัดได้ทั้งในรูปเป็นกลุ่มหรือเป็นรายบุคคล
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 13
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
กำรจัดกำรเรียนรู้ที่เน้นกำรปฏิบัติ
ควำมสอดคล้องหรือสนับสนุนกำรจัดกำรเรียนรู้ที่
เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
4. ผู้เรียนเกิดกระบวนการการคิดจากการร่วมกิจกรรมและ
การค้นหาคาตอบจากประเด็นคาถามของผู้สอนและเพื่อน
ๆ สามารถค้นหาวิธีการและคาตอบได้ด้วยตนเอง สามารถ
แสดงออกได้ชัดเจนมีเหตุผล
ในส่วนนี้เอง ก็เป็นส่วนหนึ่งที่สอดคล้องกับการ
เรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ เพราะ หาก
กระบวนการคิดจากกิจกรรมนั้น เป็นการร่วมมือการ
เรียนรู้ที่ผู้เรียนคิดวิธีการหาคาตอบเอง ใช้ทักษะเอง
โดยมีครูเป็นเพียงผู้แนะนา จะทาให้ได้ผลงานที่ดีและมี
ประสิทธิภาพ
5. เน้นการประเมินตนเอง เดิมผู้สอนเป็นผู้ประเมิน การเปิด
โอกาสให้ผู้เรียนประเมินตนเองอย่างสม่าเสมอและต่อเนื่อง
จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจตนเองได้ชัดเจนขึ้น รู้จุดเด่นจุดด้อย
และพร้อมที่จะปรับปรุงหรือพัฒนาตนเองให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
การประเมินในส่วนนี้เป็นการประเมินตามสภาพจริงและใช้
แฟ้มสะสมผลงานช่วย
การที่เปลี่ยนการประเมิน เป็นการประเมินตนเอง
ของผู้เรียนนั้น เป็นอีกประการหนึ่งที่สาคัญสาหรับ
การจัดการเรียนรู้แบบเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ เพราะ
นอกจากประเด็นต่างๆที่กล่าวมา หากไม่เปิดโอกาสใน
การให้ประเมินตนเองของผู้เรียนแล้ว ก็ยังไม่ใช่ การ
เรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางที่แท้จริง หากเปิด
โอกาสให้ผู้เรียนได้ประเมินตนเองแล้วนั้น จะส่งผลให้
ผู้เรียนรู้จักตัวเองได้ดี ทั้งในข้อเด่น ข้อด้อย เพื่อการ
ปรับปรุงพัฒนาที่ตรงจุด
6. เน้นความร่วมมือ ซึ่งเป็นทักษะที่สาคัญในการดาเนิน
ชีวิตประจาวัน
การเรียนแบบเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ไม่เพียงให้
อิสระในการเรียนรู้ของผู้เรียนเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาส
ในด้วยการทางาน ซึ่งสามรถจัดได้ทั้งงานในรูปแบบ
กลุ่ม หรือเดี่ยว ตามความเหมาะสมและความสนใจใน
การเรียนของผู้เรียน และที่สาคัญ ถ้าผู้เรียนมีความ
ร่วมมือกันเองภายในแล้ว ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้ที่
หลากหลายมากขึ้นอีกด้วย
7. เน้นรูปแบบการเรียนรู้ ซึ่งอาจจัดได้ทั้งในรูปเป็นกลุ่ม
หรือเป็นรายบุคคล
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 14
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
Collaborative Learning
กำรจัดกำรเรียนรู้แบบร่วมมือ
ภำรกิจ จงแสดงเหตุผลว่าหากท่านจะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบการ
จัดการเรียนแบบร่วมมือ ท่านจะเลือกใช้รูปแบบใดเพราะเหตุใด (โปรดระบุเนื้อหาที่ท่านใช้ใน
กิจกรรมครั้งนี้ด้วย)
กำรจัดกำรเรียนรู้แบบร่วมมือมีรูปแบบของกิจกรรมแบบใดบ้ำง
1. แนวคิดของ Johnson and Johnson
2. แนวคิดของ Robert Slavin
2.1 STAD (Student Teams -Achievement Division) เป็นรูปแบบการเรียนรู้มีเป้าหมาย
เพื่อพัฒนาการสัมฤทธิ์พลของการเรียนและทักษะทางสังคมเป็นสาคัญ
2.2 TGT (Team Games Tournament) เป็นรูปแบบที่คล้ายกับ STAD แต่เป็นการจูงใจใน
การเรียนเพิ่มขึ้น โดยการใช้การแข่งขันเกมแทนการทดสอบย่อย
2.3 TAI (Team Assisted Individualization) เป็นรูปแบบการเรียนที่ผสมผสานแนวคิด
ระหว่างการร่วมมือในการเรียนรู้กับการสอนเป็นรายบุคคล (Individualized Instruction) รูปแบบของ TAI
เป็นการประยุกต์ใช้กับการสอนคณิตศาสตร์
2.4 CIRC (Cooperative Integrated Reading and Composition) เป็นรูปแบบการเรียน
แบบร่วมมือแบบผสมผสาน ที่มุ่งพัฒนาขึ้นเพื่อสอนการอ่านและการเขียนสาหรับนักเรียนประถมศึกษาตอน
ปลายโดยเฉพาะ
2.5 Jigsaw ผู้ที่คิดค้นการเรียนการสอนแบบ Jigsaw เริ่มแรกคือ Elliot – Aronson และ
คณะ(1978) หลังจากนั้น สลาวินได้นาแนวคิดดังกล่าวมาปรับขยายเพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบการเรียนแบบ
ร่วมมือมากยิ่งขึ้น เป็นรูปแบบที่เหมาะสมกับวิชาที่เกี่ยวข้องกับการบรรยาย เช่น สังคมศึกษาวรรณคดี
วิทยาศาสตร์ในบางเรื่อง รวมทั้งวิชาอื่น ๆ ที่เน้นการพัฒนาความรู้ ความเข้าใจมากกว่าพัฒนาทักษะ
5
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 15
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
3. แนวคิดของ Shlomo Sharan and Yael Sharan
3.1 GI (Group Investigation) เป็นรูปแบบการเรียนแบบร่วมมือที่มีความซับซ้อนและกว้าง
มาก ปรัชญาของรูปแบบ GI ก็คือ ต้องการปลูกฝังการร่วมมือกันอย่างมีประชาธิปไตย มีการกระจายภาระงาน
และสิทธิในการแสดงความคิดเห็นที่เท่าเทียมกันของสมาชิกในกลุ่ม GI มีการกระตุ้นบทบาทที่แตกต่างกันทั้ง
ภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่ม
3.2 Co – op Co – op เป็นรูปแบบที่พัฒนาโดย Shlomo และ Yael Shsran ที่ใช้ในงาน
เฉพาะอย่าง ลักษณะสาคัญคือ สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มย่อยจะได้รับมอบหมายให้ศึกษาเนื้อหา หรือทา
กิจกรรมที่ต่างกัน ทา เสร็จแล้วนาผลงานมารวมกันเป็นกลุ่มร่วมกันแก้ไขทบทวนแล้วนามาเสนอต่อชั้นเรียน
7. กำรเล่ำเรื่องรอบวง (Round robin) เป็นเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือที่เปิดโอกาสให้สมาชิกทุก
คนในกลุ่มได้เล่าประสบการณ์ ความรู้ สิ่งที่ตนกา ลังศึกษา สิ่งที่ตนประทับใจให้เพื่อน ๆ ในกลุ่มฟัง
8. มุมสนทนำ (Corners) เริ่มต้นจากการให้ผู้เรียนกลุ่มย่อยแต่ละกลุ่มเข้าไปนั่งตามมุมหรือจุดต่าง ๆ
ของห้องเรียน และช่วยกันหาคา ตอบสา หรับโจทย์ปัญหาต่าง ๆ ที่ครูยกขึ้นมา และเปิดโอกาสให้ผู้เรียน
อธิบายเรื่องราวที่ตนศึกษาให้เพื่อนกลุ่มอื่นฟัง
9. คู่ตรวจสอบ (Pairs Check) แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มละ 4 หรือ 6 คน ให้นักเรียนจับคู่กันทา งาน
คนหนึ่งทา หน้าที่เสนอแนะวิธีแก้ปัญหา อีกคนทา หน้าที่แก้โจทย์เสร็จข้อที่ 1 แล้วให้สลับหน้าที่กัน เมื่อเสร็จ
ครบ 2 ข้อ ให้นาคาตอบมาตรวจสอบกับคา ตอบของคู่อื่นในกลุ่ม
10. คู่คิด (Think-Pair Share) ครูตั้งคา ถามให้นักเรียนตอบ นักเรียนแต่ละคนจะต้องคิดคาตอบ
ของตนเอง นาคาตอบมาอภิปรายกับเพื่อนที่นั่งติดกับตนนาคาตอบมาเล่าให้เพื่อนทั้งชั้นฟัง
11. ร่วมกันคิด (Numbered Heads Together) เริ่มจากครูถามคา ถาม เปิดโอกาสให้นักเรียนแต่
ละกลุ่มช่วยกันคิดหาคา ตอบ จากนั้นครูจึงเรียกให้นักเรียนคนใดคนหนึ่งจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือทุก ๆกลุ่ม
ตอบคา ถาม เป็นวิธีการที่นิยมใช้ในการทบทวนหรือตรวจสอบความเข้าใจ
12. กำรเรียนแบบร่วมมือกับกำรสอนคณิตศำสตร์ จอห์นสันและจอห์นสัน (Johnson and
Johnson, 1989) กล่าวว่า การเรียนแบบร่วมมือสามารถใช้ได้เป็นอย่างดีในการเรียนคณิตศาสตร์ เพื่อให้
นักเรียนคิดทางคณิตศาสตร์เข้าใจการเชื่อมโยงระหว่างมโนมติและกระบวนการ และสามารถที่จะประยุกต์ใช้
ความรู้อย่างคล่องแคล่ว
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 16
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
กิจกรรมกำรเรียนกำรสอนโดยใช้รูปแบบกำรจัดกำรเรียนแบบร่วมมือ ท่ำนจะเลือกใช้รูปแบบใด
เพรำะเหตุใด
การเรียนรู้แบบร่วมมือในแต่ละรูปแบบล้วนแต่มีข้อดี และข้อเสียของแต่ละรูปแบบที่แตกต่างกัน
ออกไป ไม่ว่าจะเลือกรูปแบบใดก็สามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ หากแต่เราควรคานึง
อีกอย่างหนึ่งที่สาคัญคือ เนื้อหาที่เราจะใช้สอน จะต้องมีความเหมาะสม สามารถใช้รูปแบบนั้นๆได้ดีและมี
ประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียนมากที่สุด
เนื้อหำ : องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์
รูปแบบ : Co – op Co – op
เหตุผล : เนื่องจากลักษณะสาคัญของรูปแบบ Co – op Co – op คือ สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มย่อยจะ
ได้รับมอบหมายให้ศึกษาเนื้อหา หรือทากิจกรรมที่ต่างกัน ทาเสร็จแล้วนาผลงานมารวมกันเป็นกลุ่มร่วมกัน
แก้ไขทบทวนแล้วนามาเสนอต่อชั้นเรียน
ซึ่งอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า การเลือกรูปแบบนั้นจะต้องให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่จะใช้สอน โดยเนื้อหา
ของเรื่อง องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ จะมีลักษณะเป็นหัวข้อย่อย คือองค์ประกอบของระบบ
คอมพิวเตอร์อยู่ 5 องค์ประกอบหลักๆ ซึ่งเหมาะที่จะให้ผู้เรียนในกลุ่มนั้นๆ แบ่งหน้าที่ไปศึกษา หาข้อมูลของ
แต่ละองค์ประกอบย่อยนั้นๆ หลังจากนั้น ก็จะให้สมาชิกในกลุ่มนาเนื้อหาที่ไปศึกษา ซึ่งเป็นองค์ประกอบต่างๆ
ของระบบคอมพิวเตอร์ มาร่วมแลกเปลี่ยนกันภายกลุ่ม และร่วมกันสรุปเนื้อหาทั้งหมดทุกคนรวมกัน ก็จะเกิด
เป็นองค์ความรู้ใหม่ว่า สิ่งที่เราไปค้นคว้ามานั้น เมื่อนามาร่วมกันแล้ว เกิดเป็นอะไร เรียกว่าอะไร
ซึ่งวิธีนี้ทุกคนจะได้รับหน้าที่ และต้องรับผิดชอบในส่วนของตน หากคนใดคนหนึ่งไม่มีข้อมูลมาร่วม
แลกเปลี่ยน องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ของกลุ่มนั้นก็จะไม่ครบองค์ประกอบ และเมื่อกลุ่มต้อง
นาเสนอหน้าชั้นเรียน ก็จะทาให้กลุ่มมีข้อมูลไม่ครบเหมือนกับกลุ่มอื่นๆในชั้นเรียน
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 17
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
Creative Learning
กำรจัดกำรเรียนรู้แบบส่งเสริมกำรคิดสร้ำงสรรค์
ภำรกิจ จงให้เหตุผลสนับสนุนว่าการจัดการเรียนรู้แบบส่งเสริมการคิดสร้างสรรค์
สอดคล้องหรือสนับสนุนพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
ลักษณะเด่นของกำรจัดกำรเรียนรู้แบบส่งเสริมกำรคิดสร้ำงสรรค์
ลักษณะเด่นของการจัดการเรียนรู้แบบส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์มีดังนี้
- ผู้เรียนมีความคิดอิสระ
- ไม่มีรูปแบบตายตัว
- ใช้ได้ทุกเวลาทุกโอกาส
- ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง
- มีการบูรณาการในตัวเอง
- มีความยืดหยุ่นคล่องตัวสูง
- เปิดทางเลือกให้ผู้เรียนได้หาคาตอบที่หลากหลาย
- ส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม ในการคิดที่สันติสุข
- ผู้เรียนสร้างชิ้นงาน ผลงาน สิ่งประดิษฐ์ แปลกใหม่ที่เป็นรูปธรรม
- เชื่อมโยงความคิดที่เป็นระบบอย่างมีขั้นตอนจากง่ายไปหายากและจากใกล้ตัวไปไกลตัว
- นาไปจัดการเรียนรู้ได้กับทุกกลุ่มสาระและสามารถเชื่อมโยงได้กับรูปแบบการเรียนรู้อื่นๆ
พระรำชบัญญัติกำรศึกษำแห่งชำติ พ.ศ. 2542
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 จะมีการสรุปไว้หลายๆด้าน ในที่นี้จะกล่าวถึงเพียงด้วย
กระบวนการจัดการเรียน ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้
ด้ำนกระบวนกำรเรียนรู้ ปรากฏตาม มาตรา 22 การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมี
ความสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้อง
ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ
6
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 18
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้
(1) จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคานึงถึง
ความแตกต่างระหว่างบุคคล
(2) ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อ
ป้องกันและแก้ไขปัญหา
(3) จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้คิดได้ คิดเป็น ทาเป็น รักการ
อ่าน และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง
(4) จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้ง
ปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา
(5) ส่งเสริมสนับสนุนให้ครูสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อมสื่อการเรียน และอานวยความ
สะดวกเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดการ
เรียนรู้ ทั้งนี้ครูและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกัน จากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่างๆ
(6) จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับบิดา มารดา
ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ
มาตรา 25 รัฐต้องเร่งส่งเสริมการดาเนินงาน และการจัดตั้งแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกรูปแบบ
ได้แก่ ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี ศูนย์การกีฬาและนันทนาการ แหล่งข้อมูล และแหล่งการเรียนรู้อื่น อย่างพอเพียงและมี
ประสิทธิภาพ
มาตรา 26 ให้สถานศึกษาจัดการประเมินผู้เรียนโดยพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความ
ประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรม และการทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการ
สอนตามความเหมาะสมของแต่ละระดับและรูปแบบการศึกษา
มาตรา 8 (1) และ (3) การจัดการศึกษายึดหลักดังนี้ (1) เป็นการศึกษาตลอดชีวิตสาหรับ
ประชาชน (3) การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
กำรจัดกำรเรียนรู้แบบส่งเสริมกำรคิดสร้ำงสรรค์ สอดคล้องหรือสนับสนุนพระรำชบัญญัติ
กำรศึกษำแห่งชำติ พ.ศ. 2542 อย่ำงไร
กำรจัดกำรเรียนรู้แบบส่งเสริมกำรคิดสร้ำงสรรค์
สอดคล้องหรือสนับสนุนพระรำชบัญญัติกำรศึกษำ
แห่งชำติ พ.ศ. 2542
- ผู้เรียนมีความคิดอิสระ
- เปิดทางเลือกให้ผู้เรียนได้หาคาตอบที่หลากหลาย
มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้
สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้
(1) จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้
สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน
โดยคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 19
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
กำรจัดกำรเรียนรู้แบบส่งเสริมกำรคิดสร้ำงสรรค์
สอดคล้องหรือสนับสนุนพระรำชบัญญัติกำรศึกษำ
แห่งชำติ พ.ศ. 2542
- ไม่มีรูปแบบตายตัว
- มีความยืดหยุ่นคล่องตัวสูง
มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้
สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้
(1) จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับ
ความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคานึงถึง
ความแตกต่างระหว่างบุคคล
กล่าวคือ จะต้องจัดให้สอดคล้องความสนใจและ
ความถนัดของผู้เรียนไม่ได้มีรูปแบบที่เฉาะตายตัว
- ใช้ได้ทุกเวลาทุกโอกาส
- มีการบูรณาการในตัวเอง
- นาไปจัดการเรียนรู้ได้กับทุกกลุ่มสาระและสามารถ
เชื่อมโยงได้กับรูปแบบการเรียนรู้อื่นๆ
มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้
สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้
(6) จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ มี
การประสานความร่วมมือกับบิดา มารดา ผู้ปกครอง
และบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียน
ตามศักยภาพ
การเรียนในรูปแบบนี้ก็ส่งเสริมให้เรียนได้ทุก
โอกาสเช่นกันกับพระราชบัญญัติการศึกษา
แห่งชาติ พ.ศ. 2542 รวมทั้งส่งเสริมให้มีการบูร
ณาการด้วย
- ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้
สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้
(3) จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์
จริง ฝึกการปฏิบัติให้คิดได้ คิดเป็น ทาเป็น รักการ
อ่าน และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง
กล่าวคือ การเรียนรู้แบบส่งเสริมการคิดแบบ
สร้างสรรค์นั้น ต้องการให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจริง
ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.
2542 ที่เน้นการคิด การทาเป็น
- ส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม ในการคิดที่สันติสุข มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้
สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้
(4) จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้
ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้งปลูกฝัง
คุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึง
ประสงค์ไว้ในทุกวิชา
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 20
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
กำรจัดกำรเรียนรู้แบบส่งเสริมกำรคิดสร้ำงสรรค์
สอดคล้องหรือสนับสนุนพระรำชบัญญัติกำรศึกษำ
แห่งชำติ พ.ศ. 2542
- เชื่อมโยงความคิดที่เป็นระบบอย่างมีขั้นตอนจาก
ง่ายไปหายากและจากใกล้ตัวไปไกลตัว
- ผู้เรียนสร้างชิ้นงาน ผลงาน สิ่งประดิษฐ์ แปลกใหม่
ที่เป็นรูปธรรม
มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้
สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้
(2) ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญ
สถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อ
ป้องกันและแก้ไขปัญหา
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 21
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
Constructivist
กำรจัดกำรเรียนรู้แบบสร้ำงองค์ควำมรู้
ภำรกิจ จงให้เหตุผลสนับสนุนว่าการจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ เป็นการจัดการ
เรียนรู้ที่เหมาะสมกับยุคสมัยปัจจุบัน
ลักษณะเด่นของกำรจัดกำรเรียนรู้แบบสร้ำงองค์ควำมรู้
การจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้มีลักษณะเด่น คือ การให้ความสาคัญของกระบวนการเรียนรู้
ของผู้เรียน และความสาคัญของความรู้เดิม ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเป็นผู้แสดงความรู้และสร้างความรู้ด้วย
ตนเอง (Constructivist) ผู้เรียนสังเกตสิ่งที่ตนเองเรียนรู้แล้วค้นคว้าแสวงหาความรู้เพิ่ม เชื่อมโยงกับความรู้
เดิม ประสบการณ์เดิม ผนวกกับความรู้ใหม่ จนสร้างสรรค์เกิดเป็นความรู้ใหม่ กล่าวโดยสรุปเป็นการเรียนรู้โดย
ให้ผู้เรียน ลงมือปฏิบัติจริง ค้นหาความรู้ด้วยตนเอง จนค้นพบความรู้และรู้จักสิ่งที่ค้นพบ เรียนรู้วิเคราะห์ต่อ
จนรู้จริง รู้ลึกซึ้งว่าสิ่งนั้นคืออะไร มีความสาคัญมากน้อยเพียงไร การเรียนรู้แบบนี้จะส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนา
ความสามารถในการคิด พร้อมทั้งฝึกให้ผู้เรียนมีทักษะทางสังคมที่ดีได้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เรียนกับ
ผู้สอน
กำรจัดกำรเรียนรู้แบบสร้ำงองค์ควำมรู้ กับยุคสมัยปัจจุบัน
ในยุคสมัยปัจจุบันนี้ หากจะมองถึงความเหมาะสมของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ที่นามาใช้ในการ
จัดการเรียนรู้ คงไม่สามารถที่จะบอกอย่างแน่นอนได้ว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้รูปแบบใดที่เหมาะสมที่สุด
แต่เราสามารถบอกได้ว่า รูปแบบใดเหมาะสมที่สุดกับสถานการณ์นั้นๆ หากแต่ต้องบอกว่ารูปแบบการจัดการ
เรียนรู้รูปแบบนั้นเหมาะกับสังคมสมัยปัจจุบันนี้หรือไม่ คงต้องตอบว่าทุกรูปแบบเหมาะสม เพียงใช้ให้ถูกกับ
สถานการณ์ และที่สาคัญที่สุด เราจะต้องเลือกเองว่า ณ สถานการณ์นั้นๆ เราจะเลือกใช้รูปแบบการสอนแบบ
ใดที่มีข้อด้อยน้อยที่สุด เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบใด ล้วนแล้วแต่มีทั้งข้อด้อย
และข้อดีทั้งนั้น ไม่มีรูปแบบใดที่สมบูรณ์พร้อมไปทั้งหมด เพราะไม่ใช่นั้นเราคงไม่มีการสร้างรูปแบบการจัดการ
เรียนการสอนที่หลากหลายรูปแบบดังที่พบในปัจจุบัน ที่มีให้เราเลือกใช้ให้เข้ากับสถานการณ์การเรียนรู้นั้นๆ
นั่นเอง
7
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 22
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ถ้าหากพูดว่าการจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ คงน้อยคนนักที่จะไม่รู้ หากเป็นนักการเกี่ยวกับ
การศึกษาแล้วนั้นแทบไม่มีใครไม่รู้จักเลย เพราะว่า การจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ (Constructivist)
นั้นเป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนจึงเน้นว่า การเรียนรู้เป็นกระบวนการสร้างมากกว่าการรับความรู้
ดังนั้นเป้าหมายของการจัดการเรียนการสอน จะสนับสนุนการสร้างมากกว่าความพยายามในการถ่ายทอด
ความรู้ ดังนั้น จะมุ่งเน้นการสร้างความรู้ใหม่อย่างเหมาะสมของแต่ละบุคคล และสิ่งแวดล้อมมีความสาคัญใน
การสร้างความหมายตามความเป็นจริง
สาหรับเหตุผลที่ว่า ทาไมการจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ เป็นการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับ
ยุคสมัยปัจจุบันนั้น อาจจะมีเหตุผลดังนี้
1. การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง แต่ยังขาดให้ผู้เรียนได้เป็นผู้สร้างองค์ความรู้นั้นๆโดยแท้จริง
กล่าวคือ กระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางไม่ได้มีข้อบกพร่อง แต่อาจเกิดจากครูผู้สอนเกิดการ
เข้าใจกระบวนการ หรือใช้กระบวนการนั้นไม่ถูกต้อง ถ้าหากนาการจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ มาใช้
ควบคู่ไปด้วย นอกจากจะได้การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางแล้ว ยังให้ผู้เรียนเป็นผู้สรุปและสร้างองค์
ความรู้ของตนเองขึ้นมาอย่างแท้จริง
2. ในสถานการณ์ปัจจุบันผู้เรียนขาดการเชื่อมโยงเนื้อหา ผู้เรียนเพียงแค่เรียนเพื่อนรู้และปฏิบัติ แต่ไม่
สามารถเชื่อมโยงไปในส่วนอื่นๆได้ ดังนั้น การจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ นั้นจะผลอย่างมากในการคิด
เชื่อมโยงทั้งเป็นการเชื่อมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่และกับประสบการณ์ที่ผ่านมา และความรู้ที่ได้รับกับ
สถานการณ์จริง
3. กระบวนการเรียนรู้ที่เน้นการปฏิบัติ ครูผู้สอนยังเป็นผู้ชี้แนะในขั้นตอนการปฏิบัติ รวมทั้งการ
ปฏิบัติจริงที่น้อย การจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ จึงควรมีบทบาทในการแก้ปัญหาในเรื่องนี้ เพื่อในการ
เรียนรู้ที่มีการปฏิบัติควรให้ผู้เรียนได้ศึกษาคนคว้าขั้นตอน และลงมือปฏิบัติเอง โดยมีครูคอบให้คาปรึกษา
เท่านั้น และในการปฏิบัติควรให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติจริงๆ ทุกขั้นตอน เพื่อให้รู้เรียนรู้จริง เพื่อที่จะสรุปเองได้
(อ้างอิงปัญหาที่พบจาก http://www.kroobannok.com/blog/35366, (3/8/2556))
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 23
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
Problem Process-Based Learning
กำรจัดกำรเรียนรู้แบบกระบวนกำรแก้ปัญหำ
ภำรกิจ จงให้เหตุผลสนับสนุนว่าการจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการแก้ปัญหา สนับสนุน
การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญและจะเป็นทักษะที่จาเป็นที่จะเป็นภูมิคุ้มกันสาหรับการ
ดารงชีวิตของผู้เรียน
ลักษณะเด่นของกำรจัดกำรเรียนรู้แบบกระบวนกำรแก้ปัญหำ
การจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการแก้ปัญหามีลักษณะเด่น คือ ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติกิจกรรม มีชิ้นงาน
ที่เป็นรูปธรรม ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนและเพื่อน ได้พัฒนาทักษะการคิดแก้ปัญหา และตระหนักรู้ใน
ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น สามารถใช้ทักษะการคิดแก้ปัญหาที่พบ การจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการแก้ปัญหามี
ความสาคัญต่อการเรียนรู้เป็นอย่างมาก เพราะเป็นการเรียนรู้จากสภาพจริงขอชีวิตซึ่งมีความหมายต่อการ
เรียนรู้ของผู้เรียน ผู้เรียนสามารถฝึกคิดด้วยตนเอง จากสถานการณ์หรือปัญหาที่น่าสนใจท้าทายให้คิด
กระบวนการเรียนรู้ช่วยพัฒนาทักษะการคิดของผู้เรียนอย่างเป็นลาดับขั้นตอน โดยผ่านการวิเคราะห์อย่างเป็น
ระบบตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การจัดการเรียนรู้ใช้วิธีการที่หลากหลาย เช่น บทบาทสมมติ โครงงาน
การสืบสวนสอบสวน การศึกษานอกสถานที่ การเรียนรู้รูปแบบนี้จะกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนให้ตั้งใจเรียน
มากขึ้น พร้อมไปกับการเห็นประโยชน์ของการเรียนรู้ สร้างนิสัยใฝ่รู้ รักการค้นคว้าหาความรู้ และฝึกนิสัยให้
เป็นคนมีเหตุผล และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
กำรจัดกำรเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเป็นอย่ำงไร
1. Active Learning ผู้เรียนเป็นผู้กระทาหรือปฏิบัติด้วยตนเองด้วยความกระตือรือร้น เช่น ได้คิด
ค้นคว้า ทดลองรายงาน ทาโครงการ สัมภาษณ์ แก้ปัญหา ฯลฯ ได้ใช้ประสาทสัมผัสต่างๆ ทาให้เกิดการเรียนรู้
ด้วยตนเองอย่างแท้จริง ผู้สอนทาหน้าที่เตรียมการจัดบรรยากาศการเรียนรู้ จัดสื่อสิ่งเร้าเสริมแรงให้คาปรึกษา
และสรุปสาระการเรียนรู้ร่วมกัน
2. Construct ผู้เรียนได้ค้นพบสาระสาคัญหรือองค์การความรู้ใหม่ด้วยตนเอง อันเกิดจากการได้
ศึกษาค้นคว้าทดลอง แลกเปลี่ยนเรียนรู้และลงมือปฏิบัติจริง ซึ่งจะทาให้ผู้เรียนสามารถนาสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ได้
8
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 24
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
จริงในชีวิตประจาวัน รวมทั้งทาให้ผู้เรียนรักการอ่าน รักการศึกษาค้นคว้าเกิดทักษะในการแสวงหาความรู้ เห็น
ความสาคัญของการเรียนรู้ ซึ่งนาไปสู่การเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ (Learning Man) ที่พึงประสงค์
3. Resource ผู้เรียนได้เรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ที่หลากหลายทั้งบุคคลและเครื่องมือทั้งใน
ห้องเรียนและนอกห้องเรียน ผู้เรียนได้สัมผัสและสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทั้งที่เป็นมนุษย์ (เช่น ชุมชน ครอบครัว
องค์กรต่างๆ) ธรรมชาติและเทคโนโลยี ตามหลักการที่ว่า “การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาและทุก
สถานการณ์)”
4. Thinking ส่งเสริมกระบวนการคิด ผู้เรียนได้ฝึกวิธีคิดในหลายลักษณะ เช่น คิดคล่อง คิด
หลากหลาย คิดละเอียด คิดชัดเจน คิดถูก ทางคิดกว้าง คิดลึกซึ้ง คิดไกล คิดอย่างมีเหตุผล เป็นต้น การฝึกให้
ผู้เรียนได้คิดอยู่เสมอในลักษณะต่างๆ จะทาให้ผู้เรียนเป็นคนคิดเป็น แก้ปัญหาเป็น คิดอย่างรอบคอบมีเหตุผล
มีวิจารณญาณ ในการคิด มีความคิดสร้างสรรค์ มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ที่จะเลือกรับและปฏิเสธ
ข้อมูล ข่าวสารต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนสามารถแสดงความคิดเห็นออกได้อย่างชัดเจนและมี เหตุผล
อันเป็นประโยชน์ต่อการดารงชีวิตประจาวัน
5. Happiness ผู้เรียนเรียนอย่างมีความสุข ซึ่งเป็นความสุขที่เกิดจาก 1) ผู้เรียนได้เรียนในสิ่งที่ตน
ชอบหรือสนใจ ทาให้เกิดแรงจูงใจในการใฝ่รู้ ท้าทาย อยากค้นคว้า อยากแสดงความสามารถและให้ใช้
ศักยภาพของตนอย่างเต็มที่ 2) การมีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนและระหว่างผู้เรียนกับ
ผู้เรียน มีลักษณะเป็นกัลยาณมิตร มีการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน มีกิจกรรมร่วมด้วยช่วยกัน ทาให้ผู้เรียน
รู้สึกมีความสุขและสนุกกับการเรียน
6. Participation ผู้เรียนมีส่วนร่วม ตั้งแต่การวางแผนกาหนดงาน วางเป้าหมายร่วมกัน และมี
โอกาสเลือกทางานหรือศึกษาค้นคว้าในเรื่องที่ตรงกับความถนัดความสามารถ ความสนใจ ของตนเอง ทาให้
ผู้เรียนเรียนด้วยความกระตือรือร้น มองเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรียนและสามารถ ประยุกต์ความรู้นาไปใช้
ประโยชน์ในชีวิตจริง
7. Individualization ผู้สอนให้ความสาคัญแก่ผู้เรียนในความเป็นเอกัตบุคคล ผู้สอนต้องยอมรับใน
ความสามารถ ความคิดเห็น ความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน มุ่งให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองให้เต็ม
ศักยภาพมากกว่าเปรียบเทียบแข่งขันระหว่างกันโดยมีความเชื่อมั่นผู้เรียนทุกคนมีความสามารถในการเรียนรู้
ได้ และมีวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน
8. Good Habit ผู้เรียนได้พัฒนาคุณลักษณะนิสัยที่ดีงาม เช่น ความรับผิดชอบ ความเมตตา กรุณา
ความมีน้าใจ ความขยัน ความมีระเบียบวินัย ความเสียสละ ฯลฯ และ ลักษณะนิสัยในการทางานอย่างเป็น
กระบวนการการทางานร่วมกับผู้อื่น การยอมรับผู้อื่น และ การเห็นคุณค่าของงาน เป็นต้น
9. Self-Evaluation ผู้เรียนประเมินตนเอง เดิมผู้สอนเป็นผู้ประเมินฝ่ายเดียว แต่การเปิดโอกาสให้
ผู้เรียนประเมินตนเองอย่างสม่าเสมอและต่อเนื่อง จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจตนเองได้ชัดเจนขึ้น รู้จุดเด่นจุดด้อย
และพร้อมที่จะปรับปรุงหรือพัฒนาตนเองให้เหมาะสมยิ่งขึ้น การประเมินในส่วนนี้เป็นการประเมินตามสภาพ
จริงและอาจใช้แฟ้มสะสมผลงานช่วย
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 25
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
กำรจัดกำรเรียนรู้แบบกระบวนกำรแก้ปัญหำ สนับสนุนกำรจัดกำรเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
1.การร่วมกันเสนอปัญหาที่น่าสนใจ ที่เกิดจากการร่วมกันคิดถึงปัญหานั้นๆ จะทาให้ผู้เรียนมีความ
กระตือรือร้นในการเรียนรู้ มีความสนใจที่แก้ปัญหานั้นให้สาเร็จ
2.ผู้เรียนได้ฝึกคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง มีการฝึกทักษะ การสังเกต วิเคราะห์ หาเหตุผลใช้ข้อมูลในการ
ตัดสินใจ ซึ่งในกระบวนการนี้ผู้เรียนก็เป็นผู้คิด และกระทาเองทั้งหมดโดยมีครูเป็นเพียงผู้ให้คาปรึกษา
3.ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการทางานร่วมกับการทากิจกรรมกลุ่ม เป็นการฝึกวิถีชีวิตประชาธิปไตย ซึ่ง
แน่นอนในกระบวนการทางานกลุ่มของผู้เรียน ผู้เรียนก็ต้องเป็นผู้แบ่งงานกันเอง แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ
4.ผู้เรียนได้ฝึกการค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ ทาให้ได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ที่
หลากหลาย ซึ่งผู้เรียนมีอิสระในด้านการศึกษาค้นคว้าจากแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลาย แล้วแต่ความต้องการ
หรือแหล่งที่สะดวกของผู้เรียนเอง
5.ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจจากประสบการณ์ตรง ทาให้มีความกระจ่างชัดเจนจากประสบการณ์
การเรียนรู้ นาทักษะที่ได้รับ เช่น การเผชิญปัญหา การหาแนวทางในการแก้ปัญหา การตัดสินใจ เป็นประโยชน์
ในการนาไปประยุกต์ใช้ในการดาเนินชีวิต
กำรจัดกำรเรียนรู้แบบกระบวนกำรแก้ปัญหำ และกำรจัดกำรเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเป็น
ทักษะที่จำเป็นที่จะเป็นภูมิคุ้มกันสำหรับกำรดำรงชีวิตของผู้เรียนอย่ำงไร
1. ทักษะการทางานร่วมกัน การที่ผู้เรียนมีทักษะนี้ จะสามารถทาให้ผู้เรียนปฏิบัติงานหรือกิจกรรม
ต่างๆกับบุคคลในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ทักษะการค้นคว้า ทักษะนี้ก็มีความจาเป็นสาหรับในยุคสมัยปัจจุบัน ในยุคของเทคโนโลยีเข้ามามี
บทบาทเป็นอย่างมาก ดังนั้นกระบวนการค้นคว้านี้จึงจาเป็นสาหรับผู้เรียน เพื่อจะได้มีทักษะนี้ในการเลือกรับ
ข้อมูลนั้นๆ ก่อนจะเชื่อถือในเรื่องใด
3. ทักษะการวิเคราะห์ การใช้เหตุผล ทักษะการคิดวิเคราะห์มีความสาคัญ ในการดารงชีวิตเป็นอย่าง
ยิ่ง เพราะในสังคมเรานี้ มีเรื่องที่จะให้เราต้องคิดวิเคราะห์ก่อนการตัดสินใจ และต้องมีเหตุผลในทุกๆการ
ดาเนินชีวิตของสังคมปัจจุบัน
4. ทักษะการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ กระบวนการนี้ก็มีความสาคัญไม่น้อยเลย เพราะเชื่อว่าเรา
ต้องเผชิญกับปัญหาในชีวิต และต้องตัดสินใจอยู่เสมอ หากผู้เรียนมีกระบวนการแก้ปัญหาและการตัดสินใจที่มี
ประสิทธิภาพ จะทาให้ผู้เรียนมีความสุขในการดาเนินชีวิต
5. ทักษะการประยุกต์ใช้ หากขาดทักษะนี้เราก็ไม่สามารถใช้ทักษะ กระบวนการอื่นๆได้อย่างมี
ประสิทธิภาพได้
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 26
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
Multiple Intelligences Learning
กำรจัดกำรเรียนรู้แบบบูรณำกำรสู่พหุปัญญำ
ภำรกิจ จงแสดงความคิดเห็นว่าในการจัดการเรียนรู้ที่แยกเนื้อหาออกเป็นส่วน ๆ เหมาะสม
สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมในยุคปัจจุบันหรือไม่ อย่างไร และการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้แบบบูรณาการสู่พหุปัญญาจะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้อย่างไร
ลักษณะเด่นของกำรจัดกำรเรียนรู้แบบบูรณำกำรสู่พหุปัญญำ
การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสู่พหุปัญญา เป็นการพัฒนากระบวนการเรียนการสอนในลักษณะ
เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างสาระการเรียนรู้และความสามารถทางการเรียนรู้ที่มีอยู่ในตัวผู้เรียนตามทฤษฎี
พหุปัญญาของโฮวาร์ด การ์เนอร์ (Howard Gardner) ซึ่งจาแนกไว้ 8 ด้าน ได้แก่ ด้านวาจา / ภาษา / ด้าน
ดนตรี / จังหวะ ด้านตรรกะ / คณิตศาสตร์ ด้านทัศนสัมพันธ์ / มิติสัมพันธ์ ด้านร่างกาย /การเคลื่อนไหว ด้าน
ธรรมชาติ ด้านการรู้จักตนเอง และด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยมุ่นเน้นให้ผู้เรียนแต่ละคนได้พัฒนาศักยภาพ
และความสามารถในการแก้ปัญหารวมถึงการสร้างผลงานและเกิดผลลัพธ์การเรียนรู้อย่างมีความสุขและยั่งยืน
ทฤษฎีพหุปัญญำของโฮวำร์ด กำร์เนอร์ (Howard Gardner) ซึ่งจำแนกไว้ 8 ด้ำน ได้แก่
1. ปัญญำด้ำนภำษำ (Linguistic Intelligence) คือ ความสามารถในการใช้ภาษารูปแบบต่างๆ
ตั้งแต่ภาษาพื้นเมือง จนถึงภาษาอื่นๆ ด้วย สามารถรับรู้ เข้าใจภาษา และสามารถสื่อภาษาให้ผู้อื่นเข้าใจได้
ตามที่ต้องการ ผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น ก็มักเป็น กวี นักเขียน นักพูด นักหนังสือพิมพ์ ครู ทนายความ หรือ
นักการเมือง
2. ปัญญำด้ำนตรรกศำสตร์และคณิตศำสตร์ (Logical-Mathematical Intelligence) คือ
ความสามารถในการคิดแบบมีเหตุและผล การคิดเชิงนามธรรม การคิดคาดการณ์ และการคิดคานวณทาง
คณิตศาสตร์ ผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น ก็มักเป็น นักบัญชี นักสถิติ นักคณิตศาสตร์ นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์
นักเขียนโปรแกรม หรือวิศวกร
9
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 27
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
3. ปัญญำด้ำนมิติสัมพันธ์ (Visual-Spatial Intelligence) คือ ความสามารถในการรับรู้ทาง
สายตาได้ดี สามารถมองเห็นพื้นที่ รูปทรง ระยะทาง และตาแหน่ง อย่างสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน แล้วถ่ายทอด
แสดงออกอย่างกลมกลืน มีความไวต่อการรับรู้ในเรื่องทิศทาง สาหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น จะมีทั้งสาย
วิทย์ และสายศิลป์ สายวิทย์ ก็มักเป็น นักประดิษฐ์ วิศวกร ส่วนสายศิลป์ ก็มักเป็นศิลปินในแขนงต่างๆ เช่น
จิตรกร วาดรูป ระบายสี เขียนการ์ตูน นักปั้น นักออกแบบ ช่างภาพ หรือสถาปนิก เป็นต้น
4. ปัญญำด้ำนร่ำงกำยและกำรเคลื่อนไหว (Bodily Kinesthetic Intelligence) คือ
ความสามารถในการควบคุมและแสดงออกซึ่งความคิด ความรู้สึก โดยใช้อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย รวมถึง
ความสามารถในการใช้มือประดิษฐ์ ความคล่องแคล่ว ความแข็งแรง ความรวดเร็ว ความยืดหยุ่น ความประณีต
และความไวทางประสาทสัมผัส สาหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น มักจะเป็นนักกีฬา หรือไม่ก็ศิลปินในแขนง
นักแสดง นักฟ้อน นักเต้น นักบัลเล่ย์ หรือนักแสดงกายกรรม
5. ปัญญำด้ำนดนตรี (Musical Intelligence) คือ ความสามารถในการซึมซับ และเข้าถึงสุนทรียะ
ทางดนตรี ทั้งการได้ยิน การรับรู้ การจดจา และการแต่งเพลง สามารถจดจาจังหวะ ทานอง และโครงสร้าง
ทางดนตรีได้ดี และถ่ายทอดออกมาโดยการฮัมเพลง เคาะจังหวะ เล่นดนตรี และร้องเพลง สาหรับผู้ที่มีปัญญา
ด้านนี้โดดเด่น มักจะเป็นนักดนตรี นักประพันธ์เพลง หรือนักร้อง
6. ปัญญำด้ำนมนุษยสัมพันธ์ (Interpersonal Intelligence) คือ ความสามารถในการเข้าใจผู้อื่น
ทั้งด้านความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ และเจตนาที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน มีความไวในการสังเกต สีหน้า ท่าทาง
น้าเสียง สามารถตอบสนองได้อย่างเหมาะสม สร้างมิตรภาพได้ง่าย เจรจาต่อรอง ลดความขัดแย้ง สามารถจูง
ใจผู้อื่นได้ดี เป็นปัญญาด้านที่จาเป็นต้องมีอยู่ในทุกคน แต่สาหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น มักจะเป็นครูบา
อาจารย์ ผู้ให้คาปรึกษา นักการฑูต เซลแมน พนักงานขายตรง พนักงานต้อนรับ ประชาสัมพันธ์ นักการเมือง
หรือนักธุรกิจ
7. ปัญญำด้ำนกำรเข้ำใจตนเอง (Intrapersonal Intelligence) คือ ความสามารถในการรู้จัก
ตระหนักรู้ในตนเอง สามารถเท่าทันตนเอง ควบคุมการแสดงออกอย่างเหมาะสมตามกาลเทศะ และ
สถานการณ์ รู้ว่าเมื่อไหร่ควรเผชิญหน้า เมื่อไหร่ควรหลีกเลี่ยง เมื่อไหร่ต้องขอความช่วยเหลือ มองภาพตนเอง
ตามความเป็นจริง รู้ถึงจุดอ่อน หรือข้อบกพร่องของตนเอง ในขณะเดียวกันก็รู้ว่าตนมีจุดแข็ง หรือ
ความสามารถในเรื่องใด
มีความรู้เท่าทันอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ความคาดหวัง ความปรารถนา และตัวตนของตนเอง
อย่างแท้จริง เป็นปัญญาด้านที่จาเป็นต้องมีอยู่ในทุกคนเช่นกัน เพื่อให้สามารถดารงชีวิตอย่างมีคุณค่า และมี
ความสุข สาหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น มักจะเป็นนักคิด นักปรัชญา หรือนักวิจัย
8. ปัญญำด้ำนธรรมชำติวิทยำ (Naturalist Intelligence) คือ ความสามารถในการรู้จัก และ
เข้าใจธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง เข้าใจกฎเกณฑ์ ปรากฏการณ์ และการรังสรรค์ต่างๆ ของธรรมชาติ มีความไวใน
การสังเกต เพื่อคาดการณ์ความเป็นไปของธรรมชาติ มีความสามารถในการจัดจาแนก แยกแยะประเภทของ
สิ่งมีชีวิต ทั้งพืชและสัตว์ สาหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น มักจะเป็นนักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย
หรือนักสารวจธรรมชาติ
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 28
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
กำรจัดกำรเรียนรู้ที่แยกเนื้อหำออกเป็นส่วน ๆ เหมำะสมสอดคล้องกับกำรเปลี่ยนแปลงของสังคม
ในยุคปัจจุบันหรือไม่ อย่ำงไร
ก่อนอื่นเราต้องมองก่อนว่า ความเหมาะสมนั้นคืออะไร ซึ่งก็อาจจะมีความหมายได้หลายอย่าง เช่น
อาจจะเป็นความเหมาะสมของครู ความเหมาะสมสาหรับนักเรียน หรือด้านเครื่องมือ/สื่อการสอน แต่ถ้าหาก
ถามถึงความเหมาะโดยรวมที่จะนามาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางสังคมในยุคปัจจุบันนี้นั้น
ได้อย่างสอดคล้องหรือไม่ ต้องตอบเลยว่า เหมาะสม เพราะ ในการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสู่พหุปัญญา
นั้นมีหลายๆอย่างที่สามารถประยุกต์ใช้ได้ดี บางอย่างจาเป็นเลยก็ว่าได้ จากข้างต้น จุดเด่นของทฤษฏีนี้คือการ
พัฒนากระบวนการเรียนการสอนในลักษณะเชื่อมดยงความสัมพันธ์ระหว่างสาระการเรียนรู้และความสามารถ
ทางการเรียนรู้ที่มีอยู่ในตัวผู้เรียน ตามทฤษฎีพหุปัญญาของโฮวาร์ด การ์เนอร์ (Howard Gardner) ซึ่งจาแนก
ไว้ 8 ด้านนั่น มีส่วนไหนบ้างว่าสามารถประยุกต์ใช้ได้และมีความจาเป็น ซึ่งจะได้แก่
1. เด็กไม่รู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของตัวเอง ไม่รู้ว่าตัวเองถนัดด้านใดเป็นพิเศษ หรืออ่อนในด้านใด
ซึ่งอาจเป็นผลให้นักเรียนไม่ได้ปรับปรุงหรือพัฒนาในส่วนนั้นๆเลย
2. ผู้เรียนบางกลุ่มไม่มีโอกาสที่จะได้รับการพัฒนาความสามารถในส่วนที่ตนเองเรียนได้ดีเป็นพิเศษ
ส่งผลให้ความสามารถของผู้เรียนคงที่และไม่พัฒนา
3. การเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ กับความสามารถของผู้เรียนในแต่ละด้านยังขาด
ความสัมพันธ์กัน ยังไม่ได้รับการดึงความสามารถในส่วนนั้นออกมาใช้มากเท่าที่ควร
กำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้แบบบูรณำกำรสู่พหุปัญญำจะช่วยแก้ปัญหำดังกล่ำวได้อย่ำงไร
อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นถึงลักษณะเด่นของทฤษฏีนี้ คือ การพัฒนากระบวนการเรียนการสอนใน
ลักษณะเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างสาระการเรียนรู้และความสามารถทางการเรียนรู้ที่มีอยู่ในตัวผู้เรียน ซึ่ง
จะทาให้ผู้เรียนเข้าถึง สามารถดึงความสามารถของตัวเองออกมาได้ มีโอกาสที่รู้ พัฒนา หรือปรับปรุงในส่วนที่
ตัวเองเห็นว่าดีหรือด้อย ตามลาดับ รวมทั้งการเรียนรู้แบบนี้จะทาให้ การเรียนรู้ในสาระต่างๆ มีความสัมพันธ์
กับความสามารถทางการเรียนรู้ของผู้เรียนมากขึ้น เกิดเป็นการประสานสาระความรู้และความสามารถของ
ผู้เรียนได้เป็นอย่างดี โดยมุ่นเน้นให้ผู้เรียนแต่ละคนได้พัฒนาศักยภาพและความสามารถในการแก้ปัญหารวมถึง
การสร้างผลงานและเกิดผลลัพธ์การเรียนรู้อย่างมีความสุขและยั่งยืนได้
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 29
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
Thinking Learning
กำรจัดกำรเรียนรู้ที่ส่งเสริมกำรคิด
ภำรกิจ จงแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับลักษณะของเนื้อหาที่เหมาะสมในการใช้หลักการหรือทฤษฎี
การคิด มาเป็นพื้นฐานในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ และจะมีวิธีการอย่างไรในการออกแบบ
กิจกรรมการเรียนรู้ดังกล่าว
กรอบแนวคิดกำรคิดวิเครำะห์
การคิดวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการแยกแยะเรื่องราวต่างๆ ออกเป็นส่วยย่อยๆ หรือแง่มุม
ต่างๆ ซึ่งจะทาให้เกิดความเข้าใจ และสามารถค้นพบสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนั้นได้ง่ายขึ้น จะเห็นได้ว่า
ความสามารถดังกล่าวจะต้องส่งเสริมให้เกิดกับผู้เรียนในยุคปัจจุบัน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเผชิญกับสถานการณ์
ต่างๆ และคิดวิเคราะห์เรื่องราวต่างๆ ได้ สามารถเลือกปฏิบัติหรือเลือกเชื่อในสิ่งที่ถูกต้องได้ รวมถึงสามารถ
ดารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข
กรอบแนวคิดกำรคิดสร้ำงสรรค์
การคิดสร้างสรรค์ หมายถึง ความสามารถทางสมองของแต่ละบุคคลในการคิดได้กว้างไกลหลาย
ทิศทางหรือที่เรียกว่าความคิดอเนกนัย (Divergent thinking) โดยการแสดงออกทางความคิดหรือการกระทา
ที่เกิดจากการเรียนรู้ และจากการเชื่อมโยงประสบการณ์เก่ากับประสบการณใหม่เข้าด้วยกัน และทาให้เกิด
เป็นผลงานหรือผลผลิตที่มีลักษณะแปลกๆ ใหม่ๆ รวมถึงการคิดค้นพบวิธีการแก้ปัญหาได้สาเร็จอีกด้วย
ความคิดสร้างสรรค์ประกอบด้วยความสามารถต่างๆ (Ability) 4 ประการ คือ ความคิดคล่อง (Fluency)
ความคิดยืดหยุ่น (Flexibility) ความคิดริเริ่ม (Originality) และความคิดละเอียดลออ (Elaboration) (จารุณี
ซามาตย์, 2552)
1. ควำมคิดคลอง (Fluency) หมายถึง การคิดหาคาตอบได้อย่างคล่องแคล่ว รวดเร็ว มีปริมาณมาก
หรือหลากหลายทางเลือกในการแก้ปัญหา ซึ่งเกิดจากความเข้าใจ (Understanding) ไม่ใช่ความจา ในเวลาที่
จากัด
2. ควำมคิดยืดหยุ่น (Flexibility) หมายถึง การคิดเปลี่ยนแปลงได้อย่างเป็นประโยชน์ หรือสามารถ
เปลี่ยนกฎหลักการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเดียวกันได้ ความคิดยืดหยุ่น เป็นตัวเสริมความคิดคลอง (Fluency)
10
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 30
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ให้มีความแปลกแตกตางออกไป หลีกเลี่ยงการซ้าซอน หรือเพิ่มคุณภาพความคิดให้มากขึ้น (Guilford, 1967)
โดยสามารถนาสิ่งที่คิดได้มาจัดประเภทได้ สามารถแบ่ง จาแนกแยะแยะได้ สามารถจัดหมวดหมู่ได้คิดไม่ซ้ากัน
ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหา โดยที่ความคิดยืดหยุ่นสามารถเกิดขึ้นในทันทีและดัดแปลงได้ นับได้ว่า
ความคิดยืดหยุ่น มีประโยชน์ โดยชวยให้ความคิดมีคุณภาพดีขึ้น คาสาคัญที่แสดงความคิดยืดหยุ่น
3. ควำมคิดริเริ่ม (Originality) หมายถึง ลักษณะความคิดแปลกใหม่ต่างจากความคิดธรรมดาหรือ
ความคิดง่าย ๆ ความคิดริเริ่มเป็นความคิดที่มีประโยชน์ต่อสังคม ความคิดริเริ่มถูกค้นพบโดย Garnett (1919)
โดยเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “Cleverness” ความคิดริเริ่มอาจเกิดจากการนาเอาความรูเดิมมาดัดแปลงและ
ประยุกต์ให้เกิดสิ่งใหม่ลักษณะของการคิดสร้างสรรค์จึงเป็น ความคิดที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกและแปลกแตกต่าง
จากความคิดเดิม และอาจไม่เคยมีใครนึกถึงมาก่อน ความคิดริเริ่มตองอาศัยความคิดจินตนาการ แต่ไม่ใช่เพียง
คิดอย่างเดียว จาเป็นต้องคิดสร้าง และ หาหนทางทาให้เกิดผลงาน เชน มีคนกล่าววาคนที่คิดจะบินนั้นเป็นแค
จินตนาการและไมมีทางเป็นไปได้ต่อมาพี่น้องตระกูลไรต์ สามารถที่จะคิดประดิษฐ์เครื่องบินได้ คาสาคัญที่
แสดงความคิดริเริ่ม
4. ควำมคิดละเอียดลออ (Elaboration) หมายถึง ความสามารถ (Ability) ที่ทาให้เกิดความคิดได้ดี
ขึ้น หรือฉลาดขึ้น โดยสร้างจากความเข้าใจในตัวมันเอง เป็นลักษณะของความคิดที่ละเอียดช่างสังเกต ในการ
คิดรายละเอียดเพื่อตกแต่ง หรือขยายความคิดริเริ่ม ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลของการคิด
เรื่องการแสดงความหมาย การประสานความคิด ติดตามผลงาน ตระหนักถึงความสาเร็จคาสาคัญที่แสดง
ความคิดละเอียดลออ
ควำมคิดเห็นเกี่ยวกับลักษณะของเนื้อหำที่เหมำะสมในกำรใช้หลักกำรหรือทฤษฎีกำรคิด มำเป็น
พื้นฐำนในกำรออกแบบกิจกรรมกำรเรียนรู้
ในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้หลักการหรือทฤษฏีการคิดมาเป็นพื้นฐานนั้น ชื่อหลักการ
หรือทฤษฏีก็บ่งบอกชัดเจนว่า เนื้อหาที่จะนามาใช้ในการจัดการเรียนการสอนนั้นจะต้องกระตุ้นให้ผู้เรียนได้คิด
ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะการคิดที่มาก ส่วนต้องการให้ผู้เรียนได้คิดในระดับไหนนั้น ครูผู้สอนจะต้อง
ออกแบบการเรียนการสอนให้ตอบสนองให้ได้มากที่สุด ซึ่งอาจสรุปลักษณะของเนื้อหาได้ ดังนี้
1. เนื้อหาที่จะจัดการเรียนการสอนนั้นจะต้องเรียนรู้ หรือทาความเข้าใจผ่านกระบวนการคิด ไม่ใช่
เพียงการอ่านและจดจาเท่านั้น
2. เนื้อหาต้องมีลักษณะที่ยากต่อการทาความเข้าใจ ผู้เรียนไม่สามารถคาดเดาคาตอบ หรือเนื้อหาได้
หากยังไม่ได้ผ่านกระบวนการศึกษาและกระบวนการคิดมาก่อน
3. เนื้อหานั้นจะต้องเป็นเนื้อหาที่ส่งเสริมกระบวนการคิด หรือเป็นเนื้อหาที่ชวนให้ผู้เรียนสงสัยอยากรู้
คาตอบ อยากคิดหาคาตอบ
4. เนื้อหาที่มีลักษณะเป็น Data ที่ยังไม่ใช่ Information เนื้อประเภทนี้จะต้องให้ผู้เรียนได้ลงมือ
ปฏิบัติจริง ทดลอง ค้นคว้า วิเคราะห์ เช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ สังคมศึกษา เทคโนโลยี ฯลฯ สามารถ
กระทาได้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ เพียงแค่รู้จักจัดกิจกรรมให้มีประสิทธิภาพ
5.เนื้อหานั้นจะต้องไม่เป็นเนื้อหาที่ง่าย ไม่ใช่เนื้อหาที่ต้องการการเรียนรู้แบบจดจา หรือทาความเข้าใจ
โดยไม่กระตุ้นการคิดของผู้เรียนเลย
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 31
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
กำรออกแบบกิจกรรมกำรเรียนรู้อย่ำงไร
1. ขั้นกำหนดปัญหำ ปัญหาที่นามาใช้ในบทเรียนอาจได้มาจากแหล่งต่างๆ เช่น ภาพเหตุการณ์ การ
สาธิต การเล่าเรื่อง การให้ดูภาพยนตร์ สไลด์ การทายปัญหา เกม ข่าว เหตุการณ์ประจาวันที่น่าสนใจ การ
สร้างสถานการณ์ปัญหา บทบาทสมมติ ของจริง หรือสถานการณ์จริง
โดยในขั้นตอนต้องกาหนดปัญหาให้ท้าทาย และจะต้องเป็นปัญหาที่ผู้เรียนต้องใช้กระบวนการคิดและ
กระบวนการอื่นๆเข้ามาร่วมด้วยเพื่อให้ได้มาซึ่งคาตอบ
2. ขั้นตั้งสมมติฐำน สมมติฐานจะเกิดขึ้นได้จากการสังเกต การเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง
ประสบการณ์เดิม จนสามารถนามาคาดคะเนคาตอบของปัญหาอย่างมีเหตุผล
เราต้องการให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดในรูปแบบใด และกระบวนการคิดของผู้เรียนที่เกิดขึ้นเป็น
อย่างไร จะต้องมีการบันทึกไว้ด้วย
3. ขั้นเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นขั้นตอนของการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการอ่าน สังเกต การสัมภาษณ์
การสืบค้นข้อมูลด้วยวิธีการต่างๆ ที่หลากหลายหรือการทดลอง มีการจดบันทึกข้อมูลอย่างละเอียด เพื่อนาไป
วิเคราะห์ข้อมูลให้ได้คาตอบของปัญหาในที่สุด
จากขั้นที่ 2 เครื่องที่จะใช้ในการเก็บข้อมูลของผู้เรียนเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง
4. ขั้นวิเครำะห์ข้อมูล เป็นขั้นตอนนาเสนอข้อมูลที่ได้จากการสืบค้น หรือทาการทดลองนามาตีแผ่
เปิดโอกาสให้ผู้เรียน ได้มีการอภิปราย ซักถาม ตอบคาถาม แสดงความคิดเห็น โดยมีผู้สอนเป็นผู้คอยแนะนา
ช่วยเหลือ อันจะนาไปสู่การสรุปข้อมูลในขั้นตอนต่อไป
นาข้อมูลจากการเก็บเพื่อมาวิเคราะห์ถึงกระบวนการเกิด กระบวนการคิด ของผู้เรียน ที่เกิดขึ้นว่าเป้
นอย่างไร ตรงตามที่เราต้องไว้หรือไม่
5. ขั้นสรุปและประเมินผล เป็นขั้นสุดท้ายของกระบวนการเรียนรู้แบบกระบวนการแก้ปัญหาเป็นการ
สรุปข้อมูลที่ได้จากแหล่งต่างๆ แล้วสรุปเป็นผลการเรียนรู้ หลังจากนั้นผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันอภิปรายผลการ
เรียนรู้ด้วยวิธีการต่างๆ อย่างหลากหลาย และนาผลการประเมินไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียนต่อไป
หลังจากวิเคราะห์แล้วก็สรุปผลถึงกระบวนการคิด รวมทั้งประเมินว่าการเรียนการสอนรูปแบบนี้เป็น
เช่นไร จะพัฒนา ปรับปรุงแก้ไขตรงไหนได้บ้าง
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 32
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
บรรณำนุกรม
https://sites.google.com/site/prapasara/a2-5
http://www.kroobannok.com/blog/20480
http://www.learners.in.th/blogs/posts/257788
http://www.slideshare.net/jokesparrow/ss-21043489
http://www.gotoknow.org/posts/153429
http://www.agri.kmitl.ac.th/km/knowledge/?p=126
http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/ww521/joemsiit/jo
emsiit-web1/ChildCent/Child_Center1_2.htm
http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/ww521/joemsiit/jo
emsiit-web1/ChildCent/Child_Center1_1.htm
http://www.kroobannok.com/57327
http://www.learners.in.th/blogs/posts/418144
https://sites.google.com/site/prapasara/thekh-kar-sxn
http://portal.in.th/inno-roj/pages/1233/
http://www.learners.in.th/blogs/posts/258147
http://www.kroobannok.com/blog/50264
http://kroobannok.com/45000
http://portal.in.th/inno-roj/pages/1234/
https://sites.google.com/site/prapasara/15-1
http://honeylamon.wordpress.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0
%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99-
2/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A
3%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%81
%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2/
http://krunote.blogspot.com/2011/06/blog-post_03.html
COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 33
นายเจนรบ โกรธา 533050336-6
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
http://www.sobkroo.com/detail_room_main3.php?nid=2764
http://krunote.blogspot.com/2011/06/blog-post_4600.html
http://www.learners.in.th/blogs/posts/257727
http://www.onec.go.th/onec_main/main.php

More Related Content

PDF
Team-based Learning
PDF
วิจัยในชั้นเรียน ปี57
PDF
เทคนิคการสอนตาม Tqf3
PDF
โครงร่างงานวิจัย 59
PDF
ผลการจัดการเรียนการสอนโดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
PDF
การนำผลการประเมินมาปรับปรุงเทคนิคการสอน
PPTX
ระบบการจัดการเรียนรู้ปฏิสัมพันธ์มัลติยูสเซอร์ในสังคมคลาวด์
PDF
การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลักในสภาพแวดล้อมการเรียนรู้แบบ u-L...
Team-based Learning
วิจัยในชั้นเรียน ปี57
เทคนิคการสอนตาม Tqf3
โครงร่างงานวิจัย 59
ผลการจัดการเรียนการสอนโดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
การนำผลการประเมินมาปรับปรุงเทคนิคการสอน
ระบบการจัดการเรียนรู้ปฏิสัมพันธ์มัลติยูสเซอร์ในสังคมคลาวด์
การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลักในสภาพแวดล้อมการเรียนรู้แบบ u-L...

What's hot (19)

PDF
โครงงานคอมพิวเตอร์606
PDF
จิตวิทยาประยุกต์สำหรับการออกแบบการเรียนการสอน
PDF
13นิตยา
PDF
Khemjira
PDF
หัวข้อวิจัยทางวิทยาการเรียนรู้
PDF
การจัดเรียนเรียนรู้โดยใช้ Social Media ตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ (Construct...
PDF
Development of Blended Learning Model by Using Cognitive Tools to Develop Cri...
PPTX
เปรียบเทียบตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง
PDF
Welcome master degree students 2016 08-01 1300
PDF
การจัดการเรียนรู้แบบจินตวิศวกรรมบนฐานสมรรถนะ
PDF
Reading list (wichien 58032447) week 2
PDF
1332 20210713 nichakarn_kaewchan
PPTX
2 8edit-140916022926-phpapp02
PDF
สมาการวิจัย
PDF
บทที่ 1
PPT
The Development of a Knowledge Creation Model using Action Learning and Colla...
PDF
รายงานวิจัยในชั้นเรียน
PDF
Wera_Collaborative Learning Model through Social Media for Supporting Communi...
โครงงานคอมพิวเตอร์606
จิตวิทยาประยุกต์สำหรับการออกแบบการเรียนการสอน
13นิตยา
Khemjira
หัวข้อวิจัยทางวิทยาการเรียนรู้
การจัดเรียนเรียนรู้โดยใช้ Social Media ตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ (Construct...
Development of Blended Learning Model by Using Cognitive Tools to Develop Cri...
เปรียบเทียบตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง
Welcome master degree students 2016 08-01 1300
การจัดการเรียนรู้แบบจินตวิศวกรรมบนฐานสมรรถนะ
Reading list (wichien 58032447) week 2
1332 20210713 nichakarn_kaewchan
2 8edit-140916022926-phpapp02
สมาการวิจัย
บทที่ 1
The Development of a Knowledge Creation Model using Action Learning and Colla...
รายงานวิจัยในชั้นเรียน
Wera_Collaborative Learning Model through Social Media for Supporting Communi...
Ad

Similar to Learning (20)

PDF
แนวทางการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน-สอศ.2559.pdf
PPT
Kroojade Research
PPT
Kroojade Research
PPT
การเรียนรู้แบบโครงงาน
PPTX
เทคโนโลยีการสอนแห่งศตวรรษที่ 21
PPTX
เทคโนโลยีการสอนแห่งศตวรรษที่ 21
PPTX
เทคโนโลยีการสอน
PPT
PDF
7 การเลือกวิธีการ
PPT
Kroojade Research
PPT
Kroojade Research
PDF
Computer project 2562_607
PDF
PPTX
Chapter9mii
PPTX
1414339429 chakeaw chapter9 (1)
DOCX
การเรียนรู้แบบโครงงาน
PDF
แนวทางการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน-สอศ.2559.pdf
Kroojade Research
Kroojade Research
การเรียนรู้แบบโครงงาน
เทคโนโลยีการสอนแห่งศตวรรษที่ 21
เทคโนโลยีการสอนแห่งศตวรรษที่ 21
เทคโนโลยีการสอน
7 การเลือกวิธีการ
Kroojade Research
Kroojade Research
Computer project 2562_607
Chapter9mii
1414339429 chakeaw chapter9 (1)
การเรียนรู้แบบโครงงาน
Ad

More from Khon Kaen University (20)

PDF
หลักการแก้ปัญหา
PDF
การจัดการเว็บเพจ การออกแบบหน้าด้วยตารางและ Layout
PDF
เริ่มต้นการสร้าง Home page ด้วยคำสั่งเบื้องต้น
PDF
คำสั่งและเงื่อนไข [Web-Programming]
PDF
ค่าตัวแปรและตัวดำเนินการ [Web-Programming]
PDF
รู้จักโปรแกรม Adobe Photoshop CS6
PDF
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโปรแกรม Dreamweaver CS6
PDF
การเขียนโปรแกรมบนเว็บ
PDF
Course Syllabus การนำเสนองาน
PDF
Course Syllabus การเขียนโปรแกรมบนเว็บ
PDF
Course Syllabus การสร้าง Home page
PDF
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับภาษา PHP
PDF
การเขียนโปรแกรมบนเว็บ
PDF
แผนการเรียนรู้ฮาร์ดแวร์ (Hardware)
PDF
แผนการเรียนรู้การใช้งานโปรแกรม Microsoft Office Excel
PDF
แผนการจัดการเรียนรู้หลักการแก้ปัญหา
PDF
PPT
กิจกรรมที่ 5 ข้อ1
PPT
กิจกรรมที่ 5 ข้อ1
PPT
กิจกรรมที่ 5 ข้อ1
หลักการแก้ปัญหา
การจัดการเว็บเพจ การออกแบบหน้าด้วยตารางและ Layout
เริ่มต้นการสร้าง Home page ด้วยคำสั่งเบื้องต้น
คำสั่งและเงื่อนไข [Web-Programming]
ค่าตัวแปรและตัวดำเนินการ [Web-Programming]
รู้จักโปรแกรม Adobe Photoshop CS6
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโปรแกรม Dreamweaver CS6
การเขียนโปรแกรมบนเว็บ
Course Syllabus การนำเสนองาน
Course Syllabus การเขียนโปรแกรมบนเว็บ
Course Syllabus การสร้าง Home page
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับภาษา PHP
การเขียนโปรแกรมบนเว็บ
แผนการเรียนรู้ฮาร์ดแวร์ (Hardware)
แผนการเรียนรู้การใช้งานโปรแกรม Microsoft Office Excel
แผนการจัดการเรียนรู้หลักการแก้ปัญหา
กิจกรรมที่ 5 ข้อ1
กิจกรรมที่ 5 ข้อ1
กิจกรรมที่ 5 ข้อ1

Learning

  • 1. นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • 2. นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • 3. นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น คำนำ รายงานการวิเคราะห์รูปแบบการจัดการเรียนรู้เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา 237 401 Computer Learning Management for Basic Education Level II-IV คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จัดทาขึ้นเพื่อ เป็นการวิเคราะห์รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบต่างๆ ทั้ง 10 รูปแบบ โดยการวิเคราะห์ยึดตาม ภารกิจการเรียนรู้ของแต่ละรูปแบบ ซึ่งการวิเคราะห์รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน การจัดการเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ที่เน้นปฏิบัติการ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ การจัดการเรียนรู้แบบส่งเสริมการคิดสร้างสรรค์ การจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ การจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการแก้ปัญหา การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสู่พหุปัญญา การจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการคิด การวิเคราะห์รูปแบบการจัดการเรียนรู้ในครั้ง ทางผู้จัดทาหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เนื้อ และการวิเคราะห์ ในครั้งนี้นั้นจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับผู้ที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับการวิเคราะห์รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ไม่มาก ก็น้อย และหากมีข้อผิดพลาดประการใดทางผู้จัดทา ก็ต้องขอภัยในความผิดพลาดมา ณ ที่นี้ด้วย เจนรบ โกรธา ผู้จัดทา I
  • 4. นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น สำรบัญ เรื่อง หน้ำ คานา I สารบัญ II การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน 1 การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน 3 การจัดการเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ 5 การจัดการเรียนรู้ที่เน้นปฏิบัติการ 10 การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ 14 การจัดการเรียนรู้แบบส่งเสริมการคิดสร้างสรรค์ 17 การจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ 21 การจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการแก้ปัญหา 23 การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสู่พหุปัญญา 26 การจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการคิด 29 บรรณานุกรม 32 II
  • 5. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 1 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น Problem-Based Learning: PBL กำรจัดกำรเรียนรู้แบบใช้ปัญหำเป็นฐำน ภำรกิจ หากท่านจะจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ท่านมีวิธีหรือหลักเกณฑ์ ใดบ้างที่เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาในการกาหนดปัญหา เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ (หาคาตอบหรือหา แนวทางแก้ปัญหานั้น ๆ) กำรจัดกำรเรียนรู้แบบใช้ปัญหำเป็นฐำน การจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่เริ่มต้นจากปัญหาที่เกิดขึ้น โดยสร้างความรู้จากกระบวนการทางานกลุ่ม เพื่อแก้ปัญหาหรือสถานการณ์เกี่ยวกับชีวิตประจาวันและมี ความสาคัญต่อผู้เรียน ตัวปัญหาจะเป็นจุดตั้งต้นของกระบวนการเรียนรู้และเป็นตัวกระตุ้นกระบวนการพัฒนา ทักษะการแก้ปัญหาด้วยเหตุผลและการสืบค้น หาข้อมูลเพื่อเข้าใจกลไกของตัวปัญหา รวมทั้งวิธีการแก้ปัญหา การเรียนรู้แบบนี้มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนในด้านทักษะและกระบวนการเรียนรู้ และพัฒนาผู้เรียนให้สามารรถ เรียนรู้โดยการชี้นาตนเอง ซึ่งผู้เรียนจะได้ฝึกฝนการสร้างองค์ความรู้โดยผ่านกระบวนการคิดด้วยการแก้ปัญหา อย่างมีความหมายต่อผู้เรียน ขั้นตอนกำรจัดกำรเรียนรู้ ขั้นที่ 1 กาหนดปัญหา ขั้นที่ 2 ทาความเข้าใจกับปัญหา ขั้นที่ 3 ดาเนินการศึกษา ขั้นที่ 4 สังเคราะห์ความรู้ สรุปและประเมินค่าความรู้ ขั้นที่ 5 สรุปและประเมินค่าหาคาตอบ ขั้นที่ 6 นาเสนอและประเมินผลงาน สิ่งสาคัญในการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานคือ ปัญหา เพราะปัญหาที่ดีจะเป็นสิ่งกระตุ้นให้ ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจใฝ่แสวงหาความรู้ในการเลือกศึกษาปัญหาที่มีประสิทธิภาพ ผู้สอนจะต้องคานึงถึงพื้น ฐานความรู้ความสามารถของผู้เรียน ประสบการณ์ ความสนใจและภูมิหลังของผู้เรียน 1
  • 6. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 2 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น สิ่งที่ต้องพิจำรณำในกำรกำหนดปัญหำที่ใช้ในกำรเรียนรู้แบบใช้ปัญหำเป็นฐำน 1.เกิดขึ้นในชีวิตจริงและเกิดจากประสบการณ์ของผู้เรียนหรือผู้เรียนอาจมีโอกาสเผชิญกับปัญหานั้น 2.เป็นปัญหาที่พบบ่อย มีความสาคัญ มีข้อมูลประกอบเพียงพอสาหรับการค้นคว้า 3.เป็นปัญหาที่ยังไม่มีคาตอบชัดเจนตายตัว เป็นปัญหาที่มีความซับซ้อน คลุมเครือ หรือผู้เรียนเกิด ความสับสน 4.ปัญหาที่เป็นประเด็นขัดแย้ง ข้อถกเถียงในสังคมยังไม่มีข้อยุติ 5.เป็นปัญหาอยู่ในความสนใจ เป็นสิ่งที่อยากรู้แต่ไม่รู้ 6.ปัญหาที่สร้างความเดือดร้อน เสียหาย เกิดโทษภัยเป็นสิ่งที่ไม่ดีหากใช้ข้อมูลโดยลาพังคนเดียวอาจ ทาให้ตอบปัญหาผิดพลาด 7.เป็นปัญหาที่มีการยอมรับว่าจริง ถูกต้อง แต่ผู้เรียนไม่เชื่อจริง ไม่สอดคล้องกับความคิดของผู้เรียน๘. ปัญหาที่อาจมีคาตอบหรือแนวทางในการแสวงหาคาตอบได้หลายทาง ครอบคลุมการเรียนรู้ที่กว้างขวาง หลากหลายเนื้อหา 8.เป็นปัญหาที่มีความยากความง่ายเหมาะสมกับพื้นฐานของผู้เรียน 9.เป็นปัญหาที่ไม่สามารถหาคาตอบได้ทันที ต้องการการสารวจค้นคว้าและการรวบรวมข้อมูลหรือ ทดลองดูก่อน จึงจะได้คาตอบ ไม่สามารถที่จะคาดเดาหรือทานายได้ง่ายๆว่าต้องใช้ความรู้อะไร ยุทธวิธีใน การสืบเสาะหาความรู้จะเป็นอย่างไรหรือคาตอบหรือผลของความรู้เป็นอย่างไร 10.เป็นปัญหาส่งเสริมความรู้ด้านเนื้อหาทักษะ สอดคล้องกับหลักสูตรการศึกษา ปัญหาที่นามา ประกอบในการจัดกระบวนการเรียนรู้ต้องเป็นปัญหาที่มีความเป็นปัจจุบันและอยู่ในความสนใจ ของสังคมที่ยัง หาข้อยุติไม่ได้ พบเจออยู่บ่อยครั้งในชีวิตประจาวันหรือเป็นเหตุการณ์ประสบการตรงจากผู้เรียนเอง โดยปัญหา ที่สร้างขึ้นจะต้องสอดคล้องกับสภาพพื้นฐานของผู้เรียนและตัวหลักสูตรการศึกษา มีข้อมูลประกอบเพียงพอ สาหรับการศึกษาค้นคว้า นอกจากนี้ยังต้องเป็นปัญหา ที่ไม่สามารถหาคาตอบได้ทันที ต้องเกิดกระบวนการ ศึกษาค้นคว้า รวบรวมข้อมูลหรือการทดลองเพื่อให้ได้มาซึ่งคาตอบ
  • 7. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 3 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น Project-Based Learning กำรจัดกำรเรียนรู้แบบโครงงำน ภำรกิจ จงวิเคราะห์ว่าเนื้อหาวิชาที่มีลักษณะแบบใดที่เหมาะสมสาหรับจัดโดยใช้กิจกรรม การเรียนรู้แบบโครงงาน กำรจัดกำรเรียนรู้แบบโครงงำน การจัดการเรียนรู้ที่ใช้โครงงาน เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นสาคัญวิธีการหนึ่งที่จะช่วย พัฒนาผู้เรียนทั้งด้านความรู้และทักษะผ่านการทางานที่มีการค้นคว้าและการใช้ความรู้ในชีวิตจริงโดยมีตัว ผลงานและการแสดงออกถึงศักยภาพจากการเรียนรู้ การเรียนรู้ด้วยโครงงานจะถูกขับเคลื่อนโดยมีคาถามกา หนดกรอบการเรียนรู้ที่เป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างมาตรฐานการเรียนรู้กับทักษะการคิดขั้นสูงเข้าสู่ สถานการณ์ที่ เกิดขึ้นในชีวิตจริง หน่วยการเรียนรู้แบบโครงงานจะประกอบไปด้วยกลวิธีการสอนที่หลากหลายที่จะทาให้ผู้ เรียน ทั้งหมดเกิดการเรียนรู้ แม้จะมีวิธีการเรียนรู้ที่ต่างกันก็ตาม นักเรียนสามารถขอความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญ ภายนอกหรือชุมชนเพื่อคลี่คลาย ปัญหาหรือเนื้อหาความรู้ที่ลึกซึ้ง ส่วนการบูรณาการเทคโนโลยีและ กระบวนการประเมินที่หลากหลายก็จะเป็นตัวช่วย เสริมให้ผลงานของนักเรียนมีคุณภาพสูงยิ่งขึ้น การจัดการเรียนรู้ด้วยโครงงานเป็นรูปแบบวิธีสอนที่จะนานักเรียนเข้าสู่การแก้ปัญหาที่ท้าทายและ สร้างชิ้นงานได้สาเร็จด้วยตนเอง โครงงานที่จะมาช่วยสร้างสภาวะการเรียนรู้ภายในชั้นเรียนจะเกิดได้ในหลาย กลุ่มสาระการเรียนรู้ ในหลายเนื้อหาและในหลายระดับช่วงชั้น โครงงานจะเกิดขึ้นบนความท้าทายจากคาถาม ที่ไม่สามารถตอบได้จากการท่องจา โครงงานจะสร้างบทบาทหลากหลายขึ้นในตัวนักเรียนเป็นผู้ที่แก้ปัญหา คน ที่ตัดสินใจ นักค้นคว้า นักวิจัย โครงงานจะตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ที่เฉพาะเจาะจงทางการศึกษา ไม่ใช่สิ่งที่ แปลกแยกหรือเพิ่มเติมลงไปในหลักสูตรเนื้อหาที่แท้จริง 2
  • 8. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 4 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ลักษณะเนื้อหำวิชำที่เหมำะสมสำหรับจัดโดยใช้กิจกรรมกำรเรียนรู้แบบโครงงำน ลักษณะของเนื้อหาวิชาที่เหมาะสาหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงานนั้น อาจจะต้องขึ้นอยู่ กับกับว่าโครงงานที่ต้องการจัดนั้นเป็นประเภทไหน ทั้งนี้โครงงานนั้นจะมีอยู่ 4 ประเภทหลัก ดังต่อไปนี้ 1. ประเภทสารวจรวบรวมข้อมูล 2. ประเภททดลอง 3. ประเภทสิ่งประดิษฐ์ 4. ประเภททฤษฎี ซึ่งลองพิจารณาแต่ละประเภทแล้ว หากถามถึงความเหมาะว่าแต่ละประเภทนั้นมีความเหมาะสม สาหรับเนื้อหาประเภทใด ต้องพิจารณาเป็นรายประเภทไป ได้แก่ 1. โครงงานประเภทสารวจรวบรวมข้อมูล โครงงานประเภทนี้จะเหมาะสาหรับเนื้อหาที่มีลักษณะ การสารวจ ไม่ว่าจะเป็น พืชพันธุ์ไม้ในโรงเรียน ในท้องถิ่น พฤติกรรมด้านต่างๆ ของสัตว์ การสารวจปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชน การศึกษาลักษณะของอากาศ ในท้องถิ่น 2. โครงงานประเภททดลอง โครงงานประเภทนี้จะเหมาะสาหรับเนื้อหาที่มีลักษณะ ปฏิบัติจริงกับปัญหาหรือข้อสงสัยของนักเรียน ดาเนินการอบรม ทดลองสรุปผล วิเคราะห์ผลที่ได้ออกมา ซึ่งจะเป็นการใช้ทักษะ กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์อย่างสมบูรณ์ 3. โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์ โครงงานประเภทนี้ เป็นการประดิษฐ์สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เครื่องมือ เครื่องใช้ หรืออุปกรณ์เพื่อใช้สอยต่าง ๆ สิ่งประดิษฐ์อาจคิดขึ้นมาใหม่ ปรับปรุงหรือสร้างแบบจาลอง โดยประยุกต์หลักการทางวิทยาศาสตร์ ใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีการกาหนดตัวแปรที่จะศึกษาและทดสอบประสิทธิภาพของชิ้นงานด้วย 4. โครงงานประเภททฤษฎี โครงงานประเภทนี้ เป็นการใช้จินตนาการของตนเองมาอธิบายหลักการหรือแนวความคิดใหม่ๆ ซึ่ง อาจอธิบายในรูปของสูตรหรือสมการ หรืออธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นและไม่สามารถอธิบายได้โดยหลักการ เดิมๆ การทาโครงงานประเภทนี้ ผู้ทาโครงงานจะต้องมีความรู้ในเรื่องนั้นๆ เป็นอย่างดี จึงสามารถอธิบายได้ อย่างมีเหตุผลและน่าเชื่อถือ จึงไม่เหมาะที่จะทาในระดับนักเรียนมากนัก
  • 9. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 5 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น Resources-Based Learning กำรจัดกำรเรียนรู้จำกแหล่งเรียนรู้ ภำรกิจ จงให้เหตุผลประกอบว่าการจัดการเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ สนองตอบต่อพระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ.2542 อย่างไร กำรจัดกำรเรียนรู้จำกแหล่งเรียนรู้คืออะไร การใช้แหล่งเรียนรู้มีความสาคัญในกระบวนการจัดการเรียนรู้สาหรับผู้เรียนเพราะผู้เรียนสามารถ เรียนรู้จากสภาพจริง การจัดการเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้จะเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ ธรรมชาติ หน่วยงาน องค์กร สถานประกอบการ ชุมชน และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ซึ่งผู้เรียน ผู้สอนสามารถศึกษาค้นคว้าหาความรู้หรือ เรื่องที่สนใจได้จากแหล่งเรียนรู้ทั้งที่เป็นธรรมชาติ และที่มนุษย์สร้างขึ้น ชุมชนและธรรมชาติเป็นขุมทรัพย์ มหาศาลที่เราสามารถค้นพบความรู้ได้ไม่รู้จบ ทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง แนวคิดที่สำคัญของกำรจัดกำรเรียนรู้จำกแหล่งเรียนรู้ แนวคิดของการจัดการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนสามารถ กระตุ้นให้ผู้เรียนได้คิด ได้ปฏิบัติงานด้วยเอกลักษณ์ของตัวเอง แนวคิดที่สาคัญมีดังนี้ 1. การจัดการเรียนรู้เน้นความสาคัญที่ผู้เรียน ให้ผู้เรียนมีความสาคัญที่สุดในกระบวนการเรียนรู้ 2. ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยการฝึกทักษะการใช้กระบวนการคิด การวิเคราะห์ การสังเกต การรวบรวม ข้อมูล และการปฏิบัติจริง ทาได้ คิดเป็น ทาเป็น 3. ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความสุข สนุกกับการเรียนรู้ ได้คิด แสดงออกอย่างอิสระ บรรยากาศการเรียน ที่เป็นกัลยาณมิตร 4. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทั้งระบบ 5. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจัดกระบวนการเรียนรู้ของครูผู้สอนให้เป็นผู้รับฟัง ผู้เสนอแนะ ผู้ร่วม เรียนรู้ เป็นที่ปรึกษา ผู้สร้างโอกาส สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อ การเรียนรู้เป็นนักออกแบบการจัดกระบวนการ เรียนรู้ให้ผู้เรียนมีบทบาทมากที่สุด 6. ต้องการให้เรียนรู้ในสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิต คือ สิ่งที่อยู่ใกล้ตัว จากง่ายสู่ยาก จาก รูปธรรมสู่นามธรรม โดยใช้แหล่งการเรียนรู้เป็นสื่อ ประสบการณ์ชีวิต ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มาเป็นฐานการเรียนและประยุกต์ใช้กับการป้องกันและแก้ปัญหา 3
  • 10. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 6 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 7. ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกจัดกิจกรรม ได้เรียนรู้ตามความต้องการ ความสนใจใฝ่ เรียนรู้ ตามความต้องการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยตนเอง 8. ถือว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา 9. ปลูกฝังสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรมค่านิยมที่ดีงาม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในทุกสาระการเรียนรู้ พระรำชบัญญัติกำรศึกษำแห่งชำติ พ.ศ. 2542 เป็นอย่ำงไร เป็นกฎหมายที่กาหนดขึ้นเพื่อแก้ไขหรือแก้ปัญหาทางการศึกษา และถือได้ว่าเป็นเครื่องมือสาคัญใน การปฏิรูปการศึกษา อาจสรุปหลักการสาคัญได้ 7 ด้าน ดังนี้ 1. ด้ำนควำมเสมอภำคของโอกำสทำงกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน ปรากฏตามนัย มาตรา 10 วรรค 1 คือ การจัดการศึกษาต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปี ที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย มาตรา 8 (1) การจัดการศึกษาให้ยึดหลักว่าเป็น การศึกษาตลอดชีวิตสาหรับประชาชน 2. ด้ำนมำตรฐำนคุณภำพกำรศึกษำ ปรากฏตาม มาตรา 9 (3) กาหนดมาตรฐานการศึกษาและ จัดระบบประกันคุณภาพการศึกษาทุกระดับและประเภทการศึกษา และ มาตรา 47 ให้มีระบบประกันคุณภาพ การศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาทุกระดับ ประกอบด้วย ระบบประกันคุณภาพภายใน และระบบประกันคุณภาพภายนอก 3. ด้ำนระบบบริหำรและกำรสนับสนุนทำงกำรศึกษำ ปรากฏตาม มาตรา 9 (2) การจัดระบบ โครงสร้างและกระบวนการจัดการศึกษา ให้ยึดหลักดังนี้ (1) มีเอกภาพด้านนโยบายและหลากหลายในการ ปฏิบัติ (2) มีการกระจายอานาจไปสู่เขตพื้นที่การศึกษา สถานศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (3) ระดมทรัพยากรจากแหล่งต่าง ๆ มาใช้จัดการศึกษา (4) การมีส่วนร่วมของบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กร ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และ สถาบันสังคมอื่น ๆ มาตรา 43 การบริหารและการจัดการศึกษาของเอกชน ให้มีความเป็นอิสระ โดยมีการกากับ ติดตาม การ ประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาจากรัฐ และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การประเมินคุณภาพและ มาตรฐานการศึกษาเช่นเดียวกับการศึกษาของรัฐ 4. ด้ำนครู คณำจำรย์ และบุคลำกรทำงกำรศึกษำ ปรากฏตาม มาตรา 9 (4) มีหลักการส่งเสริม มาตรฐานวิชาชีพครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา และการพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากร ทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง มาตรา 52 ให้กระทรวงส่งเสริมให้มีระบบ กระบวนการผลิต การพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทาง การศึกษาให้มีคุณภาพ และมาตรฐานที่เหมาะสมกับการเป็นวิชาชีพชั้นสูง โดยการกากับและประสานให้ สถาบันที่ทาหน้าที่ผลิตและพัฒนาครู คณาจารย์ รวมทั้งบุคลากรทางการศึกษาให้มีความพร้อมและมีความ เข้มแข็งในการเตรียมบุคลากรใหม่และการพัฒนาบุคลากรประจาการอย่างต่อเนื่อง รัฐพึงจัดสรรงบประมาณ และจัดตั้งกองทุนพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาอย่างเพียงพอ 5. ด้ำนหลักสูตร ปรากฏตาม มาตรา 8 (3) การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่าง ต่อเนื่อง มาตรา 27 ให้คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกาหนดหลักสูตรภาคบังคับ การศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อความเป็นไทย ความเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ การดารงชีวิต และการประกอบอาชีพ ตลอดจนเพื่อ การศึกษาต่อ ให้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีหน้าที่จัดทาสาระของหลักสูตรตามวัตถุประสงค์ในวรรคหนึ่ง ในส่วน
  • 11. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 7 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่เกี่ยวกับสภาพปัญหาในชุมชนและสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะอันพึงประสงค์เพื่อเป็นสมาชิกที่ดีของ ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ มาตรา 28 หลักสูตรสถานศึกษาต่าง ๆ รวมทั้งหลักสูตรสถานศึกษาสาหรับบุคคลพิการ ต้องมีลักษณะ หลากหลาย ทั้งนี้ให้จัดตามความเหมาะสมของแต่ละระดับ โดยมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลให้เหมาะสม แก่วัยและศักยภาพ สาระของหลักสูตรทั้งที่เป็นวิชาการและวิชาชีพ ต้องมุ่งพัฒนาคนให้มีความสมดุลทั้งด้านความรู้ ความคิด ความสามารถ ความดีงาม และความรับผิดชอบต่อสังคม สาหรับหลักสูตรการศึกษาระดับอุดมศึกษา นอกจากคุณลักษณะในวรรคหนึ่งและวรรคสองแล้ว ยังมีความ มุ่งหมายเฉพาะที่จะพัฒนาวิชาการ วิชาชีพชั้นสูง และด้านการค้นคว้า วิจัย เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และพัฒนา ทางสังคม มาตรา 24 (1) จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัด โดยคานึงถึงความ แตกต่างระหว่างบุคคล 6. ด้ำนกระบวนกำรเรียนรู้ ปรากฏตาม มาตรา 22 การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมี ความสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้อง ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการ ดังนี้ (1) จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคานึงถึงความ แตกต่างระหว่างบุคคล (2) ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา (3) จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการ ปฏิบัติให้คิดได้ คิดเป็น ทาเป็น รักการอ่าน และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง (4) จัดการเรียนการสอนโดย ผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา (5) ส่งเสริมสนับสนุนให้ครูสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อมสื่อ การเรียน และอานวยความสะดวกเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วน หนึ่งของกระบวนการจัดการเรียนรู้ ทั้งนี้ครูและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกัน จากสื่อการเรียนการสอนและ แหล่งวิทยาการประเภทต่างๆ (6) จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือ กับบิดา มารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ มาตรา 25 รัฐต้องเร่งส่งเสริมการดาเนินงาน และการจัดตั้งแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกรูปแบบ ได้แก่ ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี ศูนย์การกีฬาและนันทนาการ แหล่งข้อมูล และแหล่งการเรียนรู้อื่น อย่างพอเพียงและมี ประสิทธิภาพ มาตรา 26 ให้สถานศึกษาจัดการประเมินผู้เรียนโดยพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ การ สังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรม และการทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอนตามความ เหมาะสมของแต่ละระดับและรูปแบบการศึกษา มาตรา 8 (1) และ (3) การจัดการศึกษายึดหลักดังนี้ (1) เป็นการศึกษาตลอดชีวิตสาหรับประชาชน (3) การ พัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง 7. ด้ำนทรัพยำกรและกำรลงทุนเพื่อกำรศึกษำ ปรากฏตาม มาตรา 9 (5) การจัดระบบ โครงสร้าง และกระบวนการจัดการศึกษา ให้ยึดหลักดังนี้ (5) ระดมทรัพยากรจากแหล่งต่างๆ มาใช้ในการจัดการศึกษา
  • 12. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 8 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มาตรา 58 ให้มีการระดมทรัพยากรการลงทุนด้านงบประมาณ การเงิน และทรัพย์สิน ทั้งจากรัฐ องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบัน ศาสนา สถานประกอบการ สถาบันสังคมอื่น และต่างประเทศ มาใช้ในการจัดการศึกษา มาตรา 60 ให้รัฐจัดสรรงบประมาณแผ่นดินให้กับการศึกษา ในฐานะที่มีความสาคัญสูงสุดต่อความมั่นคง ยั่งยืนของประเทศ โดยจัดสรรเป็นเงินงบประมาณเพื่อการศึกษา กำรจัดกำรเรียนรู้จำกแหล่งเรียนรู้ เป็นกำรจัดกำรเรียนรู้ที่สนองตอบต่อพระรำชบัญญัติกำรศึกษำ พ.ศ.2542 อย่ำงไร ถ้าหากพิจารณาจากแนวคิดที่สาคัญของการจัดการเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ แล้วจะพบว่า การจัดการ เรียนรู้แบบนี้ สามารถตอบสนองต่อพระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ. 2542 ดังนี้ 1. การจัดการเรียนรู้เน้นความสาคัญที่ผู้เรียน ให้ผู้เรียนมีความสาคัญที่สุดในกระบวนการเรียนรู้ ดังจะ เห็นได้ใน มาตรา 22 การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตาม ธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ 2. ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยการฝึกทักษะการใช้กระบวนการคิด การวิเคราะห์ การสังเกต การรวบรวม ข้อมูล และการปฏิบัติจริง ทาได้ คิดเป็น ทาเป็น ดังจะพบได้ใน มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้ สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้ (2) ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญ สถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา (3) จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จาก ประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้คิดได้ คิดเป็น ทาเป็น รักการอ่าน และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง 3. ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความสุข สนุกกับการเรียนรู้ ได้คิด แสดงออกอย่างอิสระ บรรยากาศการเรียน ที่เป็นกัลยาณมิตร ดังปรากฏใน มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้ (5) ส่งเสริมสนับสนุนให้ครูสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อมสื่อการเรียน และ อานวยความสะดวกเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของ กระบวนการจัดการเรียนรู้ ทั้งนี้ครูและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกัน จากสื่อการเรียนการสอนและแหล่ง วิทยาการประเภทต่างๆ 4. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทั้งระบบ ดังปรากฏใน มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้ สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้ (1) จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความ สนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล 5. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจัดกระบวนการเรียนรู้ของครูผู้สอนให้เป็นผู้รับฟัง ผู้เสนอแนะ ผู้ร่วม เรียนรู้ เป็นที่ปรึกษา ผู้สร้างโอกาส สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อ การเรียนรู้เป็นนักออกแบบการจัดกระบวนการ เรียนรู้ให้ผู้เรียนมีบทบาทมากที่สุด ดังปรากฏใน มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้ (5) ส่งเสริมสนับสนุนให้ครูสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อมสื่อการ เรียน และอานวยความสะดวกเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่ง ของกระบวนการจัดการเรียนรู้ ทั้งนี้ครูและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกัน จากสื่อการเรียนการสอนและแหล่ง วิทยาการประเภทต่างๆ
  • 13. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 9 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 6. ต้องการให้เรียนรู้ในสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิต คือ สิ่งที่อยู่ใกล้ตัว จากง่ายสู่ยาก จาก รูปธรรมสู่นามธรรม โดยใช้แหล่งการเรียนรู้เป็นสื่อ ประสบการณ์ชีวิต ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มาเป็นฐานการเรียนและประยุกต์ใช้กับการป้องกันและแก้ปัญหา ดังปรากฏใน มาตรา 26 ให้สถานศึกษา จัดการประเมินผู้เรียนโดยพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรม และการทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอนตามความเหมาะสมของแต่ละระดับ และรูปแบบการศึกษา มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้ (5) ส่งเสริมสนับสนุนให้ครูสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อมสื่อการเรียน และอานวยความสะดวกเพื่อให้เกิด การเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดการเรียนรู้ ทั้งนี้ครูและ ผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกัน จากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่างๆ 7. ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกจัดกิจกรรม ได้เรียนรู้ตามความต้องการ ความสนใจใฝ่ เรียนรู้ ตามความต้องการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยตนเอง ดังปรากฏใน มาตรา 24 การ จัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้ (1) จัดเนื้อหาสาระและ กิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล 8. ถือว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาต่างๆ ดังปรากฏใน มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้ (6) จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ มี การประสานความร่วมมือกับบิดา มารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตาม ศักยภาพ 9. ปลูกฝังสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรมค่านิยมที่ดีงาม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในทุกสาระการเรียนรู้ ดังปรากฏใน มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้ (4) จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุล กัน รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา
  • 14. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 10 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น Learning By Doing กำรจัดกำรเรียนรู้ที่เน้นกำรปฏิบัติ ภำรกิจ จงวิเคราะห์ว่าการจัดการเรียนรู้ที่เน้นปฏิบัติการ มีจุดเด่นของการจัดการเรียนรู้ อย่างไรบ้างซึ่งสอดคล้องหรือสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ลักษณะเด่นของกำรจัดกำรเรียนรู้ที่เน้นกำรปฏิบัติ 1. ผู้เรียนมีความสุขกับการเรียน ได้เรียนรู้อย่างสนุกสนาน โดยผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย และสื่อที่เร้าความสนใจ 2. ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามความสนใจ ตามความถนัด ตามศักยภาพของตน ด้วยการศึกษา ฝึกปฏิบัติ ฝึกทักษะ สรุปองค์ความรู้ได้ ทาให้เกิดความเชื่อมั่น เป็นแรงจูงใจให้เกิดการใฝ่รู้ ใฝ่เรียน 3. กิจกรรมกลุ่มช่วยเสริมสร้างลักษณะนิสัยที่พึงประสงค์ เกิดกระบวนการทางานกลุ่ม เช่น มีการวางแผนการทางานร่วมกัน มีความรับผิดชอบและเสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีวินัยในตนเอง มี พฤติกรรมที่เป็นพฤติกรรมที่เป็นประชาธิปไตย เป็นผู้นาและผู้ตามที่ดี รู้จักรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น ผู้เรียนที่ เรียนรู้ช้าจะเรียนรู้อย่างมีความสุข มีชีวิตชีวา ได้รับกาลังใจและได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อน ทาให้เกิดความ มั่นใจ ผู้เรียนที่เรียนดีและเรียนได้เร็วจะแสดงความสามารถของตนเอง มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และแบ่งปันสิ่งที่ ดีให้แก่กัน 4. ผู้เรียนเกิดกระบวนการการคิดจากการร่วมกิจกรรมและการค้นหาคาตอบจากประเด็นคาถามของ ผู้สอนและเพื่อน ๆ สามารถค้นหาวิธีการและคาตอบได้ด้วยตนเอง สามารถแสดงออกได้ชัดเจนมีเหตุผล 5. ทุกขั้นตอนของการจัดกิจกรรม จะสอดแทรกคุณธรรมและจริยธรรม เพื่อให้ผู้เรียนซึม ซับสิ่งที่ดีงามไว้ในตนเองอยู่ตลอดเวลา 6. กระบวนการเรียนรู้คานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลโดยให้แต่ละคนเรียนรู้เต็มตามศักยภาพ ของตน ไม่นา ผลงานของผู้เรียนมาเปรียบเทียบกัน มุ่งให้ผู้เรียนแข่งขันกับตนเองและไม่เล็งผลเลิศจนเกินไป 7. ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความสุข เกิดการพัฒนารอบด้าน มีอิสระที่จะเลือกสาระการเรียนรู้ที่เหมาะสม กับตนเอง และนาความรู้ที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวันได้อย่างเหมาะสม 4
  • 15. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 11 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กำรจัดกำรเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเป็นอย่ำงไร 1. Active Learning ผู้เรียนเป็นผู้กระทาหรือปฏิบัติด้วยตนเองด้วยความกระตือรือร้น เช่น ได้คิด ค้นคว้า ทดลองรายงาน ทาโครงการ สัมภาษณ์ แก้ปัญหา ฯลฯ ได้ใช้ประสาทสัมผัสต่างๆ ทาให้เกิดการเรียนรู้ ด้วยตนเองอย่างแท้จริง ผู้สอนทาหน้าที่เตรียมการจัดบรรยากาศการเรียนรู้ จัดสื่อสิ่งเร้าเสริมแรงให้คาปรึกษา และสรุปสาระการเรียนรู้ร่วมกัน 2. Construct ผู้เรียนได้ค้นพบสาระสาคัญหรือองค์การความรู้ใหม่ด้วยตนเอง อันเกิดจากการได้ ศึกษาค้นคว้าทดลอง แลกเปลี่ยนเรียนรู้และลงมือปฏิบัติจริง ซึ่งจะทาให้ผู้เรียนสามารถนาสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ได้ จริงในชีวิตประจาวัน รวมทั้งทาให้ผู้เรียนรักการอ่าน รักการศึกษาค้นคว้าเกิดทักษะในการแสวงหาความรู้ เห็น ความสาคัญของการเรียนรู้ ซึ่งนาไปสู่การเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ (Learning Man) ที่พึงประสงค์ 3. Resource ผู้เรียนได้เรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ที่หลากหลายทั้งบุคคลและเครื่องมือทั้งใน ห้องเรียนและนอกห้องเรียน ผู้เรียนได้สัมผัสและสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทั้งที่เป็นมนุษย์ (เช่น ชุมชน ครอบครัว องค์กรต่างๆ) ธรรมชาติและเทคโนโลยี ตามหลักการที่ว่า “การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาและทุก สถานการณ์)” 4. Thinking ส่งเสริมกระบวนการคิด ผู้เรียนได้ฝึกวิธีคิดในหลายลักษณะ เช่น คิดคล่อง คิด หลากหลาย คิดละเอียด คิดชัดเจน คิดถูก ทางคิดกว้าง คิดลึกซึ้ง คิดไกล คิดอย่างมีเหตุผล เป็นต้น การฝึกให้ ผู้เรียนได้คิดอยู่เสมอในลักษณะต่างๆ จะทาให้ผู้เรียนเป็นคนคิดเป็น แก้ปัญหาเป็น คิดอย่างรอบคอบมีเหตุผล มีวิจารณญาณ ในการคิด มีความคิดสร้างสรรค์ มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ที่จะเลือกรับและปฏิเสธ ข้อมูล ข่าวสารต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนสามารถแสดงความคิดเห็นออกได้อย่างชัดเจนและมี เหตุผล อันเป็นประโยชน์ต่อการดารงชีวิตประจาวัน 5. Happiness ผู้เรียนเรียนอย่างมีความสุข ซึ่งเป็นความสุขที่เกิดจาก 1) ผู้เรียนได้เรียนในสิ่งที่ตน ชอบหรือสนใจ ทาให้เกิดแรงจูงใจในการใฝ่รู้ ท้าทาย อยากค้นคว้า อยากแสดงความสามารถและให้ใช้ ศักยภาพของตนอย่างเต็มที่ 2) การมีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนและระหว่างผู้เรียนกับ ผู้เรียน มีลักษณะเป็นกัลยาณมิตร มีการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน มีกิจกรรมร่วมด้วยช่วยกัน ทาให้ผู้เรียน รู้สึกมีความสุขและสนุกกับการเรียน 6. Participation ผู้เรียนมีส่วนร่วม ตั้งแต่การวางแผนกาหนดงาน วางเป้าหมายร่วมกัน และมี โอกาสเลือกทางานหรือศึกษาค้นคว้าในเรื่องที่ตรงกับความถนัดความสามารถ ความสนใจ ของตนเอง ทาให้ ผู้เรียนเรียนด้วยความกระตือรือร้น มองเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรียนและสามารถ ประยุกต์ความรู้นาไปใช้ ประโยชน์ในชีวิตจริง 7. Individualization ผู้สอนให้ความสาคัญแก่ผู้เรียนในความเป็นเอกัตบุคคล ผู้สอนต้องยอมรับใน ความสามารถ ความคิดเห็น ความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน มุ่งให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองให้เต็ม ศักยภาพมากกว่าเปรียบเทียบแข่งขันระหว่างกันโดยมีความเชื่อมั่นผู้เรียนทุกคนมีความสามารถในการเรียนรู้ ได้ และมีวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน 8. Good Habit ผู้เรียนได้พัฒนาคุณลักษณะนิสัยที่ดีงาม เช่น ความรับผิดชอบ ความเมตตา กรุณา ความมีน้าใจ ความขยัน ความมีระเบียบวินัย ความเสียสละ ฯลฯ และ ลักษณะนิสัยในการทางานอย่างเป็น กระบวนการการทางานร่วมกับผู้อื่น การยอมรับผู้อื่น และ การเห็นคุณค่าของงาน เป็นต้น
  • 16. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 12 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 9. Self-Evaluation ผู้เรียนประเมินตนเอง เดิมผู้สอนเป็นผู้ประเมินฝ่ายเดียว แต่การเปิดโอกาสให้ ผู้เรียนประเมินตนเองอย่างสม่าเสมอและต่อเนื่อง จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจตนเองได้ชัดเจนขึ้น รู้จุดเด่นจุดด้อย และพร้อมที่จะปรับปรุงหรือพัฒนาตนเองให้เหมาะสมยิ่งขึ้น การประเมินในส่วนนี้เป็นการประเมินตามสภาพ จริงและอาจใช้แฟ้มสะสมผลงานช่วย กำรจัดกำรเรียนรู้ของกำรเรียนรู้ที่เน้นปฏิบัติกำรสอดคล้องหรือสนับสนุนกำรเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียน เป็นสำคัญอย่ำงไร กำรจัดกำรเรียนรู้ที่เน้นกำรปฏิบัติ ควำมสอดคล้องหรือสนับสนุนกำรจัดกำรเรียนรู้ที่ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 1. ผู้เรียนมีความสุขกับการเรียน ได้เรียนรู้อย่างสนุกสนาน โดยผ่านกิจกรรมที่หลากหลายและสื่อที่เร้าความสนใจ หากผู้เรียนมีความสุขกับการเรียน ได้เรียนรู้อย่าง สนุกสนาน แสดงว่าสิ่งที่เขาเรียนนั้นเป็นสิ่งที่เขาชอบ สิ่งที่เขามีความสนใจ ซึ่งจะสนับสนุนการเรียนที่เน้น ผู้เรียนเป็นสาคัญ ที่ความต้องการหรือความสนใจของ ผู้เรียนเป็นสาคัญ ผู้เรียนมีสิทธิ์ที่จะเลือกเรียนรู้ 2. ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามความสนใจ ตามความถนัด ตาม ศักยภาพของตน ด้วยการศึกษาฝึกปฏิบัติ ฝึกทักษะ สรุป องค์ความรู้ได้ ทาให้เกิดความเชื่อมั่น เป็นแรงจูงใจให้เกิด การใฝ่รู้ ใฝ่เรียน ข้อนี้จะเด่นชัดมาก คือ ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามความ สนใจ ตามความถนัด ตามศักยภาพของตน ด้วย การศึกษาฝึกปฏิบัติ ฝึกทักษะ สรุปองค์ความรู้ได้ ซึ่ง จะเห็นได้ชัดว่า จัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ จะเน้นให้ผู้เรียนสามารถสร้างสร้างองค์ความรู้ได้ด้วย ตนเอง กล่าวคือ ให้สามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ ในสภาพความเป็นจริง สามารถวิจัยเชิงปฏิบัติการ และสืบค้นหาความรู้ด้วยตนเอง 3. กิจกรรมกลุ่มช่วยเสริมสร้างลักษณะนิสัยที่พึงประสงค์ เกิดกระบวนการทางานกลุ่มเช่น มีการวางแผนการทางาน ร่วมกัน มีความรับผิดชอบและเสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มี วินัยในตนเอง มีพฤติกรรมที่เป็นพฤติกรรมที่เป็น ประชาธิปไตย เป็นผู้นาและผู้ตามที่ดี รู้จักรับฟังความ คิดเห็นผู้อื่น ผู้เรียนที่เรียนรู้ช้าจะเรียนรู้อย่างมีความสุข มี ชีวิตชีวา ได้รับกาลังใจและได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อน ทาให้เกิดความมั่นใจ ผู้เรียนที่เรียนดีและเรียนได้เร็วจะ แสดงความสามารถของตนเอง มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และ แบ่งปันสิ่งที่ดีให้แก่กัน ลักษณะเด่นในข้อนี้ จะเน้นในเรื่องกระบวนการ ทางานกลุ่ม มีกระบวนการในการทางาน มีความ รับผิดชอบและเสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีวินัยใน ตนเอง และอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนั้นจะสอดคล้องและ สนับสนุนกันเป็นอย่างดีกับ การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียน เป็นสาคัญ คือ เน้นความร่วมมือ ซึ่งเป็นทักษะที่สาคัญ ในการดาเนินชีวิตประจาวัน เน้นรูปแบบการเรียนรู้ ซึ่ง อาจจัดได้ทั้งในรูปเป็นกลุ่มหรือเป็นรายบุคคล
  • 17. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 13 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กำรจัดกำรเรียนรู้ที่เน้นกำรปฏิบัติ ควำมสอดคล้องหรือสนับสนุนกำรจัดกำรเรียนรู้ที่ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 4. ผู้เรียนเกิดกระบวนการการคิดจากการร่วมกิจกรรมและ การค้นหาคาตอบจากประเด็นคาถามของผู้สอนและเพื่อน ๆ สามารถค้นหาวิธีการและคาตอบได้ด้วยตนเอง สามารถ แสดงออกได้ชัดเจนมีเหตุผล ในส่วนนี้เอง ก็เป็นส่วนหนึ่งที่สอดคล้องกับการ เรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ เพราะ หาก กระบวนการคิดจากกิจกรรมนั้น เป็นการร่วมมือการ เรียนรู้ที่ผู้เรียนคิดวิธีการหาคาตอบเอง ใช้ทักษะเอง โดยมีครูเป็นเพียงผู้แนะนา จะทาให้ได้ผลงานที่ดีและมี ประสิทธิภาพ 5. เน้นการประเมินตนเอง เดิมผู้สอนเป็นผู้ประเมิน การเปิด โอกาสให้ผู้เรียนประเมินตนเองอย่างสม่าเสมอและต่อเนื่อง จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจตนเองได้ชัดเจนขึ้น รู้จุดเด่นจุดด้อย และพร้อมที่จะปรับปรุงหรือพัฒนาตนเองให้เหมาะสมยิ่งขึ้น การประเมินในส่วนนี้เป็นการประเมินตามสภาพจริงและใช้ แฟ้มสะสมผลงานช่วย การที่เปลี่ยนการประเมิน เป็นการประเมินตนเอง ของผู้เรียนนั้น เป็นอีกประการหนึ่งที่สาคัญสาหรับ การจัดการเรียนรู้แบบเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ เพราะ นอกจากประเด็นต่างๆที่กล่าวมา หากไม่เปิดโอกาสใน การให้ประเมินตนเองของผู้เรียนแล้ว ก็ยังไม่ใช่ การ เรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางที่แท้จริง หากเปิด โอกาสให้ผู้เรียนได้ประเมินตนเองแล้วนั้น จะส่งผลให้ ผู้เรียนรู้จักตัวเองได้ดี ทั้งในข้อเด่น ข้อด้อย เพื่อการ ปรับปรุงพัฒนาที่ตรงจุด 6. เน้นความร่วมมือ ซึ่งเป็นทักษะที่สาคัญในการดาเนิน ชีวิตประจาวัน การเรียนแบบเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ไม่เพียงให้ อิสระในการเรียนรู้ของผู้เรียนเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาส ในด้วยการทางาน ซึ่งสามรถจัดได้ทั้งงานในรูปแบบ กลุ่ม หรือเดี่ยว ตามความเหมาะสมและความสนใจใน การเรียนของผู้เรียน และที่สาคัญ ถ้าผู้เรียนมีความ ร่วมมือกันเองภายในแล้ว ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้ที่ หลากหลายมากขึ้นอีกด้วย 7. เน้นรูปแบบการเรียนรู้ ซึ่งอาจจัดได้ทั้งในรูปเป็นกลุ่ม หรือเป็นรายบุคคล
  • 18. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 14 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น Collaborative Learning กำรจัดกำรเรียนรู้แบบร่วมมือ ภำรกิจ จงแสดงเหตุผลว่าหากท่านจะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบการ จัดการเรียนแบบร่วมมือ ท่านจะเลือกใช้รูปแบบใดเพราะเหตุใด (โปรดระบุเนื้อหาที่ท่านใช้ใน กิจกรรมครั้งนี้ด้วย) กำรจัดกำรเรียนรู้แบบร่วมมือมีรูปแบบของกิจกรรมแบบใดบ้ำง 1. แนวคิดของ Johnson and Johnson 2. แนวคิดของ Robert Slavin 2.1 STAD (Student Teams -Achievement Division) เป็นรูปแบบการเรียนรู้มีเป้าหมาย เพื่อพัฒนาการสัมฤทธิ์พลของการเรียนและทักษะทางสังคมเป็นสาคัญ 2.2 TGT (Team Games Tournament) เป็นรูปแบบที่คล้ายกับ STAD แต่เป็นการจูงใจใน การเรียนเพิ่มขึ้น โดยการใช้การแข่งขันเกมแทนการทดสอบย่อย 2.3 TAI (Team Assisted Individualization) เป็นรูปแบบการเรียนที่ผสมผสานแนวคิด ระหว่างการร่วมมือในการเรียนรู้กับการสอนเป็นรายบุคคล (Individualized Instruction) รูปแบบของ TAI เป็นการประยุกต์ใช้กับการสอนคณิตศาสตร์ 2.4 CIRC (Cooperative Integrated Reading and Composition) เป็นรูปแบบการเรียน แบบร่วมมือแบบผสมผสาน ที่มุ่งพัฒนาขึ้นเพื่อสอนการอ่านและการเขียนสาหรับนักเรียนประถมศึกษาตอน ปลายโดยเฉพาะ 2.5 Jigsaw ผู้ที่คิดค้นการเรียนการสอนแบบ Jigsaw เริ่มแรกคือ Elliot – Aronson และ คณะ(1978) หลังจากนั้น สลาวินได้นาแนวคิดดังกล่าวมาปรับขยายเพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบการเรียนแบบ ร่วมมือมากยิ่งขึ้น เป็นรูปแบบที่เหมาะสมกับวิชาที่เกี่ยวข้องกับการบรรยาย เช่น สังคมศึกษาวรรณคดี วิทยาศาสตร์ในบางเรื่อง รวมทั้งวิชาอื่น ๆ ที่เน้นการพัฒนาความรู้ ความเข้าใจมากกว่าพัฒนาทักษะ 5
  • 19. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 15 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 3. แนวคิดของ Shlomo Sharan and Yael Sharan 3.1 GI (Group Investigation) เป็นรูปแบบการเรียนแบบร่วมมือที่มีความซับซ้อนและกว้าง มาก ปรัชญาของรูปแบบ GI ก็คือ ต้องการปลูกฝังการร่วมมือกันอย่างมีประชาธิปไตย มีการกระจายภาระงาน และสิทธิในการแสดงความคิดเห็นที่เท่าเทียมกันของสมาชิกในกลุ่ม GI มีการกระตุ้นบทบาทที่แตกต่างกันทั้ง ภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่ม 3.2 Co – op Co – op เป็นรูปแบบที่พัฒนาโดย Shlomo และ Yael Shsran ที่ใช้ในงาน เฉพาะอย่าง ลักษณะสาคัญคือ สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มย่อยจะได้รับมอบหมายให้ศึกษาเนื้อหา หรือทา กิจกรรมที่ต่างกัน ทา เสร็จแล้วนาผลงานมารวมกันเป็นกลุ่มร่วมกันแก้ไขทบทวนแล้วนามาเสนอต่อชั้นเรียน 7. กำรเล่ำเรื่องรอบวง (Round robin) เป็นเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือที่เปิดโอกาสให้สมาชิกทุก คนในกลุ่มได้เล่าประสบการณ์ ความรู้ สิ่งที่ตนกา ลังศึกษา สิ่งที่ตนประทับใจให้เพื่อน ๆ ในกลุ่มฟัง 8. มุมสนทนำ (Corners) เริ่มต้นจากการให้ผู้เรียนกลุ่มย่อยแต่ละกลุ่มเข้าไปนั่งตามมุมหรือจุดต่าง ๆ ของห้องเรียน และช่วยกันหาคา ตอบสา หรับโจทย์ปัญหาต่าง ๆ ที่ครูยกขึ้นมา และเปิดโอกาสให้ผู้เรียน อธิบายเรื่องราวที่ตนศึกษาให้เพื่อนกลุ่มอื่นฟัง 9. คู่ตรวจสอบ (Pairs Check) แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มละ 4 หรือ 6 คน ให้นักเรียนจับคู่กันทา งาน คนหนึ่งทา หน้าที่เสนอแนะวิธีแก้ปัญหา อีกคนทา หน้าที่แก้โจทย์เสร็จข้อที่ 1 แล้วให้สลับหน้าที่กัน เมื่อเสร็จ ครบ 2 ข้อ ให้นาคาตอบมาตรวจสอบกับคา ตอบของคู่อื่นในกลุ่ม 10. คู่คิด (Think-Pair Share) ครูตั้งคา ถามให้นักเรียนตอบ นักเรียนแต่ละคนจะต้องคิดคาตอบ ของตนเอง นาคาตอบมาอภิปรายกับเพื่อนที่นั่งติดกับตนนาคาตอบมาเล่าให้เพื่อนทั้งชั้นฟัง 11. ร่วมกันคิด (Numbered Heads Together) เริ่มจากครูถามคา ถาม เปิดโอกาสให้นักเรียนแต่ ละกลุ่มช่วยกันคิดหาคา ตอบ จากนั้นครูจึงเรียกให้นักเรียนคนใดคนหนึ่งจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือทุก ๆกลุ่ม ตอบคา ถาม เป็นวิธีการที่นิยมใช้ในการทบทวนหรือตรวจสอบความเข้าใจ 12. กำรเรียนแบบร่วมมือกับกำรสอนคณิตศำสตร์ จอห์นสันและจอห์นสัน (Johnson and Johnson, 1989) กล่าวว่า การเรียนแบบร่วมมือสามารถใช้ได้เป็นอย่างดีในการเรียนคณิตศาสตร์ เพื่อให้ นักเรียนคิดทางคณิตศาสตร์เข้าใจการเชื่อมโยงระหว่างมโนมติและกระบวนการ และสามารถที่จะประยุกต์ใช้ ความรู้อย่างคล่องแคล่ว
  • 20. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 16 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กิจกรรมกำรเรียนกำรสอนโดยใช้รูปแบบกำรจัดกำรเรียนแบบร่วมมือ ท่ำนจะเลือกใช้รูปแบบใด เพรำะเหตุใด การเรียนรู้แบบร่วมมือในแต่ละรูปแบบล้วนแต่มีข้อดี และข้อเสียของแต่ละรูปแบบที่แตกต่างกัน ออกไป ไม่ว่าจะเลือกรูปแบบใดก็สามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ หากแต่เราควรคานึง อีกอย่างหนึ่งที่สาคัญคือ เนื้อหาที่เราจะใช้สอน จะต้องมีความเหมาะสม สามารถใช้รูปแบบนั้นๆได้ดีและมี ประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียนมากที่สุด เนื้อหำ : องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ รูปแบบ : Co – op Co – op เหตุผล : เนื่องจากลักษณะสาคัญของรูปแบบ Co – op Co – op คือ สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มย่อยจะ ได้รับมอบหมายให้ศึกษาเนื้อหา หรือทากิจกรรมที่ต่างกัน ทาเสร็จแล้วนาผลงานมารวมกันเป็นกลุ่มร่วมกัน แก้ไขทบทวนแล้วนามาเสนอต่อชั้นเรียน ซึ่งอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า การเลือกรูปแบบนั้นจะต้องให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่จะใช้สอน โดยเนื้อหา ของเรื่อง องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ จะมีลักษณะเป็นหัวข้อย่อย คือองค์ประกอบของระบบ คอมพิวเตอร์อยู่ 5 องค์ประกอบหลักๆ ซึ่งเหมาะที่จะให้ผู้เรียนในกลุ่มนั้นๆ แบ่งหน้าที่ไปศึกษา หาข้อมูลของ แต่ละองค์ประกอบย่อยนั้นๆ หลังจากนั้น ก็จะให้สมาชิกในกลุ่มนาเนื้อหาที่ไปศึกษา ซึ่งเป็นองค์ประกอบต่างๆ ของระบบคอมพิวเตอร์ มาร่วมแลกเปลี่ยนกันภายกลุ่ม และร่วมกันสรุปเนื้อหาทั้งหมดทุกคนรวมกัน ก็จะเกิด เป็นองค์ความรู้ใหม่ว่า สิ่งที่เราไปค้นคว้ามานั้น เมื่อนามาร่วมกันแล้ว เกิดเป็นอะไร เรียกว่าอะไร ซึ่งวิธีนี้ทุกคนจะได้รับหน้าที่ และต้องรับผิดชอบในส่วนของตน หากคนใดคนหนึ่งไม่มีข้อมูลมาร่วม แลกเปลี่ยน องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ของกลุ่มนั้นก็จะไม่ครบองค์ประกอบ และเมื่อกลุ่มต้อง นาเสนอหน้าชั้นเรียน ก็จะทาให้กลุ่มมีข้อมูลไม่ครบเหมือนกับกลุ่มอื่นๆในชั้นเรียน
  • 21. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 17 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น Creative Learning กำรจัดกำรเรียนรู้แบบส่งเสริมกำรคิดสร้ำงสรรค์ ภำรกิจ จงให้เหตุผลสนับสนุนว่าการจัดการเรียนรู้แบบส่งเสริมการคิดสร้างสรรค์ สอดคล้องหรือสนับสนุนพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ลักษณะเด่นของกำรจัดกำรเรียนรู้แบบส่งเสริมกำรคิดสร้ำงสรรค์ ลักษณะเด่นของการจัดการเรียนรู้แบบส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์มีดังนี้ - ผู้เรียนมีความคิดอิสระ - ไม่มีรูปแบบตายตัว - ใช้ได้ทุกเวลาทุกโอกาส - ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง - มีการบูรณาการในตัวเอง - มีความยืดหยุ่นคล่องตัวสูง - เปิดทางเลือกให้ผู้เรียนได้หาคาตอบที่หลากหลาย - ส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม ในการคิดที่สันติสุข - ผู้เรียนสร้างชิ้นงาน ผลงาน สิ่งประดิษฐ์ แปลกใหม่ที่เป็นรูปธรรม - เชื่อมโยงความคิดที่เป็นระบบอย่างมีขั้นตอนจากง่ายไปหายากและจากใกล้ตัวไปไกลตัว - นาไปจัดการเรียนรู้ได้กับทุกกลุ่มสาระและสามารถเชื่อมโยงได้กับรูปแบบการเรียนรู้อื่นๆ พระรำชบัญญัติกำรศึกษำแห่งชำติ พ.ศ. 2542 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 จะมีการสรุปไว้หลายๆด้าน ในที่นี้จะกล่าวถึงเพียงด้วย กระบวนการจัดการเรียน ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ ด้ำนกระบวนกำรเรียนรู้ ปรากฏตาม มาตรา 22 การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมี ความสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้อง ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ 6
  • 22. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 18 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้ (1) จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคานึงถึง ความแตกต่างระหว่างบุคคล (2) ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อ ป้องกันและแก้ไขปัญหา (3) จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้คิดได้ คิดเป็น ทาเป็น รักการ อ่าน และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง (4) จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้ง ปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา (5) ส่งเสริมสนับสนุนให้ครูสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อมสื่อการเรียน และอานวยความ สะดวกเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดการ เรียนรู้ ทั้งนี้ครูและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกัน จากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่างๆ (6) จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับบิดา มารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ มาตรา 25 รัฐต้องเร่งส่งเสริมการดาเนินงาน และการจัดตั้งแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกรูปแบบ ได้แก่ ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ศูนย์การกีฬาและนันทนาการ แหล่งข้อมูล และแหล่งการเรียนรู้อื่น อย่างพอเพียงและมี ประสิทธิภาพ มาตรา 26 ให้สถานศึกษาจัดการประเมินผู้เรียนโดยพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความ ประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรม และการทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการ สอนตามความเหมาะสมของแต่ละระดับและรูปแบบการศึกษา มาตรา 8 (1) และ (3) การจัดการศึกษายึดหลักดังนี้ (1) เป็นการศึกษาตลอดชีวิตสาหรับ ประชาชน (3) การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง กำรจัดกำรเรียนรู้แบบส่งเสริมกำรคิดสร้ำงสรรค์ สอดคล้องหรือสนับสนุนพระรำชบัญญัติ กำรศึกษำแห่งชำติ พ.ศ. 2542 อย่ำงไร กำรจัดกำรเรียนรู้แบบส่งเสริมกำรคิดสร้ำงสรรค์ สอดคล้องหรือสนับสนุนพระรำชบัญญัติกำรศึกษำ แห่งชำติ พ.ศ. 2542 - ผู้เรียนมีความคิดอิสระ - เปิดทางเลือกให้ผู้เรียนได้หาคาตอบที่หลากหลาย มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้ สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้ (1) จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้ สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
  • 23. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 19 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กำรจัดกำรเรียนรู้แบบส่งเสริมกำรคิดสร้ำงสรรค์ สอดคล้องหรือสนับสนุนพระรำชบัญญัติกำรศึกษำ แห่งชำติ พ.ศ. 2542 - ไม่มีรูปแบบตายตัว - มีความยืดหยุ่นคล่องตัวสูง มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้ สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้ (1) จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับ ความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคานึงถึง ความแตกต่างระหว่างบุคคล กล่าวคือ จะต้องจัดให้สอดคล้องความสนใจและ ความถนัดของผู้เรียนไม่ได้มีรูปแบบที่เฉาะตายตัว - ใช้ได้ทุกเวลาทุกโอกาส - มีการบูรณาการในตัวเอง - นาไปจัดการเรียนรู้ได้กับทุกกลุ่มสาระและสามารถ เชื่อมโยงได้กับรูปแบบการเรียนรู้อื่นๆ มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้ สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้ (6) จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ มี การประสานความร่วมมือกับบิดา มารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียน ตามศักยภาพ การเรียนในรูปแบบนี้ก็ส่งเสริมให้เรียนได้ทุก โอกาสเช่นกันกับพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ พ.ศ. 2542 รวมทั้งส่งเสริมให้มีการบูร ณาการด้วย - ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้ สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้ (3) จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ จริง ฝึกการปฏิบัติให้คิดได้ คิดเป็น ทาเป็น รักการ อ่าน และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ การเรียนรู้แบบส่งเสริมการคิดแบบ สร้างสรรค์นั้น ต้องการให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจริง ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ที่เน้นการคิด การทาเป็น - ส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม ในการคิดที่สันติสุข มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้ สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้ (4) จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้งปลูกฝัง คุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ไว้ในทุกวิชา
  • 24. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 20 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กำรจัดกำรเรียนรู้แบบส่งเสริมกำรคิดสร้ำงสรรค์ สอดคล้องหรือสนับสนุนพระรำชบัญญัติกำรศึกษำ แห่งชำติ พ.ศ. 2542 - เชื่อมโยงความคิดที่เป็นระบบอย่างมีขั้นตอนจาก ง่ายไปหายากและจากใกล้ตัวไปไกลตัว - ผู้เรียนสร้างชิ้นงาน ผลงาน สิ่งประดิษฐ์ แปลกใหม่ ที่เป็นรูปธรรม มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้ สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการดังนี้ (2) ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญ สถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อ ป้องกันและแก้ไขปัญหา
  • 25. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 21 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น Constructivist กำรจัดกำรเรียนรู้แบบสร้ำงองค์ควำมรู้ ภำรกิจ จงให้เหตุผลสนับสนุนว่าการจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ เป็นการจัดการ เรียนรู้ที่เหมาะสมกับยุคสมัยปัจจุบัน ลักษณะเด่นของกำรจัดกำรเรียนรู้แบบสร้ำงองค์ควำมรู้ การจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้มีลักษณะเด่น คือ การให้ความสาคัญของกระบวนการเรียนรู้ ของผู้เรียน และความสาคัญของความรู้เดิม ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเป็นผู้แสดงความรู้และสร้างความรู้ด้วย ตนเอง (Constructivist) ผู้เรียนสังเกตสิ่งที่ตนเองเรียนรู้แล้วค้นคว้าแสวงหาความรู้เพิ่ม เชื่อมโยงกับความรู้ เดิม ประสบการณ์เดิม ผนวกกับความรู้ใหม่ จนสร้างสรรค์เกิดเป็นความรู้ใหม่ กล่าวโดยสรุปเป็นการเรียนรู้โดย ให้ผู้เรียน ลงมือปฏิบัติจริง ค้นหาความรู้ด้วยตนเอง จนค้นพบความรู้และรู้จักสิ่งที่ค้นพบ เรียนรู้วิเคราะห์ต่อ จนรู้จริง รู้ลึกซึ้งว่าสิ่งนั้นคืออะไร มีความสาคัญมากน้อยเพียงไร การเรียนรู้แบบนี้จะส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนา ความสามารถในการคิด พร้อมทั้งฝึกให้ผู้เรียนมีทักษะทางสังคมที่ดีได้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เรียนกับ ผู้สอน กำรจัดกำรเรียนรู้แบบสร้ำงองค์ควำมรู้ กับยุคสมัยปัจจุบัน ในยุคสมัยปัจจุบันนี้ หากจะมองถึงความเหมาะสมของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ที่นามาใช้ในการ จัดการเรียนรู้ คงไม่สามารถที่จะบอกอย่างแน่นอนได้ว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้รูปแบบใดที่เหมาะสมที่สุด แต่เราสามารถบอกได้ว่า รูปแบบใดเหมาะสมที่สุดกับสถานการณ์นั้นๆ หากแต่ต้องบอกว่ารูปแบบการจัดการ เรียนรู้รูปแบบนั้นเหมาะกับสังคมสมัยปัจจุบันนี้หรือไม่ คงต้องตอบว่าทุกรูปแบบเหมาะสม เพียงใช้ให้ถูกกับ สถานการณ์ และที่สาคัญที่สุด เราจะต้องเลือกเองว่า ณ สถานการณ์นั้นๆ เราจะเลือกใช้รูปแบบการสอนแบบ ใดที่มีข้อด้อยน้อยที่สุด เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบใด ล้วนแล้วแต่มีทั้งข้อด้อย และข้อดีทั้งนั้น ไม่มีรูปแบบใดที่สมบูรณ์พร้อมไปทั้งหมด เพราะไม่ใช่นั้นเราคงไม่มีการสร้างรูปแบบการจัดการ เรียนการสอนที่หลากหลายรูปแบบดังที่พบในปัจจุบัน ที่มีให้เราเลือกใช้ให้เข้ากับสถานการณ์การเรียนรู้นั้นๆ นั่นเอง 7
  • 26. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 22 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ถ้าหากพูดว่าการจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ คงน้อยคนนักที่จะไม่รู้ หากเป็นนักการเกี่ยวกับ การศึกษาแล้วนั้นแทบไม่มีใครไม่รู้จักเลย เพราะว่า การจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ (Constructivist) นั้นเป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนจึงเน้นว่า การเรียนรู้เป็นกระบวนการสร้างมากกว่าการรับความรู้ ดังนั้นเป้าหมายของการจัดการเรียนการสอน จะสนับสนุนการสร้างมากกว่าความพยายามในการถ่ายทอด ความรู้ ดังนั้น จะมุ่งเน้นการสร้างความรู้ใหม่อย่างเหมาะสมของแต่ละบุคคล และสิ่งแวดล้อมมีความสาคัญใน การสร้างความหมายตามความเป็นจริง สาหรับเหตุผลที่ว่า ทาไมการจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ เป็นการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับ ยุคสมัยปัจจุบันนั้น อาจจะมีเหตุผลดังนี้ 1. การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง แต่ยังขาดให้ผู้เรียนได้เป็นผู้สร้างองค์ความรู้นั้นๆโดยแท้จริง กล่าวคือ กระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางไม่ได้มีข้อบกพร่อง แต่อาจเกิดจากครูผู้สอนเกิดการ เข้าใจกระบวนการ หรือใช้กระบวนการนั้นไม่ถูกต้อง ถ้าหากนาการจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ มาใช้ ควบคู่ไปด้วย นอกจากจะได้การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางแล้ว ยังให้ผู้เรียนเป็นผู้สรุปและสร้างองค์ ความรู้ของตนเองขึ้นมาอย่างแท้จริง 2. ในสถานการณ์ปัจจุบันผู้เรียนขาดการเชื่อมโยงเนื้อหา ผู้เรียนเพียงแค่เรียนเพื่อนรู้และปฏิบัติ แต่ไม่ สามารถเชื่อมโยงไปในส่วนอื่นๆได้ ดังนั้น การจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ นั้นจะผลอย่างมากในการคิด เชื่อมโยงทั้งเป็นการเชื่อมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่และกับประสบการณ์ที่ผ่านมา และความรู้ที่ได้รับกับ สถานการณ์จริง 3. กระบวนการเรียนรู้ที่เน้นการปฏิบัติ ครูผู้สอนยังเป็นผู้ชี้แนะในขั้นตอนการปฏิบัติ รวมทั้งการ ปฏิบัติจริงที่น้อย การจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ จึงควรมีบทบาทในการแก้ปัญหาในเรื่องนี้ เพื่อในการ เรียนรู้ที่มีการปฏิบัติควรให้ผู้เรียนได้ศึกษาคนคว้าขั้นตอน และลงมือปฏิบัติเอง โดยมีครูคอบให้คาปรึกษา เท่านั้น และในการปฏิบัติควรให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติจริงๆ ทุกขั้นตอน เพื่อให้รู้เรียนรู้จริง เพื่อที่จะสรุปเองได้ (อ้างอิงปัญหาที่พบจาก http://www.kroobannok.com/blog/35366, (3/8/2556))
  • 27. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 23 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น Problem Process-Based Learning กำรจัดกำรเรียนรู้แบบกระบวนกำรแก้ปัญหำ ภำรกิจ จงให้เหตุผลสนับสนุนว่าการจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการแก้ปัญหา สนับสนุน การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญและจะเป็นทักษะที่จาเป็นที่จะเป็นภูมิคุ้มกันสาหรับการ ดารงชีวิตของผู้เรียน ลักษณะเด่นของกำรจัดกำรเรียนรู้แบบกระบวนกำรแก้ปัญหำ การจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการแก้ปัญหามีลักษณะเด่น คือ ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติกิจกรรม มีชิ้นงาน ที่เป็นรูปธรรม ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนและเพื่อน ได้พัฒนาทักษะการคิดแก้ปัญหา และตระหนักรู้ใน ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น สามารถใช้ทักษะการคิดแก้ปัญหาที่พบ การจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการแก้ปัญหามี ความสาคัญต่อการเรียนรู้เป็นอย่างมาก เพราะเป็นการเรียนรู้จากสภาพจริงขอชีวิตซึ่งมีความหมายต่อการ เรียนรู้ของผู้เรียน ผู้เรียนสามารถฝึกคิดด้วยตนเอง จากสถานการณ์หรือปัญหาที่น่าสนใจท้าทายให้คิด กระบวนการเรียนรู้ช่วยพัฒนาทักษะการคิดของผู้เรียนอย่างเป็นลาดับขั้นตอน โดยผ่านการวิเคราะห์อย่างเป็น ระบบตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การจัดการเรียนรู้ใช้วิธีการที่หลากหลาย เช่น บทบาทสมมติ โครงงาน การสืบสวนสอบสวน การศึกษานอกสถานที่ การเรียนรู้รูปแบบนี้จะกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนให้ตั้งใจเรียน มากขึ้น พร้อมไปกับการเห็นประโยชน์ของการเรียนรู้ สร้างนิสัยใฝ่รู้ รักการค้นคว้าหาความรู้ และฝึกนิสัยให้ เป็นคนมีเหตุผล และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ กำรจัดกำรเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเป็นอย่ำงไร 1. Active Learning ผู้เรียนเป็นผู้กระทาหรือปฏิบัติด้วยตนเองด้วยความกระตือรือร้น เช่น ได้คิด ค้นคว้า ทดลองรายงาน ทาโครงการ สัมภาษณ์ แก้ปัญหา ฯลฯ ได้ใช้ประสาทสัมผัสต่างๆ ทาให้เกิดการเรียนรู้ ด้วยตนเองอย่างแท้จริง ผู้สอนทาหน้าที่เตรียมการจัดบรรยากาศการเรียนรู้ จัดสื่อสิ่งเร้าเสริมแรงให้คาปรึกษา และสรุปสาระการเรียนรู้ร่วมกัน 2. Construct ผู้เรียนได้ค้นพบสาระสาคัญหรือองค์การความรู้ใหม่ด้วยตนเอง อันเกิดจากการได้ ศึกษาค้นคว้าทดลอง แลกเปลี่ยนเรียนรู้และลงมือปฏิบัติจริง ซึ่งจะทาให้ผู้เรียนสามารถนาสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ได้ 8
  • 28. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 24 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จริงในชีวิตประจาวัน รวมทั้งทาให้ผู้เรียนรักการอ่าน รักการศึกษาค้นคว้าเกิดทักษะในการแสวงหาความรู้ เห็น ความสาคัญของการเรียนรู้ ซึ่งนาไปสู่การเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ (Learning Man) ที่พึงประสงค์ 3. Resource ผู้เรียนได้เรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ที่หลากหลายทั้งบุคคลและเครื่องมือทั้งใน ห้องเรียนและนอกห้องเรียน ผู้เรียนได้สัมผัสและสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทั้งที่เป็นมนุษย์ (เช่น ชุมชน ครอบครัว องค์กรต่างๆ) ธรรมชาติและเทคโนโลยี ตามหลักการที่ว่า “การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาและทุก สถานการณ์)” 4. Thinking ส่งเสริมกระบวนการคิด ผู้เรียนได้ฝึกวิธีคิดในหลายลักษณะ เช่น คิดคล่อง คิด หลากหลาย คิดละเอียด คิดชัดเจน คิดถูก ทางคิดกว้าง คิดลึกซึ้ง คิดไกล คิดอย่างมีเหตุผล เป็นต้น การฝึกให้ ผู้เรียนได้คิดอยู่เสมอในลักษณะต่างๆ จะทาให้ผู้เรียนเป็นคนคิดเป็น แก้ปัญหาเป็น คิดอย่างรอบคอบมีเหตุผล มีวิจารณญาณ ในการคิด มีความคิดสร้างสรรค์ มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ที่จะเลือกรับและปฏิเสธ ข้อมูล ข่าวสารต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนสามารถแสดงความคิดเห็นออกได้อย่างชัดเจนและมี เหตุผล อันเป็นประโยชน์ต่อการดารงชีวิตประจาวัน 5. Happiness ผู้เรียนเรียนอย่างมีความสุข ซึ่งเป็นความสุขที่เกิดจาก 1) ผู้เรียนได้เรียนในสิ่งที่ตน ชอบหรือสนใจ ทาให้เกิดแรงจูงใจในการใฝ่รู้ ท้าทาย อยากค้นคว้า อยากแสดงความสามารถและให้ใช้ ศักยภาพของตนอย่างเต็มที่ 2) การมีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนและระหว่างผู้เรียนกับ ผู้เรียน มีลักษณะเป็นกัลยาณมิตร มีการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน มีกิจกรรมร่วมด้วยช่วยกัน ทาให้ผู้เรียน รู้สึกมีความสุขและสนุกกับการเรียน 6. Participation ผู้เรียนมีส่วนร่วม ตั้งแต่การวางแผนกาหนดงาน วางเป้าหมายร่วมกัน และมี โอกาสเลือกทางานหรือศึกษาค้นคว้าในเรื่องที่ตรงกับความถนัดความสามารถ ความสนใจ ของตนเอง ทาให้ ผู้เรียนเรียนด้วยความกระตือรือร้น มองเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรียนและสามารถ ประยุกต์ความรู้นาไปใช้ ประโยชน์ในชีวิตจริง 7. Individualization ผู้สอนให้ความสาคัญแก่ผู้เรียนในความเป็นเอกัตบุคคล ผู้สอนต้องยอมรับใน ความสามารถ ความคิดเห็น ความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน มุ่งให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองให้เต็ม ศักยภาพมากกว่าเปรียบเทียบแข่งขันระหว่างกันโดยมีความเชื่อมั่นผู้เรียนทุกคนมีความสามารถในการเรียนรู้ ได้ และมีวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน 8. Good Habit ผู้เรียนได้พัฒนาคุณลักษณะนิสัยที่ดีงาม เช่น ความรับผิดชอบ ความเมตตา กรุณา ความมีน้าใจ ความขยัน ความมีระเบียบวินัย ความเสียสละ ฯลฯ และ ลักษณะนิสัยในการทางานอย่างเป็น กระบวนการการทางานร่วมกับผู้อื่น การยอมรับผู้อื่น และ การเห็นคุณค่าของงาน เป็นต้น 9. Self-Evaluation ผู้เรียนประเมินตนเอง เดิมผู้สอนเป็นผู้ประเมินฝ่ายเดียว แต่การเปิดโอกาสให้ ผู้เรียนประเมินตนเองอย่างสม่าเสมอและต่อเนื่อง จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจตนเองได้ชัดเจนขึ้น รู้จุดเด่นจุดด้อย และพร้อมที่จะปรับปรุงหรือพัฒนาตนเองให้เหมาะสมยิ่งขึ้น การประเมินในส่วนนี้เป็นการประเมินตามสภาพ จริงและอาจใช้แฟ้มสะสมผลงานช่วย
  • 29. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 25 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กำรจัดกำรเรียนรู้แบบกระบวนกำรแก้ปัญหำ สนับสนุนกำรจัดกำรเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 1.การร่วมกันเสนอปัญหาที่น่าสนใจ ที่เกิดจากการร่วมกันคิดถึงปัญหานั้นๆ จะทาให้ผู้เรียนมีความ กระตือรือร้นในการเรียนรู้ มีความสนใจที่แก้ปัญหานั้นให้สาเร็จ 2.ผู้เรียนได้ฝึกคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง มีการฝึกทักษะ การสังเกต วิเคราะห์ หาเหตุผลใช้ข้อมูลในการ ตัดสินใจ ซึ่งในกระบวนการนี้ผู้เรียนก็เป็นผู้คิด และกระทาเองทั้งหมดโดยมีครูเป็นเพียงผู้ให้คาปรึกษา 3.ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการทางานร่วมกับการทากิจกรรมกลุ่ม เป็นการฝึกวิถีชีวิตประชาธิปไตย ซึ่ง แน่นอนในกระบวนการทางานกลุ่มของผู้เรียน ผู้เรียนก็ต้องเป็นผู้แบ่งงานกันเอง แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ 4.ผู้เรียนได้ฝึกการค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ ทาให้ได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ที่ หลากหลาย ซึ่งผู้เรียนมีอิสระในด้านการศึกษาค้นคว้าจากแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลาย แล้วแต่ความต้องการ หรือแหล่งที่สะดวกของผู้เรียนเอง 5.ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจจากประสบการณ์ตรง ทาให้มีความกระจ่างชัดเจนจากประสบการณ์ การเรียนรู้ นาทักษะที่ได้รับ เช่น การเผชิญปัญหา การหาแนวทางในการแก้ปัญหา การตัดสินใจ เป็นประโยชน์ ในการนาไปประยุกต์ใช้ในการดาเนินชีวิต กำรจัดกำรเรียนรู้แบบกระบวนกำรแก้ปัญหำ และกำรจัดกำรเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเป็น ทักษะที่จำเป็นที่จะเป็นภูมิคุ้มกันสำหรับกำรดำรงชีวิตของผู้เรียนอย่ำงไร 1. ทักษะการทางานร่วมกัน การที่ผู้เรียนมีทักษะนี้ จะสามารถทาให้ผู้เรียนปฏิบัติงานหรือกิจกรรม ต่างๆกับบุคคลในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. ทักษะการค้นคว้า ทักษะนี้ก็มีความจาเป็นสาหรับในยุคสมัยปัจจุบัน ในยุคของเทคโนโลยีเข้ามามี บทบาทเป็นอย่างมาก ดังนั้นกระบวนการค้นคว้านี้จึงจาเป็นสาหรับผู้เรียน เพื่อจะได้มีทักษะนี้ในการเลือกรับ ข้อมูลนั้นๆ ก่อนจะเชื่อถือในเรื่องใด 3. ทักษะการวิเคราะห์ การใช้เหตุผล ทักษะการคิดวิเคราะห์มีความสาคัญ ในการดารงชีวิตเป็นอย่าง ยิ่ง เพราะในสังคมเรานี้ มีเรื่องที่จะให้เราต้องคิดวิเคราะห์ก่อนการตัดสินใจ และต้องมีเหตุผลในทุกๆการ ดาเนินชีวิตของสังคมปัจจุบัน 4. ทักษะการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ กระบวนการนี้ก็มีความสาคัญไม่น้อยเลย เพราะเชื่อว่าเรา ต้องเผชิญกับปัญหาในชีวิต และต้องตัดสินใจอยู่เสมอ หากผู้เรียนมีกระบวนการแก้ปัญหาและการตัดสินใจที่มี ประสิทธิภาพ จะทาให้ผู้เรียนมีความสุขในการดาเนินชีวิต 5. ทักษะการประยุกต์ใช้ หากขาดทักษะนี้เราก็ไม่สามารถใช้ทักษะ กระบวนการอื่นๆได้อย่างมี ประสิทธิภาพได้
  • 30. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 26 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น Multiple Intelligences Learning กำรจัดกำรเรียนรู้แบบบูรณำกำรสู่พหุปัญญำ ภำรกิจ จงแสดงความคิดเห็นว่าในการจัดการเรียนรู้ที่แยกเนื้อหาออกเป็นส่วน ๆ เหมาะสม สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมในยุคปัจจุบันหรือไม่ อย่างไร และการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้แบบบูรณาการสู่พหุปัญญาจะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้อย่างไร ลักษณะเด่นของกำรจัดกำรเรียนรู้แบบบูรณำกำรสู่พหุปัญญำ การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสู่พหุปัญญา เป็นการพัฒนากระบวนการเรียนการสอนในลักษณะ เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างสาระการเรียนรู้และความสามารถทางการเรียนรู้ที่มีอยู่ในตัวผู้เรียนตามทฤษฎี พหุปัญญาของโฮวาร์ด การ์เนอร์ (Howard Gardner) ซึ่งจาแนกไว้ 8 ด้าน ได้แก่ ด้านวาจา / ภาษา / ด้าน ดนตรี / จังหวะ ด้านตรรกะ / คณิตศาสตร์ ด้านทัศนสัมพันธ์ / มิติสัมพันธ์ ด้านร่างกาย /การเคลื่อนไหว ด้าน ธรรมชาติ ด้านการรู้จักตนเอง และด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยมุ่นเน้นให้ผู้เรียนแต่ละคนได้พัฒนาศักยภาพ และความสามารถในการแก้ปัญหารวมถึงการสร้างผลงานและเกิดผลลัพธ์การเรียนรู้อย่างมีความสุขและยั่งยืน ทฤษฎีพหุปัญญำของโฮวำร์ด กำร์เนอร์ (Howard Gardner) ซึ่งจำแนกไว้ 8 ด้ำน ได้แก่ 1. ปัญญำด้ำนภำษำ (Linguistic Intelligence) คือ ความสามารถในการใช้ภาษารูปแบบต่างๆ ตั้งแต่ภาษาพื้นเมือง จนถึงภาษาอื่นๆ ด้วย สามารถรับรู้ เข้าใจภาษา และสามารถสื่อภาษาให้ผู้อื่นเข้าใจได้ ตามที่ต้องการ ผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น ก็มักเป็น กวี นักเขียน นักพูด นักหนังสือพิมพ์ ครู ทนายความ หรือ นักการเมือง 2. ปัญญำด้ำนตรรกศำสตร์และคณิตศำสตร์ (Logical-Mathematical Intelligence) คือ ความสามารถในการคิดแบบมีเหตุและผล การคิดเชิงนามธรรม การคิดคาดการณ์ และการคิดคานวณทาง คณิตศาสตร์ ผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น ก็มักเป็น นักบัญชี นักสถิติ นักคณิตศาสตร์ นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ นักเขียนโปรแกรม หรือวิศวกร 9
  • 31. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 27 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 3. ปัญญำด้ำนมิติสัมพันธ์ (Visual-Spatial Intelligence) คือ ความสามารถในการรับรู้ทาง สายตาได้ดี สามารถมองเห็นพื้นที่ รูปทรง ระยะทาง และตาแหน่ง อย่างสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน แล้วถ่ายทอด แสดงออกอย่างกลมกลืน มีความไวต่อการรับรู้ในเรื่องทิศทาง สาหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น จะมีทั้งสาย วิทย์ และสายศิลป์ สายวิทย์ ก็มักเป็น นักประดิษฐ์ วิศวกร ส่วนสายศิลป์ ก็มักเป็นศิลปินในแขนงต่างๆ เช่น จิตรกร วาดรูป ระบายสี เขียนการ์ตูน นักปั้น นักออกแบบ ช่างภาพ หรือสถาปนิก เป็นต้น 4. ปัญญำด้ำนร่ำงกำยและกำรเคลื่อนไหว (Bodily Kinesthetic Intelligence) คือ ความสามารถในการควบคุมและแสดงออกซึ่งความคิด ความรู้สึก โดยใช้อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย รวมถึง ความสามารถในการใช้มือประดิษฐ์ ความคล่องแคล่ว ความแข็งแรง ความรวดเร็ว ความยืดหยุ่น ความประณีต และความไวทางประสาทสัมผัส สาหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น มักจะเป็นนักกีฬา หรือไม่ก็ศิลปินในแขนง นักแสดง นักฟ้อน นักเต้น นักบัลเล่ย์ หรือนักแสดงกายกรรม 5. ปัญญำด้ำนดนตรี (Musical Intelligence) คือ ความสามารถในการซึมซับ และเข้าถึงสุนทรียะ ทางดนตรี ทั้งการได้ยิน การรับรู้ การจดจา และการแต่งเพลง สามารถจดจาจังหวะ ทานอง และโครงสร้าง ทางดนตรีได้ดี และถ่ายทอดออกมาโดยการฮัมเพลง เคาะจังหวะ เล่นดนตรี และร้องเพลง สาหรับผู้ที่มีปัญญา ด้านนี้โดดเด่น มักจะเป็นนักดนตรี นักประพันธ์เพลง หรือนักร้อง 6. ปัญญำด้ำนมนุษยสัมพันธ์ (Interpersonal Intelligence) คือ ความสามารถในการเข้าใจผู้อื่น ทั้งด้านความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ และเจตนาที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน มีความไวในการสังเกต สีหน้า ท่าทาง น้าเสียง สามารถตอบสนองได้อย่างเหมาะสม สร้างมิตรภาพได้ง่าย เจรจาต่อรอง ลดความขัดแย้ง สามารถจูง ใจผู้อื่นได้ดี เป็นปัญญาด้านที่จาเป็นต้องมีอยู่ในทุกคน แต่สาหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น มักจะเป็นครูบา อาจารย์ ผู้ให้คาปรึกษา นักการฑูต เซลแมน พนักงานขายตรง พนักงานต้อนรับ ประชาสัมพันธ์ นักการเมือง หรือนักธุรกิจ 7. ปัญญำด้ำนกำรเข้ำใจตนเอง (Intrapersonal Intelligence) คือ ความสามารถในการรู้จัก ตระหนักรู้ในตนเอง สามารถเท่าทันตนเอง ควบคุมการแสดงออกอย่างเหมาะสมตามกาลเทศะ และ สถานการณ์ รู้ว่าเมื่อไหร่ควรเผชิญหน้า เมื่อไหร่ควรหลีกเลี่ยง เมื่อไหร่ต้องขอความช่วยเหลือ มองภาพตนเอง ตามความเป็นจริง รู้ถึงจุดอ่อน หรือข้อบกพร่องของตนเอง ในขณะเดียวกันก็รู้ว่าตนมีจุดแข็ง หรือ ความสามารถในเรื่องใด มีความรู้เท่าทันอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ความคาดหวัง ความปรารถนา และตัวตนของตนเอง อย่างแท้จริง เป็นปัญญาด้านที่จาเป็นต้องมีอยู่ในทุกคนเช่นกัน เพื่อให้สามารถดารงชีวิตอย่างมีคุณค่า และมี ความสุข สาหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น มักจะเป็นนักคิด นักปรัชญา หรือนักวิจัย 8. ปัญญำด้ำนธรรมชำติวิทยำ (Naturalist Intelligence) คือ ความสามารถในการรู้จัก และ เข้าใจธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง เข้าใจกฎเกณฑ์ ปรากฏการณ์ และการรังสรรค์ต่างๆ ของธรรมชาติ มีความไวใน การสังเกต เพื่อคาดการณ์ความเป็นไปของธรรมชาติ มีความสามารถในการจัดจาแนก แยกแยะประเภทของ สิ่งมีชีวิต ทั้งพืชและสัตว์ สาหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น มักจะเป็นนักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย หรือนักสารวจธรรมชาติ
  • 32. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 28 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กำรจัดกำรเรียนรู้ที่แยกเนื้อหำออกเป็นส่วน ๆ เหมำะสมสอดคล้องกับกำรเปลี่ยนแปลงของสังคม ในยุคปัจจุบันหรือไม่ อย่ำงไร ก่อนอื่นเราต้องมองก่อนว่า ความเหมาะสมนั้นคืออะไร ซึ่งก็อาจจะมีความหมายได้หลายอย่าง เช่น อาจจะเป็นความเหมาะสมของครู ความเหมาะสมสาหรับนักเรียน หรือด้านเครื่องมือ/สื่อการสอน แต่ถ้าหาก ถามถึงความเหมาะโดยรวมที่จะนามาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางสังคมในยุคปัจจุบันนี้นั้น ได้อย่างสอดคล้องหรือไม่ ต้องตอบเลยว่า เหมาะสม เพราะ ในการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสู่พหุปัญญา นั้นมีหลายๆอย่างที่สามารถประยุกต์ใช้ได้ดี บางอย่างจาเป็นเลยก็ว่าได้ จากข้างต้น จุดเด่นของทฤษฏีนี้คือการ พัฒนากระบวนการเรียนการสอนในลักษณะเชื่อมดยงความสัมพันธ์ระหว่างสาระการเรียนรู้และความสามารถ ทางการเรียนรู้ที่มีอยู่ในตัวผู้เรียน ตามทฤษฎีพหุปัญญาของโฮวาร์ด การ์เนอร์ (Howard Gardner) ซึ่งจาแนก ไว้ 8 ด้านนั่น มีส่วนไหนบ้างว่าสามารถประยุกต์ใช้ได้และมีความจาเป็น ซึ่งจะได้แก่ 1. เด็กไม่รู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของตัวเอง ไม่รู้ว่าตัวเองถนัดด้านใดเป็นพิเศษ หรืออ่อนในด้านใด ซึ่งอาจเป็นผลให้นักเรียนไม่ได้ปรับปรุงหรือพัฒนาในส่วนนั้นๆเลย 2. ผู้เรียนบางกลุ่มไม่มีโอกาสที่จะได้รับการพัฒนาความสามารถในส่วนที่ตนเองเรียนได้ดีเป็นพิเศษ ส่งผลให้ความสามารถของผู้เรียนคงที่และไม่พัฒนา 3. การเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ กับความสามารถของผู้เรียนในแต่ละด้านยังขาด ความสัมพันธ์กัน ยังไม่ได้รับการดึงความสามารถในส่วนนั้นออกมาใช้มากเท่าที่ควร กำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้แบบบูรณำกำรสู่พหุปัญญำจะช่วยแก้ปัญหำดังกล่ำวได้อย่ำงไร อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นถึงลักษณะเด่นของทฤษฏีนี้ คือ การพัฒนากระบวนการเรียนการสอนใน ลักษณะเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างสาระการเรียนรู้และความสามารถทางการเรียนรู้ที่มีอยู่ในตัวผู้เรียน ซึ่ง จะทาให้ผู้เรียนเข้าถึง สามารถดึงความสามารถของตัวเองออกมาได้ มีโอกาสที่รู้ พัฒนา หรือปรับปรุงในส่วนที่ ตัวเองเห็นว่าดีหรือด้อย ตามลาดับ รวมทั้งการเรียนรู้แบบนี้จะทาให้ การเรียนรู้ในสาระต่างๆ มีความสัมพันธ์ กับความสามารถทางการเรียนรู้ของผู้เรียนมากขึ้น เกิดเป็นการประสานสาระความรู้และความสามารถของ ผู้เรียนได้เป็นอย่างดี โดยมุ่นเน้นให้ผู้เรียนแต่ละคนได้พัฒนาศักยภาพและความสามารถในการแก้ปัญหารวมถึง การสร้างผลงานและเกิดผลลัพธ์การเรียนรู้อย่างมีความสุขและยั่งยืนได้
  • 33. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 29 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น Thinking Learning กำรจัดกำรเรียนรู้ที่ส่งเสริมกำรคิด ภำรกิจ จงแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับลักษณะของเนื้อหาที่เหมาะสมในการใช้หลักการหรือทฤษฎี การคิด มาเป็นพื้นฐานในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ และจะมีวิธีการอย่างไรในการออกแบบ กิจกรรมการเรียนรู้ดังกล่าว กรอบแนวคิดกำรคิดวิเครำะห์ การคิดวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการแยกแยะเรื่องราวต่างๆ ออกเป็นส่วยย่อยๆ หรือแง่มุม ต่างๆ ซึ่งจะทาให้เกิดความเข้าใจ และสามารถค้นพบสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนั้นได้ง่ายขึ้น จะเห็นได้ว่า ความสามารถดังกล่าวจะต้องส่งเสริมให้เกิดกับผู้เรียนในยุคปัจจุบัน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเผชิญกับสถานการณ์ ต่างๆ และคิดวิเคราะห์เรื่องราวต่างๆ ได้ สามารถเลือกปฏิบัติหรือเลือกเชื่อในสิ่งที่ถูกต้องได้ รวมถึงสามารถ ดารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข กรอบแนวคิดกำรคิดสร้ำงสรรค์ การคิดสร้างสรรค์ หมายถึง ความสามารถทางสมองของแต่ละบุคคลในการคิดได้กว้างไกลหลาย ทิศทางหรือที่เรียกว่าความคิดอเนกนัย (Divergent thinking) โดยการแสดงออกทางความคิดหรือการกระทา ที่เกิดจากการเรียนรู้ และจากการเชื่อมโยงประสบการณ์เก่ากับประสบการณใหม่เข้าด้วยกัน และทาให้เกิด เป็นผลงานหรือผลผลิตที่มีลักษณะแปลกๆ ใหม่ๆ รวมถึงการคิดค้นพบวิธีการแก้ปัญหาได้สาเร็จอีกด้วย ความคิดสร้างสรรค์ประกอบด้วยความสามารถต่างๆ (Ability) 4 ประการ คือ ความคิดคล่อง (Fluency) ความคิดยืดหยุ่น (Flexibility) ความคิดริเริ่ม (Originality) และความคิดละเอียดลออ (Elaboration) (จารุณี ซามาตย์, 2552) 1. ควำมคิดคลอง (Fluency) หมายถึง การคิดหาคาตอบได้อย่างคล่องแคล่ว รวดเร็ว มีปริมาณมาก หรือหลากหลายทางเลือกในการแก้ปัญหา ซึ่งเกิดจากความเข้าใจ (Understanding) ไม่ใช่ความจา ในเวลาที่ จากัด 2. ควำมคิดยืดหยุ่น (Flexibility) หมายถึง การคิดเปลี่ยนแปลงได้อย่างเป็นประโยชน์ หรือสามารถ เปลี่ยนกฎหลักการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเดียวกันได้ ความคิดยืดหยุ่น เป็นตัวเสริมความคิดคลอง (Fluency) 10
  • 34. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 30 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ให้มีความแปลกแตกตางออกไป หลีกเลี่ยงการซ้าซอน หรือเพิ่มคุณภาพความคิดให้มากขึ้น (Guilford, 1967) โดยสามารถนาสิ่งที่คิดได้มาจัดประเภทได้ สามารถแบ่ง จาแนกแยะแยะได้ สามารถจัดหมวดหมู่ได้คิดไม่ซ้ากัน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหา โดยที่ความคิดยืดหยุ่นสามารถเกิดขึ้นในทันทีและดัดแปลงได้ นับได้ว่า ความคิดยืดหยุ่น มีประโยชน์ โดยชวยให้ความคิดมีคุณภาพดีขึ้น คาสาคัญที่แสดงความคิดยืดหยุ่น 3. ควำมคิดริเริ่ม (Originality) หมายถึง ลักษณะความคิดแปลกใหม่ต่างจากความคิดธรรมดาหรือ ความคิดง่าย ๆ ความคิดริเริ่มเป็นความคิดที่มีประโยชน์ต่อสังคม ความคิดริเริ่มถูกค้นพบโดย Garnett (1919) โดยเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “Cleverness” ความคิดริเริ่มอาจเกิดจากการนาเอาความรูเดิมมาดัดแปลงและ ประยุกต์ให้เกิดสิ่งใหม่ลักษณะของการคิดสร้างสรรค์จึงเป็น ความคิดที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกและแปลกแตกต่าง จากความคิดเดิม และอาจไม่เคยมีใครนึกถึงมาก่อน ความคิดริเริ่มตองอาศัยความคิดจินตนาการ แต่ไม่ใช่เพียง คิดอย่างเดียว จาเป็นต้องคิดสร้าง และ หาหนทางทาให้เกิดผลงาน เชน มีคนกล่าววาคนที่คิดจะบินนั้นเป็นแค จินตนาการและไมมีทางเป็นไปได้ต่อมาพี่น้องตระกูลไรต์ สามารถที่จะคิดประดิษฐ์เครื่องบินได้ คาสาคัญที่ แสดงความคิดริเริ่ม 4. ควำมคิดละเอียดลออ (Elaboration) หมายถึง ความสามารถ (Ability) ที่ทาให้เกิดความคิดได้ดี ขึ้น หรือฉลาดขึ้น โดยสร้างจากความเข้าใจในตัวมันเอง เป็นลักษณะของความคิดที่ละเอียดช่างสังเกต ในการ คิดรายละเอียดเพื่อตกแต่ง หรือขยายความคิดริเริ่ม ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลของการคิด เรื่องการแสดงความหมาย การประสานความคิด ติดตามผลงาน ตระหนักถึงความสาเร็จคาสาคัญที่แสดง ความคิดละเอียดลออ ควำมคิดเห็นเกี่ยวกับลักษณะของเนื้อหำที่เหมำะสมในกำรใช้หลักกำรหรือทฤษฎีกำรคิด มำเป็น พื้นฐำนในกำรออกแบบกิจกรรมกำรเรียนรู้ ในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้หลักการหรือทฤษฏีการคิดมาเป็นพื้นฐานนั้น ชื่อหลักการ หรือทฤษฏีก็บ่งบอกชัดเจนว่า เนื้อหาที่จะนามาใช้ในการจัดการเรียนการสอนนั้นจะต้องกระตุ้นให้ผู้เรียนได้คิด ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะการคิดที่มาก ส่วนต้องการให้ผู้เรียนได้คิดในระดับไหนนั้น ครูผู้สอนจะต้อง ออกแบบการเรียนการสอนให้ตอบสนองให้ได้มากที่สุด ซึ่งอาจสรุปลักษณะของเนื้อหาได้ ดังนี้ 1. เนื้อหาที่จะจัดการเรียนการสอนนั้นจะต้องเรียนรู้ หรือทาความเข้าใจผ่านกระบวนการคิด ไม่ใช่ เพียงการอ่านและจดจาเท่านั้น 2. เนื้อหาต้องมีลักษณะที่ยากต่อการทาความเข้าใจ ผู้เรียนไม่สามารถคาดเดาคาตอบ หรือเนื้อหาได้ หากยังไม่ได้ผ่านกระบวนการศึกษาและกระบวนการคิดมาก่อน 3. เนื้อหานั้นจะต้องเป็นเนื้อหาที่ส่งเสริมกระบวนการคิด หรือเป็นเนื้อหาที่ชวนให้ผู้เรียนสงสัยอยากรู้ คาตอบ อยากคิดหาคาตอบ 4. เนื้อหาที่มีลักษณะเป็น Data ที่ยังไม่ใช่ Information เนื้อประเภทนี้จะต้องให้ผู้เรียนได้ลงมือ ปฏิบัติจริง ทดลอง ค้นคว้า วิเคราะห์ เช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ สังคมศึกษา เทคโนโลยี ฯลฯ สามารถ กระทาได้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ เพียงแค่รู้จักจัดกิจกรรมให้มีประสิทธิภาพ 5.เนื้อหานั้นจะต้องไม่เป็นเนื้อหาที่ง่าย ไม่ใช่เนื้อหาที่ต้องการการเรียนรู้แบบจดจา หรือทาความเข้าใจ โดยไม่กระตุ้นการคิดของผู้เรียนเลย
  • 35. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 31 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กำรออกแบบกิจกรรมกำรเรียนรู้อย่ำงไร 1. ขั้นกำหนดปัญหำ ปัญหาที่นามาใช้ในบทเรียนอาจได้มาจากแหล่งต่างๆ เช่น ภาพเหตุการณ์ การ สาธิต การเล่าเรื่อง การให้ดูภาพยนตร์ สไลด์ การทายปัญหา เกม ข่าว เหตุการณ์ประจาวันที่น่าสนใจ การ สร้างสถานการณ์ปัญหา บทบาทสมมติ ของจริง หรือสถานการณ์จริง โดยในขั้นตอนต้องกาหนดปัญหาให้ท้าทาย และจะต้องเป็นปัญหาที่ผู้เรียนต้องใช้กระบวนการคิดและ กระบวนการอื่นๆเข้ามาร่วมด้วยเพื่อให้ได้มาซึ่งคาตอบ 2. ขั้นตั้งสมมติฐำน สมมติฐานจะเกิดขึ้นได้จากการสังเกต การเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง ประสบการณ์เดิม จนสามารถนามาคาดคะเนคาตอบของปัญหาอย่างมีเหตุผล เราต้องการให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดในรูปแบบใด และกระบวนการคิดของผู้เรียนที่เกิดขึ้นเป็น อย่างไร จะต้องมีการบันทึกไว้ด้วย 3. ขั้นเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นขั้นตอนของการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการอ่าน สังเกต การสัมภาษณ์ การสืบค้นข้อมูลด้วยวิธีการต่างๆ ที่หลากหลายหรือการทดลอง มีการจดบันทึกข้อมูลอย่างละเอียด เพื่อนาไป วิเคราะห์ข้อมูลให้ได้คาตอบของปัญหาในที่สุด จากขั้นที่ 2 เครื่องที่จะใช้ในการเก็บข้อมูลของผู้เรียนเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง 4. ขั้นวิเครำะห์ข้อมูล เป็นขั้นตอนนาเสนอข้อมูลที่ได้จากการสืบค้น หรือทาการทดลองนามาตีแผ่ เปิดโอกาสให้ผู้เรียน ได้มีการอภิปราย ซักถาม ตอบคาถาม แสดงความคิดเห็น โดยมีผู้สอนเป็นผู้คอยแนะนา ช่วยเหลือ อันจะนาไปสู่การสรุปข้อมูลในขั้นตอนต่อไป นาข้อมูลจากการเก็บเพื่อมาวิเคราะห์ถึงกระบวนการเกิด กระบวนการคิด ของผู้เรียน ที่เกิดขึ้นว่าเป้ นอย่างไร ตรงตามที่เราต้องไว้หรือไม่ 5. ขั้นสรุปและประเมินผล เป็นขั้นสุดท้ายของกระบวนการเรียนรู้แบบกระบวนการแก้ปัญหาเป็นการ สรุปข้อมูลที่ได้จากแหล่งต่างๆ แล้วสรุปเป็นผลการเรียนรู้ หลังจากนั้นผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันอภิปรายผลการ เรียนรู้ด้วยวิธีการต่างๆ อย่างหลากหลาย และนาผลการประเมินไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียนต่อไป หลังจากวิเคราะห์แล้วก็สรุปผลถึงกระบวนการคิด รวมทั้งประเมินว่าการเรียนการสอนรูปแบบนี้เป็น เช่นไร จะพัฒนา ปรับปรุงแก้ไขตรงไหนได้บ้าง
  • 36. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 32 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น บรรณำนุกรม https://sites.google.com/site/prapasara/a2-5 http://www.kroobannok.com/blog/20480 http://www.learners.in.th/blogs/posts/257788 http://www.slideshare.net/jokesparrow/ss-21043489 http://www.gotoknow.org/posts/153429 http://www.agri.kmitl.ac.th/km/knowledge/?p=126 http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/ww521/joemsiit/jo emsiit-web1/ChildCent/Child_Center1_2.htm http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/ww521/joemsiit/jo emsiit-web1/ChildCent/Child_Center1_1.htm http://www.kroobannok.com/57327 http://www.learners.in.th/blogs/posts/418144 https://sites.google.com/site/prapasara/thekh-kar-sxn http://portal.in.th/inno-roj/pages/1233/ http://www.learners.in.th/blogs/posts/258147 http://www.kroobannok.com/blog/50264 http://kroobannok.com/45000 http://portal.in.th/inno-roj/pages/1234/ https://sites.google.com/site/prapasara/15-1 http://honeylamon.wordpress.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0 %B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99- 2/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A 3%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%81 %E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2/ http://krunote.blogspot.com/2011/06/blog-post_03.html
  • 37. COMPUTER LEARNING MANAGEMENT FOR BASIC EDUCATION LEVEL III-IV | 33 นายเจนรบ โกรธา 533050336-6 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น http://www.sobkroo.com/detail_room_main3.php?nid=2764 http://krunote.blogspot.com/2011/06/blog-post_4600.html http://www.learners.in.th/blogs/posts/257727 http://www.onec.go.th/onec_main/main.php